ความหมายของบคุ ลิกภาพภายใน
บคุ ลิกภาพภายใน (ntermal Persomliy) หมายถึง สง่ิ ท่ีอยภู่ ายในใจ หรืออปุ นสิ ยั ที่มองไมเ่ ห็นสัมผัส
ได้ยาก เป็นเร่ืองทตี่ อ้ งอาสยั การสังเกคอยา่ งใกลัชิด ใช้วลานาน และเป็นลักษณะเฉพาะบุคคล ซงึ่ มีความแดก
ต่างกนั เช่น ความคิด จติ ใจ ความรสู้ กึ สตปิ ัญญา ความถนัด ปฏิภาณไหวพรบิ อารมณข์ ัน เป็นตน้ บางคนอาจ
แสดงว่าเปน็ คนทีม่ จี ิตใจดี แต่แทท้ ี่จริงแลว้ อาจเป็นคนใจร้าย ใจคำกใ็ ด้ คังกล่าวทว่ี ่า "จติ มนษุ ยน์ ไี้ ซร้ ยาก
แท้นยัง่ ถึง"
การจะทราบถงึ บุคลกิ ภาพภายในของบุคคลที่เราได้รจู้ กั น้ันจะตอ้ งใชว้ ลาในการคบหากนั พอสมควร
จึงจะสามารถหยง่ั รู้ใด้ บุคลิกภาพภายในเปน็ เรอื่ งที่ย่งุ ยากมาก ไม่อาจกำหนคเวลาได้ว่าต้องใช้เวลเทา่ ใคจงึ จะ
สามารถทราบถึงบคุ ลกิ ภาพภายในของบุคคลทเี่ ราคบคว้ ยจนหมด ดังมีโคลงบทหน่งึ ไห้กล่าวไวว้ ่า
คณนา สายองิ่ ท้งิ ทอดมา
มหาสมทุ รสุดลกึ ลน่ั หยัง่ ได้
เขาสงู อาจวดั วา กำหนด
ยากแท้ หย่ังถงึ
หมายถึง ไม่ว่าจะเปน็ มหาสมุทรท่มี ีความลกึ แค่ไหน หรือภูเขาทีม่ ีความสงู เท่าใด เรากส็ ามารถท่ีจะวัด
จนทราบถึงความลึกหรือความสูงนั้นได้ ผิดกับการหยั่งรู้ถึงจิตใจของมนุษย์ที่นับว่าเป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก
ยกตัวอย่างบางคนที่แสดงออกว่าเป็นคนดี มีน้ำใจ พูดจาไพเราะ แต่แท้ที่จริงแล้วอาจเป็นคนใจร้าย มีความ
อิจฉาริษยา หรือบางคนมองดูหน้าตาไม่ยิ้มแย้ม ดูเหมือนเป็นคนไม่มีมนษุ ยสัมพนั ธ์ แต่แท้ที่จริงแลว้ เป็นคนมี
น้ำใจ ยนิ ดที จ่ี ะช่วยเหลอื ผทู้ ่ีเดือดรอ้ นเสมอ เปน็ ต้น
ความสำคญั ของการพฒั นาบคุ ลกิ ภาพภายใน
การพัฒนาบุคลิกภาพภายในมีความสำคัญตอ่ การดำเนนิ ชีวิตของมนุษย์ในสังคมปัจจุบนั เป็นอย่างมาก
เพราะสงิ่ ทอ่ี ย่ภู ายในใจ มักมีผลต่อพฤติกรรมทแ่ี สดงออก ดงั นนั้ ถา้ บุคคลมกี ารพฒั นาบุคลกิ ภาพภายในมักจะ
สง่ ผลใหเ้ กิดสง่ิ ต่อไปน้ี
1. การยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล การพัฒนาบุคลิกภาพภายในช่วยให้เราสามารถจดจำ
และเข้าใจบุคคลแต่ละคนได้เป็นอย่างดี ตลอดจนรู้วิธีที่จะปรับตัวให้เข้ากับคนเหล่านั้นได้ ทำให้เกิด
ความสัมพันธอ์ ันดตี อ่ กัน
2. การตระหนักในเอกลักษณ์ของบุคคล และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับบุคคล เพราะบุคลิกภาพเป็น
ลักษณะเฉพาะของบคุ คลที่ทำให้แต่ละคนมคี วามแตกต่างกัน และเป็นต้นแบบบุคลิกภาพที่ดีให้คนรุ่นหลังได้
ศกึ ษาและเลยี นแบบเอกลกั ษณ์ดังกลา่ ว เชน่ บคุ ลิกภาพของความซือ่ สัตย์ ประหยดั อดทน มีวินยั
3. การคาดหมายพฤติกรรม บุคลกิ ภาพจะชว่ ยใหเ้ รามีความคิดรวบยอดเกยี่ วกับบุคคลน้ัน ๆ ทำให้
เราสามารถทำนายได้ว่า หากมีสถานการณ์บางอยา่ งเกดิ ขน้ึ เขาน่าจะมกี ารตอบสนองในลักษณะใด
4. มคี วามมน่ั ใจ กล่าวคือ ผทู้ ่ีมีบคุ ลกิ ภาพดีจะทำใหบ้ ุคคลน้นั เกดิ ความมน่ั ใจในการแสดงออกได้มาก
ข้ึน กลา้ ที่จะแสดงออก และรู้แนวทางในการปฏิบตั ิตนให้เหมาะสมกับสถานการณ์
5. การยอมรับของกลุ่ม คนที่มีบุคลิกภาพที่ดีจะเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป โอกาสในการติดต่อ
สัมพนั ธ์กับผ้อู น่ื มมี ากข้ึน ทำใหไ้ ดร้ บั ความสะดวกในการกระทำกิจกรรมตา่ ง ๆ ได้ประสบความสำเรจ็
6. เกิดความสำเร็จในการทำงานและการดำเนนิ ชวี ิต คนท่ีมบี ุคลกิ ภาพดีจะไดเ้ ปรียบคนอ่นื ๆ เสมอ
เพราะการมบี ุคลิกภาพดีจะทำใหไ้ ด้รบั ความเชื่อมัน่ ศรัทธาจากผู้พบเห็นและคนท่ีมีปฏสิ ัมพันธ์ด้วย ดังนั้นการ
ทำงานหรอื ประกอบกจิ กรรมตา่ ง ๆ ยอ่ มไดร้ บั ความร่วมมอื จากคนส่วนใหญ่มากกว่าคนท่ีมบี ุคลกิ ภาพไมด่ ี และ
สามารถปรับตัวอย่ใู นสงั คมอยา่ งมีความสขุ
ทฤษฎีการพฒั นาจติ ลกั ษณะและบคุ ลิกภาพของบคุ คล
นักจิตวิทยาหลายท่านได้มีการศึกษาเกี่ยวกับบุคลิกภาพภายในของบุคคล แต่ละทฤษฏีได้ข้อสรุป
เกย่ี วกับองคป์ ระกอบของทฤษฏที ี่คลา้ ยกนั วา่ องค์ประกอบของทฤษฎมี กั ประกอบด้วยสว่ นสำคญั 3 ส่วน ได้แก่
1. โครงสร้าง (Structure) หมายถึง รูปแบบที่เกี่ยวกับปัจจัย หรือตัวแปรที่ปรากฏให้เห็นซึ่งเป็น
สาเหตขุ องความสมั พนั ธใ์ นลกั ษณะต่าง ๆ
2. กระบวนการ (Process) หมายถึง วิธกี ารท่กี อ่ ใหเ้ กิดความสมั พันธ์ทีแ่ ตกตา่ งกัน
3. เนื้อหา (Content) หมายถึง เป็นเรื่องเกี่ยวกับรายละเอียดหรือสาระที่จะต้องศึกษาให้ลึกซึ้ง ทั้ง
จากแนวความคิด ทัศนคติ วฒั นธรรม ภาษา และส่งิ ท่เี กี่ยวขอ้ งต่าง ๆ
ภาพที่ 3.1 ซกิ มันด์ ฟรอยด์
(ทมี่ า: http://waymagazine.org)
ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) นักจิตแพทย์ ชาวออสเตรีย เป็นผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีจิต
วิเคราะห์ โดยแบ่งออกเป็น 3 หลักใหญ่ คือ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ทฤษฎีโครงสร้างทางจิตหรือโครงสร้าง
บคุ ลิกภาพ พฒั นาการทางบุคลิกภาพของ Freud มรี ายละเอยี ด ดังน้ี
1. ทฤษฎีจิตวเิ คราะห์ (Psychoanalytic Theory)
ผ้ตู งั้ ทฤษฎจี ติ วเิ คราะห์ คือ Freud มีความเช่อื เบื้องตน้ ว่า บคุ ลิกภาพหรือพฤตกิ รรมของมนุษย์มาจาก
พลงั 4 ชนดิ คอื
1.1 พลังสัญชาตญาณ (Instinctual Drive) พลังสัญชาตญาณหรือแรงขับสัญชาตญาณ
เกิดจากการที่ร่างกายของมนุษย์ถกู กระตนุ้ ใหก้ ระทำกิจกรรม เพือ่ ตอบสนองความต้องการของร่างกาย เราจึง
เรียกพลงั สัญชาตญาณท่ีทำหนา้ ท่ีดงั กลา่ ววา่ เปน็ พลงั สัญชาตญาณของความตอ้ งการมชี ีวติ (Life Instinct)
1.2 พลังเพศ (Libido) เป็นพลังขับทางเพศที่เกิดขึ้นเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ (Species
preservation) พลังขับทางเพศนี้ มไิ ดห้ มายถึงความต้องการทางเพศเทา่ น้ัน แต่ยงั รวมถงึ พฤติกรรมอ่ืน ๆ ซ่ึง
