The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Isariyaporn Sangpunya, 2022-06-27 02:14:52

บทที่ 1 ความเป็นมาของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

เอกสารประกอบรายวิชา

Keywords: เนื้อหาบทที่ 1

บทท่ี 1

ความเป็นมาของมหาวิทยาลัยราชภฏั เชียงใหม่

1. กล่มุ มหาวิทยาลัยราชภฏั

มหาวิทยาลยั ราชภฏั เป็นกลมุ่ มหาวทิ ยาลัยที่พฒั นามาจากโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ท่ีต้งั อย่ใู นสว่ นกลาง
และส่วนภูมิภาคของประเทศ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น วิทยาลัยครู หลังจากน้ัน ได้รับพระราชทานนาม "
ราชภัฏ" จากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ให้เป็นช่ือ
ประจำสถาบัน พร้อมท้ัง พระราชทาน พระราชลัญจกรเป็นตราประจำมหาวิทยาลัย โดยในปัจจุบัน
มหาวทิ ยาลัยราชภัฏ มอี ย่ทู ง้ั ส้ิน 38 แหง่ ทว่ั ประเทศ

ประวตั คิ วามเปน็ มาของกลุม่ มหาวิทยาลัยราชภฏั

มหาวิทยาลัยราชภัฏมีพัฒนามาจาก "โรงเรียนฝึกหัด" อาทิเช่น โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์, โรงเรียน
ฝึกหัดครูประจำมณฑล โดยได้มีการก่อตั้งโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์แห่งแรกเปิดสอนเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.
2435 บริเวณโรงเล้ียงเด็ก ตำบลสวนมะลิ ถนนบำรงุ เมือง จังหวัดพระนคร (ปัจจุบัน คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏ
พระนคร) หลังจากนั้น จงึ ได้ขยายไปตั้งอยู่ทุกภาคของประเทศ โดยได้เร่ิมจัดต้ังโรงเรียนฝึกหัดครูขึ้นในมณฑล
นครราชสีมา ช่ือ โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลนครราชสีมา เม่ือราวปี พ.ศ. 2457 ต่อมาก็ได้เปล่ียนช่ือเป็น
“โรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมมณฑลนครราชสีมา” (ปัจจุบัน คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา) ต่อมาในปี
พ.ศ. 2462 ได้จัดต้ัง "โรงเรียนฝึกหัดครูมณฑล" ข้ึน เพื่อผลิตครูท่ีสอนในระดับประถมศึกษา ผู้สำเร็จ
การศึกษา เรียกว่า "ครูประกาศนียบัตรมณฑล" ต่อมา ในปี พ.ศ. 2468 ธรรมการมณฑลได้จัดต้ังโรงเรียน
ฝึกหัดครูประจำมณฑลข้ึนโดยเฉพาะ เรียกว่า "โรงเรียนฝึกหัดครูมูลประจำมณฑลนครศรีธรรมราช" (ปัจจุบัน
คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา) และ “โรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมมณฑลอุดร” เร่ิมก่อต้ังเมื่อวันท่ี 1
พฤศจิกายน พ.ศ. 2466 ซึ่งต้ังข้ึนบริเวณสโมสรเสือป่ามณฑลอุดร อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี (ปัจจุบัน คือ
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอดุ รธานี) และได้มการตงั้ "โรงเรยี นฝกึ หดั ครกู สิกรรมประจำมณฑลพายัพ" เร่ิมกอ่ ต้ังเมอ่ื ปี
พ.ศ. 2466 ณ บ้านเวียงบัว ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ (ปัจจุบัน คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏ
เชยี งใหม)่

หลังจากมีการยกเลิกการปกครองแบบมณฑลแล้ว ทำให้โรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมประจำมณฑล จึง
เปลย่ี นชื่อเป็น "โรงเรียนฝึกหดั ครปู ระกาศนียบัตร จังหวัด" และเปลี่ยนช่ือใหม่เปน็ "โรงเรียนฝึกหัดครู(ต่อท้าย
ด้วยจังหวัดทตี่ ง้ั )" พรอ้ มขยายการกอ่ ตั้งโรงเรียนออกไปยงั ภูมิภาคมากขน้ึ

