สุนทรยี ะคำผวน :
เพศ พฤตกิ รรมการสมสู่ การสรา้ งคำใหม่และการสื่อสาร
Aesthetic of Spoonerism : sex, behavior of
sexual intercourse, word formation and
communication
พระปลัดระพิน พทุ ธิสาโร
ภาควชิ ารัฐศาสตร์ คณะสงั คมศาสตร์
Email [email protected]
บทคัดย่อ
บทความวิชาการนี้เขียนขึ้นเพื่อศึกษาพัฒนาการของคำผวน ตามความสนใจท่ี
เกิดข้นึ ในสภาพจรงิ ท่ีหน่วยงาน และนำมาคิดขยายความ ใชก้ ารศึกษาจากเอกสาร งานวิจัย
และการสงั เกตพูดคุยกบั ผู้ท่ถี นัดเรอ่ื งคำผวนในสำนกั งาน
ผลการศกึ ษาพลวา่ คำผวน การประดษิ ฐส์ รา้ งคำใหม่ขน้ึ มามีนัยยะเพ่อื การสร้างคำ
ใหม่ขึ้นมา เพื่อการสื่อสาร เพื่อการบันเทิงและความสนุกสนานสุนทรียะผ่านภาษานั้น ๆ
โดยสงิ่ ทพ่ี บคำผวน เปน็ พฒั นาการทางภาษา ทีส่ ะท้อนถึงวถิ วี ฒั นธรรม และบุคลกิ ภาพของ
คนในชาตทิ ่สี ะท้อนผ่านภาษวา่ มีความสนุกสนาน มคี วามคิดสร้างสรรค์ และในเวลาเดียวกนั
สะท้อนตัวตนในเชงิ แหง่ ความเป็นรัฐชาตดิ ้วย โดยลกั ษณะคำผวนทีพ่ บและค้นควา้ ไดข้ ้อสรปุ
คอื ทำใหเ้ กดิ คำใหม่จากคำเดมิ สามารถใช้เปน็ กลทางภาษา หลกี เลีย่ งการใชค้ ำไมส่ ุภาพให้
สุภาพได้ ทำให้เกิดคำคล้องจองจากการเล่นคำ และยังใช้สร้างอารมณ์ขันรวมท้ังความ
บันเทิงทางภาษาด้วย
คำสำคัญ : สนุ ทรยี ะคำผวน, เพศ พฤตกิ รรมการสมส,ู่ การสอื่ สาร
Abstract
This academic article was written to study the development of
volatility. According to the actual interest occurred by the department And
bring to think more Use the study from research papers and observation to
talk to those who are good about volatility in the office.
The results of the study are that the invention of the new word has a
meaning to create a new word. For communication For entertainment and
fun, aesthetic, through that language. Is a language development Which
reflects the culture And the personality of the people in the nation that is
reflected through the language of having fun Creative And at the same time
reflecting the identity of a nation state as well The characteristic of the
volcanic found and concluded that Make new words from the original words
Can be used as a language trick Avoid using impolite words to be polite. Make
rhyme from playing words And also used to create humor as well as language
entertainment as well
Keywords : Aesthetics of Phuan, Gender Behavior to Enrichment,Communication
1.บทนำ
เรื่องเล่ากึ่งบทความนี้เกิดขึ้นเมื่อข้าพเจ้าต้องไปทำงานในสำนักงานแห่งหนึ่งใน
ฐานะคนใหม่ (1 มิถุนายน 2557) ก็ต้องปรับตัว ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ใหมแ่ ละงาน
ใหม่ และสมาชิกรว่ มงานใหม่ โดยสภาพแวดลอ้ มของการทำงานก็ต้องเจอคน และสงิ่ หนึง่ ท่ี
ข้าพเจ้าพบประจำ คือเพื่อนร่วมงานของข้าพเจา้ จะเป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาไทยระดับสร้าง
นวัตกรรมทางภาษาได้ในทุก ๆ วัน บางวันก็ขำ บางวันก็แกล้งขำ ซึ่งมุมหน่ึงเหมอื นเป็น
เสน่ห์ทางภาษาที่สามารถสรา้ งคำไดอ้ ย่างลงตัวและสื่ออกมาเป็นความหมายใหม่ มุมหน่ึง
เปน็ ปฏิภาณของผสู้ ร้างวา่ เชี่ยวชาญฉลาดฉับไว ท่ีสรรสร้างผา่ นคำได้ตลอดเวลา และมมุ หนง่ึ
เป็นความฝกั ใฝ่ที่ฉาบทาย้อมจิตอยูก่ ับเรือ่ งเฉพาะทางจนกระทั่ง “หมกมุ่น” แต่สาระของ
การเขียนบทความนี้ ต้องการมอง “คำผวน” เพือ่ เชื่อมไปให้ถึงศาสตร์ของคำผวน ที่เป็น
ศาสตร์คู่กับภาษา ทั้งอาจใช้คำวา่ สุนทรียะแปลว่ามีความงดงามในการสลบั กลบั หน้ากลับ
หลังให้เป็นภาษาท่ีสวยงามในตัวเอง หรือไม่ก็เป็นพื้นจติ ของผู้สร้างให้เกิดคำถอยหน้าถอย
หลงั จนเปน็ ศาสตร์ทางภาษาทลี่ งตวั อาจเป็นได้ท้ัง “ตลก” สนุก การส่ือสาร สือ่ ความ และ
“สุนทรียะ” เพลิดเพลนบันเทิงใจไปเป็นคราว ๆ ที่ได้เสริมอรรถรสของการสนทนา แต่
สำหรบั คนไมช่ อบอาจเป็นพฤตกิ รรมไมร่ ู้จกั กาล “ทะลึ่ง” ไปจนถงึ “ลามก-อนาจาร”หรือ
ลามไปถึง “อัปรีย์-จัญไร” กม็ ี คงเปน็ เรอื่ งมุมมองและความพึงใจ แตส่ าระตอ้ งการสะท้อน
พัฒนาการทางประวัตศิ าสตร์ สังคมและเง่ือนทางภาษา แนวคดิ พรอ้ มทัง้ มงุ่ ทไ่ี ปศาสตร์ของ
การผวนเพื่อสะท้อนผลและพฤติกรรมเชงิ ประจักษ์ และการได้มาซึ่งภาษาอย่างวจิ ิตรและ
งดงามในแบบภาษาแห่งศาสตร์อย่างที่ปรากฏ (ตามใจ อวิรุทธิโยธิน,2557) ดังนั้นใน
บทความน้ีจะไดน้ ำส่งิ ทเ่ี รียกว่าคำผวน องค์ความรใู้ นฐานะทเี่ ปน็ ศาสตร์ท่มี ผี ูร้ ู้ได้ศึกษาไว้มา
แบ่งเป็นการสะทอ้ นคดิ ผา่ นสง่ิ ทข่ี า้ พเจา้ ผู้เขยี นพบและสมั ผสั ในท่ที ำงานในฐานะสมาชิกใหม่
ขององค์กรแห่งน้ตี ามลำดบั ไป
2.นัยยะ ความหมาย และพฒั นาการของคำผวน
ในพจนานุกรมให้ความหมายของ 'คำผวน' หมายถึง น. คำที่พดู ทวนกลบั ได้ เช่น
ตกทีอ่ ฐิ ผวนเป็น ติดท่ีอก คำผวน เป็นวิธกี ารสลับคำ โดยใช้สระและ ตวั สะกดของพยางค์
หน้าและพยางค์สุดท้าย มาสลับกัน ทำให้เกิดคำใหม่ที่อาจมีความหมายใหม่ หรือไม่มี
ความหมายกไ็ ด้ แต่การออกเสียงนัน้ จะคลอ้ งจองกบั รูปเดิม ทำให้ส่ือความหมายกันได้ คำ
ผวนนั้นนิยมใช้กับคำสองหรอื สามพยางค์เป็นส่วนใหญ่ เพราะสามารถสลบั ตำแหน่งได้ง่าย
คำพยางค์เดียวนั้นไม่สามารถผวนได้ ส่วนคำหลายพยางค์ อาจต้องแยกเป็นส่วนๆ ไม่
สามารถสลับตำแหน่งอย่างคำน้อยพยางค์ วิธีการสร้างคำผวน เรียกว่า "ผวน" หรือ "การ
ผวนคำ" ดงั น้ันคำผวนจึงเป็นวฒั นธรรมทางภาษา หรอื พฒั นาการทางภาษากไ็ ด้ ดังปรากฏ
