The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2021-09-23 07:24:16

รายงานเรื่องแบดมินตัน

รายงานพละ

Keywords: รายงานพละ

รายงาน
ประวตั คิ วามเปน็ มาของกีฬาแบดมนิ ตนั

จัดทาโดย
นาย สุปวรี ์ จันทานติ ย์

ชน้ั ชฟ.2/3

เสนอ
อาจารย์ สุประวตั ิ ขนั ทอง
รายงานเลม่ นีป้ ็นสว่ นหน่ึงของวิชาพลศกึ ษาเพือ่ พัฒนาสขุ ภาพ
รหสั วิชา 20000-1603 ภาคเรยี นท่ี 1/2564
วทิ ยาลัยเทคนคิ กนั ทรลกั ษ์

คานา

รายงานแบดมนิ ตนั ฉบบั น้ี เป็นส่วนหนงึ่ ของวชิ าพลศึกษาเพือ่ พัฒนาสขุ ภาพ
จดั ทาข้นึ มาเพ่อื ทผี่ ู้ทจี่ ะศึกษา หาความรูเ้ กี่ยวกับ กติกาการเลน่ แบดมินตัน
หากมีขอ้ ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ทีน่ ี้ดว้ ย

ผจู้ ดั ทา
นาย สุปวีร์ จันทานติ ย์

แบดมินตัน เป็นกีฬาท่ีใช้อปุ กรณ์การเลน่ น้อยชนิ ้ เพียงแคม่ ีไม้แร็คเกต และลกู ขนไก่ รวมถงึ ผ้เู ลน่ เพียง

2 คน ก็สามารถเลน่ ได้แล้ว อีกทงั้ ยงั เป็นกีฬาสบาย ๆ เหมาะสาหรับผ้ทู ี่ไมต่ ้องการออกกาลงั กายอยา่ งหกั
โหมเกินไป ดงั นนั้ จงึ ไมน่ า่ แปลกใจเลยวา่ เหตใุ ดผ้คู นการเลน่ แบดมนิ ตนั จงึ แพร่หลายไปสคู่ นทว่ั โลก
จนกระทง่ั ได้กลายเป็นกีฬาสากลที่ทว่ั โลกยอมรับ

ประวัติแบดมนิ ตนั แบดมนิ ตนั (Badminton) เป็นกีฬาที่ได้รับการวจิ ารณ์เป็นอยา่ งมาก เพราะ

ไมม่ ีหลกั ฐานที่แนช่ ดั ถงึ ท่ีมาของกีฬาประเภทนี ้คงมีแตห่ ลกั ฐานบางอยา่ งที่ทาให้ทราบวา่ กีฬาแบดมินตนั
มีเลน่ กนั ในยโุ รป โดยเฉพาะในประเทศองั กฤษ ตอนปลายศตวรรษท่ี 17 และจากภาพสีนา้ มนั หลายภาพ
ได้ยืนยนั วา่ กีฬาแบดมินตนั เลน่ กนั อยา่ งแพร่หลายในพระราชวงศข์ องราชสานกั ตา่ ง ๆ ในทวีปยโุ รป แม้วา่
จะเรียกกนั ภายใต้ช่ืออื่นก็ตาม โดยกีฬาแบดมนิ ตนั ได้รับการบนั ทกึ แบบเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรในปี พ.ศ.
2413 ซง่ึ พบวา่ มีการเลน่ กีฬาลกู ขนไกเ่ กิดขนึ ้ ท่ีเมืองปนู า (Poona) ในประเทศอินเดยี เป็นเมืองเล็ก ๆ
หา่ งจากเมืองบอมเบย์ประมาณ 50 ไมล์ โดยได้รวมการเลน่ สองอยา่ งเข้าด้วยกนั คือ การเลน่ ปนู าของ
ประเทศอินเดยี และการเลน่ ไม้ตีกบั ลกู ขนไก่ (Battledore Shuttle Cock) ของยโุ รป
ในระยะแรก การเลน่ แบดมนิ ตนั จะเลน่ กนั เพียงแตใ่ นหมนู่ ายทหารของกองทพั และสมาชิกชนชนั้ สงู ของ
อนิ เดยี เทา่ นนั้ จนกระทงั่ มีนายทหารองั กฤษท่ีไปประจาการอยทู่ ่ีเมืองปนู า นาการเลน่ ตลี กู ขนไก่นี ก้ ลบั ไป
องั กฤษ และเลน่ กนั อยา่ งกว้างขวาง ณ คฤหาสน์แบดมนิ ตนั (Badminton House) ของดยคุ แหง่
บวิ ฟอร์ด ท่ีกลอสเตอร์เชียร์ ดงั นนั้ ในปี พ.ศ. 2416 เกมกีฬาตลี กู ขนไก่เลยถกู เรียกวา่ แบดมนิ ตนั ตามช่ือ
คฤหาสน์ของดยคุ แหง่ บวิ ฟอร์ดตงั้ แตน่ นั้ เป็นต้นมา ทงั้ นี ้กีฬาแบดมินตนั ก็เริ่มแพร่หลายในประเทศแถบ
ภาคพืน้ ยโุ รป เนื่องจากเป็นเกมท่ีคล้ายเทนนิส แตส่ ามารถเลน่ ได้ภายในตวั ตกึ โดยไมต่ ้องกงั วลตอ่ ลมหรือ
หิมะในฤดหู นาว นอกจากนี ้ชาวยโุ รปที่อพยพไปสทู่ วีปอเมริกา ยงั ได้นากีฬาแบดมนิ ตนั ไปเผยแพร่ รวมทงั้
ประเทศตา่ ง ๆ ในทวีปเอเชียและออสเตรเลียที่อยภู่ ายใต้อาณานคิ มขององั กฤษ เนเธอร์แลนด์ ตา่ งนาเกม
แบดมินตนั ไปเลน่ ยงั ประเทศของตนเองอยา่ งแพร่หลาย เกมกีฬาแบดมินตนั จงึ กระจายไปสสู่ ว่ นตา่ ง ๆ ของ
โลก รวมทงั้ ประเทศไทยด้วย สาหรับการเลน่ แบดมินตนั ในระยะแรกไมไ่ ด้มีกฎเกณฑ์ตายตวั เพียงแตเ่ ป็น
การตโี ต้ลกู กนั ไปมาไมใ่ ห้ลกู ตกพืน้ เทา่ นนั้ สว่ นเส้นแบง่ แดนก็ใช้ตาขา่ ยผกู โยงระหวา่ งต้นไม้สองต้นไมไ่ ด้
คานงึ ถึงเรื่องตา่ สงู เลน่ กนั ข้างละไมน่ ้อยกวา่ 4 คน สว่ นมาจะเลน่ ทีมละ 6 ถึง 9 คน ผ้เู ลน่ สามารถ
แตง่ ตวั ได้ตามสบาย

