The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by withitmail, 2020-01-13 03:34:22

1

1

บทท่ี 1

บทนา

1.1 ความหมายของศาสนา

1.1.1 ศาสนาตรงกับคาในภาษาอังกฤษว่า “Religion” มาจากคาละตินว่า “Religio”
แปลว่า “ความสัมพันธ์” หรือ “ผูกพัน” นั่นหมายถึง “ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า”
หรือ “ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า” ด้วยการมอบศรัทธาบูชาพระเจ้าหรือเทพเจ้าผู้มี
อานาจเหนือตน ด้วยความเคารพยาเกรง ศรัทธาดังกล่าวประกอบด้วยองค์ 4 ดังต่อไปนี้

1) เชื่อวา่ พระเจา้ หรอื เทพเจา้ เปน็ ผสู้ ร้างโลกและสรรพส่งิ ทงั้ หลายทั้งปวงในโลก
2) เชื่อวา่ คาสอนดา้ นศีลธรรมจรรยาและกฎหมาย เป็นส่ิงทีพ่ ระเจา้ หรือเทพเจ้าทรงกาหนด
3) เชอื่ คาสอนของพระเจา้ หรอื เทพเจา้ โดยไม่ต้องพิสจู น์
4) อุทิศตนแด่พระเจา้ หรอื เทพเจา้

1.1.2 ศาสนามาจากศัพท์เดิมในภาษาสันสกฤตว่า “ศาสน์” ตรงกับคาในภาษาบาลีว่า
“สาสน” แปลว่า “คาส่ังสอน” หรือ “คาสอน” หรือ “การปกครอง” โดยมีความหมายเป็น
ลาดับดังตอ่ ไปน้ี

1) คาส่ังสอน แยกได้เป็น คาส่ัง อันหมายถึง ข้อห้ามทาความชั่ว เรียกว่า ศีล
หรือ วินัย และเป็นคาสอน อันหมายถึง คาแนะนาให้ทาความดี ท่ีเรียกว่า ธรรม เมื่อรวม คาสั่ง
และ คาสอน จึงหมายถึง ศีลธรรม หรือ ศีล กับ ธรรม น่ันคือมีท้ัง ข้อห้ามทาความช่ัว และ
คาแนะนาให้ทาความดี

2) การปกครอง หมายถึง การปกครองจิตใจของตนเอง ควบคุมดูแลตนเองกล่าว
ตักเตือนตนเองอยู่เสมอ และรับผิดชอบการกระทาทุกอย่างของตน บุคคลผู้สามารถปกครองจิตใจของ
ตนได้ ยอ่ มจะไมท่ าความชัว่ ทัง้ ในทลี่ ับที่แจ้ง1

อนึ่ง องคป์ ระกอบของคาสั่งสอนมดี งั ต่อไปน้ี
1. กลา่ วถงึ ความเชื่อในอานาจของส่ิงทม่ี อิ าจมองเหน็ ได้ด้วยตา มตี ัวอยา่ งดงั นี้

ก. ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เชอ่ื อานาจแหง่ เทพเจ้า
ข. พระพทุ ธศาสนา เชอื่ อานาจแห่งกรรม
ค. คริสตศ์ าสนาและศาสนาอสิ ลาม เชื่ออานาจแห่งพระเจ้า
2. มีหลกั ศลี ธรรม เชน่ สอนให้ละความชว่ั สร้างความดี และทาจติ ใจใหบ้ ริสุทธ์ิ เป็นต้น
3. มีจดุ หมายสูงสุดในชวี ติ เชน่ นิพพานในพระพุทธศาสนา นิรันดรในคริสต์ศาสนาและศาสนา
อสิ ลาม เป็นต้น
4. มพี ิธีกรรม โดยมตี วั อยา่ งดงั นี้
ก. พธิ บี รรพชาและพธิ ีอุปสมบท เป็นตน้ ในพระพุทธศาสนา
ข. พิธีรบั ศีลล้างบาป ศลี มหาสนิทและศลี พลัง เปน็ ต้น ในคริสตศ์ าสนา

1 ดนยั ไชยโยธา, นานาศาสนา. (กรุงเทพฯ : โรงพิมพโ์ อ.เอส.พรน้ิ ติง้ เฮ้าส์, 2539), หน้า 2-3.

2 ศาสนา

ค. พิธีละหมาด พธิ ีรักษาความสะอาด และพิธีเคารพพระเจา้ เปน็ ตน้ ในศาสนาอสิ ลาม
5. มีความเข้มงวดกวดขนั ในเรอ่ื งความจงรกั ภกั ดี

1.1.3 ศาสนาในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พทุ ธศักราช 2525 หนา้ 783
ไดใ้ หค้ วามหมายไว้ว่า “ลัทธิความเชื่อถือของมนุษย์อันมหี ลกั คือ แสดงกาเนิดและความสิ้นสุดของโลก
เปน็ ต้น อนั เป็นไปในฝุายปรมัตถ์ประการหน่ึง แสดงหลักธรรมเกยี่ วกบั บุญบาปอนั เป็นไปในฝาุ ยศีลธรรม
ประการหน่ึง พร้อมทัง้ ลัทธิพธิ ีทก่ี ระทาตามความเหน็ หรือตามคาสัง่ สอนในความเชื่อถือน้ันๆ”

1.2 ตะวนั ออก - ตะวันตกในทางศาสนา

การแบง่ โลกออกเปน็ ตะวันออกหรือตะวันตกนั้นแบ่งกนั ตามหลกั ภมู ศิ าสตร์บา้ ง แบ่งตาม
เผา่ พนั ธม์ุ นษุ ย์บ้าง ถ้าแบ่งตามภมู ศิ าสตร์ ดนิ แดนทวีปยโุ รปและทวีปอเมรกิ าเหนือทั้งหมด ถือว่าเป็น
โลกตะวนั ตก ดนิ แดนทวีปเอเชียทั้งหมดถือเป็นโลกตะวนั ออก เขา้ ใจวา่ ชาวยุโรปสมัยโบราณได้ทาการ
กาหนดไว้ ดังนน้ั ชาวยโุ รปจงึ เรยี กดินแดนที่เป็นประเทศตุรกีเวลานว้ี ่า ตะวันออกใกล้ เรียกดนิ แดน
แถบคาบสมุทรอาหรบั อหิ ร่าน อฟั กานิสถาน วา่ เปน็ ตะวนั ออกกลาง เรียกดินแดนตอ่ จากน้ันไป
จนถงึ เกาหลี ญป่ี นุ ฟลิ ปิ ปนิ ส์ ว่าเป็นตะวันออกไกล ในป๎จจบุ ันนี้ ความรู้สึกเกี่ยวกับตะวนั ออกใกล้
ตะวันออกกลางและตะวันออกไกล รสู้ ึกว่าจะลดน้อยลง ทั้งน้กี ็เพราะวา่ โลกแคบลง การคมนาคม
สะดวกขึน้ คนมักจะนิยมระบุชอ่ื ประเทศมากกวา่ จะพูดถึงแบบรวม ๆ นอกจากในกจิ การที่ครอบคลมุ
พน้ื ท่กี วา้ ง ๆ เช่น การสื่อสารทางวทิ ยุและการให้ความคุ้มครองทางทหาร เปน็ ตน้

อีกประการหนึ่ง การแบ่งโลกเป็นตะวันออก - ตะวันตก ก็มีส่วนผูกพันอยู่กับเช้ือชาติมนุษย์
อยู่บ้างเหมือนกัน เช่น ชาวยุโรปหรือคนเผ่าพันธ์ุคอเคเซียนทั้งหมดก็ถือว่าเป็นชาวตะวันตก แม้จะ
อพยพไปตงั้ หลักแหลง่ อยู่ในดินแดนตะวันออก เช่น ออสเตรเลีย ก็ยังถือว่าเป็นชาวตะวันตก ชาวจีน
แมจ้ ะไปตัง้ หลักฐานถาวรอยใู่ นกรุงลอนดอน ก็ยังคงถอื วา่ เป็นชาวตะวนั ออกอย่นู น่ั เอง

ในเรื่องเกี่ยวกับศาสนา เราจะแบ่งศาสนาเป็นตะวันออก- ตะวันตกตามเกณฑ์ทางภูมิศาสตร์
และเผ่าพนั ธุ์คงจะไม่ถกู ต้องนกั เพราะอาจจะก่อให้เกิดความสับสนได้ ตัวอย่างเช่น ศาสนาคริสต์เกิด
ในดนิ แดนตะวนั ออก แตก่ ลบั ไปเปน็ ศาสนาของชาวตะวันตก ศาสนายิวหรือยูดาเกิดในตะวันออกแต่ก็
ติดตามชาวยิวไปกระจัดกระจายอยู่ตามประเทศต่าง ๆ ในตะวันตก ศาสนาอิสลามเกิดในตะวันออก
แต่ก็มีคนนับถืออยู่ในแอฟริกาเหนือและยุโรปตะวันออก เราก็เลยไม่ทราบว่าจะจัดศาสนาเหล่านี้เป็น
ศาสนาตะวันออกหรอื ตะวันตก

อยา่ งไรก็ตาม เพื่อสะดวกในการศึกษา เราจะกาหนดให้ดินแดนต้ังแต่ตะวันออกกลางไปทาง
ทิศตะวันตกจนถึงทวีปอเมริกาเป็นแดนตะวันตก และจะกาหนดให้ศาสนากลุ่มเสมีติกทั้ง 3 คือ ยูดา
คริสต์ อิสลาม เป็นศาสนาตะวันตก เพราะศาสนาท้ัง 3 เกิดในดินแดนเดียวกัน และเป็นศาสนา
ประเภทเอกเทวนิยม (Monotheism) ด้วยกัน ที่สาคัญท่ีสุดก็คือว่า ศาสนาคริสต์ซึ่งเป็นหน่ึงในสาม
ศาสนาน้ันเป็นศาสนาประจาเผา่ พนั ธชุ์ าวยโุ รปมาเป็นเวลากว่าพันปี

สว่ นดนิ แดนตะวนั ออกนัน้ เราจะกาหนดเอาตั้งแต่อินเดียไปจนถึงญ่ีปุน และเราจะกาหนดให้
ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู พทุ ธ เชน ซึ่งเกิดในอินเดีย ศาสนาเต๋าและขงจื๊อซ่ึงเกิดในจีน และศาสนา
ชินโตของญี่ปุนเป็นศาสนาตะวันออก แม้ว่าศาสนาเหล่าน้ีจะมีลักษณะแตกต่างกันอยู่มาก แต่ก็มี

ศาสนา 3

ลกั ษณะร่วมหลายอย่างทีพ่ อจะทาให้แตกตา่ งจากศาสนาฝาุ ยตะวันตก เช่น มีลักษณะเป็นพหุเทวนิยม
(Polytheism) นับถือเทพเจ้าหลายองค์ เน้นการปฏิบัติส่วนตนเพื่อความหลุดพ้น ยอมรับการเวียน
วา่ ยตายเกิด เป็นต้น2

1.3 ศาสนาตามความหมายทางตะวันออก

เมือ่ พดู ถึงดนิ แดนทางตะวันออก ในแง่ท่ีเกี่ยวกับศาสนา แทบทุกคนคงจะนึกถึงอินเดีย ทั้งนี้
ก็เพราะว่าอินเดียเป็นแหล่งกาเนิดศาสนาสาคัญ ๆ ของโลก รวมท้ังลัทธิและปรัชญาสาขาต่าง ๆ
มากมาย ชาวอนิ เดียเป็นเจ้าของศาสนาฮินดูอันเก่าแก่ มีอายุไม่ต่ากว่า 4,000 ปี จากศาสนาฮินดูน้ี
เอง ศาสนาลทั ธแิ ละปรชั ญาตา่ ง ๆ กท็ ยอยเกิดข้นึ ในยคุ ตา่ ง ๆ เช่น ศาสนาเชน ศาสนาพุทธ ศาสนา
ซิกข์ เป็นต้น แม้ในป๎จจุบันนี้ก็ยังมีลัทธิใหม่ ๆ เกิดข้ึนอยู่เรื่อย ๆ บางลัทธิก็ไปเจริญแพร่หลายในโลก
ตะวันตกก็มี เช่น ลัทธิหเร กฤษณะ ลัทธิทิพย์รังสี ลัทธิสหโยคะ ลัทธิวิญญาณทิพย์ของศรี เอาโร
บินโด เป็นตน้

ชาวอินเดยี เรียกปรากฏการณ์ที่เรยี กวา่ “ศาสนา” ด้วยเชอื่ ตา่ งๆ ดงั ต่อไปนี้
ธรรมะ (Dhamma)
คาว่า ธรรมะ ในภาษาไทยแปลงมาจากรูปศัพท์ภาษาสนั สกฤตว่า ธรมฺ และคาว่า ธรฺม
น้ีในคัมภีร์ฤคเวทอันเก่าแก่ที่สุดของศาสนาฮินดู มีรูปศัพท์เป็น ธรฺมัน แปลตามศัพท์ว่า ค้าจุนทรงไว้
ยึดไว้ หนุนไว้ ใน Sanskrit-English Dictionary ท่านเซอร์ โมเนียร์ วิลเลียมส์ ได้ให้ความหมายของ
คาว่า ธรมัน ไว้หลายอยา่ งเชน่
- ระเบยี บที่แนน่ อนม่ันคงของสิง่ ตา่ ง ๆ
- บทบญั ญตั ทิ ี่ตายตวั (ของเทพเจ้า เฉพาะอย่างยงิ่ ของเทพมิตระและวรณุ ะ)
- การจดั ระเบียบหรือการจดั แสดงไว้
- ความมงุ่ หมาย ความสุข
- กฎ ระเบยี บ หนา้ ท่ี
- ข้อปฏบิ ัติ ประเพณี แบบฉบบั ธรรมเนียม
เมอ่ื คาวา่ ธรมัน แปรมาเป็น ธรมะ กม็ คี วามหมายครอบคลมุ ไปถึงหลักปฏิบัติทกี่ าหนดไว้
- คุณ (ตรงกันขา้ มกบั โทษ)
- คณุ ธรรม ศีลธรรม ศาสนา ความดีทางศาสนา กรรมดี3
- ในหนังสือ Buddhist Indea ศาสตราจารย์ ริส เดวิดส์ ได้อธิบายไว้ว่า คาว่าธรรมะ
ตามที่ปรากฏอยู่ในหลักฐานสมัยพระเจ้าอโศกน้ัน หมายถึง แบบฉบับ (Form) อันดีงามที่จะพึง
กระทา ตามประเพณที ีเ่ ป็นหลกั ฐานมั่นคงแล้ว............ ส่ิงท่ีทาให้คนผู้มีความรู้สึกผิดชอบช่ัวดี จาต้อ
ทา.......... จาต้องยึดถือโดยธรรมชาติ ธรรมะตามความหมายดังกล่าวนี้ ยังมิใช่ผลงานของพวก
พราหมณ์หรือของใครแต่เป็นเรื่องสาคัญท่ีสมณะทุกประเภทขบคิดและอภิปรายกัน ดังน้ัน สมณะ
ทั้งหลายจึงได้รับความเคารพนับถือจากประชาชนว่า ครูแห่งธรรม............. ชาวพุทธสนใจในเร่ือง

2 แสง จันทรง์ าม, ศาสนศาสตร์, (กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พไ์ ทยวฒั นาพาณชิ ย์ จากดั , 2534),
หน้า 1-2.

3 เรือ่ งเดียวกนั , หน้า 2-3

4 ศาสนา

ธรรมะเป็นพิเศษและเรียกลัทธิของคนว่า ธรรมะด้วย ธรรมะทางพุทธศาสนามี 3 ประเภทด้วยกัน
คือ 1. หลักการว่าด้วยอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องสาหรับคนธรรมดา (อุบาสก) ที่จะทาหรือท่ีจะเป็น 2.
หลกั การว่าด้วยส่ิงทีถ่ ูกต้องดีงามสาหรบั บรรพชติ 3. อะไรคือส่ิงทีผ่ ้ขู ้ึนสูม่ รรคาแห่งอรหัตผลแล้วจะพึง
เปน็ พงึ กระทาและพงึ รู้4

ธัมมะ (Dhamma)
ในพากย์บาลี คาว่า ธรรมะ กลายเป็น ธัมมะ แต่ก็มีความหมายคล้ายคลึงกับคาภาษา
สันสกฤต ในคัมภีร์สุมังคลวิลาสินี อรรถาแห่งทีฆนิกาย พระพุทธโฆษาจารย์ได้ให้ความหมายของคา
วา่ “ธมั มะ” ไว้ 4 ประการ คือ
1. คุณะ ได้แกค่ วามประพฤตทิ ่ดี งี าม
2. เทศนา ไดแ้ ก่คาสั่งสอนคาแนะนาทางศีลทางธรรม
3. ปริยัติ ได้แก่ลักษณะคาสอนของพระพุทธเจ้า 9 แบบ (นวังคสัตถุศาสน์) ท่ีมีปรากฏ

อกยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎก
4. นสิ สตั ตะ – นิชชีวะ ไดแ้ ก่ กฎแหง่ เอกภพทีม่ ใิ ชส่ ตั ว์มใิ ชบ่ ุคคล หรือกฎธรรมชาติ
ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้จาแนกธรรมไว้ 4 ประเภทเช่นเดียวกัน ถ้าเราพิจารณาได้ดีก็จะเห็น
ว่ามีส่วนคล้ายคลึงกับธรรม 4 ประเภทของพระพุทธฆาจารย์อยู่ไม่น้อย ธรรม 4 ประเภทของท่าน
พุทธทาส คอื
1. ธรรมะคือหนา้ ทแี่ ละการปฏิบตั ิตามหน้าท่ี
2. ธรรมะคือผลที่เกิดจากการปฏิบตั ติ ามหนา้ ที่
3. ธรรมะคอื ความจริงที่ปรากฏหรือกฎธรรมชาติ
4. ธรรมะคอื ธรรมชาตทิ ้งั ปวง
เมื่อกล่าวโดยสรุป คาว่า ธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นความหมายฝุายสันสกฤตหรือฝุายบาลี
หมายถึง ระเบียบกฎเกณฑ์ที่มีอยู่โดยตัวของมันเองในธรรมชาติ พระพุทธเจ้าและปราชญ์ท้ังหลาย
เพียงแต่มาค้นพบ ปฏิบัติตาม เกิดผลที่ต้องการแล้วก็ประกาศโฆษณาให้คนอื่นรู้ เม่ือคนอื่นรู้และ
ปฏบิ ตั ติ ามก็เกิดผลอย่างเดียวกัน ในท่ีสุดก็เกิดเป็นประมวลคาสอนที่แน่นอนตายตัว เคารพนับถือสืบ
ต่อกนั มาและกลายเปน็ “ศาสนา” ไป
ตติ ถะ – ตีรถะ
อกี คาหนงึ่ ท่ใี ช้แทนลทั ธศิ าสนา มีปรากฏอยู่ในคมั ภีรท์ ้งั ฝุายบาลีและสนั สกฤตก็คือ คาว่า ติต
ถะ (สันสกฤต - ตีรถะ) ผู้เป็นเจ้าลัทธิเรียกว่า ติตถกระ หรือ ติตังกระ ตามรูปศัพท์แปลว่า
ผ้กู ระทาหรือผู้สร้างติตถะ (สันสกฤต – ตีรถกระ, ตีรถังกระ) ผู้นับถือลัทธิใดลัทธิหนึ่งเรียกว่าติตถิยะ
(สนั สกฤต – ตีรถยิ ะ ไทยแปลงเปนู เดยี รถยี ์)
คาวา่ ติตถงั กร ทแี่ ปลว่าเจ้าลัทธิน้ัน ในศาสนาเชน (Jainism) มีความหมายในทางดี ตรง
กับคาว่า “สัตถา” หรือศาสดาน่ันเอง ทานวรรธมานะมหาวีระก็เป็นติตถังกรองค์หนึ่ง ในบรรดาติต
ถงั กร 24 องค์ของศาสนาเชน แตต่ ่อมาภายหลัง คานี้กลับมีความหมายไปในทางเสียเช่นเดียวกับคา
วา่ ตติ ถยิ ะ เดมิ ทเี ดียวคงมีความหมายเพยี งวา่ “ผ้มู ีศาสนา ผูน้ ับถอื ศาสนา” แต่ต่อมาภายหลังกลับ

4 T.W. Rhys Davids, Buddhist Indea, (Calcutta, Susil Gupta (Indea) Ltd.,
first Indian Edition, 1950), pp. 191-192.

ศาสนา 5

มีความหมายว่า ผู้ถือลัทธิที่ผิด เฉพาะอย่างย่ิงคาว่า อัญญติตถิยะ ซ่ึงเดิมทีเดียวแปลว่า ผู้ถือลัทธิอ่ืน
(จากลทั ธขิ องตน) แตต่ อ่ มาภายหลงั ก็กลายเป็น “ผู้นับถือศาสนาผิด ผ้หู ลงผดิ คนนอกศาสนา” ไป

คาว่า ติตถะหรือตีรถะ แปลว่า ท่านา ท่าเรือ ท่ีอาบนา ที่ลงเรือ ที่ข้ามฟาก เช่น โค
ตมมตถิ ะ แปลว่า ทา่ น้าชือ่ วา่ โคตรมะ

ประเด็นท่ีน่าสนใจก็คือว่า เพราะเหตุใด จึงนาเอาคาว่าติตถะมาใช้เป็นชื่อแทนศาสนา? ผู้
นามาใช้ในยุคแรก ๆ มีความมุ่งหมายอย่างใด? เนื่องจากศาสตราจารย์ริส เดวิดส์ และโมเนียร์ วิล
เลี่ยมส์มิได้ให้เหตุผลไว้ท้ังในพจนานุกรมบาลี – อังกฤษ และสันสกฤต – อังกฤษ อีกท้ังยังไม่พบ
คาอธบิ ายจากแหลง่ อนื่ จงึ ขอให้เหตุผลสว่ นตวั ไวด้ ังต่อไปนี้

ธรรมดา “ท่าน้า” ย่อมมีไว้คอยบริการคน และน้าเป็นสารผสมท่ีมีคุณสมบัติพิเศษหลาย
อย่าง เช่น

1. มลี กั ษณะเย็นโดยธรรมชาติ สามารถดบั ความร้อนได้
2. เปน็ ส่งิ จาเป็นสาหรบั ชีวติ สามารถดบั ความกระหายได้
3. มีลักษณะซึมซาบ สามารถชาระลา้ งส่งิ สกปรกได้
คนที่ไปยังท่าน้าย่อมไปเพื่ออาบชาระกายให้สะอาด เพ่ือดับร้อนและเพื่อดื่มน้าดับความ
กระหายด้วย เมอื่ เสร็จธุระแล้ว กก็ ลับบ้านด้วยความสะอาด ความเยน็ สบายกายและความอิ่มเอบิ
ถ้าเราพิจารณาดูให้ดี จะพบความจริงว่า ศาสนามีอะไรบางอย่างคล้ายท่าน้า กล่าวคือ
ศาสนามีองค์ประกอบบางอย่างท่ีสามารถดับความร้อนใจหรือความทุกข์ของคนได้ ชาระจิตใจคนให้
สะอาดได้ดบั ความกระหายของคนได้ องค์ประกอบดังกล่าวก็คือหลักคาสอนของศาสนาน่ันเอง ดังน้ัน
คนท่ีมีความทุกข์ เม่ือไม่สามารถจะแก้ทุกข์ได้โดยวิธีอื่นแล้ว มักจะหันเข้าหาศาสนาเป็นที่พึ่งอัน
สดุ ท้าย แต่ถา้ ยงั ไมม่ ีทุกขห์ รือมีทกุ ขน์ อ้ ย หรือมีทกุ ขแ์ ตส่ ามารถแก้ทุกข์ได้โดยวิธีอื่น ก็จะยังไม่หันเข้า
หาศาสนาอยา่ งจริงจงั 5

เหตทุ ีเ่ ยาวชนไม่คอ่ ยสนใจศาสนา
เรามักจะได้ยินผู้สูงอายุและพระสงฆ์บ่นอยู่เสมอว่า เด็ก ๆ สมัยนี้ไม่เข้าวัด ไม่สนใจศาสนา
เหินหา่ งจากศาสนา เหตุทท่ี ่านบน่ อย่างน้ี กเ็ พราะท่านนาเอาพฤติกรรมของเด็กสมัยนี้ไปเทียบกับสมัย
เม่ือท่านยงั เปน็ เด็ก ซง่ึ เปน็ สมยั ท่เี ด็กเข้าใกล้ชิดกับวัดและพระสงฆ์มากกว่า แต่ถ้าเราวิเคราะห์ดูอย่าง
ละเอียด เราก็จะพบว่าในเรื่องเก่ียวกับความสนใจในศาสนานั้น เด็กสมัยนี้กับเด็กสมัยก่อนไมได้
แตกตา่ งกนั มากมายนัก
เยาชนทุกยุคทุกสมัย ไม่ค่อยจะสนใจศาสนาอย่างจริงจังนัก เพราะเยาวชนมีทุกข์น้อย
รา่ งกายกาลงั เจรญิ วัย มีโรคภัยไข้เจบ็ น้อย มีปญ๎ หาท่ีจะต้องขบคิดนอ้ ย มภี าระรบั ผดิ ชอบน้อย กาลัง
สนุกสนานเพลิดเพลินอยู่กับโลกและชีวิต การที่เยาวชนสมัยก่อนเข้าวัดมากกว่าสมัยน้ีก็เป็นเพราะ
สภาพสังคมบังคับ กล่าวคือ ในสมัยก่อนบ้านเมืองไทยมีลักษณะเป็นสังคมชนบท ในชุมชนหน่ึง ๆ มี
สถาบันอยู่เพียง 2 สถาบันคือบ้านกับวัด บ้านเป็นสถานท่ีอยู่อาศัยประกอบกิจส่วนตัวและส่วน
ครอบครัว วัดเป็นสถานสาธารณะเป็นศูนย์กลางของชุมชน กิจกรรมส่วนรวมทุกชนิดกระทากันท่ีวัด
ทั้งนั้น เด็ก ๆ ถ้าไม่อยู่ที่บ้านก็ไปวัดเท่าน้ัน เพราะไม่มีท่ีอื่นที่จะไป การไปเล่นกันตามใต้ต้นไม้อัน

5 แสง จนั ทรง์ าม, ศาสนศาสตร์, อา้ งแล้ว, หน้า 4-5.