บางครงั้ ดูเหมอื นว่าจะไม่เกยี่ วข้องกบั เรอื่ งเพศเลย เช่น การกลัวมีดบาด Freud อธิบายว่าเป็นความกลวั
อันเนื่องมาจากการถูกตัด (Castration) โดยเด็กเก็บกด (Repress) ว่าอวัยวะเพศของตนจะถูกตัด
ความกลัวนีจ้ ะสะท้อนออกมาในลกั ษณะการกลัวบาดเจบ็ ทางกาย เชน่ กลวั มดี บาด กลวั ถกู แทง เปน็ ต้น พลัง
เพศเป็นพลังที่ทำให้บุคคลมีความรักระหว่างเพื่อนมนุษย์ (Interpersonal Love) โดยเริ่มจากรักพ่อรักแม่
ต่อมาจึงร้จู กั รกั ผอู้ ่ืน และเปน็ แรงจูงใจหรอื เป็นพ้นื ฐานท่จี ะทำให้บคุ คลเกดิ ความรักระหวา่ งเพศ
1.3 พลงั ค้มุ ครองตนเอง (Ego-Instincts) เปน็ สัญชาตญาณที่หลีกหนีความเจ็บปวด ความ
หวิ กระหาย การปอ้ งกนั ตนเองใหพ้ ้นภัย ซงึ่ สญั ชาตญาณนีเ้ กดิ ขน้ึ เพอื่ ทจ่ี ะคุ้มครองตน (Self-Preservation)
1.4 พลังความกา้ วร้าว (Aggression) พลังความกา้ วร้าวอาจถือเป็นสว่ นหน่ึงของพลังเพศ
หรือเป็นส่วนหนึง่ ของการคุ้มครองตนก็ได้ Freud กล่าวว่า เป็นส่วนหนึ่งของพลังเพศก็คือ ความ ไม่ลง
รอยกันของสามีภรรยาจนตอ้ งทะเลาะวิวาทถึงขนาดทำร้ายร่างกายกัน ก็ถือวา่ เปน็ การแสดงออกทางเพศอย่าง
หนึ่ง สว่ นทว่ี ่าเปน็ ส่วนหนึ่งของคุ้มครองตน กค็ อื อาจมกี ารต่อสู้ เพ่ือปอ้ งกนั ตัวเองใหพ้ ้นจากภัยอันตราย พลัง
ความก้าวร้าวนี้จะไม่คงอยู่ตลอดไป แต่จะเกิดขึ้นเพียงระยะหนึ่งเท่านั้น Freud ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ความ
ก้าวร้าวเป็นส่วนหนึ่งที่แยกมาจากสัญชาตญาณของความตาย (Death Instinct) ซึ่งเป็นรากฐานของความ
ต้องการทำลาย (Destructive Activities) ซึ่งแสดงออกได้ 2 ลักษณะ คือทำลายผู้อื่นและทำลายตนเอง เพ่ือ
จะให้เข้าใจถึงแนวความคิดของทฤษฎีจิตวิเคราะห์นี้ จำเป็นจะต้องเข้าใจทฤษฎีย่อย ๆ ที่อยู่ในทฤษฎี
ข อ ง Freud ซ ึ ่ ง Freud ไ ด ้ ร ว บ ร ว ม ไ ว ้ ไ ด ้ แ ก ่ ท ฤ ษ ฎ ี แ ผ น ภ า พ จ ิ ต ใ จ ( Topographical
Theory) โดย Freud กล่าวว่า บุคคลมีระดับความคิดและความรู้สึกอยู่ 3 ระดับ โดยเปรียบเทียบจิตใจหรือ
ระดับความรูส้ ึกของบุคคล ว่าเหมือนกบั ภาพน้ำแขง็ ที่ลอยอยู่ในน้ำ จะพบวา่ มีบางส่วนโผล่พ้นน้ำ บางส่วนอยู่
เสมอน้ำ และบางส่วนอยูใ่ ต้นำ้ ดังน้ี
1.4.1 ระดับที่โผล่ใต้น้ำ คือ ระดับ Conscious หรือ ระดับจิตสำนึก เป็นระดับที่
คนสามารถรบั ร้ไู ด้ดว้ ยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เป็นส่วนทีร่ ู้ตัว มีการใชส้ ติปญั ญา ความรู้และประสบการณ์ในการ
พิจารณาหรือทำในส่งิ ที่ถกู ทีค่ วรหรอื ทสี่ งั คมยอมรบั
1.4.2 ระดับที่อยู่ปริ่มน้ำ คือ ระดับ Preconscious (Subconscious) หรือระดับ
ใกล้สำนึก เป็นระดับที่ต้องใช้ความจำ และสมาธิในการ Recall ประสบการณ์ที่สะสมไว้ในลักษณะลางเลือน
ซึ่งถ้าถูกกระตุน้ จากส่ิงเรา้ ที่เหมาะสมก็จะเข้ามาสู่ระดับจิตสำนึก คือ รู้ได้จำได้ ระดับ Preconscious จึงเปน็
ระดับทีอ่ ยู่ใกลเ้ คียงกบั Conscious มากกว่า
1.4.3 ระดบั ทอ่ี ยใู่ ต้นำ้ คือ ระดับ Unconscious หรือระดบั จติ ไรส้ ำนกึ เป็นระดับ
ท่ีเกบ็ กด (Repress) สงิ่ ตา่ ง ๆ ทที่ ำใหร้ ู้สกึ เจ็บปวดหรือไม่สบายใจ ให้อย่ใู นระดบั ไม่รู้ตัว แต่สิ่งเหล่านี้จะหลุด
ออกมาในรูปของความฝันหรือการพูดพลั้งปาก (Slipped Tongue) หรืออาจแฝงออกมาในรูปของ
ความสามารถบางอย่าง เช่น บางคนสนใจในเรื่องเพศมาก แต่เก็บกดความสนใจนี้ไว้ใน
ระดับ Unconscious ต่อมาไปเป็นจติ รกรที่วาดภาพน้ดู ได้สวยงาม
2. ทฤษฎโี ครงสร้างทางจิตหรือโครงสร้างบคุ ลิกภาพ
Freud ได้อธิบายโครงสร้างทางจิตหรือโครงสร้างของบุคลิกภาพว่า ประกอบไปด้วยระบบท่ี
สำคญั 3 อยา่ ง ได้แก่
2.1 Id (อิด) เป็นส่วนหน่ึงของจิตใจทีย่ งั ไมไ่ ด้รับการขัดเกลา เป็นสัญชาตญาณหรือความ
ต้องการ ได้แก่ ความอยาก ความหิวกระหายต่าง ๆ Freud เรียก Id ว่าเป็นสันดานดิบของมนุษย์ที่จะสนอง
ความต้องการที่เปน็ ความสุขส่วนตัวของมนุษย์ซึ่งอาจเปน็ เรอ่ื ง Basic Need ต่าง ๆ ทีเ่ ป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้
มนุษย์มีความขัดแย้งแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันทุกวัน เนื่องมาจากการขาดเหตุผล และมีจุดมุ่งหมายเพื่อสนอง
ความอยากเท่านั้น เราเรียกขบวนการทำงานน้ีว่าเป็น Primary Process Thinking เป็นการตอบสนองความ
ต้องการโดยใช้หลัก Pleasure Principle คือ กระบวนการทางจิตที่ดำเนินไปโดยไม่มีการกลั่นกรองหรือขัด
เกลาใหถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมกับกาลเทศะ
ภาพท่ี 3.2 เด็กร้องไห้เนอื่ งจากสัญชาตญาณ ความหิว ความกระหาย
(ที่มา: http://www.kunshomenursery.com)
2.2 Ego (อีโก้) เป็นส่วนของจิตใจที่ดำเนินโดยอาศัยเหตผุ ล และความเป็นจริงของสังคม
และสิ่งแวดล้อม Ego เป็นตัวกลางที่จะตัดสินว่าจะดำเนินตาม Id ซึ่งเป็นสัญชาตญาณความอยาก ความหิว
กระหาย หรือจะทำตามสิ่งที่เป็นคุณธรรม มโนธรรม (Superego) Ego จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่คอย
ประนีประนอมไม่ให้อยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากเกินไประหว่าง Id และ Ego คือ ไม่ผิดมาก
จนเกินไปหรือมีคุณธรรมสูงจนเกินไป โดยใชห้ ลักกฎความเปน็ จริงในสังคม (Reality Principle)
ภาพท่ี 3.3 การช้ีแจง ให้เหตผุ ลจนเดก็ เกดิ การยอมรบั ไมค่ วรใชว้ ิธีการดหุ รือตำหนิ
(ทมี่ า: www.gotoknow.org)
2.3 Superego (ซุปเปอร์อีโก้) เป็นส่วนที่ควบคุมการดำเนินการของ Ego อีกชั้นหนึ่ง ที่
ทำหน้าที่เกี่ยวกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดี (Right or Wrong) ตามหลักศีลธรรม โดยยึดหลัก Morality
