1
MBO ในพระไตรปิ ฎก
กระจายการสรร
มอบหมหาายให้ภิกษุทาหน้าที่การสรรหาได้
ในวนั แรม ๑ คา่ เดือน ๑๑ พระพทุ ธองคไ์ ด้ส่งภิกษุสงฆ์ทงั้ ๖๐ รปู ออกไปประกาศ
เผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนายงั ถิ่นต่างๆ ด้วยพระพทุ ธดารสั ว่า
“ภิกษุทงั้ หลาย อนุตรวิมตุ ติธรรมที่ ตถาคตบรรลแุ ล้ว พวกเธอกไ็ ด้บรรลุ
แลว้ บว่ งทงั้ หลายทงั้ ท่ี เป็นของทิพย์ ทงั้ ที่เป็นของมนุษย์ ตถาคตและเธอทงั้ หลายก็
พ้นแล้ว พวกเธอจงเที่ยวไปตามคามนิ คมชนบทต่างๆ เพ่ือประโยชน์ เกื้อกลู เพื่อ
ความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ ทงั้ หลาย จงอย่าไปทางเดียวกนั ถึงสองรปู จงแสดง
ธรรมให้ ไพเราะ ในเบือ้ งต้น ท่ามกลาง และท่ีสุด จงประกาศพรหมจรรยใ์ ห้เป็ นไป
พรอ้ มทงั้ อรรถและพยญั ชนะให้บริสทุ ธ์ิบริบรู ณ์ โดยสิ้นเชิง แม้เราเองกจ็ ะไปสู่ตาบล
อรุ เุ วลาเสนานิคม เพ่อื แสดงธรรม”
๓
MBO ในพระไตรปิ ฎก พระภิกษุสงฆ์
๗
จดุ มุ่งหมายการจดั ตงั้ องคก์ รคณะสงฆใ์ นสมยั พทุ ธกาล
การจดั ตงั้ องค์กรคณะสงฆ์ คอื การกาหนดรูปแบบ
กฎเกณฑ์ ระเบียบวิธีการปฏิบัติการในการดาเนินชีวิตอยู่
ร่วมกนั ของพระภกิ ษุสงฆ์ ระเบยี บกฎเกณฑ์เหล่านัน้ เรยี กว่า
พระธรรมวินัย โดยมจี ุดมุ่งหมายของการจดั ตงั้ องค์กรคณะ
สงฆ์ ๕ ประการ คอื
๑. เพ่ือประโยชน์แก่สงฆ์ส่วนรวม
๒. เพือ่ ประโยชน์แก่ตวั บคุ คล
๓. เพ่ือประโยชน์แกช่ ีวิตของมนุษยเ์ อง
๔. เพ่ือประโยชน์แก่ประชาชนทวั่ ไปท่ีเป็นสงั คม
ใหญ่
๕. เพื่อประโยชน์แกพ่ ระศาสนา
MBO พระไตรปิ ฎก การสรรหา (RECRUITMENT)
การจดั การทรพั ยากรมนุษย์ ราลึกถึง
อาฬารดาบสกาลามโคตร
หลงั จากที่ตรสั ร้ใู หม่ๆ ทรงประทบั อยู่ ตาม
ลาพงั พระองคเ์ ดียว “เพ่ือทาจิตให้เป็นสมาธิ อย่ใู นป่ า อทุ กดาบสรามบตุ ร
เป็ นเวลาถึง ๔๙ วนั หรือ ๗ สปั ดาห์ สาหรบั การท่ีจะ
ประมวลความรทู้ ี่ไดต้ รสั ร้แู ล้ว ให้เขา้ เป็นระเบียบ” ปัญจวคั คีย์
นักบวชท่ีเป็นพวกกนั ๕ ท่าน
จะแสดงธรรมแก่ผ้ทู ่ีมีคณุ สมบตั ิเข้าเกณฑ์ โกณฑญั ญะ วปั ปะ ภทั ทิยะ มหานามะ อสั สชิ
นี้ คือ เป็นผู้ “ร้ทู วั่ ถึงธรรมนี้ได้ฉับพลนั เป็นผฉู้ ลาด
เฉียบแหลม มีปัญญา มีธลุ ี ในตาน้อย” ยสกลุ บตุ ร
และเพื่อนๆ อีก ๕๔ ท่าน รวมเป็น ๕๕ ท่าน
ชฎิลสามพี่น้อง
จานวน ๑,๐๐๐ ท่าน
๒
5
พทุ ธพจน์ 6
▪"โยโว อานนฺท ธมโฺ ม จ เทสโิ ต วนิ โย จ
ปญญฺ ตโฺ ต โส มม อจจฺ เยน สตถฺ า
ดกู อ่ นอานนท์ ธรรมและวินัยใดทเ่ี ราได้
แสดงแล้ว บญั ญัตแิ ล้ว แก่เธอทงั้ หลาย
ธรรมและวินัยนั้น จกั เป็ นศาสดาแทนเรา
ปกครองทา่ นแทน เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว“
▪ (ทมี่ า ปรินิพพานสูตร พระไตรปิ ฎกเล่ม 10)
7
▪ พระสตุ ตนั ตปิฎก ทีฆนกิ าย มหาวรรค เลม่ ๒ ภาค ๑ - หนา้ ที่
322
▪ พระปัจฉิมวาจา
▪ [๑๔๓] ลาดบั นนั้ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ รบั ส่งั กะภิกษุทงั้ หลายวา่
▪ ดกู อ่ นภกิ ษุทงั้ หลาย บดั นี้ เราขอเตอื นพวกเธอวา่ สงั ขาร
ทงั้ หลายมคี วามเสอ่ื ม
▪ ไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยงั ความไม่
ประมาทใหถ้ งึ พร้อมเถดิ นีเ้ ป็ นพระ-
ปัจฉิมวาจาของพระตถาคต.
8
▪1. กสิณกรรมฐาน 10 อย่าง
2. อสุภกรรมฐาน 10 อย่าง
3. อนุสสตกิ รรมฐาน 10 อยา่ ง
4. พรหมวหิ ารกรรมฐาน 4 อยา่ ง
5. อรูปกรรมฐาน 4 อยา่ ง
6. อาหาเรปฏกิ ูลสัญญา 1 อยา่ ง
7. จตุธาตุววัฏฐาน 1 อยา่ ง
9
10
11
12
มหาศลี
[๑๑๔] ๑. ภกิ ษุเวน้ ขาดจากการเล้ยี งชพี โดยทางผดิ ดว้ ยตริ จั ฉานวชิ า เชน่ อยา่ ง
สมณพราหมณ์ผูเ้จรญิ บางจาพวก ฉนั โภชนะทเ่ี ขาใหด้ ว้ ยศรทั ธาแลว้ ยงั เล้ยี งชพี โดยทางผดิ ดว้ ย
ตริ จั ฉานวชิ า เหน็ ปานน้ี คอื ทายอวยั วะ ทายนิมติ ทายอปุ บาต ทานายฝนั ทานายลกั ษณะ
ทานายหนูกดั ผา้ ทาพธิ ีบูชาไฟ ทาพธิ เี บกิ แว่นเวยี นเทยี น ทาพธิ ซี ดั แกลบบชู าไฟ ทาพธิ ซี ดั
ราบูชาไฟ ทาพธิ ซี ดั ขา้ วสารบชู าไฟ ทาพธิ เี ตมิ เนยบชู าไฟ ทาพธิ เี ตมิ นา้ มนั บูชาไฟ ทาพธิ เี สกเป่า
บชู าไฟ ทาพลกี รรมดว้ ยโลหติ เป็นหมอดูอวยั วะ ดูลกั ษณะทบ่ี า้ น ดูลกั ษณะท่นี า เป็นหมอ
ปลกุ เสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยนั ตค์ มุ้ กนั บา้ นเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพษิ
เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรกั ษาแผลหนูกดั เป็นหมอทายเสยี งนก เป็นหมอทายเสยี งกา
เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกนั ลูกศร เป็นหมอทายเสยี งสตั ว์ แมข้ อ้ น้กี เ็ ป็นศลี ของเธอ
ประการหน่งึ . [ตถาคตทรงเวน้ ขาด-ไม่กระทาเลย]