ในงานเรอื่ ง คำผวน : อีกรปู แบบหนง่ึ ของการใชภ้ าษาไทยและ คำผวนกม็ ที ่ียูนนาน (สนทิ
บุญฤทธ์ิ,2015) ที่เสนอว่า "...คำผวนจึงมีความหมายถึงคำ หรือกลุ่มคำที่สบั เสียงสระ และ
หรอื สับท้งั เสยี งสระและตัวสะกดกนั การสบั เสียงดังกล่าวอาจเกดิ ขึ้นได้ทัง้ โดยที่ไม่ได้ต้ังใจ
และโดยตั้งใจ คำที่เกิดขึ้นใหม่จากการสับเสียงลักษณะดังกล่าว อาจจะมีทั้งที่ไม่ได้
ความหมาย หรอื ได้ความหมายทีต่ า่ งไปจากเดิมก็ได.้ .." (สนิท บญุ ฤทธิ์ 2015) นอกจากนี้ใน
งานวิจัยเล่มเดียวกันยังสะท้อนคิดลักษณะเด่นของคำผวนที่ว่า “คำผวนมีคุณค่าถึง 5
ประการเป็นอย่างน้อย ทงั้ ทำใหเ้ กิดคำใหม่ สามารถใชเ้ ป็นกลทางภาษา เลยี่ งคำไมส่ ภุ าพให้
สุภาพ เอื้อต่อการคล้องจองคำ และยังใช้สร้างอารมณ์ขันรวมทั้งความบันเทิงทางภาษา”
ดังน้ันในเมอื่ ภาษาไทยนอ้ ยสวุ รรณภมู มิ คี ำผวนได้ ภาษาในตระกลู ไทกลุ่มอื่นก็นา่ จะมีคำผวน
ได้ด้วย ดังนั้นวรรณคดีของไทยก็มีพูดถึงเรื่องเพศสัมพันธ์ในบทอัศจรรย์เป็นเรื่องปกติ
ธรรมดา ซ่งึ คือการบอกให้รถู้ ึงเพศสมั พนั ธโ์ ดยทางอ้อม ถ้าเราดวู รรณกรรมชาวบ้านเราก็จะ
พบว่าเพลงพื้นบ้านทั้งหลายส่วนใหญ่คือ คำปฏิพากย์ คือการโต้ตอบระหว่างหญิง –ชาย
และคำโตต้ อบระหวา่ งหญิง –ชายนนั้ สว่ นใหญก่ เ็ กย่ี วข้องกบั เรอ่ื งเพศสัมพันธ์ (นิธิ เอียวศรี
วงศ์, 2545;ภรณั ยู ข้ำนำ้ คู้,สุกญั ญา สมไพบลู ย,์ 2562, 46-58)
3.คำผวนมีกำเนิดมาแตเ่ มื่อไหร่ ? พีงรู้ และควรรู้
ภาษาคงมีอยูค่ ู่มนุษย์แต่ไหนแต่ไร แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า แล้วมันเกิดมาตัง้ แตต่ อนไหน
เกิดมาพร้อมกับใคร และในเกิดเกิดขึ้นมาอย่างไร จึงทำให้เกิดคำผวน คงเป็นเรื่องของ
เทคนิคการสื่อสาร หรือการสื่อสารเพื่อให้ได้คำผวน ก็ต้องย้อนกลับไปว่าสังคมอื่น หรือ
ประเทศอ่ืนมีคำผวนไหม กต็ ้องตอบว่าคงมี หรอื มี เพียงแต่ความเข้มข้นในการนำมาสื่อสาร
หรือเป็นศาสตร์แห่งความสนุกเหมือนสังคมไทยหรือไม่นั่นตรงนี้ไม่แน่ใจ อย่างกรณีใน
สงั คมไทยเรา สรรพลี้หวน (อา่ นวา่ สบั -ล้ี-หวน) เป็นวรรณกรรมทอ้ งถน่ิ ทางภาคใต้ (จงั หวัด
นครศรีธรรมราช) ที่ผสมไปด้วยการแปลงเปลี่ยนของคำเพื่อความบันเทิงเป็นหลัก ซึ่งไม่
ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นผู้ประพันธ์ สันนิษฐานกันว่าคงจะเป็นปลายสมัยกรุงศรี
อยุธยา (ระหว่าง พ.ศ.1893-2310) ลักษณะการประพันธ์ เป็นแบบ นิทานคำ
กลอน หรอื กลอนสภุ าพหรอื กลอนแปดตามขนบนยิ ม เนือ้ หาเป็นคำผวนเกีย่ วกับเร่ืองเพศ
และอวัยวะเพศ มีเนื้อหาชวนให้ขบขนั มากกว่ากอ่ ให้เกิดอารมณ์ทางเพศ มีความยาว 197
บท เน้อื หายงั ไม่จบสมบรู ณ์
สรรพล้หี วนสำนวนเกา่ พมิ พ์เผยแพรค่ ร้งั แรกเม่อื 15 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2516 โดยขุน
พรหมโลก (นามแฝง) ซึ่งผู้พมิ พใ์ หค้ วามเหน็ ไว้วา่ ผ้แู ตง่ อาจเป็นชาวนครศรธี รรมราช แตง่ ข้ึน
ประมาณ พ.ศ. 2425 - 2439 ต่อมามผี ้แู ต่งเลียนแบบข้นึ อกี หลายสำนวน ในหอพระสมุดเอง
มหี นังสือเรื่องหน่ึงช่ือ "ศัพท์ล้หี วน" ซึง่ มีลกั ษณะใกล้เคียงกัน
• เป็นแหลง่ รวบรวมศพั ท์ภาษาไทยถน่ิ ใต้
• เปน็ ต้นแบบวรรณกรรมอื่นไดแ้ ก่ สรรพลหี้ วนสำนวนยะลา สรรพลห้ี วน'75 สรรพล้ี
หวนสำนวนใหม่ สรรพล้อดว้ น
• มีลักษณะใกล้เคยี งกบั บทหนงั ตะลุงร่วมสมยั อาจเคยใช้เล่นหนงั ตะลุงมาบา้ งแล้วก็ได้
หากเอาแนวคดิ ในเร่อื งคำผวนมาอธบิ ายอาจบอกไดว้ ่า คนไทยขี้เล่น สนกุ สนาน เน้น
การบันเทิงคดี ดงั จะเห็นไดจ้ ากพฤตกรรมด้านสุนทรีทางอาชีพ ผา่ นเพลง การแสดง ที่ผสม
รวมกับอาชีพ เชน่ เพลงขอทาน หมอลำแลกขา้ ว หรือเพลงเก่ียวข้าว เหล่าน้ีน่าจะสะทอ้ นได้
ว่าเป็นพฤติกรรมและการกระทำท่สี ัมพันธ์กบั
มีเกรด็ ประวตั ศิ าสตร์ชว่ งตน้ รตั นโกสนิ ทร์ เล่าไวต้ อนหน่ึง ประมาณว่า... “สนุ ทรภู่” (
พ.ศ. 2329-2398) ถกู สบประมาทจากศิษย์ (บางแหง่ ระบุนายนรินทร์ธิเบศร์ (อิน) ได้ตำหนิ
สนุ ทรภวู่ ่า แตง่ ได้แต่กลอน แตง่ โคลงไม่เปน็ “สุนทรภู่” เลยตอบไปเปน็ “โคลงสส่ี ุภาพ” คำ
ผวน วา่
ตาราง 1 โคลงสี่สภุ าพ” คำผวน ของ “สนุ ทรภู่”
คำผวน ผวนกลับ
เฉนง็ ไอมาเวง้ิ เว่า วู่กา ไฉนเอง็ มาเว่าเวงิ้ ว่ากู
รูกับกาวเมงิ แตย่ า มไู่ ร้
ราวกับกมู าแต่เยิง(ปา่ ) ไมร่ ู้
ปดิ เซ็นจะมซู ่า เคราทู่ เปน็ ศษิ ย์อยา่ มาสู้ ครเู ฒ่า
เฉะแต่จะตอบให้ ชพี ม้วย มังระนอ ชอบแต่จะเตะให้ ชีพมว้ ย มรนัง
นัยยะของสุนทรภู่เป็นการแก้ต่างให้ตัวเองว่าเป็นผู้มีความสามารถในการแต่ง
“โคลงส่ีสุภาพ”ได้ และยังแสดงภูมิปญั ญาดว้ ยอกี ว่ามคี วามสามารถชนิดที่แต่งเป็นคำผวน
ในเชงิ ทา้ ทาย เชน่
อา้ ยเจา้ ชลู้ อมปอมกระหม่อมบาง ลอยชายหางเที่ยวเกยี้ วหมา
ชิชะแป้งจันทรน์ ำ้ มันทา หย่งหนา้ สองแคมเหมอื นหางเปีย
หมามันจะเกดิ ชงิ หมาเกิด มงึ ไปตายเสยี เถิดอ้ายหา้ เบ้ีย
หน้าตาเชน่ นีจ้ ะมเี มีย อ้ายมะม่วงหมาเลียไมเ่ จียมใจ
จากเสภาขุนช้างขุนแผนตอนขุนช้างไปสูข่ อนางพิมฯ รอบท่ี 2 แล้วเจอนางพมิ ฯ ดา่
กลับ
ในนริ าศสพุ รรณสุนทรภกู่ ็ใช้การผวนคำเพอ่ื สอ่ื ความ
ลดุ นชนบทบา้ น ขนมจนี
โรงเจก๊ ตงั้ รมิ ตนี ท่าน้ำ
นั่งนบั ทรัพส่งิ สนี สยายเผา้ เลา่ แฮ
เมียช่างสางสลวยล้ำ สลบั พู่หูหนาง (หางหนู)
(ดำรงราชานุภาพ, สมเดจ็ กรมพระยา,2550)
จากขอ้ มลู ก็ยนื ยนั ได้ว่าสุนทรภู่ใช้ “คำผวน” ในการสือ่ สาร สรา้ งคำ ใช้คำแทนคำ
เพ่อื ให้ไดค้ วามใหม่ขน้ึ มาพร้อมยืนยันความสำคัญนั้น หรือวรรณกรรมของศรปี ราชญ์ ก็ได้
ใชค้ ำผวนมาเปน็ การสรา้ งคำในวรรณกรรมด้วย
