หนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-Book)
กลุ่มสาระการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทย (ส31104)
พระราชกรณียกิจของ
พระมหากษัตริย์ไทย
จัดทำโดย
นางสาวอมรรัตน์ อินทมาตย์ ม.4/4 เลขที่ 29
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-Book)
กลุ่มสาระการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทย (ส31104)
พระราชกรณียกิจของ
พระมหากษัตริย์ไทย
จัดทำโดย
นางสาวอมรรัตน์ อินทมาตย์ ม.4/4 เลขที่ 29
ก
คำนำ
หนังสือ E-Book เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาประวัติศาสตร์ไทย (ส31104)
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เพื่อให้ศึกษาความรู้ใน เรื่อง พระราชกรณียกิจของพระมหา
กษัตริย์ไทย และเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการศึกษา
ผู้จัดทำหวังว่า หนังสือ E-Book เล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านหรือนักเรียนที่กำลัง
ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้และ
ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
นางสาวอมรรัตน์ อินทมาตย์
ผู้จัดทำ
สารบัญ ข
คำนำ หน้า
สารบัญ
ก
สมัยก่อนรัตนโกสินทร์ ข
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช 1
2
พระราชประวัติ 3
พระราชกรณียกิจ
15
สมัยรัตนโกสินทร์ 16
20
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 36
พระราชประวัติ
พระราชกรณียกิจ
บรรณานุกรม
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
สมัยก่อนรัตนโกสินทร์
กรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พระสรรเพชญ์ที่ 2)
(พุทธศักราช 2133-2149)
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชกับพระ
มเหสีพระวิสุทธิ สมเด็จพระนเรศวรทรงราชาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ปกครองกรุง
ศรีอยุธยาสืบต่อจากพระราชบิดา เพื่อปลดปล่อยสยามให้เป็นเอกราชจากเหล่าศัตรู สมเด็จ
พระนเรศวรมหาราชทรงขยายขอบเขตอาณาจักรสยามอย่างเข้มแข็ง ดังปรากฎใน
จดหมายเหตุของ ปีเตอร์ วิลเลียมสัน ฟลอริส (Peter Williamson Floris) และในปี
พุทธศักราช 2148 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสวรรคตลง สิริครองราชย์ได้ 15 ปี ขณะมี
พระชนม์พรรษา 50 พรรษา
2
พระราชประวัติ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือที่ประชาชนทั่วไปเรียกว่า พระองค์ดำ กษัตริย์ผู้ทรงกอบกู้
อิสรภาพจากพม่าในการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นพระ
ราชโอรสใน สมเด็จพระมหาธรรมราชา ผู้สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์สุโขทัย และพระวิสุทธิ
กษัตริย์ (พระสวัสดิราช) ราชธิดาของสมเด็จพระศรีสุริโยไทกับ สมเด็จพระมหาจักรพร
รดิกษตัริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ประสูติเมื่อ พ.ศ. 1098 ณ พระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก
เมื่อครั้งพระราชบิดาทรงเป็นอุปราชครองเมืองพิษณุโลก มีพระเชษฐภคินีองค์หนึ่งพระนาม
พระสุพรรณกัลยา และพระอนุชา พระเอกาทศรถ (พระองค์ขาว) ร่วมสายเลือด พระนามของ
พระองค์ปรากฏในลายลักษณ์อักษรหลายฉบับ เช่น พระนเรศ วรราชาธิราช, พระนเรสส,องค์
ดำ ไม่สามารถสรุปได้ว่า พระนาม นเรศวรได้มาจากที่ใด แต่สันนิษฐานเบื้องต้น ว่า เพี้ยนมา
จาก สมเด็จพระนเรศวรราชาธิราช เป็น สมเด็จพระนเรศวร ราชาธิราช นั่นเอง พระองค์เสด็จ
ขึ้นครองราชย์มื่อวัน ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2133 สิริรวมการครองราชย์สมบัติ 15 ปี เสด็จ
สวรรคตเมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2148 รวมพระชนมพรรษา 50 พรรษา ทั้งนี้ความยิ่งใหญ่
และความกล้าหาญของพระองค์มีอยู่ในสายเลือด เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นกษตัริย์ที่สืบเชื้อ
สายมาจาก อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองอาณาจักรได้แก่อาณาจักรสุโขทัยและอาณาจักรอยุธยา
สายเลือดแห่งนักสู้และการปกครองที่สืบทอดมาจากสายเลือดจึงส่งผลให้พระองคเ์ป็น พระ
มหากษตัริย์ที่ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรใน แผ่นดินกรุงศรีอยธุยา
3
พระราชกรณียกิจ
พระราชกรณียกิจส่วนใหญ่ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมุ่งเน้นไปที่การทำสงครามเพื่อ
เอกราชและขยายขอบเขตอาณาจักรสยาม มีดังนี้
ด้านการทำศึกสงคราม
พระมหาอุปราชายกทัพมาครั้งแรก
สมเด็จพระนเรศวรเสวยราชย์ได้ 8 เดือนก็เกิดข้าศึกพม่าอีก เหตุที่จะเกิดศึกครั้งนี้คือเจ้า
ฟ้าไทยใหญ่เมืองคังตั้งแข็งเมืองขึ้นอีก พระเจ้านันทบุเรงตรัสปรึกษาเสนาบดี เห็นกันว่าเป็น
เพราะเหตุที่เจ้าเมืองคังได้ทราบว่าปราบกรุงศรีอยุธยาไม่สำเร็จ จึงตั้งแข็งเมืองเอาอย่างบ้าง
ตราบใดที่ยังไม่ปราบกรุงศรีอยุธยาลงได้ ถึงแม้จะปราบเมืองคังได้ เมืองอื่นก็คงแข็งข้อเอา
อย่าง แต่ในเวลานั้นพระเจ้านันทบุเรงทรงอยู่ในวัยชราทุพพลภาพ ไม่ทรงสามารถจะไปทำ
สงครามเอาได้ดังแต่ก่อน จึงจัดกองทัพขึ้นสองทัพ ให้ราชบุตรองค์หนึ่งซึ่งได้เป็นพระเจ้าแปร
ขึ้นใหม่ยกไปตีเมืองคัง ทัพหนึ่งให้พระยาพะสิม พระยาพุกามเป็นกองหน้า พระมหาอุปราชา
เป็นกองหลวงยกลงมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกทัพหนึ่ง พระมหาอุปราชายกออกจากกรุงหงสาวดี
เมื่อเดือน 12 พ.ศ. 2133 มาเข้าทางด่านพระเจดีย์สามองค์ เพื่อตรงมาตีพระนครศรีอยุธยาที
เดียว
4
ฝ่ายทางกรุงศรีอยุธยาครั้งนี้ รู้ตัวช้าจึงเกิดความลำบาก ไม่มีเวลาจะต้อนผู้คนเข้าพระนคร
ดังคราวก่อน ๆ สมเด็จพระนเรศวรทรงเห็นว่าจะคอยต่อสู้อยู่ในกรุงอาจไม่เป็นผลดีเหมือนหน
หลัง จึงรีบเสด็จยกกองทัพหลวงออกไปกับสมเด็จพระเอกาทศรถ ในเดือนยี่ เมือเสด็จไปถึง
เมืองสุพรรณบุรีได้ทรงทราบว่าข้าศึกยกล่วงเมืองกาญจนบุรีเข้ามาแล้ว จึงให้ตั้งทัพหลวงรับ
ข้าศึกอยู่ที่ลำน้ำท่าคอย พอกองทัพพม่ายกมาถึงก็รบกันอย่างตะลุมบอน พระยาพุกาม
แม่ทัพพม่าคนหนึ่งตายในที่รบ กองทัพพม่าถูกไทยฆ่าฟันล้มตายเป็นอันมาก ที่เหลือก็พากัน
พ่ายหนี ไทยไล่ติดตามไปจับพระยาพะสิมได้ที่บ้านจระเข้สามพันอีกคนหนึ่ง พระมหาอุปราชา
เองก็หนีไปได้อย่างหวุดหวิด เมื่อกลับไปถึงหงสาวดีพวก แม่ทัพนายกองก็ถูกลงอาญาไปตาม
ๆ กัน พระมหาอุปราชาก็ถูกภาคทัณฑ์ให้แก้ตัวในภายหน้า
สงครามยุทธหัตถี
ในปี พ.ศ. 2135 พระเจ้านันทบุเรง โปรดให้พระมหาอุปราชา นำกองทัพทหารสองแสนสี่
หมื่นคน มาตีกรุงศรีอยุธยาหมายจะชนะศึกในครั้งนี้ สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบว่าพม่าจะ
ยกทัพใหญ่มาตี จึงทรงเตรียมไพร่พล มีกำลังหนึ่งแสนคนเดินทางออกจากบ้านป่าโมกไป
สุพรรณบุรี ข้ามน้ำตรงท่าท้าวอู่ทองและตั้งค่ายหลวงบริเวณหนองสาหร่าย
เช้าของวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จ
พระเอกาทศรถทรงเครื่องพิชัยยุทธ สมเด็จพระนเรศวรทรงช้าง นามว่า เจ้าพระยาไชยานุ
ภาพ ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงช้างนามว่า เจ้าพระยาปราบไตรจักร ช้างทรงของทั้ง
สองพระองค์นั้นเป็นช้างชนะงา คือช้างมีงาที่ได้รับการฝึกให้รู้จักการต่อสู้มาแล้วหรือเคยผ่าน
สงครามชนช้าง ชนะช้างตัวอื่นมาแล้ว ซึ่งเป็นช้างที่กำลังตกมัน ในระหว่างการรบจึงวิ่งไล่ตาม
พม่าหลงเข้าไปในแดนพม่า มีเพียงทหารรักษาพระองค์และจาตุรงค์บาทเท่านั้นที่ติดตามไป
ทัน
5
สมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาทรงพระคชสารอยู่ในร่มไม้กับเหล่า