13
14
15
16
พทุ ธกิจของพระพทุ ธเจ้า
ในส่วนของพระพทุ ธเจ้าทรงใช้เวลาเกือบทงั้ หมดไปเพื่อการศึกษาทงั้ ของมนุษยแ์ ละ
เทวดา โดยกาหนดช่วงเวลาในรอบหนึ่งวนั ว่าจะทากิจกรรมใดๆ บ้าง เพื่อพฒั นาบุคลากร ท่ี
ทราบกนั ดีในช่ือว่า พทุ ธกิจประจาวนั ๕ กิจ ท่ีพระพทุ ธเจ้าทรงบาเพญ็ เป็นประจาในแต่ละวนั มี
๕ อย่าง
๑. ปพุ พฺ ณฺเห ปิ ณฺฑปาตญจฺ เวลาเช้าเสดจ็ บิณฑบาต
เวลาเยน็ ทรงแสดงธรรม
๒. สายณฺเห ธมมฺ เทสน เวลาคา่ ประทานโอวาทแกเ่ หลา่ ภิกษุ (พลบคา่ ถงึ ๓
๓. ปโทเส ภิกฺขโุ อวาท
ท่มุ ) เที่ยงคนื ทรงตอบปัญหาเทวดา (๓ ท่มุ ถงึ เที่ยงคืน)
๔. อฑฒฺ รตฺเต เทวปญหฺ น จวนสว่าง ทรงตรวจพิจารณาสตั วท์ ่ีสามารถ
๕. ปจจฺ สุ เฺ สว คเต กาเล และที่ยงั ไมส่ ามารถบรรลธุ รรม
อนั ควรจะเสดจ็ ไปโปรดหรือไม่
ภพพฺ าภพเฺ พ วิโลกน
การสรรหาเกิดขนึ้ ทุกวนั
๔
การปกครองคณะสงฆใ์ นสมยั พุทธกาล จงึ เป็นการจดั การปกครองใหเ้ ป็นไปตามสภาพแวดลอ้ มทงั้ ภายในและ
ภายนอก การเกดิ ขน้ึ และดารงอย่ขู ององคก์ รคณะสงฆใ์ นสมยั พทุ ธกาลมพี ฒั นาการเป็นไปอย่างต่อเน่อื ง
การปกครองระยะเรมิ่ แรกพระพุทธองคจ์ งึ ทรงดาเนินการดว้ ยตวั พระองคเ์ อง โดยอาศยั รปู แบบการประพฤตขิ อง
นกั บวชทม่ี อี ย่ใู นสมยั นนั้ ทเ่ี รยี กวา่ จารีตศีล และเมอ่ื มจี านวนพระภกิ ษุเพมิ่ มากขน้ึ กท็ รงปกครองเองบา้ ง ใหพ้ ระสาวกช่วย
การปกครองบา้ ง โดยทรงบญั ญตั พิ ระธรรมวนิ ัยเป็นเคร่อื งมอื ในการปกครอง เพอ่ื ใหก้ ารศกึ ษาจนต่อมาเมอ่ื คณะสงฆไ์ ด้
กลายเป็นสงั คมทม่ี ขี นาดใหญ่ซง่ึ กอ็ ย่ใู นช่วงปลายๆ สมยั พุทธกาลพระพุทธองคจ์ งึ ไดท้ รงมอบภาระการปกครองใหแ้ ก่คณะ
สงฆป์ กครองกนั เอง ดว้ ยการยดึ หลกั พระธรรมวินัยเป็นหลกั ในการปกครอง
๕
โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆส์ มยั พทุ ธกาล
พระธรรม พระพทุ ธเจ้า
วินัย
พทุ ธบริษทั ๔
คณะสงฆ์ คณะคฤหสั ถ์
ฝ่ าย ฝ่ ายภิกษุณี อบุ าสก อบุ าสิกา
ภิกษุ
ภิกษุ ภิกษุณี
สามเณร สามเณรี สงั คมแนวนอน
ที่พระพทุ ธองค์
จดั ขึน้ ใหม่
สิกขมานา ๖
การแบ่งงาน
พระพทุ ธองคท์ รงจดั แบ่งในองคก์ รคณะสงฆส์ มยั พุทธกาลนนั้ สามารถพจิ ารณาได้ ๓ ลกั ษณะ คอื
๑ ลกั ษณะท่ีเป็นงานหลกั คอื เป็นงานทม่ี กี ารดาเนินการอย่เู ป็นประจา
๒ ลกั ษณะงานท่ีจดั เป็นแผนก ไดแ้ ก่ การสมมตแิ ต่งตงั้ เจา้ หน้าทท่ี าการแทน
๓ ลกั ษณะงานท่ีต้องอาศยั ความชานาญเฉพาะด้าน เป็นการจดั แบ่งงานใหส้ มาชกิ ในองคก์ รเพอ่ื ปฏบิ ตั งิ าน โดยพจิ ารณา
ถงึ ความถนดั และความสามารถสว่ นบุคคลเป็นหลกั ซง่ึ เป็นลกั ษณะงานในตาแหน่ง “เอตทคั คะ” นนั่ เอง
๘
๑ ลกั ษณะที่เป็นงาน ๒) งานด้านการให้ ๓) งานด้านการเผยแผ่
หลกั การกแตา่งรตศงั้ ผกึ ใู้ ษหก้าารอบรมศกึ ษา หรอื แสดง ศาสนา
๑) งานด้านการปกครอง การใหถ้ อื อุปัชธฌรรามย์ และอาจารย์ การสง่ เสรมิ งานดา้ นการเผยแผ่
การรบั บุคคลเขา้ เป็นสมาชกิ องคก์ รคณะสงฆ์ การใหถ้ อื นิสยั การจดั สง่ บุคคลไปทางานดา้ นการเผยแผย่ งั ท่ี
การบญั ญตั พิ ระธรรมวนิ ยั การตรวจเยย่ี ม ตแา่นงะๆนาวธิ กี ารเผยแผ่
การวางระเบยี บการลงโทษ สทั ธวิ หิ ารกิ วตั ร
การตดั สนิ อธกิ รณ์ ๔) งานด้านสาธารณปู การ คือ การดแู ลน
การสง่ เสรมิ ความสามคั คี อนั เตวาสกิ วตั ร วกกรารรกมอ่ สรา้ งเสนาสนะทอ่ี ยอู่ าศยั การใชค้ นวดั ให้
การทาสงั ฆกรรมประเภทตา่ งๆ ทางาน ๙
๒ ลกั ษณะงานที่จดั เป็นแผนก (Departmentation) BSC ในพทธ
เจ้าอธิการแห่งจีวร เจา้ อธิการแห่งอาหาร
ผรู้ บั จีวร เรียกวา่ ผเู้ กบ็ จีวร เรียกวา่ ผแู้ จกจีวร เรียกวา่ ผแู้ จกภตั ร เรียกว่า เป็นผแู้ จกยาคู
จีวรปฏิคคาหกะ จีวรนิ ทหกะ จีวรภาชกะ ภตั ตุเทสกะ เรียกวา่ ยาคภุ า
เป็นผแู้ จกผลไม้ เป็นผแู้ จกของขบเค้ียว
เรียกว่า ผลภาชกะ เรียกว่า ขชั ชภาชนะ
เจ้าอธิการแห่งเสนาสนะ เจา้ อธิการแห่งอาราม
เป็นผมู้ หี น้าที่แจกเสนาสนะ เป็นผแู้ เต่งตงั้ เสนาสนะ หน้าที่เป็นผใู้ ช้คนทาการวดั ผมู้ ีหน้าท่ีใช้สามเณร เป็นผมู้ หี น้าที่ดนู วกรรม
เรียกวา่ เสนาสนคาหาปกะ เรียกว่า เสนาสนปัญญาปกะ เรียกว่า อารามิกเปสกะ เรียกวา่ สามเณรเปสกะ เรียกว่า นวกมั มิกะ
๑๐
๓ ลกั ษณะงานท่ีต้องอาศยั ความชานาญเฉพาะด้าน (Specialization of
work) โครงสร้างการแบง่ หน้าที่ในองคก์ รคณะสงฆส์ มยั พทุ ธกาล
พระพทุ ธเจา้
การปกครอง คณะสงฆ์ อสีติ
การศึกษา เจา้ หน้าท่ีทาการสงฆ์ มหาสาวก
การเผยแผ่
สาธารณปู การ ตาแหน่งเอตทคั คะ
ยกยอ่ งตามเร่ืองท่ีเกิด ยกย่องตามท่ีได้สะสมบุญ
สาวกเท่านัน้ ไดแ้ สดงความ มาแต่ในอดีตชาติ