Principle และการอบรมเล้ียงดู Superego ประกอบไปดว้ ยสว่ นสำคญั 2 สว่ น คอื
2.3.1 มโนธรรม (Conscience) คือ หิรโิ อตตปั ปะ คือความละอายและความบาป เกดิ จาก
การอบรมสั่งสอนใหร้ จู้ ักละอายและเกรงกลัวบาปตามหลกั ธรรมทางศาสนา หรอื เปน็ ผลจากการอบรม เลี้ยงดู
ว่าอะไรถกู อะไรผิด ถ้ามีการทำผิดจะถูกลงโทษ จะเป็นการ form การกลัวผิด กลัวบาป เมื่อโตขึ้นถา้ ทำอะไร
ผดิ จะเกิดความรู้สกึ ผิด คือ มี Guilty feeling ขน้ึ
2.3.2 อุดมคติแห่งตน (Ego Ideal) เป็นส่วนที่ประกอบไปด้วยความรู้สึกที่ดีงาม ซึ่งเกิด
จากการอบรมสั่งสอนของพอ่ แม่ และครูอาจารย์ เช่น การสอนว่า อะไรควรทำ ถ้าทำในสิ่งที่ดีจะไดร้ บั รางวัล
หรือได้รับคำชมเชย หรือได้รับผลดีตอบสนอง ก็จะสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับเด็ก คือ ความรู้สึก อิ่มใจ สุขใจ
ภาคภูมใิ จ ทำให้มองตัวเองวา่ เปน็ คนมีคณุ คา่ มแี นวคดิ และอดุ มคติของตนเอง
ภาพท่ี 3.4 นักศกึ ษาท่ไี ด้รบั รางวลั “เยาวชนดีเดน่ สภาสงั คมสงเคราะหแ์ ห่งประเทศไทย ในพระ
บรมราชปู ถมั ป์” ประจำปี 2557 โดยได้รับโล่ พร้อมเกียรติบตั ร เขม็ เกยี รตคิ ุณ และทุนการศึกษา
(ท่ีมา: http://www.koratforum.net)
Superego น้ีมสี ว่ นทำให้สังคมเป็นสุข มนุษยจ์ ะตอ้ งมี Superego พอสมควร มิใช่ว่ามีมากเกินไป จน
ทำให้บุคคลไม่กล้าทำสิ่งใด เพราะผิดหรือบาป จะทำให้รู้สึกผิดมาก บาปมาก ชีวิตจะไม่ยืดหยุ่น มักเกิด
ความเครียดบ่อย ๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับคนท่ี Weak Superego หรือ Strong Id พวกนี้จะไม่รู้สึกผิด ไม่รู้สึก
เดอื ดรอ้ นหรือละอายตอ่ บาป มักจะทำความเดือดร้อนใหก้ ับสงั คมได้โดยที่ตวั เขาไมร่ ู้สึกเดอื ดรอ้ น
การแสดงออกทางพฤติกรรมของจติ ทง้ั 3 ภาค เป็นดงั น้ี
1. จิตสำนึกอยู่ภายนอกสดุ ปรากฏให้เห็นงา่ ย โดยพยายามให้คนอน่ื ไดร้ ู้สกึ ถงึ ส่วนดีของตน
2. จิตใกล้สำนกึ เก็บไวล้ ึกเข้าไปอีกนิด พยายามซ่อนไม่ให้ใครรู้
3. จิตไร้สำนึก หรือจิตใต้สำนึก จะถูกเก็บไว้ส่วนในสุด พยายามไม่แสดงออกให้ใคร
เหน็ นอกจากวา่ เกดิ ขาดสติ หรือควบคุมตนเองไม่อยู่
3. พฒั นาการทางบุคลกิ ภาพของ Freud
Freud กล่าวถึง ประสบการณ์ในวัยเด็ก โดยเน้นความสำคัญของความรู้สึกแต่ละวัย และการ
ตอบสนองของร่างกายตามอวัยวะต่าง ๆ ที่เรียกว่า Erogenous Zones ซึ่ง Freud แบ่งพัฒนาการทาง
บุคลกิ ภาพของบคุ คลออกเป็นดังนี้
3.1 ระยะปาก (Oral Stage) อายุระหว่างแรกเกดิ ถึง 1 ปี เป็นวัยที่ทารกยังช่วยตัวเอง
ไม่ได้ ระยะนี้ทารกจะได้รับความสุขจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับปาก เช่น การดูดนม ดูดหัวแม่มืด ดูดนิ้วมืด
การกัดเล็บ การอมสิ่งต่าง ๆ หรือการได้รับการสัมผัสบริเวณปาก Freud เชื่อว่า การที่ทารกได้รับการ
ตอบสนองทางปากด้วยการดูดนม นอกจากจะทำให้ทารกอิ่มแล้วยังเกิดความสุขด้วย จึงอาจกล่าวได้ว่าปาก
เปน็ สว่ นทีน่ ำความสุขมาใหแ้ กท่ ารกมากท่ีสุด
ภาพท่ี 3.5 การอุ้มหรือการกอดของมารดาทำใหเ้ ดก็ ได้รับความอบอุน่
(ทมี่ า: http://www.dek-d.com)
ดังนัน้ การให้นม การสมั ผัสทางรา่ งกายของแม่เป็นส่งิ จำเปน็ มากในการเจริญเตบิ โตของเดก็ ความรัก
ความอบอุ่น ความหิว ความกระหายการได้กอดรดั สัมผัส เป็นการตอบสนองความตอ้ งการ ของเด็ก จะทำให้
เด็กเจริญเติบโตและพัฒนาบุคลิกภาพในทางที่ดี แต่ในทางตรงกันข้ามเด็กที่ขาด ความรัก ความอบอุ่น
ปล่อยให้หิวนาน ร้องไหน้ าน จะทำให้มีผลต่อพัฒนาการบุคลกิ ภาพของเด็กและมองโลกในแงร่ ้าย ไม่ไว้วางใจ
ต่อโลกและต่อบุคคลแวดล้อม การหย่านมก็เป็นสิ่งที่ทำให้เด็กไม่พอใจ ดังนั้น พ่อแม่จึงพยายามเข้าใจ
ธรรมชาติของเด็กและทำด้วยความละมุนละม่อม ไม่รุนแรง การเลี้ยงดูของมารดาที่เคร่งครัดจนเกินไป หรือ
บกพรอ่ งจะสง่ ผลใหเ้ สยี เวลาต่อมา เด็กอาจกลายเป็นเด็กด้ือ รอ้ งไห้ กินยาก นอนซึม เป็นต้น
ภาพท่ี 3.6 ความสัมพนั ธท์ ด่ี ีภายในครอบครัวส่งผลตอ่ บุคลกิ ภาพของบคุ คล
(ที่มา: http://www.sister2idea.com)
3.2 ระยะขบั ถ่าย (Anal Stage) อายรุ ะหวา่ ง 1-2 ปี เปน็ ระยะที่ความสุขของเด็กจะอยู่ที่
การขับถ่าย เด็กเรยี นร้เู รือ่ งการขับถา่ ย ผูใ้ หญ่จงึ ควรฝึกหัดให้เด็กรูจ้ กั การขบั ถา่ ย ฝึกใหร้ ู้จักรกั ษาความสะอาด
และได้รูจ้ ักถ่ายในท่ีอันควร ถ้าการขับถ่ายของเด็กเปน็ ไปด้วยความพอใจ โดยที่พ่อแม่ไมเ่ ขม้ งวดกวดขัน หรือ
เคร่งครัดกับระเบียบวินัยจนเกินไป การฝึกฝนเปน็ ไปด้วยความนุ่มนวลละมุนละม่อมไมม่ คี วามรูส้ ึกขัดแยง้ กัน
ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งมารดากับเด็กเปน็ ไปดว้ ยดีจะทำให้เด็กสบาย ผอ่ นคลาย และไมเ่ กิดความตงึ เครียด บาง
กรณกี ารที่พอ่ แม่ปลอ่ ยปละละเลยในเรอ่ื งการขบั ถ่าย จะทำใหเ้ ดก็ เปน็ คนไมม่ รี ะเบียบและไม่ตรงตอ่ เวลา
3.3 ระยะเพศ (Phallic Stage) อายุ 3-5 ปี ขั้นนคี้ วามสุขหรือความพอใจของเดก็ จะอยู่ท่ี
อวัยวะสืบพันธุ์ ทั้งเด็กผู้หญงิ และเด็กผู้ชาย มีความสนใจอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสภาพของร่างกายการเกดิ
ของทารก การเล่นอวัยวะเพศ ในระยะแรก ความรู้ทางเพศมักจะเก่ยี วกับตวั เอง ต่อไปจะมงุ่ ไปท่ี พอ่ แม่ เพศ
ตรงข้ามและอาจเกดิ ปมออดิปุส (Oedipus Complex) คอื เดก็ จะเกิดความรูส้ ึกรกั และผกู พันกับพ่อหรือแม่ท่ี
เปน็ เพศตรงข้ามกบั ตน เชน่ เด็กหญิงจะรกั พ่อเกลยี ดแม่ เดก็ ชายจะรกั แมเ่ กลยี ดพอ่ เดก็ จะผา่ นพ้นขั้นนี้ไป
ได้ด้วยการได้รบั ความรัก ความอบอ่นุ จากบิดามารดา และเรียนรู้บทบาททางเพศของตนโดยการเลียนแบบพ่อ
แมเ่ พศเดยี วกันกบั ตน จากความรูส้ กึ ทางเพศในลกั ษณะนั้นกจ็ ะเปลยี่ นไป