6 ศาสนา

รม่ เยน็ ในลานวดั สนกุ ดี บางทอี าจได้กินขนมจากพระอีก เด็ก ๆ จึงชอบไปวัด เม่ือโตขึ้นเป็นหนุ่มเป็น
สาวก็ไปวัดเพื่อประกอบพิธีทางศาสนาและยังมีจุดมุ่งหมายพิเศษในทางเพศสัมพันธ์อยู่ด้วย คือ หนุ่ม
สาวไปพบกันหรืออย่างน้อยก็ไปเล็งแลกัน เด็กผู้ชายส่วนใหญ่จาต้องเข้าวัดเพื่อเรียนหนังสือบางรายก็
บวชเณรและบวชพระ แต่ประมาณร้อยละ 99 ก็สึกออกมาเม่ือถึงเวลาอันสมควร พระเณรแม้จะ
เรยี นทางธรรมก็เรยี นเพราะอยากไดว้ ฒุ ิชนั้ ภมู ิมากกว่าท่จี ะเรยี นด้วยความสนใจเป็นสว่ นตัวอย่างจริงจงั

ในสมัยป๎จจุบัน สังคมไทยได้พัฒนาไปเป็นสังคมเมืองที่ค่อนข้างจะซับซ้อน ได้เกิดมีสถานที่
และสถาบันแปลกๆ ใหม่ ๆ ขึ้นมามากมาย เช่น โรงมหรสพ สนามกีฬา สโมสร สมาคม ศูนย์
เยาวชน โรงเรียน บาร์ คอฟฟี่ชอพ เป็นต้น สถานที่เหล่าน้ีมุ่งให้ความสนุกสนานบันเทิงโดยเฉพาะ
จึงสามารถแย่งชิงเอาเยาวชนไปจากวัดได้เป็นอย่างดี ทาให้วัดสูญเสียบทบาทการเป็นศูนย์กลางแห่ง
ชุมชนไปเกือบส้ินเชิง เยาวชนสมัยน้ีจึงเหินห่างจากวัดทั้งกายและทางใจ ในขณะที่เยาวชนสมัยก่อน
แมจ้ ะห่างทางใจแต่ก็ยังใกลช้ ดิ ทางกาย

แต่อย่างไรกต็ าม แม้ในสมยั ป๎จจุบันนกี้ ย็ ังมเี ยาวชนบางส่วนที่สนใจศึกษา ปฏิบัติและเผยแพร่
ศาสนาอย่างจริงจัง ท้ังน้ีก็เป็นผลพลอยได้มาจากความเจริญของสังคมน่ันเอง กล่าวคือ เทคโนโลยี
สมยั ใหม่ ทาใหม้ กี ารพมิ พ์หนงั สือและวารสารข้ึนมาอยา่ งมากมาย รวมท้ังหนงั สือทางศาสนาด้วย เม่ือ
หนังสือมีมากข้ึนโอกาสที่เยาวชนบางคนจะได้อ่านและได้ศึกษาศาสนาก็มีมากข้ึน ความเจริญทางการ
สื่อสารเชน่ วิทยแุ ละโทรทศั น์ ทาใหเ้ กิดมรี ายการทางศาสนามากมาย เยาวชนท่ีสนใจสามารถจะรับฟ๎ง
การบรรยายธรรมของพระภกิ ษุและฆราวาสผู้มีช่ือเสียงได้ โดยนั่งอยู่ท่ีบ้านของตนเอง เมื่อฟ๎งแล้วเกิด
ศรัทธาเลื่อมใสขึ้นมาก็อุทิศตนให้แก่การปฏิบัติและการเผยแพร่ศาสนา เยาวชนประเภทนี้จะเป็นพลัง
สาคัญย่ิงต่อความเจริญของพุทธศาสนาในอนาคต ในขณะท่ีวัดและพระสงฆ์ส่วนใหญ่จะมีบทบาท
นอ้ ยลง6

หลวงวิจติ รวาทการ ได้อธบิ ายไว้วา่ คาว่า “ศาสนา” ต้องเป็นเรอื่ งท่มี ีลกั ษณะดังน้ี
1. เป็นสงิ่ ท่เี ช่ือถือโดยมีความศักด์สิ ทิ ธิแ์ ละไมใ่ ช่เชอ่ื ถือเปลา่ ๆ ต้องเคารพบูชาด้วย
2. มีคาสอนทางศีลธรรมจรรยา และกฎเกณฑ์ ท่ีเก่ียวกับความประพฤติปฏิบัติเพื่อบรรลุผลอัน
ดงี าม
3. ปรากฏตัวผู้สอน ผู้ต้ัง ผู้ประกาศ ท่ีรู้กันแน่นอน และยอมรับว่าเป็นความจริงทาง
ประวัตศิ าสตร์
4. มีคณะบุคคลทาหน้าที่โดยเฉพาะสาหรับรักษาความศักด์ิสิทธ์ิและคาสอนน้ัน สืบต่อบุคคล
คณะทเี่ รียกกนั วา่ “พระ” หรอื “วรรณะ” และเป็นเพศพิเศษต่างกบั สามญั ชนเรยี กวา่ “สมณเพศ”
5. มกี ารกวดขันเร่ืองความจงรกั ภักดี ซ่งึ ฝรง่ั เรียกวา่ Fidelity หมายความว่า ถ้าถอื ศาสนาหน่ึง
แล้ว จะไปถือศาสนาอ่ืนไม่ได้ แม้แต่จะเคารพบูชาปูชณียวัตถุของศาสนาหรือลัทธิอ่ืนก็ถือว่าเป็นบาป
ใหญห่ ลวงทีเดยี ว7

6 เร่ืองเดยี วกัน, หน้า 6.
7 หลวงวิจิตรวาทการ, อ้างใน เดอื น คาด,ี ศาสนศาสตร์, (กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพ์
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์, 2541), หน้า 4.

ศาสนา 7

ศาสนาตามความหมายท่ีกล่าวมานี้ มีลักษณะว่าด้วยความเชื่อในเทพเจ้า บาปบุญ
ปรมัตถธรรม ชวี ิตประโลก คาส่ังสอนในฐานะเป็นกฎศีลธรรม ท่ีมีศาสดาและคณะผู้ประกาศคาสอน
อนั ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ ที่ศาสนิกจะละเลยไมไ่ ด้

ส่วนพุทธทาสภิกขุได้แสดงไว้ว่า “ศาสนาคือตัวการปฏิบัติหรือตัวการกระทา อันเป็นไปเพ่ือ
ความพน้ ทกุ ข์ หรอื ส่งิ ท่ีสตั วน์ ้นั ๆ ไม่พึงปรารถนา”

ตามความหมายน้ีศาสนาอาจแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับสัญชาตญาณ (Instinctive
Religion) กับระดับมนุษยธรรม (Humanistic Religion) ระดับแรกชี้ไปที่สัญชาตญาณของสัตว์
ทง้ั หลาย คือ การเกลียดกลัวตอ่ อันตราย มคี วามรสู้ กึ ท่จี ะหลบล้ีหนีอันตราย เพราะสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
มีสญั ชาตญาณรักสุขเกลียดทุกข์ด้วยกันทุกตัวตน ฉะน้ันกิริยาท่ีหลบล้ีหนีภัยจึงเป็นการกระทาเพื่อพ้น
ทุกข์และอนั ตรายซง่ึ ตนไม่พึงปรารถนา ระดับท่ีสองคือ การกระทาที่สูงข้ึนไปกว่าระดับสัญชาตญาณซ่ึง
เป็นเร่ืองของมนุษย์เริ่มต้ังแต่คนปุาคนเจริญแล้ว จนกระท่ังท่านผู้ตรัสรู้อุบัติมาในโลกซ่ึงมีระบบวิธีการ
กระทาเพ่ือพ้นจากอนั ตรายของคนอนั ละเอียดสุขุมยิง่ ข้ึน

ข้อแตกต่างกันก็คือ สัตว์ทั้งหลายเหล่าน้ีเห็นอะไรเป็นอันตราย สัตว์เดรัจฉานเห็นอันตราย
ชนิดระดับต่า คือระดับสัญชาตญาณ ส่วนมนุษย์เห็นอันตรายที่ละเอียดสูงข้ึนตามลาดับย่ิงมนุษย์ท่ี
วิวัฒนาการทางจิตสูงข้ึนเท่าไรก็มองเห็นสิ่งที่เรียกว่า อันตรายหรือความทุกข์สูงข้ึนเท่านั้น วิธีการ
กระทาเพอ่ื ใหพ้ น้ ภยั อนั ตรายหรือความทุกข์ก็พลอยสงู ขึ้นตามไปด้วย

อย่างไรกต็ าม สชุ ีพ ปุญญานภุ าพ ไดส้ รปุ ได้ 3 ประการ ดงั น้ี
1. ศาสนาคือทรี่ วมแหง่ ความเคารพนบั ถอื อันสงู สุดของมนุษย์
2. ศาสนาคือท่ีพ่ึงทางจิตใจ ซ่ึงมนุษย์ส่วนมากย่อมเลือกยึดเหน่ียวตามความพอใจและตาม
ความเหมาะสมแตเ่ หตุแวดล้อมของตน
3. ศาสนาคือคาสัง่ สอน อันวา่ ดว้ ยศีลธรรมและอุดมคติสูงสุด ในเร่ืองของบุคคล รวมท้ังแนว
ความเชอ่ื ถือและแนวปฏิบตั ิต่าง ๆ กนั ตามคติของแตล่ ะศาสนา
ตามทัศนะคติของนักปราชญ์ทางศาสนาท่ียกมาน้ี จึงเป็นอันกล่าวได้ว่า ศาสนาแม้จะมี
ความหมายแตกต่างกันไปอยา่ งไรกต็ าม ผ้ศู ึกษาควรมองภาพรวมให้ชัดเจนว่าศาสนาย่อมประกอบด้วย
ความเช่ือและเหตุผลท่ีเป็นกฎระเบียบอันมนุษย์มองไม่เห็นและมีความดีสูงสุดท่ีมนุษย์สามารถปรับตัว
เองให้กลมกลืนได8้
ประการหนงึ่ ศาสนาทกุ ศาสนามักจะแบง่ เอกภพและชีวิตเป็น 2 ภาค แบบเดียวกับแม่น้ามี
2 ฟาก ตัวอย่างเช่น พทุ ธศาสนาแบ่งโลกเป็นภาคโลกยี ะและภาคโลกุตระ ภาคโลกียะเป็นภาคที่ไม่ดี
ไม่น่าพอใจ เพราะเต็มไปด้วยความเปล่ียนแปลงและความทุกข์ มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย
หมุนเวียนไปไม่รู้จักส้นิ สดุ ภาคโลกุตระเป็นภาคที่ดี น่าพอใจ เท่ียงแท้ถาวร สุข โดยธรรมชาติ คน
ทุกคนย่อมอยากจะจากภาคทุกข์ไปสู่สุข แต่ไม่รู้จะไปได้อย่างไร พุทธศาสนาจึงแสดงอริยมรรคมีองค์
8 ไว้ใหค้ นได้อาศยั ขา้ มฟาก ดังน้ัน อรยิ มรรคมีองค์ 8 จงึ เป็นเสมือนเรอื สาหรบั นาคนจากฟากโลกิยะ
ไปสฟู่ ากโลกุตระ
ศาสนาคริสตก์ แ็ บง่ โลกเป็น 2 ฟาก คือ โลกนี้และโลกสวรรค์ โลกน้ีหรือโลกมนุษย์เป็นโลก
แห่งความบาปและความทุกข์ แต่โลกสวรรค์เป็นโลกแห่งความสุขนิรันดร์ คริสต์ศาสนาได้จัดเรือไว้ให้

8 เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ 4-6.

8 ศาสนา

มนุษย์ได้อาศัยข้ามฟากไปสู่โลกสวรรค์ เรือของศาสนาคริสต์ประกอบด้วยหลักธรรมสาคัญ 3
ประการ จะเรยี กว่า มรรคมอี งค์ 3 ก็นา่ จะได้ คอื

1. ศรัทธา (Faith) คือมีความเชอื่ ความรัก ความภักดี ต่อพระผู้เป็นเจา้
2. ความรัก (Love) คือมีความรัก ความเคารพในพระผู้เป็นเจ้า และมีความรัก

ความเหน็ ใจตอ่ เพ่ือนมนษุ ย์
3. ความเออื เฟือ้ เผ่อื แผ่ (Charity) คือพยายามช่วยเหลอื เพอ่ื นมนุษยท์ กุ วถิ ีทาง
ศาสนาประเภทเทวนยิ มสว่ นมาก มกี ลักการใหญค่ ล้าย ๆ กับศาสนาคริสต์ แต่ก็แตกต่างกัน
ในรายละเอยี ดปลีกยอ่ ย
ศาสนาฮินดูแบ่งชีวิตเป็นภาคอาตมันและภาคปรมาตมัน หรือภาควิญญาณย่อยและวิญญาณ
สากลและสอนว่าภาควิญญาณย่อยมีทุกข์ เวียนว่ายตายเกิด ส่วนภาควิญญาณสากลมีลักษณะ 3
ประการ คอื สัต – เป็นสิง่ ที่มอี ยู่จรงิ จิต – เป็นสงิ่ ทีร่ ู้ได้ อานันทะ – เป็นสิ่งบรมสุข ถ้าเอาคาทั้ง 3
มารวมกัน จะได้คาว่า “สัจจิทานันทะ”9 ส่วนเรือสาหรับให้คนได้อาศัยข้ามฟากวิญญาณสากลนั้น
เป็นหนทาง 3 สาย (มารคะ) คือ
1. ภกั ติมารคะ ทางแห่งความรัก เคารพ เชอื่ ไว้วางใจ
2. กรมมารคะ ทางแห่งกรรม คือการประกอบพิธกี รรมตา่ ง ๆ ให้ครบถว้ นถูกต้อง
3. ชยานมารคะ ทางแห่งความรู้ คอื รวู้ า่ อาตมนั เปน็ อนั หนึ่งอนั เดียวกบั ปรมาตมนั 10
จากหลักฐานดังกล่าวมา เราจะเห็นได้ทันทีว่า คาว่าติตถะ ซึ่งแปลว่า ท่าน้าและท่าเรือน้ัน
เป็นชือ่ ท่เี หมาะสมและถูกต้องกับธรรมชาติและหน้าที่ของศาสนาอย่างยิ่ง แต่เป็นท่ีน่าเสียดาย ท่ีคาน้ี
มไิ ด้รบั ความนิยมเทา่ ที่ควร ในทีส่ ดุ ก็เกอื บจะเลอื นหายไปอย่างส้นิ เชงิ จากการรับรขู้ องคนสว่ นใหญ่

1.4 ศาสนา (บาลี – สาสนา)

อกี คาหน่งึ ที่ใชเ้ รยี กช่อื ปรากฏการณ์ที่เรียกว่าศาสนาก็คือคาว่า “ศาสนา” นั่นเอง พจนานุกรม

บาลีอังกฤษของริส เดวิดส์ ได้ให้ความหมายของคาว่า “สาสนา” ไว้หลายอย่าง เช่น คาสั่ง (order)

ข่าวสาร (Message) คาสอน (Teaching) และประมวลคาสอน (Doctrine) ในคัมภีร์ปรมัตถโชติกา

อรรถกถาสุตตนิบาต พระพทุ ธโฆษาจารย์ได้กลา่ วถงึ ขั้นตอนแห่งความเสอื่ มสูญของศาสนาไว้ 3 ข้ัน คอื

สาสนฐติ กาละ - ระยะเวลาที่ศาสนาดารงอยู่

สาสโนสกั กนกาล - ระยะเวลาทศี่ าสนาเสอ่ื มลง

สาสนันตรธานะ - ระยะทศ่ี าสนาสูญหายไป

ในภาคภาษาสนั สกฤต โมเนยี ร์-วิลเลยี มส์ กล่าวไว้ในพจนานุกรมสันสกฤต-อังกฤษว่า คาว่า

ศาสนามปี รากฏอยูใ่ นคัมภรี ฮ์ นิ ดหู ลายฉบับ เช่น คมั ภรี ์มหาภารตะ เป็นตน้ แต่ความหมายก็เหมือนคา

วา่ สาสนาในภาษาบาลี

9 R.C. Zaehner ed., “The Concise Encyclopedia of living Faiths,” (New York,
Hawthorn Book Inc., a Beacon Paperback, 1967), p. 328.

10 M. Monier-Williams, “Hinduism” (Calcutta, Susil Gupta, 6 th printing, 1951)
P. 8.

ศาสนา 9

กล่าวเฉพาะในวงการพระพุทธศาสนา ในระยะแรกเริ่ม ใช้คาว่า พรหรมจริยะ (พรหมจรรย์)
แทนพระพุทธศาสนา อรรถกถาขุททกปาฐะ ได้ให้ความหมายของพรหมจรรย์ไว้ว่า “ความประพฤติ
อันประเสริฐหรือความประพฤติแห่งพรหมจรรย์ท้ังหลาย ช่ือว่าพรหมจรรย์ (พฺรหฺม จริย พฺรหฺมาน
วา จริย พฺรหฺมจริย) คาว่า “ความประพฤติ (จริย)” ในที่นี้มิได้หมายถึงการกระทาหรือการปฏิบัติ
เป็นคราวๆ แตห่ มายถงึ การดารงชีวิตทเี ดยี ว ดังนั้น ในพจนานกุ รมบาลี-อังกฤษ ริส เดวิดส์ จึงแปล
“พรหมจรรย์” ว่าชีวิตทางศีลธรรม (Moral life) ชีวิตศักด์ิสิทธ์ิ (Holy life) และชีวิตทางศาสนา
(religious life) ลักษณะสาคัญทีส่ ดุ ของชวี ิตพรหมจรรย์ ก็คือเว้นขาดจากกาม คือ รูป เสียง กลิ่น
รส สมั ผสั ทั้งปวงอาจจะเนื่องมาจากข้อนี้ ท่านจึงเอาคาว่า “พรหม” มาต่อกันเข้ากับจ-ริยะ เพราะ
ตามปกติพรหมเป็นเทพช้ันสูง เสวยสุขอันประณีตโดยไม่ต้องอาศัยกาม ไม่เกี่ยวกับเรื่องทางเพศ ใน
พระไตรปิฎกมีการใชค้ าว่าพรหมจริย แทน “พุทธศาสนา” อยู่ทั่วไป เชน่ ในมหาวิภังค์แห่งพระวินัย
ปิฎกมีข้อความว่าพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น.....ทรงประกาศพรหมจรรย์ อันบริสุทธิ์ บริบูรณ์ส้ินเชิง
(เกวลปรปิ ุณณฺ ปริสุทฺธ พฺรหฺมจริย ปกาเสต.ิ ..)11

เข้าใจวา่ คาว่า “พรหมจรรย์” ใช้เป็นช่ือ “พุทธศาสนา” ในระยะท่ีพุทธศาสนาเพ่ิงเกิดขึ้น
ในโลกชาวพุทธยังมีจานวนน้อย ส่วนใหญ่เป็นพระภิกษุ และเป็นพระภิกษุชั้นอริยบุคคล ผู้บริสุทธ์ิ
หลดุ พ้นแล้ว ดังนัน้ ทา่ นจงึ ไมก่ ระทาความชวั่ ความเสียหายใดๆ โดยอัตโนมัติ เมื่อไม่กระทาความชั่ว
ใดๆ ก็ไม่จาเป็นต้องมีขอ้ หา้ ม ในระยะแรกๆ พระพทุ ธเจา้ จึงไมท่ รงบัญญัติพระวินัย พระสงฆ์ก็อยู่กัน
โดยไม่มีพระวินัย ต่อมาเม่ือมีคนผู้มีอุปนิสัยทรามเข้ามาบวชในพุทธศาสนาและกระทาความเสียหาย
ต่าง ๆ ขึ้น พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติพระวินัยข้ึน ทาให้พุทธศาสนามีคาสอนเป็น 2 ประเภท คือ
พระธรรมอนั ว่าด้วยหลกั พทุ ธปรชั ญาและพระวินัยอันเป็นระเบียบข้อบังคับ พอมาถึงขั้นนี้ คาว่าธรรม
วินัย ก็เลยกลายเป็นชื่อของของพุทธศาสนาไป กุลบุตรท่ีเข้ามาบวชในพุทธศาสนา ก็ใช้สานวนว่า
กลุ บุตรท่ีเข้ามาบวชในพระธรรมวินัย ภิกษุที่เลวทรามก็ทรงประณามว่า เคล่ือนไปจากพระธรรมวินัย
( น เม เต ภกิ ขฺ เว ภกิ ฺขู มามกา อปคตา จ เต ภิกขฺ เว ภกิ ฺขู อิมสฺมา ธมมฺ วนิ ยา)12

คาว่า ธรรมวินัย ดูเหมือนจะใช้เป็นชื่อศาสนาท่ัว ๆ ไปด้วย ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อนิคันถนาฏ
บุตรศาสดาของศาสนาเชนปรินิพพานนั้น สาวกของท่านได้แตกแยกทุ่มเถียงกันเป็นการใหญ่ ต่างด่า
ทอกันวา่ “ทา่ นไมร่ ้ทู ั่วถึงธรรมวนิ ัยน้ี เรายอ่ มรทู้ ว่ั ถึงธรรมวนิ ัยน้ี” ( น ตว อิม ธมฺมวินย อาชานา
มิ อหั อมิ ธมฺมวนิ ย อาชานาม)ิ 13

คาวา่ “พุทธศาสนา” ท่หี มายถงึ “ประมวลหรือระบบคาส่ังสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรง” ก็
มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เช่น ภิกษุหนุ่มรูปใดแล ย่อมขวนขวายในพุทธศาสนา ภิกษุหนุ่มนั้น
ย่อมยังโลกนีใ้ หส้ วา่ ง ดจุ พระจันทรพ์ ้นแลว้ จากเมฆ (โย หเว ทหโร ภิกขุ ยุํฺชติ พุทฺธสาสเน โสม
โลก ปภาเสติ อพฺภามตุ ฺโต ว จนฺทิมา)14

เม่ือกล่าวโดยสรุปแล้ว ศาสนาตามความหมายที่ใช้อยู่ในภาคตะวันออกเฉพาะอย่างยิ่งคือ
อนิ เดยี ไม่ว่าจะแฝงอยู่ในคา “ธรรมะ” “ตีรถะ” หรือ “ศาสนา” หมายถึงหลักการอันถูกต้องและ

11 พระไตรปิฎก(บาลี), เลม่ 1, ขอ้ 1,หนา้ 1.
12 พระไตรปฎิ ก (บาลี), เลม่ 25, ขอ้ 288, หน้า 315.
13 พระไตรปิฎก (บาล)ี , เล่ม 11, ขอ้ 94, หนา้ 107.
14 พระไตรปฎิ ก (บาลี), เล่ม 13, ข้อ 534, หน้า 487.