สามารถออกมาให้ปรากฎ พรอ้ มตงั้ จิตปรารถนา
โดยสอดคลอ้ งกบั เหตกุ ารณ์
ท่ีเกิดขึ้น เพือ่ บรรลตุ าแหน่งนัน้
ยกยอ่ งตาม ยกยอ่ งตามท่ีมีความ ๑๑
ความชานาญ สามารถเหนือผอู้ ่ืน
มีความชานาญเฉพาะ ที่มีความสามารถ
เรอื่ งเป็นพิเศษ อยา่ งเดียวกนั
สมณสญั ญาสูตร
• สมณสญั ญา ๓ ประการ คอื
• เราเป็นผูม้ เี พศต่างจากคฤหสั ถ์ ๑
ชีวติ ของเราเน่ืองดว้ ยผูอ้ น่ื ๑
มรรยาทอนั เราควรทามอี ยู่ ๑
• ภกิ ษุผูเ้จริญสมณสญั ญา ๓ ประการน้ี ใหม้ ากแลว้ ยอ่ มยงั ธรรม ๗ ประการน้ีใหบ้ ริบูรณ์ คือ
• เป็นผูม้ คี วามประพฤติตดิ ต่อเป็นนิตยใ์ นศีลทงั้ หลาย ๑
เป็นผูไ้ มโ่ ลภมาก ๑ เป็นผูไ้ มพ่ ยาบาท ๑ เป็นผูไ้ มถ่ อื ตวั ๑
เป็นผูใ้ คร่ในการศึกษา ๑ เป็นผูม้ กี ารพจิ ารณาในปจั จยั ทงั้ หลายอนั เป็นบรขิ ารแหง่ ชีวติ วา่ ปจั จยั หเลา่ น้ีมปี ะโยชน์ จงึ บรโิ ภค ๑
เป็นผูป้ รารภความเพยี ร ๑
สมณเพศ (สถานะ)-สมณสญั ญา(สานึก)-สมณสารูป (รูปแบบ)
24
ยกตวั อย่าง เอตทคั คะ
เอตทคั คะ/ภิกษุ เอตทเคั ขคมะา/ภิกผษมู้ ุณีปี ัญเชญ่นา
เชส่นารบี ตุ ร ผมู้ ีปัญญามาก มาก
สกลุ า ผมู้ ีตาทิพย์
มหาโมคคลั ลานะ ผมู้ ีฤทธ์ิมาก นันทา ผยู้ ินดีใน
อนุรทุ ธะ ผมู้ ีตาทิพย์ ฌาน
ปิ ลินทวจั ฉะ ผเู้ ป็นท่ีรกั ที่ชอบใจของเหล่า
เทวดา
เอตทคั คะ/อบุ าสก เอตทคั คะ/อบุ าสิกา
เช่น ผถู้ งึ สรณะก่อน เช่น วิสาขามิคารมาตา ผยู้ ินดีย่ิงในการถวายทาน
พอ่ คา้ ชือ่ ตปุสสะและภลั ลิกะ
สามาวดี ผมู้ ีปกติอยู่ดว้ ยเมตตา
ชีวกโกมารภจั จ์ ผเู้ ลอ่ื มใสเฉพาะบคุ คล
สุปปิ ยาอบุ าสิกา ผบู้ ารงุ ภิกษุอาพาธ
นกลุ ปิ ตาคหบดี ผกู้ ลา่ วถ้อยคาที่ทาให้เกิด
ความคนุ้ เคย
๑๒
หลกั พทุ ธธรรมท่ีช่วยในการทางานให้ประสบความสาเรจ็
ฆราวา สงั ฆห อิทธิ
สธรรม วตั ถุ ๔ บาท ๔
๔ ทีมงานและ
การทางาน
เป็ นทีม
พรหม สปั ปรุ ิส
วิหาร ๔ ธรรม ๗
๑๓
พรหมวิหาร ๔ : หลกั ความประพฤตอิ นั ประเสรฐิ มี ๔ ประการ
คอื
เมตตา ความรกั ใคร่ ความปรารถนาดี อยากใหผ้ อู้ น่ื มี
ความสุข
กรณุ า ความสงสาร ตอ้ งการทจ่ี ะช่วยเหลอื ผอู้ ่นื ใหห้ ลุด
พน้ จากความทุกข์
มทุ ิตา ความชน่ื ชมยนิ ดเี มอ่ื เหน็ บุคคลอ่นื เขาไดด้ มี คี วามสขุ
อเุ บกขา ความวางเฉยไมด่ ใี จ ไมเ่ สยี ใจ ความวางใจเป็นกลาง
ไม่ลาเอยี ง โดยพจิ ารณาว่า ใครทาดยี ่อมไดด้ ี ใคร
ทา
ชวั่ ย่อมไดช้ วั่
๑๔
๑๕
อิทธิบาท ๔ : หลกั ธรรมทน่ี าไปสคู่ วามสาเรจ็ แห่งกจิ การ มี ๔ ประการ คอื
ฉันทะ ความพอใจในงานทท่ี า หรอื ในสง่ิ ทจ่ี ะศกึ ษาเล่าเรยี น
วิริยะ ความเพยี รพยายามทางานใหส้ าเรจ็ ไมย่ อ่ ทอ้ ต่อการทางาน
จิตตะ ความเอาใจใส่ในการทางาน ตงั้ ใจทางานอย่างสม่าเสมอ
วิมงั สา ความคดิ รอบคอบ ใชป้ ัญญาพจิ ารณาไตร่ตรองงานทท่ี าวา่ มี
ขอ้ บกพร่องอะไรทค่ี วรแกไ้ ข หรอื ควรเพม่ิ เตมิ อะไร ซ่ึงจะทา
ให้
งานนนั้ ดขี น้ึ
หลกั ธรรมทงั้ 4 ประการนี้ เป็นเหตุเป็นผลกนั นัน้ คือ ความพอใจทาให้เกิดความขยนั หมนั่ เพียร ความรบั ผิดชอบ ซ่ึงจะทาให้เกิด
ความเอาใจใส่ และมจี ิตใจจดจ่อต่อการทางานนัน้ และความเอาใจใส่นี้เองจะทาให้เกิดการพิจารณาไตร่ตรองงานท่ีทาไปแล้วว่าดีหรือยงั
มขี ้อบกพร่องหรือไม่ ถ้ามีข้อบกพร่องกส็ ามารถแก้ไขได้ทนั
๑๖
๑๗
๑๘
อปริหานิยธรรม 7
หลกั การทางานเป็นทีมอยา่ งมีประสิทธิภาพ 7
ประการ
๑๙
อปริหานิยธรรม 7 หรอื หลกั การทางานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ 7 ประการ มคี วามหมาย และรายละเอยี ด
ดคงวั ตาม่อหไปมนา้ีย
อปริหานิยธรรม (อ่านวา่ อะปะรหิ านิยะธรรม) แปลวา่ ธรรมไม่เป็นทต่ี งั้ แห่งความเส่อื ม เป็นไปเพ่อื ความเจรญิ ฝ่ายเดยี ว หมายถงึ ธรรมท่ที าใหไ้ ม่เส่อื ม
เกดิ ความเจรญิ ทงั้ ส่วนตนและส่วนรวม นาความสุขความเจรญิ มาส่หู ม่คู ณะฝ่ายเดยี ว เพราะเป็นหลกั ธรรมทเ่ี น้นความรบั ผดิ ชอบต่อส่วนรว ม ก่อเกดิ เป็นความ
สามคั คขี องหม่คู ณะ และการเคารพนบั ถอื ซ่งึ กนั และกนั สรุปก็คอื เป็นหลกั ธรรมท่สี อนใหเ้ รารจู้ กั หลกั การทางานเป็นทมี อย่างมปี ระสิ ทธภิ าพ เพ่อื สรา้ งชมุ ชน
องคก์ ร หรอื สถาบนั ใหเ้ ขม้ แขง็ สามารถนาไปใชไ้ ดท้ งั้ หม่ชู นกบั ผบู้ รหิ ารบ้านเมอื ง และคณะพระภกิ ษุสงฆ์
ทุกคนย่อมจะเขา้ ใจอย่แู ลว้ วา่ ความสุขความเจรญิ ของบุคคลย่อมองิ อาศยั สถาบนั คาว่าสถาบันนนั้ หมายถงึ องค์กรหน่ึง ๆ เช่น วดั คณะสงฆ์ ศาสนา
ประเทศ กระทรวง กรมกอง หรอื ทเ่ี รยี กชอ่ื เป็นอยา่ งอ่นื กต็ าม หน่วยงานทบ่ี รกิ ารความสขุ ความเจรญิ ใหแ้ กส่ มาชกิ หน่วยหน่งึ ๆ กเ็ รยี กว่า สถาบนั หน่งึ
สถาบนั หน่งึ ๆ กย็ ่อมประกอบดว้ ยบุคคลหลายคน เป็นสมาชกิ คนหลายคนกห็ ลายใจหลายนสิ ยั ใจคอ