เท้าพระยา จึงทราบได้ว่าช้างทรงของสองพระองค์หลงถลำเข้ามาถึงกลางกองทัพ และตกอยู่
ในวงล้อมข้าศึกแล้ว แต่ด้วยพระปฏิภาณไหวพริบของสมเด็จพระนเรศวร ทรงเห็นว่าเป็นการ
เสียเปรียบข้าศึกจึงไสช้างเข้าไปใกล้ แล้วตรัสถามด้วยคุ้นเคยมาก่อนแต่วัยเยาว์ว่า "พระเจ้าพี่
เราจะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน ให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด
ภายหน้าไปไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่จะได้ยุทธหัตถีแล้ว"
พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้น จึงไสช้างนามว่า พลายพัทธกอเข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพ
เสียหลัก พระมหาอุปราชาทรงฟันสมเด็จพระนเรศวรด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระ
นเรศวรทรงเบี่ยงหลบทัน จึงฟันถูกพระมาลาหนังขาด จากนั้นเจ้าพระยาไชยานุภาพชนพลาย
พัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระนเรศวรทรงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระมหาอุปราชาเข้าที่อัง
สะขวา สิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง
ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถทรงฟันเจ้ามังจาปะโรเสียชีวิตเช่นกัน ทหารพม่าเห็นว่าแพ้แน่
แล้ว จึงใช้ปืนระดมยิงใส่สมเด็จพระนเรศวรได้รับบาดเจ็บ ทันใดนั้นทัพหลวงไทยตามมาช่วย
ทัน จึงรับทั้งสองพระองค์กลับพระนคร พม่าจึงยกทัพกลับกรุงหงสาวดีไป นับแต่นั้นมาก็ไม่มี
กองทัพใดกล้ายกมากล้ำกรายกรุงศรีอยุธยาอีกเป็นระยะเวลาอีกยาวนาน
6
สงครามตีเมืองทะวายและตะนาวศรี
ศึกทะวายและตะนาวศรีนั้น เป็นการรบในระหว่างคนต้องโทษกับคนต้องโทษด้วยกัน กล่าว
คือ ทางกรุงศรีอยุธยพาพวกนายทัพที่ตามเสด็จไม่ทันในวันยุทธหัตถีนั้น มีถึง 6 คนคือ พระยา
พิชัยสงคราม พระยารามกำแหง เจ้าพระยาจักรี พระยาพระคลัง และพระยาศรีไสยณรงค์
สมเด็จพระนเรศวรรับสั่งให้ปรึกษาโทษ ลูกขุนปรึกษาโทษให้ประหารชีวิต สมเด็จพระวันรัต
สังฆปรินายกมาถวายพระพรบรรยายว่า การที่แม่ทัพเหล่านั้นตามเสด็จไม่ทัน ก็เพราะ
บุญญาภินิหารของพระองค์ สมเด็จพระนเรศวรที่จะได้รับเกียรติคุณเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง ด้วย
เหตุว่าถ้าพวกนั้นตามไปทันแล้วถึงจะชนะก็ไม่เป็นชื่อเสียงเหมือนที่เสด็จไปโดยลำพัง เมื่อเห็น
ว่าสมเด็จพระนเรศวรทรงเลื่อมใสในคำบรรยายข้อนี้แล้ว สมเด็จพระวันรัตก็ทูลขอโทษพวก
แม่ทัพเหล่านี้ไว้ สมเด็จพระนเรศวรก็โปรดประทานให้ แต่พวกนี้จะต้องไปตีทะวายและ
ตะนาวศรีเป็นการแก้ตัว จึงให้เจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพคุมพลห้าหมื่นไปตีตะนาวศรี พระยา
พระคลังคุมกำลังพลหมื่นเหมือนกันไปตีทะวาย ส่วนแม่ทัพอื่น ๆ ที่ต้องโทษก็แบ่งกันไปใน
สองกองทัพนี้คือพระยาพิชัยสงครามกับพระยารามคำแหงไปตีเมืองทะวายกับพระยาพระคลัง
และให้พระยาเทพอรชุนกับพระยาศรีไสยณรงค์ไปตีเมืองตะนาวศรีกับเจ้าพระยาจักรี
ส่วนทางหงสาวดีนั้น เมื่อพระเจ้านันทบุเรงเสียพระโอรสรัชทายาทแล้วก็โทมนัส ให้ขัง
แม่ทัพนายกองไว้ทั้งหมด แต่ภายหลังทรงดำริว่าไทยชนะพม่าในครั้งนี้แล้วก็จะต้องมาตีพม่า
โดยไม่ต้องสงสัย ก่อนที่ไทยไปรบพม่าก็จะต้องดำเนินการอย่างเดียวกันกับที่พม่ารบกับไทย
กล่าวคือ จะต้องเอามอญไว้ในอำนาจเสียก่อนและเป็นการแน่นอนว่าไทยจะต้องเข้ามาตี
ทะวายและตะนาวศรี ด้วยเหตุนี้จึงให้แม่ทัพนายกองที่ไปแพ้สงครามมาครั้งนี้ไปแก้ตัวรักษา
เมืองตะนาวศรีและเมืองทะวาย เป็นอันว่าทั้งผู้รบและผู้รับทั้งสองฝ่าย ตกอยู่ในฐานคนผิดที่
จะต้องแก้ตัวทั้งสิ้น
7
ในการรบทะวายและตะนาวศรีครั้งนี้แม่ทัพทั้งสองคือ เจ้าพระยาจักรีและพระยาคลังกลม
เกลียวกันเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้สมเด็จพระนเรศวรจะได้แบ่งหน้าที่ให้ตีคนละเมือง ก็ยังมีการ
ติดต่อช่วยเหลือกันและกัน ในที่สุดแม่ทัพทั้งสองก็รบชนะทั้งสองเมืองและบอกเข้ามายังกรุง
ศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีไสยณรงค์อยู่ครองเมืองตะนาวศรี
ส่วนทางเมืองทะวายนั้นให้เจ้าเมืองทะวายคนเก่าครองต่อไป ชัยชนะครั้งนี้เป็นอันทำให้แม่ทัพ
ทั้งหลายพ้นโทษ แต่ทางพม่าแม่ทัพกลับถูกทำโทษประการใดไม่ปรากฏ แต่อย่างไรก็ดีการ
ชนะทะวายและตะนาวศรีครั้งนี้ ทำให้อำนาจของไทยแผ่ลงไปทางใต้เท่ากับในรัชสมัยพ่อขุน
รามคำแหงมหาราช
ตีเมืองหงสาวดีครั้งแรก
กองทัพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเข้าสู่กรุงหงสาวดีในปี พ.ศ. 2142 (จิตรกรรมพระ
ราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช วัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) การที่
สมเด็จพระนเรศวร ได้หัวเมืองมอญฝ่ายใต้มาเป็นเมืองขึ้น นับว่าเป็นจุดหักเหที่มีนัยสำคัญ
ของการสงครามไทยกับพม่า จากเดิม ฝ่ายพม่าเป็นฝ่ายยกทัพมาไทยโดยตลอด การได้หัว
เมืองมอญฝ่ายใต้ ทำให้ไทยใช้เป็นฐานทัพ ที่จะยกกำลังไปตีเมืองหงสาวดีได้สะดวก สมเด็จ
พระนเรศวรเสด็จยกกองทัพหลวงไปตีเมืองหงสาวดี ออกจากพระนคร เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น3
ค่ำ เดือนอ้าย ปีมะแม พ.ศ. 2138 มีกำลังพล 120,000 คน เดินทัพไปถึงเมืองเมาะตะมะ
แล้วรวบรวมกองทัพมอญเข้ามาสมทบ จากนั้น ได้เสด็จยกกองทัพหลวงไปยังเมืองหงสาวดี
เข้าล้อมเมืองไว้ กองทัพไทยล้อมเมืองหงสาวดีอยู่ 3 เดือน และได้เข้าปล้นเมือง เมื่อวันจันทร์
แรม 13 ค่ำ เดือน 4 ครั้งหนึ่ง แต่เข้าเมืองไม่ได้ ครั้นเมื่อทรงทราบว่าพระเจ้าแปร พระเจ้าอัง
วะ พระเจ้าตองอู ได้ยกกองทัพลงมาช่วยพระเจ้าหงสาวดีถึงสามเมือง เห็นว่าข้าศึกมีกำลัง
มากนัก จึงทรงให้เลิกทัพกลับ เมื่อวันสงกรานต์ เดือน 5 ปีวอก พ.ศ. 2139 และได้กวาดต้อน
ครอบครัวในหัวเมืองมณฑลหงสาวดี มาเป็นเชลยเป็นอันมาก และกองทัพข้าศึกมิได้ยก
ติดตามมารบกวนแต่อย่างใด
8
การทำสงครามครั้งนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า สมเด็จพระ
นเรศวรเสด็จยกทัพไปครั้งนี้ เป็นการจู่ไป โดยไม่ให้ข้าศึกมีเวลาพอตระเตรียมการต่อสู้ได้
พรักพร้อม และพระราชประสงค์ที่ยกไปนั้น น่าจะมีอยู่ 3 ประการคือ
ประการแรก ถ้าสามารถตีเอาเมืองหงสาวดีได้ก็จะตีเอาทีเดียว
ประการที่สอง ถ้าตีเมืองหงสาวดียังไม่ได้ครั้งนี้ ก็จะตรวจภูมิลำเนา และกำลังข้าศึกให้
รู้ไว้ สำหรับคิดการคราวต่อไป
ประการที่สาม คงคิดกวาดต้อนผู้คนมาเป็นเชลยให้มาก เพื่อประสงค์จะตัดทอนกำลัง
ข้าศึก และเอาผู้คนมาเพิ่มเติม เป็นกำลังสำหรับพระราชอาณาจักรต่อไป
ข้อสันนิษฐานอื่น ๆ มีอยู่ว่า การกวาดต้อนผู้คนกลับพระราชอาณาจักรไทยครั้งนี้ น่าจะได้
ช่วยนำคนไทย ผู้ซึ่งถูกพม่ากวาดต้อนเอาไปเป็นเชลย แล้วเอาตัวไว้ใช้งานตามเมืองต่าง ๆ
กลับมาด้วย ประการต่อมา สาเหตุที่ยกทัพกลับนั้น นอกจากจะทรงเห็นว่า กองทัพข้าศึก
กำลังระดมยกมาจากอีกสามเมืองใหญ่ มีกำลังมากแล้ว เสบียงอาหารของกองทัพไทยก็น่าจะ
ขาดแคลน เพราะมีกำลังพลมาก และล้อมเมืองหงสาวดีอยู่นานถึงสามเดือน ประกอบกับใกล้
เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว และประการสุดท้าย การที่พระองค์ถอนทัพกลับ โดยที่พม่าไม่ได้ยกติดตามตี
หรือรบกวนแต่อย่างใด ทั้งที่มีพลเรือนที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับครั้ง
สงครามประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง ก็น่าจะเป็นเพราะพระองค์ดำเนินการถอนทัพ และนำ
ผู้คนพลเรือนกลับมาอย่างมีระบบ โดยให้พลเรือนล่วงหน้าไปก่อน