จนกระทง่ั ปี พ.ศ.2436 ได้มีการจดั ตงั้ สมาคมแบดมนิ ตนั แหง่ ประเทศองั กฤษขนึ ้ ซงึ่ นบั เป็นสมาคม
แบดมนิ ตนั แหง่ แรกของโลก หลงั จากที่มีการจดั แขง่ ขนั แบดมนิ ตนั ชงิ ชนะเลิศแหง่ ประเทศองั กฤษ หรือท่ี
เรียกกนั วา่ ออลองิ แลนด์ ตงั้ แตป่ ี พ.ศ.2432 ทางสมาคมแบดมนิ ตนั แหง่ ประเทศองั กฤษจงึ ได้ตงั้
กฎเกณฑ์ของสนามมาตรฐานขนึ ้ คอื ขนาดกว้าง 22 ฟตุ ยาว 45 ฟตุ (22 x 45) เป็นสนามขนาด
มาตรฐานประเภทคทู่ ี่ใช้ในปัจจบุ นั จากนนั้ จงึ มีการปรับปรุงดดั แปลงในเร่ืองอปุ กรณการเลน่ ให้ดีขนึ ้ เป็น
ลาดบั ตอ่ มาได้รับความนิยมแพร่หลายไปทว่ั โลก โดยประเทศในเอเชียอาคเนย์ท่ีมีการเลน่ กีฬาแบดมินตนั
และได้รับความนยิ มสงู สดุ คอื อนิ โดนีเซีย มาเลเซีย และประเทศไทย สว่ นการแขง่ ขนั ระหวา่ งประเทศได้เริ่ม
จดั ให้มีขนึ ้ ในปี พ.ศ. 2445 และตลอดเวลาหลายปี ที่ผา่ นมา จานวนประเทศท่ีเข้าร่วมแขง่ ขนั กีฬา
แบดมนิ ตนั ระหวา่ งประเทศมีมากวา่ 31 ประเทศ แบดมนิ ตนั ได้กลายเป็นเกมกีฬาท่ีเล่นกนั ระหวา่ งชาติ
โดยมีการยกทีมข้ามประเทศเพ่ือแขง่ ขนั ระหวา่ งชาตใิ นทวีปยโุ รป ในปี พ.ศ.2468 กลมุ่ นกั กีฬาของ
ประเทศองั กฤษได้แขง่ ขนั กบั กลมุ่ นกั กีฬาประเทศแคนาดา ห้าปี หลงั จากนนั้ พบวา่ ประเทศแคนาดามีสโมสร
สาหรับฝึกแบดมนิ ตนั มาตรฐานแทบทกุ เมือง ในปี พ.ศ.2477 สมาคมแบดมนิ ตนั ของประเทศองั กฤษเป็น
ผ้นู าในการกอ่ ตงั้ สหพนั ธ์แบดมินตนั ระหวา่ งประเทศ โดยมีชาตติ า่ ง ๆ อีก 8 ชาตคิ ือ แคนาดา เดนมาร์ก
องั กฤษ ฝร่ังเศส ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ นวิ ซีแลนด์ สก๊อตแลนด์ และเวลล์ โดยมีศนู ย์กลางอยทู่ ี่กรุง
ลอนดอน ปัจจบุ นั มีประเทศที่อยใู่ นเครือสมาชกิ กวา่ 60 ประเทศ ท่ีขนึ ้ ตอ่ สหพนั ธ์แบดมินตนั ระหวา่ ง
ประเทศ (I.B.F.) สหพนั ธ์มีบทบาทสาคญั ในการกาหนด และควบคมุ กตกิ าระเบยี บข้อบงั คบั ตา่ ง ๆ ของ
การแขง่ ขนั กีฬาแบดมนิ ตนั ทวั่ โลก ในปี พ.ศ.2482 เซอร์ จอร์จ โทมสั นกั แบดมินตนั อาวโุ สชาวองั กฤษ
เป็นผ้มู อบถ้วยทองราคา 5,000 ปอนด์ เพื่อมอบเป็นรางวลั ให้แกผ่ ้ชู นะเลศิ ประเภทชาย ในการแขง่ ขนั
แบดมินตนั ระหวา่ งประเทศ ซง่ึ สหพนั ธ์แบดมินตนั ได้รับไว้และดาเนนิ การตามประสงคน์ ี ้แม้วา่ ตามทางการ
จะเรียกวา่ การแขง่ ขนั ชิงถ้วยชนะเลศิ แบดมนิ ตนั ระหวา่ งประเทศ แตน่ ิยมเรียกกนั วา่ โธมสั คพั
(Thomas Cup) การแขง่ ขนั จะจดั ขนึ ้ ทกุ ๆ 3 ปี โดยสหพนั ธ์ได้แบง่ เขตการแขง่ ขนั ของชาตสิ มาชกิ
ออกเป็น 4 โซน คือ 1. โซนยโุ รป 2. โซนอเมริกา 3. โซนเอเชีย 4. โซนออสเตรเลเซีย (เดมิ เรียกวา่ โซน
ออสเตรเลีย)

วิธีการแขง่ ขนั จะแขง่ ขนั ชิงชนะเลิศภายในแตล่ ะโซนขนึ ้ กอ่ น แล้วให้ผ้ชู นะเลศิ แตล่ ะโซนไปแขง่ ขนั รอบ
อินเตอร์โซนเพื่อให้ผ้ชู นะเลศิ ทงั้ 4 โซน ไปแขง่ ขนั ชิงชนะเลศิ กบั ทีมของชาตทิ ี่ครอบครองดถ้วยโธมสั คพั อยู่
ซงึ่ ได้รับเกียรตไิ มต่ ้องแขง่ ขนั ในรอบแรกและรอบอนิ เตอร์โซน ชดุ ที่เข้าแขง่ ขนั ประกอบด้วยผ้เู ลน่ อยา่ งน้อย
4 คน การที่จะชนะเลศิ นนั้ จะตดั สนิ โดยการรวมผลการแขง่ ขนั ของประเภทชายเดย่ี ว 5 คู่ และประเภทชาย
คู่ 4 คู่ รวม 9 คู่ และใช้เวลาการแขง่ ขนั 2 วนั การแขง่ ขนั ชงิ ถ้วยโธมสั คพั ครัง้ แรกจดั ให้มีขนึ ้ ระหวา่ งปี
พ.ศ. 2491-2492

ตอ่ มาในการแขง่ ขนั แบดมินตนั โธมสั คพั ครัง้ ท่ี 8 ปี พ.ศ. 2512-2513 สหพนั ธ์ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการ
แขง่ ขนั เล็กน้อย โดยให้ชาตทิ ี่ครอบครองถ้วยอยนู่ นั้ เข้าร่วมแขง่ ขนั ในรอบอินเตอร์โซนด้วย โดยวิธีการจบั
สลากแล้วแบง่ ออกเป็น 2 สาย ผ้ชู นะเลศิ แตล่ ะสายจะได้เข้าแขง่ ขนั ชิงชนะเลิศโธมสั คพั รอบสดุ ท้ายตอ่ ไป
สาเหตทุ ี่สหพนั ธ์เปล่ียนแปลงการแขง่ ขนั ใหมน่ ี ้เนื่องจากมีบางประเทศที่ชนะเลศิ ได้ครอบครองถ้วย
โธมสั คพั ไมร่ ักษาเกียรตทิ ่ีได้รับจากสหพนั ธ์ไว้ โดยพยายามใช้ชนั้ เชิงท่ีไมข่ าวสะอาดรักษาถ้วยโธมสั คพั ไ ว้
ครัง้ แล้วครัง้ เลา่ สหพนั ธ์จงึ ต้องเปลี่ยนข้อบงั คบั ให้ชาตทิ ่ีครอบครองถ้วยอยนู่ นั้ ลงแขง่ ขนั ในรอบอินเตอร์โซน
ดงั กลา่ วด้วย กีฬาแบดมนิ ตนั ได้แพร่หลายขนึ ้

แม้กระทง่ั ในกลมุ่ ประเทศสงั คมนิยมก็ได้มีการเล่นเบดมินตนั อยา่ งกว้างขวาง มีการบรรจแุ บดมินตนั
เข้าไว้ในการแขง่ ขนั เอเชียนเกมส์ และซีเกมส์ การแขง่ ขนั กีฬาของประเทศในเครือจกั ภพสหราชอาณาจกั ร
รวมทงั้ การพิจารณาแบดมินตนั เข้าสกู่ ารแขง่ ขนั กีฬาโอลมิ ปิก ล้วนแตเ่ ป็นเคร่ืองยืนยนั วา่ แบดมินตนั ได้
กลายเป็นกีฬาสากลแล้วอยา่ งแท้จริง