เป ทะลอู ยถู่ ำ้ มถี ม
แป สะหมูอยู่ตาม ไตไ่ ม้
มา แดงแกว่งหางงาม หาคู่
นา ปลำ้ นำ้ จิ้มให้ รสล้ิมชมิ บอล
— ศรปี ราชญ์ กวีเอกสมัยพระนารายณ์
(กรเพชร เพชรรุ่ง,2017)
ดงั น้ันหากดู “คำผวน” เปน็ เทคนคิ เปน็ รปู แบบทางภาษาทใ่ี ช้ในการสรา้ งคำ สร้าง
บรรยากาศทางการสอื่ สารอกี แบบหนงึ่ ทีอ่ าจเป็นทง้ั การฝกึ เชาว์ปญั ญา ฝกึ การใช้ภาษาไทย
ใหล้ ุ่มลกึ รวมไปถงึ ฝกึ ทักษะการใช้ภาษาท่เี หมาะสมและมีความเป็นไปได้ เป็นการสร้างคำ
ใหม่ หรือสอ่ื สารที่อาจเป็น “เทคนคิ ” หรอื การใชภ้ าษาในฐานะทเ่ี ป็นกระบวนการของการ
ส่อื สารที่ก่อให้เกิดการสรา้ งคำใหม่ ความหมายใหม่ และรูปแบบการสือ่ สาร
แม้แต่ศิลปินรุ่นใหม่ก็ใช้เทคนิคการผวนคำเพื่อสร้างความหมายใหม่ หรือเพ่อื การ
สื่อสาร หรือเทคนิคทางการสื่อสารให้เกดิ ความเร้าใจ เช่น ผลงานเพลงของนักเพลงเพอื่
ชีวิตอย่าง เทียรี่ เมฆวัฒนา แห่งวงคาราบาว “สาวดอยสอยดาว” สมตากลาว [สาวตา
กลม] หรือโปงลางสะออนก็ใช้มีการผวนคำเพ่ือความบันเทิงในเพลง “เรอทกั รักเธอ” เปน็
ต้น ดังนั้นหากดูคำ การสื่อสารความแล้ว ยังเป็นการสร้างบรรยากาศในเชิงบันเทิงคดี ใน
รปู แบบทางภาษาทมี่ เี ป้าหมายเพอ่ื การสื่อสารสาธารณะและเปา้ หมายของการจัดวางตัวตน
ในทางภาษาและการสือ่ ความ
คำผวนเป็นการสร้างคำใหม่ คำผวน มีจุดมุ่งหมายเพื่อนำมาใช้เล่นกันเพื่อความ
สนุกสนานและประลองเชาว์ปัญญาทางภาษา และเป็นการแสดงความสามารถเชิงภาษา
ด้วย ซึง่ เป็นคำผวนประเภทคำผวนสภุ าพ สว่ นคำผวนหยาบเปน็ การเล่นเลยเถดิ คกึ คะนอง
ไปตามประสาคนคะนอง ทะลึ่งทะเล้น เราก็ต้องระมัดระวังอย่านำไปใช้เล่นจนเกิดความ
เสยี หาย
4.หลกั ของการผวนคำ
การผวนคำเปน็ ลกั ษณะทางภาษาที่สะท้อนถึงความร่ำรวย และเสน่หท์ างภาษาที่
เกิดขึน้ ในภาษา
1.คำผวนเปน็ การเล่นทางภาษาอย่างหนึง่ ในภาษาไทย ที่ใช้วิธีการผวนคำ หรือสลบั
ตำแหนง่ เสียงสระและพยญั ชนะทา้ ย วธิ ผี วนคำก็คอื การสลับพยัญชนะคำสุดท้ายมาไวใ้ นคำ
แรกโดยใชต้ วั สะกดเหมือนเดิม สว่ นใหญ่จะผวนคำทม่ี ีสองพยางค์ แตห่ ากมี 3-4 พยางค์ ก็
มักจะผวนเฉพาะคำแรกกับคำสุดท้าย เช่น สุรา - ซา-หรุ ถ้วยกาแฟ - แถ้
กาฟวย รถสามล้อถีบ - รีบสามล้อถด เป็นต้น แต่ไม่นิยมผวนคำที่มีพยัญชนะเดียวกนั
หรอื สระและตัวสะกดเหมอื นกัน เช่น มอื ถอื นำ้ คำ
2.การสลบั ตำแหน่งทีส่ มบูรณ์จะเกดิ ขึ้นกับคำสองพยางค์ เช่น ดำเนนิ - เดนิ นำ ใน
ท่ีนี้ พยญั ชนะต้นของทั้งสองพยางคย์ งั คงตำแหนง่ เดมิ แต่สลับเสียงสระ (พรอ้ มตัวสะกด) คือ
สลับ ระหวา่ ง สระ "อำ" กับสระ "เอนิ "
3.ในคำ 3 พยางค์ การผวนจะยงุ่ ยาก จึงอาจเลอื กท่จี ะผวนเฉพาะบางคูข่ องพยางค์
เช่น สวัสดี (สะ-หวัด-ดี) มักเลือกผวนเฉพาะ พยางค์ที่สองและสาม คือ หวัด (สระ "อะ"
เสยี งเอก+ตัวสะกด "กด") -ดี (สระ "อี" เสยี งสามญั ตวั สะกดไม่มี) -> วี (สระ "อี" เสียงสามญั
ตัวสะกดไม่ม)ี - ดัด (สระ "อะ" เสยี งเอก + ตวั สะกด "กด")
4.คำ 4 พยางค์ขึน้ ไป ถึงแม้ไม่นิยมกนั มากนกั แต่กย็ ังมีคำทใี่ ชผ้ วนได้ โดยนำพยางค์
แรกกบั พยางค์สุดทา้ ยมาผวนกัน สว่ น 2 พยางค์ตรงกลางยงั อยู่คงเดมิ เช่น หมายเลขไอพี -
หมเี ลขไอพาย
คำผวนนั้น มุ่งเอาเสียงเป็นสำคัญ ไม่คำนึงถึงความถูกต้องในเรื่องตัวสะกดการันต์
เป็นการสื่อเพือ่ ให้ผวนกลับหาคำเดิม เช่น ลากโมบ - โลภมาก สามงาว - สาวงาม ฟัน
แช่ - แฟช่นั เปน็ ตน้
คำผวนนั้น เมือ่ ผวนแล้วปรากฏได้ 3 ลักษณะ คือ
1. ไม่มีความหมายเลย เช่น ไฉนเอง - เฉนงไอ วักทะเล - เวทะลัก ใส่บาตร -
สาดใบ่ ฝนสาด – ฝาดสน
2. มคี วามหมายบางพยางค์ เช่น บนั ได - ไบดนั มองดู - มูดอง สีดำ - สำดี
3. มีความหมายทกุ พยางค์ เช่น ปูดอง - ปองดู สแี ดง - แสงดี บ่ายคลอ้ ย - บ่อย
คลา้ ย
ในการผวนคำขอ้ ระมัดระวงั ไม่ใหเ้ กิดคำผวนหยาบ คอื หลกี เลยี่ งพยญั ชนะและสระ
ทีเ่ ขา้ คกู่ นั ไดแ้ ก่
พยญั ชนะ ห ด ค ข ต ย (หรอื มเี สยี งพยญั ชนะเหมอื นกัน)
สระ เอะ + ด สะกด แอ + ด สะกด อวั + ย สะกด อี ออ อำ ไอ
คำผวนเป็นการเล่นเสียงเพ่ือความสนุกสนาน บางคนนิยมใช้ผวนคำหยาบเรือ่ งเพศ
เป็นการเลี่ยงทจี่ ะเอ่ยถงึ คำหยาบนัน้ ตรง ๆ หรอื ผวนคำเป็นปริศนา ซง่ึ นิยมกันมากในปริศนา
คำกลอนที่เรียกว่า ผะหมี นอกจากนี้ ยังมีนักเขยี นจำนวนไม่น้อย ใช้การผวนชื่อจรงิ เพื่อ
นำมาใชเ้ ป็นนามปากกา
5.พฤตกิ รรมคำผวนในเชิงสังคม
คำผวนเป็นการใช้เสยี งเป็นสำคัญ โดยมีเป้าหมายเป็นไปเพื่อการสื่อสารเป็นสำคัญ
ในความหมายน้จี ะเปน็ วฒั นธรรมทางภาษาของเดก็ รนุ่ ใหม่ ผา่ นกระบวนการในการสร้างคำ
สร้างคำนิยามทางภาษารวมไปถึงการสร้างนวตั ิกรรมทางภาษารว่ มกับคนอื่นและชมุ ชนอน่ื
เพื่อให้เกิดนวัตกรรมทางภาษาและนำมาใช้ในการสื่อสาร ซึ่งสามารถจำแนกลักษณะ
บางส่วนของการผวนคำในเชิงลักษณะ กลุม่ ผใู้ ชใ้ นเชิงสังคมได้ ดงั ปรากฏตามตาราง 2
ตาราง 2 เทยี บลกั ษณะคำผวนทใ่ี ช้และกล่มุ ผ้ใู ช้
กลุม่ ผใู้ ช้ คำผวนและลักษณะท่ีใช้ เปา้ หมายการสอ่ื
พฤตกิ รรม เหี้-ย นะ หน่วง - ห่วงนะเนยี่ การสื่อสารด้วย
วัยรุ่น ผกั มยั๊ ถา้ จะรดิ - ผิดม๊ยั ท่จี ะรัก ภาษาที่ถูกสร้างคำ
ฮกั คนบอกหรา - หาคนบอกรัก ขึ้นมาเพื่อสื่อสาร
เจอทกั แลว้ เผลอเรอ - เจอ เธอแลว้ ส ื ่ อ ค ว า ม ท่ี
เผลอรกั สะท้อนความจริง
ไขเบอไดม้ อ้ - ขอเบอร์ได้ม๊ัย ในเชงิ พฤติกรรม
เจอนมี้ ีแต่ไท - ใจนีม้ แี ตเ่ ธอ
เออรกั แถบ=แอบรกั เธอ
ทั่วไป • อะหรด่ี อย = อร่อยดี เป็นกลางที่ใช้ได้
• สะ-หว่ี-ดัด(เสียงสามัญ) = ทุกสถานการณ์
สวสั ดี และกลุม่ เปา้ หมาย
• ก้างไหย่ (กา้ งใหญ)่ = ไกย่ ่าง