10 ศาสนา

สอดคล้องกับกฎจักรวาล ท่ีพระศาสดาค้นพบและส่ังสอนไว้ให้คนปฏิบัติตามเพื่อจะได้ดารง ชีพอยู่
อย่างเป็นสุขในโลกนี้ และเม่ือตายไปแล้ว กจ็ ะได้บรรลถุ ึงฝ่ง๎ โลกตุ ตรอันเป็นนิรนั ดร ดังนั้น ศาสนาจึง
เน้นความรู้และการปฏิบตั ิด้วยตนเองมากกวา่ อย่างอื่น

ตอ่ มาภายหลัง เฉพาะอย่างย่ิงเมือ่ แนวคิดเรอ่ื งเทพเจ้าท่ีเป็นบุคคลปรากฏเด่นชัดข้ึนในศาสนา
ฮินดู คนบางพวกก็เรียกศาสนาว่า อีศวรภักติ (ความภักดีต่อเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่) บ้าง เทวภักติ(ความ
ภักดีต่อเทพเจ้า) บ้าง ภักติ (ความภักดี) บ้าง อิศวรเสวา (การคบกับเทพเจ้าผู้ย่ิงใหญ่)บ้าง15 แต่
ชอ่ื เหล่านกี้ จ็ ากัดวงอยู่กับศาสนาฮินดเู ทา่ นัน้

1.5 ศาสนาตามความหมายทางตะวนั ตก

ถ้าเราหันไปมองดูโลกตะวันตก เราจะพบแหล่งวัฒนธรรมและอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ของ
ตะวันตกและของโลก 2 แห่ง คือกรีซและอาณาจักรโรมัน ชนชาติกรีกได้ให้อะไรหลายๆ อย่างแก่
โลกตะวันตก เช่น สถาป๎ตยกรรม ประติมากรรม ปรัชญาและแนวการคิดแบบปรัชญา ความรู้ทาง
วิทยาศาสตร์และวิธีการทางวิทยาศาสตร์เบื้องต้น และระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย เป็นต้น
ชนชาติกรีกเจริญมากทางด้านอักษรศาสตร์ นักปราชญ์กรีกได้เขียนบันทึกวิชาการอันมีค่าไว้มากมาย
และเหลืออยูจ่ นถงึ ยุคป๎จจุบันทั้งในภาษากรีกเอง ในคาแปลภาษาอาหรับและภาษาละติน แต่อย่างไร
ก็ตาม เม่อื เจรญิ ถงึ ขดี สดุ แล้วกรกี กเ็ สื่อมลง ในท่ีสุดก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของอาณาจักรโรมัน อาณาจักร
โรมันอันย่ิงใหญ่รุ่งเรืองมากในด้านการปกครอง กฎหมาย สถาป๎ตยกรรม การชลประทานและ
ยุทธศาสตร์ และได้มอบมรดกเหล่านี้แก่ชาวยโุ รปในยคุ ต่อมา แลว้ ก็เสอื่ มสลายไปตามหลักแหง่ อนิจจัง

ในด้านศาสนาน้ัน ทั้งสองชาติผู้ย่ิงใหญ่น้ีกลับไม่ได้ให้อะไรเลยแก่โลกตะวันตก ศาสนาที่
ชาวตะวันตกนับถือเป็นหลักอยู่เวลานี้ กลับได้มาจากชนชาติเล็ก ๆ ในตะวันออกกลาง คือชนชาติ
อสิ ราเอล ทีเ่ รารู้จักกนั ทั่วไปวา่ ชนชาตยิ ิว ซ่งึ นับวา่ เป็นปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์ทีน่ ่าสงสัยยิ่ง

1.6 ศาสนาสาหรบั ชาวโรมัน

ชาวตะวันตกทั่ว ๆ ไปเรียกศาสนาว่ารีลิเจียน (Religion) และคาว่า Religion ก็มาจากภาษา
ลาตวิ ่า Religio (เรลิกิโอ) อกี ทีหนึ่ง เก่ียวกบั รากศัพท์ของคาว่า Religio นี้ มีนักปราชญ์โรมัน 2 ท่านให้
ความเห็นไว้ต่างกัน ซิเซโร (Cicero) ให้ความเห็นไว้ในหนังสือช่ือ De Divinatione เล่ม 4 ว่า
Religio มาจากอปุ สรรค re บวกกยั ธาตุ Legere ก่อน กลายเปน็ Religere ก่อน แลว้ จึงมาเป็น
Religio ภายหลังคาน้แี ปลว่า

อ่านซา้ อีก (To read over again)
เพง่ พิจารณา (To reflect upon)
การศึกษาคัมภีร์ศักดิ์สิทธ์ิที่บรรจุคาสอนศาสนา (to study the sacred books in which
religion is delivered) ในทสี่ ุดซิเซโรสรปุ ว่า ศาสนาคอื การบูชาเทพเจ้าด้วยความศรัทธา (the pious
worship of God)

15 Monier-Williams, “English-Sansakrit Dictionary,” (Delhi, Motilal
Banarasidas, Indian Ed.,(1971) p. 674.

ศาสนา 11

นกั ปราชญ์ในสมัยต่อมาชื่อ ลักตันติอุส (Lactantius) เห็นว่า Religio มาจากคาว่า re บวกกับ
ligaro เป็น Leligaro แปลวา่ การผกู ดงึ กลบั (to bind back) หมายถึง การผูกมนุษย์ไว้กับเทพเจ้าหรือ
พลังเบ้ืองบน16 ถ้าพูดในภาษาป๎จจุบัน คาว่า religion ก็หมายถึงความผูกพัน หรือความสัมพันธ์
ระหวา่ งมนษุ ยก์ ับเทพเจา้

เหตุท่ีชาวโรมันเรียกศาสนาว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า” เพราะว่าศาสนา
ดั้งเดิมของชาวโรมันเป็นศาสนาแบบ “พหุเทวนิยม” (Polytheism) นับถือเทพเจ้าหลายองค์ เทพ
บางองค์กต็ รงกับเทพของศาสนากรีก ท้ังน้ีก็เพราะว่าชาวโรมันไม่ค่อยมีความคิดสร้างสรรค์ทางศาสนา
ชอบยืมหรือรับเอาเทพเจ้าของคนชาติอ่ืนเข้ามาไว้ในศาสนาของตนเป็นครั้งคราว17 ชาวโรมันเป็นนัก
ปฏิบัติ จงึ สนใจในหน้าที่ของเทพเจ้ามากกวา่ เทพเจา้ ของโรมนั จงึ ไม่ค่อยมีเทพนิยาย ไม่มีคู่ ไม่มีบุตร
เหมอื นเทพในศาสนาพหุเทวนิยมอน่ื ๆ18 การปฏบิ ัตติ นต่อเทพเจา้ ของชาวโรมันกเ็ หมือนกับศาสนาแบบ
เทวนิยมทั้งหลาย คือการกราบไหว้ การสวดสรรเสริญ การให้ของสังเวย แต่เนื่องจากชาวโรมันเป็น
พวกที่เคร่งในระเบียบวินัยจึงเอาใจใส่เป็นพิเศษ ในการออกช่ือเทพเจ้าให้ถูกต้อง สวดสรรเสริญด้วย
ถ้อยคาที่ถูกต้องและแสดงกิริยาท่าทางประกอบให้ถูกต้องด้วย ต่อมาภายหลังได้เกิดมีบทสวดมนต์ที่
ถูกต้องเรียกวา่ อนิ ดคิ ิตาเม็นตา (Indigitamenta)19

เม่ือคริสต์ศาสนาเผยแพร่เข้าไปในกรุงโรม และได้กลายเป็นศาสนาของอาณาจักรโรมัน เมื่อ
ประมาณ 400 ปีต่อมา ชาวโรมันก็ยังใช้คาว่า religio กับคริสต์ศาสนาได้อย่างสนิท เพราะคริสต์
ศาสนาก็มีลักษณะเป็น “ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า” อยู่นั่นเอง ต่างกันแต่เพียงว่า
ศาสนาเดิมนพั ถอื เทพเจา้ หลายองค์ แต่คริสต์ศาสนานบั ถือเทพเจา้ องค์เดียว

1.7 ศาสนาสาหรับชาวกรกี

เม่ือเราหันไปดชู าวกรีก ซึง่ เปน็ เพ่ือนบ้านของชาวโรมัน เราก็พบว่า ศาสนาของกรีกเป็นศาสนา
ประเภทพหเุ ทวนยิ มเหมอื นกนั ชาวกรีกบูชาเทพเจ้านับร้อยนบั พัน โดยมีเทพซีอุส (Zeus) เป็นประธาน
แต่ถึงจะเป็นประธานเทพ ซีอุสก็มิได้รับการบูชาเท่าเทียมกัน ในกรุงเอเธนส์ ชาวเอเธนส์บูชาเทพธิดา
อาธีนา (Athena) มากกว่าเทพซีอสุ เสยี อกี

เทพเจ้าของกรีกมีลักษณะเป็นมนุษยรูปนิยม (Anthropomorphism-anthrop=มนุษย์
morph=รูปร่าง) คือ คนเชื่อวา่ เทพเจ้ามีรปู รา่ งเหมือนมนษุ ย์ มชี ีวิตจิตใจ อารมณ์ ความต้องการเหมือน
มนุษย์ ในเทพนิยายทั้งหลายท่ีกวีแต่งข้ึน เราจะเห็นว่า เทพเจ้ากรีกมีพฤติกรรมทุกชนิดเหมือนมนุษย์
เช่น มีความรัก มีการเป็นชู้กัน มีความอิจฉาริษยากัน มีการทาสงครามเข่นฆ่ากัน ลักษณะที่แปลกจาก
มนุษย์ธรรมดาก็คือมีฤทธิเดชและเปน็ อมตะ

16 อา้ งใน What Religion has done for mankind ของ Watchtower Bible
and Tract Society (New York, 1951) หน้า 8-9.

17 Gustav Menching, “Structures and Patterns of Religion”, Hans F.
Klimkeit V. Srinivasa sarma (delhi, Motilal Banarsi das, 1976)

18 Encyclopaedea Britannica เลม่ 19 หน้า 458.
19 เรอื่ งและเลม่ เดียวกนั หน้า 458.

12 ศาสนา

ตอ่ มาภายหลงั แนวคดิ เรืองจริยธรรมจึงพัฒนาข้ึน มีการกาหนดคุณธรรมให้แก่เทพเจ้า เช่น
เทพอปอลโล มีช่ือประจาตาแหน่งว่า “ท่านผู้บริสุทธิ์” (Phoebus) เป็นผู้สนใจการชาระให้บริสุทธ์ิ
และส่งเสริมศีลธรรมชั้นสูง อาร์เตมีส (Artemis) เป็นเทพแห่งพรหมจารี และอาธีนา (Athena) เป็น
เทพแหง่ ปญ๎ ญา เปน็ ต้น

ในยุคท่ีระบบนครรัฐ (city-state) รุ่งเรือง พิธีทางศาสนาเกี่ยวกับเทพเจ้าเป็นเร่ืองของรัฐ แต่
เนื่องจากรัฐจัดทาพิธีทางศาสนาตามปฏิทินท่ีกาหนดไว้แน่นอน พิธีบางอย่างเก่ียวกับเทพเจ้าทาง
การเกษตรจึงไมต่ รงกบั ฤดกู าล ดงั นน้ั งเกิดมีการปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ส่วนครอบครัวและสว่ นบคุ คลขน้ึ

ชาวกรีกสมัยโบราณอาจจะเรียกศาสนาว่า Threskeia เพราะต้นฉบับภาษากรีกของคัมภีร์
Colosion 2 : 18 และคัมภีร์ James I : 26, 27 ใช้คานี้ในตอนท่ีว่าด้วยศาสนา เมื่อแปลเป็น
ภาษาอังกฤษแล้ว ได้ข้อความดังนี้ “let no man seduce you, willing in humility, an
religion of angels” ซ่ึงพระครสิ ตธรรมใหม่ฉบบั อมตธรรมเพ่อื ชีวิตของกองครสิ เตียนบรรณาศาสตร์
กรุงเทพฯ แปลเป็นไทยว่า “อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดกล่าวหาว่าท่านเป็นคนนอกรีตนอกรอย เพราะเหตุท่ี
ท่านไม่ยอมถอ่ มตวั และเคารพบชู าทูตสวรรค์ (โกโลซาย 2.18 หน้า 374)

คาว่า Threskeia ในภาษากรีกแปลว่า การแสวงหา การค้นหา การสอบถาม หมายถึง
แสวงหาพระเจ้าหรืออานาจเบ้ืองบน (to seek, search or inquire, i.e., seek for God or a
higher power) ถ้าอย่างน้ัน คาภาษากรกี กับคาว่า religio ในภาษาลาตินก็มีความหมายคล้ายคลึง
กัน คือเกยี่ วข้องกับเทพเจา้ ด้วยกัน ฉะนนั้ จึงใชก้ บั คริสตศ์ าสนาได้

1.8 ศาสนาสาหรับชาวยิว

เราจะพูดถึงศาสนาของชาวตะวันตก โดยไม่พูดถึงชาวยิวไม่ได้ เพราะว่าคริสต์ศาสนาเกิดข้ึน
ในระหว่างชนชาติยิวและพระเยซูคริสต์ผู้ให้กาเนิดคริสต์ศาสนาก็เป็นคนชาวยิว ชนชาติยิวใช้ภาษา
ฮีบรูว์ (Hebrew) และในภาษาฮีบรูว์นั้น เขาใช้คาว่า ‘a. boh. dah’ แทนคาว่าศาสนา (เข้าใจว่า
จะอ่านอะโบดาห์) และคาว่า อะโบว์ดาห์ แปลว่า “การรับใช้” ( Service) ซ่ึงก็หมายถึงการรับใช้
เทพเจ้านั่นเอง ทั้งนี้ก็เพราะว่า ศาสนายูดาย (Judaism) ซ่ึงเป็นศาสนาดั้งเดิมของชนชาติยิวเป็น
ศาสนาประเภทเอกเทวนยิ ม (monotheism : mono = เอก, เดยี ว, theism = เทวนิยม) บูชา
เทพเจ้าองค์เดียวเทพเจ้าองค์น้ันก็คือเทพเจา้ ยาหเวห์ (Yahweh)

ยาหเวห์เป็นเทพเจ้าของชาวยิวโดยเฉพาะ และชาวยิวก็เป็นคนของยาหเวห์โดยเฉพาะ
ความสัมพันธ์ระหว่างชาวยิวกับเทพเจ้าของเขาเป็นความสัมพันธ์อันสนิทแนบ ที่ผูกมัดไว้ด้วยพันธ
สัญญา (covenant) ที่เทพเจ้าถือเป็นหน้าที่ที่จะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เมื่อชาวยิวตกไปเป็นทาส
ของฟาเราหก์ ษัตรยิ อ์ ยี ิปต์ พระเจ้ากไ็ ปนากลับมาตามพันธสญั ญา

แม้เม่ือชาวยิวถูกเนรเทศไปอยู่บาบิโลนได้รับความลาบากแสนสาหัส ก็มีศาสดาพยากรณ์
ปลอบโยนว่า น้นั เป็นแผนการของพระเจ้า เพราะคนจะย่ิงใหญ่ได้น้ันจะต้องผ่านความลาบากยากเข็ญ

ศาสนา 13

มาก่อน20 ดังนั้นคาว่า “รับใช้” จึงเป็นการรับใช้ระหว่างกันและกัน ไม่ใช่ชาวยิวรับใช้พระเจ้าอย่าง
เดยี วแตพ่ ระเจ้ากร็ ับใชช้ าวยิวด้วย

มีข้อที่น่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ ชาวเยอรมันโบราณเรียกศาสนาว่า ‘Gottesdient’ ซึ่ง
แปลว่า “การรับใช้เทพเจ้า” (Service of God) เหมือนกับพวกยิว เพราะศาสนาของคนเผ่าเยอรมัน
โบราณก็เป็นศาสนาประเภทพหุเทวนิยม บูชาเทพเจ้าหลายองค์ เช่น เทพทิว (Tue) เทพแห่งสงคราม
เทพโวทัน (Wotan) เทพแห่งกาลัง ธอร์ (Thor) ประธานเทพท้ังปวงและเฟรยา (Freya) เทพธิดา
แห่งความรกั ความงามและความอุดมสมบูรณ์ ชอ่ื ของเทพเจ้าเหล่าน้ีไดก้ ลายมาเปน็ ช่ือของวันบางวันใน
ภาษาอังกฤษ คือ Tuesday (จาก Tue) Wednesday (จากWotan) Thursday (จากThor) Friday
(จาก Freya)

เปน็ อันสรุปได้ว่า ศาสนาสาหรับชาวตะวันตกน้ันหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทพ
เจา้ เสมอ การปฏิบัติของศาสนิกชนกเ็ ปน็ การเอาอกเอาใจและรบั ใชเ้ ทพเจ้าโดยวิธตี ่าง ๆ

1.9 พุทธศาสนาเป็น religion หรอื ไม่

เนื่องจากคาว่า “ศาสนา” กบั คาวา่ “Religion” มีความหมายตามรูปศัพท์ต่างกัน และเราก็
แปลคาว่า Religion ว่าศาสนา จึงทาให้คนเกิดความสงสัยข้ึนมาว่า พระพุทธศาสนาเป็น “ศาสนา”
หรือไม?่ ความจริงนัน้ ผถู้ ามหมายความวา่ พทุ ธศาสนาเป็น Religion หรือไม่?

ก่อนจะตอบป๎ญหานี้ เราจะต้องเขา้ ใจเสยี กอ่ นว่าพุทธศาสนาคืออะไร?
คาวา่ พุทธศาสนานั้น ถ้าเราไม่คิดให้ลึกซ้ึง เราก็จะเห็นว่า เป็นคาง่ายๆ ไม่มีอะไรยุ่งยาก เช่น
เม่ือมีคนพูดว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจาชาติไทย เราก็จะเข้าใจทันที แต่ถ้าคิดดูให้ละเอียดอีก
ชนั้ หน่งึ เราก็จะพบว่า คาว่าพุทธศาสนาเป็นคาท่ีมีความหมายสลับซับซ้อน มีหลายแง่หลายมุม คาว่า
“พุทธศาสนา” ในประโยคว่า “พุทธศาสนาเข้ากันได้กับวิทยาศาสตร์” และประโยคว่า “พุทธศาสนา
ในประเทศไทยกาลังเจริญ” ย่อมมีความหมายแตกต่างกันอย่างแน่นอน คาว่าพุทธศาสนาในประโยค
แรกน่าจะหมายถึงหลักคาสอนของพระพุทธเจ้า และ “พุทธศาสนา” ในประโยคหลังน่าจะหมายถึง
สถาบนั พุทธศาสนาในประเทศไทยมากกว่า
ถา้ เราวเิ คราะหพ์ ทุ ธศาสนาอย่างละเอียดเราจะเห็นว่า พุทธศาสนาประกอบด้วยองค์ประกอบ
ถึง 5 อย่าง หอ่ หมุ้ กันอยเู่ ป็นชั้น ๆ ถงึ 5 ชน้ั ตง้ั แต่ชน้ั ในสดุ ออกมาถึงชน้ั นอกสุด ดังตอ่ ไปนี้
1. พุทธศาสนาในฐานะเป็น “พทุ ธภาวะ” หรือ “พทุ ธธาตุ” อันหมายถึงประสบการณ์ทางจิต
ช้นั สูง ท่ีบุคคลผู้ได้ “ตรัสรู้” แล้วได้รับหรือได้เสวย ประสบการณ์ทางจิตน้ันมีลักษณะสาคัญ 4 ประการ
คอื
- มีลกั ษณะสว่างดว้ ยความรรู้ ะดบั ญาณ
- มลี ักษณะสะอาดบรสิ ุทธ์ิ ปราศจากกเิ ลส
- มีลกั ษณะสงบสขุ ปราศจากความวนุ่ วายใดๆ
- มลี กั ษณะสงสารเหน็ ใจคนอื่นทยี่ ังมีความทกุ ข์

20 T. Walter Wallbank and Alastair M. Taylor, “Civilization : Past and
present,” (Chicago, Scott, Foresman & Company, 1954) p. 70.

14 ศาสนา

- ลกั ษณะของจิตชนั้ สูงน้ี ถ้าพูดให้เปน็ สตู รภาษาไทยย่อ ๆ ก็อาจจะได้สตู รเป็น สว่าง สะอาด
สงบ สงสาร พทุ ธภาวะนี้พระพุทธเจา้ ไดป้ ระสบในคืนวันตรัสรู้ และทาให้พระองค์เปลี่ยนแปลงจากคน
ธรรมดาเป็นพุทธะไป แม้แต่ชาวพุทธท่ีได้ “บรรลุมรรคผล” ก็ได้เสวยประสบการณ์ทางจิตแบบน้ี
เชน่ เดียวกัน ต่างกนั แตเ่ พยี งปริมาณมากน้อยตามชน้ั

2. พุทธศาสนาในฐานะเป็นปรัชญา หมายถึง ระบบความรู้เก่ียวกับป๎ญหาข้ันมูลฐาน
(Fundamental) ของชีวติ 4 ประการ คือ

- ชีวิตคอื อะไร
- ชีวิตอยทู่ ่ไี หน โลกและจักรวาลคืออะไร
- เปูาหมายสงู สดุ ของชวี ิตคอื อะไร
- วถิ ีทางอนั ถกู ตอ้ งทจี่ ะนาไปสเู่ ปูาหมายสงู สดุ นน้ั คืออะไร
พุทธปรัชญาได้ให้คาตอบต่อป๎ญหาท้ัง 4 ประการน้ีไว้อย่างละเอียด พุทธปรัชญาน้ี
พระพุทธเจ้าทางวเิ คราะห์และรวบรวมขึน้ อยา่ งเป็นระบบในระหวา่ ง 7 สปั ดาหแ์ รก ที่พระองค์ประทับ
อยใู่ นบรเิ วณรอบๆ ต้นโพธ์ิ ภายหลังการตรสั รู้
3. พุทธศาสนาในฐานะเป็นระบบจริยธรรม หมายถงึ คาสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่าด้วยความดี
ความชั่ว ว่าด้วยความเส่ือม ความเจริญแห่งชีวิตของบุคคลในโลก ว่าด้วยหน้าท่ีทีคนจะพึงปฏิบัติต่อ
ตนเอง ต่อคนอื่นและต่อรัฐ คาสอนระดับน้ีพระพุทธองค์ทางสร้างขึ้นและนามาส่ังสอนคนธรรมดาที่ยัง
อย่คู รองเรือนและอยากมีชีวิตอยอู่ ย่างมคี วามสุขความเจรญิ ในฆราวาสวิสัย
4. พทุ ธศาสนาในฐานะเป็นศาสนาพืนบ้าน (Folk religion) หมายถึง การเคารพนับถือพระ
รัตนตรัยในฐานะเป็นสิ่งศักด์ิสิทธิ์ (The Sacred) การเคารพสัญลักษณ์ต่างๆ ของพระรัตนตรัยในฐานะ
เป็นส่ิงศักดิ์สิทธ์ิ นอกจากนี้ ยังมีความเช่ือและการปฏิบัติแบบฮินดู แบบวิญญาณนิยม (Animism)
และแบบไสยศาสตร์ (Magic) เช่น การเคารพบูชาพระพรหม พระภูมิ การเคารพนับถือเจ้าพ่อ เจ้าแม่
การเคารพนับถือผี การเช่ือเครอ่ื งรางของขลังเข้ามาผสมคลุกคลีอยู่ด้วย
ความเช่ือถือแบบน้ี เข้าใจว่าเริ่มเกิดขึ้นหลังจากพระบรมศาสดาเสด็จปรินิพพานไปแล้วไม่นา
คนท่ีมีจิตใจไม่เข้มแข็งพอจึงมองหาท่ีพ่ึงสาเร็จรูปใกล้มือ เพื่อจะได้พึ่งพาอาศัยแก้ป๎ญหาชีวิตให้ตน
เม่ือพุทธศาสนาไม่มีเทพเจ้าแบบศาสนาฮินดู ชาวพุทธจึงยกฐานะพระพุทธเจ้าให้เป็นเทพเจ้า สร้าง
แนวคิดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนม์อยู่ในรูปตรีกาย สร้างแนวคิดเร่ืองพระพุทธเจ้าใน
โลกธาตุอื่น ๆ เร่อื งพระโพธสิ ตั ว์ สรา้ งพระพุทธรปู พระเครอื่ ง พุทธมนต์ ฯลฯ ขึน้ มา
5. พุทธศาสนาในฐานะเป็นสถาบันแห่งชาติ (A National Institution) หมายถึง พุทธ
บรษิ ัทและองค์การต่างๆ ของพุทธบรษิ ทั ท่ตี ้ังขึ้นเพ่ือศึกษา ปฏิบัติ บริหารและเผยแพร่พุทธปรัชญาและ
พุทธจริยธรรม เช่น พระสงฆ์และกิจกรรมต่างๆ ของพระสงฆ์ แม่ชี (แทนภิกษุณีซึ่งสิ้นวงศ์ไปแล้ว)
สถาบันของอบุ าสกอุบาสิกา เช่น พุทธสมาคม ยุวพุทธิกสมาคม ชมรมและมูลนิธิต่างๆ สถาบันทางการ
เชน่ กรมการศาสนา กองอนศุ าสนาจารย์ เป็นต้น21
สถาบันศาสนาเป็นเปลือกนอกสุดของพุทธศาสนา เปรียบเหมือนเปลือกของต้นไม้ ทาหน้าที่
หุ้มห่อเนื้อในไว้ ต้นไม้ถ้าเอาเปลือกออกหมดก็ตาย พุทธศาสนาถ้ายุบเลิกสถาบันต่าง ๆ หมด หรือมี

21 แสง จันทร์งาม, ศาสนศาสตร์, อา้ งแล้ว, หนา้ 13 – 15.

ศาสนา 15

สถาบันแตไ่ ม่ทางาน พทุ ธศาสนาก็เสือ่ มและอาจตายไปจากความทรงจาของมนุษย์ได้ ดังท่ีเคยปรากฏ
มาแลว้ ในประวัตศิ าสตรข์ องประเทศต่าง ๆ

เนื่องจากพุทธศาสนามีถึง 5 ชั้นดังท่ีกล่าวมา คาตอบต่อป๎ญหาที่ว่า พระพุทธศาสนาเป็น
religion หรือไม่ จึงข้ึนอยู่กับว่า เราหมายถึงระดับไหนของพุทธศาสนา ถ้าเราหมายถึงระดับที่ 1
พุทธศาสนาก็ไม่ใช่ religion แต่เป็นประสบการณ์ทางจิตชั้นสูงของมนุษย์ (Transcendental
experience) ถ้าเราหมายถึงระดับท่ี 2 พุทธศาสนาก็ไม่ใช่ Religion แต่เป็นปรัชญา คือเป็นความรู้
เก่ียวกับความจริงแท้ของชีวิตและเอกภพ ถ้าเราหมายถึงระดับท่ี 3 พุทธศาสนาก็ไม่ใช่ Religion แต่
เปน็ ระบบจริยธรรมที่ควรประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจาวัน ถ้าเราหมายถึงระดับที่ 4 พุทธศาสนาน่าจะ
เป็น Religion ได้ เพราะพุทธศาสนาในระดับนี้มีความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับส่ิงศักดิ์สิทธ์ิอย่างใด
อย่างหน่ึง รวมทั้งเทพเจ้าด้วย ถ้าเราหมายถึงระดับที่ 5 พุทธศาสนาก็ไม่ใช่ religion แต่เป็นสถาบัน
แบบหน่ึงในสังคม เป็นสถาบันท่ีคนสร้างข้นึ เพอื่ เสริม 4 ระดับข้างต้นของศาสนาอีกทีหนึ่ง เม่ือกล่าวโดย
สรุป พุทธศาสนาจึงเป็นท้ังประสบการณ์ทางจิตช้ันสูง เป็นระบบปรัชญา เป็นระบบจริยธรรม เป็น
religion และเป็นสถาบนั ทางสงั คมดว้ ย

1.10 องคป์ ระกอบของศาสนา

ศาสนาในฐานะปรากฏการณท์ างจิตและทางสังคม เปน็ บอ่ เกิดของคุณค่าและวัฒนธรรมและมี
ความสัมพันธก์ บั ชีวติ ของมนษุ ย์อยา่ งแนน่ แฟูน ซึง่ มีความลึกซึ้งและมีองค์ประกอบมากมายหลายอย่าง
แต่ทถี่ อื ว่าสาคัญที่สุดมี 5 ประการ คือ

1. ศาสดา คอื ผู้ก่อตั้งศาสนาหรือผู้สอนดั้งเดิม (Founder) ซ่ึงมีตัวตนอยู่จริงตามหลักฐานทาง
ประวัตศิ าสตรห์ รือมานุษยวทิ ยายกเว้น ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู

2. คัมภรี ศ์ าสนา คือ ทรี่ องรับหลักธรรมคาสอนในศาสนานั้นด้วย (Scripture)
3. นักบวช คือ ผู้ปฏิบัติตามคาสอน หรือผู้สืบต่อศาสนา (Folower) ซ่ึงมีการจารึกเป็นลาย
ลักษณ์อกั ษร
4. ศาสนสถาน คือสานทีส่ าคัญของศาสนา หรือปูชนียสถาน (Holy place) คือวัตถุหรือสถานที่
ควรเคารพบชู า
5. สญั ลักษณ์ คือ เคร่ืองแสดงออกของศาสนาด้านพธิ กี รรมและปชู นียวตั ถุ (Symobolic)
6. ศาสนกิ ชน คอื บุคคลทน่ี บั ถอื ศาสนา22

1.10.1 ศาสดา
ศาสดา คอื ผกู้ อ่ ต้งั ศาสนา ทรงคณุ ลักษณะพิเศษแตกต่างไปตามประเภทของศาสนาแบ่งออก
ได้เปน็ 2 ประเภท คอื ศาสดาศาสนาเทวนยิ มและศาสดาศาสนาอเทวนยิ ม
ก. ศาสดาของศาสนาเทวนิยม หมายถึง องค์อวตารหรือศาสนทูตของพระเจ้าเพราะพระ
ประสงค์ที่จะช่วยกอบกู้มนุษย์ให้พ้นจากบาปหรือความทุกข์ทรมาน จึงได้แสดงพระองค์ให้ปรากฏแก่
มนษุ ยใ์ นลักษณะต่าง ๆ ดังนี้

22 เดือน คาด,ี ศาสนศาสตร์, อา้ งแล้ว, หน้า 29 – 44.