ประวตั แิ บดมินตนั ในประเทศไทย

การเลน่ แบดมนิ ตนั ได้เข้ามาสปู่ ระเทศไทยในราวปี พ.ศ. 2456 โดยเร่ิมเลน่ กีฬาแบดมนิ ตนั แบบมี ตา
ขา่ ย โดยพระยานิพทั ยกลุ พงษ์ ได้สร้างสนามขนึ ้ ท่ีบ้าน ซง่ึ ตงั้ อยรู่ ิมคลองสมเดจ็ เจ้าพระยาธนบรุ ี แล้วนิยม
เลน่ กนั อยา่ งแพร่หลายออกไป สว่ นมากเลน่ กนั ตามบ้านผ้ดู ีมีตระกลู วงั เจ้านาย และในราชสานกั การเลน่
แบดมินตนั ครัง้ นนั้ นิยมเลน่ ข้างละ 3 คน ตอ่ มาประมาณปี พ.ศ. 2462 สโมสรกลาโหมได้เป็นผ้จู ดั
แขง่ ขนั แบดมนิ ตนั ทว่ั ไปขนึ ้ เป็นครัง้ แรก โดยจดั การแขง่ ขนั 3 ประเภทได้แก่ ประเภทเดีย่ ว ประเภทคู่ และ

ประเภทสามคน ปรากฏวา่ ทีมแบดมนิ ตนั บางขวางนนทบรุ ี (โรงเรียนราชวิทยาลยั บางขวางนนทบรุ ี)
ชนะเลศิ ทกุ ประเภท นอกจากนี ้มีนกั กีฬาแบดมนิ ตนั ฝี มือดีเดนิ ทางไปแขง่ ขนั ยงั ประเทศใกล้เคยี งอยบู่ อ่ ยๆ

ในปี พ.ศ. 2494 พระยาจนิ ดารักษ์ได้ก่อตงั้ สมาคมชื่อวา่ "สมาคมแบดมินตนั แหง่ ประเทศไทย" เมื่อแรก
ตงั้ มีอยู่ 7 สโมสร คอื สโมสรสมานมิตร สโมสรบางกอก สโมสรนวิ บอย สโมสรยนู ิตี ้สโมสร ส.ธรรมภกั ดี
สโมสรสิงห์อดุ ม และสโมสรศริ ิบาเพญ็ บญุ ซง่ึ ในปัจจบุ นั นีเ้หลือเป็นสโมสรสมาชกิ ของสมาคมอยเู่ พียง 2
สโมสร คอื สโมสรนวิ บอย และสโมสรยนู ติ เี ้ทา่ นนั้ และในปี เดยี วกนั สมาคมแบดมินตนั แหง่ ประเทศไทยก็
ได้สมคั รเข้าเป็นสมาชกิ ของสหพนั ธ์แบดมินตนั นานาชาตดิ ้วย สมาคมแบดมินตนั แหง่ ประเทศไทยมีนกั กีฬา
แบดมนิ ตนั ที่มีฝี มือดีอยมู่ าก ซง่ึ ได้สร้างช่ือเสียงให้กบั ประเทศไทยจากการลงแขง่ ขนั ใน รายการตา่ ง ๆ ของ
โลกเป็นอยา่ งมาก ทงั้ โธมสั คพั อเู บอร์คพั และการแขง่ ขนั ออลอิงแลนด์ โดยวงการแบดมนิ ตนั ของไทยยก
ยอ่ ง นายประวตั ิ ปัตตพงศ์ (หลวงธรรมนญู วฒุ กิ ร) เป็นบดิ าแหง่ วงการแบดมนิ ตนั ของประเทศไทย

กติกาของแบดมินตนั
ภาพผงั ก.

สนามและอุปกรณ์สนาม

1.1 สนามจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าประกอบด้วยเส้นกว้างขนาด 40 มลิ ลเิ มตร ตามภาพผงั ก.
1.2 เส้นทกุ เส้นต้องเดน่ ชดั และควรทาด้วยสีขาวหรือสีเหลือง
1.3 เส้นทกุ เส้นเป็นสว่ นประกอบของพืน้ ท่ีซง่ึ กาหนดไว้
1.4 เสาตาขา่ ยจะต้องสงู 1.55 เมตรจากพืน้ สนาม และตงั้ ตรงเมื่อขงึ ตาขา่ ยให้ตงึ ตามที่ได้
กาหนดไว้ในกตกิ า ข้อ 1.10 โดยท่ีจะต้องไมม่ ีสว่ นหนง่ึ สว่ นใดของเสายื่นเข้ามาในสนาม (เฉพาะ
รายการท่ีรับรองโดย IBF จะต้องใช้ระเบียบนี ้จนกระทง่ั 1 สงิ หาคม พ.ศ. 2547 ทกุ รายการท่ี
แขง่ ขนั จะต้องยดึ ตามระเบยี บนี)้
1.5 เสาตาขา่ ยจะต้องตงั้ อยบู่ นเส้นเขตข้างของประเภทคู่ ตามที่ได้แสดงไว้ในภาพผงั ก. โดยไม่
ต้องคานงึ วา่ จะเป็นประเภทเดยี่ วหรือเลน่ คู่
1.6 ตาขา่ ยจะต้องถกั ด้วยเส้นด้ายสีเข้ม และมีขนาดตากว้างไมน่ ้อยกวา่ 15 มิลลเิ มตร และไม่

เกิน 20 มลิ ลเิ มตร
1.7 ตาขา่ ยต้องมีความกว้าง 760 มิลลิเมตร และความยาวอยา่ งน้อย 6.1 เมตร
1.8 ขอบบนของตาขา่ ยต้องมีแถบผ้าสีขาวพบั สอง ขนาดกว้าง 75 มิลลิเมตร ทบั บนเชือกหรือ
ลวดท่ีร้ อยตลอดแถบผ้ าขาว
1.9 เชือกหรือลวดต้องมีขนาดพอที่จะขงึ ให้ตงึ เตม็ ที่กบั หวั เสา
1.10 สดุ ขอบบนตาขา่ ยต้องสงู จากพืน้ ท่ีตรงกึ่งกลางสนาม 1.524 เมตร และ 1.55 เมตร
เหนือเส้นเขตข้างของประเภทคู่
1.11 ต้องไมม่ ีชอ่ งวา่ งระหวา่ งสดุ ปลายตาขา่ ยกบั เสา ถ้าจาเป็นต้องผกู ร้อยปลายตาขา่ ยทงั้ หมด
กบั เสา

2.ลูกขนไก่

2.1 ลกู ขนไกอ่ าจทาจากวสั ดธุ รรมชาติ หรือวสั ดสุ งั เคราะห์ ไมว่ า่ ลกู นนั้ จะทาจากวสั ดชุ นดิ ใดก็
ตาม ลกั ษณะวถิ ีวิง่
ทวั่ ไป จะต้องเหมือนกบั ลกู ซง่ึ ทาจากขนธรรมชาติ ฐานเป็นหวั ไม้ก๊อก ห้มุ ด้วยหนงั บาง
2.2 ลกู ขนไก่ต้องมีขน 16 อนั ปักอยบู่ นฐาน
2.3 วดั จากปลายขนถงึ ปลายสดุ ของฐาน โดยความยาวของขนในแตล่ ะลกู จะเทา่ กนั หมด
ระหวา่ ง 62 มิลลเิ มตร ถงึ 70 มิลลิเมตร