นามปากกา ชือ่ • โต้ ชีริก (ต๊กิ ชโี ร่) เป็นการสร้างภาพ
คน • คิดลกึ (คกึ ฤทธิ์ ปราโมช) จำตามรปู แบบการ
• นมอุโดต้ (โนต้ อดุ ม) เขียน/สื่อ และปิด
• ซ่าอมรมณ์ (ส้ม อมรา) พรางผ้เู ขียน
• ตูน บริบ๊กั (ตั๊ก บรบิ รู ณ์)
• จวู นิ ยอน (จอห์น วญิ ญู)
สื่อความ สอง • ส่ีหาย การสื่อสารที่เน้น
แง่งาม บันเทงิ • หา้ อ๋ี (หีอา้ ) ความสนุกสนาน
• หกสกกระป๋ี (หสี กปรก) ตามกลุม่ เป้าหมาย
• เจ็ดยับ (จบั เย็ด) ตลกขบขัน จน
• แปดเตา่ (เปา่ แตด) หยาบโลน
• เกา้ กระดอด (กอดกระเดา้ )
จากตารางสะท้อนให้เห็นได้ว่า พฤติกรรมทางภาษาได้สะท้อนให้เห็นถึงความ
หลากหลายที่เกดิ จากการผวนคำของภาษา ซ่ึงอาจจำแนกพฤติกรรมได้ คือ
1.พฤติกรรมทางภาษา แปลว่าภาษาถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร
สาธารณะร่วมกับภาษาหลักและการใช้ภาษาคำผวนเป็นเครื่องมือสือ่ สาร ดังที่สุนทรภู่ใช้
ภาษาเป็นเครื่องมือในการกระทบกระเทียบ ผ่านพฤตกิ รรมลกั ษณะเฉพาะท่ีเป็นบคุ คลท่มี ี
ความสามารถดา้ นการใชภ้ าษาอยูแ่ ล้ว
2. พฤติกรรมของสังคมผ่านภาษา หมายถึง คนในสังคมมีลักษณะของภาษาที่ดู
เป็นเล่นเป็นหัว เพราะคำผวนในสมัยเดิม อาจใช้เป็นเครื่องมือสื่อนัย แต่ในปัจจุบัน เป็น
ชอ่ งทางในการสนุกสนาน จงึ ทำใหเ้ ห็นว่าสงั คมสะท้อนบริบทของการเปล่ยี นผา่ น ดังปรากฏ
วรรณกรรม สรรพลห้ี วน (เพชร พุมเรียง,2545) ทีน่ ัยหน่ึงเป็นการใช้ภาษาเพอื่ สือ่ บริบททาง
สังคม หรืออาจเป็นวรรณกรรมทางสังคม หรือพฤติกรรมทางสังคมร่วมสมัยที่คำผวนมี
พลวัฒน์ ช่วงเวลาหนึ่งภาพยนตร์ เรื่อง ผีกระซากหัว หรือหนังสือ “รัดทะทำมะนวยหวั
คาด” (วาทตะวัน สุพรรณเภษัช,2550)
3. พฤติกรรมผ่านภาษาสู่การกระทำ หมายถึง การใช้คำเล่น ในภาษาอังกฤษ
ภาษาจีน ภาษาอื่น ๆ หรือภาษาในโลก มีทั้งหมด ดังปรากฏข้อมูลว่า ในปี ค.ศ.1813
จักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศส (Napoleon,ค.ศ.1804-1814/2347-2357) ทรงสละบลั
ลังค์ เพราะได้รับการต่อต้านจากฝรัง่ เศส ใน ค.ศ.1814/2357 สมั พันธมิตรเข้าบุกยึดปารีส
ทำสนธิสัญญาฟองแตงโบล (Fontainebleua) และเนรเทศนโปเลียนไปอยู่เกาะเอลบา
(Elba) ในอิตาลี และหากตีความว่าการใช้การผวนคำของนโปเลียน ในคราวท่ถี ูกนำไปคุมขัง
ที่เกาะ Elba ขณะที่อยู่ด้วยความชอบเล่นคำผวน ก็นั่งผวนเชื่อเกาะจาก Elba เป็น Able
และเป็นที่มาของประโยคว่า "Able was I ere I saw Elba" [หมายถึงว่า Napoleon was
able before he was imprisoned on Elba] แลว้ ใช้คำวา่ Able สรา้ งกำลงั ใจใจ หรอื ผนั
แล้วก่อให้เกิดความเพลินเจริญใจ พาลินโดรม (Palindrome) หนีออกจากการคุมขัง
เดินทางถึงกรุงปารีสอย่างง่ายดาย ช่วงเวลา"คืนสู่อำนาจเป็นเวลาร้อยวัน" เริ่มต้นขึ้น เปน็
ผู้นำของกองทัพ แต่ความล้มเหลวก็เกิดขึ้นซ้ำอีก กองทัพของเขาพ่ายการรบกับอังกฤษ
และปรสั เซียที่ยทุ ธการวอเตอร์ลู ในเบลเยียม เมอ่ื วันท่ี 18 มิถุนายน ค.ศ.1815/2358 จอม
พลกรูชี (Laurent de Gouvion Saint-Cyr, ค.ศ.1764 –1830/2307-2373) ไม่สามารถ
ต้านทานกองทัพร่วมระหว่างอังกฤษและปรัสเซียได้ เนื่องจากเป็นทัพหลวงที่ยกมา
จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จึงถูกจองจำอีกครั้ง และถูกอังกฤษส่งตัวไปยังเกาะเซนต์
เฮเลนา (Saint Helena) พร้อมกับนายทหารที่ยังจงรักภักดี และใช้ชีวิตวาระสุดท้ายบน
เกาะแห่งนี้ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ.1821/2364 พร้อมทิ้ง "จดหมายเหตุเกาะเซนต์
เฮเลนา" พินัยกรรมชีวิตไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างที่ปรากฏในปัจจุบัน
(Godechot, Jacques; et al,1971;Grab, Alexander,2003)
6.คำผวนกบั สนุ ทรยี ะดา้ นอารมณ์
1.สุนทรียะด้านอารมณ์ ในหลาย ๆ ครั้งผู้เขียนสังเกตการสร้างคำผวน ทำให้รู้
แปลว่าคนผวนกร็ ูส้ กึ สนกุ คนทไี่ ดย้ นิ คำผวนกส็ นุกไปด้วย แปลวา่ อารมณ์ของการส่ือสารได้
กลายเป็นช่องทางในการสื่อสารร่วมกันและในเวลาเดียวกันในการสื่อสารนีก้ ่อให้เกิดการ
ขับเคลื่อนเป็นพลังทางบวกในการสื่อสารตัวอื่นร่วมกัน “สรรพลี้หวน นำเสนอเรื่องเพศ
โดยนยั ” ดังประโยคเปิดทวี่ า่ นครงั ยงั มเี ทา่ ผีแหน กวา้ งยาวแสนหน่ึงคืบสบื ยศถา เมืองห้าง
กวีรีหับระยับตา พันหญ้าคาปูรากเป็นฉากบัง (ชุติพงศ์ ปะทาเส,2564;ศิริพร
ศรีวรกานต์,2546,136-161) หมายถึงการสื่อความโดยมีนัยแฝงในลักษณะของการสื่อสาร
เพอื่ ประสงคต์ อ่ เร่ืองเพศทนี่ ยั ยะของการสือ่ สารทางเพศผา่ นการคดิ ทเ่ี ป็นไดท้ ั้งสนุ ทรียะทาง
กามารมณ์และเปน็ การเร้าให้เกิดความสนกุ หรือสะทอ้ นข้อเทจ็ จริงทางอารมณท์ าง “กาม”
นอกจากน้ีผศู้ กึ ษาทา่ นเดยี วกนั น้ยี งั วเิ คราะห์อธบิ ายเสรมิ ว่า “สรรพล้หี วนใช้คำผวนเพอื่ ซ่อน
เรื่องเพศและการร่วมประเวณี เมื่อผูอ้ ่านสามารถถอดรหสั คำผวนได้ เรื่องราวทางเพศก็ถูก
เปิดเผย” (ศิรพิ ร ศรีวรกานต์, 2546,136-161) นัยของการซ่อนเพื่อสื่อสารจงึ มีความหมาย
เป็นการสื่อสารเรื่องเพศเพื่อความเป็นเพศ เพียงแต่มีนัยยะของการสะท้อนความจริงอีก
ชั้นหน่ึง
ภาพที่ 1 วรรณกรรมปกั ษ์ใต้ ทส่ี ะท้อนถงึ การใช้คำผวนมาเปน็ เคร่อื งมอื ในการส่อื สารและ
สรา้ งวรรณกรรมทางภาษาพื้นถิน่ (เพชร พมุ เรยี ง,2545)
2. สุนทรยี ะด้านภาษา หมายถึง ภาษาในตัวของมนั เองสามารถผวนได้ และผวนให้
เป็นศาสตร์แห่งการผวน เป็นทั้งความรู้ และการละเล่น มีหลักฐานว่าการผวนคำจัดเป็น
การละเลน่ อยา่ งหนง่ึ ท่มี ปี ระวตั คิ วามเป็นมายาวนาน และถูกใชเ้ ปน็ เครอ่ื งมอื ในการส่งเสริม
การเรยี นการสอนประเภทหนึง่ ดงั ปรากฏในงานวิจยั ของวภิ า ศริ สิ วสั ดิ (2556) ท่ใี หข้ ้อมูลวา่