16 ศาสนา

1. ในฐานะเทพอวตาร (Divine Incarnation) ที่แปลงกายจากภาคพระเจ้าในสวรรค์ลงมา
ในร่างกายของมนุษย์ ทาหน้าท่ีของตนเสร็จแล้วก็กลับสู่สวรรค์อย่างเดิม ได้แก่ เทพอวตารในศาสนา
ฮินดูที่เรียกว่านารายณ์อวตาร พระเยซูในศาสนาคริสต์ นักบุญจอร์น กล่าวว่าเป็นพระเจ้ากลับ
กลายเปน็ มนุษยแ์ ตน่ ักศาสนาบางทา่ น เชน่ ฮีโอโดตุส ไม่ยอมรับโดยกล่าวว่า พระวิญญาณศักด์ิสิทธ์ิ
ลงสู่พระเยซูในขณะรับศีลจุ่ม พรเจ้าจึงไม่ใช่พระเยซู พระเยซูไม่ใช่บุตรของพระเจ้าแต่เป็นบุตรบุญ
ธรรมเท่าน้ัน

2. ในฐานะนักพรตหรือฤาษี (Seers) ซึ่งบาเพ็ญตบะอย่างแรงกล้า สามารถได้เห็นได้ยิน
เสียงทิพย์ขณะจิตใจสงบ จดจาคาของเทพเจ้าได้ และนามาจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรกลายเป็นคัมีร์
ทางศาสนาขึน้ เชน่ คัมภีรพ์ ระเวท หรอื ศรุติ คือคัมภีรว์ า่ ดว้ ยความรู้ทีไ่ ด้มาจากการฟ๎งของฤาษีเหล่
น้ีคือ กัสยปะ, อรตี, ภารทวาชะ และเคาตมะ เป็นต้น ต่อมาท่านนักพรตเหล่าน้ีได้ถูกสถาปนาขึ้น
เป็นเทพเจ้าในสวรรค์

3. ในฐานะผู้พยากรณ์ (Prophets) คือผู้ประกาศข่าวหรือวรสารของพระเจ้า และทานาย
เหตุการณ์ต่าง ๆ ท่ีจะเกิดกับมนุษย์ในโอกาสต่าง ๆ เช่น ในศาสนายิว เช่ือเร่ืองพระผู้มาโปรด
(Messiah) เชน่ โมเสส เป็นต้น ซง่ึ ตอ่ มาทาใหเ้ กดิ ศาสนาครสิ ตแ์ ละศาสนาอิสลามขึน้ ศาสดาพยากรณ์
ไม่ได้ต้ังศาสนาขึ้นใหม่ แต่ได้นาเทวโองการมาประกาศให้คนทั่วไปปฏิบัติตามในศาสนาคริสต์ถือว่า
ศาสดาพยากรณ์ทุกองค์ในศาสนายิว คือ ผู้มาเตรียมทางไว้สาหรับพระเยซูคริสต์ในศาสนาอิสลาม
ยอมรับว่ามีศาสดาพยากรณ์มาแล้วเป็นอันมาก เช่น โมเสส ในศาสนายิว และพระเยซูในศาสนา
คริสต์ ศาสดาพยากรณ์หรือนะบีเหล่าน้ันคือศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้า แต่ถือท่านนะบีมุฮัมมัดเป็น
ศาสดาพยากรณอ์ งคส์ ดุ ทา้ ย

ข. ศาสดาของศาสนาอเทวนิยม คือ มนุษย์ผู้ค้นพบหลักสัจธรรมด้วยตนเอง หรือรวบรวม
หลักธรรมคาสอนเสร็จแล้วนามาประกาศเผยแผ่แก่ผู้อื่น และต้ังศาสนาของตนขึ้นได้โดยสอนให้
พึง่ ตนเอง ไมส่ อนใหก้ ราบไหวว้ งิ วอนขอพรจากส่ิงภายนอก แบง่ ออกได้ 3 ประเภท คอื

1. พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า คอื ท่านตรัสรเู้ องโดยชอบ เปน็ ศาสดาในฐานะเป็นครูแห่งเทวดาและ
มนุษย์ทง้ั ปวง

2. ศาสดามหาพรต (Extremist) คอื ศาสดาในศาสนาเชน เรียกอีกอย่างว่า ตีรถังกร มีอยู่
24 องค์ องค์สุดทา้ ยนามว่า มหาวีระ สอนเน้าการบาเพ็ญพรตแบบทรมานตนด้วยหลักอหิงสาอย่าง
ย่งิ ยวด ปฏเิ สธเทวนยิ มแบบพราหมณ์ ยืนยันชะตากรรมลิขติ

3. ศาสดานักปราชญ์ (Scholastic Sages) คือ ศาสดาที่ไม่ได้ออกบวชเป็นสมณะหรือ
นักพรต ดาเนินชีวิตอยู่อย่างผู้ครองเรือน แต่สนใจในศาสนาและกรปฏิบัติเข้าใจศาสนาแตกฉาน
รวบรวมระบบจริยธรรมตามที่เป็นโบราณธรรม และหลักปฏิบัติตนในครอบครัวบ้าง เช่น ขงจื๊อหรือ
เล่าจอ๊ื เป็นตน้

ลกั ษณะพิเศษของศาสดา
ศาสดาในศาสนาต่าง ๆ นั้น เป็นบุคคลพิเศษ มีลักษณะท่ีสาคัญท่ีปรากฏออกมาท้ังในด้าน
ร่างกายและด้านจิตใจจะเห็นได้ว่า ในศาสนายูดายหรือยิว โมเสสเกิดในสมัยท่ีฟาโรห์แห่งอียิปต์สั่งให้
ประหารเด็กทกุ คนที่เกิดใหม่ในปีน้ัน แต่ไม่สามารถจะประหารโมเสสได้ มารดาของโมเสสได้ใส่โมเสส
ลงในกระจาดใบใหญป่ ล่อยให้ลอยไปตามแมน่ า้ ไนล์ ธิดาของฟาโรห์ทรงเห็นเด็กที่น่ารักจึงนามาเลี้ยงไว้
ขนานนามวา่ โมเสส แปลว่า ผู้รอดจากน้า

ศาสนา 17

โมเสสได้รับการเล้ียงดูอย่างหลบซ่อน แต่ก็ได้รับการศึกษาและเลี้ยงดูสมกับเป็นลูกเลี้ยงของ
เจ้าหญิง และในทสี่ ุดโมเสสก็ได้แสดงความเป็นชนชาติเฮบรูออกมา เพราะทนดูเหตุการณ์ท่ีชาวอียิปต์
ทรมานและข่มเหงชาวเฮบรูไม่ได้ จึงฆ่าชาวอียิปต์แก้แค้น แล้วหนีออกจาอียิปต์และต่อมาได้แต่งงาน
กบั ลูกสาวนกั บวชยวิ ในเมืองมิเดยี นในดนิ แดนอาหรับ

โมเสสมนี สิ ัยชาตินยิ มและมีความเป็นผนู้ าอย่างแรงกล้า เมื่อกลับเข้าอียิปต์ได้รวบรวมชาวเฮบ
รตู งั้ เป็นสมาคมช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และได้ทูลของฟาโรห์ให้เลิกบีบบังคับชาวเฮบรูลงเป็นทาสและ
ขออนุญาตพาชาวเฮบรอู อกจากประเทศอียิปต์ แต่ไม่ได้รับอนุญาต โมเสสจึงได้แสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ
เพ่ือบีบบังครับฟาโรห์ เป็นต้นว่า บันดาลให้เกิดโรคระบาดขึ้นท่ัวประเทศโมเสสมีกุสโลบายในการ
บริหารอย่างชาญฉลาด เช่น ก่อนจะออกจากอียิปต์สั่งให้ทุกคนนับถือพระเจ้าองค์เดียว บังคับให้
ผชู้ ายทุกคนขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศออกให้หมดและให้สัญญาแก่ชาวเฮบรูว่าจะออกไปเพื่อค้นหา
แผ่นดินสัญญา โมเสสทาให้ฮิบรูที่หมดหวังและแตกแยกกันด้วยการข้ึนไปบนยอดเขาไซไน อ้างว่าได้
พบพระเจา้ และนาบัญญตั ิ 10 ประการ มาเปน็ หลักการปกครอง พยายามให้พวกเฮบรูแต่งงานกันเอง
ในหมขู่ องตน ใหม้ คี ่ายบริสุทธิ์ (Holy Tent) เป็นท่ีประกอบพิธีในศาสนา และโมเสสเองเป็นผู้ทาพิธี
และมอบให้โยชัว (Joshua) ศิษย์มือขวาเป็นทายาสสืบตาแหน่งแทนผู้นา ให้มีหีบแห่งบัญญัติ (The
Box of Convenant of Yahweh) เม่ือจะอพยพไปท่ีใด ๆ ก็ต้องนาหีบบัญญัติไปด้วย เพื่ออยู่
ใกลช้ ดิ กับพระเจา้ ตลอดเวลา

โมเสสนาชาวเฮบรูเร่ร่อนไปถึงแม่น้าจอร์แดนได้ต่อสู้กับเจ้าของถิ่นจนได้รับชัยชนะจึงได้ตั้ง
รกรากอยู่ในแผ่นดินแห่งน้ัน โมเสสแสดงปาฏิหาริย์สาคัญท่ีสุด คือ การแหวกทะเลแดงให้ชาวเฮบรู
ข้ามไปดกู อ่ นทกี่ องทพั ของฟาโรห์จะตดิ ตามสังหารทัน ในขณะนั้นโมเสสมีอายุ 80 ปีแล้ว

ในศาสนาคริสต์ พระเยซู คอื อวตารของพระเจา้ โดยท่พี ระจิตของพระเจา้ บันดาลให้นางมา
รีย์ตั้งครรภ์ ขณะท่ีเป็นคู่หม้ันของโยเซฟ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันฉันสามีภรรยา พระเยซูคือพระผู้มา
โปรดหรือช่วยประชากรของพระเจ้าให้พ้นจากบาป ทรงเป็นผู้ฉลาด เมื่อยังเป็นกุมารทรงโต้ตอบ
ปญ๎ หากบั พวกหมอ นักปราชญ์ ไดอ้ ย่างคล่องแคล่วดว้ ยปรีชาสขุ มุ ทน่ี า่ อัศจรรย์

หลังประกอบพิธีใช้น้าเข้ารีตโดยยอห์น ณ ฝ๎่งแม่น้าจอร์แดน พระเจ้าประกาศว่า “ผู้ท่ีเป็น
บุตรสุดท่ีรักของเรา เราพอใจท่านมาก” ทรงแสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ เช่น เสกน้าให้เป็นเหล้าองุ่นได้
ทรงขับไล่ผีออกจากร่างของชายท่ีถูกผีเข้าได้ ไม่ทรงกลัวอาญาของกษัตริย์ดาวิดทรงรักษาคนหูหนวก
และเป็นใบไ้ ด้ ทรงหา้ มพายุได้ ทรงดาเนินบนน้าได้ ทรงรักษาคนปุวยหลายประเภท เช่น คนพิการ
คนตาบอด คนง่อย คนใบ้ และคนเจ็บปวุ ยต่าง ๆ แขน ขาหัก ให้หายเป็นปกติได้ และทรงกลับฟ้ืน
คืนชีพ หลังถูกประหารชีวิตจนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ทรงเสด็จข้ึนสู่สวรรค์ทั้งร่าง ประทับอยู่
เบ้ืองขวาของพระเจา้

ในศาสนาอิสลาม มีการกล่าวถึง คุณวิเศษของศาสดามุฮัมมัดในลักษณะ ดังเช่น ท่านไม่รู้
หนังสือ อ่านเขียนไม่เป็น แต่ทรงแสดงพระวจนะของอัลเลาะห์ได้อย่างสมบูรณ์ คือคัมภีร์อัลกุรอาน
ทา่ นเป็นคนรูปรา่ งสนั ทดั ไมส่ งู หรือเต้ยี จนเกินไป เมื่อเดินอยู่เพียงลาพัง อาจจะรู้สึกว่าเต้ีย แต่เมื่อมี
คนเดินไปกับท่านด้วย จะรู้สึกว่าท่านสูงกว่าอีกคนหนึ่ง ผิวค่อนข้างขาวเปล่งปล่ังส่วนที่ถูกแสงแดด
และอากาศเช่นหน้า คอ และหูนั้นเป็นสีแดงเรื่อ ๆ ส่วนที่มีผ้าปกคลุมนั้นเป็นสีขาวบริสุทธ์ิ ผมของ
ทา่ นหยกั ศก เป็นคลื่นสวยงาม ใบหน้าของทา่ นงามกว่าชายใด เปรยี บไดก้ บั ดวงจันทร์เต็มดวง ท่านมี
หนา้ ผากกว้าง ค้ิวดก แต่เรียบบาง ระหวา่ งคว้ิ เปน็ สีน้าเงนิ เหลือบดวงตาโตลึกและมีสีเข้มออกแดงนิด

18 ศาสนา

หนอ่ ย ขนตาของท่านยาวและหนา จมูกลาดเปน็ สันไดส้ ัดส่วนฟ๎นเป็นเงา ริมฝีปากได้รูปงดงาม แก้ม
มีเน้ือแน่นไม่อ่อนน่ิม ใบหน้าค่อนข้างมน เคราหนา หนวดตัดเรียบ หน้าอกกว้าง และมีเน้ือแน่น
ไหล่กว้างและมีขนดกหนา มือ แขน ไหล่ และข้อเท้าของท่านมีเนื้อเต็ม ท่านเป็นคนค่อนข้างท้วม
แม้มีอายุขึ้นร่างกายท่านก็ยังคงเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและแข็งแรง ดูท่าทางจากภายนอกจะเห็นว่าเป็น
คนออ่ นโยนและช่างคดิ ท่านมกั จะอมย้มิ นอ้ ย ๆ แทนการหัวเราะ ท่านมีนิสัยเรียบง่าย ปกติท่านเป็น
คนชอบเครื่องหอมอย่างมากแต่เครื่องดองของเมาเป็นสิ่งที่ท่านเกลียด ท่านมีจิตใจสูงส่ง ประณีต
และละเอียดอ่อนและเก็บความรู้สึกได้เป็นเลิศ กล่าวกันว่า ท่านนะบีมุฮัมมัด มีความสงบเสง่ียมยิ่ง
กวา่ หญงิ พรหมจรรย์ท่นี ั่งอยหู่ ลังบา้ นเสยี อกี

ในศาสนาซิกข์ คุรุนานัก เกิดในตระกูลคนจน เป็นชาวฮินดู อยู่ในวรรณะพราหมณ์ ได้รับ
การศึกษาเม่อื อายุ 7 ขวบ มีปญ๎ ญาแตกฉานตง้ั แต่ยงั เลก็ สนใจศาสนาแตกฉานในคัมภีร์พระเวทและ
ศาสนาไซโรอัสเตอร์ ของชาวเปอร์เซียน อายุ 9 ขวบ ก็ประกาศตนเป็นอาจารย์ไม่ในใจในอานาจ
แม้แต่การเมือง มุ่งหน้าแต่สอนศาสนาอย่างเดียว แต่งงานมีบุตร 2 คน แต่ไม่ประสบาความสาเร็จ
ในการครองเรอื น อายุ 36 ปี กอ็ อกแสวงหาความสงบในปาุ

ในคราวประชาชนทุกข์ยากไม่ได้รับความเป็นธรรม คุรุนานักตั้งตัวเป็นครูเท่ียวส่ังสอนผู้คน
ต้ังตัวเป็นแพทย์พยาบาลคนปุวย เที่ยวแนะนาให้ความยุติธรรมแก่คนทั้งหลาย สละทรัพย์ สมบัติ
ทงั้ หมด เทย่ี วไปดว้ ยเคร่ืองแตง่ ตวั ชน้ิ เดียว

คุรุนานักปฏิบัติตนตามแบบฮินดูและแบบมุสลิม เที่ยวส่ังสอนประชาชนอยู่ 32 ปี โดยเน้น
เร่อื ง สามคั คี เสมอภาค ศรทั ธาและความรกั และเดินธุดงคไ์ ปส่ังสอนถึงเมืองเมกกะ

ในศาสนาเล่าจ๊ือ คัมภีร์เต๋าเต็กเก็ง (Tao Tah ching) ได้พรรณนาลักษณะของเล่าจ๊ือว่าช
อบเดินทางโดยข่ีหลังควาย เล่าจ๊ือมองโลกด้วยสายตาธรรมดา เห็นความผิดของคนทั้งหลายเป็น
ธรรมดาทจ่ี ะยกโทษให้ ผู้ใดทาความช่ัว ก็ให้ชนะความช่ัวน้ันด้วยความดี ให้ชนะความร้ายด้วยความ
กรณุ า เลา่ จือ๊ กล่าวว่า ผู้ใดช่ัวร้ายต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเป็นคนดีต่อเขา ผู้ใดทาความดีต่อข้าพเจ้า
ข้าพเจ้า ก็เป็นคนดีสาหรับเขา ผู้ใดซ่ือสัตย์ต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ซ่ือสัตย์ต่อเขา ผู้ใดไม่ซ่ือสัตย์ต่อ
ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยงั ซ่ือสตั ย์ต่อเขาทุกคน

เล่าจ๊ือมีบุคลิกลักษณะเป็นคนเมตตากรุณาและชอบความสงบ เต๋าเต็กเก็งแสดงไว้ว่าหมู่ชน
ท้ังหลาย เป็นผู้มีความสุข ข้าพเจ้าเป็นคนชอบความสงบ ชอบอยู่แต่ลาพัง จงติเตียนข้าพเจ้าเถิด
ข้าพเจ้าไม่ต้องการความสุขเช่นหมู่ชนท้ังหลาย ข้าพเจ้าเป็นคนหยิ่ง คนขลาด ข้าพเจ้าเป็นคน
แตกตา่ งจากผู้มคี วามสุขทั้งหลาย ขา้ พเจา้ จากคนทง้ั หลายมาเพอื่ แสวงหาเตา๋

เลา่ จื๊อมีคณุ สมบัติพิเศษ 3 ประการ คือ ความเมตตา กรุณา ความกระเหม็ดกระแหม่และ
ความอ่อนน้อมถ่อมตัว เล่าจ๊ือเคยกล่าวว่า แม้ผู้คนจะนับถือตนว่าเป็นนักปราชญ์ แต่ไม่มีผู้ใดเข้าใจ
เขาจรงิ ๆ ทง้ั ๆ ทคี่ าพดู ของตนเองงา่ ยที่จะเข้าใจและปฏิบัติตาม เพราะเมื่อไม่เข้าใจธรรมชาติแล้วก็
ยากที่จะเขา้ ถงึ สัจธรรม

ส่วนศาสดาขงจื๊อ เกิดในถ้า ขณะท่ีบ้านเมืองเกิดความยุ่งเหยิง ตระกูลตกต่ายากจนเป็นคน
กาพร้า บิดาตายแต่ยังเล็ก ต้องต่อสู้กับป๎ญหาชีวิตอย่างเดียวดาย ขง จ๊ือมีอาชีพรับราชการ
เจริญรุ่งเรืองเพราะถูกกับอุปนิสัยใจคอผู้ว่าการเมืองฉางหลวง ได้เล่ือนขึ้นเป็นผู้ว่าการ กระทรวง
ยุติธรรม และผู้รักษาการประธานมนตรี ชอบศึกษาและรอบรู้ในจารีตประเพณีของจีนเป็นอย่างดี
สามารถประกอบพิธตี า่ ง ๆ ได้อยา่ งถูกต้อง และกลายเปน็ อาจารยข์ องคนทัง้ หลาย

ศาสนา 19

ขงจ๊ือมีความมุ่งม่ัน จะเปล่ียนแปลงสังคมตามอุดมคติของตนให้จงได้ แต่ก็ล้มเหลว 13 ปี
แห่งการท่องเท่ยี วไปในแคว้นต่าง ๆ ขงจ๊ือไดพ้ บกบั ความผดิ หวัง ทุกข์ยากลาบากถึงกับอดข้าวและไม่มี
ร่มไมช้ ายคาใดต้อนรับในระหว่างเดนิ ทาง แม้กระนั้นก็ยังเชอ่ื ม่ันวา่ “ฟูา” คงจะปกปูองรักษา เพราะ
ทั้งหมดในชีวิตที่ทามานั้นคือ การเผยแผ่สัจธรรม และหวังอยู่เสมอว่าวันหน่ึงตนอาจจะช่วยโลกให้
บรรลุสนั ติสุขได้

ในศาสนาชินโต สมเดจ็ พระเจา้ จักรพรรดิ คือ อวตารของสรุ ยิ เทพอมเตรสุ พระองค์ทรงเป็น
ศูนย์กลางระหว่างเทพเจ้ากับพลเมือง ทรงเป็นผู้ปกครองอาณาจักร ทรงเป็นประมุขของศาสนาจักร
ทง้ั สนิ้ พระองค์ทรงเป็นนิมิตหมายแห่งความไม่สูญสลายแห่งเทพอานาจของพระองค์คือ เทพเจ้าผู้สิง
สถิตอยู่ในร่างของมนุษย์ ดังนั้น พระบรมราชโองการของสมเด็จพระจักรพรรดิ คือ โองการแห่ง
สวรรค์

ในศาสนาเชน พระมหาวีระ สอนว่า ท่านไม่ใช่ศาสดาองค์แรกของศาสนาน้ี พระองค์เป็น
เพียงผคู้ นพบหลักธรรมของศาสดาที่เรียกว่า ติรถังกร องค์ก่อน ๆ ท้ังหมด 23 องค์ศาสนิกชนเช่ือว่า
พระมหาวีระเป็นศาสดาองค์ที่ 24 เป็นองค์สุดท้าย ทรงบริสุทธ์ิ พ้นจากกิเลสท้ังปวง ประกอบด้วย
คุณสมบัติ 10 ประการ คือ

1. สามารถปกปูองอันตรายอันเกดิ จากทุพภกิ ขภยั ได้ในรศั มี 800 ไมล์
2. ยกตวั ขนึ้ จากแผ่นดนิ ได้ (เหาะ) ไมว่ า่ เวลา น่นั นอน หรอื เดิน
3. สามารถเผชิญหน้ากับใคร ๆ และอันตรายใด ๆ ไดท้ ง้ั 4 ทิศ
4. สามารถปกปูองอันตรายใหแ้ กบ่ ุคคลอื่นท่ีอยูร่ อบข้าง
5. สามารถระงบั ทุกขเวทนาใด ๆ ได้
6. สามารถเปน็ อยไู่ ดโ้ ดยไม่แตะต้องอาหาร
7. สามารถในศลิ ปะและวทิ ยาการทกุ ประการ
8. เปน็ ผไู้ มม่ ีเล็บและผมงอกขน้ึ
9. ลืมตาไดต้ ลอดโดยไมก่ ระพริบ
10. ร่างกายไม่มเี งา
นอกจากนี้ศาสนาเชน ยังเชอ่ื ว่า ตริ ถงั กร ประกอบดว้ ยคุณสมบัติพิเศษ 4 ประการ คือ มี
ความรู้สึกรับผิดชอบเป็นเลิศ มีความรู้เป็นเลิศ มีพลังเป็นเลิศ และมีความสุขเป็นเลิศ เช่น เดียวกับ
ศาสดาทุกพระองค์ จึงเปน็ ผู้มีดวงวิญญาณอันบรสิ ุทธ์ิ
ในพระไตรปิฎก ไดก้ ลา่ วถงึ มหาปรุ ิสลกั ษณะอนั เปน็ คุณสมบัติประจากายของเจ้าชายสิทธัตถะ
ไว้ 32 ประการ และมคี ณุ ลกั ษณะพิเศษในฐานะพระพทุ ธเจ้าไว้อีก 9 ประการ ดังน้คี อื
1. มีพืน้ เท้าสม่าเสมอ
2. ฝาุ มือมีลายจกั ร มีซีก่ าข้างละพันพรอ้ มท้ังกงและดุม
3. มีส้นยาว
4. มนี ้ิวมือและน้วิ เท้าเรียวยาว
5. มีฝาุ มอื ฝาุ เทา้ ออ่ นละมุน
6. มีลายฝาุ มอื ฝุาเทา้ ดจุ ตาข่าย
7. มีข้อเทา้ อยู่สงู
8. มแี ข้งดุจแขง้ เน้อื ทราย