2.4 ปลายขนแผเ่ ป็นรูปวงกลม มีเส้นผา่ ศนู ย์กลางระหวา่ ง 58 มลิ ลเิ มตร ถึง 68 มิลลเิ มตร

2.5 ขนต้องมดั ให้แนน่ ด้วยเส้นด้าย หรือวสั ดอุ ่ืนท่ีเหมาะสม

2.6 ฐานของลกู ต้องมีเส้นผา่ ศนู ย์กลาง 25 มิลลิเมตร ถงึ 28 มิลลิเมตร และสว่ นลา่ งมนกลม

2.7 ลกู ขนไก่จะมีนา้ หนกั ตงั้ แต่ 4.74 ถึง 5.50 กรัม

2.8 ลกู ขนไกท่ ี่ไมใ่ ช้ขนธรรมชาติ

2.8.1 ใช้วสั ดสุ งั เคราะห์แทนขนธรรมชาติ

2.8.2 ฐานลกู ดงั ที่ได้กาหนดไว้ในกตกิ าข้อ 2.6

2.8.3 ขนาดและนา้ หนกั ของลกู ต้องเป็นไปตามที่ได้กาหนดไว้ในกตกิ าข้อ 2.3, 2.4
และ 2.7 อยา่ งไรก็ตาม ความแตกตา่ งของความถว่ งจาเพาะ และคณุ สมบตั ขิ องวสั ดุ
สงั เคราะห์โดยการเปรียบเทียบกบั ขนธรรมชาติ ยอมให้มีความแตกตา่ งได้ถงึ 10%
2.9 เน่ืองจากมไิ ด้กาหนดความแตกตา่ งในเร่ืองลกั ษณะทว่ั ไป ความเร็วและวถิ ีว่ิงของลกู อาจมีการ
เปล่ียนแปลงคณุ ลกั ษณะดงั กลา่ วข้างต้น ได้โดยการอนมุ ตั จิ ากองค์กรแหง่ ชาตทิ ี่เกี่ยวข้องในท่ีซง่ึ สภาพ
ความกดอากาศสงู หรือสภาพดนิ ฟ้ าอากาศ เป็นเหตใุ ห้ลกู ขนไก่ตามมาตรฐานท่ีกาหนดไว้ไมเ่ หมาะสม

3.การทดสอบความเร็วของลูก

3.1 การทดสอบ ให้ยืนหลงั เส้นเขตหลงั แล้วตลี กู ใต้มืออยา่ งสดุ แรง โดยจดุ สมั ผสั ลกู อยเู่ หนือเส้นเขตหลงั
ลกู จะพงุ่ เป็นมมุ สงู และอยใู่ นแนวขนานกบั เส้นเขตข้าง
3.2 ลกู ที่มีความเร็วถกู ต้อง จะตกหา่ งจากเส้นเขตหลงั ของอีกด้านหนง่ึ ไมน่ ้อยกวา่ 530 มิลลิเมตร และ
ไมม่ ากกวา่ 990 มิลลเิ มตร (ภาพผงั ข.)

ภาพผัง ข.

4. แร็กเกต

4.1 เฟรมของแร็กเกตยาวทงั้ หมดไมเ่ กิน 680 มิลลเิ มตร และกว้างทงั้ หมดไมเ่ กิน 230 มิลลเิ มตร สว่ น
ตา่ ง ๆ ที่สาคญั ได้อธิบายไว้ในกตกิ าข้อ 4.1.1 ถงึ 4.1.5 และได้แสดงไว้ในภาพผงั ค.

ภาพผงั ค.
4.1.1 ด้านจบั เป็นสว่ นของแร็กเกตที่ผ้เู ลน่ ใช้จบั

4.1.2 พืน้ ที่ขงึ เอ็น เป็นสว่ นของแร็กเกตท่ีผ้เู ลน่ ใช้ตลี กู
4.1.3 หวั บริเวณที่ใช้ขงึ เอ็น
4.1.4 ก้าน ตอ่ จากด้ามจบั ถงึ หวั (ขนึ ้ อยกู่ บั กตกิ าข้อ 4.1.5)

4.1.5 คอ (ถ้ามี) ตอ่ ก้านกบั ขอบหวั ตอนลา่ ง

4.2 พืน้ ท่ีขงึ เอ็น

4.2.1 พืน้ ที่ขงึ เอน็ ต้องแบนราบ ด้วยการร้อยเอน็ เส้นขวางขดั กบั เส้นยืนแบบการขงึ เอ็นทว่ั ไป โดย
พืน้ ที่ตอนกลาง ไมค่ วรทบึ น้อยกวา่ ตอนอื่น ๆ

4.2.2 พืน้ ที่ขงึ เอ็นต้องยาวทงั้ หมดไมเ่ กิน 280 มิลลเิ มตร และกว้างทงั้ หมดไมเ่ กิน 220
มิลลิเมตร อยา่ งไรก็ตามอาจขงึ ไปถงึ คอเฟรม หากความกว้างที่เพิม่ ของพืน้ ท่ีขงึ เอ็นนนั้ ไมเ่ กิน 35
มลิ ลิเมตรและความยาวทงั้ หมดของพืน้ ที่ขงึ เอน็ ต้องไมเ่ กิน 330 มลิ ลิเมตร

4.3 แร็กเกต

4.3.1 ต้องปราศจากวตั ถอุ ่ืนตดิ อยู่ หรือยื่นออกมา ยกเว้นจากสว่ นท่ีทาเพ่ือจากดั และป้ องกนั
การสกึ หรอ ชารุดเสียหาย การสน่ั สะเทือน การกระจายนา้ หนกั หรือการพนั ด้ามจบั ให้กระชบั มือผ้เู ลน่ และ
มีความเหมาะสมทงั้ ขนาดและการตดิ ตงั้ สาหรับวตั ถปุ ระสงค์ดงั กลา่ ว
4.3.2 ต้องปราศจากสิง่ ประดษิ ฐ์อื่น ๆ ท่ีชว่ ยให้ผ้เู ลน่ เปลี่ยนรูปทรงของแร็กเกต

5.การยอมรับอุปกรณ์

สหพนั ธ์แบดมนิ ตนั นานาชาติ จะกาหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกบั ปัญหาของแร็กเกต ลกู ขนไก่ หรืออปุ กรณ์
ต้นแบบ ซง่ึ ใช้ในการเลน่ แบดมนิ ตนั ให้เป็นไปตามข้อกาหนดตา่ งๆ กฏเกณฑ์ดงั กลา่ วอาจเป็นการริเริ่มของ
สหพนั ธ์เองหรือจากการย่ืนความจานงของคณะบคุ คล ท่ีมีผลประโยชน์เก่ียวข้องอยา่ งแท้จริงกบั ผ้เู ลน่
ผ้ผู ลิต หรือองค์กรแหง่ ชาตหิ รือสมาชกิ ขององค์กรนนั้ ๆ

6.การเสี่ยง

6.1 กอ่ นเร่ิมเลน่ จะต้องทาการเสียง ฝ่ ายท่ีชนะการเสียง มีสิทธ์ิเลือกตามกตกิ าข้อ 6.1.1 หรือ 6.1.2

6.1.1 สง่ ลกู หรือรับลกู ก่อน

6.1.2 เร่ิมเลน่ จากสนามข้างใดข้างหนง่ึ
6.2 ฝ่ ายท่ีแพ้การเสี่ยง มีสทิ ธ์ิท่ีเหลือจากการเลือก