1

ตอ่ มาเม่อื วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2503 กระทรวงศึกษาธิการไดป้ ระกาศยกฐานะ โรงเรียนฝึกหัดครู
เป็น "วิทยาลัยครู" พร้อมกับเปิดสอนในหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง (ป.กศ. สูง) และ
หลกั สูตรปริญญาตรีของสภาการฝึกหดั ครู โดยกำหนดในพระราชบัญญัตวิ ทิ ยาลัยครู พ.ศ 2518 ตั้งแต่เมือ่ วันท่ี
1 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 เป็นต้นมา โดยให้วิทยาลัยครูเป็นสถาบันอุดมศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธกิ าร เปิด
สอนนักศึกษาถึงระดับปริญญาตรีในสาขาครุศาสตร์ หลักสูตรของสภาการฝึกหัดครู โดยมีวิทยาลัยครู จำนวน
17 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยครูจันทรเกษม กรุงเทพมหานคร วิทยาลัยครูเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ วิทยาลัยครู
เทพสตรี จังหวัดลพบุรี วิทยาลัยครูนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมาวิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช จังหวัด
นครศรีธรรมราช วิทยาลัยครูนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
กรุงเทพมหานคร วิทยาลัยครูพระนคร กรุงเทพมหานคร วิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา จังหวัด
พระนครศรีอยุธยา วิทยาลัยครูพิบูลสงคราม จังหวัดพิษณุโลก วิทยาลัยครูมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม
วิทยาลัยครูยะลา จังหวัดยะลา วิทยาลัยครูสงขลา จังหวัดสงขลา วิทยาลัยครูสวนดุสิต กรุงเทพมหานคร
วิทยาลัยครูสวนสุนันทา กรุงเทพมหานคร วิทยาลัยครูอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี วิทยาลัยครูอุบลราชธานี
จงั หวัดอุบลราชธานี

การกอ่ ต้งั สถาบันราชภฏั และมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั

วันท่ี 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานช่ือ “สถาบันราชภัฏ” ให้กับวิทยาลัยครูทั่วประเทศ
จึงมีผลทำให้วิทยาลัยครู เปล่ียนช่ือใหม่เป็น สถาบันราชภัฏตั้งบัดนัน คร้ันต่อมาเม่ือวันท่ี 6 มีนาคม พ.ศ.
2538 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระมหา
กรุณาธิคุณต่อชาวราชภัฏเป็นล้นพ้นด้วยทรงพระเมตตา ทรงพระกรุณาโปรดกล้าฯ พระราชทานพระราช
ลัญจกรประจำพระองค์ให้เป็น “สัญลักษณ์ประจำสถาบันราชภัฏ” นับเป็นมหาสิริมงคลอันควรท่ีชาวราชภัฏ
ทั้งมวลจักได้ภาคภูมิใจ และพร้อมใจกันปฏิบัติหน้าท่ีสนองพระมหากรุณาธิคุณให้เต็มความสามารถในอันท่ีจะ
พัฒนาสถาบันราชภัฏให้เป็น สถาบันอุดมศึกษาเพ่ือการพัฒนา ท้องถ่ิน มีวัตถุประสงค์ให้การศึกษาวิชาการ
และวิชาชีพช้ันสูง ทำการวิจัย ให้บริการทางวิชาการแก่สังคม ปรับปรุง ถ่ายทอดและพัฒนาเทคโนโลยี
ทะนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ผลิตครูและส่งเสริมวิทยฐานะครู และทำให้สถาบันราชภัฏ เปิดทำการสอนในาขา
วิชาอื่นๆ นอกจากสาขาการศกึ ษาตั้งแตน่ นั้ มา

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2540 นายสุขวิช รังสิตพลรฐั มนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขณะน้ัน ได้
อนุมัติให้จัดตั้งสถาบันราชภัฏเพิ่มข้ึนจำนวน 5 แห่งตามโครงการ 1 ใน 5 โครงการสถาบันราชภัฏเพิ่มใน