20 ศาสนา

9. แม้ยืนไมย่ ่อตวั ลงก็สามารถแตะเขา่ ไดด้ ว้ ยมือทง้ั สอง
10. มอี งคชาตตั้งอยใู่ นฝ๎ก
11. มสี กี ายดุจทอง คือ มีผวิ หนังดุจทอง
12. มผี ิวหนังละเอียด
13. มขี นขุมละเส้น เส้นหนง่ึ ๆ อยูห่ นึ่งขมุ
14. มีปลายขนชอ้ นข้ึนมีสดี จุ ดอกอัญชนั ข้ึนเวยี นขวา
15. มกี ายดุจกายพรหม
16. มีเน้ือนูนหนาในที่ 7 แหง่ คือ หลังมือ 2 หลงั เท้า 2 บ่า 2 และทคี่ อ
17. มีกายข้างหน้าดุจราชสหี ์
18. มีหลงั เตม็ บริบูรณ์ไมเ่ ปน็ รอ่ ง
19. มที รวดทรงดุจตน้ ไทร คอื กายกบั วาเทา่ กัน
20. มคี อกลมเกล้ียง
21. มปี ระสาทรบั รสอันเลศิ
22. มคี างดจุ คางราชสีห์
23. มฟี น๎
40 ซ่ีบริบรู ณ์
24. มีฟน๎ เรียบเสมอ
25. มฟี ๎นสนิทชิดกัน
26. มเี ขยี้ วสขี าวงาม
27. มลี ้นิ ใหญ่และยาว
28. มีเสียงดุจเสียงพรหม คือ เสียงไพเราะ ประกอบด้วยองค์ 8 ประการคือ เสียง
สละสลวย 1 รู้ได้ง่าย 1 ไพเราะ 1 น่าฟ๎ง 1 หยดย้อย 1 ไม่แหบเครือ 1 ลึก 1 ก้อง 1 หรือ
เหมือนเสยี งนกการะเวก
29. มนี ัยนต์ าดาสนิทเหมือนสีนิล
30. มตี าบรสิ ุทธ์ิ ดจุ ตาลูกโคเพง่ิ คลอด
31. มอี ณุ าโลมทห่ี ว่างค้ิวขาวออ่ นเหมือนสาลี
32. มีศรีษะรับกบั กรอบหนา้
ในฐานะผู้มีตนอันพัฒนาสูงสุด ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงได้รับการสรรเสริญด้วย
คณุ สมบัติ 9 ประการ คอื
1. เป็นพระอรหันต์
2. ตรสั รูเ้ องโดยชอบ
3. ถงึ พรอ้ มดว้ ยวิชชาและจรณะ
4. เสด็จไปดีแล้ว
5. เปน็ ผู้รู้แจง้ โลก
6. เปน็ สารถีฝึกคนท่ีฝกึ ไดไ้ ม่มใี ครย่ิงกวา่
7. เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทัง้ หลาย
8. เปน็ ผตู้ นื่ และเบิกบานอยเู่ สมอ

ศาสนา 21

9. เป็นผ้มู โี ชค
ซึ่งย่นย่อลงในคุณสมบัติ 3 ประการ คือ ทรงสมบูรณ์ด้วยพระป๎ญญาคุณ พระกรุณาธิคุณ
และพระวสิ ุทธคิ ุณ

1.10.2 คัมภีร์หรือคาสอน
ลักษณะของคมั ภีรศ์ าสนา
คัมภีร์ศาสนา คอื ขอ้ ความ คาสั่งสอนของพระศาสดาและของพระสาวกสาคัญหรือข้อความ
บนั ทึกเหตุการณ์เก่ียวกับศาสนาที่ท่องจากนั ไวไ้ ด้แลว้ จดจารกึ เป็นลายลักษณ์อกั ษร
คาสอนของศาสนาฝุายอเทวนิยมท่ีเรียก พระธรรมวินัยก็บรรจุอยู่ในคัมภีร์ทางศาสนา ซ่ึงจัดไว้เป็น
หมวดหมตู่ ามลักษณะของแตล่ ะศาสนา
ในเทวนยิ ม พระคมั ภรี ์นอกจากจะเป็นภาชนะรองรับพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ยังเป็นการ
บันทึกประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ และเผ่าพันธ์ุกับพระเจ้าไว้อย่างไม่ขาดตอน เช่น พระคัมภีร์ไบ
เบิลภาคแรก ว่าด้วยประวัติศาสตร์ของชาวโลกและมนุษยชาติต่อ ๆ มา เร่ิมต้ังแต่พระเจ้าสร้างโลก
สร้างมนุษย์คู่แรก คือ อาดัมกับอีวา พระเวทก็ถือว่าเป็นวรรณกรรมชุดแรกของโลกที่สืบต่อกันมาไม่
ขาดตอนเป็นเวลาหลายพันปี
ส่วนในอเทวนิยม โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา คัมภีร์มีลักษณะแตกต่างไปจากคัมภีร์ใน
ศาสนาประเภทเทวนยิ ม กลา่ วคือ พระไตรปิฎกเป็นภาชนะรองรับพุทธวจนะ ที่ว่าด้วยธรรมชาติของ
โลกและชีวิตล้วน ๆ โดยอธิบายสภาวธรรมชาติ และการกระทาของมนุษย์ เช่น เร่ือง อริยสัจ ไตร
ลักษณ์ ปฏิจจสมุปบาท สังสารวัฏ เป็นต้น ไม่เก่ียวกับประวัติศาสตร์หรือการเมืองของชนชาติใด
โดยเฉพาะ

คัมภรี ใ์ นศาสนาต่าง ๆ มีช่ือเรยี ก ดังนี่
1. คมั ภีรใ์ นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เรียก พระเวท หรอื ไตรเพท (The Vedas)
2. คัมภีร์ในศาสนาเชน เรียก อาคม (The Agama)
3. คัมภรี ์ในพระพทุ ธศาสนา เรียก พระไตรปิฎก (The Tripitaka)
4. คมั ภรี ์ในศาสนาสิกข์ เรยี ก ครนั ถะ (The Granth)
5. คมั ภรี ใ์ นศาสนาเต๋า เรียก เตา๋ เต็กเก็ง (The Tao Tah ching)
6. คัมภีร์ในศาสนาขงจอ๊ื เรยี ก เก็งท้ัง 5 และชูท้ัง 4 (The Ching and Shu)
7. คัมภรี ใ์ นศาสนาชินโต เรยี ก โกชิกิ นฮิ อนคิ และเยนงิซิกิ (The Kojiki Nihongi and

Yengishiki)
8. คมั ภีรใ์ สศาสนายิวหรอื ยดู าย เรียก โตราห์และทลั มุด (The torah and Talmud)
9. คัมภรี ใ์ นศาสนาคริสต์ เรยี ก ไบเบิล (Bible)
10. คมั ภรี ใ์ นศาสนาอิสลาม เรียก อัลกรุ อา่ น (The Quran)
11. คัมภีรใ์ นศาสนาโซโรอสั เตอร์ เรียก อเวสตะ (The Avesta)

22 ศาสนา

1.10.3 นกั บวชหรือสาวก
นักบวช คือ ผู้สละเหย้าเรือนหรือการครองชีวิตอย่างคฤหัสถ์อุทิศตนเพื่อศาสนาท่ีตนนับถือ
ในศาสนาเทวนิยมนกั บวชนอกจากจะเป็นบคุ คลศักดส์ิ ทิ ธแิ์ ล้วยังมีหน้าท่ีเก่ียวข้องกับชีวิตของคนท้ังปวง
ต้ังแต่เกิดจนตาย ศาสนกิจต่าง ๆ คาจารึก จดหมายเหตุ พิธีกรรม การเซ่นไหว้บูชา เป็นต้น
นักบวชเทา่ น้ันทาได้ โดยเปน็ ผู้กาหนดรปู แบบ พิธีกรรม วันเวลา รวมทั้งบุคคลและการกระทาอย่าง
ใดทเ่ี ทพเจ้าโปรดปรานหรอื เกลยี ดชงั
เน่ืองจากการศึกษาเป็นเร่ืองที่ศาสนากาหนด ดังน้ันนักบวชจึงเป็นผู้มีการศึกษาสูงกว่าคน
ท่ัวไป ในเทวนิยม นักบวชจะต้องประจาอยู่ในวิหารเทพเจ้า การเป็นนักบวชแต่เดิมไม่ได้มีกฏเกณฑ์
อะไรมาก ถ้าหารสามารถแสดงตนว่า ตนสามารถติดต่อกับเทพเจ้าได้ ก็เป็นที่ยอมรับของมหาชน
ต่อมาเป็นการสืบต่อตระกูลเรียกตระกูลนักบวช อาจจะมาจากตระกูลทหาร ข้าราชการหรือตระกูล
ชาวนาหรือชาวประมงก็ได้ มีครอบครัวได้ ในศาสนาอียิปต์โบราณ มีนักบวชหญิงด้วย และมีช้ัน
ฐานะแตกต่างกันตามหน้าที่ในวิหารแต่ละแห่ง เช่น ตาแหน่งหัวหน้าคุมผลประโยชน์ของวิหาร
ตาแหนง่ พยากรณ์ทานายโชคชะตา เป็นผู้พิพากษาชาระคดีให้นักบวชและคนท่ัวไป ทาหน้าที่อาบยา
ศพ หรือตาแหน่งภัณฑคารกิ เป็นตน้
โดยท่ัวไปนักบวชจะเป็นผู้ทรงอานาจ เพราะเป็นคนของเทพเจ้า ได้รับสิทธิพิเศษเป็นคน
อภิสิทธ์ิ ไม่ต้องถูกเก็บภาษีให้รัฐ แต่รัฐต้องคอยอุปถัมภ์ ฉะนั้นนักบวชจึงเป็นผู้เสียสละการทาเป็น
ธรุ กจิ ผลประโยชนส์ ่วนตวั มุ่งปฏิบัตพิ ิธกี รรมแก่คนท้ังหลาย แนะนาพิธีกรรมและการสอนศีลธรรมแก่
ประชาชนท่วั ไป
ในชวี ิตประจาวนั ของนกั บวช นอกจากกิจวัตรการสวดมนต์อ้อนวอนเทพเจ้าแล้วจะต้องทาพิธี
เกี่ยวกับตัวเองให้มีรูปร่างลักษณะแตกต่างไปจากคนท่ัวไป เช่น โกนศีรษะ และโกนขนตามร่างกาย
ส่วนอ่นื ๆ อาบน้าชาระร่างกายวันละ 2 – 3 ครั้ง อดอาหารตั้งแต่ 7 วันข้ึนไปตามจานวนของเทพท่ี
ตนบูชา แตง่ กายดว้ ยสแี ตกต่างจากคนท่ัวไป เช่น แตง่ ดว้ ยสีขาว สแี สด หรอื สาดา เปน็ ต้น อาจจะ
คลุมร่างกายอย่างมดิ ชิด หรอื เปลอื ยกาย แสดงถงึ ความหมดกิเลส เปน็ ตน้
ส่วนในศาสนาอเทวนิยมเช่น พระพุทธศาสนา นักบวชคือผู้เข้าสู่ธรรมวินัย ปฏิบัติตามหลัก
พรหมจรรย์คือ ศีล สมาธิ ป๎ญญา เพ่ืออบรมขัดเกลาชีวิตมุ่งตรงต่อนิพพาน เรียกภิกษุบ้าง สมณะ
บา้ งทาหน้าท่อี บรมตนและช่วยเหลอื สงั คม

พัฒนาการของนักบวช
เพราะมนุษย์มีความกลัวเป็นสัญชาตญาณ เม่ือถูกภัยต่าง ๆ คุกคาม จึงแสวงหาท่ีพ่ึงเข้าหา
ต้นไม้บ้าง แม่น้าบ้าง จอมปลวกบ้าง ภูเขาบ้าง เจดีย์บ้าง หรือผู้มีอานาจ เป็นต้น เพ่ืออ้อนวอน
เซ่นสรวงบูชา บนบานใหไ้ ด้มาถงึ ความสวัสดีมีชัยในกิจกรรมต่าง ๆ ต้นไม้ใหญ่ก็ดี แม่น้าก็ดี ภูเขาก็
ดี จอมปลวกก็ดกี ลายเปน็ สถานท่ีศักด์ิสิทธ์ิที่มนุษย์ผู้ถูกภัยคุกคาม และกลัวตายเป็นที่สุด ต้องเคารพ
นอบน้อม บูชา อภิวาท แสดงความนับถือด้วยพิธีกรรมต่าง ๆ ด้วยรู้สึกว่าสถานท่ีนั้น ๆ จะต้องมี
วิญญาณศักด์ิสิทธ์ิสามารถให้รางวัล ได้แก่ ผู้ปฏิบัติได้ถูกต้องและมีความศรัทธาภักดี และสามารถ
ลงโทษได้แก่ผู้ละเมิดหรือลบหลู่ไม่เคารพยาเกรง ดังน้ันเพื่อสนองความประสงค์คือความเป็นสิริมงคล
แกช่ ีวิต มนษุ ย์ส่วนมากจงึ หนั ไปสกั การะบชู าเซ่นสรวงสงั เวยสถานท่ีศกั ด์ิสิทธ์ิน้ัน ๆ ซึ่งต่อมาเรียกเทวส
ถาน

ศาสนา 23

เมื่อมีเทวสถาน กม็ ผี รู้ กั ษาสถานทแี่ หง่ น้นั จะดว้ ยมีความศรทั ธา เล่ือมใส หรือเกรงกลัวหรือ
เปลื้องคาสาบานเพื่อขอพรอย่างใดอย่างหน่ึงก็ตาม จึงมีการทาความสะอาด จัดระเบียบบริเวณให้เกิด
ความสะดวกแก่ผู้ผ่านไปมา คอยซ่อมแซมส่ิงชารุด หักพัง เพ่ือความสวัสดีของผู้มาบูชา เซ่นสังเวย
คอยจัดท่ีบูชาและแนะนาวิธีเซ่นสรวง รวมทั้งช่วยเขาทาพิธีกรรมตามที่ตนเห็นตนด้วยปฏิภาณ และ
มโนสานึกที่ตนคิดว่าจะทาให้เกิดความศักด์ิสิทธิ์ เพื่อทาให้เทพเจ้าท่ีสถิตอยู่ในเทวสถานนี้พอใจ
โปรดปรานบันดาลผลแก่ผเู้ คารพบูชา ผเู้ ฝาู เทวสถานก็กลายเปน็ ผู้ชานาญการ เซน่ สรวง สักการะเทพ
เจ้า แสดงตนเป็นผู้รู้น้าพระทัยของเทพเจ้า เป็นคนกลางระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า ความเป็นอยู่ก็ดี
ขึ้นเพราะอาศัยเครื่องสักการบูชา ไม่ต้องทามาหาเลี้ยงชีพด้วยวิธีอื่น ครั้นมีประสบการณ์มากขึ้น
เข้าถึงจิตและความประสงค์ของผู้มาสักการบูชามากขึ้น เพ่ือให้เกิดความเลื่อมใสมากย่ิงขึ้น ก็คิดวิธี
สักการบชู าใหว้ จิ ิตรพสิ ดาร สลับซับซ้อนมากย่ิงขึ้นการจัดท่ีสักการะต้องมีระเบียบ ต้องวางธูปตรงนั้น
วางเทียนตรงน้ี ดอกไม้ตรงโน้น หัวหมูหรือไก่ต้ม สุราหรือเส้ือผ้า เคร่ืองเซ่นต้องวางตรงโน้น เลือก
สรรพสิ่งท่ีบูชาได้ ส่ิงท่ีต้องห้ามต้องวางตรงไหนทางขวาหรือทางซ้าย ใกล้หรือไกลเทวรูป เครื่อง
สักการะเปน็ ของแห้งหรือของสดหรอื ของมีชวี ติ ต้องวางตรงไหน ตอ้ งเวียนประทกั ษณิ อย่างไร ดังนี้เป็น
ตน้ ยงิ่ นานเขา้ เปน็ เดือนเป็นปี เป็นหลายสบิ ปีการคิดการสรา้ งวิธกี ารสกั การบูชาก็ย่ิงพิสดารมากยิ่งข้ึน
เท่านั้น พิธีกรรมก็ยิ่งสลับซับซ้อนยิ่งข้ึนกิริยาท่าทางการแสดงสัญลักษณ์ในการสังเวยเซ่นสรวงก็ย่ิงน่า
เกรงขาม ก่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์สร้างบรรยากาศแห่งความเลื่อมใสได้มาก ยิ่งมีผู้คนมาสักการบูชา
มากเท่าใด ผู้เฝูาเทวสถานก็ย่อมจะแสดงให้เห็นถึงระเบียบการบูชาและความย่ิงใหญ่ของพิธีกรรม
เท่านั้น ใครถามเรื่องการบูชาสักการะอย่างไร ก็ต้องตอบได้ ตอบท้ังที่เป็นประสบการณ์ ทั้งที่เป็น
การจินตนาการ หรอื อยา่ งเคยได้ยนิ จากคาบอกเล่า

นอกจากพยายามตอบคาถามให้เป็นที่พอใจแล้ว ผู้เฝูาเทวสถานยังพยายามศึกษาคิดค้นและ
แสวงหาความรู้ด้านต่าง ๆ เพ่ือให้สามารถตอบคาถามได้ถูกต้องและศักดิ์สิทธ์ิ สมกับเป็นผู้สามารถ
ติดต่อเข้าถึงน้าพระทัยของเทพต่าง ๆ ได้ บุคคลเหล่านี้กลายเป็นคนสาคัญของสังคมผู้คนต้องให้
อภิสิทธิ์ดูแล เป็นบุคคลที่อยู่ในฐานะสูงกว่าคนอ่ืน ๆ กลายเป็นช้ันวรรณะอันหน่ึงในทางตะวันออก
เรยี กบุคคลประเภทนี้ว่า พราหมณ์ ทาหน้าที่บูชาสักการะเทพเจ้า สาธยายมนต์เป็นส่ือกลางระหว่าง
มนษุ ย์กับเทพเจา้ และกลายเปน็ นกั บวชข้นึ มา

ในบนั ทกึ นกั สารวจชาวกรกี อธบิ ายได้วา่ นกั บวชอยี ปิ ตม์ ีครอบตัวได้ ลูกชายนักบวชอนุญาต
ให้แต่งงานกับลูกสาวทหารได้ และลูกชายนักบวชไม่จาเป็นต้องเป็นนักบวชเสมอไป แยกไปประกอบ
อาชีพอย่างอ่ืนได้ นักบวชอียิปต์เดิมมีทั้งนักบวชผู้ชายและนักบวชผู้หญิง ในหมู่นักบวชมีการแบ่งช้ัน
ตาแหน่งหน้าท่กี นั ทางาน เช่น หน้าท่ีทานาย หน้าที่เป็นผพู้ ิพากษาชาระตัดสินอธิกรณ์ ทาพิธีอาบยา
ศพ นกั บวชเหล่าน้ีมีอานาจมากไมต่ อ้ งเสยี ภาษใี ห้แกพ่ ระมหากษตั ริย์

นักบวชอียิปต์พานักอยู่ในเทวสถาน ถ้าแต่งงานแล้วก็พาลูกเมียไปอยู่ด้วยกันที่เทวสถานเทวส
ถานทุกแห่งมีแท่นบูชา บนแท่นบูชามีรูปเทพเจ้าแต่ละองค์ มีลูกประคา มีดอกไม้ ซึ่งโดยมากเป็น
ดอกบัว แผ่นปาปิรุส ผลองุ่น และผลมะเด่ือ ส่ิงของเหล่าน้ีใส่กระจาดและมีน้ามันใส่หม้อดินไว้
สาหรบั จดุ ประทปี บชู า บางแห่งในวิหารบนแทน่ บชู ามีเน้อื สตั ว์ มเี ลอื ด และสรุ าเมรัยวางไว้เป็นเคร่ือง
สังเวย

ในศาสนายิวโบราณ การทาพิธีบชู าหีบพระราชบญั ญัติ และสังเวยเทพเจ้ามีการใช้โคและแกะ
บริสุทธิ์มาเป็นเคร่ืองสังเวยพระยะโฮวา เม่ือฆ่าโคและแกะแล้วเอาเลือดไปประพรมไว้รอบแท่นบูชา

24 ศาสนา

และรองเลือดและน้ามันท่ีอยู่บนแท่นบูชามาชโลมร่างผู้ทาพิธี การทาพิธีสังเวยต้องทาให้ครบ 7 วัน
โดยเอาโคมาทาการสังเวยทุกวันและต้องทาการชาระแท่นบูชาให้บริสุทธ์ิอยู่ทุกวันห้ามมิให้ผู้ใดไปแตะ
ต้องแทน่ บูชาในระหวา่ งทาพธิ ี

ในศาสนาพราหมณ์ ก็ปรากฏว่าวรรณะพราหมณ์เป็นวรรณะสูงสุด ในฐานะนักบวชทา
พิธีกรรมและการสอนวทิ ยาการตา่ ง ๆ แก่คนในวรรณะอ่ืน ในเร่ืองพิธีกรรมในชั้นเดิมก็มีการสังเวยเทพ
เจ้าคือเจ้าแมก่ าลีไม่แตกต่างกัน กลา่ วคือ บชู าด้วยการช่มุ โชคเลอื ด ฆ่าสัตว์เปน็ ประเภท ๆ เช่น ฆ่า
โค 108 ตัว ฆ่าแกะ 108 ตัว รวมท้ังการสังเวยด้วยชีวิตมนุษย์ทั้งน้ีเพ่ือให้เทพโปรดปรานมากข้ึน
ตามลาดับ พิธีกรรมเหล่านี้เรียกว่าการบูชายัญ พิธีเหล่าน้ีกระทากันมาจนกระท่ังเมื่ออังกฤษ
ครอบครองอินเดยี แลว้ ไดอ้ อกกฎหมายหา้ ม เพราะเหน็ วา่ เปน็ พธิ ีกรรมที่หฤโหดต่อสตั ว์จนเกินไป

ศูนย์กลางกิจกรรมของบุคคลผู้เฝูาเทวสถานหรือนักบวชเหล่านี้ คือการบูชาไฟหรือจุดไฟบูชา
เน่ืองจากอ้างถึงการเข้าถึงเทพเจ้าและรู้พระทัยของเทพเจ้าได้ จึงกลายเป็นนักปราชญ์ หรือผู้รู้ที่
ศักดิ์สิทธ์ิ คาถามทุกคาถามที่มีผู้ถามต้องตอบได้ ถ้าวันไหนตอบไม่ได้ก็หาทางผัดเพี้ยนเพ่ือให้ได้
คาตอบท่ีน่าเชือ่ ถือกวา่ จึงต้องทาพิธีเพื่อขอถามเทพเจา้ ก่อนเมื่อปรึกษาหารือในกลุ่มพวกตนเห็นอย่างไร
แลว้ กใ็ หค้ าตอบไป ดังน้ันนักบวชเหล่านี้จะต้องมีการศึกษาค้นคว้าทาสถิติเหตุการณ์และปรากฏการณ์
ต่าง ๆ เอาไว้ สั่งสอนลูกหลานผู้สืบตระกูลต่อ ๆ ไป ความรู้ด้านต่าง ๆ จึงถูกผูกขาดอยู่กับผู้เป็นคน
ของเทพเจ้านี้โดยปริยาย เมื่อจะทากิจกรรมอะไร สังคมต้องถามเทพเจ้าก่อนว่าเป็นที่พอใจหรือไม่
อย่างไร จะโปรดปรานหรือผิดพระทัยอย่างไร ผู้เฝูาเทวสถานเหล่านี้จะเป็นผู้หาคาตอบ ดังน้ัน
ความร้ดู ้านการแพทยก์ ็เริ่มดว้ ยการรักษาดว้ ยนา้ มนต์ ความรดู้ า้ นสถิตเิ ร่มิ ตน้ จากการจดจา จานวนฝน
ตกและฝนแล้งในฤดูการต่าง ๆ รวมท้ังจดหมายเหตุพงศาวดารต่าง ๆ แห่งความเป็นไปของสังคม ก็
ขึ้นอยู่กับผู้รักษาเทวสถานเหล่าน้ี นอกจากน้ีความรู้แขนงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านศิลปะ เช่น วิจิตร
ศิลป์ ประติมากรรม ดนตรี นาฏศิลป์ หัตถศิลป์รวมทั้งสถาป๎ตยกรรม การปกครอง และการศึกษา
วัฒนธรรมก็ข้ึนอยู่กับนักบวชเหล่านี้ บุคคลเหล่านี้จึงทาหน้าท่ีเป็นทั้งนักบวชเป็นพระและเป็นครูของ
สงั คมอกี ด้วย

สถานภาพของนกั บวช
ในศาสนาเทวนยิ ม การเข้าสู่ภาวะนักบวชในฐานะเป็นคนกลาง ระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้านั้น
มี 2 วิธี คือ โดยสืบสกลุ หรอื สายโลหิต และโดยวิธอี ภิเษกหรอื สถาปนา ดังนี้
1. วิธีสืบสกุลหรือสายโลหิต เน่ืองจากนักบวชเกิดข้ึนจากการมอบตนเพื่อรับใช้เทพเจ้าเป็น
อาชีพหนึ่งโดยเฉพาะ ซ่ึงคนทั่วไปยกให้เป็นอาชีพพิเศษ ทาหน้าที่จุดไฟ ทาพิธีสังเวย บูชาเทพเจ้า
หรอื ติดต่อเทพเจ้าแทนผ้คู นท้ังหลาย บุคคลเหล่าน้ีได้รับการยอมรับว่าเป็นคนของเทพเจ้าได้กลายเป็น
คนพิเศษ หรือวรรณะพิเศษ การท่ีจะทาพิธีกรรมต่าง ๆ ต้องอาศัยนักบวชเหล่าน้ีโดยตรงการติดต่อ
เทพเจ้าจงึ ผูกขาดอยู่กับนักบวชโดยเฉพาะผู้ท่ีจะทาหน้าที่นักบวชได้จะต้องมาจากวรรณะน้ีหรือตระกูล
น้ีเท่าน้ัน ฉะนั้นจึงมีการส่ังสอนถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับพิธีกรรมอ่ืน ๆ ไปยังบุตรหลานในตระกูลของ
ตน เมื่อนักบวชผู้เป็นบิดาตายไป บุตรก็ขึ้นมาทาหน้าท่ีเป็นนักบวชสืบแทนต่อไป เป็นการมอบ
ตาแหน่งให้ลูกของตน และลูกก็มอบให้หลานต่อ ๆ กันไปตามลาดับเช่นน้ี เป็นที่ยอมรับของสังคม
เพราะผู้ท่จี ะสบื ทอดอาชีพน้ีไดจ้ ะต้องมีความรู้ ความชานาญในพธิ กี รรมอยา่ งที่คนก่อน ๆ ทาเอาไว้