3.4 ขั้นก่อนวัยรุ่น (Latency Stage) อายุระหว่าง 6-13 ปี เป็นระยะที่เด็กเข้าโรงเรียน
ความสนใจของเด็กจะหันไปสู่สังคมภายนอก ได้มีโอกาสพบปะเพื่อนฝูง ครู เด็กก็จะพยายามปรับตัวให้มี
ความสมั พนั ธท์ ีด่ ีกบั คนอ่ืน ๆ และการเรยี นร้คู วามคดิ เห็นของคนอืน่ ๆ
3.5 ขั้นวัยรุ่น (Genital Stage) อยู่ในช่วงอายุ 13-18 ปี เป็นขั้นที่เด็กแสดงความ
สนใจ เพศตรงขา้ มมากขน้ึ การเริม่ ตน้ ที่แท้จริงของความรกั ระหว่างเพศจะเกิดข้ึนในขั้นนี้ Freud ได้เน้น
ถึงความสำคัญของร่างกายว่ามีผลต่อพัฒนาการทางบุคลิกภาพและเชื่อว่าพัฒนาการจะเป็นไปตาม 5 ข้ัน
ดังกล่าว พัฒนาการทางเพศจะผ่านไปด้วยดีหากเด็กได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ โดยให้ได้รับการตอบสนอง
ความต้องการอย่างเพียงพอทกุ ขัน้ หากเด็กไมไ่ ด้รบั การตอบสนองอยา่ งเพยี งพอในขั้นหนึง่ ขน้ั ใดเดก็ จะเกิดการ
ชะงัก (Fixation) ในการพัฒนาขั้นต่อไป และจะทำให้เกิดความลำบากในการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตเมื่อเด็ก
เจริญเติบโตข้ึน และแสดงพฤติกรรมถดถอยเข้าสู่วยั เด็ก กล่าวคือ เดก็ จะหนั ไปใช้วธิ กี ารเก่า ๆ ท่ีเคยใช้ในการ
พฒั นาในระยะขั้นปาก เน่อื งจากเด็กไมไ่ ด้รับการตอบสนองความตอ้ งการอย่างเพียงพอ
ดังนัน้ จากทฤษฎบี คุ ลิกภาพของ Freud เนน้ ประสบการณ์ในวยั ต้นของชีวิต หรือโดยเฉพาะ ในวัย
ทารกและวัยเด็กตอนต้น นับว่ามีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่
พน้ื ฐานทางบุคลกิ ภาพจะถกู กำหนดในช่วง 5 ปแี รกของชีวิต ถา้ บุคคลสามารถผ่านพฒั นาการ ทุกขัน้ ตอนอยา่ ง
ราบรื่น เช่น มีความสุขความพอใจที่ได้ดูดนม ได้สัมผัสอันอ่อนโยนจากแม่ เด็กมีความพอใจไม่รู้สึกเครียดใน
การฝกึ การขับถ่าย แมม่ ีความเข้าใจธรรมชาติและ ความตอ้ งการของลกู ไมม่ กี ารลงโทษรุนแรง และเคร่งครัด
เกินไป การพฒั นาบุคลกิ ภาพกเ็ ป็นไปโดยปกติ และมีบคุ ลิกภาพสมบูรณ์
ภาพที่ 3.7 ความสัมพนั ธท์ ่ดี ีภายในครอบครวั ส่งผลต่อบุคลิกภาพของบคุ คล
(ท่ีมา: www.l3nr.org)
องค์ประกอบของการพฒั นาบุคลิกภาพภายใน
องค์ประกอบของการพัฒนาบุคลกิ ภาพภายใน แบง่ ออกเปน็ 5 ดา้ น ได้แก่
1. การพัฒนาด้านสติปัญญา (Intelligent Quotient : IQ) หมายถึง ความฉลาดที่วัดด้วย
แบบทดสอบ เป็นเรื่องเกี่ยวกับเชาว์ ไหวพริบ และความสามารถในการแก้ไขปัญหาด้านตรรกะ ตัวเลข
ความจำ ความสามารถทางภาษา ความสามารถทางการคิดวิเคราะห์ IQ เป็นศกั ยภาพทางสมองท่ีติดตัวมาแต่
กำเนิด เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ยาก สามารถวัดออกมาเป็นค่าสัดส่วนตัวเลขที่แน่นอนได้เทียบกับอายุคน ส่วน
ใหญ่มี IQ ช่วง 90-110 ส่วนคนท่ีมี IQ เกนิ 120 ถอื วา่ เป็นคนท่ีมี IQ ในระดับสูง
นักจิตวิทยา ชาวอเมริกา ชื่อฮาร์วาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Guardner) กล่าวว่า คนเราทุกคนมี
ความสามารถทางสมอง หลายด้านด้วยกัน โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ทุกคนจะมีความฉลาด 8 ด้าน ซึ่ง
ประกอบดว้ ยดา้ นตา่ ง ๆ ดงั น้ี
1.1 ความฉลาดด้านภาษา (Linguistic intelligence) คือความสามารถด้านภาษา การพูดจา โน้ม
น้าวผู้อื่น ความสามารถด้านการเขียน ความสามารถด้านบทกวี มีความสามารถในการจำวันเดือนปี และคิด
ประดิษฐค์ ำ
1.2 ความฉลาดด้านการคำนวณ (Logical-Mathematical Intelligence) คือความสามารถในการใช้
เหตุผล การคำนวณ ความสามารถด้านจำนวนตัวเลข ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา ความสามารถใน
การวิเคราะห์คิดเป็นระบบ
1.3 ความฉลาดด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial Intelligence) คือความสามารถในการสร้างภาพในสมอง
ความสามารถในการสร้าง จินตนาการสร้างภาพต่าง ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น สถาปนิกสร้างภาพตึก หรือ
เมืองขึ้นจากภาพจินตนาการ ความสามารถในการอ่านภาพแผนที่ แผนภูมิ ความสามารถในด้านจินตนาการ
สรา้ งสรรค์
1.4 ความฉลาดด้านกายภาพหรือร่างกาย (Bodily-kinesthetic Intelligence) คือความสามารถใน
การใช้สรีระร่างกาย ความสามารถในการเล่นกีฬาที่ใช้สรีระร่างกายได้อย่างคล่องแคล่ว ความสามารถในการ
เต้นรำ การแสดง และรวมถึงความสามารถในดา้ นหตั ถกรรม และการใช้เคร่ืองมอื ต่าง ๆ การเคลื่อนไหว การ
สัมผัส และใช้ภาษาทา่ ทาง
1.5 ความฉลาดด้านดนตรี (Musical Intelligence) คือความสามารถในด้านดนตรี ความสามารถดา้ น
การร้องเพลง จับระดับเสียงที่มีความแตกต่างได้ดี สามารถจำทำนอง จังหวะเพลง เสียงดนตรีได้ดี มี
ความสามารถในการเล่นเครือ่ งดนตรี
1.6 ความฉลาดด้านทักษะสังคม (Interpersonal Intelligence) คือ ความสามารถในด้านการเข้า
สังคม การเป็นมิตรกับคนอื่นได้ง่าย ความสามารถเข้าใจความรู้สึกของผู้อืน่ ความสามารถในการสื่อสารการ
จัดการและความเป็นผู้นำ ชอบพูดคุยกับผู้อื่นมีมนุษยสัมพันธ์ดี สามารถบริหารความขัดแย้งได้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ
1.7 ความฉลาดด้านบุคคล (Intrapersonal Intelligence) คือความสามารถของบุคคลในการเข้าใจ
ตนเอง มคี วามม่ันใจในตนเอง เข้าใจถึงศักยภาพของตนเอง สามารถต้งั เปา้ หมายในชีวิตไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ชอบ
การทำงานคนเดยี ว ใชเ้ วลาในการคดิ ใครค่ รวญ และทำตามความสนใจของตนเอง
1.8 ความฉลาดด้านธรรมชาติ (Naturalist Intelligence) คือความสามารถในการ
มองเหน็ ความงาม ความสมั พันธ์ของสรรพสงิ่ ในธรรมชาติ รกั ธรรมชาติ
ภาพที่ 3.8 การอ่านหนังสือเป็นการพัฒนาบุคลกิ ภาพดา้ นสตปิ ญั ญาทส่ี ำคัญ
(ท่ีมา: http://songkhlatoday.com)
แนวทางในการพฒั นาบคุ ลกิ ภาพดา้ นสติปัญญา คอื ตอ้ งมคี วามเชอื่ มนั่ ในตนเอง มีความกระตือรือร้น