9
ตีเมืองหงสาวดีครั้งที่สอง
พ.ศ. 2142 สมเด็จพระนเรศวรทรงมุ่งหมายจะตีเอาเมืองหงสาวดีให้ได้ จึงตระเตรียมทัพ
ยกไปทั้งทางบกและทางเรือ ได้ออกเกลี้ยกล่อมหัวเมืองต่าง ๆ ให้อ่อนน้อมต่อไทยได้อีกหลาย
เมือง แม้แต่เชียงใหม่ซึ่งได้ตั้งแข็งเมืองต่อพม่าแล้ว แต่คิดเกรงว่ากรุงศรีสัตนาคนหุตและไทย
จะยกทัพไปรุกราน ก็ได้ตัดสินใจยอมอ่อนน้อมมาขอขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาด้วย ส่วนเมืองตองอู
กับเมืองยะไข่เมื่อเอาใจออกห่างจากกรุงหงสาวดีไปแล้ว ก็หันมาฝักใฝ่กับไทยและรับว่า ไทย
ยกทัพไปตีกรุงหงสาวดีแล้ว ก็จะเข้าร่วมช่วยเหลือพระเจ้ายะไข่นั้นอยากได้หัวเมืองชายทะเล
ส่วนพระเจ้าตองอูนัดจินหน่องอยากได้เป็นพระเจ้าหงสาวดีแทน สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงรับ
เป็นไมตรีกับเมืองทั้งสองนั้น ในระหว่างนั้นพระมหาเถระเสียมเพรียมภิกษุรูปหนึ่งได้เข้ายุยง
พระเจ้าตองอูนัดจินหน่องมิให้อ่อนน้อมแก่ไทย และแจ้งอุบายให้พระเจ้าตองอูนัดจินหน่องคิด
อ่านเอาเมืองหงสาวดีเสียเอง พระเจ้าตองอูนัดจินหน่องเห็นชอบด้วยจึงชวนพระเจ้ายะไข่ให้
ไปตีเมืองหงสาวดี แล้วพระเจ้าตองอูจนัดจินหน่องะทำทีเป็นยกกองทัพมาช่วยหงสาวดี พอ
เข้าเมืองได้แล้วก็หย่าศึกกันเสีย และจะแบ่งประโยชน์ให้ตามที่พระเจ้ายะไข่ต้องการ คือจะยก
หัวเมืองชายทะเลให้แก่พระเจ้ายะไข่ แต่ครั้งทัพพระเจ้ายะไข่และทัพพระเจ้าตองอูนัดจินหน่อ
งเข้าประชิดเมืองหงสาวดีแล้วก็หาเข้าเมืองไม่ ทั้งนี้เพราะพระเจ้านันทบุเรงเกิดทรงระแวงขึ้น
ทัพพระเจ้าตองอูนัดจินหน่องและพระเจ้ายะไข่จึงได้แต่ตั้งล้อมเมืองหงสาวดีไว้
สมเด็จพระนเรศวรทรงเห็นว่าทางกรุงหงสาวดีกำลังปั่นป่วนจึงเสด็จยกทัพหลวงไปตีหงสาวดี
แต่ต้องไปเสียเวลาปราบปรามกบฏตามชายแดนซึ่งพระเจ้าตองอูนัดจินหน่องได้ยุยงให้
กระด้างกระเดื่องเป็นเวลาถึง 3 เดือนเศษ จึงเดินทัพถึงเมืองหงสาวดีช้ากว่ากำหนดที่คาด
หมายไว้ ทางฝ่ายพระเจ้าตองอูนัดจินหน่องและพระเจ้ายะไข่ซึ่งกำลังล้อมเมืองหงสาวดีอยู่
พอได้ทราบข่าวว่าสมเด็จพระนเรศวรยกกองทัพขึ้นไปกำจัดกบฏตามชายแดนเมืองเมาะตะมะ
และกำลังเดินทัพมาก็แจ้งให้พระเจ้านันทบุเรงทราบ พระเจ้านันทบุเรงก็จำใจอนุญาตให้
พระเจ้าตองอูยกทัพเข้าไปในเมืองหงสาวดีได้ และมอบหมายให้พระเจ้าตองอูนัดจินหน่องบัญ
ชาการรบแทนทุกประการ พระเจ้าตองอูนัดจินหน่องจึงกวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สมบัติ รวม
ทั้งพระเจ้านันทบุเรงไปยังเมืองตองอู ทิ้งเมืองหงสาวดีไว้ให้กองทัพพระเจ้ายะไข่ค้นคว้าทรัพย์
10
ที่ยังเหลืออยู่ต่อไป พอพระเจ้าตองอูนัดจินหน่องออกจากหงสาวดีไปได้ประมาณ 8 วัน
กองทัพไทยก็ยกไปถึงเมืองหงสาวดี ครั้นสมเด็จพระนเรศวรได้ทรงทราบว่าพระเจ้าตองอูนัดจิ
นหน่องไม่ซื่อตรงตามคำมั่นที่ได้ให้ไว้ก็ทรงพระพิโรธ จึงเสด็จยกทัพตามขึ้นไปตีเมืองตองอู ได้
เข้าล้อมเมืองตองอูอยู่ถึง 2 เดือนก็ไม่อาจตีหักเอาได้ เพราะเมืองตองอูมีชัยภูมิที่ดี ชาวเมืองก็
ต่อสู้เข้มแข็ง ประกอบกับฝนตกชุกและทัพไทยขาดเสบียงอาหาร สมเด็จพระนเรศวรจึงทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกกองทัพกลับคืนกรุงศรีอยุธยา
ด้านการค้า
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระมหากษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา ผู้กอบกู้เอกราช นอกจาก
พระปรีชาสามารถด้านการรบแล้ว อีกด้านหนึ่งที่ทรงพระปรีชาสามารถไม่น้อยไปกว่าการรบ
คือ การค้าและการขยายอำนาจทางเศรษฐกิจ เพื่อเป็นรากฐานที่สำคัญในการสร้างเสริมความ
มั่นคงทางการเมืองการปกครอง การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจในสมัยของพระองค์นับว่ามี
ความเจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะการค้ากับต่างประเทศได้นำมาซึ่งอาวุธยุทโธปกรณ์ในการรบ
และบทบาทของอยุธยาต่อการค้าในด้านตะวันออกกับจีนและญี่ปุ่น และการขยายตัวทางการ
ค้ากับตะวันตก โดยแบ่งบทบาทและการขยายอำนาจทางเศรษฐกิจเป็น ๒ ด้าน คือ
การค้ากับจีน
ในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการรบเป็นส่วนใหญ่ แต่สิ่ง
สำคัญที่เป็นรากฐานของยุทธปัจจัยในการรบก็คือรายได้ที่เกิดจากการค้าโดยเฉพาะการค้า
กับจีนภายใต้ระบบบรรณาการ ในช่วงสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้มีการติดต่อ
การค้ากับจีนในช่วงต้นรัชกาล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2135 โดยมีการส่งเครื่องราชบรรณาการแก่
องค์จักรพรรดิของจีนตามธรรมเนียม มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระนเรศวรปรากฏในบันทึกของ
จีนทั้ง 3 ฉบับ คือ
11
(1) เจิ้งสือ หรือประวัติราชวงศ์ฉบับหลวง ซึ่งในส่วนว่าด้วยสยาม บันทึกตอนหนึ่งว่า
“กษัตริย์ผู้สืบราชสมบัติได้หมายมั่นจะแก้แค้นให้จงได้ ในระหว่างรัชศกว่านลี่กองทัพข้าศึก
ได้ยกทัพเข้ามาอีก กษัตริย์ได้จัดกองทัพเข้ากระหน่ำตีจนข้าศึกแตกพ่ายไปราบคาบ และได้ฆ่า
ราชโอรสของกษัตริย์ตงหมานหนิวด้วย จากนั้นเป็นต้นมา สยามก็ครองความยิ่งใหญ่พังงาใน
น่านน้ำทางทะเล…
…ครั้งนั้นญี่ปุ่นเข้าย่ำยีเกาหลีในโอกาสเดียวกันนี้ สยามได้เข้าถวายเครื่องราชบรรณาการ
ราชทูตประเทศนี้ขออาสาส่งกองทัพเข้าช่วยทำศึกสงคราม”
(2) สือลู่ หรือจดหมายเหตุประจำรัชกาล เช่นบันทึกตอนหนึ่งว่า
“เมื่อวันที่ 31 เดือน 10 ปีที่ 20 (พ.ศ. 2135) แห่งรัชศกว่านลี่ ราชทูต แห่งประเทศสยาม
จำนวน 27 คน ได้เดินทางไปนครหลวงเพื่อถวายเครื่องราชบรรณาการ องค์จักรพรรดิทรง
พระราชทานหมวกและสายคาดเอวตามธรรมเนียม
เมื่อวันที่ 6 เดือนอ้าย ปีที่ 21 (พ.ศ. 2136) แห่งรัชศกว่านลี่..มีฑูตบรรณการมาขออาสาต่อ
ทางกลาโหมขอนำกองทัพช่วยศึกสงคราม…อันทูตบรรณาการแห่งสยามมีความโกรธแค้นต่อ
การกระทำที่ผิดทำนองครองธรรมนี้จึงได้แสดงความจงรักภักดีโดยอาสายกทัพไปช่วยรบ
จักรพรรดิทรงมีพระบรมราชโองการให้ชมเชยความจงรักภักดีและเมตตาธรรมเช่นนี้”
(3) เอกสารโบราณภาคเอกชน เช่น บันทึกทะเลตะวันออกและตะวันตกของจางเชี่ย
ยกย่องว่า “รัชกาลพระนเรศวรนั้นสยามเริ่มเป็นผู้เกรียงไกรบนท้องทะเลแดนไกล ต่อแต่นั้น
ไปทำศึกสงครามทุกปีจนสามารถดำรงความเป็นใหญ่เหนือประเทศทั้งหลาย”
หลักฐานดังกล่าวสะท้อนให้เห็นความเข้มแข็งของกองทัพอยุธยาทั้งทางบกและทางทะเล ซึ่ง
จะปกป้องการค้าในระบบรัฐบรรณาการที่ส่งเรือสำเภาหลวงของราชสำนักกรุงศรีอยุธยาไปยัง
ประเทศจีนได้บรรลุเป้าหมายด้วย
12
การค้ากับตะวันตก
การค้ากับตะวันตก ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรนั้นมีการค้ากับชาวต่างประเทศอาทิ การ
ค้ากับสเปน สเปนได้ส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีเพื่อการค้ากับไทย โดยพยายามเผยแพร่
ศาสนาและทำการค้าในแดนที่ชาวโปรตุเกสเคยติดต่อด้วย ประกอบกับสมเด็จพระนเรศวร
สนพระทัยในการค้ากับสเปน โปรดให้มีหนังสือไปถึงข้าหลวงใหญ่สเปนที่กรุงมะนิลา เมื่อ
ประมาณปี พ.ศ. 2137 ดังปรากฏในจดหมายจาก Don Francisco Tello ถวายพระเจ้า
Philip ที่ 3 ดังความว่า
“…ข้าพระพุทธเจ้าได้รับพระราชสาส์นจากพระเจ้ากรุงสยาม…ในพระราชสาส์นนั้น
พระเจ้ากรุงสยามทรงประสงค์การพาณิชย์และการค้ากับหมู่เกาะเหล่านี้ (หมู่เกาะ
ฟิลิปปินส์)…โดยที่ได้เห็นว่าพระมหากษัตริย์องค์นี้โปรดเช่นนั้น ปีที่แล้ว (ค.ศ. 1598) ข้า
พุทธเจ้าได้แต่งกัปตัน Juan Tello พร้อมคณะทูตไปเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงสยามเป็นการตอบ
พระราชสาส์นโดยได้กล่าวถึงความนิยมชื่นชมอย่างใหญ่หลวง สำหรับพระราชไมตรีทรง