2

ระยะแรก โดยได้รับการจัดตั้งข้ึนเพื่อตอบสนองความต้องการและกระจายโอกาสทางการศึกษาของประชากร
ในระดับภูมิภาค ได้แก่ สถาบันราชภัฏชัยภูมิ สถาบันราชภัฏศรีสะเกษ สถาบันราชภัฏนครพนม สถาบันราช
ภฏั กาฬสินธ์ุ สถาบันราชภฏั รอ้ ยเอ็ด

วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2547 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
บรมนาถบพิตร ทรงลงพระปรมาภิไธย พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 และประกาศในราช
กิจจานุเบกษา เม่ือวันท่ี 14 มิถุนายน พ.ศ. 2547 ส่งผลให้สถาบันราชภัฏท่ัวประเทศ ได้รับการยกฐานะและ
ปรับเปล่ียนสถานภาพเป็น “มหาวิทยาลัยราชภัฏ” ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา และมี
ภารกิจและปณิธานตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 ตามมาตรา 7 พระราชบัญญัติ
มหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 ว่า “ให้มหาวิทยาลัยเป็นสถาบันอุดมศึกษา เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นที่
เสรมิ สร้างพลงั ปัญญาของแผ่นดิน ฟื้นฟูพลังการเรียนรู้ เชิดชูภมู ปิ ัญญาของท้องถ่นิ สรา้ งสรรค์ ศลิ ปวทิ ยา เพ่ือ
ความเจรญิ ก้าวหน้าอย่างมั่นคงและย่ังยืนของปวงชน มีสว่ นร่วมในการจัดการ การบำรุงรกั ษาการใช้ประโยชน์
จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล และยั่งยืน โดยมีวัตถุประสงค์ให้การศึกษา ส่ งเสริม
วิชาการและวิชาชีพช้ันสูง ทำการสอน วิจัย ให้บริการทางวิชาการแก่สังคม ปรับปรุง ถ่ายทอดและพัฒนา
เทคโนโลยี ทะนุบำรงุ ศลิ ปะและวฒั นธรรม ผลิตครูและสง่ เสริมวทิ ยฐานะครู

วนั ราชภฏั

ทุกวันท่ี 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็น “วันราชภัฏ” สืบเน่ืองจาก วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2535
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมพิ ลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ พระราชทานนาม สถาบันราชภัฏ แก่วิทยาลัยครูทั่วประเทศ และได้มีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรด
กระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้อัญเชิญตราพระราชลัญจกรส่วนพระองค์ เป็นตราประจำ
มหาวิทยาลัยราชภฏั นับเป็นพระมหากรณุ าธิคณุ ล้นเกล้าลน้ กระหมอ่ มหาทีส่ ุดมิได้ เป็นส่งิ ที่นำความภาคภูมใิ จ
สูงสุดมาสู่ชาวมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศซึ่งชาวมหาวิทยาลัยราชภัฏ ในฐานะสถาบันอุดมศึกษาเพ่ือการ
พัฒนาท้องถิ่น สมควรจะเทิดพระมหากรุณาธิคุณนี้ไว้เหนือเกล้าและจงรักภักดีด้วยการตั้งปณิธานท่ีจะ
ประพฤติ และปฏิบัตหิ น้าทเ่ี จริญรอยตามเบอ้ื งพระยุคลบาท ในการพัฒนาประเทศและบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่
พ่ีน้อง ประชาชนชาวไทย ดังน้ัน วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ถือว่าเป็นวันราชภัฏ ซึ่งชาวมหาวิทยาลัย และถือเป็น
การสถาปนามหาวิทยาลยั ราชภฏั ด้วยเชน่ กนั