การดารงรกั ษาสถาบนั ใหม้ นั่ คงและใหเ้ จรญิ รงุ่ เรอื ง มใิ หเ้ ส่อื มถอยลงไปนนั้ จงึ เป็นเทคนคิ (วธิ กี ารเฉพาะ) อยา่ งหน่งึ
จะเหน็ ไดว้ า่ มชี นชาตหิ ลายเผา่ ในโลกน้ีไดส้ าบสญู ไป มปี ระเทศบางประเทศหมดความเป็นอสิ ระ มลี ทั ธศิ าสนามากต่อมากท่สี ลายตวั สถาบันอกี มากมายท่ี
แมจ้ ะไมถ่ งึ กบั ลม้ ละลายแต่กเ็ ส่อื มโทรมอยา่ งน่าเสยี ดาย ทงั้ หมดนนั้ เกดิ จากการบรหิ ารงานของสถาบนั นนั้ ๆ ไม่ถกู ตอ้ งเหมาะสม
แม้พระพุทธศาสนา ซ่งึ เป็นสถาบนั ใหญ่ยง่ิ สถาบันหน่ึงในโลก กต็ กอย่ใู นวถิ แี ห่งความเส่อื มและความเจรญิ เหมอื นกนั ทงั้ ๆ ท่พี ระบรมศาสดากท็ รงช้ี
ชอ่ งทางเพ่อื การดารงรกั ษาพระพุทธศาสนาใหม้ นั่ คงไวแ้ ลว้ แตถ่ า้ หากพุทธบรษิ ทั 4 ตา่ งไม่นาพาทจ่ี ะนาไปปฏบิ ตั ใิ หค้ รบถว้ น กจ็ ะทาให้พระพุทธศาสนาถงึ ความ
เสอ่ื มสลายได้
เราทกุ คนเป็นผมู้ หี น้าทด่ี ารงรกั ษาสถาบนั ทงั้ สน้ิ ไม่วา่ จะในฐานะของผบู้ รหิ ารกใ็ นฐานะของสมาชกิ จงึ ควรศกึ ษาหลกั ธรรมเร่อื ง อปรหิ านิยธรรม น้ีไวใ้ ห้ดี
เพราะหลกั ธรรมเร่อื ง อปรหิ านิยธรรม เป็นเทคนิคในการดารงรกั ษาสถาบนั ใหเ้ จรญิ รุ่งเรอื ง ไมไ่ ปสคู่ วามเส่อื มถอย ซง่ึ อนุโลมใชไ้ ดท้ งั้ ทางโลกและทางธรรมและใน
ทุกระดบั ซง่ึ เป็นหลกั ธรรมทท่ี นั สมยั อย่เู สมอ ๒๐
การทางานเป็นทีม หรอื แบบรรู้ กั สามคั คีนัน้ พระพุทธเจา้ ทรงตรสั สอนไวเ้ ช่นกนั ซง่ึ ธรรมในเรอ่ื งน้เี รยี กวา่ อปรหิ านิยธรรม มที งั้ สาหรบั พระสงฆแ์ ละคนทวั่ ไป เน้อื
เรอ่ื งกลา่ วถงึ
พระเจ้าอชาติศตั รแู ห่งแควน้ มคธต้องการจะทาสงครามยดึ ครองแคว้นวชั ชีท่ีอย่ตู ิดกนั แต่แควน้ วชั ชนี นั้ มรี ะบบการปกครองทเี่ ขม้ แขง็ มาก พระเจา้ อาชาตศิ ตั รจู งึ
สง่ วสั สการพราหมณ์ไปเฝ้าพระพทุ ธเจา้ กราบทลู เรอ่ื งน้เี พอ่ื ตอ้ งการทราบวา่ พระพทุ ธเจา้ จะทรงตรสั เชน่ ไร ปรากฏวา่ พระพทุ ธเจา้ ไมต่ รสั เรอ่ื งเก่ียวกบั การทพี่ ระเจา้ อชาติ
ศตั รจู ะทาสงคราม หากแต่ตรสั เรอ่ื งการปกครองของชาววชั ชที ที่ าใหบ้ า้ นเมอื งของตนมคี วามเขม้ แขง็ โดยตรสั กบั พระอานนทว์ ่า ชาววชั ชีประพฤติ อปริหานิยธรรม
คอื ธรรมอนั เป็นไปเพอ่ื ความไมเ่ ส่ือม เป็นไปเพอื่ ความเจริญโดยสว่ นเดียว ประกอบด้วยข้อปฏิบตั ิ 7 ประการ คือ
1. หมนั่ ประชมุ กนั เนอื งนติ ย์
2. เมอ่ื ประชมุ กพ็ รอ้ มเพรยี งกนั ประชมุ เมอ่ื เลกิ ประชมุ กเ็ ลกิ โดยพรอ้ มเพรยี งกนั และพรอ้ มเพรยี งกนั ทากจิ ใหส้ าเรจ็ ไปลลุ ว่ งดว้ ยดี
3. เคารพเชอ่ื ฟังในบทบญั ญตั ทิ ดี่ อี ยู่แลว้ ไมเ่ พกิ ถอน และไมบ่ ญั ญตั สิ งิ่ ทไ่ี มด่ ขี น้ึ มาแทน
4. เคารพสกั การะนบั ถอื ยาเกรงผอู้ าวโุ สทผ่ี า่ นโลกมานาน ไมล่ บหลดู่ หู มนิ่ เหยยี ดหยาม
5. ประพฤตธิ รรมในสตรี คอื ไมข่ ม่ เหงย่ายนี ้าใจสตรี
6. เคารพสกั การะปชู นยี สถานอนั สาคญั ของชนชาติ
7. ใหค้ วามคมุ้ ครองเคารพพระสงฆ์ สมณชพี ราหมณ์ ผทู้ รงศลี ปรารถนาใหม้ าสแู่ ควน้ ตนทม่ี าแลว้ กบ็ ารงุ รกั ษาใหอ้ ยู่อย่างเป็นสขุ
๒๑
พระพทุ ธองคต์ รสั ถงึ องคป์ ระกอบของอปริหานิ ยธรรม ไว้ 7 ประการ ทงั้ สาหรบั คฤหสั ถแ์ ละสาหรบั พระภิกษุสงฆ์
ดงั ต่อไปนี้
อปริหานิยธรรมสาหรบั คฤหสั ถ์
1. หมนั่ ประชมุ กนั เนืองนิตย์ หมายถงึ การประชมุ พบปะปรกึ ษาหารอื กนั ในกจิ การงานต่างๆ อย่าง สมา่ เสมอ เพอ่ื แกป้ ัญหาใน
การสอ่ื สาร แลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ซง่ึ กนั และกนั ยอมรบั ในเหตุผลทถ่ี กู ตอ้ ง ทเ่ี ป็นประโยชน์สรา้ งความเขา้ ใจทด่ี ตี ่อกนั และหา
แนวทางแกไ้ ขปัญหาต่างๆ ร่วมกนั
การประชมุ กนั บ่อยๆ คยุ กนั บ่อยๆ นนั้ เป็นการระดมมนั สมอง รวมความสามารถทท่ี กุ คนมี แลว้ นามาแกไ้ ขปรบั ปรุง
ขอ้ บกพรอ่ งส่งเสรมิ พาหมคู่ ณะใหม้ คี วามเจรญิ ในดา้ นต่างๆ เชน่ ในสถานทท่ี างาน หวั หน้ามกี ารประชมุ ปรกึ ษากบั ผรู้ ่วมงานทุก
ครงั้ งานกจ็ ะราบรน่ื หากมขี อ้ ผดิ พลาด ทกุ คนกจ็ ะยอมรบั ในสง่ิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในครอบครวั พอ่ แม่ ลกู มอี ะไรพดู กนั ปรกึ ษากนั ลกู ก็
จะอบอุ่น จะไมต่ ดิ เกมสห์ รอื ไมต่ ดิ ยาเสพตดิ
หมายเหตุ คาวา่ ประชุมนนั้ หมายรวมไปถงึ การพบปะ สนทนา การรบั ประทานอาหาร การเลน่ กฬี า การทากจิ กรรมกลุ่ม
ยอ่ ยดว้ ยกนั เป็นตน้ และการประชุมนนั้ สมาชกิ ทกุ คนจะตอ้ งมสี ตกิ ากบั เพอ่ื ควบคุมอารมณ์ใหไ้ ดอ้ ยตู่ ลอดเวลามเิ ชน่ นนั้ แลว้ การ
ประชมุ กจ็ ะไมส่ มั ฤทธผิ ล
๒๒
อปริหานิยธรรมสาหรบั คฤหสั ถ์