รอบรู้ ความจำ และมคี วามคิดริเริ่มสรา้ งสรรค์ หลักธรรมทชี่ ว่ ยเสริมสร้างใหก้ ารพัฒนาด้าน IQ เป็นไปอย่างมี
ประสิทธภิ าพ ได้แก่ สุ จิ ปุ ลิ
- สุ คอื สุตมยปญั ญา ปัญญาจากการฟัง ตคี วามว่า การฟงั คือ การรับสาร หรือ สาระ ทั้ง
ปวงจากส่อื ตา่ ง ๆ มิใชแ่ ต่เฉพาะการฟงั ทางหูอยา่ งเดยี ว
- จิ คือ จินตมยปัญญา ปัญญาจากการคิด คือ รู้จักไตรต่ รอง หัดใช้เหตุผลวเิ คราะห์ ช่วย
ให้เกิดจนิ ตนาการ และการสร้างสรรค์ส่งิ ใหม่ ๆ
- ปุ คือ ปุจฉา แปลว่า ถาม จาก สุ และ จิ ต้องมีความปรารถนาหาคำตอบเพิ่มเติมด้วย
วธิ กี าร ตา่ ง ๆ ให้มีปญั ญางอกเงยยง่ิ ๆ ข้ึน
- ลิ คือ ลิขิต จดบันทึก ต่อมาคำว่า "จด" ก็ขยายเป็น การพิมพ์ การทำฐานข้อมูล ท่ี
สามารถนำไปรวบรวม ศกึ ษา วเิ คราะห์ หรือสงั เคราะห์ ให้เป็นผลงานที่มีประโยชน์
2. การพฒั นาด้านความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Quotient : EQ) หมายถึง ความสามารถใน
การรับรู้และเข้าใจอารมณ์ทั้งของตัวเองและผู้อื่น ตลอดจนสามารถปรับหรือควบคุมได้อย่างเหมาะสมกับ
สภาพการณ์ สามารถควบคุมตนเองไม่ให้หวัน่ ไหวไป ตามเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่ให้ก้าวร้าว อวดดี ซึ่งจะช่วยให้
การดำเนนิ ชีวิตเปน็ ไปอยา่ งราบรนื่ และมคี วามสุข
แนวทางในการพัฒนาบุคลิกภาพดา้ นความฉลาดทางอารมณ์ คือ ความรู้จักกาลเทศะ การ
ควบคมุ อารมณ์ การมีมนุษยสมั พันธ์ และการมสี มาธิ หลกั ธรรมท่จี ะช่วยเสริมสร้างการพัฒนา EQ ไดเ้ ปน็ อย่าง
ดี คอื พรหมวหิ าร 4 ได้แก่
1. เมตตา คือ ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข เพราะความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา
2. กรุณา คือ ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ทุกข์โดยสภาวะเกิดจากเปลี่ยนแปลงตาม
ธรรมชาตขิ องรา่ งกาย เช่น การเกดิ การเจบ็ ไข้ ความแก่ ความตายอย่างหลีกเลี่ยงไมไ่ ด้ ซง่ึ รวมเรียกวา่ กายิก
ทกุ ข์ และทกุ ขจ์ รหรอื ทกุ ขท์ างใจ อนั เปน็ ความทุกขท์ ่ีเกิดจากสาเหตทุ ่ีอยู่นอกตัวเรา เชน่ เมอ่ื ปรารถนาแลว้ ไม่
สมหวังก็เป็นทุก ข์ การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ เรียกว่า เจตสิกทุกข์
3. มุทิตา คือ ความยินดีเมือ่ ผูอ้ ่ืนได้ดี ความปรารถนาให้ผู้อ่ืนมีความสุขความเจริญก้าวหนา้ ย่ิง
ๆ ขึ้น ไมม่ ีจิตใจริษยา
4. อุเบกขา คือ การรู้จักวางเฉย หมายถึง การวางใจเป็นกลางเพราะพิจารณาเห็นว่า ใครทำดี
ย่อมได้ดี ใครทำชั่วยอ่ มได้ชั่ว ตามกฎแห่งกรรม ไมค่ วรดีใจหรือคดิ ซ้ำเติมเขาในเร่อื งทีเ่ กิดขนึ้
ภาพท่ี 3.9 การนัง่ สมาธิถือเปน็ การพัฒนาความฉลาดทางด้านอารมณท์ ีไ่ ดผ้ ลดี
(ท่ีมา: http://www.vstarproject.com)
3. การพัฒนาด้านความฉลาดในการเผชิญหน้า (AdversityQuotient: AQ) หมายถึง ความสามารถ
ในการอดทนทัง้ ความยากลำบากทางกาย ความอดกล้นั ทางใจ และจิตวิญญาณทีส่ ามารถเผชิญและเอาชนะให้
บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งหมายถึงพฤติกรรมการตอบสนองต่อปัญหาอุปสรรคในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นปัญหา
เลก็ น้อย ปัญหาปานกลาง หรอื ปญั หาใหญ่ กส็ ามารถจัดการแก้ปัญหาท่ีเกิดขนึ้ น้ันได้
แนวทางในการพฒั นาบุคลิกภาพด้านความฉลาดในการเผชิญหน้า คือ ต้องควบคุมอารมณ์ตนเองให้
สงบใหน้ ่งิ กอ่ น มีทัศนคติในแง่บวกต่อปญั หาเสมอ โดยให้คดิ วา่ ปัญหานัน้ คอื โอกาสทจ่ี ะทำใหไ้ ด้เรยี นรู้สงิ่ ใหม่ ๆ
และทุกปัญหาสามารถแกไ้ ขได้ ถ้าหากผูแ้ ก้ปัญหามคี วามอดทน ใสใ่ จ และจรงิ ใจ ท่ีสำคัญตอ้ งมีจติ ใจท่ีเข้มแข็ง
มคี วามกล้าหาญ ไมห่ วาดหวน่ั ตอ่ ความยากลำบาก ไมห่ วาดกลวั บุคคลอนื่ รูจ้ ักช่วยเหลอื ตนเอง หลกั ธรรมที่จะ
ช่วยเสริมสร้างการพัฒนา AQ ไดเ้ ป็นอย่างดี คอื
- พละ 5 ได้แก่
1. ศรัทธา คอื ความเชอื่ ม่นั ความม่นั ใจ
2. วิริยะ คอื ความพากเพียร ความพยายาม
3. สติ คือ ความตรกึ ตรอง ความรอบคอบ
4. สมาธิ คือ ความใสใ่ จ ความแน่วแน่
5. ปัญญา คือ ความรู้ ความเขา้ ใจ ปรบั ปรุงแก้ไข
- อทิ ธิบาท 4 ไดแ้ ก่
1. ฉันทะ คอื ความรักความพอใจในงาน
2. วิรยิ ะ คือ ความอดทนตอ่ ความยากลำบาก
3. จิตตะ คือ ความตัง้ ใจจดจอ่ ต่องาน
4. วมิ ังสา คือ การแกไ้ ขปรับปรุงหาข้อบกพร่อง
4. การพัฒนาความฉลาดด้านจริยธรรมและศีลธรรม (Moral Quotient : MQ) หมายถึง ระดับ
จริยธรรมศีลธรรมของบุคคล ซึ่งตนเองสามารถควบคุมได้ ได้แก่ ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ความกตัญญู
ความมรี ะเบียบวินยั ความสำนึกผดิ ชอบชัว่ ดี และเคารพนบั ถอื ผูอ้ นื่
MQ ไมส่ ามารถฝึกฝนหรือขัดเกลาไดใ้ นช่วงเวลาสั้น ๆ ขณะท่บี คุ คลเจรญิ เติบโตขึ้นมาแล้ว
เหมือนดังคำโบราณของไทยที่ว่า “สันดอนนั้นขุดได้ แต่สันดานนั้นขุดยาก” การที่บุคคลคนหนึ่งจะ
มี MQ ระดับดี ต้องเริ่มปลูกฝังในวัยเด็กจึงจะได้ผล โดยอาศัยปัจจัย 3 อย่างด้วยกันคือ การสอนศีลธรรม
โดยตรงให้กับเด็ก การถ่ายทอดทางศลี ธรรมจากผู้ใหญ่ให้กับเดก็ ความรักและวินัย MQ เป็นเรื่องที่ตอ้ งฝึกมา
ตั้งแต่วัยเด็ก ถ้าบุคคลได้รับการปลูกฝังเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมมาแต่ยังเป็นเด็ก บุคคลก็สามารถพัฒนา
พื้นฐาน MQ ของตนข้ึนมาในระดบั หน่ึง และ MQ นี้ก็จะฝังลึกลงไปในจิตใต้สำนกึ ของบุคคลผูน้ ั้น และจะรอ
เวลาที่ได้รับการกระตุ้นอีกครั้ง โดยการอบรมสั่งสอน การฟังธรรม และวิธีอื่น ๆแต่ถ้าบุคคลไม่มี MQ อยู่ใน
จติ สำนกึ ดงั้ เดิมแล้ว ไม่วา่ โตขนึ้ จะไดร้ ับการกระตุน้ อย่างไรก็ไม่สามารถ ทำใหบ้ ุคคลผู้นั้น กลายเป็นคนดีขึ้นมา
ไดม้ ากนกั
ภาพท่ี 3.10 การปลกู ฝงั คุณธรรม จรยิ ธรรม ควรเรม่ิ ตง้ั แต่วัยเดก็