7.ระบบการนบั คะแนน

7.1 แมทช์หนง่ึ ต้องชนะให้ได้มากที่สดุ ใน 3 เกม เว้นแตจ่ ะได้กาหนดเป็นอยา่ งอ่ืน

7.2 ในประเภทชายคแู่ ละประเภทชายเดย่ี ว ฝ่ ายท่ีได้ 15 คะแนนก่อนเป็นฝ่ ายชนะในเกมนนั้ ยกเว้น
ตามที่ได้กาหนดไว้ในกตกิ าข้อ 7.5

7.3 ในประเภทหญิงเดย่ี ว หญิงคู่ คผู่ สม ฝ่ ายที่ได้ 11 คะแนนกอ่ นเป็นฝ่ ายชนะในเกมนนั้ ยกเว้นตามที่
ได้กาหนดไว้ในกตกิ าข้อ 7.5

7.4 ฝ่ ายสง่ ลกู เทา่ นนั้ เป็นฝ่ ายได้คะแนน (ดกู ตกิ าข้อ 10.3 หรือ 11.5)

7.5 ถ้าได้ 14 คะแนนเทา่ กนั (10 คะแนนเทา่ กนั ในประเภทหญิงเด่ยี ว หญิงคู่ คผู่ สม) ฝ่ ายท่ีได้ 14
(10) คะแนนกอ่ น มีสทิ ธ์ิเลือกในกตกิ าข้อ 7.5.1 หรือ 7.5.2:-

7.5.1 ตอ่ เกมนนั้ ถงึ 15 (11) คะแนน กลา่ วคอื ไมเ่ ลน่ ตอ่ ในเกมนนั้ หรือ

7.5.2 เลน่ ตอ่ เกมนนั้ ถึง 17 (13) คะแนน

7.6 ฝ่ ายชนะ เป็นฝ่ ายสง่ ลกู ก่อนในเกมตอ่ ไป

8.การเปล่ียนขา้ ง

8.1 ผ้เู ลน่ จะเปลี่ยนข้าง
8.1.1 หลงั จากจบเกมที่ 1
8.1.2 กอ่ นเริ่มเลน่ เกมท่ี 3 (ถ้ามี)
8.1.3 ในเกมที่ 3 หรือในการแขง่ ขนั เกมเดยี ว เมื่อคะแนนนาถงึ 6 คะแนน สาหรับเกม 11

คะแนน / 8 คะแนน สาหรับเกม 15 คะแนน
8.2 ถ้าผ้เู ลน่ ลืมเปล่ียนข้างตามที่ได้ระบไุ ว้ในกตกิ าข้อ 8.1 ผ้เู ลน่ ต้องเปลี่ยนข้างทนั ทีที่รู้ตวั และ

ลกู ไมอ่ ยใู่ นการเลน่ และให้นบั นบั คะแนนตอ่ จากคะแนนท่ีได้ในขณะนนั้

9.การส่งลูก

9.1 ในการส่งลกู ที่ถกู ต้อง

9.1.1 ทงั้ สองฝ่ ายต้องไมป่ ระวงิ เวลาให้เกิดความลา่ ช้าในการสง่ ลกู ทนั ทีที่ผ้สู ง่ ลกู และผ้รู ับลกู อยู่
ในทา่ พร้อมแล้ว

9.1.2 ผ้สู ง่ ลกู และผ้รู ับลกู ต้องยืนในสนามสง่ ลกู ทะแยงมมุ ตรงข้ามโดยเท้าไมเ่ หยียบเส้นเขตของ

สนามสง่ ลกู
9.1.3 บางสว่ นของเท้าทงั้ สองของผ้สู ง่ ลกู และผ้รู ับลกู ต้องแตะพืน้ สนามในทา่ นง่ิ ตงั้ แตเ่ ร่ิมสง่ ลกู

(กตกิ าข้อ 9.4) จนกระทงั่ สง่ ลกู แล้ว (กตกิ าข้อ 9.5)
9.1.4 จดุ สมั ผสั แรกของแร็กเกตผ้สู ง่ ต้องตที ่ีฐานของลกู
9.1.5 ทกุ สว่ นของลกู จะต้องอยตู่ า่ กวา่ เอวของผ้สู ง่ ขณะที่แร็กเกตสมั ผสั ลกู
9.1.6 ก้านแร็กเกตของผ้สู ง่ ลกู ในขณะตีลกู ต้องชีล้ งตา่ จนเหน็ ได้ชดั วา่ สว่ นหวั ทงั้ หมดของ

แร็กเกตอยตู่ ่ากวา่ ทกุ สว่ นของมือที่จบั แร็กเกตของผ้สู ง่ ลกู ตามภาพผงั ง.
9.1.7 การเคลื่อนแร็กเกตของผ้สู ่งลกู ไปข้างหน้า ต้องตอ่ เนื่องจากการเริ่มสง่ ลกู (กตกิ าข้อ 9.4)

จนกระทงั่ ได้สง่ ลกู แล้ว และ
9.1.8 วถิ ีลกู จะพงุ่ ขนึ ้ จากแร็กเกตของผ้สู ง่ ลกู ข้ามตาขา่ ย และถ้าปราศจากการสะกดั กนั้ ลกู จะ

ตกลงบนพืน้ สนามสง่ ลกู ของผ้รู ับลกู (กลา่ วคอื บนหรือภายในเส้นเขต)
9.2 ถ้าการสง่ ลกู ไมถ่ กู ต้อง ตามกตกิ าของข้อ 9.1.1 ถึง 9.1.8 ถือวา่ ฝ่ ายทาผดิ เสีย (กตกิ าข้อ 13)
9.3 ถือวา่ เสีย ถ้าผ้สู ง่ ลกู พยายามจะสง่ ลกู โดยตไี มถ่ กู ลกู
9.4 เมื่อผ้เู ลน่ อยใู่ นทา่ พร้อมแล้ว การเคล่ือนแร็กเกตไปข้างหน้าของผ้สู ง่ ลกู ถือวา่ เริ่มสง่ ลกู
9.5 ถือวา่ ได้สง่ ลกู แล้ว (กตกิ าข้อ 9.4) ถ้าแร็กเกตของผ้สู ง่ สมั ผสั ลกู หรือพยายามจะสง่ ลกู แตต่ ไี มถ่ กู ลกู
9.6 ผ้สู ง่ ลกู จะสง่ ลกู ไมไ่ ด้ถ้าผ้รู ับลกู ยงั ไมพ่ ร้อม แตถ่ ือวา่ ผ้รู ับลกู พร้อมแล้วถ้าพยายามตีลกู ท่ีสง่ มากลบั ไป
9.7 ในประเภทคู่ คขู่ าจะยืน ณ ท่ีใดก็ได้ โดยไมบ่ งั ผ้สู ่งลกู และผ้รู ับลกู

10.ประเภทเดี่ยว

10.1 สนามสง่ ลกู และรับลกู

10.1.1 ผ้เู ลน่ จะสง่ ลกู และรับลกู ในสนามสง่ ลกู ด้านขวา เมื่อผ้สู ง่ ลกู ทาคะแนนไมไ่ ด้ หรือคะแนน
ที่ได้เป็นเลขคใู่ นเกมนนั้

10.1.2 ผ้เู ลน่ จะสง่ ลกู และรับลกู ในสนามสง่ ลกู ด้านซ้าย เม่ือผ้สู ง่ ลกู ได้คะแนนเป็นเลขคี่ในเกม
นนั ้

10.2 ผ้สู ง่ ลกู และรับลกู จะตีโต้ลกู จนกวา่ จะเกิด เสีย หรือลกู ไมอ่ ยใู่ นการเลน่