2. พร้อมเพรียงกนั ประชมุ พรอ้ มเพรยี งกนั เลกิ ประชมุ พรอ้ มเพรยี งกนั ทากจิ ทค่ี วรทา หมายถงึ เขา้ ประชุม เลกิ ประชุม และทา
กจิ ทไ่ี ดร้ บั มอบหมายตามมตทิ ป่ี ระชุม อย่างพรอ้ มเพรยี งกนั เพอ่ื สรา้ งความรบั ผดิ ชอบรว่ มกนั ป้องกนั ไมใ่ หเ้ กดิ การกนิ แหนง
แคลงใจกนั ตอ้ งใหค้ วามสาคญั กบั การประชุม ตอ้ งทางานของสว่ นรวมใหด้ ี และพรอ้ มเพรยี งกนั ลุกขน้ึ ป้องกนั หมคู่ ณะเมอ่ื มภี ยั
หมายเหตุ การเรม่ิ และเลกิ ประชุมโดยพรอ้ มเพรยี งกนั นนั้ ไมใ่ ชท่ าไดง้ า่ ย ๆ เป็นตวั วดั ว่าคนในทมี มคี วามพรอ้ มหรอื ไมแ่ ค่
ไหน การตรงต่อเวลาเป็นการเสยี สละ เป็นการแสดงน้าใจเหน็ อกเหน็ ใจผอู้ น่ื ใหค้ วามสาคญั ของคาวา่ ทมี หวั หน้าทด่ี จี งึ ตอ้ ง
รกั ษาเวลาทงั้ การเรม่ิ และเลกิ ประชุม
การทากจิ ต่างๆ ตามมตทิ ป่ี ระชุม เป็นการเสยี สละ การยอมรบั อดทนอดกลนั้ และทส่ี าคญั คอื เรอ่ื งของความไวเ้ น้อื เชอ่ื ใจ ซง่ึ
เป็นเรอ่ื งทส่ี าคญั ทส่ี ุด หากไมเ่ ชอ่ื ใจกนั จะทาใหไ้ มแ่ บ่งงานกนั เกดิ การหลงตนเอง การใจไมถ่ งึ ใจไมก่ วา้ งพอทจ่ี ะเปิดโอกาสให้
คนอ่นื ๆ ทาผดิ พลาดเพอ่ื การเรยี นรู้
การจดั ทาเอกสาร และกาหนดมาตราฐานต่างๆ ในการทางาน กเ็ ป็นการวางระบบใหท้ างานอยา่ งพรอ้ มเพรยี งกนั ได้อยา่ ง
หน่งึ ๒๓
อปริหานิยธรรมสาหรบั คฤหสั ถ์
3. ไม่บญั ญัติสิ่งที่ยังไม่บญั ญัติ จกั ไม่ถอนส่ิงท่ีท่านบญั ญตั ิไว้แล้ว ประพฤติมัน่ อยู่ในธรรมของชุมชนครัง้
โบราณ หมายถงึ ไมบ่ ญั ญตั สิ ง่ิ ใหม่ ๆ หรอื ลม้ เลกิ บญั ญตั เิ ดมิ ตามอาเภอใจ โดยผดิ หลกั การเดมิ ทห่ี มู่คณะไดว้ างไว้ จะตอ้ ง
ถอื ปฏบิ ตั มิ นั่ ตามหลกั การเดมิ ของหมคู่ ณะทาตามกฎระเบยี บ ตามกตกิ าขอ้ บงั คบั ตามหลกั เกณฑข์ องหมู่คณะ เพอ่ื ความ
เสมอภาคกนั อนั เป็นเหตุส่งเสรมิ ใหก้ ารปกครองการบรหิ ารเกดิ ผลดี มปี ระสทิ ธภิ าพ ไม่เล่นนอกกฎนอกกตกิ า เพราะจะ
กลายเป็นกตกิ าส่วนตวั ทไ่ี ม่ตรงกบั กติกาของคนอ่นื ซ่งึ จะสรา้ งปัญหาใหเ้ กดิ ข้นึ ตามมาภายหลงั ตวั อย่างเช่น นักเรยี น
จะตอ้ งแต่งเครอ่ื งแบบของโรงเรยี นเพอ่ื ความเป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ย จะแต่งกายตามใจตนเองไมไ่ ด้
หมายเหตุ การกาหนด วสิ ยั ทศั น์ เป้าหมาย ยุทธศาสตร์ แผนรองรบั ฯลฯ คอื การบญั ญตั ดิ งั นนั้ ทุกคนในทมี จะตอ้ งทา
ตามอยา่ งเคร่งครดั ไมล่ ม้ เลกิ เพม่ิ ถอน ตามอาเภอใจ
๒๔
อปริหานิยธรรมสาหรบั คฤหสั ถ์
4. สกั การะเคารพนับถือบูชาท่านผ้ใู หญ่ทงั้ หลาย มองเหน็ ความสาคญั แห่งถ้อยคาของท่านว่าเป็นสิ่งอนั พึงรบั ฟัง หมายถงึ
ใหค้ วามเคารพและรบั ฟังความคดิ เหน็ คาแนะนาของผใู้ หญ่
ผใู้ หญ่เป็นผมู้ ปี ระสบการณ์ยาวนาน ดงั นนั้ เราตอ้ งใหเ้ กยี รติ ใหค้ วามเคารพนบั ถอื และรบั ฟังความคดิ เหน็ ของท่านในฐานะทเ่ี ป็น
ผูร้ ู้และมปี ระสบการณ์มามาก การอยู่ร่วมกนั ในหม่คู ณะจาเป็นต้องมผี ู้นาและผูต้ าม เราต้องเคารพนับถือผู้เป็นใหญ่เป็นประธาน
เคารพผบู้ รหิ ารหมคู่ ณะ ถา้ เราใหก้ ารเคารพและเชอ่ื ฟังผนู้ า หมคู่ ณะสงั คมกจ็ ะไมว่ ุ่นวาย เช่น ถ้าลูกเช่อื ฟั งพ่อแม่กจ็ ะเป็นคนดไี ด้ ไม่
เกะกะเกเรกอ่ ความเดอื ดรอ้ นใหก้ บั ครอบครวั และสงั คม
หมายเหตุ จดุ ตงั้ ตน้ ของการนาทมี อย่ทู ผ่ี ใู้ หญ่ในองค์กร ว่ามคี ุณธรรม ค่คู วรแก่การเคารพนับถอื กราบไหวไ้ ดห้ รอื ไม่ น่าฟังและ
ทาตามแค่ไหน บางองค์กร ผใู้ หญ่ทาตวั ไมน่ ่าเคารพนบั ถอื ไมน่ ่ากราบไหว้ มนี ิสยั เจา้ ชู้ ชอบเล่นการพนัน คดโกง เหน็ แก่ตวั ขาด
ศลี ธรรม ไรจ้ รยิ ธรรม กย็ ากทจ่ี ะสรา้ งบรรยากาศการทางานเป็นทมี ทด่ี ไี ด้
๒๕
อปริหานิยธรรมสาหรบั คฤหสั ถ์
5. ไมข่ ่มขนื บงั คบั ปกครองหญิงในสกลุ หมายถงึ ใหเ้ กยี รตแิ ละคุม้ ครองสตรแี ละกุมารที งั้ หลาย ให้
อยดู่ ี มใิ หถ้ ูกลว่ งเกนิ ขม่ เหงรงั แกหรอื ถกู ฉุดคร่าขนื ใจ
สตรถี อื ว่าเป็นเพศแม่ เป็นเพศทอ่ี ่อนแอ บุรุษควรใหเ้ กยี รติ ใหก้ ารยกย่อง ปกป้ องไมใ่ หใ้ คร
ละเมดิ สทิ ธหิ รอื ขม่ เหงรงั แก ถา้ สงั คมใด ๆ ผหู้ ญงิ ถูกฉุดคร่าขม่ ขนื มาก ๆ ความเส่ือมย่อมจะเกดิ กบั
สงั คมนนั้
หมายเหตุ การทารา้ ย การทาผดิ ในลกู เมยี ผอู้ ่นื การกดขท่ี างเพศ การทาลามกอนาจารย่อม
นามาซง่ึ ความเส่อื มในองค์กร เพราะทาให้เกดิ ความหวาดระแวง และขาดความปลอดภยั ในคู่ครอง
และในทน่ี ้ยี งั รวมไปถงึ การไมร่ บั ฟังความเหน็ ของเพศหญงิ ดว้ ย
๒๖
อปริหานิยธรรมสาหรบั คฤหสั ถ์
6. สกั การะ เคารพ นับถือ บชู าเจติยสถานของคนในชุมชนทงั้ ภายในและภายนอกและไม่ลบล้างพลีกรรมอนั ชอบ