3

คำว่า “ราชภัฏ” ให้ความหมายท่ีกนิ ใจความวา่ “คนของพระราชา…ข้าของแผน่ ดนิ ” หากตคี วามตาม
ความรู้สึกยิ่งกินใจและตีความได้กว้างขวางย่ิงขึ้นไปอีกน่ันก็คือ “การถวายงานประดุจข้าราชบริพารที่รับใช้
ใกล้ชิดเบ้ืองพระยุคลบาทที่ต้องถวายงานอย่างสุดความสามารถ สุดชีวิต และสุดจิตสุดใจ” ซึ่งการเป็นคนของ
ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทย่อมเป็นข้าของแผ่นดินอีกด้วย เนื่องจากว่าใต้ฝ่าละอองธลุ ีพระบาทผู้เป็นม่ิงขวัญของ
พวกเราชาวราชภฏั ทรงเป็นแบบอย่างการทรงงานเพื่อบ้านเมอื ง และแผ่นดินอยา่ งทีม่ เิ คยทรงหยดุ พกั แมเ้ พยี ง
นิด แม้ยามที่ทรงประชวรก็ไม่เคยหยุดทรงงาน เพื่อความสุขของปวงชนชาวสยามของพระองค์นั้นเองด้วย
เหตุผลเหล่าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจึงได้พระราชทานพระราชลัญจกร อันเป็นเครื่องประกอบพระราชอิศริ
ยยศ พระราชอศิ รยิ ศักดิ์ ลงมาเปน็ ตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยราชภฏั ประหน่ึงเครอ่ื งเตือนความทรงจำ
ว่าพวกเราชาวราชภัฏคอื “คนของพระราชา และขา้ ของแผน่ ดนิ ”

เน่ืองในวันราชภัฎ ในทุกๆ มหาวิทยาลัยราชภัฎท่ัวประเทศ จึงได้จัดกรรมต่างๆ ขึ้นอาทิ การทำบุญ
ตักบาตร การจัดนิทรรศการ การเสวนาทางวิชาการ และการมอบรางวัลต่างๆ เป็นต้น ซ่ึงเป็นกิจกรรมที่ดีต่อ
การสนับสนุนอุดมการณ์ของ “ชาวราชภัฎ” หน่ึงในรอบปีมีวาระสำคัญอย่างย่ิงท่ีพวกเราเลือดราชภัฎจะถือ
โอกาสในการทำงานเพื่อสนองแนวทางพระราชดำริสืบต่อพระราชปณิธานและสืบสานพระราชประสงค์
เหมาะสมกับการเป็น “ข้ารองพระยุคลบาทยิ่ง” และอย่างให้ชาวราชภัฏทุกท่านสำนึกอยู่เสมอว่า “มีหน้าที่
อทุ ิศตนทำงานทุกอยา่ ง เพื่อเปน็ บทพิสูจน์ความจงรักภักดิ์ดี และเทิดทูนใต้ฝ่าละอองธุรีพระบาท และล้นเกล้า
ล้นกระหม่อมทุกๆ พระองค์อย่างหาที่สุดมิได้ สำคัญนักเรียน นักศึกษา ครู คณาจารย์ เจ้าหน้าท่ี พวกเราชาว
ราชภัฏต้องเทดิ ทูนไว้เหนือเกลา้ เกศี ดว้ ยการปฏิบตั ิทกึ ภาระกิจท่ีไดร้ บั มอบหมายประหน่งึ ทำถวายใตฝ้ ่าละออง
ธลุ ีพระบาทในทกุ กรณี เพราะพวกเราชาวราชภฎั คือ “คนของพระราชา ข้าของแผน่ ดนิ ”

ปัจจุบันนี้มีมหาวิทยาลัยในกลุ่มของราชภัฏบางแห่งได้เปลี่ยนแปลงสถานะภาพหรือแปรสภาพไปเช่น
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครพนมได้ควบรวมเข้าเป็นส่วนหน่ึงของ มหาวิทยาลัยนครพนม เมื่อวันท่ี 2 กันยายน
พ.ศ. 2548 มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสวนดุสติ ได้แปรสภาพเป็นมหาวทิ ยาลยั ในกำกับของรัฐบาลและเปล่ียนชื่อเป็น
มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เม่ือวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 และมหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธ์ุได้ควบรวมเข้า
เปน็ ส่วนหน่งึ ของ มหาวทิ ยาลยั กาฬสินธ์ุ เมื่อวนั ที่ 9 กนั ยายน พ.ศ. 2558