10.3 คะแนนและการสง่ ลกู

10.3.1 ถ้าผ้รู ับทาเสีย หรือลกู ไมอ่ ยใู่ นการเลน่ เพราะตกลงบนพืน้ สนามของผ้รู ับ ผ้สู ง่ ลกู ได้
คะแนน ผ้สู ง่ จะได้สง่ ลกู ตอ่ ไปในสนามสง่ อีกด้านหนง่ึ

10.3.2 ถ้าผ้สู ง่ ทาเสีย หรือลกู ไมอ่ ยใู่ นการเลน่ เพราะตกลงบนพืน้ สนามของผ้สู ง่ ผ้สู ง่ หมดสทิ ธิ์
การสง่ ลกู และผ้รู ับก็จะได้เป็นผ้สู ง่ ลกู โดยผ้เู ลน่ ทงั้ สองฝ่ ายไมไ่ ด้คะแนน

11.ประเภทคู่

11.1 เมื่อเร่ิมเลน่ แตล่ ะครัง้ ฝ่ ายท่ีได้สิทธ์ิสง่ ต้องเร่ิมสง่ จากสนามสง่ ลกู ด้านขวา
11.2 ผ้รู ับลกู เทา่ นนั้ เป็นผ้ตู ีลกู กลบั ไป ถ้าลกู ถกู ตวั หรือคขู่ าของผ้รู ับตลี กู ถือวา่ เสีย ผ้สู ง่ ลกู ได้ 1
คะแนน
11.3 ลาดบั การเลน่ และตาแหนง่ ยืนในสนาม

11.3.1 หลงั จากได้รับลกู ท่ีสง่ มาแล้ว ผ้เู ลน่ ของฝ่ ายสง่ คนหนงึ่ คนใดตลี กู กลบั ไป และผ้เู ลน่ คน
หนง่ึ คนใดของฝ่ ายรับโต้ลกู กลบั มา เป็นอยา่ งนีเ้รื่อยไปจนกวา่ ลกู ไมอ่ ยใู่ นการเลน่

11.3.2 หลงั จากได้รับลกู ที่สง่ มาแล้ว ผ้เู ลน่ คนหนง่ึ คนใดจะตโี ต้ลกู จากที่ใดก็ได้ภายในสนาม

11.4 สนามสง่ ลกู และรับลกู
11.4.1 ผ้เู ลน่ มีสิทธ์ิสง่ ตอนเริ่มต้นของแตล่ ะเกม จะสง่ หรือรับลกู ในสนามสง่ ด้านขวา เมื่อผ้เู ลน่

ฝ่ ายนนั้ ไมไ่ ด้คะแนน หรือคะแนนในเกมนนั้ เป็นเลขคู่ และในสนามสง่ ลกู ด้านซ้ายเม่ือคะแนนในเกมนนั้ เป็น
เลขคี่

11.4.2 ผ้เู ลน่ ที่เป็นผ้รู ับตอนเริ่มต้นของแตล่ ะเกม จะรับหรือสง่ ลกู ในสนามสง่ ลกู ด้านขวา เมื่อผู้
เลน่ ฝ่ ายนนั้ ไมไ่ ด้คะแนน หรือคะแนนในเกมนนั้ เป็นเลขคู่ และในสนามสง่ ลกู ด้านซ้าย เมื่อคะแนนในเกมนนั้
เป็ นเลขคี่

11.4.3 ให้คขู่ าของผ้เู ลน่ ปฏิบตั ใิ นทางกลบั กนั
11.5 คะแนนและการสง่ ลกู

11.5.1 ถ้าฝ่ ายรับทา เสีย หรือลกู ไมอ่ ยใู่ นการเลน่ เพราะลกู ตกลงบนพืน้ สนามของฝ่ ายรับ ฝ่ าย
สง่ ได้ 1 คะแนน และผ้สู ง่ ยงั คงได้สง่ ลกู ตอ่ อีก

11.5.2 ถ้าฝ่ ายสง่ ทา เสีย หรือลกู ไมอ่ ยใู่ นการเลน่ เพราะลกู ตกลงบนพืน้ สนามของฝ่ ายสง่ ผ้สู ง่
หมดสิทธ์ิสง่ ลกู โดยผ้เู ลน่ ทงั้ สองฝ่ ายไมไ่ ด้คะแนน
11.6 การสง่ ลกู ทกุ ครัง้ ต้องสง่ จากสนามสง่ ลกู สลบั กนั ไป ยกเว้นตามท่ีได้กาหนดไว้ในกตกิ าข้อ 12
และ ข้อ 14
11.7 ในการเร่ิมต้นเกมใดก็ตาม ผ้มู ีสทิ ธิ์สง่ ลกู คนแรก สง่ ลกู จากสนามด้านขวาไปยงั ผ้รู ับลกู คนแรกและ
จากนนั้ ไปยงั คขู่ าของผ้รู ับตามลาดบั ไป จนกระทงั่ เสียสิทธ์ิและเปล่ียนสง่ ไปให้ฝ่ ายตรงข้ามที่จะต้องเร่ิมสง่
จากสนามด้านขวา (กตกิ าข้อ 11.4) จากนนั้ จะให้คขู่ าสง่ จะเป็นเชน่ นีต้ ลอดไป
11.8 ห้ามผ้เู ลน่ สง่ ลกู กอ่ นถงึ เวลาที่ตนเป็นผ้สู ง่ หรือรับลกู กอ่ นถงึ เวลาท่ีตนเป็นผ้รู ับ หรือรับลกู ตดิ ตอ่ กนั
สองครัง้ ในเกมเดยี วกนั ยกเว้นตามท่ีได้กาหนดไว้ในกตกิ าข้อ 12 และ 14
11.9 ผ้เู ลน่ คนหนงึ่ คนใดของฝ่ ายชนะ จะเป็นผ้สู ง่ ลกู ก่อนในเกมตอ่ ไปก็ได้ และผ้เู ลน่ คนหนงึ่ คนใดของ
ฝ่ ายแพ้จะเป็นผ้รู ับลกู ก่อนก็ได้

12.ความผดิ ในสนามส่งลูก

12.1 ความผดิ ในสนามสง่ ลกู เกิดขนึ ้ เมื่อผ้เู ลน่
12.1.1 สง่ ลกู กอ่ นถึงเวลาท่ีตนเป็นผ้สู ง่
12.1.2 สง่ ลกู จากสนามสง่ ลกู ที่ผิด หรือ
12.1.3 ยืนผิดสนามและได้เตรียมพร้อมท่ีจะรับลกู ที่สง่ มา

12.2 ถ้าพบความผิดในสนามสง่ ลกู กอ่ นสง่ ลกู ครัง้ ตอ่ ไป
12.2.1 หากฝ่ ายหนง่ึ ทาผดิ และชนะในการตีโต้ ให้ เอาใหม่
12.2.2 หากฝ่ ายหนง่ึ ทาผิดและแพ้ในการตโี ต้ ไมม่ ีการแก้ไขความผดิ
12.2.3 หากทงั้ สองฝ่ ายทาความผิดด้วยกนั ให้ เอาใหม่

12.3 ถ้ามีการ เอาใหม่ เพราะความผดิ ในสนามสง่ ลกู ให้เลน่ ใหมพ่ ร้มกบั แก้ไข
12.4 ถ้าพบความผดิ ในสนามสง่ ลกู หลงั จากได้สง่ ลกู ครัง้ ตอ่ ไปแล้ว จะไมม่ ีการแก้ไขความผดิ นนั้ ให้เล่น
ตอ่ ไปโดยไมม่ ีการเปล่ียนสนามสง่ ลกู ใหมข่ องผ้เู ลน่ (หรือให้เปลี่ยนลาดบั ใหมข่ องการสง่ ลกู ในกรณี
เดยี วกนั )