ธรรม ซ่ึงเคยให้เคยทาแก่เจติยสถานเหล่านัน้ หมายถึง ใหก้ ารสกั การะ เคารพ นับถอื บูชาและปกป้องรกั ษาปูชนีย
สถานทส่ี าคญั ของชุมชนนนั้ ๆ โดยทวั่ ถงึ ทงั้ หมด เพอ่ื ให้เป็นเครอ่ื งเตอื นความทรงจา เป็นเครอ่ื งยึดเหน่ียวจติ ใจ เป็นศูนย์
รวมใจของหม่ชู น เรา้ ใหท้ าดี และไม่บนั่ ทอนผลประโยชน์ทเ่ี คยอุปถมั ภบ์ ารุงเจดยี ์หรอื ปชู นียสถานเหล่านนั้ ไม่ละเลยพธิ ี
เคารพบชู าอนั พงึ ทาต่ออนุสรณ์ ถานเหลา่ นนั้ ตามประเพณที ด่ี งี าม
เป็นการแสดงถงึ ความเป็นผมู้ นี สิ ยั ดี รกั สนั ตภิ าพ ขดั เกลาจติ ใจอยเู่ สมอ พรอ้ มทจ่ี ะปฏบิ ตั ดิ โี ดยไม่ประมาท การทส่ี มาชกิ
ของสงั คมเป็นคนดี ย่อมเป็นเกยี รติ เป็นศกั ดศิ์ รี และเป็นเครอ่ื งยนื ยนั ความบรสิ ุทธใิ์ จในการปฏบิ ตั ภิ ารกจิ ต่าง ๆ ไดเ้ ป็นอย่าง
ดี
หมายเหตุ ศนู ยร์ วมจติ ใจขององคก์ รนนั้ บางองคก์ รเคารพบูชาอนุสาวรยี ์บุคคลสาคญั หรอื บรรพบุรุษ หรือผมู้ พี ระคุณ
ขอใหห้ าศนู ยร์ วมจติ ใจในองคก์ รนนั้ ๆ ใหไ้ ด้ ไมว่ า่ จะเป็นเจดยี อ์ นุสาวรยี ์ ปชู นียสถาน ปูชนียวตั ถุ หรอื รปู เคารพต่าง ๆ กจ็ ะ
ทาใหส้ ามารถยดึ เหน่ยี วจติ ใจของคนในชุมชนหรอื องคก์ รนนั้ ๆ เพอ่ื สรา้ งความสามคั คที ด่ี ตี ่อกนั ไดไ้ ม่ยาก ๒๗
อปริหานิยธรรมสาหรบั คฤหสั ถ์
7. ถวายความอารกั ขา ความค้มุ ครอง ป้องกนั โดยชอบธรรมในพระอรหนั ต์ทงั้ หลายเป็ นอย่างดี ด้วยหวงั ว่า ไฉนพระ
อรหนั ตท์ งั้ หลายที่ยงั ไม่มา พงึ มาส่แู วน่ แควน้ และที่มาแล้ว พึงอย่เู ป็นสุข หมายถงึ จดั การใหค้ วามอารกั ขา บารุง คุม้ ครอง
อนั ชอบธรรมแกบ่ รรพชติ ผทู้ รงศลี ทรงธรรมบรสิ ุทธิ์ซง่ึ เป็นหลกั ใจและเป็นตวั อย่างทางศลี ธรรมของประชาชนเต็มใจต้อนรบั และ
หวงั ใหท้ ่านอยโู่ ดยผาสกุ
รวมถงึ ตงั้ ใจสนบั สนุนคนดี ปกป้องคนดสี ่งเสรมิ คนดี เลอื กคนดมี คี วามสามารถมคี ุณธรรมเขา้ มาเป็นกาลงั พฒั นาหมคู่ ณะของ
ตน ไมม่ กี ารขดั แขง้ ขดั ขา เลอ่ื ยขาเกา้ อ้ี เป็นตน้
การทะนุบารงุ คมุ้ ครองบรรพชติ ซง่ึ เป็นผสู้ บื ทอดพระพุทธศาสนาใหค้ งอยตู่ ลอดไปนนั้ สามารถทาไดโ้ ดยการทาบุญดว้ ยปัจจยั
4 แด่ทา่ นเป็นประจา เป็นตน้
หมายเหตุ พระอรหนั ตน์ นั้ ท่านเป็นบณั ฑติ เป็นผชู้ ท้ี างนพิ พาน การดแู ลตอ้ นรบั การฟังคาสงั่ สอนของท่าน ย่อมไดป้ ระโยชน์
มากมายทงั้ ทางตรงและทางอ้อม พ่อแมแ่ ละผใู้ หญ่ทด่ี มี คี ุณธรรมกเ็ ช่นเดยี วกนั "จงอย่าไดเ้ พลนิ คบแต่ผู้รูท้ างโลก จงคบผู้รทู้ าง ๒๘
ธรรมดว้ ย"
บทสรปุ อปริหานิยธรรมสาหรบั คฤหสั ถ์
สรปุ ตามแนวอปรหิ านยิ ธรรมน้ีไดค้ วามวา่ เหตุแหง่ ความเจรญิ กา้ วหน้า
ของชมุ ชนหรอื สถาบนั นนั้ ขน้ึ อยกู่ บั ปัญหาสาคญั ๆ คอื
ก. การบรหิ ารทด่ี ี ไดแ้ กอ่ ปรหิ านิยธรรมขอ้ ท่ี 1-2-3-4
ข. การวางตวั ของสมาชกิ ไดแ้ ก่อปรหิ านิยธรรมขอ้ ท่ี 5-6
ค. การปกป้องคมุ้ ครองท่านผเู้ ป็นตวั อยา่ งทางศลี ธรรม ได้แก่
อปรหิ านิยธรรมขอ้ ท่ี 7
๒๙
อปริหานิยธรรมสาหรบั พระภิกษุ
สงฆ์
๓๐
อปริหานิยธรรมสาหรบั พระภิกษุสงฆ์
1. หมนั ่ ประชมุ กนั เนืองนิ ตย์ หมายถงึ ในกจิ ของสงฆท์ ต่ี อ้ งทารว่ มกนั ไมว่ ่าเรอ่ื งเลก็ หรอื ใหญ่ ตอ้ งมกี ารประชมุ ปรกึ ษาหารอื
อย่างสมา่ เสมอ คอื กาหนดใหม้ กี ารประชุมกนั เป็นประจา เช่น มกี ารประชุมประจาวนั ประจาสปั ดาห์ ประจาเดอื น หรอื ประจาปี
และการประชุมพเิ ศษเมอ่ื มเี หตุอนั ควรประชมุ เกดิ ขน้ึ
ตวั อย่างการประชมุ ประจา (ประชมุ สามญั ) เชน่ ประชมุ ทาอุโบสถกรรม ประชุมทาวตั รเชา้ เยน็ ประชมุ ฟังเทศน์วนั ธรรมสวนะ
ตวั อยา่ งการประชมุ พเิ ศษ (ประชมุ วสิ ามญั ) เชน่ ประชุมทาอุปสมบทกรรม ประชุมวนิ ิจฉยั อธกิ รณ์ และประชมุ ปรกึ ษากจิ กรรม
การบรหิ ารงานทม่ี กี ารประชุมดงั น้มี ลี กั ษณะเป็นการบรหิ ารโดยหมคู่ ณะแบบประชาธปิ ไตย คอื ผใู้ หญ่ผนู้ ้อยต่างรบั ฟังความคดิ
ความเหน็ ของกนั และกนั ผลของการประชุมคอื ทาใหส้ มาชกิ ของสถาบนั นนั้ ต่างรสู้ กึ วา่ ตนเป็นเจา้ ของสถาบนั ดว้ ย ทาใหท้ ุกคนท่ี
เป็นสมาชกิ รสู้ กึ วา่ ตนกม็ โี อกาสรา้ งสรรคส์ ถาบนั ครนั้ แลว้ กท็ าใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ แก่ทุกคนว่า ตนเป็นผรู้ บั ผดิ ชอบในการดารงรกั ษา
สถาบนั เมอ่ื สมาชกิ ของสถาบนั เกดิ ความรสู้ กึ สามอยา่ งน้แี ลว้ ทกุ คนย่อมจะพทิ กั ษ์รกั ษาสถาบนั เตม็ ความสามารถ
๓๑
2. พรอ้ มเพรียงกนั ประชุม พร้อมเพรียงกนั เลิกประชมุ พร้อมเพรียงกนั ทากิจที่สงฆ์จะต้องทา หมายถงึ การประชุมถอื ว่าเป็น
กจิ ทส่ี งฆต์ ้องทาร่วมกนั แต่การทจ่ี ะใหส้ งฆท์ ุกรูปยอมรบั ซ่งึ กนั และกนั เพ่อื ความสามคั คี กจ็ ะต้องอาศยั ความพรอ้ มเพรยี งกนั ทุก ๆ