2. ประวตั คิ วามเป็นมาของมหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเชียงใหม่

มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้พัฒนามาจากโรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมประจำมณฑลพายัพ ซ่ึง
สถาปนาข้ึนเมื่อ พ.ศ.2467 โดยได้มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยน สถาบันมาโดยลำดับ เปน็ ระยะเวลากว่า 96 ปี
มาแล้วดงั รายละเอียดประวัตคิ วามเป็นมาทพ่ี อจะรวบรวมได้ ดงั น้ี

4

โรงเรียนฝึกหดั ครูกสกิ รรมประจำมณฑลพายัพ จังหวัดเชียงใหม่

เม่ือปี พ.ศ.2466 มหาเสวกโท พระยาสุรบดินทร์สุรินทรภาไชย (อุปราช) อำมาตย์เอกพระยาพายัพ
พิริยะกิจ (สุมหเทศาภิบาล) และอำมาตย์ตรีหลวงวิสณห์ดรุณการ (ศึกษาธิการ มณฑลพายัพ) ได้ร่วมกันเพื่อ
เตรียมการจัดต้ังโรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมประจำมณฑลพายัพข้ึนตามแนวคิดหลักของกระทรวงธรรมการใน
ขณะนั้น จึงได้ซื้อท่ีดินด้วยเงินรายได้ของโรงเรียนรัฐบาลประจำมณฑลพายัพ ที่บ้านเวียงบัว ตำบลช้างเผือก
อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 1 แปลง มีเนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ พร้อมด้วยเรือนไม้ 1 หลัง เป็นเงิน
318.75 บาท เพ่ือเตรียมจัดตั้งโรงเรียน และต่อมาในปี พ.ศ.2467 นายร้อยเอกเจ้าราชภาติกวงษ์ เสนาวัง
จงั หวดั เชียงใหม่ (ยศขณะนน้ั - ต่อมาไดเ้ ล่อื นเป็นนายพันตรีเจา้ ราชภาตกิ วงษ์ นามเดิมคอื คำตนั ณ เชยี งใหม่)
ไดย้ กที่ดินด้านเหนอื ของ บริเวณที่ซอ้ื ไวเ้ ดมิ พน้ื ทปี่ ระมาณ 40 ไร่ (แต่ตามใบบอกของมณฑลพายัพว่ามี 5 ไร่ 3
งาน 49 ตารางวา) ให้แก่ มณฑลพายัพเพ่ือรวมเป็นพ้ืนที่จัดต้ังโรงเรียน เม่ือได้สถานที่พอที่จะดำเนินการได้
หลวงวิสณห์ดรุณการศึกษาธิการมณฑล ก็ดำริทจ่ี ะให้นายบุญนาค ฉิมพะลีย์ ป.ก. ครูใหญ่โรงเรียนฮ่ัวเอง (ร.ร.
ราษฏร์) มาเป็นครูใหญ่ ได้เรียนเสนอไปถึงปลัดกรมบัญชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (ตามหนังสือลงวันที่ 5
กรกฏาคม 2466) แต่ทางกระทรวงได้มีคำสั่งมาว่าเห็นควรถอนเอา นายชื่น สิโรรส ผู้สอบไล่ได้ ป.ป.ก.เมื่อ
พ.ศ.2463 ทเี่ ป็นศึกษาธิการอำเภอแมร่ ิมอยู่ในขณะน้ันมาเปน็ ครูใหญ่ และมณฑลได้จัดหานายอุ่นเรอื น ฟองศรี
ป.ป.ก. และนายสงิ ห์คำ สวุ รรณโสภณ ป.ก. มาเปน็ ครนู อ้ ย แต่จากปากคำของนายชื่น สโิ รรสไดก้ ล่าวว่า มนี าย
สนิท ศริ เิ ผา่ ซ่ึงเรยี น ป.ป.ก. มาดว้ ยกนั อกี คนหนึง่