“การทายปริศนาของไทยนิยมเลน่ กนั มากในสมัยกรุงรัตนโกสนิ ทร์ เช่นใน
งานวดั งานศพ และในเวลาวา่ ง เปน็ การเลน่ ในหม่ญู าตมิ ิตร การเผยแพรป่ รศิ นาคำ
ทายในชว่ งแรกเป็นการถ่ายทอดทางวาจา เมือ่ มกี ารพมิ พเ์ กิดขนึ้ ในประเทศไทย จึง
ทำให้ปรศิ นาคำทายแพร่หลายในหม่ปู ระชาชนมากขึ้น ในรปู ของสิง่ พมิ พ์ ปัจจบุ ันนี้
มีการนำปริศนาคำทายไปเล่นในโอกาสต่างๆเปน็ จำนวนมาก เช่นในหนังสือพิมพ์
ในหนังสอื อ่านสำหรับเด็ก ในรายการทายปัญหาของโทรทัศน์ และได้มีการบันทกึ
ในแถบเสียงดว้ ย วธิ ีการเลน่ ทายปริศนา ผเู้ ล่นมกั จะแบ่งเป็นสองฝ่าย ผลัดกันถาม
และตอบ หรือเล่นทายกันเป็นกลุ่ม ปริศนาคำทายไทย ประกอบด้วย คำประพันธ์
หลายประเภท ท้ังร้อยแก้วและร้อยกรอง ในการเลน่ ทายปรศิ นาประเภทรอ้ ยกรอง
นั้น จะมีวิธีตอบ 4 แบบคือ คำตอบที่มีคำขึ้นต้นเหมือนกัน คำตอบที่มีคำลงท้าย
เหมอื นกนั คำตอบที่เป็นคำผวน และคำตอบทเ่ี ป็นการผนั วรรณยกุ ต์ สว่ นคำทายท่ี
เป็นร้อยแก้วหรือคำถามธรรมดาก็จะตอบเป็นคำ ๆ หรือเป็นประโยค ปัจจุบันน้ี
ปริศนาคำทาย ได้เข้ามามีบทบาทในห้องเรยี นมากขนึ้ ”
ตาราง 3 ตัวอย่างคำผวน ทเ่ี ป็นการสร้างคำ โดยตอ้ งมกี ารใหเ้ ปน็ คำผวน แต่นัยยะ
เพื่อความบนั เทิง และสนกุ สนานเป็นด้านหลัก เป็นเทคนิคการให้ความหมาย หรือสร้างคำ
ทางภาษาไทย
1.แมลงประเภทใด โดนใจทา่ นทส่ี ดุ 2.การขบั รถอย่างมมี ารยาทควรระวังเรอ่ื ง
ใด
ก. แมลงปอกระดาษ ก. จดุ เลยี้ ว
ข. เหาโดนผี ข. กระจายเลี้ยว
ค. เหากระแทกสี ค. เลีย้ วกระเจีย
ง. มา้ นางฝอย ง. เลี้ยวกระจ๊อย
3. สุนทรียะด้านบันเทิงคดี หมายถึง เมื่อคนฟัง ส่วนใหญ่จะยิ้ม อมยิ้ม หัวเราะ
และบ่อยคร้งั ผเู้ ขยี นกห็ วั เราะ อมยิ้ม แตบ่ อ่ ยครั้งกไ็ ม่สนกุ ดว้ ยนกั แตใ่ นภาพรวมสนใจตรงที่
เจา้ เพื่อนนี่ชา่ งจำคำที่เขาผวนไวแ้ ล้ว เพราะก่อนหน้าท่จี ะมคี นคนนี้ ข้าพเจ้าก็เคยได้ยินมา
จากที่อ่นื ๆ ก็แปลวา่ มอี ยู่ท่วั ไปไมเ่ ฉพาะถ่ินท่ี ก็ได้แต่คิดในใจว่าเขาช่างดิ้นรนเสาะแสวงหา
และสรรหาคำเหลา่ นี้มาผวน แต่หลักใหญเ่ ปน็ ดว้ ย ปฏภิ าณไหวพริบ ความทรงจำ ทส่ี ามารถ
เอามาผวนจนกระทงั่ ไดค้ ำ และความหมายใหม่ หรือคำเริ่มสามารถนำไปผวนตอ่ ได้ แต่เม่ือ
ไปวิเคราะหด์ ้านบันเทิงคดีจะพบวา่ คำผวนมีนัยยะของการผวนเพื่อบันเทงิ คดี สุนทรภู่ก็ดี
หรอื นักกวสี ่วนใหญ่ทผ่ี ลติ วรรณกรรม ลว้ นใช้คำผวนเป็นสว่ นหน่ึงของการสร้างคำเพม่ิ
7.คำผวน ศาสตร์แห่งลึงค์ และโยนี และการสมสู่
เมื่อจำเพาะไปทเ่ี รื่องคำผวน และการตง้ั ช่อื ตามบทความนี้ ผู้เขียนม่งุ ไปที่สุนทรียะ
ทางภาษาที่มุง่ ไปเฉพาะเรือ่ งเพศทีถ่ ูกผวนขึน้ จากประสบการณ์ตรงจากเพือ่ นร่วมงาน จึง
นำมาเขียนเพือ่ บนั ทึกว่า คำผวนเพื่อสื่อสารทางเพศอยา่ งมีนัยยะหรือเงื่อนไข และกระตนุ้
ต่อมการมีส่วนร่วมได้เป็นอย่างดี คำผวนในลักษณะทางเพศ ที่ผวนมาก็เป็นพฤติกรรม
ธรรมชาติของมนุษย์ เพียงแต่จติ ของผู้ประกอบสร้างเขา้ สู่กระบวนการทางจติ ความนึกคิด
และการพัฒนาตวั เองไปส่กู ารสมสู่
ศิริพร ศรีวรกานต์ ได้เขียนบทความสะท้อนแนวคดิ เรื่อง “การผวนคำ” ไว้ร่วมกับ
วรรณกรรมอื่นแต่สะท้อแนวคิดเรื่องเพศและการแสดงออกทางเพศผ่านภาษาที่ว่า “การ
นำเสนอเรื่องเพศใน สรรพลี้หวน จัน ดารา และอิสตรีอีโรติก ผลการวิจัยสรุปว่า สรรพลี้
หวน นำเสนอเร่ืองเพศโดยนัย ในขณะที่ จัน ดารา และ อิสตรีอีโรติก นำเสนอเรื่องเพศ
อยา่ งตรงไปตรงมา สรรพลห้ี วนใชค้ ำผวนเพือ่ ซ่อนเรอื่ งเพศและการรว่ มประเวณี เม่ือผู้อ่าน
สามารถถอดรหัสคำผวนได้ เร่อื งราวทางเพศก็ถูกเปดิ เผย การตแี ผ่เรอ่ื งเพศในจัน ดารา และ
สตรีอีโรติกเปิดเผยความสัมพันธ์เชิงกามารมณ์ระหว่างชาย-หญิงที่แตกต่างกัน จัน ดารา
สะท้อนภาพสังคมแบบปิตาธิปไตยที่ส่งผลให้เกิดการจ้องมองผู้หญิงในฐานะวัตถุทางเพศ
หรือความรุนแรงทางเพศหรือการคุกคามทางเพศ ในขณะที่อิสตรีอีโรติกสะท้อนภาพของ
ผู้หญิงบางกลุ่มท่ีท้าทายขนบปฏิบัติของความสัมพันธ์เชิงกามารมณ์ระหว่างชาย-หญงิ และ
ตอ่ ตา้ นจริยธรรมทางเพศท่ีเปน็ มาตรฐานเชงิ ซ้อน” (ศริ ิพร ศรีวรกานต์,2546,136-161)
ดังนั้น “คำผวน” เป็นการสือ่ สารทางเพศอย่างมีนยั ที่สะทอ้ นความคิดความเชื่อสู่
การปฏิบัติหรอื การไมป่ ฏบิ ตั ไิ ปพรอ้ ม กันในคราวเดียวกัน
ลงึ ค์-โยนี และการสมสู่
เมื่อรวมคำผวนบางส่วนหรือส่วนใหญ่ไม่หนีจาก อวัยวะเพศชายหญิงและการ
สังวาส แปลว่านัยยะทางภาษา พฤติกรรมทางภาษา เจตนารมณ์ทางการสื่อสาร กับ
พฤติกรรมของมนุษย์เป็นเรื่องเดียวกัน นอกเหนือจากการสื่อสารแล้ว มุมหนึ่งอาจเป็น
สนุ ทรยี ะทางภาษาท่มี าพรอ้ มกบั การส่ือสาร การกลับหนา้ กลับหลงั ในตวั ภาษา มองมุมหนึ่ง
เป็นศาสตร์ภาษา กบั การใช้ไหวพรบิ ปฏิภาณไปดว้ ยในการใชช้ ่องทางการสอ่ื สารแบบนี้ และ
มองอีกมุมหนึ่งเป็นความสนใจฝักใฝ่ของผวนหรือสร้างพฤติกรรมการผวน ดังตัวอย่างท่ี
ปรากฏในตาราง 4
ตาราง 4 แสดงพฤตกิ รรมการผวนอย่างมีนยั ยะและความหมายในการสื่อสารและการ
จัดการโดยมีพฤตกิ รรมทางเพศ การสอื่ สาร และสนุ ทรี
คำผวน การผวนสอื่ ความเป็นเพศ เจตนา
ความหมาย อวัยวะ พฤตกิ รรม ส่ือ สุนทรี
หลอ่ เทา่ บงึ ลงึ ค์เท่าบอ่
หล่อพาดบงึ ลึงค์พาดบอ่
เปด็ หัวยกั ษ์ ปักหัวเย็ด
ง่วงเปน็ เซีย่ น ๆ เง่ยี นเป็นชว่ ง ๆ
เพชรมยี ักษ์ พักมีเย็ด
มวยรอบคัด มดั รอบควย
หางชี้ หีช้าง
หกสกกระปี๋ หสี กปรก
หารมโหรี หมี โหฬาร
หอดนตรี หีโดนตอ
แบกไหขึน้ รถฟรี แบกหีขน้ึ รถไฟ
ยังเปน็ เพชร เยด็ เป็นพัง
คำผวนท่ีเกิดขึ้นในภาพรวม จึงเป็นการผวนที่เน้นการสังวาส อวัยวะเพศ และการ