(ท่มี า: http://www.thaischool.in.th)
แนวทางในการพัฒนาบุคลิกภาพความฉลาดด้านศีลธรรมและจริยธรรม ต้องปลูกฝังในวัยเด็กจึงจะ
ได้ผล เพอื่ ใหต้ ิดเป็นนสิ ยั และเป็นธรรมชาติ หลกั ธรรมท่ชี ่วยเสรมิ สร้างใหก้ ารพัฒนาด้านนี้ ให้
เป็นไปอยา่ งมีประสิทธภิ าพ คือ
- ฆราวาสธรรม 4 ได้แก่
1. สัจจะ คือ ความซ่อื สัตย์ จรงิ ใจต่อกัน เปน็ หลักสำคญั ท่จี ะให้เกิดความไว้วางใจและไมตรี
ท่มี ีตอ่ กนั
2. ทมะ คือ การรจู้ ักบงั คับควบคุมอารมณ์ ข่มใจระงับความรู้สึกตอ่ เหตบุ กพรอ่ งของกันและ
กนั แก้ไขขอ้ บกพร่อง ใหก้ ลมกลืนประสานเข้าหากันได้ ไม่เป็นคนด้ือดา้ นเอาแตใ่ จและอารมณข์ องตน
3. ขนั ติ คือ ความอดทน อดกลน้ั ตอ่ ความหนกั และความร้ายแรงทง้ั หลาย ชีวติ ของผูอ้ ยู่ร่วมกัน เม่ือ
เกิดภัยพิบัติ ความตกต่ำคับขัน ไม่ตีโพยตีพาย แต่มีสติอดกลั้นคิดอุบายใช้ปัญญาหาทางแก้ไขเหตุการณ์ให้
ลลุ ่วงไปดว้ ยดี
4. จาคะ คือ ความเสียสละ ความเผื่อแผ่ แบ่งปันตลอดถึงความมีน้ำใจเอือ้ เฟือ้ ต่อกัน มิใช่
คอยแต่จะเปน็ ผ้รู ับเพยี งฝา่ ยเดยี ว ตลอดจนการเสียสละความพอใจและความสุขส่วนตน
- สัปปรุ สิ ธรรม 7 ได้แก่
1. ธัมมัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักเหตุ ได้แก่ รู้ชัดถึงเหตุแห่งความทุกข์เดือดร้อนและบ่อ
เกิดแห่งความผาสุก เป็นการหาสาเหตุว่าการแสดงออกหรือการรู้สึกนั้นเกิดจากอะไร เพื่อจะได้แก้ไขหรือ
ควบคมุ ต้นเหตุไมใ่ ห้เปน็ สาเหตขุ องการประพฤตใิ นสิ่งท่ไี มค่ วรประพฤติ เช่น ความโกรธ ความเกลยี ด เป็นตน้
2. อัตถญั ญตุ า คือ ความเป็นผรู้ จู้ กั ผล ได้แก่ รซู้ ึ้งถึงความเจริญสขุ เปน็ ผลของบุญ และทุกข์
โทษ รผู้ ลท่เี กดิ ข้ึนจากการกระทำว่าจะทำให้ผู้อน่ื รูส้ กึ ไมด่ ีตอ่ ตัวเราหรือไม่ หมนั่ วิเคราะห์วา่ ผลที่เกิดข้ึนน้ันเกิด
จากเหตุใด หากไม่ต้องการให้ผลออกมาไม่ดี นั่นหมายถึงว่าจะต้องพยายามหาเหตุดี ๆ มาปฏิบัติเพื่อจะ
กอ่ ให้เกดิ ผลดี ๆ ตามมา
3. อัตตัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักตน ได้แก่ สำเหนียกความรู้ความสามารถ วางตนสม
อตั ภาพอย่างเจียมใจ เป็นการรูถ้ ึงจุดดแี ละจุดด้อยของตนเอง วา่ มคี วามรคู้ วามสามารถเพียงใด สิ่งใดเราทำได้
หรือทำไมไ่ ด้ หากร้วู า่ ส่ิงใดทำไม่ได้ ทำไม่ทนั ทำได้ไมด่ ี แลว้ ยังฝืนทำย่อมไมก่ ่อให้เกดิ ผลดีเลย
4. มัตตัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักประมาณการ ได้แก่ รู้จักใช้งบประมาณพอดีสมควรแก่
ฐานะ การกระทำสิ่งใดก็ตามต้องไม่มากเกินไปหรือน้อยจนเกินไป เช่น พูดมากเกินไปจะทำให้ผู้อ่ืนเบื่อ และ
รำคาญ หากพดู นอ้ ยเกิดไปก็จะทำใหผ้ ู้อืน่ รู้สกึ อดึ อัด เป็นตน้
5. กาลัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลา ได้แก่ จัดสรรกิจการให้ถูกจังหวะ การรู้จักถึง
เวลาท่คี วรปฏบิ ตั ิ เช่น การโทรศัพทห์ าผู้อ่ืนกไ็ ม่ควรโทรตอนดกึ จะไปเยย่ี มเยียนใครกต็ อ้ งนัดวนั เวลา เพ่ือเขา
จะได้เตรยี มตัวให้พรอ้ ม
6. ปริสัญญตุ า คือ ความเป็นผู้รู้จักชุมชน ได้แก่ เข้าใจปรับบุคลกิ ภาพของตนให้สอดคลอ้ ง
กับสมาคมทุกระดับ การรู้ถึงกลุ่มคนและสังคมที่เราจะเข้าไปติดต่อด้วยว่ามีลักษณะเป็นเช่นไร เช่น กลุ่ม
นกั การเมือง กลุ่มนักธรุ กิจ กลมุ่ ศาสนาต่าง ๆ เพื่อเราจะได้รวู้ ่าควรจะพูดจาหรือประพฤติปฏิบัติอย่างไรจึงจะ
เหมาะสม
7. ปุคคลปโรปรัญญุตา คือ ความเป็นผู้ร้จู กั เลอื กคบบคุ คล ไดแ้ ก่ อ่านอัธยาศยั คนออก ถ่อม
ตนหรือยกย่องผู้อื่นสมแก่กรณี บุคคลที่เราจะคบหรือติดตอ่ ด้วย ต้องรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร มีตำแหนง่ หน้าที่
การงานใด เพื่อเราจะได้วางตนถูกว่าเราจะคบเขาด้วยความสนิทสนมมากน้อยเพียงใด เช่น หากเขาเป็นผู้มี
จิตใจดีเราอาจคบถึงขั้นสนิทสนมด้วย หรือหากเขามตี ำแหน่งหน้าที่การงานท่ีสูงกว่าเรามาก เราก็ไม่ควรไปตี
สนิทจนเกินไป
5. การพัฒนาด้านทกั ษะทางสังคมและการใช้ชีวิตร่วมกับผูอ้ ื่น (Social Quotient : SQ) เพราะ
มนุษย์ไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน จึงจำเป็นต้องใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นเป็นสังคม
สังคมใดจะดำรงอยู่ได้กด็ ้วย จะต้องมีน้ำใจเอื้ออาทรต่อเพ่ือนร่วมสงั คมด้วยกัน ไม่คิดว่าตนเองเหนือกว่าใคร
ตอ้ งมใี จเปิดกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อนื่ อกี ทัง้ ตอ้ งไม่เบียดเบยี นซ่ึงกนั และกนั จากสังคมเล็ก ๆ คือ
ครอบครัวหลาย ๆ ครอบครัวก็รวมเป็นสังคมหมู่บ้าน หลายหมู่บ้านก็เป็นสังคมเมือง หลาย ๆ เมืองก็เป็น
ประเทศ หลายประเทศก็รวมกนั เป็นสงั คมโลก
หลักธรรมที่ช่วยเสริมสร้างให้การพัฒนาบุคลิกภาพด้านทักษะสังคมและการใช้ชีวิตร่วมกับ
ผูอ้ น่ื เป็นไปอย่างมปี ระสิทธภิ าพ คือ
- ธรรมโลกบาล ไดแ้ ก่
1. หิริ คอื มีความละอายใจ ไมก่ ระทำชว่ั ไม่ทำความเบียดเบยี นแก่ผู้อ่นื
2. โอตตัปปะ คือ มีความเกรงกลัวต่อผลร้ายที่จะตามมาจากการกระทำชั่วและความ
เบียดเบยี น- สงั คหวตั ถุ 4 ได้แก่
1. ทาน คือ การแบง่ ปัน เอ้อื เฟอ้ื ชว่ ยเหลอื ดว้ ยปจั จยั สี่ ตลอดจนให้ความรูค้ วามเข้าใจ
2. ปิยวาจา คือ พูดจาต่อกนั ด้วยคำสภุ าพ คำไพเราะ ประกอบดว้ ยประโยชน์ ทำใหเ้ กดิ รัก
ใคร่นับถอื สามัคคกี ัน
3. อัตถจริยา คือ ทำตนให้เป็นประโยชน์ ขวนขวายช่วยเหลือในกิจการงาน รวมทั้งช่วย
แก้ไขปญั หา
4. สมานตั ตตา คือ ทำตวั ให้เขา้ กบั เขาได้ วางตนใหม้ ีความเสมอภาค ไมเ่ อาเปรยี บ มีทุกข์
รว่ มตา้ น มสี ุขแบง่ ปนั
การพัฒนาบุคลิกภาพภายใน คือการปรับปรุงแก้ไข เพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ สติปัญญา