ศาสนา 25

ในอนิ เดีย วรรณะนักบวชเรยี กวรรณะพราหมณ์ มีการสืบทอดภารกิจของตระกูล หรือบรรพ
บุรุษ คือบุตร และต้องเป็นบุตรชาย จึงจะสามารถทาพิธีกรรมทางศาสนาได้ ฉะนั้นสาหรับวรรณะ
พราหมณ์ในอนิ เดยี จึงมบี ทบัญญัติว่าด้วยการมมีบุตรว่าทุกคนเกิดมาต้องแต่งงานและจะต้องมีบุตรและ
จะต้องมีบุตรเป็นชาย จึงจะพ้นจากการตกนรกขุมปุตตะ วรรณะพราหมณ์จึงพยายามอย่างยิ่งท่ี
จะตอ้ งให้มบี ุตรเปน็ ชายไว้สืบตระกูล วรรณะพราหมณ์ถือว่ามีกาเนิดมาจากปากของพระพรหมจึงเป็น
วรรณะท่ีประเสรฐิ ท่สี ดุ ดังขอ้ ความในมานวธรรมศาสตร์ หรือมนูสมั ฤติ กลา่ วไวว้ ่า

“สว่ นทีถ่ อื วา่ บริสทุ ธก์ิ ว่าแห่งมนษุ ย์ ไดแ้ ก่ สว่ นเหนือสะดือข้ึนไป ดังนั้นพระผู้ททรงมีสภาวะ
เองย่อมตรัสว่า ส่วนอันบริสุทธ์ิท่ีสุดแห่งมนุษย์ คือ ปาก โดยเหตุท่ีอุบัติขึ้นจากส่วนอันดีเลิศ โดย
เหตทุ ี่อบุ ัตขิ ้นึ ก่อน โดยเหตทุ ีเ่ ปน็ ผทู้ รงพระเวท พราหมณ์จึงนบั วา่ มสี ิทธเ์ิ ป็นนายของสิ่งสรา้ งทง้ั ปวง”

วรรณะพราหมณ์ถือวา่ เปน็ ตวั แทนฝุายป๎ญญา จึงมีหน้าทส่ี าคัญ คอื การสอน ศึกษาบูชายัญ
เพอ่ื คนเหลา่ อื่น เป็นผใู้ ห้ทานและเปน็ ผ้รู บั ทานจากคนอืน่ เป็นการตอบแทนในการทาพิธีกรรม ดังนั้น
การทาหนา้ ที่จงึ เป็นการทาอาชีพดว้ ย

2. วิธีสถาปนาหรืออภิเษก วิธีนี้คือการสร้างคนธรรมดาท่ีไม่อยู่ในวรรณะใดเลยให้เป็นพระ
เป็นวิธีคัดเลือกเข้าไปสู่ภาวะนักบวช ในศาสนาคริสต์ มีพิธีกรรมสาคัญหรือเรียกพิธีศีลศักด์ิสิทธิ์หรือ
ศีลอนุกรม (Holy Order) เป็นพิธีกรรมสถาปนาให้บุคคลเป็นพระผู้มีอานาจในการประกอบพิธี คือ
มุขนายก (Bishop) ซึ่งถือว่าเป็นผู้แทนของพระเยซูคริสต์ และผู้จะบวชเป็นผู้ท่ีพระเจ้าได้ตรัสเรียก
โดยเฉพาะบุคคลแล้ว มิใช่บวชเพราะคล้อยตามเหตุผลของผู้อื่น การบวชคร้ังแรกเรียกว่า สามเณรา
ลยั (Seminary) เพ่ือศึกษาเทวโองการ เป็นระยะทดลองซึ่งอาจจะบอกลา กลับมาเป็น คนธรรมดา
ได้ แต่เมื่อตัดสินใจแน่วแน่ แล้วจึงจะได้รับศีลอนุกรม ซ่ึงจะต้องบวช รับใช้พระเจ้าตลอด ชีวิต
นักบวชในศาสนาครสิ ตน์ กิ ายคาทอลกิ ไม่อนุญาตให้แต่งงาน กฎห้ามข้อน้ีเกิดข้ึนหลังสมัยพระเยซู ราว
ต้นสมัยกลาง เดิมพวกนักบวชในสมัยแรกแต่งงานได้ มีครอบครัวได้ ต่อมาเร่ิมมีนักบวชท่ีไม่แต่งงาน
ถอื พรหมจรรย์ ตามแบบพระเยซูมากยงิ่ ข้นึ ศาสนจกั รคาทอลิกจึงออกกฎตายตัวห้ามนักบวชแต่งงาน

ส่วนในศาสนาฝุายอเทวนิยม พระพุทธศาสนา เรียกนักบวชว่า “ภิกษุ” ซึ่งการเข้าสู่ภิกษุ
ภาวะจะต้องผ่านการบรรพชา และอุปสมบทตามลาดับ ในสมัยพุทธกาล ตอนแรกพระพุทธองค์ทรง
อปุ สมบทใหก้ ุลบตุ รผู้เลื่อมใสประสงค์จะบวชในพระธรรมวนิ ยั ดว้ ยพระองค์เองเรียก เอหิภิกขุอุปสมบท
โดยตรสั วา่ “จงเป็นภิกษุเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์
เถิด” ภิกษุรูปแรกท่ีบวชด้วยวิธีน้ี คือ พระอัญญาโกณทัญญะนับเป็นนักบวชรูปแรกใน
พระพทุ ธศาสนา

ต่อมาทรงอนุญาตให้อุปสมบทด้วยวิธีไตรสรณคมน์ เรียกว่า ติสรณคมนูปสมบท คือ บวช
โดยการใหถ้ ึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะสาเร็จเป็นภิกษุ คร้ังสุดท้ายทรงอนุญาตวิธีการให้พระสงฆ์ทาการ
อปุ สมบทใหผ้ ู้เลื่อมใสขอบวชดว้ ยวธิ บี ัญญัติจตตุ ถกรรมอปุ สมบทซ่ึงเป็นวิธีที่ใช้ในป๎จจุบันส่วนคุณสมบัติ
ของผ้ขู อบวช และได้อนุญาตให้บวชได้ ต้องมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ไม่ใช่บุคคลท่ีต้องห้าม ได้แก
1. ผู้เป็นบัณเฑาะว์คือกระเทย 2. คนสองเพศ 3. ผู้ฆ่าพระอรหันต์ มาก่อน 4. ผู้ข่มขืนทาร้าย
ภกิ ษณุ ีมาก่อน 5. ผ้ลู ักเพศ 6. ผู้ปลอมบวชมาก่อน 7. ผู้เคยบวชมาแล้วเปลี่ยนศาสนา 8. ผู้ที่เคย
ต้องอาบัติปาราชิกมาก่อน 9. ผู้ที่เคยทาสังฆเภทมาก่อน 10. ผู้ท่ีเคยทาร้ายพระศาสดาถึงห้อพระ
โลหิต 11. ผู้เป็นโรคเร้ือน 12. ผู้เป็นโรคฝี 13. ผู้เป็นโครกลาก 14. ผู้เป็นโรคมองคร่อ 15. ผู้มี

26 ศาสนา

อวัยวะไม่สมประกอบ 16. ผู้พิการทุรพลภาพ 17. ผู้บิดามารดาไม่อนุญาตและมีหนี้สิน 18. ผู้
ต้องโทษอาญาแผ่นดิน 19. โจรผ้รู า้ ยท่ีมชี อ่ื เสยี งโด่งดงั เป็นตน้

ประเภทของนกั บวช
โดยทว่ั ไปนกั บวชแบ่งออกเปน็ 3 ประเภท คือ
1. นักบวชประเภทตัวแทน (Intermediary) เป็นผู้ทาหน้าที่เป็นส่ือกลางระหว่างมนุษย์กับ
เทพเจ้านะดับไสยศาสตร์เรียกหมอไสยศาสตร์ (magician) ในระดับวิญญาณนิยมเรียกหมอผี
(Witchdoctor) และในระดับเทวนิยมเรียกนักบวช (Priest) ซ่ึงเกิดจากการสืบทอดทางสายโลหิต
เช่น วรรณะพราหมณ์ในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู หรือจากการอภิเษกจากบุคคลธรรมดาไม่ได้มาจาก
บุคคลวรรณะนกั บวช เช่น ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ เป็นต้น
2. นกั บวชประเภทฤาษี (Ascetic) หมายถงึ บคุ คลทีอ่ อกบาเพ็ญเพียรในปุาตามถ้า ตามเขา
ดารงชีพอยู่ด้วยผลไม้ นุ่งห่มเปลือกไม้หรือหนังสัตว์ ใช้ชีวิตอยู่กับการสวดมนต์ ภาวนา ไม่สังกัด
ศาสนาใด ๆ สละชีวิตทางโลก รักษาพรหมจรรย์ มักน้อยสันโดษ มุ่งแสวงหาความสุขความสงบทาง
จิตใจ
3. นักบวชประเภทภิกษุ (Monk) หมายถึง บุคคลผู้เสยี สละชวี ติ ฆราวาสออกบวช ถือเพศ
บรรพชิต เพราะเล่ือมใสในคาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าปฏิญาณเป็นสาวก ดารงชีพอยู่ได้ด้วยการ
บิณฑบาต อุทิศการบวชเพ่ือบรรลุถึงเปูาหมายสูงสุดคือนิพพาน ผ่านพิธีกรรมที่เรียกว่าอุปสมบทวิธี
สมัยพุทธกาล ภิกษุอาศัยอยู่ตามโคนต้นไม้ ราวปุา รอมฟาง ถ้าหรือภูเขา เม่ือสังคมวิวัฒนาการจึง
อนุญาตให้อยู่จาพรรษาในอารามหรือวัดท่ีตั้งอยู่ในหมู่บ้านเป็นศูนย์กลางของชุมชน ศาสนกิจไม่
เก่ียวกับเทพเจา้ แต่มจี ดุ มุ่งหมายทก่ี ารขดั เกลาจติ ใจใหส้ ะอาด อยู่ในความสงบ
นักบวชในศาสนาเทวนิยม ทาหน้าท่ีเป็นผู้แทนของพระเจ้า ประกอบด้วยการบูชานมัสการ
โปรดศีลศักด์ิสิทธ์ิ ประกาศเทวโองการ สอนธรรม และสวดมนต์ประจาวัน อุทิศตนให้แก่สังคมด้วย
ศาสนกิจ โดยการนาประชาชนไปสู่ความสามัคคีในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกายหรือวิญญาณ
ฉะนนั้ นกั บวชจงึ เป็นผู้นาทางวญิ ญาณ ทาหน้าทเี่ ปน็ หมอ เป็นโหราจารย์ ทานายอนาคตหรือโชคชะตา
ของชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักบวชยังสามารถคานวณสถิติความเป็นไปของภูมิศาสตร์ฟูาฝน เพ่ือการ
เกษตรกรรม การเล้ียงสัตว์ รวมทั้งการชาระอรรถคดี การกอ่ สงครามและยตุ สิ งคราม เปน็ ต้น
ส่วนภิกษุในพระพุทธศาสนาทาหน้าที่ 2 ประการ คือ หน้าท่ีต่อตนเอง และหน้าท่ีต่อสังคม
หน้าท่ีประการแรกคือ การศึกษาพระธรรมวัยเพื่อปฏิบัติให้ถูกต้องและบรรลุธรรมตามความเป็นจริง
และหน้าทีต่ ่อสงั คมคือ ปฏบิ ัตติ นในฐานะกลั ยาณมิตรของสังคม 6 ประการ คือ
1. แนะนาอบรมชแ้ี จงใหป้ ระชาชนละเวน้ ความชว่ั
2. แนะนาสั่งสอนเชญิ ชวนให้เขาปฏบิ ตั คิ วามดี
3. สงเคราะหป์ ระชาชนดว้ ยจิต เมตตา กรุณา มุง่ ปรารถนาดีต่อเขา
4. ให้ประชาชนได้ยนิ ได้ฟ๎ง เรือ่ งที่เขาไมเ่ คยไดย้ นิ ไดฟ้ ๎ง
5. อธบิ ายสิง่ ที่เขาได้ยินไดฟ้ ง๎ มาแลว้ แต่ยงั ไมแ่ จ่มแจง้ ให้เขาเข้าใจแจม่ แจง้ ชัดเจนย่ิงขึ้น
6. บอกทางสุขทางเจริญและทางสวรรคใ์ หแ้ ก่ประชาชน

ศาสนา 27

ดังนั้น ภิกษุในพระพุทธศาสนา จึงปฏิบัติหน้าท่ีด้วยการอาศัยพระวินัย พัฒนาตนไป
ตามลาดบั แห่งธรรม ไม่เป็นข้าศึกต่อผู้อื่น พยายามขัดเกลาจิตใจ ละพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของตน
ไปตามลาดบั ความสามารถของตน

1.10.4 ศาสนสถาน
ศาสนสถาน หมายถงึ สถานท่เี กดิ ข้ึนของศาสนา อันเกย่ี วกับชีวติ ของพระศาสดาเช่น สถานท่ี
ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่แสดงพระธรรม สถานที่ดับขันธ์ และสถานท่ีประชุมพระสาวกมี
หลักฐานทางประวัติศาสตร์รับรอง เป็นปูชนียสถาน เน่ืองจากเป็นสถานที่เก่ียวข้องกับพระศาสดา
และการเกิดข้ึนของศาสนา ในศาสนายิวยอดเขาไซไนสถานท่ี พระยะโฮวาประทานพระราชบัญญัติ
10 ประการ แก่โมเสส ก็ดี เยรูซาเล็มก็ดี ถือว่าเป็นศาสนสถานอันศักด์ิสิทธ์ิในศาสนาอิสลามวิหาร
กาบะ ในเมืองเมกกะ และถ้าฮิรอบนภูเขานูร์ใกล้เมืองเมกกะ ก็ถือว่าเป็นศาสนาสถานศักด์ิสิทธ์ิ
เช่นเดยี วกนั ในทางตะวนั ออกวิหารทองคาแห่งเมืองอมฤตสระในแคว้นป๎ญจาบ ชาวสิกข์ถือว่าเป็นศา
สนสถานสาคัญท่ีสุด ลุมพินีสถานในประเทศเนปาล พุทธคยาในแคว้นพิหาร อิสิปตนมฤคทายวัน
สถาน เมืองพาราณสี และปรินิพพานสถาน ในเมืองกุสินารารัฐอุตรประเทศของอินเดีย
พุทธศาสนิกชนถือวา่ เปน็ สังเวชนยี สถานสาคัญอย่างย่ิง

1.10.5 สญั ลกั ษณ์หรือพิธีกรรม
ในศาสนาแต่ละศาสนาย่อมมีเคร่ืองหมายแตกต่างไป โดยใช้สิ่งที่เป็นรูปธรรม แทนส่ิงท่ีเป็น
นามธรรม หรือความหมายอันละเอียดลึกซึ้งโดยผ่านทางพิธีกรรมบ้าง ศิลปะกรรที่แสดงเป็นรูป
ประติมากรรมบ้าง สลักฝาผนังบ้าง เมื่อพบสัญลักษณ์เหล่านี้ทาให้เข้าใจได้ทันทีว่าน้ันเป็นเรื่องของ
ศาสนาน้ัน ๆ เช่น พบธรรมจักรหรือพิธีทอดกฐินหรือการกราบเบญจางคประดิษฐ์ทราบทันทีว่าน่ีคือ
สัญลักษณ์ ในพระพุทธศาสนา หรือพบไม้กางเขนก็เข้าใจทันทีว่านั่นคือเคร่ืองหมายในศาสนาคริสต์
ดังนั้น พิธีกรรมในฐานะเป็นสัญลักษณ์อย่างหน่ึงที่เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับศาสนา ซึ่งอาจจะ
เป็นพิธีกรรมท่ีปฏิบัติเป็นส่วนบุคคล เช่น สวดมนต์หรือเป็นพิธีกรรมส่วนรวม เช่น การทาพิธี
อุปสมบทและการบูชาในโบสถ์ในโอกาสต่าง ๆ ซึ่งจะต้องมีบรรยากาศแห่งความศักด์ิสิทธ์ิอยู่ด้วย
พิธีกรรมเป็นสัญลักษณ์ศาสนาเพราะเป็นกรอบสาหรับถนอมรักษาศาสนธรรมและเป็นเครื่องเสริม
ศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ ทาให้เกิดความสัมพันธ์กับความจริงในศาสนา โดยเฉพาะอย่างย่ิง เป็น
เครื่องหมายแสดงออกของศาสนาที่เห็นชัดเจนที่สุดเป็นรูปธรรม แบ่งออกได้หลายประเภทตาม
หลกั การของศาสนานั้น ๆ เช่นด้านประตมิ ากรรมสถาปต๎ ยกรรมและจิตรกรรม เป็นตน้
พิธีกรรมเป็นทางนาไปสู่การบรรลุสัจธรรมในแต่ละศาสนาเร่ิมจากพิธี กรรมการปฏิญาณตน
เปน็ ศาสนกิ ชนคือ การปฏิญาณตนนับถือศาสดาหรือคาสอนของศาสดานั้น ๆ เช่น พิธีบูชามิสซา พิธี
ศีลล้างบาป พิธีละมาด พิธีบูชาวิญญาณหรือพิธีพุทธมามกะ เป็นพิธีการเปล่งประกาศวาจาว่าตนขอ
นับถือพระรตั นตรยั วา่ เปน็ ที่พ่ึงท่ีเคารพสูงสุดของตน เป็นต้น พิธีกรรมมีเริ่มตั้งแต่พระศาสดาทรงพระ
ชนม์ชีพ เป็นพิธีกรรมรับสมาชิกเข้าสู่สังคม เช่น พิธีการบวช หรือการบรรพชา อุปสมบท ใน
พระพุทธศาสนาเป็นประกาศและรับรองการเข้าสู่สังคมสงฆ์ตามเงื่อนไขและกติกาของสังคมน้ัน ๆ ทุก
ศาสนาจะต้องมีพิธีกรรมเป็นของตนเองซึ่งเป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ที่แตกต่างกันไปตามอุดมคติ
ของแต่ละศาสนา

28 ศาสนา

พิธีกรรมในฐานะกิจกรรมทางโลกมีความหมายเป็นจุดนับพบ และเป็นจุดนัดหมายโดยเฉพาะ
สาหรับชุมหรือหมู่ชนในสังคมน้ันๆ ให้มองเห็นความสาคัญท่ีจะเริ่มการใด ๆ กันอย่างจริงจัง เพราะ
การ กระทาท่ีสาคัญของชุมชนหรือของส่วนรวมก็ต้องมีพิธีกรรม เช่น ในการประชุมการเล่นกีฬา
หรือแม้แต่งานสังสรรค์ต่าง ๆ ของส่วนรวมล้วนแต่เป็นเรื่องพิธีกรรม ถ้าเกี่ยวกับศาสนาเรียกว่า
ศาสนพธิ ี

ก. ความสาคัญของพธิ ีกรรม
พิธีกรรมทุกอย่างมีความสาคัญต่อจิตใจ และมีความศักด์ิสิทธ์ิและมีอานาจมาก สามารถ
สะกดให้ผู้อยู่ในพิธีทุกคนสงบเงียบ หยุดกิจกรรมอ่ืน ๆ หันมาสนใจเตรียมทาสิ่งเดียวกันอย่างเอาจริง
เอาจงั ทุกคนเตรยี มตวั เตรยี มใจไว้ให้พร้อมท่ีจะทาเรื่องนั้น พิธีกรรมอาจจะเร่ิมจากคนสองคนสามคน
คือ คนสองคนสามคนทาอย่างหนึ่งอย่างใดพร้อมเพรียงกัน อาจจะชักจูงให้คนจานวนร้อยจานวนพัน
ทาตามไปได้ ในระยะแรกอาจจะทาตามเพียงสักแต่ว่าทา โดยเสียไม่ได้ แต่ถ้าทาหลายคร้ังหลายหน
ทานาน ๆ ไป จิตใจจะพลอยโน้มน้อมตามไปด้วย มหาตมะคานธี เป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ เมื่อเขาเดิน
ไปกับสานศุ ษิ ย์ใกล้ชิดเพยี ง 2 – 3 คน เมอ่ื ไปพบท่เี หมาะ อาจจะเป็นหาดทรายชายทะเล ซ่ึงมีคนอยู่
มาก ๆ บางคนเดนิ ตามไป ทาใหค้ นอนื่ ๆ เดินตามไปบา้ ง
มหาตมะคานธี คุกเข่าลงแล้วสวดมนต์ ศิษย์ที่ใกล้ชิดก็ทาตาม คนที่ตามไปก็ทาตามบ้าง การสวด
มนต์มีเสียงดังทาให้คนรอบ ๆ แตกต่ืนมาดู แต่จะอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ ก็ต้องคุกเข่าลงสวดมนต์ทาอย่าง
เดียวกัน คนจานวนมากมายก็สวดมนต์พร้อมมหาตมะคานธี ทาให้เสียงกระหึ่มไปท่ัวบริเวณน่า
อัศจรรย์ สถานที่แห่งน้ันก็กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย ดังนั้นพิธีกรรมจึงมีคุณค่าหลายประการ
คือ
1. เป็นเครื่องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ เช่น ในศาสนาเทวนิยม
หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า ในศาสนาอเทวนิยม หมายถึง ความสัมพันธ์
ระหว่างมนุษย์หรือผู้ปฏิบัติกับพระธรรม ในส่วนของส่ิงศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาหมายถึงความสัมพันธ์
ระหว่างสมาชกิ กบั จุดมงุ่ หมายสงู สุดของกิจกรรมนั้น ๆ
2. เปน็ เครื่องสร้างศรทั ธาในส่ิงศกั ดส์ิ ิทธิ์ กิจกรรมหรือการปฏบิ ตั ใิ นพิธีกรรมในลักษณะต่าง ๆ
เช่น กิริยาอาการ คือ การประนมไหว้ การสวดมนต์เสียงดังน่าเกรงขาม การร่ายราและการแสดง
ท่าทางอันขึงขังหรืออ่อนช้อย รวมท้ังการใช้สัญลักษณ์ อุปกรณ์ เช่น ดอกไม้ ธูปเทียน ในลักษณะ
เป็นสีแตกต่างกัน จัดเป็นคู่ ๆ จัดให้สวยงาม ธูปเทียนท่ีใหญ่ หรือยาวเป็นพิเศษรวมทั้งเคร่ืองเซ่น
บูชา ในพิธีกรรม เปน็ ต้น ย่อมกระตุ้นจิตใจใหเ้ กดิ ความน่าเชื่อ น่าเกรงขามหรือน่าเล่ือมใสได้ ทาให้
ผู้อยู่ในพิธีมีอาการสารวม ตั้งจิตแน่วแน่รวมกันเป็นเอกภาพ มุ่งตรงต่อส่ิงศักดิ์สิทธ์ิหรือเปูาหมาย
พิธีกรรมจงึ เป็นรูปแบบที่จะส่อื ธรรมะสาหรบั คนหม่ใู หญ่ได้ โดยอาศยั ศรทั ธาเปน็ เครอ่ื งนาทาง
3. เป็นเคร่ืองชักจูง ดึงดูดอารมณ์ ทาให้เกิดความสบายใจ เอิบอ่ิมใจ ปรารถนาท่ีจะรักษา
รูปแบบเน้ือหา และอุดมคติของพิธีกรรมนั้น ๆ ซ่ึงเป็นการอนุรักษ์แก่นของศาสนา และข้อปฏิบัติทาง
จริยธรรมไว้ได้ โดยอาศัยความศักด์ิสิทธิ์ และความเลื่อมใส เป็นเครื่องสื่อ เพราะผู้ปฏิบัติศาสนาจะ
เข้าสู่อุดมคติของศาสนาได้โดยอาศัยศรัทธาในพิธีกรรม เป็นข้ันแรกคือระดับพิธีกรรม ซ่ึงเป็นเครื่อง
ฝกึ ฝนพฒั นาผู้ปฏบิ ตั ิ ใหเ้ ลือ่ มใสพอใจเขา้ ถงึ พระธรรมขัน้ สงู ข้ึนไปได้

ศาสนา 29

ข. องค์ประกอบของพธิ กี รรม
การกระทาท่จี ะถอื ว่าเปน็ พิธีกรรมยอ่ มมีองคป์ ระกอบท่สี าคัญ คือ
1. การกระทาทีม่ คี วามสาคัญตอ่ จิตใจ คือเป็นการกระทาท่ีสัมพันธ์กับความจริงท่ีจิตสัมผัสได้
ซึ่งเป็นส่ิงเหนือธรรมชาติโดยมุ่งสร้างอารมณ์ท่ีผดุงจิตใจ ให้เกิดความสบายใจ กาลังใจ ความม่ันใจ
เป็นผลตามมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจิตใจอยู่เหนือวัตถุและร่างกายภายนอกเป็นส่วนหนึ่งของจิตใจ และ
เมื่อได้กระทาพิธกี รรมแล้ว เกิดความสบายใจ
2. การใช้สัญลักษณ์ ในการจัดทาพิธีกรรมแบบต่าง ๆ จะต้องมีอุปกรณ์ เช่น ดอกไม้ ธูป
เทียนหรือเคร่ืองเซ่นต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่ส่ิงไม่มีชีวิตจนถึงส่ิงมีชีวิต มีสัตว์และคนเป็นต้น ตลอดจนกิริยา
ท่าทาง เช่น ท่าร่ายรา การประนมมือ การไหว้ กิริยาขึงขัง การกระทืบเท้า และถ้อยคาหรือบท
สวดตา่ ง ๆ ซ่ึงใช้เป็นสัญลักษณ์บอกให้ทราบถึงความรู้สึกคารวะและความต้ังใจแน่วแน่ ท่ีจะจัดทาสิ่ง
ต่าง ๆ ใหถ้ ูกต้องตามกระบวนการแห่งพธิ ีกรรมน้นั ๆ อนั บง่ ถงึ มโนภาพจินตนาการ เปูาหมายที่ชัดเจน
พลังจิตอารมณใ์ นความสัมพนั ธก์ ับสิ่งศักดสิ์ ิทธแ์ิ หง่ องค์ประกอบพธิ ีกรรมน้ัน ๆ