สมสู่ นัยหนึ่งอาจมองวา่ คนไทยเป็นคนที่มีศิลปะทางภาษาในการใช้คำเดิมมาสร้างคำใหม่
และในเวลาเดียวกันก็นำคำเหล่านั้นมาสร้างการสื่อสารผ่านภาษา แต่ส่วนใหญ่ไปจบตรง
ควย-หี-และการสมสู่ แปลให้กระซับก็คือเป็นเรือ่ งของเพศ อวัยวะเพศ พฤติกรรมทางเพศ
สว่ นในแง่ของการสอื่ สาร ก็แปลวา่ สามารถสือ่ สารได้ หรือสง่ สารเปน็ ความหมายใหม่ พรอ้ ม
ท้งั เปน็ บนั เทิงคดี เม่ือคนรู้หรอื เข้าใจการผวนนั้นกจ็ ะทำให้เกิดการสอ่ื สาร ดังน้ันพฤติกรรม
แนวสังวาส ลว้ นอยใู่ นวิถีของคนไทย อาจผา่ นจติ รกรรม ภาษาและการส่อื สาร ดงั กรณีภาพ
แนวสังวาสในจิตรกรรมฝาผนังที่นัยหนึ่งเป็นการสะท้อนวิถีธรรมชาติของมนุษย์ และอีก
ความหมายหนึ่งเป็นการสื่อสารสะท้อนเรื่องโลก ๆ ผ่านขั้นสูงขึ้นไป เพื่อเป็นการบอกเลา่
เรอื่ งถงึ ความเปน็ ชัน้ โลกิยะในภาษาทางศาสนา หรือเป็นวถิ ธี รรมดาในทางศาสนาไปนัน่ เอง
ภาพท่ี 2 ภาพวาดบนฝาผนังพระอโุ บสถ วัดบางย่ขี ัน (ขวา) ภาพจิตรกรรมเชงิ
สงั วาสทว่ี ดั คงคาราม จังหวดั ราชบรุ ี (ซ้าย) (ภาพ : นวิ ตั กองเพยี ร,2541;
https://www.silpa-mag.com/art/article_74923)
8.คำผวน พัฒนาการทางภาษาเพ่อื การสื่อความ
การสื่อความอาจมไี ด้หลายวิธแี ตก่ ารผวนความอาจใช้เปน็ เครอื่ งมอื ชนิดหนึ่งในการ
ส่ือความ ดังกรณีการใชโ้ ค๊ด หรือภาษามอส หรอื ภาษารหัสวิทยุ และรหสั เหล่านี้มุมหน่ึงได้
กลายเป็นเครอื่ งมอื ในการผลติ เคร่ืองมอื อยา่ งสำคัญ แปลวา่ ภาษาที่ใชเ้ ปน็ สัญลักษณ์เพื่อให้
เกิดการสร้างคำใหม่ หรือการสื่อสารเฉพาะ แปลว่าบางคนอาจรู้และไม่รู้ไปพร้อม ๆ กัน
แปลว่าการสื่อสารตามตรงจะต้องมกี ารสือ่ ความหมายหรือสร้างความหมายซ้อนเข้ามาอีก
เล็กน้อย เพื่อแสวงหาคำใหม่ หรือนิยามคำใหม่ให้เกิดขึ้น ดังนั้นคำผวนที่เกิดขึ้นจงึ เป็นท้งั
ภาษาที่เป็นรหัสเฉพาะ และในเวลาเดียวกันเป็นการฝึกทักษะ ลับสมอง หรือการสร้าง
พัฒนาการในการสื่อสารอีกแบบหนึ่ง ทำให้เห็นว่าความวิจิตรทางภาษาหรือการ เป็น
เครื่องมือในการสื่อสาร ดังที่ตามใจ อวิรุทธิโยธิน (2546) ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับ “คำ
ผวน” ซ่งึ สัมภาษณ์การใช้ภาษาถ่นิ ในแต่ละภาคเพื่อการผวนคำจากกลุ่มตวั อยา่ งทัว่ ประเทศ
ประมาณ 50 คน ไดข้ อ้ สรุปว่า
“การผวนคำทั้งถ้อยความผวนและคำผวน รูปแบบหลักๆ ที่เกิดขึ้นมี 3
รูปแบบ คือ 1) สลบั เสียงสว่ นหลงั พรอ้ มกับวรรณยกุ ต์ 2) สลับเสยี งส่วนหลงั เทา่ นนั้
และ 3) สลับเสียงสว่ นหลงั พร้อมเปลยี่ นแปลงสทั ลกั ษณะบางประการ คอื 3A สลับ
เสียงส่วนหลังพร้อมกับเปลี่ยนแปลงวรรณยุกต์ 3B สลับเสียงส่วนหลังพร้อมกบั
เปลย่ี นแปลงความสน้ั ยาวของสระ ในการผวนคำพบว่ารปู แบบท่ีปรากฏมากทส่ี ุดใน
ถ้อยความผวนกบั คำผวนเป็นคนละรูปแบบกัน นอกจากน้ียังไดพ้ บวา่ ความแตกต่าง
ในเรือ่ งจำนวนพยางค์ คือ 2 พยางค์ 3 พยางค์ และ 4 พยางค์ ของถ้อยความผวน
กบั คำผวนไมม่ ผี ลต่อการเลือกใชร้ ปู แบบ...” แตโ่ ดยหลกั ใหญใ่ จความสรุปไดว้ ่า การ
ผวนคำเป็นเทคนิคการส่อื สาร หรือการสร้างคำเพอ่ื การส่อื สาร ส่วนจะมีเป้าหมาย
ประสงค์ได้ เช่น การสื่อสารทางภาษา การสร้างคำเพื่อความสนุก บันเทิง หรือ
กามารมณท์ ่แี ฝงฝงั อยูใ่ นภาษานัน้ เป็นอกี เร่ืองหนึ่ง คำผวนสภุ าพ วธิ ีการสรา้ งสรรค์
คำใหม่ขึ้นใช้ ในกรณีที่ผวนคำแล้วอาจเกิดความหมายใหม่ๆ สามารถนำมาใช้ใน
ภาษาไทยได้ ซึง่ เปน็ การพัฒนาภาษาไทยอย่างหนง่ึ
การพูดภาษาธรรมดามันอาจขาดอรรถรสในชีวติ คำผวนจึงเปน็ กลไกทางภาษาแบบ
หนง่ึ ท่พี ฒั นาการมาพรอ้ มกบั สงั คม คำผวนเปน็ พัฒนาการทางภาษาหรอื ของเล่นมาตั้งแต่
สมัยโบราณแล้ว เป็นการเล่นภาษาสนุกๆ ซึ่งเป็นการละเล่นของเด็ก ๆ อีกแบบหนึ่งดังท่ี
ผู้เขียนเคยใช้เล่นทายกันเพื่อทดสอบความสามารถทางภาษากันพอขำขัน สนุกสนาน ไม่
หยาบคายอะไร เช่น ลองทายให้ฝ่ายหนึ่งตอบไล่ลำดับต่อไปนี้ หนือสัง – หนังสือ ปา
กาก – ปากกา , ไกแก่ง – แกงไก่ ก๊ดสับปะแรง – แกงสับปะรด ตอนนี้จะจบลงด้วย
ความคร้ืนเครงวา่ กาจะกินขหี้ มู พอเพือ่ นผวนคำดวู ่า กูจะกนิ ข้ีหมา สง่ ผลเปน็ ความเฮฮา
กัน สว่ นคำผวนประเภท “คำผวนหยาบ” ก็มกี ารพดู เล่นกัน ดงั ปรากฏเปน็ คำบอกเลา่ ในวง
สุราของผู้ชายมักมีการนำมาพูดกันอย่างคะนองปากโดยเฉพาะเรื่องใต้สะดือ ดูจะเป็น
เอกลักษณ์แบบไทยๆ อย่างหนึ่ง ดังปรากฏวรรณกรรมคำผวนซึ่งมาจากท้องถิ่นทางใต้
เรื่อง “สรรพล้ีหวน” ที่เป็นเอกลักษณ์ทางภาษาที่ว่าด้วยการผวนคำและออกแนวหยาบ
โลนและว่าด้วยเรื่องของเพศเป็นสำคัญ ดังปรากฏเป็นทัศนะทว่ี ่า “...คำผวนในสรรพลี้หวน
ล้วนเป็นคำทีส่ ื่อไปในทางเพศ และไม่ไดป้ รากฎเปน็ เพียงแคค่ ำที่นำมาเสรมิ ในตัวบท แต่มัน
ยงั เปน็ คำทใ่ี ชเ้ รยี กช่อื ตวั ละครในเร่อื ง เชน่ ท้าวโคตวย เจ้าคแี หม เจ้าชายใดหยอ นางไห
หยี ฤษีแหบ เป็นต้น...” (ชุติพงศ์ ปะทาเส, 2564) ซึ่งในทางวรรณกรรมก็ถือว่าเป็นสีสัน
อกี อย่างในแวดวงภาษาไทย เพยี งแตเ่ ราจะนำมาส่ือสารกนั ในกาลเทศะใดเทา่ น้ัน
ในส่วนของการผวนคำเพื่อสื่อความเคยเกิดเปน็ ปรากฏการณ์ในสังคมไทย มีทั้งผู้
เห็นด้วยเหน็ ต่าง แต่สิ่งท่ีปรากฏได้กลายเป็นว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวได้กลายเป็นเงื่อนไข
นำไปสูผ่ ลเชิงประจกั ษห์ รอื ผลสำเร็จในการสอื่ สารได้รบั ความสนใจในวงกวา้ ง เชน่
กรณีที่ 1 กรณีที่มีการแจกหนังสือเล่มหนึ่งแก่ผู้สมัครของ พรรคการเมืองพรรค
หนึ่ง หนังสือเล่มนั้นปรากฏชื่อบนปกเป็นคำผวนว่า “รัดทำมะนวยฉบับหัวคูน” (วาท
ตะวนั สพุ รรณเภษัช,2550) เมือ่ ผวนคำแลว้ ก็หยาบ หากวิเคราะหเ์ จตนาผู้ตั้งช่ือหนังสือก็