อารมณ์ จริยธรรม ศีลธรรม การกล้าเผชิญกบั ปญั หาอปุ สรรค รวมถึงการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นดังนั้น ถ้าบุคคล
สามารถพัฒนาได้ทั้ง 5 ด้านควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลิกภาพภายนอกแล้ว จะทำให้บุคคลมีบุคลิกภาพ
โดยรวมดียงิ่ ขน้ึ
ธรรมะกบั การพฒั นาบุคลิกภาพภายใน
การประพฤติปฏิบัติตนเพื่อให้มีบคุ ลิกภาพท่ีดี จำเป็นต้องอาศัยหลักธรรมของพุทธศาสนาเป็นเครือ่ ง
ชี้แนะและพัฒนา บุคคลจะมบี ุคลกิ ภาพที่ดตี ้องประกอบไปด้วย กาย วาจา และใจท่ดี ี หลักธรรมในพทุ ธศาสนา
ลว้ นแตเ่ ปน็ ประโยชนต์ ่อการนำมาปฏิบตั ิให้เป็นผมู้ บี คุ ลกิ ภาพดี
พระธรรมปิฎก กล่าวว่าหลักการพัฒนาชีวิตในพระพุทธศาสนาที่นำมาใช้เป็นหลักการพัฒนา
บุคลกิ ภาพนัน้ มีอยู่ 4 ประการ ดงั นี้
1. กายภาวนา เป็นการพัฒนาให้ร่างกายเจริญแข็งแรงดี มีสุขภาพดี และมีการพัฒนาทักษะโดยการ
ฝกึ ฝนการใชร้ ่างกาย เช่น การใช้มือและอวัยวะให้มีความคล่องแคล่วและชำนาญการรวมท้งั พัฒนาร่างกายทาง
หู ตา จมกู และล้นิ ทใ่ี ชเ้ ปน็ สิ่งสมั ผัสระหวา่ งตัวเรากับสิง่ แวดลอ้ มตา่ ง ๆ คอื ปจั จยั 4 และธรรมชาติแวดล้อม
ทั่วไป การพฒั นากายจงึ ควรฝึกฝนใน 2 ด้าน ดังน้ี
1.1 ฝึกฝนด้านการใช้งาน เป็นการฝึกทักษะโดยการทำให้ หู ตา จมูก ลิ้น มีความเฉียบคม
ละเอียดออ่ น วอ่ งไว แคล่วคลอ่ ง และมคี วามจดั เจนในการทำงาน
1.2 สร้างประสบการณท์ ่ีดี คือ การฝึกให้ หู ตา จมูก ล้ิน รจู้ ักเลอื กรับเอาส่ิงทม่ี ีคณุ ค่าและ
มีประโยชน์เข้ามาให้แก่ชีวิต และป้องกันไม่ให้รับเอาสิ่งที่ไม่ดีและเป็นโทษเข้ามา เช่น การฟังคำเตือนจาก
ผบู้ รหิ ารก็ไม่ควรรบั เอาอารมณ์เข้ามาให้เกิดเป็นความโกรธ ควรรับเข้ามาในทางทีท่ ำให้เกิดปัญญา เชน่ การใช้
ล้นิ เปน็ ถา้ รบั ประทานอาหารเปน็ ก็จะทำใหเ้ กิดคุณภาพชวี ิตและได้คุณค่าทางอาหาร ถ้ารบั ประทานอาหารไม่
เป็นคอื มงุ่ แตอ่ รอ่ ยก็ทำใหเ้ สยี คุณภาพชีวติ ได้ เชน่ อาจทำให้เกดิ ทอ้ งเสยี หรอื เกดิ การเส่ือมเสียสขุ ภาพ เป็นต้น
ในปจั จบุ นั วตั ถุเป็นตวั เดน่ ทเี่ ป็นเร่อื งสำคญั ถา้ รบั เข้ามาอย่างเปน็ โทษ ไมร่ ู้จักรบั เขา้ มาในทางท่ีจะทำให้เกิด
ปัญญากจ็ ะไม่เกิดคณุ ภาพชีวติ
2. ศลี ภาวนา คอื การทำให้ตนเองมีระเบียบในการดำรงชีวิตและอยูร่ ่วมกบั คนอนื่ ในสังคมอย่างเป็น
สุข โดยการไมเ่ บยี ดเบยี นผู้อ่นื ช่วยเหลอื เกอ้ื กลู ผู้อืน่ และฝกึ ควบคุมตนในทางกาย วาจา ใจ ใหป้ ระพฤติปฏิบัติ
ตามกฎเกณฑห์ รอื ขอ้ กำหนดของสงั คม เพอ่ื เป็นพน้ื ฐานในการพัฒนาจิตใจต่อไป
3. จติ ภาวนา คือ การพัฒนาจติ ใจให้เจรญิ งอกงามทัง้ 3 ด้าน ดงั น้ี
3.1 การพัฒนาคณุ ภาพชีวิต เป็นการพฒั นาจติ ใหม้ ีคุณภาพ เร่มิ ตัง้ แต่มีคุณธรรมที่ทำให้จิตใจประณีต
งดงาม เช่น มีเมตตากรณุ า มศี รทั ธา มคี วามกตัญญูกตเวที เปน็ ตน้
3.2 การพัฒนาสมรรถภาพจิต เป็นการพัฒนาให้จิตใจเข้มแข็งเพื่อให้นำไปใช้งานได้ดี
สำหรบั การทำงานไดเ้ กง่ ทำงานได้ผลดนี ้ันจิตต้องมีสมาธิ มสี ติ เพยี รพยายาม เอาใจใส่ อดทน กลา้ สู้ รับผดิ ชอบ
และมจี ติ ใจเขม้ แขง็ เปน็ ต้น
4. ปัญญาภาวนา คอื การพฒั นาปญั ญาใหเ้ จรญิ งอกงาม เชน่ การร้จู กั วนิ ิจฉัย แยกแยะสิ่งทร่ี บั รู้ด้วย
เหตุด้วยผล แล้วสามารถนำไปดำเนินการและแกป้ ัญหาต่าง ๆ ให้สำเร็จผลตามที่ต้องการได้ การเกดิ ปัญญาคือ
การรับรู้ตามความเป็นจริงแล้ววินิจฉัยโดยปราศจากความชอบและไม่ชอบนัน่ เอง ถ้าไม่ได้ฝึกอบรมปัญญาไว้
ปัญญาก็จะไม่เป็นอิสระ จะไม่บริสุทธิ์ และจะเป็นปัญญาที่ตกอยู่ในอำนาจครอบงำของอคติ เช่น ลำเอียง
เพราะชอบใจ ชัง หลง กลัว โลภ โกรธ หรือลำเอียงเพราะหลง ถ้าฝึกปัญญาจนเป็นผู้มีปัญญาเท่าทันโลกและ
ชีวติ จะทำใหจ้ ติ ใจเป็นอิสระและมีความสขุ ท่ีนับว่าเปน็ จุดสูงสุดของชวี ิต
การปฏิบัตธิ รรมทำให้ผู้ปฏิบัติเป็นคนท่ีสมบูรณ์ มีศีล มีสมาธิ และมีปัญญา สุขุม เยือกเยน็
สร้างบุคลิกภาพภายในให้มีผลตอ่ บุคลกิ ภาพภายนอก คณุ ธรรมและหลกั ธรรมทางศาสนาท่ีใชเ้ พื่อพัฒนาจิตใจ
หรือพฒั นาบุคลกิ ภาพภายในมอี ย่หู ลายประการ เช่น
เบญจศีลและเบญจธรรม เป็นธรรมคู่กัน ผู้ที่มีเบญจธรรมจึงจะเป็นผู้มีเบญจศีล ซึ่งหากคนมีศีลและ
ธรรมดังกล่าวแล้ว จะเว้นจากการทำความชั่ว รู้จักควบคุมตนใหต้ ั้งอยู่ในความดี ไม่เบียดเบียนตนและคนอืน่
และประพฤติชอบทางกาย วาจา และใจ จะทำให้อยรู่ ่วมกับคนอน่ื ในสังคมได้อยา่ งมีความสุข
1. เบญจศลี หมายถึง ศลี 5 ขอ้ เปน็ การรักษาเจตนาท่ีจะควบคุมกายและวาจาใหเ้ ป็นปกติ คือ ไม่ทำ
บาป โดยการละเวน้ 5 ประการ คอื ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ละเว้นจากการลักขโมย ละเว้นจากการประพฤติผิด
ในกาม ละเว้นจากการพูดปด ละเว้นจากการเสพสุรา เบญจศีล เป็นเครื่องรักษาเจตนาที่จะควบคุมกาย ละ
วาจาให้เป็นปกติ คอื ไม่ทำบาป โดยการละเวน้ 5 ประการ คอื
- ปาณาติบาต คอื ละเวน้ จากการฆา่ สตั ว์ และการเบียดเบียนสัตว์
- อทินนาทาน คือ ละเว้นจากการลักขโมย ปล้นจ้ี
- กาเมสุมิจฉาจาร คือ ละเวน้ จากการประพฤตผิ ิด ล่วงละเมดิ ลูกเมียผอู้ ่ืน
- มุสาวาท คอื ละเวน้ จากการพูดปด พูดคำหยาบ พดู เพอ้ เจอ้ พูดส่อเสยี ด
- สรุ าเมระยะ คอื ละเวน้ จากการเสพสุรา เพราะเป็นสาเหตใุ ห้ทำผิดศีลขอ้ อนื่
2. เบญจธรรม เป็นหลักธรรมทีค่ วรปฏิบตั ิ มี 5 ประการ ไดแ้ ก่
- เมตตากรุณา คอื บคุ คลใดที่มเี มตตายอ่ มไมฆ่ ่า หรอื เบียดเบียนสตั ว์ ด้วยรู้ดีว่าทุกชีวติ ย่อม
มี ความรักตวั กลวั ตายเชน่ เดยี วกบั เรา ทำใหไ้ ม่ผิดศลี ในข้อท่ี 1
- สัมมาอาชีพ คือ ประกอบอาชีพที่สุจริต มีรายได้ รู้จักใช้จ่าย และที่สำคัญรูจ้ ักคำว่าพอดี
และมหี ิริโอตตปั ปะ คอื ความละอายและเกรงกลวั ตอ่ ผลของบาป จึงทำให้ไมผ่ ิดศีลขอ้ ท่ี 2