แสดงต่อข้าพระพุทธเจ้าและความนิยมชมชื่นสำหรับพระราชปรารถนาที่จะให้ชาวสเปน
ค้าขายในราชอาณาจักร…กัปตัน Juan Tello ได้ออกเดินทาง (ไปสยาม) และเมื่อปฏิบัติ
การทูตสมบูรณ์แล้ว เขาได้ทำข้อตกลงด้วยว่า (สยาม) ควรเปิดเมืองท่าเมืองหนึ่ง สำหรับ
การค้าเพื่อให้ชาวสเปนสามารถไปเมืองนั้นได้และตั้งหลักแหล่งได้โดยอิสระ และได้รับการ
ยกเว้นจากภาษีทั้งปวง”
พร้อมกันนั้นข้าหลวงใหญ่สเปนที่กรุงมะนิลาจึงได้ส่งผู้แทนเข้ามาติดต่อค้าขายกับ
กรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2142 แต่ต่อมาความสัมพันธ์กับสเปนดำเนินอย่างไม่ราบรื่นทั้ง
กรณีการรบในเขมร ซึ่งสเปนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยและกรณีราชสำนักไทยต้องการปืนใหญ่
ของพวกสเปน จนพวกสเปนตัดสินใจโยนปืนใหญ่ลงแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วกลับมางมเพื่อนำ
ขึ้นมาบนเรือพร้อมทั้งเดินทางออกจากสยามโดยมิได้รับการอนุญาตจากกรมพระคลัง
ทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างทหารไทยกับสเปน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเรือสเปนก็หลบหนีไปได้ แต่
นาย Mendoza ทูตผู้นำมาได้รับบาดเจ็บจนถึงชีวิต ประกอบกับการค้ากับสเปนไม่มีกำไร
มากนักจึงต้องชะงักไป
13
นอกจากสเปนแล้วในช่วงปลายรัชสมัยได้มีการติดต่อการค้ากับฮอลันดา โดยบริษัทอินเดีย
ตะวันออกของฮอลันดา ( Vereenigde Oost – Indische Compagnie : V.O.C.) เข้ามา
เมืองไทยด้วยหวังอาศัยเรือสำเภาของหลวงราชสำนักอยุธยาไปค้าขายที่เมืองจีนและต้องการ
หาลู่ทางไปค้าขายที่เมืองจีนโดยตรง จึงส่งผู้แทนของบริษัทไปยังกรุงศรีอยุธยา ในเดือน
มิถุนายนปี พ.ศ. 2147 พ่อค้าฮอลันดากลุ่มแรกที่มาถึงกรุงศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระ
นเรศวรได้นำปืนใหญ่ 2 กระบอก มาเป็นเครื่องราชบรรณาการ สินค้าที่ V.O.C. นำเข้ามาเป็น
ครั้งแรกมีมูลค่า 4 พันกิลเดอร์ ซึ่งสมเด็จพระนเรศวรทรงโปรดให้การรับรองอย่างดี แต่ฝัน
ของ V.O.C. ที่จะอาศัยเรือสำเภาหลวงของราชสำนักอยุธยาไปเมืองจีนต้องสลายเพราะเกิด
ศึกพม่าและสมเด็จพระนเรศวรเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2148 ราชสำนักสยามต้องผลัดการส่ง
เรือสำเภาไปเมืองจีน จนถึงรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ V.O.C. จึงได้เข้ามาตั้งสำนักงานการ
ค้าที่กรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2151 เพราะอยุธยาเป็นศูนย์กลางการค้าของป่า ข้าว สินค้าจีน
และอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการค้าของบริษัท
พระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมัยรัตนโกสินทร์
กรุงรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6)
(พ.ศ. 2453 - 2468)
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) เป็นพระราชโอรสในในพระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบาท
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชอัจฉริยภาพและทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจใน
หลายสาขา ทั้งด้านการเมืองการปกครอง การทหาร การศึกษา การสาธารณสุข การต่าง
ประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือด้านวรรณกรรมและอักษรศาสตร์ ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทร้อย
แก้วและร้อยกรองไว้นับพันเรื่อง กระทั่งทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาเมื่อเสด็จสวรรคต
แล้วว่า สมเด็จพระมหาธีราชเจ้า และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
รวมพระชนมพรรษา 45 พรรษา เสด็จดำรงราชสมบัติรวม 15 ปี
16
พระราชประวัติ
พระราชสมภพ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรส
องค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและ
เป็นพระองค์ที่ 2 ที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรม
ราชินีนาถ ประสูติ ณ วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2423
ตรงกับวันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น 2 ค่ำ ปีมะโรง โทศก จุลศักราช 1242 (ร.ศ. 99) ทรงพระนามว่า
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ มุสิกนาม ทรงมีพระเชษฐภคินีและพระอนุชา
ร่วมพระชนนี 7 พระองค์ คือ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย กรมพระเทพนารีรัตน์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าตรีเพ็ชรุตม์ธำรง)
จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลก
ประชานาถ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ครั้นพระชนมายุย่างเข้า 9 พรรษาเมื่อ พ.ศ. 2431 ทรงรับพระราชทานสถาปนาพระอิสริย
ศักดิ์เป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กรมขุนเทพทวารวดี ปรากฏพระนาม
ตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เอกอรรคมหาบุ
รุษยบรมนราธิราช จุฬาลงกรณ์นารถราชวโรรส มหาสมมติขัดติยพิสุทธิ บรมมกุฎสุริยสันตติ
วงษ อดิสัยพงษวโรภโตสุชาติ คุณสังกาศวิมลรัตน ทฤฆชนมสวัสดิ ขัดติยราชกุมาร ทรงดำรง
พระเกียรติยศเป็นลำดับที่สองรองจาก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ
สยามมกุฎราชกุมาร
17
การศึกษา
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธเสด็จเข้าทรงศึกษาที่โรงเรียนราชกุมารใน
พระบรมมหาราชวังเมื่อพระชนมายุ 10 พรรษา โดยทรงเริ่มการศึกษามาก่อนหน้านั้นแล้ว ครู
ที่ถวายพระอักษรคือ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาริยางกูร) พระยาอิศรพันธุ์โสภณ
(ม.ร.ว. หนู อิศรางกูร) และหม่อมเจ้าประภากร ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหา
มาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ส่วนครูภาษาอังกฤษ คือ นายโรเบอร์ต มอแรนต์ ซึ่งในภาย
หลังได้กลับไปดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการของประเทศอังกฤษและได้รับยศเป็น
เซอร์
เมื่อพระชนมายุ 12 พรรษา เสด็จไปทรงศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ด้วยพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราโชบายที่จะส่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และสมเด็จ
พระเจ้าลูกเธอไปทรงศึกษาวิชาการสาขาต่างๆ ณ ทวีปยุโรป ในระยะแรกทรงศึกษากับครูที่
พระตำหนักนอร์ธ ลอดจ์ เมืองแอสคอตโดยมิได้เสด็จเข้าโรงเรียน ระหว่างนี้ สมเด็จพระบรม
โอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมารสวรรคต พระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ให้ทรง
ดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารแทนเมื่อ พ.ศ. 2437
และโปรดเกล้าฯ ให้ทรงศึกษาในประเทศอังกฤษต่อไป ต่อมาในพ.ศ. 2440 ทรงเข้าศึกษาวิชา
ทหารในโรงเรียนนายร้อยแซนด์เฮิร์สต์ และทรงเข้าอบรมหลักสูตรต่างๆ เพิ่มเติม ได้แก่ วิชา
ปืนเล็ก และวิชาทหารปืนใหญ่ภูเขา ทั้งยังได้ทรงเข้าประจำการในกองพันที่ 1 กรมทหารราบ
เบาเดอรัมอันเป็นการฝึกอบรมกองทหารเพื่อเตรียมไปราชการสงครามบัวร์ที่ประเทศ
แอฟริกาใต้ จากนั้น ใน พ.ศ. 2442 ทรงเข้าศึกษา ณ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด วิชาที่ทรง
ศึกษาคือ ประวัติศาสตร์ กฎหมาย และการปกครอง เนื่องจากพระองค์จะต้องทรงปกครอง
สยามประเทศต่อไปในอนาคต
19
การเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.