ต้องบอกว่ามีความจงใจใช้สื่อสารความคิด ที่น่าจะเกิดจาก “อารมณ์ประชด เยาะ
เยย้ ” หรือไมก่ ็ “คะนองปาก” แตอ่ กี นัยหนง่ึ เกดิ ประเด็นต่อต้านแต่อีกความหมายก็ถือว่า
เป็นความสำเรจ็ ในการสื่อสารทางการเมอื งเปน็ ต้น
กรณีที่ 2 เป็นชื่อภาพยนตร์ไทยเรื่องหนึ่งชื่อว่า “ผีกระชากหัว” ผวนคำแล้วก็
หยาบเชน่ กัน กรณที ี่ 2 นา่ จะมาจากตอ้ งการสร้างกระแสตลาดใหส้ ะดดุ ใจ นา่ สนใจ เพราะ
คิดวา่ สังคมไทยรับได้ แตด่ เู หมอื นผู้สร้างจะแถลงว่าจะบอกวา่ ไมม่ เี จตนาสอ่ื อย่างนน้ั เพราะ
ไมค่ ดิ ว่าจะเปน็ คำผวน แต่ก็ได้เกดิ ประเดน็ ในเชงิ สังคม แต่อีกนยั ความสำเรจ็ ในการสื่อสารก็
ประสบผลเกิดผลรับรู้ในวงกวา้ ง เปน็ ตน้
ภาพที่ 3 ประเดน็ ของภาษากับการสื่อสารกบั คำผวนในสงั คมไทย (ภาพ วาทตะวัน
สพุ รรณเภษัช,2550; ออนไลน์ https://pantip.com/topic/32952387,สบื คน้ 15
พฤศจิกายน 2564)
อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้ว่า การใช้คำผวนทั้งสองกรณีเกิดกระแสต่อต้าน
วิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมในการใช้ภาษาไทย ดังกรณีปรากฏทัศนะผ่านสื่อ
ออนไลน์ต่อประเด็นหนังสือ “รัดทะทำมะนวย ฉบับหัวคูณ” โดยนายสิบภาคประชาชน
(2550) ทว่ี ่า “...ขอฟนั ธงว่าการใชค้ ำผวนตัง้ ชื่อหนังสอื เย่ยี งนีถ้ ือวา่ บัดซบจรงิ ๆ และมองมุม
ใดก็ไม่เห็นด้วยว่าเป็นการ "เขียนด้วยอารมณ์ขันในยามที่บ้านเมืองแบ่งฝักแบ่ง
ฝ่าย" หรือกรณีผีกระซากหัวที่ว่า “...ตอนแรกได้ยินจากเพื่อนก็ขำๆ นึกว่ามันอำเล่น
เดี๋ยวนี้มันอับจนหนทางจนตอ้ งใช้วธิ ีนี้ในการโปรโมทหนังกันแล้วเหรอครับ..” (แมงเมา่ บิน
เข้ากลางใจ,2017) ทั้งสองกรณีอาจสะท้อนได้ว่าเป็นอารมณ์และความรู้สึกในช่วงหน่งึ ซงึ่
นับเป็นพัฒนาของภาษาที่เกดิ ขึ้น ในอีกมุมหนึ่งสังคมไทยเรามีการบัญญัติคำสุภาพขึ้นใช้
สอ่ื สารกันมานานแลว้ เหตุที่ต้องมคี ำสุภาพ เนื่องด้วยเหตผุ ลว่า
1.เป็นการแสดงออกถึงความสุภาพอ่อนโยน เพื่อใช้ส่ือสารกับบุคคลที่ต้องให้
เกยี รติ เช่น เดก็ สตรี ผูใ้ หญ่ เป็นตน้
2. เป็นการแสดงออกถึงความเคารพผู้ฟัง สร้างความรู้สึกดีๆ ให้เกิดข้ึน
โดยเฉพาะกบั สภุ าพชนทเ่ี ราไม่ไดค้ ุ้นเคยด้วย
3. เป็นการแสดงออกถึงวัฒนธรรมอันดีงาม ในฐานะที่คนไทยเป็นคนที่มี
วัฒนธรรม และสะท้อนถงึ การไดร้ ับการศึกษาอบรมมาดี
4. เป็นการเพิ่มระดับความไพเราะให้แก่ถ้อยคำ สะท้อนถึงความประณีตของ
ภาษาไทย ที่ปราชญ์ทางด้านภาษาไทย พยายามบัญญัติศัพท์หรือพยายามให้คำที่อาจดู
สุภาพ หรือบัญญัติศพั ท์เพือ่ ให้ใช้กบั สภาพความเป็นจริง ดงั ตวั อยา่ งคำสุภาพท่ีท่านบัญญัติ
ไว้ เปน็ ตน้
ดังปรากฏในตาราง 5 ที่นัยหนึ่งที่ปราชญ์ทางภาษาได้พยายามบญั ญัติศัพท์ หรือ
แสวงหาศัพท์ทดแทนเพื่อสร้างคำใหม่นัยหนึ่งลดความไม่สุภาพของคำ สร้างคำใหม่ท่ี
สอดคล้องกบั ความหมายเดิม และเปน็ การสรา้ งองคค์ วามรู้ทางภาษาไดด้ ้วย
ตาราง 5 แสดงลกั ษณะคำ ท่ใี ช้ผวนแล้วทำให้เกิดคำใหม่ แต่กอ็ อกแนวหยาบโลน เปน็ ต้น
คำ ความหมาย / การสอ่ื ความ
อเี ห็น นางเหน็ (อี เป็นคำหยาบครบั เพราะฉะนน้ั คำท่ขี ึ้นดว้ ย
อี เชน่ อีเก้ง อแี อ่น อีเลง้ิ เปล่ยี นเป็น นาง ฯ)
ตากแดด ผง่ึ แดด เพราะ ตากแดด เปน็ คำผวน
บางชีหน บางชีโพ้น (คำผวน)
แปดตัว สี่คู่ (คำผวน)
ส่ีหน สีค่ รัง้ (คำผวน)
เห็นควรด้วย เห็นสมควร (คำผวน)
ท่ีหา้ ครบห้า (ทห่ี ก – ครบหก)
ต้นพงุ ดอ ตน้ หนามรอบข้อ (ชื่อทพ่ี ้องกับช่ืออวยั วะเพศ)
ช้างสีดอ ชา้ งนรการ
ตด ผายลม (คำน่ารังเกยี จ ไมเ่ หมาะสมท่ีจะพดู ในท่ี
สาธารณะ)
ขี้ อจุ จาระ
ตดู ทวารหนกั
ผักตบ ผกั สามหาว ( ตบ เปน็ คำท่ีดูรุนแรง ไมใ่ ช่วฒั นธรรมไทย)
ถงุ ตนี ถงุ เทา้ (ตีน เป็นคำหยาบ)
สากกะเบอื ไมต้ พี ริก
ขนมขี้หนู ขนมทราย (มีคำว่า ข้ี สะทอ้ นอารมณ์ว่าไมน่ ่ากิน)
ขี้กลาก โรคกลาก (ทำนองเดยี วกบั ขี้เรื้อน –โรคเรือ้ น)
ดอกข้ีเหลก็ ดอกเหลก็
กะปิ เยื่อเคย
เยย่ี ว ปสั สาวะ
ไสเ้ ดือน รากดนิ
เต่า จิตรจลุ
ปลงิ ชัลลกุ ะ
ปลาสลิด ปลาใบไม้
ปลาชอ่ น ปลาหาง
ปลาลิน้ หมา ปลาลิ้นสุนขั
มะเขือหำแพะ มะเขือเผา
แตงโม ผลอุลดิ
จากตาราง 5 ยังมีคำในลักษณะดังกล่าวอีกมาก โดยเป็นการสร้างคำเพื่อใช้ให้
เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล จนอาจใช้คำวา่ กลายเป็นวัฒนธรรมทางภาษาของไทย ที่
อาจใช้คำว่า “วัฒนธรรมที่ดีงาม” แต่อีกนัยหนึ่งในสถานการณป์ ัจจุบันคนไทยใช้ภาษาใน
ระดบั ภาษาปาก ภาษาพูด อาจมผี ้ใู หค้ วามเห็นวา่ เป็นภาษาหยาบ ภาษาต่ำ และมองต่อไป
ว่าภาษาระดับภาษาอย่างเป็นทางการ ที่สุภาพ ภาษาประณีต ถูกละเลยจนกระทั่งไม่ให้
ความสำคัญไป ดังปรากฏในเน้อื ร้องของเพลงวัยรนุ่ เพลงไทยปัจจุบัน ที่ใชภ้ าษาพูดท่ีสือ่ สาร
ตรงไปตรงมา ซ่งึ เม่ือเทยี บกบั แบบแผนเดิมแต่ก่อนจะเปน็ ภาษากวี มคี วามไพเราะละเมียด
ในตัวเอง เช่น กลอนของสนุ ทรภู่ หรือคำผวนในสรรพลี้หวนก็ดี แต่นัยทั้งหมดก็ได้สะท้อน
ในสองส่วนอนั เป็นข้อเท็จจริง คือ (1) ภาษาเพื่อการสื่อสารและ (2) พัฒนาการทางภาษา
หรือพลวฒั นท์ างภาษาทีเ่ กดิ ขึน้ ในแวดวงของศาสตร์ทางภาษาทั่วไป เปน็ ต้น
9. องค์ความรใู้ หม่
จากบทความนี้สามารถนำมาเขยี นเป็นแผนภาพสะท้อนองคค์ วามรู้ แนวคิดที่เกดิ
จากคำผวนต่อพัฒนาการทางภาษาและสงั คมได้ ตามแผนภาพ
คำผวน คำผวน มุ่งเอา วรรณคดที างภาษา
(สรรพลี้หวน)
ลกั ษณะ เสยี งเป็นสำคญั
พฤติกรรมทางภาษา
1.พัฒนาการทางภาษา การสร้างคำใหม่
2.สุนทรยี ะทางภาษา อารมณค์ วามรู้สึกตอ่ ภาษา
(วธิ ีการผวน) 1.สลบั ตำแหนง่