13.การทาเสีย

13.1 ถ้าการสง่ ลกู ไมถ่ กู ต้อง (กตกิ าข้อ 9.1) หรือตามกตกิ าข้อ 9.3 หรือ 11.2
13.2 ถ้าในขณะเลน่ ลกู ขนไก

13.2.1 ตกลงบนพืน้ นอกเส้นเขตสนาม (กลา่ วคือ ไมอ่ ยบู่ นหรือภายในเส้นเขตสนาม)
13.2.2 ลอดผา่ นหรือลอดใต้ตาขา่ ย
13.2.3 ไมข่ ้ามตาขา่ ย
13.2.4 ถกู เพดาน หรือ ฝาผนงั
13.2.5 ถกู ตวั ผ้เู ลน่ หรือเครื่องแตง่ กายผ้เู ลน่
13.2.6 ถกู วตั ถหุ รือตวั บคุ คลภายนอกที่อยใู่ กล้เคยี งล้อมรอบสนาม (ในกรณีที่มีความจาเป็น
เกี่ยวกบั โครงสร้างของตวั อาคารผ้มู ีอานาจเก่ียวกบั แบดมนิ ตนั ท้องถิ่น อาจวางกฎเพ่มิ เตมิ เกี่ยวกบั ลกู ถกู ส่งิ
กีดขวางได้ ทงั้ นี ้ยอ่ มแล้วแตส่ ิทธิความเห็นชอบของภาคสี มาชิก)
13.3 ถ้าในระหวา่ งการเลน่ ผ้เู ลน่ ตลี กู ก่อนท่ีลกู ข้ามตาขา่ ยมาในเขตสนามของตวั เอง

13.4 ถ้าลกู อยใู่ นระหวา่ งการเลน่ ผ้เู ลน่
13.4.1 ถกู ตาขา่ ยหรืออปุ กรณ์ที่ขงึ ด้วยแร็กเกต ด้วยตวั หรือด้วยเครื่องแตง่ กาย
13.4.2 ลา้ บนตาขา่ ยเข้าไปในเขตสนามของคตู่ อ่ สู้ ด้วยแร็กเกต ด้วยตวั ยกเว้นตามท่ีได้รับ

อนญุ าตไว้ในกตกิ าข้อ 13.3
13.4.3 ลา้ ใต้ตาขา่ ยเข้าไปในเขตสนามของคตู่ อ่ ส้ดู ้วยแร็กเกต หรือด้วยตวั จนเป็นการกีดขวาง

หรือทาลายสมาธิคตู่ อ่ สู้
13.4.4 กีดขวางคตู่ อ่ สู้ กลา่ วคอื กนั ไมใ่ ห้คตู่ อ่ ส้ตู ลี กู ที่ข้ามตาขา่ ยมาอยา่ งถกู ต้องตามกตกิ า

13.5 ถ้าในระหวา่ งการเลน่ ผ้เู ลน่ คนหนง่ึ คนใดจงใจทาลายสมาธิคตู่ อ่ ส้ดู ้วยการกระทาตา่ ง ๆ เชน่ ร้อง
ตะโกนหรือแสดงทา่ ทาง

13.6 ถ้าระหวา่ งการเลน่ ลกู ขนไก่
13.6.1 ตดิ อยใู่ นแร็กเกต แล้วถกู เหวี่ยงออกไปในระหวา่ งตีลกู
13.6.2 ถกู ตีสองครัง้ ตดิ ตอ่ กนั โดยผ้เู ลน่ คนเดียวกนั
13.6.3 ถกู ตีโดยผ้เู ลน่ คนหนงึ่ และคขู่ าของผ้เู ลน่ คนนนั้ ตดิ ตอ่ กนั หรือ
13.6.4 ถกู แร็กเกตของผ้เู ลน่ คนหนง่ึ แล้วลอยไปทางท้ายสนามด้านหลงั ของผ้เู ลน่ คนนนั้

13.7 ถ้าผ้เู ลน่ ทาผิดอยา่ งโจง่ แจ้ง ซา้ แล้วซา้ อีก หรือผดิ พลาดอยตู่ ลอด ตามกตกิ าข้อ 16
13.8 ถ้าหลงั จากสง่ ลกู แล้วลกู ไปตดิ และค้างอยบู่ นตาขา่ ย หรือลกู ข้ามตาขา่ ยแล้วตดิ ค้างอยใู่ นตาขา่ ย

14.การเอาใหม่

14.1 การ เอาใหม่ จะขานโดยกรรมการผ้ตู ดั สิน หรือ โดยผ้เู ลน่ (ถ้าไมม่ ีกรรมการผ้ตู ดั สนิ ) ขานให้หยดุ
เลน่ ในกรณีที่

14.1.1 ถ้าผ้สู ง่ ลกู สง่ ลกู โดยท่ีผ้รู ับลกู ยงั ไมพ่ ร้อม (ดกู ตกิ าข้อ 9.6)
14.1.2 ถ้าในระหวา่ งการสง่ ลกู ผ้รู ับและผ้สู ง่ ลกู ทาเสีย พร้อมกนั ทงั้ สองฝ่ ายในเวลาเดียวกนั
14.1.3 ถ้าลกู ไปตดิ และค้างอยบู่ นตาขา่ ย หรือลกู ข้ามตาขา่ ยแล้วตดิ ค้างอยใู่ นตาขา่ ยยกเว้นใน
การสง่ ลกู

14.1.4 ถ้าในระหวา่ งการเลน่ ลกู ขนไก่แตกแยกออกเป็นสว่ น ๆ และฐานแยกออกจากสว่ นที่
เหลือของลกู โดยสนิ ้ เชิง

14.1.5 ถ้ากรรมการกากบั เส้นมองไมเ่ หน็ และกรรมการผ้ตู ดั สนิ ไมส่ ามารถตดั สินใจได้
14.1.6 สาหรับกรณีที่เกิดขนึ ้ เน่ืองจากความผดิ ในสนามสง่ ลกู ตามท่ีระบใุ นกตกิ าข้อ 12.2.1
หรือ 12.2.3 หรือ
14.1.7 สาหรับกรณีที่เกิดขนึ ้ โดยไมค่ าดคดิ มากอ่ น หรือโดยเหตบุ งั เอิญ
14.2 เม่ือมีการ เอาใหม่ การเลน่ หลงั จากการสง่ ลกู ครัง้ สดุ ท้ายถือเป็นโมฆะ และผ้เู ลน่ ที่สง่ ลกู จะได้สง่ ลูก
อีกครัง้ หนงึ่ ยกเว้นหากเป็นไปตามกตกิ าข้อ 12

15.ลูกไมอ่ ยใู่ นการเล่น

ลกู ไมอ่ ยใู่ นการเลน่ เมื่อ

15.1 ลกู ชนตาขา่ ยแล้วตดิ อยทู่ ี่ตาขา่ ย หรือค้างอยบู่ นขอบตาขา่ ย

15.2 ลกู ชนตาขา่ ยหรือเสาตาขา่ ยแล้วตกลงบนพืน้ สนามในด้านของผ้ตู ลี กู

15.3 ลกู ถกู พืน้ สนาม หรือ

15.4 เกิดการ เสีย หรือการ "เอาใหม่"

16.การเล่นต่อเนื่อง,การทาผดิ ,การลงโทษ

16.1 การเลน่ ต้องตอ่ เนื่องตงั้ แตเ่ ร่ิมสง่ ลกู ครัง้ แรกจนสนิ ้ สดุ การแขง่ ขนั ยกเว้นตามท่ีได้อนญุ าตไว้ในกตกิ า
ข้อ 16.2 และ 16.3