2453 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระ
มหากษัตริย์พระองค์ที่ 6 ในพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่
11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2453 และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานพระราชพิธีบรม
ราชาภิเษกสมโภชขึ้นระหว่างวันที่ 8 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2454 เนื่องจาก
ทรงรู้จักคุ้นเคยกับพระราชาธิบดีหรือประธานาธิบดีของประเทศสำคัญๆ ทั่วโลก จึงมีพระราช
ประสงค์ให้มิตรประเทศได้รู้จักประเทศสยาม ซึ่งปรากฏว่าได้มีเจ้านายและผู้แทนรัฐบาลต่าง
ประเทศมาร่วมในพระราชพิธีนี้ถึง 14 ประเทศ
เสด็จสวรรคต
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เริ่มประชวรด้วยพระโรคลำไส้และพระโลหิตเป็น
พิษเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2468 และเสด็จสวรรคตเมื่อเวลา 1.45 น. ของวันที่ 26
พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน พระชนมายุ 45 พรรษา รวมเวลาที่ทรง
อยู่ในราชสมบัติ 15 ปี และทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาเมื่อเสด็จสวรรคตแล้วว่า
“สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า”
20
พระราชกรณียกิจ
ด้านการปกครอง
ประชาธิปไตย
แม้ว่าการปกครองในระบบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะเป็นนิติธรรม ในการปกครองบ้าน
เมืองของสยาม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงตระหนักดีว่าการปกครองบ้าน
เมืองโดยบุคคลคนเดียวเป็นความเสี่ยง หากได้ผู้ปกครองไม่ดีก็จะเป็นผลเสียแก่บ้านเมือง วิธีที่
ดีที่สุดคือให้ราษฎรปกครองตนเอง แต่จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมให้ดีก่อน มิเช่นนั้นอาจ
เป็นผลเสียแก่บ้านเมืองได้ และด้วยทรงตระหนักในพระราชหฤทัยว่า พสกนิกรชาวสยามใน
เวลานั้นยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องสิทธิและหน้าที่อันเป็นรากฐานของการปกครองใน
ระบอบประชาธิปไตย จึงมีพระราชดำรัสสั่งให้กระทรวงศึกษาธิการประกาศใช้พระราช
บัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2464 ในทุกหัวเมืองมณฑลทั่วพระราชอาณาจักร ด้วยมีพระ
ราชปรารภว่า “…เรามีความปรารถนาจะให้ประชาราษฎรของเราได้มีความรู้คั่นประถมศึกษา
โดยทั่วถึงภายใน 15 ปี นับแต่เราขึ้นครองราชสมบัติ เพราะความตั้งใจของเรามีอยู่ว่า เมื่อเรา
ครองราชย์ครบ 15 ปี เราจะมอบสิทธิ์การปกครองบ้านเมือง ให้ประชาชนของเรามีสิทธิ์มี
เสียง แต่ถ้าเขายังไม่มีความรู้พอแก่การดำเนินการได้ ให้ไปก็เสื่อมประโยชน์ ได้ไม่เท่าเสีย…”
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริเกี่ยวกับการปกครองในระบบอบ
ประชาธิปไตย มาแต่ครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยาม
มกุฎราชกุมาร ทรงนำแนวคิดเรื่องระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ทรงทดลองปฏิบัติ
ใน “สาธารณรัฐใหม่” (The New Republic) ซึ่งเป็นสาธารณรัฐสมมติที่ทรงจัดตั้งร่วมกับ
พระสหายชาวต่างประเทศ ขณะประทับ ณ กรุงปารีส มาทรงปฏิบัติจริงโดยทรงจัดตั้ง “เมือ
งมัง”
21
ในบริเวณสวนอัมพวันด้านหลังพระตำหนักจิตรลดา มีวัตถุประสงค์เพื่อสอนให้มหาดเล็ก
รู้จักการปกครองตนเอง ดูแลบ้านเรือนของตนให้สะอาดเรียบร้อย ต่อมาใน พ.ศ. 2461 จึง
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองจำลอง “ดุสิตธานี” ขึ้นภายในพระราชวังดุสิต ก่อนที่จะโปรดเกล้าฯ
ให้ย้ายไปสร้างใหม่ ในพื้นที่ว่างหลังพระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถานและพระที่นั่งพิมานจักรี ใน
พระราชวังพญาไทเมื่อ พ.ศ. 2462 จัดให้มีการปกครองตนเองในลักษณะการปกครองท้องถิ่น
ในดุสิตธานีมีบ้านเมืองจำลองในอัตราส่วน 1:20 ประกอบด้วยวัด โรงพยาบาล โรงทหาร
โรงเรียน ธนาคาร ร้านค้า ฯลฯ ทวยนาคร (พลเมือง) ประกอบอาชีพต่างๆ เป็นที่ทดลองการ
ปกครองแผนใหม่ ให้ข้าราชการรู้จักการใช้สิทธิในการปกครองตนเอง การจัดทดลองการ
ปกครองระบอบประชาธิปไตยที่เมืองจำลองดุสิตธานีนี้ ได้ดำเนินเรื่อยมาจนพระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต โดยยังไม่ทันได้พระราชทานการปกครองแบบ
ประชาธิปไตยให้แก่ปวงชนชาวไทยดังพระราชปณิธานที่ทรงตั้งไว้
22
พระราชทานนามสกุลและโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัตินามสกุล
เพื่อเป็นการจัดระเบียบความสัมพันธ์ในสังคมที่เริ่มซับซ้อนขึ้นให้เป็นระบบ ช่วยให้การจัด
เก็บข้อมูลต่างๆ เช่น การจัดทำสำมะโนประชากร ทำได้สะดวก ทั้งทำให้เกิดความเป็นธรรม
เกี่ยวกับผลประโยชน์ในครอบครัว โดยนำหลักกฎหมายแบบตะวันตกมาใช้ จึงได้พระราชทาน
นามสกุล ซึ่งทรงพระราชอุตสาหะคิดนามสกุลพระราชทานแก่ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน
รวมทั้งลูกเสือและนักเรียนถึง 6,432 นามสกุล และได้โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติ
นามสกุลขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2445 และประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.