3.การสื่อสาร เสียงสระและพยัญชนะทา้ ย ความร้ใู นศาสตร์ทางภาษา
2.ผวนโดยคำสองพยางค์ขนึ้ ไป
พลวฒั น์ทางภาษาที่ 3.อาจผวนโดยใช้การเลอื กผนั
ส่งตอ่ จากรนุ่ ส่รู ่นุ ตาม เป็นบางคู่ ฯ
พัฒนาการของสังคม
(1) สร้างศัพท์ใหม่ (2) เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร
(3) เป็นกลศาสตร์ทางภาษา (4) เลี่ยงคำท่ไี ม่สุภาพ
(5) เพื่อสร้างอารมขนั /สนุ ทรยี ะ บันเทิงทางภาษา
ภาพ 4 คำผวนภาพสะทอ้ นตอ่ บรบิ ทในเชงิ พัฒนาการทางภาษาและสังคม
10.สรุป
ในธรรมชาตขิ องมนุษยม์ ศี าสตร์ของความสมดุลและความพอดีอยูใ่ นตัวเองหรือชาติ
พนั ธุ์ แต่เมือ่ ไหร่ก็ตามทม่ี ันเกิดกว่าพอดี ไม่เป็นสมดุล กจ็ ะเกนิ เลย ไปจนกระทั่งเกนิ กว่างาม
ก็เรียกว่า เสียภูมิ เสียภาพลักษณ์และเสียผลอันจะควรได้ หรือมากกว่าควรจะได้ไปเสีย
กระนั้น เพราะมนุษย์เขา้ มาเป็นปรากฏการณข์ องกันและกัน และหายไปในทีส่ ุด แตเ่ มื่อสูญ
หายแลว้ ก็มสี ง่ิ ใหมเ่ ขา้ มาเปน็ ธรรมชาติ แตม่ นษุ ย์ปรุงและแต่งมนั ให้เขา้ ไปเปน็ ส่วนหนง่ึ ของ
จิต จนกระทั่งกลายเป็นผลิตผลของจิตหรือพฤติกรรมทางจิตไป ในส่วนของคำผวนของ
เพื่อนรว่ มงานทเ่ี กรนิ่ ในช่วงแรก ข้าพเจ้าฟงั บ่อย ๆ ก็ให้รู้สกึ อมยิ้มบาง ๆ เพ่ือให้รู้ว่ามันคง
เป็นน้ำจิ้ม หรือไม่ก็เครื่องเคียงเสริมให้มคี วามหลากหลายและนา่ ลิ้มรสเข้าไปอีก แต่บ่อย
และมาก จึงมีความรู้สึกว่ามันไม่น่าจะใชน่ ะ หรือไม่ก็มากเกินไป เป็นคำถามที่ข้าพเจ้าถาม
บ่อย ๆ จนกลายเป็นความรู้สึกว่า “ผวน” จนเกินงามไปนะ แต่กรณีถือว่าเป็นทัศนะ
สว่ นตวั แต่เมือ่ มองไปถงึ ความเป็นศาสตร์ และพฒั นาการเชงิ ศาสตรท์ างภาษา คำผวนเป็น
ศาสตร์ และมีเจตจำนงในเรื่องการสื่อสารสาธารณะ และทำให้การสื่อสารนั้นประสบ
ความสำเร็จและประสบผลเป็นพฤติกรรมและการกระทำที่สร้างสรรค์และก่ อให้เกิดการ
ขับเคล่อื นในภาพรวมได้ คำผวนมนี ยั ของการส่อื สารเพ่ือความบันเทิง สนุ ทรยี ะ และการสื่อ
ความในลกั ษณะของการบนั เทิงคดี คงมีนยั ของตวั มนั เองในฐานะเปน็ ภาษาท่ีมีพัฒนาการใน
ตัวเอง เป็นเครื่องมือในการส่ือสารชนิดหนึ่ง และก่อใหเ้ กิดการขับเคล่ือนเปน็ พลังในตวั มนั
เองอย่างทค่ี วรจะเปน็ ทีเ่ ป็นได้ทั้งการส่อื สารเพ่อื ความบนั เทิง และเป็นพลวฒั นท์ างภาษาไป
ในตวั ดว้ ย
เอกสารอา้ งอิง
กรเพชร เพชรร่งุ . (2017). วฒั นธรรมทางภาษา และวิธีการสรา้ งสรรค์คำในภาษาไทย.
สบื ค้น 15 พฤศจิกายน 2564. จาก https://www.gotoknow.org/posts/153159
ชุติพงศ์ ปะทาเส. (2564). สรรพลห้ี วน…วรรณกรรมคำผวนทเี่ ปน็ มากกวา่ เรื่องลอ้ เลียนของ
สงวน. ศิลปวัฒนธรรม. สบื คน้ เมอื่ 15 พฤศจิกายน 2564. จาก
https://www.silpa-mag.com/culture/article_23079
ดำรงราชานุภาพ, สมเดจ็ กรมพระยา. (2550).ชีวิตและงานของสนุ ทรภู่ (ฉบบั กรมศิลปากร
ตรวจสอบชำระใหม่). กรุงเทพ ฯ : สำนักพมิ พ์แสงดาว.
ตามใจ อวริ ทุ ธโิ ยธิน. (2546).กลไกและรูปแบบของการผวนคำในภาษาไทยถิน่ กรงุ เทพฯ
ภาษาไทยถน่ิ เหนอื ภาษาไทยถ่นิ อสี าน และภาษาไทยถนิ่ ใต้ (วิทยานพิ นธ์อกั ษรศา
สตรมหาบัณฑติ ). กรงุ เทพ ฯ : คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
นายสิบภาคประชาชน. (2550). ควันหลง! รัดทำมะนวย ฉบบั หัวคณู VS ชมรมตำรวย หัว
ขวด !?. สืบค้นเม่อื 15 พฤศจกิ ายน 2564. จาก
http://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=157354
นิธิ เอยี วศรวี งศ.์ (2545). คำมีคม : ว่าดว้ ยภาษา วฒั นธรรม และอำนาจ. กรุงเทพฯ: มติชน.
นิวัต กองเพยี ร. (2541). เชิงสงั วาส : กามรปู ในภาพเขียนตามประเพณีทมี่ เี สียงวรรณคดี
ไทย. กรุงเทพ ฯ : มตชิ น.
พชั รพร สาลี. (2019). ขนบนิยมในภาษาไทย. วารสารมหาจฬุ านาครทศั น์. 6 (4),
1622-1644.
เพชร พุมเรียง. (2545). สรรพลีห้ วน. กรงุ เทพฯ : ชมรมอนรุ ักษ์ศิลปวฒั นธรรมปักษใ์ ต.้
ภรณั ยู ขำนำ้ คู้,สกุ ญั ญา สมไพบลู ย.์ (2562). ปฏภิ าณทางภาษาเชงิ “สองแง่สองงา่ ม” ในคำ
ร้องเพลงลกู ทุ่งไทย. วารนเิ ทศศาสตร์. 37 (1),46-58.
แมงเมา่ บนิ เข้ากลางใจ. (2017). Rise ผกี ระซากหัว. สบื ค้นเมือ่ 15 พฤศจกิ ายน 2564.
จาก https://board.thaivi.org/viewtopic.php?t=29878#p346724
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช. (2550). รัดทำมะนวยฉบบั หัวคณู . กรุงเทพฯ :
บรษิ ทั เซเว่นพร้นิ ท์ตง้ิ จำกดั .
วภิ า ศิรสิ วสั ดิ. (2526). วิวัฒนาการของปรศิ นาคำทายไทย และการนำมาใช้ในการเรียนการ
สอนระดบั ประถมศกึ ษา (วทิ ยานพิ นธค์ รศุ าสตร์มหาบณั ฑติ ). กรุงเทพ ฯ :
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ศริ ิพร ศรีวรกานต์. (2546). เรื่องเพศ ปกปดิ และเปิดเผย : บทวิเคราะหว์ รรณกรรม
กามารมณ์ไทย. วารสารอกั ษรศาสตร,์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. 32 (1),136-161
สมศักดิ์ พนั ธศ์ ิริ. (2560). กลวธิ ีการสร้างอารมณ์ขันในนทิ านมุกตลกพ้ืนบา้ นอีสานเร่อื งหวั
พ่อกบั จัวน้อย. ววิ ิธวรรณสาร. 1 (3),53-84.
สนทิ บญุ ฤทธ์ิ. (2537). คำผวน : อีกรูปแบบหน่ึงของการใช้ภาษาไทย. วารสารปาริชาต.
8 (1),39-52.
สนิท บุญฤทธิ.์ (2015). คำผวนก็มที ี่ยูนนาน. สารอาศรมวฒั นธรรมวลยั ลักษณ์.
15(2), 17-28.
สนทิ บญุ ฤทธ.ิ์ (2537). คำผวน อกี รูปแบบหนึ่งของการใช้ภาษาไทย. วารสารปารชิ าติ
มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ . 8 (1),39-52.
Godechot, Jacques; et al. (1971). The Napoleonic era in Europe. Holt,
Rinehart and Winston.
Grab, Alexander (2003). Napoleon and the Transformation of Europe.
Macmillan.