1.10.6 ความหมายของลทั ธิ
ลัทธิตรงกับคาในภาษาอังกฤษว่า “Doctrine” ตามรากศัพท์เดิม แปลว่า “การสั่งสอน”
หรอื “คาสง่ั สอน” อันหมายถงึ เรื่องทส่ี งั่ สอนกนั มา ความเช่อื ถือ โอวาทของนิกายใดนกิ ายหนง่ึ

ลัทธิในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2525 หน้า 727 ได้ให้
ความหมายไวว้ ่า คตคิ วามเชื่อถือหรือความคดิ เหน็ เชน่ ลัทธศิ าสนา ลทั ธกิ ารเมือง ลัทธิประเพณี

ผู้ศึกษาอาจสังเกตความหมายของลัทธิได้ว่า ลัทธิ หมายถึงความเชื่อถือที่ยังขาดเหตุผลอัน

สมบูรณ์ เป็นหลักความเช่ือของมนุษย์ที่แพร่หลายอยู่ในวงจากัด เฉพาะกลุ่ม เฉพาะพวกและหลัก
ความเช่ือน้ัน ๆ อาจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เช่น เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง การศึกษา
วัฒนธรรม และศาสนา เป็นต้น

ความแตกต่างระหว่างศาสนากับลัทธิ

ศาสนา ลัทธิ

1. เป็นส่ิงท่ีคิดขึ้นเพ่ือประโยชน์สุขแห่งมวล 1. เป็นส่ิงท่ีคิดข้ึนเพื่อประโยชน์สุขของบุคคล

มนุษย์ทัว่ ไป เฉพาะกลุ่ม

2. ตอ้ งมคี าสอนเก่ยี วกับศีลธรรมเปน็ หลัก 2. ไมม่ หี ลักการที่ตอ้ งมคี าสอนเกย่ี วกบั ศีลธรรม
3. เกีย่ วขอ้ งกับมนษุ ยท์ ่วั ไป 3. เก่ียวข้องกับกลมุ่ ชนเพยี งบางกลุม่
4. เน้นจุดหมายสูงสุดของชีวิตในป๎จจุบันและ

4. ต้องมคี าสอนเก่ยี วกบั จดุ หมาย อนาคต อันสัมพันธก์ ับรปู ธรรมเท่านน้ั

5. มีคัมภีร์ไว้เป็นหลักการและมีสถาบันไว้

5. ต้องมีสถาบนั และคมั ภีร์ที่สืบต่อคาสอนและ ปฏิบัติการให้บรรลุหลักการน้ัน ซึ่งอาจมีการ

ไม่สามารถเปลยี่ นแปลงส่งิ ใดในคัมภีรไ์ ด้ เปลีย่ นแปลงแกไ้ ขได้
6. ตอ้ งมพี ิธกี รรม 6. ไม่จาเปน็ ต้องมีพิธีกรรมเสมอไป
7. คาสอนของลัทธิไม่มีลักษณะศักดิ์สิทธิ์ผู้ถือ

7. คาสั่งสอนของศาสนามีลักษณะศักดิ์สิทธ์ิ ตามลัทธิอาจมีความคิดเห็นที่สอดคล้องเท่าน้ัน

30 ศาสนา

ศาสนา ลัทธิ

เปน็ ทีส่ ักการบูชาของศาสนิกชน จึงไม่มีการสักการบชู าตอ่ ลัทธิ

8. เจา้ ลทั ธิประกาศเพียงหลักการของตนซ่ึงเป็น

8. มีศาสดาเป็นผู้นาสัจธรรมมาบอกชาวโลก ทศั นะสว่ นตัว

หรือนาคาสงั่ สอนของพระเจ้ามาบอกชาวโลก

9. ต้องมีสัญลักษณ์ เช่น พระพุทธศาสนาใช้

ธงธรรมจักรบ้าง ใช้พระพุทธรูปบ้าง คริสต์

ศาสนาใช้ไม้กางเขน ศาสนาอิสลามใช้รูป

พระจนั ทร์เส้ียวมดี าวหน่ึงดวง เปน็ ตน้

1.10.7 องค์ประกอบของลทั ธิ
ลัทธิอาจมีองค์ประกอบไม่ครบทุกข้อเหมือนศาสนา ลัทธิมีองค์ประกอบเพียง 1 ข้อ 2 ข้อ
3 ขอ้ หรือ 4 ข้อก็ได้ ลัทธทิ ี่มลี ักษณะเช่นนอ้ี าจเรยี กว่าศาสนาก็ได้
ลัทธินับถือแผ่นดิน ลัทธินี้เช่ือว่าแผ่นดินประเสริฐยิ่ง และเป็นเหมือนบิดามารดาของส่ิงท้ัง
ปวง
ลัทธิขงจื๊อหรือศาสนาขงจ๊ือ มีผู้ตั้งคาสอน สถานศึกษา ลัทธิหรือศาสนาและพิธีกรรม แต่
ลทั ธินข้ี าดนักบวชหรือสาวก
ลทั ธชิ นิ โตหรือศาสนาชนิ โต มีคาสอน นักบวชหรือสาวก ศาสนสถานหรือสถานศึกษา ลัทธิ
และศาสนพธิ ี แตไ่ มป่ รากฏวา่ มผี ตู้ ั้งหรอื สถาปนา
1.6 มูลเหตุการณเ์ กิดศาสนา
นักการศาสนาได้ตั้งข้อสันนิษฐานเก่ียวกับมูลเหตุที่ได้ทาให้เกิดศาสนา ดังที่ ดนัย ไชยโยธา
เอกรนิ ทร์ สม่ี หาศาล และ พลศักด์ิ จริ ไกรศริ ิ ได้กล่าวไว้ใน สังคมศึกษา ส 606
พ.ศ.2527 หน้า 2-3 ดังตอ่ ไปน้ี
ศาสนาเกิดจากความไม่รู้ ประสบการณ์บางอย่างของมนุษยต์ ้ังแต่สมัยด้ังเดิม การฝ๎น ความ
เจบ็ ปุวย และการประสบกบั ความตาย ทาให้ดเู หมือนว่ามนุษย์มี 2 ส่วนคือ ร่างกายส่วนหน่ึงกับอีก
สิง่ หน่งึ ท่ที ่องเที่ยวไปตามที่ต่าง ๆ เมื่อถึงเวลาก็กลับมาสิงในร่างกายตามเดิม ซึ่งเป็นที่มาของความคิด
เร่ืองวิญญาณ ด้วยเหตุนี้ ความไม่รู้เกี่ยวกับวิญญาณจึงได้ทาให้มนุษย์เช่ือว่า ทั้งสิ่งมีชีวิตและ
สง่ิ ไมม่ ชี วี ติ บางอยา่ ง เชน่ คน สัตว์ ภูเขา แม่น้า ตน้ ไม้ เป็นสิง่ ท่ีมวี ญิ ญาณสงิ อยู่ จงึ เกิดการบูชาส่ิง
เหลา่ น้ีขนึ้ เป็น 2 ลัทธิ ดงั นี้
1) ลัทธิบชู าบรรพบรุ ุษ หมายถึง การบูชาวิญญาณของบรรพบุรุษ
2) วิญญาณนยิ ม หมายถึง การบชู าวิญญาณของสิง่ ไม่มีชวี ติ ในธรรมชาติ
ศาสนาเกิดจากความกลัวปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ความไม่รู้เป็นต้นเหตุของความกลัว
มนุษย์โบราณได้เห็นปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ เช่น ฝนตก ฟูาร้อง ฟูาผ่า พายุพัด ความมืด
ความสวา่ ง แต่ไม่ทราบสาเหตุของปรากฏการณ์เหล่านี้จึงคิดว่ามีอะไรบางอย่างท่ีมีอานาจเหนือมนุษย์
เป็นผ้กู ระทาใหเ้ กิดขึน้ สิ่งนั้นคือเทพเจ้า และเทพเจ้าเหล่าน้ันมีลักษณะบางอย่างเหมือนมนุษย์คือ มี

ศาสนา 31

รัก มีโลภ มีโกรธ มีการให้รางวัลและการลงโทษ และเพ่ือไม่ให้มีภัยพิบัติทางธรรมชาติ มนุษย์จึง
ตอ้ งหาทางเอาใจเทพเจ้าโดยการทาพิธีบูชาหรือบวงสรวงเทพเจ้าเหล่านั้น เช่น การบวงสรวงเทพเจ้า
แหง่ ฝน เทพเจ้าแห่งพายุ เทพเจา้ แห่งไฟ และเทพเจ้าอน่ื ๆ

ศาสนาเกิดจากความต้องการศูนย์รวมกาลังใจ ชนบางเผ่าได้ทาการสักการะเทพเจ้าประจา
เผา่ หรอื ประจาชาติ เพอ่ื กอ่ ใหเ้ กิดความสามัคคใี นเผ่าชนและความเปน็ ปกึ แผ่นของเผา่ ซึ่งนาไปสู่การมี
กาลังใจร่วมกันเพ่ือต่อสู้กับชนเผ่าอื่น ๆ ท่ีมากดข่ีข่มเหงเทพเจ้าประจาเผ่าเหล่านี้ ส่วนหนึ่งคือ
วิญญาณองบรรพบุรษุ หรือวีรชนของเผ่าตา่ ง ๆ เหลา่ นั้น ดังน้ัน ลัทธิบชู าวีรบุรษุ จึงเกดิ ขนึ้

ศาสนาเกิดจากความต้องการที่พึ่งทางใจ มนุษย์ไม่เพียงต้องการป๎จจัยสี่ ซ่ึงเป็นความ
ตอ้ งการทางร่างกายเท่านั้น แต่มนุษย์ยังต้องการที่พึ่งทางใจในยามท่ีทุกข์ทรมานใจจากการพลัดพราก
การเสียของรัก ความผิดหวังในชีวิต อ่ืน ๆ ซ่ึงหลายศาสนาต่างก็มีสัจธรรมของตนท่ีมอบให้มนุษย์
พงึ่ พิงทางใจได้

ศาสนาเกดิ จากความต้องการความสงบสขุ ของสังคม ความสงบสุขของสังคมไม่อาจเกิดจาก
การบังคบั ดว้ ยบทบัญญตั แิ ห่งกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับของสังคมอื่น ๆ เท่านั้น แต่ศาสนาเกิดข้ึน
จากความต้องการอบรมและขัดเกลาจิตใจของสมาชิกในสังคมให้เกิดมีความละอายและความเกรงกลัว
ตอ่ การทาความผดิ เมื่อใช้กฎหมายควบคู่กับศาสนา ย่อมทาให้สมาชิกของสังคมอยู่ในความสงบสุขได้
ท้ังร่างกายและจิตใจ

มูลเหตกุ ารณเ์ กิดศาสนาอาจสรปุ ได้ 2 ลักษณะ คอื การเชื่ออย่างมีเหตุผลและการเช่ืออย่าง
ไรเ้ หตุผล สว่ นมูลเหตุต่าง ๆ ของการเกดิ ศาสนา อาจสรปุ ได้ดังนี้

1. มลู เหตทุ ัว่ ไป
1.1 เพราะความไม่รแู้ จง้ ชัดในธรรมชาติทางภูมศิ าสตร์
1.2 เพราะความอยากเปน็ ใหญ่ของศาสดา
1.3 เพราะความเมตตาของศาสดา
1.4 เพราะความสงสัยในกฎของธรรมชาติ
1.5 เพราะความต้องการท่พี ึง่ ทางจติ ใจของมวลมนษุ ย์
1.6 เพราะความต้องการศูนย์รวมกาลงั ใจ
1.7 เพราะความร้แู จ้งความจริงแห่งชวี ติ
1.8 เพราะความจาเปน็ ท่ตี ้องมศี าสนาเพอื่ สนั ติสุขของสมาชกิ ในสงั คม

2. มูลเหตกุ ารณ์เกดิ ศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู
2.1 เพราะความไม่รู้แจ้งชดั ในธรรมชาติ
2.2 เพราะความคิดคานงึ ของสมณพราหมณ์ผูบ้ าเพ็ญพรต
2.3 เพราะความต้องการยกวญิ ญาณเขา้ สูว่ ญิ ญาณสากลหรือปรมาตมัน

3. มูลเหตุการณเ์ กิดพระพทุ ธศาสนา
3.1 เพราะความสงสยั ในกฎธรรมชาติ
3.2 เพราะความเมตตาขององค์ศาสดา
3.3 เพราะความต้องการใหม้ วลมนษุ ยไ์ ด้พน้ ทกุ ข์โดยสิน้ เชงิ และไดป้ ระสบความผาสุก
อยา่ งแทจ้ รงิ
3.4 เพราะความร้แู จ้งความจรงิ แหง่ ชวี ิต

32 ศาสนา

4. มูลเหตกุ ารณ์เกิดครสิ ตศ์ าสนา
4.1 เพราะความเชือ่ มั่นในศาสดาพยากรณ์
4.2 เพราะความสานึกผิดของศิษย์
4.3 เพราะความไมร่ แู้ จง้ ชัดในธรรมชาติทางภูมิศาสตร์

5. มลู เหตุการณ์เกิดศาสนาอสิ ลาม
ศาสนาอิสลามเกิดจากพระประสงค์ของอัลเลาะห์ที่จะทรงชี้แนวทางให้มนุษยชาติได้มีความ
ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวที่แท้จริง ท้ังน้ี เพ่ือให้มนุษย์รู้บุญคุณกตัญํูต่อพระอัลเลาะห์ ซ่ึงเป็น
ผู้สร้างมนษุ ยแ์ ละสรรพสิง่ ในจักรวาล
อย่างไรก็ตาม ศาสนาทั้งหลายท่ีเกิดข้ึนเพราะเหตุผลทางการเมืองและเพราะต้องการ
แก้ป๎ญหาสงั คมมีศาสนาเชน ศาสนาสิกข์ และศาสนาขงจื๊อ เป็นต้น ศาสนาเต๋าเกิดขึ้นเพราะเป็นไป
ตามวิถีทางของธรรมชาติ ศาสนาชนิ โตเกดิ ขึ้นเพราะปรากฏการณ์ธรรมชาติ ศาสนายูดาห์เป็นรากฐาน
ของศาสนาเอกเทวนิยมที่นับถือพระเจ้าสูงสุดพระองค์เดียว และเป็นต้นกาเนิดของคริสต์ศาสนาและ
ศาสนาอิสลามตามลาดับ23
อีกนัยหนึ่ง ศาสนาคือวิถีชีวิตของมนุษย์และเป็นปรากฏการณ์อันหน่ึงในโลก ย่อมอาศัยเหตุ
ปจ๎ จัยให้มีการเกิดขึน้ ตัง้ อยู่ ดับไป เช่นเดยี วกับปรากฏการณต์ ่าง ๆ ของโลก ดงั นี้24
ก. ศาสนาประเภทเทวนิยม (Theistic Religion) คือ ศาสนาที่มีวิวัฒนาการข้ึนมาจาก
ความเชอ่ื ในเรอื่ งผีสางเทวดาจนกระทง่ั จากความเช่ือในเทพเจ้าหลายองค์ และในที่สุดจากความเชื่อใน
พระเจ้าองค์เดียวว่าเป็นใหญ่สูงสุดย่อมมีมูลเหตุมาจากความกลัว (Fear) เพราะไม่รู้กฎเกณฑ์
ธรรมชาติ และปรารถนาความอบอนุ่ ทางจิตใจ น่ันกค็ ือเพราะอานาจธรรมชาติเป็นสิ่งลกึ ลับ และใหญ่
เกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจได้ มนุษย์ได้อาศัยธรรมชาติอย่างมาก รวมทั้งปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทาง
ธรรมชาติมที ง้ั ท่เี ปน็ คุณและเปน็ โทษ แม้มนุษยจ์ ะพยายามเอาชนะธรรมชาติไม่ได้ก็ตาม แต่ก็พยายาม
แก้ไขเหตกุ ารณ์ทางธรรมชาติ โดยการเรยี นรู้ การสังเกต และการศึกษาธรรมชาติต่าง ๆ แต่เพราะใช้
สามัญสานึกจึงแลเห็นอานาจของธรรมชาติเป็นอานาจของวิญญาณ ส่ิงศักด์ิสิทธิ์ และ เห็นว่า
ปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ในโลกย่อมมีผยู้ ง่ิ ใหญว่ เิ ศษกว่ามนุษย์ธรรมดาคอยบันดาลอยู่ เช่น ดวงอาทิตย์ท่ี
ส่องแสงสว่าง ให้ความอบอุ่นและความร้อนแก่โลกก็ต้องมีฤทธ์ิเดชมหึมา บันดาลให้ฝนตก ฟูาร้อง
แผ่นดินไหว เป็นต้น เหตุการณ์สาคัญทั้งร้ายและดีต่าง ๆ ย่อมต้องมาจากอานาจของเทพเจ้าองค์ใด
องค์หน่ึง ซ่ึงได้รับการสถาปนาให้เป็นเทพเจ้าประจาเหตุการณ์น้ัน ๆ และสิ่งน้ัน ๆ ไป และเทพเจ้า
เหล่านี้ก็ต้องอยู่เบื้องสูง ซึ่งมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถจะมองเห็นได้ จึงเชื่อว่าบรรดาเทพเจ้าต่าง ๆ มี
เดชอานาจ สามารถบันดาลใหค้ วามดีความร้ายแก่มนษุ ยซ์ ึ่งมนษุ ยไ์ มส่ ามารถจะตอ้ สู้ดว้ ยกาลังได้จึงควร
ยอมอยู่ใตอ้ านาจของเทพเจ้าเหล่าน้นั เสีย
ดังน้ัน มนุษย์จึงได้แสวงหาวิธีการต่าง ๆ ท่ีจะแสดงความอ่อนน้อมภักดีและอยู่ใต้อานาจเทพ
เจา้ เหล่านั้น เพอื่ ใหเ้ กิดความอบอุน่ ใจและความสวสั ดขี องชีวติ ไว้ 3 วธิ ี คอื
1. เคารพบูชา คือการแสดงออกซึ่งความอ่อนน้อม ยอมรับอานาจเหนือตน เร่ิมด้วยการ
บชู าธรรมชาติตอ่ มาดดั แปลงทารูปเคารพขึ้นภายหลงั แลว้ แสวงหาอะไรท่ีคิดว่าดีกว่าของมนุษย์มาผสม

23 ดนัย ไชยโยธา, นานาศาสนา, อ้างแล้ว, หนา้ 4 – 7.
24 เดอื น คาดี , ศาสนศาสตร,์ อา้ งแล้ว, หน้า 5 – 7.

ศาสนา 33

เข้า เพ่ือให้มีฤทธ์ิอานาจยิ่งขนึ้ เชน่ ทาตัวเป็นสัตว์หน้าเป็นคน เช่น กินนร สฟิงซ์ เป็นต้น บางครั้ง
ก็ทาตัวเป็นคนหน้าเป็นสัตว์ เช่น นรสิงห์ เป็นต้น ทาเป็นรูปเคารพไว้ เห็นว่า รุปเคารพอยู่
กลางแจง้ ถกู แดดฝนคงจะมีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ จึงสร้างที่อยู่ให้เรียกว่า เทวสถานบ้าง เทวาลัย
บ้าง หรือศาลเจ้าบ้าง เมื่อจะไปประกอบพิธีกรรมในสถานที่เช่นนั้น ไม่รู้วิธีจึงถามคนเฝูา คนเฝูาได้
บอกและดาเนนิ พธิ กี ารให้ นานเขา้ คนเฝูากลายเป็นคนรู้ใจเทพเจ้าเหล่านั้นในท่ีสุด กลายเป็นคนกลาง
ระหวา่ งมนษุ ยก์ ับเทพเจ้า เรียกวา่ นักบวชบ้าง พราหมณบ์ า้ ง

2. การเซ่นสังเวย คือ การจัดเคร่ืองบัดพลี เพื่อประกอบพิธีกรรมให้เกิดความพอใจตาม
ข้ันตอน กล่าวคือ เม่ือมนุษย์เคารพบูชาและอ้อนวอนร้องขอ บังเอิญได้สิ่งที่พึงประสงค์แล้วคิดหา
ส่ิงของตอบแทน แม้ในเวลาร้องขอก็ต้องมีของกานัลล่วงหน้า เพ่ือให้เป็นสินน้าใจ ท่ีเรียกว่าสินบน
ซึ่งสว่ นมากเปน็ อาหาร บางครงั้ เรียกบนบานศาลกลา่ ว เม่ือวางไวเ้ ฉย ๆ ไมม่ อี ะไรหมดเปลืองไป จึงใช้
วธิ ีเผาจนของนัน้ หมดไป คิดว่าส่ิงศักด์ิสิทธ์ิกินของน้ันแล้ว เรียกว่า ทาพิธีแก้บนการทาเช่นน้ี เดิมใช้
อาหารแล้ววิวัฒนาการมาเป็นสัตว์และมนุษย์ เช่น พวกทาส และเชลย เป็นต้น ผลที่สุดกระทั่งลูก
เมียกพ็ ลอยถูกใช้เป็นเคร่ืองเซ่นสังเวยไปด้วยเก่ียวกับการเซ่นสังเวยแล้วเผาไฟนี้พวกคาเธจสมัยโบราณ
เห็นว่าการทีเทวรูปกับไฟอยู่ห่างกันนั้น ไม่เห็นชัดว่าเทพเจ้าได้กินของสังเวยน้ันจริง ๆ จึงคิดทา
เทวรปู ให้ใหญ่โตพอที่จะเอาคนท้ังคนใส่เข้าไปทางปากได้ ท่ีท้องของเทวรูปก็ทาเป็นเตาไฟใหญ่ ก่อไฟ
ให้ลุกโพลงไว้ข้างใน ควันและเปลวไฟออกทางหู ตา ปาก ทาให้ดูน่าสะพรึงกลัวย่ิงข้ึน เมื่อเอา
เครอื่ งเซ่นสงั เวยใสป่ ากเทวรูปกล็ งในเตาไฟหมด ทาให้เหน็ เทวรปู กินเครื่องเซ่นสังเวยน้ัน จึงดูเห็นเป็น
จรงิ จงั ย่งิ ข้นึ

3. การทาทกุ กรกิรยิ า คือการทรมานตนเองเพ่ือแสวงหาคุณวิเศษ เนื่องจากบางพวกเช่ือว่า
การเซน่ สังเวยหาเป็นวธิ ีทดี่ พี อที่จะให้ได้รบั การโปรดปรานไม่ เพราะเป็นการแสวงหาคุณวิเศษและเพื่อ
กาจักกิเลสภายในจิตใจ ต้องอาศัยความเพียรแรงกล้าและความอดทนเป็นพิเศษ เหนือความนึกคิด
สามัญเป็นการแสดงให้เห็นว่าทุกกรกิริยาเป็นการอุทิศตนอย่างเด็ดเด่ียว มีความพยายามสูงสุด ไม่ย่อ
ท้อตอ่ ความยากลาบาก เป็นต้น

ดังนั้น จึงได้เกิดมีวิธีบาเพ็ญทุกกรกิริยาข้ึน เช่น การนอนบนหนาม ย่างตัวบนเตาไฟอด
อาหาร นงุ่ ลมห่มเหลก็ อยกู่ ลางแจง้ เป็นต้น

ข. ศาสนาประเภทอเทวนิยม (Atheistic Religion) เม่ือมนุษย์มีวิวัฒนาการทางป๎ญญา
สูงข้ึน อาศัยประสบการณ์ และความเพียรพยายามเพื่อค้นหาความจริงของโลกและชีวิตโดยการไม่
ตอ้ งอ้างอิงอานาจของเทพเจา้ ใชป้ ญ๎ ญาไตรต่ รองอย่างแยบคายจนสามารถเข้าถึงความจริงได้แล้ว นา
ผลการค้นคว้าที่ตนได้ประสบมาน้ัน ประกาศส่ังสอนชาวโลกให้รู้ตามไปด้วย เช่น พระพุทธเจ้า ทรง
ประกาศส่งั สอนพระธรรมคอื อรยิ สัจสี่ที่ได้ทรงตรสั รมู้ าดว้ ยพระองค์เองนั้นแก่ชาวโลก

ดังนั้น ความกลัวอนั เกิดจากอวชิ ชาคือความไม่รู้จรงิ ตามสภาพ การหวงั ความพ้นภัยธรรมชาติ
และการใช้ปญ๎ ญาหรอื เหตุผลบนพ้ืนฐานแหง่ ความพากเพียรพยายามของมนุษย์เป็นมูลเหตุแห่งการเกิด
ของศาสนาในโลกนี้

34 ศาสนา

1.10.8 ความสาคญั และประโยชนข์ องศาสนา
ก. ความสาคญั ของศาสนา
1. ศาสนาสร้างระเบียบความประพฤติของสมาชิกในสังคมให้เป็นไปในแนวเดียวกันโดยเป็น
บรรทัดฐานของสังคม
2. ศาสนาเป็นท่พี ่ึงและเครื่องยดึ เหนี่ยวทางใจของมนุษย์
3. ศาสนาช่วยยกระดบั จติ ใจ ทาคนให้เป็นมนษุ ย์ เปน็ ผคู้ วรแก่การเคารพนบั ถอื
4. ศาสนาชว่ ยสรา้ งจิตสานึกในคุณคา่ ของความเป็นมนุษยแ์ ละบาเพ็ญตนเป็นคนมปี ระโยชน์
5. ศาสนาเป็นพลังใจให้สามารถเผชิญชีวิตด้วยความกล้าหาญไม่หว่ันไหวต่อโลกธรรมและ
ความตาย ทาใหม้ ีความสงบสุขและผาสุกในชีวติ
6. ศาสนาเป็นแหล่งกาเนิดจริยธรรม เพราะมีหลักธรรมคาสอนให้คนประพฤติในแนวทางท่ี
ถกู ต้อง
7. ศาสนาเปน็ พ้นื ฐานกฎศลี ธรรมของสังคม
8. ศาสนาเปน็ บ่อเกิดแหง่ ศิลปะและวฒั นธรรมของประเทศ
9. ศาสนาช่วยชีวิตทาให้ชีวิตครอบครัวอบอุ่น เป็นแหล่งผลิตทรัพยากรมนุษย์ท่ีมีคุณค่าให้แก่
สงั คม
10. ศาสนาเปน็ บอ่ เกดิ แห่งวทิ ยาการตา่ ง ๆ
11. ศาสนาช่วยสร้างมนุษยสัมพันธ์อันดีต่อกัน ช่วยขจัดช่องว่างทางสังคม สร้างความ
ไวว้ างใจซ่งึ กันและกนั ใหเ้ กดิ ขน้ึ เปน็ รากฐานแหง่ ความสามคั คี และการร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาชุมชน
และสร้างความสงบสขุ ความม่นั คง ให้แก่ชมุ ชน
12. ศาสนาเป็นมรดกลา้ ค่าแหง่ มนุษยชาติ เปน็ ความหวังและวถิ ีทางสุดท้ายแห่งความอยู่รอด
ของมวลมนษุ ยชาติ