2456 ให้คนไทยทุกคนใช้นามสกุล
การทหารและการป้องกันประเทศ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัตพระนคร ทรงร่วมกับพระเจ้าลูกยา
เธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ
เร่งก่อตั้งกองทัพสยามให้เป็นกองทัพสมัยใหม่ตามแบบยุโรป
ทรงยกร่างพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร พ.ศ. 2448 เพื่อเกณฑ์ชายฉกรรจ์เข้ารับ
ราชการทหารแทนการเกณฑ์เลกเข้ารับราชการแบบโบราณ
ทรงร่วมกับพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดชจัดวางโครงสร้างกองทัพบก
เป็น 10 กองพล กระจายกันอยู่ทั่วประเทศ เว้นแต่พื้นที่ที่มีสัญญาลับกับชาติ
มหาอำนาจ
ให้ยุบเลิกกรมยุทธนาธิการซึ่งปกครองบังคับบัญชาราชการฝ่ายทหารบก แล้วโปรดให้
ยกราชการฝ่ายทหารบกไปขึ้นสังกัดในกระทรวงกลาโหม
ยกกรมทหารเรือขึ้นเป็นกระทรวงทหารเรือ
จัดตั้ง “สภาการทัพ” เพื่อปรึกษาคำริกิจการป้องกันพระราชอาณาจักร ซึ่ง “สภาการ
ทัพ” นี้ได้พัฒนาเป็นสภากลาโหม ในปัจจุบัน
โยกกรมวังนอกซึ่งเป็นส่วนราชการในพระราชสำนักขึ้นเป็น “กรมทหารรักษาวัง”
23
ทรงจัดตั้งกองเสือป่า
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
จัดตั้งกองเสือป่าขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2454 โดยมีจุดมุ่ง
หมายเกี่ยวกับการรักษาดินแดนของประเทศเป็น
สำคัญ มีพระบรมราชาธิบายว่า “เสือป่า” นั้น
คือทหารที่ท่านใช้ไปสืบข่าวข้าศึก เพื่อแม่ทัพจะ
ได้รู้พอเป็นเลาๆ ว่าข้าศึกนั้นจะยกมาทางใด มี
กำลังเพียงใด ท่าทางจะรบพุ่งอย่างไร ตรงกับที่
ในกองทัพบกทุกวันนี้เรียกว่า “ผู้สอดแนม”
นอกจากนั้นยังทรงมุ่งหมายจะอบรมให้รู้ประวัติศาสตร์ของชาติไทย ให้มีความเข้มแข็งทั้ง
ร่างกายและจิตใจ นับเป็นการพัฒนาบุคคลทางหนึ่ง โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้า
อยู่หัวทรงสอนเองในเรื่องของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้ทรงจัดให้มีการแสดงตำนาน
เสือป่าที่สนามเสือป่า เพื่อให้เสือป่าเข้าใจว่าชาติไทยเคยเจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะทางจิตใจมา
แต่โบราณกาล บรรพบุรุษได้เคยเสียสละชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อรักษาบ้านเมืองเอาไว้ ทรงสอน
ยุทธวิธีเบื้องต้น และทรงสอนธรรมะซึ่งรวมเรียกกันว่า “เทศนาเสือป่า”
สำหรับการจัดตั้งกองกำลังเสือป่านั้น ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ จัดแบ่งสมาชิกเสือป่า
ออกเป็น 3 กอง คือ กองร้อยที่ 1 และกองร้อยที่ 2 กับมีกองฝึกหัดอีก 1 กอง โดยกองร้อยที่
1 ทำหน้าที่เป็นกองรักษาพระองค์ร่วมกับหน่วยทหารรักษาพระองค์ ต่อมาบรรดาข้าราชการ
และบุคคลพลเรือนในหัวเมืองมณฑลต่างๆ ได้พร้อมใจกันยื่นใบสมัครจนสามารถจัดตั้งกอง
เสือป่ารักษาดินแดนขึ้นในหัวเมืองมณฑลทั่วพระราชอาณาจักรไม่เว้นแม้แต่พื้นที่ที่มีสัญญา
ลับกับชาติมหาอำนาจ เพราะเสือป่ามิใช่ทหารแต่เป็นบุคคลพลเรือนที่ได้รับการฝึกเยี่ยงทหาร
24
พระราชทานกำเนิดกิจการลูกเสือในประเทศไทย
หลังจากทรงตั้งกองเสือป่าแล้ว ทรงเห็นว่าหากเยาวชนของชาติได้รับการฝึกหัดให้มีวินัย
และได้เรียนรู้วิธีสืบข่าวเสียแต่ยังเยาว์ เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ นอกจากจะมีระเบียบวินัยเป็น
พลเมืองดีของชาติแล้ว ยังจะสามารถนำความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศ
ชาติได้ด้วย จึงทรงยกร่าง “ข้อบังคับลักษณะปกครองลูกเสือ” โปรดเกล้าฯ ให้ตรา ข้อบังคับ
นี้ไว้เมื่อวันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม 2454 นับเป็นประเทศที่สามของโลกที่จัดให้มีกิจการลูกเสือ
ต่อมาได้ โปรดเกล้าฯ ให้ขยายการจัดตั้งกองลูกเสือออกไปยังโรงเรียนต่างๆ จนมีกองลูกเสือ
อยู่ทั่วพระราชอาณาจักร
เมื่อทรงจัดตั้งกองเสือป่าและลูกเสือแล้ว ได้ทรงนำทั้งเสือป่า ลูกเสือรวมทั้ง ทหาร ตำรวจ
เดินทางไกลไปเพื่อซ้อมรบที่นครปฐม ราชบุรี และกาญจนบุรีเป็นประจำ คราวละประมาณ
หนึ่งเดือนเพื่อฝึกฝนให้อดทนต่อสู้กับความลำบากนานาชนิด
กองทัพเรือ
ในปี พ.ศ. 2457 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง “ราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม” ในพระบรม
ราชูปถัมภ์ขึ้น เพื่อเรี่ยไรเงินซื้อเรือรบชนิดที่เรียกว่า เรือลาดตระเวนอย่างเบา ระวางขับน้ำ
5,000 ตันลงมา อันเป็นเรือที่มีความคล่องตัวสูง โดยพระราชทานเงินส่วนพระองค์เป็นทุน
ประเดิมจำนวน 80,000 บาท และโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินรายได้ต่างๆ สมทบกับเงิน
ที่ราษฎรทั่วราชอาณาจักรบริจาคไปจัดซื้อเรือจากประเทศอังกฤษ ได้เรือพิฆาตตอร์ปิโด 1
ลำ พระราชทานนามว่า “เรือพระร่วง”และพระราชทานนามใหม่อีกครั้งว่า “เรือรบหลวง
พระร่วง” เมื่อ พ.ศ. 2463 ส่วนเงินที่เหลือจากการซื้อเรือ ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานให้
กองทัพเรือไว้ใช้ในราชการต่อไป
25
และในคราวเสด็จพระราชดำเนินเลียบหัวเมืองชายทะเลมณฑลจันทบุรี เมื่อ พ.ศ. 2457 ได้
โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศสงวนพื้นที่ชายฝั่งทะเลสัตหีบตั้งแต่เกล็ดแก้วไปจนถึงแสมสารเพื่อ
ประโยชน์แก่ราชการกองทัพเรือ ซึ่งต่อมาในพ.ศ. 2463 เมื่อกระทรวงทหารเรือสำรวจพื้นที่
ชายฝั่งแล้วเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวมีความเหมาะสมในทางยุทธศาสตร์ นายพลเรือเอก พระเจ้าพี่
ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ จึงได้ขอพระราชทานที่ดินอ่าวสัตหีบไปจัดสร้างเป็น
ฐานทัพเรือ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาติตาม
ที่ขอพระราชทาน
นอกจากนั้น ยังโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้นายนาวาตรี หลวง
หาญสมุท (บุญมี พันธุมนาวิน) ไปประจำการในกองทัพเรืออังกฤษ เพื่อเรียนรู้วิธีบังคับเรือใต้
น้ำของกองทัพเรืออังกฤษในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 สามารถนำความรู้และประสบการณ์
ที่ได้รับมาจัดตั้งกองเรือใต้น้ำขึ้นในราชนาวีสยามจนเป็นผลสำเร็จในเวลาต่อมา
กองทัพอากาศ
สืบเนื่องจากการที่โปรดเกล้าฯ ให้กองทหารอาสาสมัครไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อ
พ.ศ. 2460 และกองทัพฝรั่งเศสได้ให้การอนุเคราะห์ฝึกบินและซ่อมบำรุงให้นายทหารในกอง
บินทหารบกจนสามารถสอบไล่ได้เป็นนักบินและช่างซ่อมบำรุงอากาศยานจำนวนหนึ่ง นาย
ทหารที่ได้รับการฝึกดังกล่าวได้นำความรู้นั้นมาพัฒนากรมอากาศยานทหารบกจนเจริญ
ก้าวหน้าเป็นกองทัพอากาศในเวลาต่อมา
27
การเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษและประทับ
อยู่ในประเทศอังกฤษเป็นเวลา 9 ปี เนื่องด้วยพระราชฐานันดรศักดิ์สยามมกุฏราชกุมาร
ทำให้ทรงได้รับความเลื่อมใสจากราชสำนักต่างๆ ของตะวันตก ทรงได้รับการทูลเชิญไปเยือน
ราชสำนักหลายแห่ง และได้ทรงร่วมในพระราชพิธีสำคัญต่างๆ หลายครั้ง จึงเป็นพื้นฐานให้
นานาชาติยอมรับว่าสยามประเทศมีฐานะเท่าเทียมชาติตะวันตกในเวลาต่อมา นับว่าทรง
ปฏิบัติพระราชภารกิจในการเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศมาตั้งแต่ต้น ทั้งก่อนเสด็จนิวัต
พระนคร นอกจากจะได้เสด็จไปทรงเฝ้าพระราชาธิบดีและทรงพบประมุขของประเทศต่างๆ
แล้ว ยังได้เสด็จไปเยือนประเทศรุสเซีย ออสเตรีย อียิปต์ อิตาลี ฝรั่งเศส ฮังการี สเปน
โปรตุเกส เยอรมนี สหรัฐอเมริกา แล้วเสด็จต่อไปยังประเทศญี่ปุ่น และทรงแวะที่ฮ่องกงเป็น
ลำดับสุดท้ายก่อนเสด็จถึงพระนครใน พ.ศ. 2445 ทำให้ได้ทอดพระเนตรความเจริญของบ้าน
เมือง รวมทั้งความเป็นอยู่ของประชาชน การประกอบอาชีพ การศึกษา การทหาร การ
คมนาคม และโบราณสถานของประเทศเหล่านั้น
ในการเสด็จนิวัตพระนครนี้เรียกได้ว่าเสด็จโดยวิธี “รอบพิภพ” เพราะทรงผ่านทั้ง
มหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิก ดังนั้น จึงทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์แรกที่เดินทาง
“รอบโลก” ได้ทอดพระเนตรความเจริญของ “โลกเก่า” คือประเทศอียิปต์และนานาประเทศ
ในทวีปยุโรป “โลกใหม่” คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา และ “โลกเอเชียสมัยใหม่” คือ ประเทศ
ญี่ปุ่น ดังนั้นนอกจากจะทรงทำหน้าที่เจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ อย่างดียิ่งแล้ว
ประสบการณ์อันมีค่าที่ทรงได้รับนี้ยังเป็นประโยชน์ในการช่วยราชการสมเด็จพระบรมชนก