ครงั้ และตอ้ งพรอ้ มเพรยี งเป็นน้าหน่งึ ใจเดยี ว ชว่ ยทากจิ กรรมของสงฆจ์ นสาเรจ็ ดว้ ย เช่น ทาพธิ กี รรมในงานมงคลนิยมใชพ้ ระสงฆ์ 9
รปู กต็ อ้ งมาพรอ้ มกนั จงึ จะทาพธิ กี รรมได้
ข้อนี้เป็นกฎทวั่ ไปของการประชมุ ท่ีดี คอื ตอ้ งการความพรอ้ มเพรยี ง ซง่ึ การพรอ้ มเพรยี งนนั้ มคี วามหมาย 2 สถาน คอื
ก. การประชมุ ใดกาหนดตวั บคุ คลใดไว้ในรปู กรรมการ กพ็ ร้อมหน้ากนั ตามทก่ี าหนดไวถ้ า้ ตนจาเป็นเขา้ ประชุมไม่ไดก้ ต็ อ้ ง
บอกลาเป็นกจิ ลกั ษณะ
ข. การประชมุ ใดเป็นการประชมุ สมาชิกทงั้ หมด กพ็ รอ้ มหน้ากนั หมด แมผ้ ทู้ ไ่ี ปประชุมไมไ่ ด้ เช่น อาพาธ ก็ต้องบอกลา หรอื
มอบฉนั ทะใหค้ นอน่ื แทน
รวมความวา่ ทกุ คนถอื ว่าการประชมุ เป็นกจิ สาคญั เพราะเป็นงานของหมคู่ ณะ ถา้ หากจาเป็นพรอ้ มทางกายไม่ได้ ต้องแสดงออก
ซง่ึ ความพรอ้ มทางใจ โดยเฉพาะพระพุทธโอวาทขอ้ น้ี ย่อมส่องความในทางผบู้ รหิ ารดว้ ยว่า การประชุมนนั้ ควรพยายามกระทาเม่อื
สมาชกิ พรอ้ มหน้า ไม่ใช่คอยฉวยโอกาสเรยี กประชุมเมอ่ื สมาชกิ ไม่พรอ้ มแบบซุบซิบกนั ซ่งึ จะทาใหผ้ ลการประชุมบกพร่อง แมจ้ ะ
สมบรู ณ์ทางนติ นิ ยั แต่กไ็ มส่ มบรู ณ์ในทางสามคั คธี รรม
ผลของการปฏบิ ตั ติ ามอปรหิ านิยธรรมขอ้ น้ี คอื รกั ษาเอกภาพ (ความเป็นอนั หน่ึงอนั เดยี ว) ของสถาบนั ไวไ้ ด้ และโทษของการ
ปฏบิ ตั ทิ างตรงกนั ขา้ มกค็ อื ทาใหห้ มคู่ ณะแตกแยกเป็นก๊กเป็นเหลา่ เกดิ จดุ อ่อนขน้ึ ในสถาบนั นนั้
๓๒
3. ไม่บญั ญตั ิสิ่งที่พระพทุ ธเจ้าไม่บญั ญตั ิขึ้น ไม่ถอนสิ่งที่พระองค์ทรงบญั ญตั ิไว้แล้ว มาศึกษาและประพฤติอยู่ใน
สิกขาบทตามที่พระองคท์ รงบญั ญตั ิไว้ หมายถงึ ไมบ่ ญั ญตั ใิ นสงิ่ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ไมท่ รงบญั ญตั ิ ไม่ลม้ เลกิ สง่ิ ทพ่ี ระองคบ์ ญั ญตั ิ
ไว้ ถอื วา่ สกิ ขาบททพ่ี ระพทุ ธเจา้ บญั ญตั ไิ ว้ เปรยี บเสมอื นรฐั ธรรมนูญทพ่ี ระสงฆจ์ ะต้องปฏบิ ตั ติ าม ไม่เพกิ ถอนไม่เพมิ่ เตมิ ไม่
ละเมดิ พุทธบญั ญตั ิ เอาใจใส่ประพฤตติ นตามพทุ ธบญั ญตั อิ ยา่ งเครง่ ครดั
ขอ้ น้เี ป็นหลกั การใหญ่ ตน้ ไมท้ จ่ี ะแขง็ แรงทนทานตอ้ งมแี ก่น รฐั ทจ่ี ะมนั่ คงกต็ ้องมบี ญั ญตั สิ ูงสุดทเ่ี รยี กว่าธรรมนูญ ซง่ึ ทุก
คนต้องยดึ ถอื เป็นหลกั ไม่ใช่ใครมอี านาจอยากทาอะไรก็ทาตามอาเภอใจ ศาสนากเ็ หมอื นกนั มพี ระพุทธบญั ญัตเิ ป็นเหมอื น
รฐั ธรรมนูญสงฆท์ ด่ี ยี ่อมไมย่ กเลกิ เพกิ ถอน
ผลของการปฏบิ ตั ใิ นขอ้ น้คี อื ทาใหศ้ าสนาคงรปู คงรา่ งอยไู่ ดน้ าน
โทษของการไมป่ ฏบิ ตั ติ ามกค็ อื การทาลายโครงสรา้ งของพระศาสนา ทาใหศ้ าสนาเสยี ความมนั่ คง และถูกศาสนาอ่นื กลนื
ไดโ้ ดยงา่ ย
46
4. สกั การะและเคารพนับถือ บูชา พระภิกษุทงั้ หลายผ้เู ป็นพระเถระผ้รู ้กู าลนานผ้บู วชมาแล้วนาน ผ้เู ป็นบิดาของสงฆ์ เป็นปริณายกของสงฆ์ และยงั จกั
เช่ือถือโอวาทท่ีพึงฟังของท่านด้วย หมายถงึ เคารพนบั ถอื ใหเ้ กยี รตแิ ละรบั ฟังถอ้ ยคาของภกิ ษุผใู้ หญ่ ผเู้ ป็นประธานในสงฆ์ ผเู้ ป็นอธบิ ดี ผปู้ กครองสงฆ์
ในการปกครองของพระสงฆจ์ ะใหอ้ านาจแก่ผทู้ ม่ี คี วามสามารถตามบรรดาศกั ดิ์เชน่ ภกิ ษุผใู้ หญ่สงั ฆบดิ รสงั ฆปรนิ ายก ภกิ ษุทุกรปู จะต้องปฏิบตั ติ ามลาดบั ขนั้ เพ่อื
ความเป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ย
ขอ้ น้ีมงุ่ ในทางการปกครองบงั คบั บญั ชา โดยหลกั การนนั้ กค็ อื วา่ สถาบนั จกั ตอ้ งมกี ารปกครองบงั คบั บญั ชา ในการปกครองบงั คบั บญั ชานั้น ท่านย่อมใหอ้ านาจไว้
กบั ผทู้ ่มี ี สมรรถภาพสงู สามารถบรหิ ารกจิ การได้ แต่ผ้ทู ่ไี ดอ้ านาจนนั้ บางกรณีอายุพรรษาน้อยกว่าผทู้ ไ่ี ม่มอี านาจ อปรหิ านิ ยธรรมขอ้ น้ีจงึ โปรดใหถ้ อื หลกั "เคารพ
นบั ถอึ " ซง่ึ กนั และกนั ท่านแบ่งพระสงฆใ์ นหมหู่ น่งึ ๆ ไวด้ งั น้ี
ก. เถโร มอี ายุมาก
ข. จริ ปัพพชโิ ต มพี รรษามาก
ค. สงั ฆปิตา เป็นผใู้ หบ้ รรพชาอปุ สมบท (เหมอื นพอ่ )
ง. สงั ฆปรณิ ายโก เป็นหวั หน้าหมู่ (คอื ผไู้ ดร้ บั แต่งตงั้ ใหม้ อี านาจ)
บุคคลประเภทน้ที ุกคนควรเคารพนบั ถอื และเชอ่ื ฟัง ตามฐานะของท่านผนู้ นั้ เชน่ ในดา้ นการปกครอง ผมู้ อี ายุพรรษามากกเ็ ชอ่ื ฟังท่านท่ีเป็นสงั ฆปรณิ ายก ในด้าน
ประพฤตธิ รรมผมู้ อี านาจกเ็ ชอ่ื ฟังทา่ นทอ่ี ายพุ รรษามาก ดงั น้ีเป็นตน้ ผลการปฏิบตั ติ ามอปรหิ านิยธรรมขอ้ น้ี ทาให้การปกครองหม่คู ณะเป็นไปด้วยดี และมคี วามเป็น
ปึกแผน่ แน่นหนา ส่วนโทษของการไมป่ ฏบิ ตั กิ ต็ รงกนั ขา้ ม
47