16.2 พกั ระหวา่ งการจบเกมที่ 1 และเร่ิมเกมท่ี 2 ได้ไมเ่ กิน 90 วินาที และไมเ่ กิน 5 นาที ระหวา่ งจบ

เกมท่ี 2 และเร่ิมเกมที่ 3 อนญุ าตสาหรับทกุ แมทช์ของการแขง่ ขนั (ในการแขง่ ขนั ที่มีการถา่ ยทอดโทรทศั น์
กรรมการผ้ชู ีข้ าดอาจตดั สนิ ใจกอ่ นเร่ิมการแขง่ ขนั วา่ การพกั ตามกตกิ าข้อ 16.2 อยใู่ นอาณตั แิ ละเวลา
กาหนด)

16.3 พกั การเลน่ เมื่อมีความจาเป็นจากสภาพแวดล้อมท่ีมไิ ด้อยภู่ ายใต้การควบคมุ ของผ้เู ลน่ กรรมการผู้
ตดั สนิ อาจสง่ั ให้พกั การเลน่ ชวั่ คราวตามท่ีพจิ ารณาเหน็ วา่ จาเป็นภายใต้สภาพแวดล้อมอ่ืน ๆ ที่ผิดปกติ
กรรมการผ้ชู ีข้ าดอาจแนะนาให้กรรมการผ้ตู ดั สินพกั การเลน่

16.3.1 เมื่อมีความจาเป็นจากสภาพแวดล้อมที่มิได้อยภู่ ายใต้การควบคมุ ของผ้เู ลน่ กรรมการผู้
ตดั สนิ อาจสงั่ ให้พกั การเลน่ ชวั่ คราวตามที่พิจารณาเห็นวา่ จาเป็น

16.3.2 ภายใต้สภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่ผิดปกติ กรรมการผ้ชู ีข้ าดอาจแนะนาให้กรรมการผ้ตู ดั สิน
พกั การเลน่

16.3.3 ถ้ามีการพกั การเล่น คะแนนที่ได้จะอยคู่ งเดมิ และจะเริ่มใหมจ่ ากคะแนนนนั้
16.4 การถ่วงเวลาการเลน่

16.4.1 ไมว่ า่ กรณีใด ๆ ทงั้ สนิ ้ ห้ามถ่วงเวลาการเลน่ เพื่อให้ผ้เู ลน่ ฟื น้ คืนกาลงั หรือหายเหน่ือย
16.4.2 กรรมการผ้ตู ดั สนิ จะวินจิ ฉยั ความลา่ ช้าแตเ่ พียงผ้เู ดยี ว
16.5 คาแนะนาและการออกนอกสนาม
16.5.1 ห้ามผ้เู ลน่ รับคาแนะนาระหวา่ งการแขง่ ขนั ยกเว้นการพกั ตามกตกิ าข้อ 16.2 และ
16.3
16.5.2 ห้ามผ้เู ลน่ เดนิ ออกนอกสนามระหวา่ งการแขง่ ขนั โดยมไิ ด้รับอนญุ าตจากกรรมการผู้
ตดั สนิ ยกเว้นระหวา่ งพกั 5 นาที ตามที่ได้กาหนดไว้ในกตกิ าข้อ 16.2

16.6 ผ้เู ลน่ ต้องไมจ่ งใจถว่ งเวลา หรือพกั การเลน่ , จงใจแปลงหรือทาลายลกู เพื่อเปล่ียนความเร็วและวถิ ี,
แสดงกิริยาก้าวร้าว หรือกระทาผดิ นอกเหนือกตกิ า
16.7 กรรมการผ้ตู ดั สนิ จะต้องดาเนินการกบั ความผิดตามกตกิ าข้อ 16.4, 16.5 หรือ 16.6 โดย

16.7.1 เตือนผ้กู ระทาผดิ

16.7.2 ตดั สิทธิ์ผ้กู ระทาผิดหลงั จากได้เตอื นกอ่ นแล้ว
16.7.3 ในกรณีผิดอยา่ งเห็นได้ชดั หรือผดิ อยตู่ ลอด ให้ตดั สทิ ธิ์ผ้กู ระทาผดิ แล้วรายงานให้
กรรมการผ้ชู ีข้ าดทราบทนั ที ซงึ่ กรรมการผ้ชู ีข้ าดมีอานาจสงั่ ให้ผ้กู ระทาผดิ ออกจากการแขง่ ขนั

17.กรรมการสนามและการอุทธรณ์

17.1 กรรมการผชู้ ้ีขาดเป็นผดู้ ูแลรับผดิ ชอบการแขง่ ขนั ท้งั หมด

17.2 หากมีการแต่งต้งั กรรมการผตู้ ดั สิน ใหม้ ีหนา้ ท่ีควบคุมการแข่งขนั สนาม และบริเวณโดยรอบ
สนามแขง่ ขนั กรรมการผตู้ ดั สินตอ้ งรายงานตอ่ กรรมการผชู้ ้ีขาด

17.3 กรรมการกากบั การส่งลูกเป็นผขู้ าน เสีย สาหรับการส่งลูกที่ผสู้ ่งลูกเป็นผกู้ ระทาผดิ (กติกาขอ้ 9)

17.4 กรรมการกากบั เส้นเป็นผใู้ หส้ ญั ญาณ ดี หรือ ออก ในเส้นเขตท่ีไดร้ ับมอบหมาย

17.5 การตดั สินใจเกี่ยวกบั ขอ้ เทจ็ จริงท้งั หมดของกรรมการสนามที่รับผดิ ชอบถือวา่ สิ้นสุด

17.6 กรรมการผตู้ ดั สินจะตอ้ ง

17.6.1 ควบคุมการแขง่ ขนั ใหด้ าเนินไปภายใตก้ ฏกติกาอยา่ งเคร่งครัด โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การขาน
เสีย หรือ เอาใหม่ เม่ือมีกรณีเกิดข้ึน

17.6.2 ตดั สินคาอุทธรณ์เกี่ยวกบั การโตแ้ ยง้ ซ่ึงมีข้ึนก่อนการส่งลูกคร้ังต่อไป

17.6.3 แน่ใจวา่ ผเู้ ล่นและผชู้ มไดท้ ราบถึงความคืบหนา้ ของการแขง่ ขนั

17.6.4 แต่งต้งั หรือถอดถอนกรรมการกากบั เส้น หรือกรรมการกากบั การส่งลูก หลงั จากได้
ปรึกษากบั กรรมการผชู้ ้ีขาดแลว้

17.6.5 หากไมม่ ีการแต่งต้งั กรรมการสนามอ่ืน จะตอ้ งปฏิบตั ิหนา้ ท่ีน้นั ใหเ้ รียบร้อย

17.6.6 หากกรรมการสนามท่ีไดร้ ับการแตง่ ต้งั มองไม่เห็น ตอ้ งดาเนินการในหนา้ ท่ีของกรรมการ
น้นั หรือให้ “เอาใหม่“

17.6.7 บนั ทึกและรายงานต่อกรรมการผชู้ ้ีขาดทุกเร่ืองที่เกี่ยวกบั กติกาขอ้ 16 และ

17.6.8 เสนอคาอุทธรณ์ท่ีไมพ่ งึ พอใจในปัญหาเกี่ยวกบั กติกาตอ่ กรรมการผูช้ ้ีขาด (คาอุทธรณ์
ดงั กล่าว จะตอ้ งเสนอก่อนการส่งลูกคร้ังตอ่ ไป หรือเมื่อการแข่งขนั สิ้นสุดลงก่อนที่ฝ่ ายอุทธรณ์จะเดินออก
จากสนาม)


Click to View FlipBook Version