นาถ และการบริหารราชการในเวลาต่อมา
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้ว ได้เสด็จ
พระราชดำเนินโดยกระบวนรถไฟจากสถานีบางกอกน้อยไปจนสุดพระราชอาณาจักรสยามที่
สถานีปาดังเบซาร์ แล้วประทับกระบวนรถไฟพระที่นั่งซึ่งเปลี่ยนไปใช้หัวรถจักรมลายูลากจูง
เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐมลายูของอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2467 นับเป็นครั้งแรกและครั้ง
เดียวในรัชกาลที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ
28
การส่งทหารเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตัดสินพระทัยประกาศสงครามกับชาติ
มหาอำนาจกลางอันประกอบด้วย เยอรมนี และออสเตรเลีย-ฮังการี ในสงครามโลกครั้งที่ 1
เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 และส่งทหารไปช่วยฝ่ายสัมพันธมิตร ด้วยทรงมีพระราช
ประสงค์จะเผยแพร่เกียรติคุณให้นานาประเทศรู้จักชาติไทย และเพื่อขจัดปัญหาสนธิสัญญา
ต่างๆ ที่นานาชาติพยายามผูกมัดไทย ส่งผลให้สนธิสัญญาต่างๆ ที่รัฐบาลสยามทำไว้กับ
รัฐบาลเยอรมนีและออสเตรเลีย-ฮังการีสิ้นสุดลง ทำให้สามารถยกเลิกข้อผูกมัดเรื่อง
สิทธิสภาพนอกอาณาเขตและภาษีร้อยชักสามที่ทำไว้กับทั้งสองประเทศได้ และเมื่อภาวะ
สงครามสิ้นสุดลง ประเทศสยามยังได้เป็นสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งสันนิบาตชาติอันเป็นต้นกำเนิด
ขององค์การสหประชาชาติ เป็นภาคีสมาชิกสหภาพสากลไปรษณีย์ องค์การอนามัยโลก
สหพันธ์สภากาชาดและเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ และองค์การลูกเสือโลก ทั้งยังทรง
ใช้ประโยชน์จากการที่ประเทศสยามเป็นผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 ดำเนินการแก้ไขสนธิ
สัญญาที่ไม่เป็นธรรม ทั้งสนธิสัญญาว่าด้วยสิทธิสภาพนอกอาณาเขตซึ่งมีข้อสัญญาลิดรอน
อำนาจศาลไทย รวมทั้งภาษีร้อยชักสามที่ทำให้สยามประเทศต้องเสียเปรียบในการค้าระหว่าง
ประเทศ ซึ่งสามารถดำเนินการแก้ไขได้เสร็จสมบูรณ์เป็นส่วนมาก ในตอนปลายรัชกาล
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ส่วนการให้สัตยาบันในสนธิสัญญาที่แก้ไขมาเสร็จ
สมบูรณ์ในตอนต้นรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว)
นอกจากนั้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ก่อนที่จะทรงประกาศสงคราม เมื่อได้ทรงทราบว่า
นายทหารในกองพันที่ 1 กองทหารราบเบาเดอรัม ซึ่งเคยเสด็จประจำการ ได้รับบาดเจ็บและ
เสียชีวิตในสงครามเป็นจำนวนมาก จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินส่วนพระองค์จำนวน
1,000 ปอนด์ให้รัฐบาลอังกฤษนำไปจัดการช่วยเหลือบุตรกำพร้าและภรรยาหม้ายของนาย
ทหารและพลทหารของกรมดังกล่าว ซึ่งต่อมา ใน พ.ศ. 2458 สมเด็จพระเจ้ายอร์ช ที่ 5 พระ
ราชาธิบดีแห่งกรุงบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ได้มีพระราชโทรเลขอัญเชิญให้พระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับพระยศเป็นนายพลเอกพิเศษแห่งกองทัพบริเตน
29
ด้านเศรษฐกิจ
ด้วยทรงมีพระราชดำริห่วงใยในการรักษาทรัพย์ของราษฎร จึงทรงหยิบยกเรื่องดังกล่าว
เข้าหารือที่ประชุมเสนาบดีสภา เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2455 เมื่อที่ประชุมสภาเห็นชอบ
ตามพระราชดำริแล้ว จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ
ดำเนินการจัดตั้ง “คลังออมสิน” ขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2456 การที่ทรงจัดตั้งคลัง
ออมสินขึ้นนี้นอกจากจะเป็นประโยชน์ในทางรักษาทรัพย์ของราษฎรแล้ว ยังเป็นหนทางใน
การสะสมทุนสำรองเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติอีกด้วย
โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระคลังข้างที่เข้าร่วมหุ้นจัดตั้ง “บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด
สินใช้” ขึ้นใน พ.ศ. 2456 เพื่อผลิตปูนซิเมนต์รองรับงานต่างๆ ทดแทนการนำเข้า ทั้งมี
พระราชประสงค์สำคัญเพื่อฝึกคนไทยให้รู้จักประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมสถิติพยากรณ์ ใน พ.ศ. 2458 เพื่อรวบรวมสถิติ “อันเป็นราย
ละเอียดแห่งการหมุนเวียนแห่งทรัพย์” ซึ่งเป็นการวางรากฐานการพาณิชย์ของ
ประเทศ ต่อมาใน พ.ศ. 2463 โปรดเกล้าฯ ให้ยกขึ้นเป็น “สภาเผยแพร่พาณิชย์และ
สถิติพยากรณ์” มีฐานะเทียบเท่ากระทรวง มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและให้ความช่วยเหลือ
แก่หน่วยงานต่างๆ ที่มีหน้าที่อุดหนุนและส่งเสริมการพาณิชย์ของประเทศ
โปรดเกล้าฯ ให้เลิกการพนันหวย ก ข ใน พ.ศ. 2458 และเลิกบ่อนเบี้ยใน พ.ศ. 2459
ตามลำดับ
โปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้าง “เขื่อนพระราม 6” กั้นลำน้ำป่าสักที่อำเภอท่าเรือ จังหวัด
พระนครศรีอยุธยา เพื่อทดน้ำและส่งน้ำลงสู่ท้องทุ่งแม่น้ำเจ้าพระยา จัดเป็นเขื่อนทด
น้ำและส่งน้ำแห่งแรกของประเทศไทย พ.ศ. 2467
โปรดเกล้าฯ ให้ประเทศสยาม ใช้มาตราชั่งตวงวัดแบบเมตริกเป็นมาตรฐานในการซื้อ
ขายสินค้า เมื่อ พ.ศ. 2467
30
การศึกษาของชาติ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักว่าการศึกษาเป็นพื้นฐานสำคัญใน
การพัฒนาประเทศ ทุกด้าน ดังนั้น ครั้งยังทรงดำรงพระราชอิสริยยศ เป็นสมเด็จพระบรมโอ
รสาธิราช เมื่อเสด็จนิวัตพระนคร จึงได้ทรงริเริ่มวางรากฐานการศึกษาสำหรับสตรี โดยกราบ
บังคมทูลถวายคำแนะนำให้สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถในขณะนั้น
ทรงตั้งโรงเรียนราชินี เพื่อเป็นต้นแบบการจัดการศึกษาสำหรับสตรี รวมทั้งทรงสนับสนุนให้
กระทรวงธรรมการจัดวางหลักสูตรการศึกษาสำหรับสตรีด้วย และเพราะทรงเห็นความสำคัญ
ของการศึกษานี้ จึงทรงเริ่มวางรากฐานการศึกษาของชาติเป็นพระราชกรณียกิจแรกในตอน
ต้นรัชกาล
พ.ศ. 2453 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง “โรงเรียนมหาดเล็กหลวง” ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง
ด้วยทรงมุ่งหมายจะให้เป็นโรงเรียนกินนอน สอนชั้นมัธยมศึกษา และทรงควบคุมการ
ดำเนินงานอย่างใกล้ชิด “โรงเรียนมหาดเล็กหลวง” นี้ ต่อมาได้พัฒนาเป็น “วชิราวุธ
วิทยาลัย” ในต้นรัชกาลที่ 7
ในปีเดียวกัน ได้โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา “โรงเรียนมหาดเล็ก” ขึ้นเป็นสถาบัน
อุดมศึกษา พระราชทานนามว่า “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” เพื่อเป็นสถานฝึกหัดราชการฝ่ายพลเรือน
พ.ศ. 2456 เกิดแผนการศึกษาชาติ เพื่อสนับสนุนให้การศึกษากว้างขวางยิ่งขึ้น โดย
กำหนดให้จัดระเบียบการศึกษาเป็นระดับอนุบาล ประถม มัธยม และอุดมศึกษา ซึ่งใช้
กันมาจนทุกวันนี้ นอกจากนั้นในแผนการศึกษานี้ยังมีหลักสูตรอาชีวศึกษาในระดับ
มัธยมต้นขึ้นเป็นครั้งแรก ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนเพาะช่างและ
โรงเรียนพณิชยการขึ้นในปีเดียวกัน และตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมขึ้นใน
พ.ศ. 2460 เนื่องจากทรงมีพระราชประสงค์จะส่งเสริมให้ราษฎรประกอบอาชีพต่างๆ
เพื่อช่วยกันสร้างความเจริญและความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้บ้านเมือง
31
พ.ศ. 2458 ด้วยทรงเห็นว่าควรขยายกิจการ “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ให้กว้างขวางขึ้น จึงพระราชทานเงินทุนที่
เหลือจากการที่ราษฎรได้เรี่ยไรเพื่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้า
จำนวนเก้าแสนกว่าบาท ให้ใช้สร้างอาคารเรียนและเป็นตึกบัญชาการบนที่ดินของพระ
คลังข้างที่จำนวน 1,309 ไร่ ที่อำเภอปทุมวัน และเงินที่เหลือจากการสร้างก็
พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้เพื่อกิจการของโรงเรียนต่อไป ทั้งนี้ได้เสด็จ
พระราชดำเนินไปทรงวางศิลาพระฤกษ์ในการสร้างอาคารเมื่อ 3 มกราคม พ.ศ. 2458
พ.ศ. 2459 โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงธรรมการดำเนินการสนองพระราชดำริในเรื่อง
การจัด “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”
เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ขึ้นเป็น “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เมื่อ 26
มีนาคม พ.ศ. 2459 เพื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติแห่งสมเด็จ
พระบรมชนกาธิราชให้เจริญก้าวหน้ากว้างขวางแผ่ไพศาลต่อไป