ข. ประโยชน์ของศาสนา
1. ศาสนาสนองความต้องการทางจิตใจของมนุษย์ เช่น สอนให้ทาความดี ละความชั่ว
ละอายตอ่ บาปทกุ ชนิด
2. ศาสนาสอนให้คนเป็นอิสระจากการครอบงาของกิเลสตัณหา โดยใช้สติป๎ญญาเป็นเคร่ือง
ชน้ี าทางท่ีถกู ต้อง
3. ศาสนาทาใหม้ นุษย์ปกครองตนเองไดใ้ นที่ทกุ สถานและทุกเวลา
4. ศาสนาสอนใหม้ นษุ ย์มีจติ ใจสะอาด ไม่กล้าทาความช่ัวทง้ั ในทล่ี ับและท่แี จ้ง
5. ศาสนาทาให้มนุษย์ผู้ประพฤติตามพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน และช่วยให้มนุษย์
ประสบความสงบสขุ ของจติ ใจเป็นข้นั ๆ จนบรรลเุ ปาู ประสงคส์ ูงสุดของชีวิต
6. ศาสนาชว่ ยให้มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ มีความสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ช่วยให้
เขามีหลักในการดาเนินชีวิต ให้ชีวิตมีความหมายและความหวัง และช่วยให้เกิดเสถียรภาพและความ
สงบสุขในสังคม

ศาสนา 35

7. ศาสนาช่วยส่งเสริมและสร้างสรรค์ให้เกิดผลงานท่ีมีคุณค่าในด้านศิลปะและวัฒนธรรมแก่
สงั คม25

1.10.9 ประเภทของศาสนา
การจดั ประเภทของศาสนายอ่ มชว่ ยใหเ้ ข้าใจเรื่องราวของศาสนาได้ชัดข้ึน และการจัดประเภท
ของศาสนาทาได้หลายแบบซ่ึงแล้วแต่ว่าจะถือเกณฑ์อะไรในการแยกประเภท แต่ผู้เรียบเรียงจัดตาม
เกณฑท์ ี่เหน็ วา่ สาคัญในการชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจศาสนาตา่ ง ๆ ไดด้ ขี ึ้น โดยจดั ตามเกณฑ์ต่อไปนี้
ก. จดั ตามแหลง่ ผทู้ น่ี ับถอื
การจดั ประเภทของศาสนาตามแนวน้ี มเี กณฑก์ ารจัดดังนี้
1. ศาสนาระดบั ท้องถิ่น เป็นศาสนาที่บุคคลในแต่ละท้องถิ่นเคารพนับถือ เช่น ศาสนาชินโต
ของญ่ปี ุน ศาสนาฮินดู ศาสนาเชน และศาสนาสกิ ขข์ องอินเดีย ศาสนายูดาห์ของอสิ ราเอล เป็นตน้
2. ศาสนาระดับสากล เป็นศาสนาที่มีบุคคลเคารพนับถือกันอย่างแพร่หลาย เช่น
พระพุทธศาสนา ครสิ ตศ์ าสนา ศาสนาอสิ ลาม เปน็ ตน้
ข. จดั ตามการท่มี ีผู้นบั ถืออย่หู รอื ไม่
การจดั ประเภทของศาสนาตามแนวนี้ มเี กณฑ์การจดั ดังน้ี

ศาสนาท่ีตายแลว้
1. ศาสนาท่ตี ายแล้วในทวีปยุโรป

- ศาสนาของชนชาติกรกี โบราณ
- ศาสนาของชนชาติตวิ ตันโบราณ
- ศาสนาของชนชาตโิ รมนั โบราณ
- ศาสนาของชนชาติสแกนดเิ นเวียโบราณ
2. ศาสนาทีต่ ายแลว้ ในทวีปอเมรกิ า
- ศาสนาของชนชาตเิ ปรูโบราณ
- ศาสนาของชนชาตเิ มก็ ซกิ ันโบราณ
3. ศาสนาท่ีตายแล้วในทวีปแอฟริกา
- ศาสนาของชนชาติอยี ปิ ตโ์ บราณ
4. ศาสนาทตี่ ายแล้วในทวปี เอเชยี
- ศาสนาของชนชาติบาบโิ ลน
- ศาสนาของชนชาตฟิ ีนิเซีย
- ศาสนามนกี ี
- ศาสนามิถรา
- ศาสนาของชนชาตฮิ ติ ไตต์
ศาสนาที่ตายแล้วท้ัง 12 ศาสนาเหล่าน้ีจัดเป็นประเภท “เทวนิยม” เพราะเชื่อในเทพเจ้า
และเทพเจา้ แห่งดวงอาทติ ยไ์ ด้ปรากฏในแทบทุกศาสนา

25 ดนัย ไชยโยธา, นานาศาสนา, อา้ งแลว้ , หนา้ 8 – 9.

36 ศาสนา

ศาสนาท่ยี ังมชี วี ติ อยู่
1. ศาสนาทเี่ กดิ ในเอเชยี ตะวันออก

- ศาสนาชนิ โต
- ศาสนาเต๋า
- ศาสนาขงจ๊ือ
2. ศาสนาทเ่ี กิดในเอเชยี ใต้
- ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู
- ศาสนาเชน
- พระพทุ ธศาสนา
- ศาสนาสกิ ข์
3. ศาสนาทเี่ กิดในเอเชยี ตะวนั ตก
- ศาสนาโซโรอสั เตอร์
- ศาสนายิว หรือ ศาสนายดู าห์
- คริสตศ์ าสนา
- ศาสนาอิสลาม
4. ศาสนาทเี่ กดิ ใหม่
- ศาสนาบาฮาอิ
- ศาสนาที่ปฏเิ สธเทวนยิ มและอเทวนิยม
- พยานพระยะโฮวา
- ลัทธวิ ญิ ญาณ
- อาณาจักรแหง่ คณุ พ่อดิไวน์
- ศาสนาไชเคียนา
- ศาสนาอนื่ ๆ อีกจานวนมาก

ค. จัดตามความเชื่อเก่ียวกับเทพเจ้าและพระเจ้า
การจัดประเภทของศาสนาตามแนวนี้ มีเกณฑก์ ารจดั ดังน้ี
1. ศาสนาที่นับถือเทพเจ้าและพระเจ้า ศาสนาที่นับถือเทพเจ้าและพระเจ้าอาจเรียกรวมกัน
ว่า เทวนิยม โดยแยกกลุม่ เทพเจ้าและพระเจา้ ไดด้ ังนี้

- เอกเทวนิยม(Monotheism) นับถือพระเจ้าองค์เดียว เช่น ศาสนายูดาห์ คริสต์
ศาสนา ศาสนาอิสลาม
- พหุเทวนิยม(Polytheism) นับถือเทพเจ้าหลายองค์ เช่น ศาสนาชินโต ศาสนา
ขงจื๊อศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ศาสนาของชนชาติกรีกโบราณ ศาสนาของชนชาติ
โรมันโบราณ
- เทวนิยม นับถือพระเจ้า เช่น ศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนาเต๋า
- พหวุ ญิ ญาณนยิ ม นบั ถือวิญญาณมากมาย เชน่ ศาสนาสกิ ข์

ศาสนา 37

2. ศาสนาที่ไม่นับถือพระเจ้า เป็นศาสนาที่เรียกรวมกันว่า อเทวนิยมเป็นศาสนาที่ไม่เช่ือว่า

มีพระเจ้าสร้างโลกให้คุณให้โทษแก่มนุษย์ แต่สอนให้มนุษย์เชื่อกฎแห่งกรรม สอนให้มนุษย์พ่ึงตนเอง
โดยไม่ตอ้ งอ้างอิงไปถึงสง่ิ เหนือธรรมชาติ เชน่ ศาสนาเชน พระพทุ ธศาสนา26

เปรยี บเทยี บข้อแตกต่างระหว่างศาสนาเทวนิยมกับอเทวนยิ ม

เทวนิยม อเทวนิยม

1. เช่ือว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกและสรรพส่ิง 1. เชือ่ วา่ กรรมเปน็ ผู้สร้าง

ทงั้ หลายท้ังปวงในโลก

2. เช่ือว่าพระจ้าประทานหลักศีลธรรมและ 2. หลักศีลธรรมและกฎหมายเกิดจากการศึกษา

กฎหมายแห่งมวลมนษุ ย์ คน้ คว้าของผรู้ ู้

3. สอนให้มีความเชื่อในพรเจ้าโดยไม่ต้องมี 3. สอนให้พสิ ูจนแ์ ล้วจงึ เช่อื

การพิสจู น์

เทวนยิ ม อเทวนยิ ม

5. พระเจ้าเป็นผู้ย่ิงใหญ่เพียงองค์เดียว 5. โลกและสิ่งต่าง ๆ ในโลกไม่ได้เกิดขึ้นจากการ

พระองค์ทรงชีพนิรันดร ทรงคอยดูแลความ สร้างสรรค์ของเทพเจ้าหรือพระเจ้าแต่เป็นสิ่งที่

เป็นไปของโลก ทรงคุ้มครองและให้รางวัลแก่ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติด้วยอานาจของเหตุป๎จจัย

ผู้ทาความดี และทรงลงโทษผทู้ าความชว่ั เมื่อมีเหตุป๎จจัยทาให้เกิด ส่ิงทั้งหลายก็เกิดมีข้ึน

เมื่อส้ินเหตุป๎จจัยท่ีทาให้มันดารงอยู่ สิ่งต่าง ๆ ก็

แตกดบั เสือ่ มสลายไป

และทา่ น ศ. เดอื น คาดี ได้แยกประเภทของศาสนาไว้ดว้ ยเหตผุ ล เพราะความแตกต่างทาง
ภูมิศาสตร์ ส่ิงแวดล้อมและความเชื่อถือเป็นต้น จาทาให้เกิดศาสนาหลายรูปแบบข้ึน เพ่ือสะดวกใน
การศึกษา จาเป็นจะต้องมีการแบ่งศาสนาออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามลักษณะและข้อเท็จจริงของ
ศาสนาเหล่าน้ัน ดังนี้

1. ตามลักษณะของศาสนา แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1). เอกเทวนิยม(Monotheism) บูชาในพระเจ้าองค์เดียว เช่น ศาสนายิว ศาสนาคริสต์
และศาสนาอสิ ลาม เป็นต้น
2) พหเุ ทวนยิ ม(Polytheism) บูชาในพระเจ้าหลายองค์ เช่น ศาสนาฮินดู และศาสนากรีก
โบราณ เป็นตน้
3) สัพพัตถเทวนิยม (Pantheism) บูชาพระเจ้าสถิตอยู่ในทุกหนทุกแห่ง เช่น ศาสนาฮินดู
(บางลทั ธิ) เชอื่ วา่ พระพรหมสถิตอย่ใู นทุกหนทกุ แหง่ ซ่งึ เปน็ คาอธบิ ายพระเจา้ ในเชงิ ปรชั ญา
4) อเทวนิยม (Atheism) ไมเ่ ชือ่ ว่ามพี ระเจา้ เปน็ ผสู้ ร้างโลก ได้แก่ พระพุทธศาสนา
เปน็ ต้น

26 เรือ่ งเดยี วกนั , หน้า 10 – 12.

38 ศาสนา

2. ตามเผา่ พันธุ์ แบ่งออกได้ 3 กลุ่มคือ
1) กลุ่มอารยัน 4 ศาสนา คือ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ศาสนาเชน พุทธศาสนา และ
ศาสนาสิกข์
2) กลมุ่ มองโกล 3 ศาสนา คือ ศาสนาเตา๋ ศาสนาขงจอ๊ื และศาสนาชินโต
3) กล่มุ เซมิตกิ 4 ศาสนา คือ ศาสนาโซโรฮัสเตอร์ ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ และศาสนา
อสิ ลาม
3. ตามลาดับแห่งวิวฒั นาการของศาสนา แบง่ ออกได้ 2 ประเภท คือ
1) ศาสนาธรรมชาติ (Natural Religion) คือศาสนาท่ีนับถอื ธรรมชาตมิ ีความรู้สึกสานึกว่าน
ธรรมชาติ เช่น แม่น้า ภูเขา ปุาไม้ เป็นต้น มีวิญญาณสิงอยู่ จึงแสดงความเคารพนับถือโดยการ
เซน่ สรวง สงั เวย เป็นต้น
การที่มนุษยไ์ ดเ้ หน็ ปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ทางธรรมชาติได้เอาความรู้สึกสามับ่ญมนุษย์เข้าจับจน
ทาให้เกิดความเชื่อว่าทุกอย่างต้องมีผู้สร้าง ในธรรมชาตินั้นมีสิ่งศักด์ิสิทธิ์อันอยู่เหนือธรรมชาติคอย
ควบคุมอยู่ซึ่งเป็นการแสดงออกของศาสนาด้ังเดิมและเป็นขั้นแรกท่ีมนุษย์แสดงออกซึ่งความสานึก
เกี่ยวกบั สิ่งเหนือธรรมชาติ
2). ศาสนาองค์กร (Organized Religion) ศาสนาประเภทนี้เป็นศาสนาท่ีมีวิวัฒนาการมา
โดยลาดับเป็นศาสนาที่มีการจัดรูปแบบ มีการควบคุมให้เป็นระบบ จนถึงกับก่อตั้งในรูปสถาบันขึ้น
บางครั้งเรียกว่า ศาสนาทางสังคม (Associative Religion) อันมีการจัดระบบความเช่ือสนองสังคม
ซึ่งในการจัดน้ัน ได้คานึงถึงความเหมาะสมแก่สภาวะสังคมแต่ละสังคมเป็นหลักโดยก่อรูปเป็นสถาบัน
ทางศาสนาข้ึน อันเป็นเหตุทาให้ศาสนาประเภทน้ีมีระบบยิ่งข้ึนและมีความมั่นคงถาวรในสังคมสืบมา
มีระบบและรูปแบบของตัวเอง เช่น ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาฮินดู หรือ
ศาสนาพุทธ เป็นต้น ในปจ๎ จบุ ัน
4. ตามประเภทของผู้นบั ถอื ศาสนา แบ่งออกได้ ๓ ประเภท คอื
1) ศาสนาเผ่า (tribal religion) คือ ศาสนาของชนในเผ่าใดเผ่าหนึ่งเป็นความเช่ือของชนใน
กล่มุ เช่น ศาสนาของคนโบราณเผา่ ต่างๆซึง่ อาจพฒั นาการข้ึนเป็นศาสนาชาติ เช่น ศาสนาฮินดู เชน
ยดู าย ชนิ โต และศาสนาขงจ๊ือ เป็นต้น กจ็ ัดอย่ใู นศาสนาประเภทน้ี เพราะมกี ารนับถอื เฉพาะในชาติ
ใดชาติหน่ึงหรือเผ่าใดเผ่าหน่ึง เช่น ศาสนาฮินดูมีนับถือกันเฉพาะในประเทศอินเดีย ศาสนาโซโรอัส
เตอร์นับถือเฉพาะชนเผ่าเปอร์เซีย ศาสนายูดายนับถือกันเฉพาะในหมู่ชาวอิสราเอล ศาสนาชินโต
เฉพาะในหมชู่ าวญี่ปุน และศาสนาขงจอื๊ กเ็ ฉพาะในหมู่ชาวจีน
2) ศาสนาโลก (World Religion) คือ ศาสนาท่มี ผี ้นู บั ถือกระจายอยู่ทั่วโลก ไม่ได้จากัดอยู่
เฉพาะกลุ่มบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง ณ ท่ีใดท่ีหน่ึง เช่น พุทธศาสนา ศาสนาคริสต์ และศาสนา
อสิ ลาม เรยี กอีกอย่างวา่ ศาสนาสากล
3) ศาสนากลุ่ม (Segmental Religion) คือ ศาสนาที่เกิดจากศาสนาใหญ่ ๆ หรือนิกาย
ย่อยของศาสนาสากล ซึ่งเกิดข้ึนจากสาเหตุความกดดันทางสังคม เช่น การเหยียดสีผิว สิทธิทาง
กฎหมาย ความไม่เท่าเทียมกัน เป็นต้น กลุ่มบุคคลท่ีเสียเปรียบทางสังคมมีความประสงค์ท่ีจะ
แก้ป๎ญหาเหล่านี้และธารงไว้ซ่ึงวัฒนธรรมของตน จึงฟ้ืนฟูลัทธิศาสนาและระบบทางสังคมให้เป็นของ
ตัวเองข้ึนมาใหม่ จะรวบรวมผู้คนท่ีเห็นด้วยทาการเผยแพร่ศาสนาและวัฒนธรรม ของตนในต่างแดน

ศาสนา 39

เช่น กลุ่มชาวพุทธในอินโดนีเซีย กลุ่มมุสลิมดาในอเมริกา กลุ่มโซโรอัสเตอร์ในอินเดีย กลุ่มฮินดูใน
แอฟรกิ าใต้ เปน็ ตน้ โดยอาศัยศาสนาเปน็ พลังชี้นา

เม่อื สรปุ แล้ว ศาสนาทัง้ หลายอาจแบง่ ออกได้เปน็ 2 ประเภทคือ
1. ศาสนาประเภทเทวนิยม (Theism) คือ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ศาสนายูดาย
ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม เปน็ ตน้ เชอ่ื วา่ มพี ระเจ้าสรา้ งโลก
2. ศาสนาประเภทอเทวนิยม (Atheism) คือ ศาสนาเชน ศาสนาพุทธ และศาสนาขงจ๊ือ
ปฏเิ สธพระเจา้ สรา้ งโลก27

ลกั ษณะของศาสนา
ก. ศาสนาประเภทเทวนยิ ม
ศาสนาเทวนยิ ม มลี กั ษณะดังน้ี
1. เช่ือว่ามีพระเจ้า (God) สร้างโลก ทรงบารุงเล้ียง ทรงรักษา และทรงปกครองโลกอยู่
ตลอดเวลา
2. เชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียว หรือหลายพระองค์ ในป๎จจุบันมักหมายถึง พระเจ้าองค์เดียว
(Monotheism) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื่อในพระเจ้าเฉพาะพระองค์ท่ีได้ทรงสร้างโลกนี้และมีอิทธิพลต่อ
เหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ ซึ่งมีปรากฏอย่ใู นโลกน้ี
ศาสนาประเภทเทวนยิ มน้ี ม่งุ สอนใหม้ นษุ ย์มคี วามเช่ือมั่นอยู่กับพระเจ้า (God) หรือเทพเจ้า
สูงสดุ ของศาสนา โดยเน้นว่า
1. ทุกสง่ิ ทุกอยา่ งในโลก เกดิ จากการสร้างสรรคข์ องเทพเจา้ ซึง่ เป็นผู้กาหนดให้เป็นไปทั้งสน้ิ
2. พระเจ้าได้เป็นผู้กาหนดวิถีชีวิตของมนุษย์ (พรหมลิขิต) โดยถือว่ามนุษย์เกิดจากการ
สรา้ งสรรคข์ องเทพเจา้ ฉะน้นั ความเช่อื ในรูปน้ีจึงผูกพนั มนษุ ยใ์ หอ้ ยกู่ ับพระเจา้
3. มนุษยต์ ้องมคี วามเชื่อวา่ พระเจ้าเป็นผู้ประทานดวงชีวติ ให้กับตนเอง และด้วยความเช่ือนี้
เอง มนษุ ย์จึงถือวา่ เป็นบุญคุณทผ่ี ูกพนั กบั พระเจ้า
จากความเชื่อดังกล่าว ทาให้เห็นวิวัฒนาการในเทวนิยม โดยถือเป็นเกณฑ์การแยกประเภท
ตามความเชือ่ ดังน้ี
1. เอกเทวนิยม (Monotheism) ประเภทความเชอ่ื ท่ีวา่ ทุกส่ิงในโลกเกดิ จากการสร้างสรรค์
ของพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่าน้ัน ฉะนั้น จึงถือว่าพรเจ้าเพียงพระองค์เดียวที่สามารถสร้างสรรค์
ทกุ ส่งิ ทกุ อยา่ งขึน้ ในโลกเชน่ ในศาสนายูดาย
2. พหุเทวนิยม (Polytheism) ความเช่ือต่อพระเจ้าหลายพระองค์ โดยถือว่าโลกนี้เกิดจาก
พระเจ้าหลายพระองค์ ทรงบัญชาให้เป็นไปโดยแต่ละพระองค์ทรงปฏิบัติหน้าท่ีต่าง ๆ กันเช่นใน
ศาสนาฮินดู และศาสนาชนิ โต เป็นต้น
ในศาสนาประเภทพหุเทวนิยมมีหลายศาสนาด้วยกันที่ถือว่ามีพระเจ้าประจาพ้ืนดินมหาสมุทร
และพระอาทิตย์ เป็นต้น ลักษณะต่าง ๆ (Aspects) ของธรรมชาติแต่ละประเภทจะต้องมีพระเจ้า
ประจาท้ังสิน้ และในดา้ นอื่น ๆ พระเจา้ ยังมีหน้าที่ตรวจดูความประพฤติของมนุษย์แม้ในบางวัฒนธรรม

27 เดือน คาดี, ศาสนศาสตร์, อา้ งแลว้ , หน้า 2 – 9.

40 ศาสนา

ยังมีความเช่ือเกี่ยวกับพระเจ้า ว่าเป็นพระเจ้าประจาเรือน ประจาหมู่บ้านประจาเผ่า เพื่อทาหน้าท่ี
คอยพิทกั ษม์ นษุ ย์เหล่านน้ั เปน็ ตน้

3. สัพพัตถเทวนิยม (Pantheism) ได้แก่ ประเภทความเชื่อว่า พระเจ้าและจักรวาลเป็น
อันหนึ่งอันเดียวกัน ไมอ่ าจจะแยกออกจากกันได้ ทุกสงิ่ ท่ีมอี ยนู่ น้ั อยู่ในความควบคุมดูแลของพระเจ้า
ทั้งสิน้ ทกุ สิง่ มีเทพเจ้าประจาอยทู่ ัง้ ส้ิน เช่น แม่น้าก็มีแม่พระคงคา แผ่นดินก็มีแม่พระธรณี ต้นไม้ก็
มีรกุ ขเทวดา เปน็ ตน้

ข. ศาสนาประเภทอเทวนิยม
อเทวนิยม หมายถึง ศาสนาท่ีสอนว่าไม่มีพระเจ้า (God) หรือส่ิงศักด์ิสิทธิ์สูงสุดสร้างโลกนี้
สรรพสิง่ เกดิ ข้นึ ต้ังอยู่และดบั ไปตามเหตุปจ๎ จยั
อนึ่งประวัติความเป็นมาของคาว่า อเทวนิยม (Atheism) น้ี มาจากภาษากรีก หมายถึง
ความเชื่อที่ไม่เก่ียวกับพระเจ้า “Without God” ซ่ึงความเช่ือน้ี เดิมเป็นเพียงความเช่ือท่ีมีความ
ลาเอียงในเร่ืองเช้ือชาติ คริสเตียนยุคก่อน ๆ ก็ได้รับการขนานนามว่าเป็น อเทวนิยม เพราะชาวยิว
ถอื ว่าใครอ้างตนวา่ เป็นบุตรพระเจา้ กถ็ ือวา่ เป็นผู้ลบหลพู่ ระเจ้า ทางตะวันตกเช่ือว่าพระเจ้าเป็นความ
ดีสงู สดุ คนทีเ่ ช่อื วา่ มพี ระเจ้าและอยู่ฝุายพระเจ้า จึงเป็นคนดีอยู่ในตัวตรงกันข้ามคนที่ไม่เคารพนับถือ
พระเจ้าก็เท่ากับแยกตนไปอยู่กับฝุายปีศาจซานตาน จึงเป็นคนชั่วร้ายเลวทรามโดยอัตโนมัติ คนที่ถูก
กลา่ วหาว่าเป็นอเทวนิยม (Atheist) จะได้รบั การดูหม่ินเหยียดหยาม
ตอ่ มาในศตวรรษท่ี 20 อเทวนิยมได้แผ่กว้างออกไปในหมู่พวกป๎ญญาชนและนักวิทยาศาสตร์
นั้นคือคนจานวนมากมีความเห็นว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะเช่ือในเร่ืองความมีอยู่ของพระเจ้าหรือเรื่อง
บาปกาเนิด เป็นต้น เนื่องจากมีบาป (Evil) ในโลกนี้มากมาย แม้ผู้ท่ียังไม่ปฏิเสธความมีอยู่ของพระ
เจา้ แต่ในทางปฏบิ ตั ิก็ถอื วา่ เป็นอเทวนยิ มเพราะคนพวกน้ีจะเกิดความรู้สึกว่า ความคิดเกี่ยวกับพระเจ้า
นน้ั เป็นเร่อื งไร้สาระ จงึ ทาใหค้ วามหมายของอเทวนิยมเปล่ยี นไป28
เมื่อเป็นดังนี้ ในป๎จจุบันอเทวนิยมได้รับการยอมรับว่าเป็นหลักความเชื่อท่ีมีเหตุผลโดยเน้น
หลกั คาสอนทางศาสนาทีม่ ีอยูต่ ามความเปน็ จรงิ

28 เร่อื งเดยี วกนั , หน้า 9 – 10.


Click to View FlipBook Version