- ความสำรวมอนิ ทรีย์ คือ ระมัดระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ทำให้ ความใคร่ในกาม
คุณ คอื การติดในรูป รส กลิน่ เสียง สมั ผัส ลดนอ้ ยลง เมือ่ ความสำรวมเกดิ ขึ้น จงึ ทำให้ไมผ่ ิดศลี ข้อท่ี 3
- ความซื่อสัตย์ คือ การพูดความจริง เป็นสิ่งที่ทำให้ไม่เกิดการมุสาวาท ทำให้ไม่ผิดศีลข้อ
ท่ี 4
- สติ คือ การรู้สึกตัว ทำให้ชีวิตไม่ประมาท เพราะรูว้ ่าอะไรดี อะไรช่ัว ทำใหไ้ ม่เกลอื กกลั้ว
กับสง่ิ ท่ีจะทำให้ชีวิตตกต่ำ เช่น สุราเมอ่ื คนด่ืมกินกท็ ำให้มึนเมาและขาดสติ การมสี ติจึงทำให้ไมผ่ ิดศีลข้อท่ี 5
ภาพที่ 3.11 การเขา้ วดั ไหวพ้ ระ ทำบุญ ฟงั เทศน์
ปล่อยปลา จะช่วยพัฒนาบุคลิกภาพภายในได้เปน็ อย่างดี
(ทม่ี า: http://www.khaoyaizone.com)
สรุปสาระสำคญั
บุคคลที่มีบุคลิกภาพดีนั้นไม่ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองแค่ภายนอกด้วยการแต่งกายหรือ
พฤติกรรมทแ่ี สดงออกเทา่ น้ัน หากจำเปน็ ตอ้ งมกี ารปรบั ปรงุ เปลีย่ นแปลงและพัฒนาบุคลกิ ภาพภายในกอ่ น จึง
จะทำให้การพัฒนาบคุ ลิกภาพภายนอกประสบความสำเรจ็ ได้
การพัฒนาบุคลิกภาพภายใน เป็นสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ การจะทำให้เป็นผู้ที่มีจิตใจดีต้อง
อาศัยการอบรมบ่มนิสัย การสร้างประสบการณ์มาตั้งแต่เกิด บุคลิกภาพภายในเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน ต้องใช้
เวลา บุคคลควรได้รับการพฒั นาเพ่อื การทำงานรว่ มกันในสังคม สิ่งท่ีจะช่วยใหก้ ารพฒั นาจิตใจท่ไี ดผ้ ลดีคอื การ
ปฏิบตั ติ ามหลกั ธรรมคำสอนของพุทธศาสนา การนำเบญจศีลและเบญจธรรมไปใช้ในการดำเนินชีวิต จะทำให้
บคุ คลอยู่รว่ มกนั อย่างมีความสุข มีสัมพันธภาพที่ดี ทำให้การทำงานไมเ่ กดิ ความเครยี ด ความคับขอ้ งใจ ความ
โลภ ความโกรธ ความเห็นแกต่ ัว
คำศัพท์ (Vocabulary)
คำศัพท์ คำแปล คำศัพท์ คำแปล
Internal Personality บคุ ลิกภาพภายใน Fixation การชะงกั
Structure โครงสรา้ ง Intelligent Quotient การพฒั นาดา้ นสติปัญญา
Process กระบวนการ Linguistic intelligence ความฉลาดดา้ นภาษา
Content เน้ือหา Logical-Mathematical ความฉลาดดา้ นการคานวณ
Intelligence
Psychoanalytic Theory ทฤษฎีจติ วเิ คราะห์ Spatial Intelligence ความฉลาดดา้ นมิติสมั พนั ธ์
Instinctual Drive พลงั สัญชาตญาณ Bodily-kinesthetic ความฉลาดดา้ นกายภาพ
Intelligence หรือร่างกาย
Libido พลงั เพศ Musical Intelligence ความฉลาดดา้ นดนตรี
Ego-Instincts พลงั คุม้ ครองตนเอง Interpersonal Intelligence ความฉลาดดา้ นทกั ษะ
สังคม
Aggression พลงั ความกา้ วรา้ ว Intrapersonal Intelligence ความฉลาดดา้ นบุคคล
Oral Stage ระยะปาก Naturalist Intelligence ความฉลาดดา้ นธรรมชาติ
Anal Stage ระยะขบั ถา่ ย Emotional Quotient การพฒั นาความฉลาด
ทางอารมณ์
Phallic Stage ระยะเพศ Adversity การพฒั นาความฉลาด
ในการเผชิญหนา้
Latency Stage ข้นั ก่อนวยั รุ่น Moral Quotient การพฒั นาความฉลาด
ดา้ นจริยธรรมและศีลธรรม
Genital Stage ข้นั วยั รุ่น Social Quotient การพฒั นาดา้ นทกั ษะ
ทางสงั คมและการใชช้ ีวิต
ใบงานที่ 1
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3
การพัฒนาบุคลิกภาพภายใน
จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ีใหไ้ ด้ใจความสมบรู ณ์ ถูกต้อง
1. บุคลกิ ภาพภายในหมายถงึ อะไร
2. ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ มีความเช่อื ว่าบุคลกิ ภาพหรือพฤตกิ รรมของมนุษย์มาจากพลงั กี่ชนิด
อะไรบา้ ง
3. จงอธิบายรายละเอียดทฤษฎีแผนภาพจติ ใจ ดังตอ่ ไปน้ี
3.1 จิตสำนึก
3.2 จิตใกล้สำนึก
3.3 จิตไร้สำนึก
4. จงอธิบายรายละเอียดทฤษฎีโครงสร้างทางจิตหรือโครงสร้างบุคลกิ ภาพ ดังต่อไปน้ี
4.1 Id
4.2 Ego
4.3 Superego
5. เบญจศีล หมายถึงอะไร จงอธิบาย
6. เบญจธรรม หมายถงึ อะไร จงอธิบาย
ใบงานที่ 2
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3
การพัฒนาบคุ ลิกภาพภายใน
เรื่องท่ศี ึกษา การพฒั นาบคุ ลิกภาพภายใน
วตั ถุประสงค์ อธิบายหลกั ธรรมทชี่ ่วยในการพัฒนาบคุ ลกิ ภาพภายในได้
คำชี้แจง
1. ใหน้ ักเรียนหาขา่ วท่เี กยี่ วขอ้ งกบั วยั รนุ่ 1 ข่าว ติดลงในกระดาษ เอ 4
2. เขียนรายละเอยี ดทมี่ าของขา่ ววนั เดอื นปี และเหตผุ ลในการเลอื ก
3. สรปุ ขา่ ว และหาสาเหตุของขา่ วท่ีเกิดขนึ้
4. นำคำสอนตามหลกั ธรรมอยา่ งใดอย่างหนึง่ ที่เรยี นมาแกไ้ ขปัญหา โดยอธบิ ายวา่
หากวยั รุ่นในขา่ วนำหลักธรรมมาใช้จะเกิดผลอย่างไร
5. นำผลงานเสนอหนา้ ช้ันเรยี น
6. ครูและเพือ่ น ๆ รว่ มกันประเมินผลงาน
7. นำผลงานสง่ ครู
รายละเอยี ด
ท่ีมาของขา่ ว………………………………………………………………………….
วนั เดือนป…ี ……………………………………………………………………….
เหตผุ ลในการเลือก………………………………………………………………………….………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………………………
สรุปขา่ ว ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
หลักธรรมทน่ี ำมาแก้ไขปัญหาพร้อมเหตุผล…………………………………… ………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ใบงานท่ี 3
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3
การพัฒนาบุคลิกภาพภายใน
ให้นักเรียนโยงเสน้ จบั คคู่ ำศพั ท์ และความหมายต่อไปน้ีให้ถูกต้อง
Internal Personality * *พลงั ความก้าวรา้ ว
Genital Stage * *ความฉลาดดา้ นมติ ิสัมพนั ธ์
Naturalist Intelligence * *ความฉลาดด้านภาษา
Process * *กระบวนการ
Spatial Intelligence * *ความฉลาดดา้ นธรรมชาติ
Linguistic intelligence * *การพัฒนาด้านทักษะ
Social Quotient * ทางสงั คมและการใชช้ ีวิต
*ขั้นวัยรุ่น
Aggression * *บคุ ลิกภาพภายใน