พ.ศ. 2461 โปรดเกล้าฯ ให้ออกพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ เพื่อควบคุมการดำเนิน
งานของโรงเรียนเอกชน
พ.ศ. 2464 โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติประถมศึกษาเป็นการศึกษาภาคบังคับ
เพื่อขยายการศึกษาในระดับประถมซึ่งจัดให้มีอยู่แล้วตั้งแต่รัชกาลก่อนให้ทั่วประเทศ
อันมีผลบังคับให้เด็กไทยทุกคนที่มีอายุระหว่าง 7-14 ปีเข้าเรียนในโรงเรียนจนจบชั้น
ประถมศึกษาหรืออ่านออกเขียนได้
32
การรถไฟ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบำรุงกิจการรถไฟตามพระราชดำริใน
สมเด็จพระบรมชนกนาถ โดยโปรดเกล้าฯ ให้ขยายทางรถไฟสายใต้ไปต่อกับทางรถไฟสาย
มลายูของอังกฤษที่ปาดังเบซาร์และสุไหงโกลก สายเหนือไปถึงเชียงใหม่ สายตะวันออกไป
ถึงอรัญประเทศ สายตะวันออกเฉียงเหนือถึงหนองคายและอุบลราชธานี และให้เชื่อมทาง
รถไฟสายต่างๆ ไว้ที่กรุงเทพฯ เป็นชุมทางแห่งเดียว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานพระราม
6 อันเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรกเพื่อเชื่อมทางรถไฟสายใต้ให้ถึงสถานี
กรุงเทพฯ และรวมการบัญชาการกรมรถไฟสายเหนือและกรมรถไฟสายใต้เข้าด้วยกันเป็น
“กรมรถไฟหลวง” และ “กรมรถไฟหลวงแห่งกรุงสยาม” ตามลำดับ อันเป็นกิจการของ
ชาวไทยโดยเด็ดขาด อีกทั้งยังทรงทะนุบำรุงการคมนาคมในหัวเมืองโดยสร้างถนนเชื่อมต่อ
กับทางรถไฟเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ราษฎร เช่น จากสถานีรถไฟจากนครลำปางไปยัง
เมืองเชียงราย และจากสถานีรถไฟตะพานหิน จังหวัดพิจิตรไปยังจังหวัดเพชรบูรณ์
เป็นต้น
33
กระทรวงคมนาคม
ใน พ.ศ. 2455 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงโยธาธิการดูแลรับผิดชอบการส่ง
ข่าวสารและ การทำทางทั้งทางน้ำทางบก พระราชทานนามใหม่ว่า “กระทรวงคมนาคม”
และโปรดเกล้าฯ ให้วิศวกรผู้ชำนาญการออกไปประจำอยู่ทุกมณฑล
การขนส่งไปรษณียภัณฑ์ทางอากาศ
โปรดเกล้าฯ ให้มีการขนส่งไปรษณีย์ภัณฑ์ทางอากาศเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2462 ในเส้น
ทางกรุงเทพฯ - จันทบุรี และโปรดเกล้าฯ ให้ขยายกิจการไปทางภาคอีสานอีก 2 เส้นทาง
จากนครราชสีมา – ร้อยเอ็ด – อุบลราชธานี ในปีพ.ศ. 2465 และจากนครราชสีมา –
ร้อยเอ็ด – อุดรธานี – หนองคาย ใน พ.ศ. 2466
การโทรเลข
โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงทหารเรือเปิดการสื่อสารวิทยุโทรเลขระหว่างสถานีวิทยุโทรเลข
ศาลาแดงที่กรุงเทพฯกับจังหวัดสงขลา และโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดรหัสสัญญาณรับส่งโทรเลข
เป็นภาษาไทยขึ้นใช้เป็นผลสำเร็จ
กฎหมาย
กฎหมายเป็นวิชาสำคัญวิชาหนึ่งที่ทรงศึกษา ณ มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ที่ทรงนำมาช่วย
เหลือกิจการสภาส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรมชนกนาถว่าด้วยเรื่องกฎหมายระหว่าง
ประเทศ ทรงช่วยร่างกฎหมายทหาร (พระธรรมนูญศาลทหารและกฎอัยการศึก) และได้พระ
ราชนิพนธ์หนังสือว่าด้วยกฎหมายนานาประเทศเพื่อให้ความรู้แก่ราษฎรทั่วไป เน้นเรื่องการ
ปฏิบัติของประเทศ (Public International Law) ให้เป็นแบบอย่างในการเรียบเรียงตำรา
กฎหมายไทย และก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ไม่นานนัก ทรงได้รับมอบหมายให้เป็นผู้กำกับ
ราชการกระทรวงยุติธรรม
34
โปรดเกล้าฯ ให้ออกประกาศพระบรมราชโองการจัดระเบียบราชการกระทรวงยุติธรรม
“…ลงเปนระเบียบเดียวกับประเทศอื่น...” เมื่อ พ.ศ. 2455
โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติทนายความ เพื่อคุ้มครองโจทก์จำเลยผู้มีอรรถคดีใน
ศาลยุติธรรม และจัดตั้งเนติบัณฑิตยสภา ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อบำรุงวิชากฎหมาย
และสอดส่องความประพฤติของทนายความ เมื่อ พ.ศ. 2457 ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้ยก
โรงเรียนกฎหมายที่พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงตั้งขึ้นในรัชกาล
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้เป็นโรงเรียนหลวงสังกัดกระทรวง
ยุติธรรม อันเป็นการรับรองหลักสูตรการศึกษาวิชากฎหมายตามแบบอย่าง
อารยประเทศ ในปีเดียวกันนี้อีกด้วย
โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกรมร่างกฎหมาย เพื่อยกร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
รวมทั้งการพิจารณายกร่างกฎหมายต่างๆ ในปี พ.ศ. 2466
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักดีถึงความสำคัญของสุขภาพอนามัย
ของราษฎร ทรงถือว่า “ถ้าพลเมืองป่วยไข้ไม่สมประกอบ ต้องนับว่าประเทศนั้นขาดปัจจัย
แห่งความสมบูรณ์” จึงมีพระราชดำริที่จะจัดสร้างโรงพยาบาลของสภากาชาดสยามขึ้น
วชิรพยาบาล
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระคลังข้างที่ซื้อตึกและที่ดิน
ริมถนนสามเสน แล้วพระราชทานให้กระทรวงนครบาลจัดเป็นโรงพยาบาลสำหรับรักษา
พยาบาลผู้เจ็บป่วยในพื้นที่ตอนเหนือของกรุงเทพฯ พระราชทานนามว่า “วชิรพยาบาล”
35
โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต
เมื่อคราวพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปักษ์
ใต้ พ.ศ. 2460 ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ในการก่อสร้างตึก
วชิระพยาบาล ตามข้อมูลในเอกสารจดหมายเหตุประมวลได้ว่า ใน พ.ศ. 2460 ทรงเห็นว่าโรง
พยาบาลสุขาภิบาลที่ภูเก็ตคับแคบและถูกน้ำท่วมเสมอ ควรสร้างโรงพยาบาลใหม่ให้ทันสมัย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หาทำเลที่ตั้งโรงพยาบาลใหม่ และทรงเลือกบริเวณเขารังซึ่ง
เป็นที่ตั้งอาคารทำการของศึกษาธิการมณฑลภูเก็ต
ศาสนา
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น พระองค์ทรงสร้าง ทรงพระ
ราชนิพนธ์ และทรงริเริ่มสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาไว้หลายอย่าง กล่าวคือ ได้ทรงปฏิ
สังข์พระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่ พระราชทานนามว่า พระร่วงโรจนฤทธิ์ ประดิษฐาน ณ พระ
วิหารโถงด้านหน้าต่อกับวิหารทิศเหนือของพระปฐมเจดีย์ ทั้งยังมีพระราชพินัยกรรมให้บรรจุ
พระบรมราชสรีรังคารส่วนหนึ่งไว้ที่ใต้ฐานพุทธบัลลังก์นั้นด้วย ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือเรื่อง
“พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร” ทรงพระราชนิพนธ์แปลภาษาบาลีเป็นภาษาไทยเพื่อให้คนไทยได้
เข้าใจความอย่างแจ่มแจ้ง เช่น มงคลสูตร และยังมีบทพาหุงที่ทรงพระราชนิพนธ์แปล โดย
ทรงรักษาคณะฉันท์วสันตดิลกของเดิมไว้ได้อย่างน่าพิศวง และมีการใช้บทแปลพาหุงดังกล่าว
มาจนทุกวันนี้ ในบางครั้งทรงแสดงพระธรรมเทศนาที่เรียกว่า “พระบรมราชานุศาสนีย์” ทรง
พระราชดำริให้มีอนุศาสนาจารย์ไปกับกองทหาร ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อประเทศสยามส่งทหารไปร่วม
รบ ณ สมรภูมิยุโรปในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทรงริเริ่มพระราชทานบัตรอำนวยพรในวัน
วิสาขบูชาตั้งแต่กลางรัชกาลของพระองค์ ทรงรับพระราชธุระปฏิสังขรณ์พระอารามสำคัญ
ต่างๆ อาทิ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดบวรนิเวศวิหาร วัด
มหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ วัดพระพุทธบาท สระบุรี และวัดพระปฐมเจดีย์ ทั้งยังทรงหารายได้
จากกิจการต่างๆ พระราชทานไปบูรณะพระพุทธเจดีย์และพระอารามหลายครั้ง
36
บรรณานุกรม
สะเทื้อน ศุภโสภณ. (2565) สมเด็จพระนเรศวรมหาวีรราชเจ้า พระมิ่งขวัญของชาว
ไทย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ One World, 2547.
จุฬาลงกรณ์ราชบรรณาลัย. (2565). พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว.
(ออนไลน์) , จาก https://shorturl.asia/jsXO5
ประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธี. (2565)“ความสัมพันธ์ไทย – จีน ในรัชสมัยพระนเรศวร
มหาราช” ใน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช 400 ปี ของการครองราชย์. 2540. หน้า
51 – 54.
ธีรวัต ณ ป้อมเพชร. “หลักฐานตะวันตกเกี่ยวกับรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช”
ใน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช 400 ปี ของการครองราชย์. 2540 หน้า 34 – 37.
วศิน ปัญญาวธุตระกูล. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช “มหากษัตริย์ชาตินักรบผู้กอบกู้
เอกราชแผ่นดิน”. จาก https://shorturl.asia/NRkta