5. ไม่ลุอานาจของตณั หา อนั มปี กตใิ หเ้ กดิ ในภพใหม่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ หมายถงึ ไม่ลุอานาจแก่ความอยากทเ่ี กดิ ข้ึน ไมน่ าความอยากของ
ตนเองเขา้ มา ไม่ปล่อยให้ความต้องการส่วนตวั เขา้ มาครอบงา ใหค้ ดิ ถงึ แต่ส่วนรวม รจู้ กั อดกลนั้ หกั หา้ มใจ มใิ ห้ตกเป็นทาสภายใต้
อานาจกเิ ลสตณั หา เพราะพระสงฆต์ ดั แลว้ ซง่ึ กเิ ลสตณั หา ความอยากมอี ยากไดจ้ ะตอ้ งไมเ่ กดิ ขน้ึ จงึ จะเป็นทย่ี กย่องของคนทวั่ ไป
ถ้าใครปฏบิ ตั ิได้ดงั น้ีย่อมทาให้สงั คมของพระภิกษุสงฆ์มรี ะเบยี บวนิ ัยดขี ้นึ สามารถดารงรกั ษาสิ่งท่ีมคี ุณค่าไว้ได้ยงั่ ยืน จะไม่
กอ่ ใหเ้ กดิ ความสญู เสยี ดา้ นการปกครอง และย่อมเป็นทต่ี งั้ แห่งศรทั ธา
ขอ้ น้มี งุ่ หมายถงึ การปกครองตนเองของแต่ละคน เป็นการสนบั สนุนขอ้ ท่ี 4 คอื คน เรามกั มคี วามอยากอยใู่ นสนั ดาน ทท่ี า่ นเรยี กวา่
ตณั หาบา้ ง โลภะบา้ ง มหจิ ฉาบา้ ง เมอ่ื กล่าวโดยสรปุ แลว้ ความอยากของคนเรากไ็ มพ่ น้ ไปจาก 3 อยา่ งคอื
ก. ความอยากได้ เชน่ อยากไดล้ าภ อยากไดย้ ศ อยากไดช้ อ่ื เสยี ง ฯลฯ
ข. อยากเป็น เชน่ อยากเป็นเจา้ อาวาส ฯลฯ
ค. ไมอ่ ยากเป็น อยากจะสลดั ทง้ิ หน้าทก่ี ารงานหรอื ตาแหน่งทส่ี งฆม์ อบให้
เมอ่ื ความอยากท่วมใจแลว้ มนั กจ็ ะแสดงออกมาในรูปความอจิ ฉารษิ ยา ใส่รา้ ยกนั แย่งชงิ กนั ฟ้องรอ้ งกนั ตเี สมอผู้ใหญ่ ยกตนข่ม
ทา่ น พระสมั มาสมั พุทธเจา้ ทรงสอนวา่ ไมใ่ หล้ ุอานาจแก่ความอยาก คอื อย่าทาอะไรทไ่ี มช่ อบไมค่ วรเพราะอานาจความอยากผลกั ดนั
จติ ใจ
ผลของการปฏบิ ตั ิ ทาใหห้ มคู่ ณะสงบเรยี บรอ้ ย น่าเลอ่ื มใส
โทษของการไมป่ ฏบิ ตั ิ คอื หม่คู ณะนัน้ จะเตม็ ไปดว้ ยเร่อื งวุ่นวาย ฟ้องรอ้ งกนั ทงั้ ต่อหน้าและลบั หลงั อย่างเช่นบางรายสมภารกบั
ลกู วดั ฟ้องกนั ถงึ ในศาลบา้ นเมอื ง ชอ่ื เสยี งอนั น่าเกลยี ดของสถาบนั นนั้ ย่อมแผ่ไปในสงั คมอย่างไมต่ อ้ งสงสยั 48
6. เป็ นผมู้ ีความยินดีในเสนาสนะตามราวป่ า หมายถงึ ยนิ ดใี นเสนาสนะอนั ควร ณ สถานท่อี นั สงดั คอื พระสงฆต์ ้องมี
ชวี ติ สงบเรยี บงา่ ย มงุ่ แสวงหาธรรมเพอ่ื เผยแพร่ใหก้ บั ผอู้ น่ื ตอ้ งรจู้ กั สงบจติ ใจ ซง่ึ จะช่วยใหส้ ามารถใชส้ ตปิ ัญญาแกไ้ ขปัญหา
ไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี
เสนาสนะป่ าตามขอ้ น้ี หมายถึงวดั ป่ า คอื วดั ท่หี ่างจากย่านชุมชน ตามสงั ฆประเพณีนัน้ วดั ป่ ามกั ห่ างจากหมู่บ้าน
ประมาณ 500 ชวั่ ขาธนู ประมาณ 500 เมตร หรอื ครง่ึ กโิ ลเมตรตามมาตราวดั สากล
แมป้ ระเทศไทยเราสมยั เรม่ิ แรกกค็ งถอื อย่างน้ี คอื สรา้ งวดั นอกหม่บู า้ น แต่ครนั้ นานเขา้ หม่บู า้ นขยายตวั ออกไปลอ้ มวดั
ทกุ วนั น้เี ราจงึ เหน็ แต่วดั ทอ่ี ย่กู ลางบา้ น กลางเมอื ง เป็นส่วนมาก
ความมงุ่ หมายของอปรหิ านิยธรรมขอ้ น้อี ยตู่ รงทว่ี ่า เป็นพระเป็นสงฆจ์ ะตอ้ งฝึกอบรมจติ ดว้ ยการนัง่ สมาธิ เดนิ จงกรม ถา้
พระไม่นาพาใหก้ ารอบรมจติ เม่อื ไร ศาสนากเ็ สอ่ื ม ทนี ้ีการอบรมจติ นนั้ ต้องการใช้สถานทว่ี เิ วกสงบสงดั เป็นสงิ่ แวดล้อมท่ี
เหมาะแก่การอบรม ท่อี ย่างน้ีกค็ อื ป่านัน่ เอง ในขอ้ น้ีท่านจงึ สอนใหน้ ิยมอย่เู สนาสนะป่า แมจ้ ะอย่ตู ลอดไปไม่สะดวก ก็หา
โอกาสไปพกั อบรมจติ ใจเป็นครงั้ คราว
ผลของการปฏบิ ตั ิ คอื ทาให้พระสงฆ์มกี ารอบรมจติ ใจ จะได้เป็นสมณะผู้สงบเสงย่ี มน่าเล่อื มใส ส่วนโท ษของการไม่
ปฏบิ ตั ิ กค็ อื สถาบนั จะขาดแคลนพระผไู้ ดร้ บั การอบรมจติ หมคู่ ณะกจ็ ะเตม็ ไปดว้ ยคนฟุ้งซ่าน
49
7. เข้าไปตงั้ สติไว้เฉพาะตน ว่าทาอย่างไร เพ่อื นพรหมจารที งั้ หลายผมู้ ศี ลี เป็ นท่รี กั ทย่ี งั ไม่มา
ขอใหม้ า และเพ่อื นพรหมจารที งั้ หลายผมู้ ศี ลี เป็นทร่ี กั ทม่ี าแลว้ ขอใหอ้ ย่สู บาย หมายถงึ ตงั้ ใจอยู่
ว่า เพ่อื นภิกษุสามเณรท่เี ป็นผู้มศี ลี ซ่งึ ยงั ไม่มาส่อู าวาสกข็ อให้มา ท่มี าแล้วก็ขอให้อยู่เป็นสุข
ใฝ่ใจทจ่ี ะพบเหน็ และสมาคมกบั ท่านผมู้ ศี ลี และอาจารบรสิ ทุ ธิ์ น่าเสอ่ื มใส
พระสงฆต์ อ้ งใจกวา้ งยนิ ดตี อ้ นรบั สมาชกิ ใหมแ่ ละมคี วามปรารถนาดตี ่อ สมาชกิ เก่า เพ่อื สงั คม
สงฆจ์ ะได้ไม่เกดิ ความเส่อื มถอย รวมถึงตงั้ ใจสนับสนุน ปกป้องส่งเสรมิ พระภิกษุ สามเณรท่ดี ี
เลอื กพระภกิ ษุสามเณรทด่ี มี คี วามสามารถมคี ุณธรรมเขา้ มาเป็นกาลงั พฒั นาหม่คู ณะของตนไม่มี
การขดั แขง้ ขดั ขา เล่อื ยขาเกา้ อ้ี เป็นตน้ การทะนุบารุงคุม้ ครองพระภกิ ษุสามเณรทด่ี ี ซง่ึ เป็นผสู้ บื
ทอดพระพุทธศาสนาใหค้ งอย่ตู ลอดไปนนั้ สามารถทาไดโ้ ดย การทาบุญดว้ ยปัจจยั 4 แด่ท่านเป็น
ประจา เป็นตน้
50