หลังจากเตรียมสถานท่ีต้ังและเตรียมครูไว้เรียบร้อยแล้วอำมาตย์เอกพระยาพายัพพิริยะกิจ
สมุหเทศาภิบาลมณ ฑลพายัพ ได้มีหนังสือถึงจางวางเอกเจ้าพระยาธรรมศักด์ิมนตรี เสนาบดี
กระทรวงศึกษาธิการลงวันท่ี 1 พฤษภาคม 2467 ความว่า ได้จัดเตรียมที่ดินกำหนดวนั เปิดรับนักเรียนและวัน
เปดิ ทำการสอนไว้ เรยี บร้อยแล้ว ขอให้กระทรวงส่งอำมาตย์เอกพระยาเทพศาสตรส์ ถติ ย์ อาจารย์ใหญ่โรงเรยี น
ฝึกหัดครูกสิกรรม ไปตรวจดู สถานท่ีและวางระเบียบการของโรงเรียนต่อไปแต่พระยาเทพศาสตร์สถิตย์ติด
ราชการต้องไปภาคใต้และทาง กระทรวงกเ็ ห็นว่ายังไม่เร่งรอ้ นนัก ขอให้ครูท่ีเตรียมไว้นัน้ จดั เทียบหลักสูตรและ
ดำเนินการตามอย่างท่ี โรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมนครปฐม ดำเนินการไปพลางก่อน ดังนั้น ในตอนแรก
โรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมประจำมณฑลพายัพ ซ่ึงมี นายช่ืน สิโรรส เป็นครูใหญ่จึงได้ ลงมือปลูกสร้างอาคาร
หนึ่งหลัง เพื่อเป็นท้ังห้องเรียนและหอนอน ลักษณะอาคารเป็นเรือนไม้ไผ่ชั่วคราว พร้อมท้ังโรงอาหาร
เร่ิมก่อสร้างเม่ือวันท่ี 1 เมษายน 2467 ด้วยเงินทุนท่ียืมมาจากเงินรายได้ ของโรงเรียน รัฐบาลประจำมณฑล
พายัพ (ปัจจุบันคือโรงเรียนยุพราชวิทยาลัยและโรงเรียนวฒั โนทัยพายัพ) เพียง 60 บาท การปลูกสร้างได้แล้ว
เสร็จเม่ือวันที่ 5 มิถนุ ายน 2467 แตก่ ็ไดเ้ ปดิ รับนักเรยี นเขา้ อยู่ประจำตามกำหนด คอื วันที่ 1 พฤษภาคม 2467

5

จากปากคำของนายชื่น สิโรรส กล่าวว่าไดแ้ รงงานจากนกั เรียนและครูช่วยกันจึงได้เสร็จ และได้เรม่ิ ทำการสอน
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2467 นักเรียนรุ่นแรกตามหลักฐานแล้วมีอยู่ 28 คน คัดเลือกมาเรียนจากจังหวัด
เชียงราย 6 คน จังหวัดลำพูน 5 คน จังหวัดแม่ฮ่องสอน 1 คนและจังหวัดเชียงใหม่ 16 คน การคัดเลือก
นักเรยี นได้ยึดตามระเบียบการของโรงเรียนกสิกรรมส่วนกลาง เมื่อนักเรียนได้เรียนจบหลักสูตรและสอบไล่ได้
แล้วนั้น ทางมณฑลจะดำเนินการ ดงั น้ี "...จะตั้งเงินเดือนในฝ่ายเงินศึกษาพลีให้ขัน้ ต้นเดือนละ 25 บาท ในเมื่อ
ทำการสอน โรงเรียนประชาบาลท่ีนายอำเภอต้ัง แต่ถ้าสอบตกสมัครออกทำการสอนเงินเดือนจะพิจารณาให้
ตามสมควรแก่วุฒิและความสามารถ หรือจะไม่ทำการสอนจะไปทำกินของตนเองก็ได้ ผู้ใดเรียนก็ได้ จะ
คัดเลือกส่งไปเรยี นที่จังหวัดนครปฐมต่อไปอีก ในเม่อื ตนสมัครนักเรยี นอยใู่ นท้องทจ่ี งั หวัดใด ต้องออกไปทำการ
สอนในจังหวัดนั้น จะเปน็ ตำบลใดก็ได้ นอกจากตำบลทีต่ นอยู่ใกล้ชดิ กับจงั หวัดอ่นื ในมณฑลเดียวกันจะไปสอน
ในตำบลของจังหวัดนั้นก็ได้แต่ท่ี สะดวกซึ่งเป็นความมุ่งหมายทางราชการนั้น นักเรียนตำบลใดก็กลับไปสอน
ตำบลน้ัน เมื่อเป็นครูแล้วสัก 3-5 ปี มีความสันทัดในการทำงานด้านการเพาะปลูกมากข้ึน มีอายุมากขึ้น
มีทุนรอนพอจะต้ังตัวได้ หากจะขอลาออกจากครูไปเป็นชาวนาชาวสวน ก็จะได้เป็นตวั อย่างแก่ชาวนาชาวสวน
ไทยทั่วไป"

โรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมประจำมณฑลพายัพไดเ้ ริ่มมีหลักสูตรและจัดการเรยี นการสอนตามแนวของ
โรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมอย่างแท้จริงในปี พ.ศ. 2468 โดยได้เปิดสอนตามหลักสูตรครูมูลกสิกรรมขึ้น ต่อมา
ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2468 ได้ซื้อท่ีดินเพิ่มเติมอีก 3 แปลงเป็นท่ีสวนเก่าติดกับเนื้อท่ีของโรงเรียนทางด้าน
ตะวันออก มีเน้ือที่ประมาณ 10 ไร่ และเป็นท่ีนาอีกประมาณ 5 ไร่ ราคารวมท้ังค่าธรรมเนียมการซ้ือขายเป็น
เงิน 370.24 บาท แต่ยังไม่มีตัวอาคารเรียนท่ีเป็นเรือนถาวรเกิดขึ้น จำนวนนักเรียนลดลงเหลือเพียง 22 คน
เท่าน้ัน การศึกษายังคงเน้นหนักให้ผู้เรียนปฏิบัติงานกสิกรรมอย่างจริงจังเร่ือยมา ทำให้มีผลผลิตทาง
การเกษตรออกจำหน่ายแก่ประชาชนทั่วไปเปน็ ประจำ

โรงเรียนฝึกหดั ครูประกาศนยี บัตร มณฑลพายัพ

เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในขณะน้ัน ในปี พ.ศ.2470 มณฑลพายัพจึงได้รวมเอาการ
ฝึกหัดครู สามัญช้ันต่ำ ประจำมณฑลแผนกชายซ่ึงอยู่ท่ีโรงเรียนประจำมณฑล (ปัจจุบัน คือ โรงเรียนยุพราช
วิทยาลัย) มาไว้ท่ีโรงเรียนฝึกครูกสิกรรมประจำมณฑลท่ีตำบลช้างเผือกแห่งน้ี ทางราชการได้แต่งตั้งให้หลวง
พิพัฒน์คุรุกิจมาดำรงตำแหน่งครูใหญ่ และเปล่ียนชื่อใหม่เรียกว่า "โรงเรียนฝึกหัดครูประกาศนียบัตรมณฑล
พายัพ" แต่ นกั เรยี นทั้งหมดก็ยงั เปน็ ชายและสอนเน้นหนกั ด้านการเกษตรเหมือนเดมิ จงึ ทำให้คนทั่วไปเรยี กกัน
ติดปากว่า "โรงเรียนกสิกรรมช้างเผือก" กิจกรรมของโรงเรียนที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เข้าใจได้ชัดเจนว่า

6

ยังจัดการเรียนการสอนเน้นด้านกสิกรรมอยู่ก็คือการจัดงานประจำปีของโรงเรียนที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นที่มาของ
การจดั งานฤดูหนาวประจำปีของจังหวดั เชียงใหมใ่ นปจั จุบนั ดังปรากฏในหลักฐานแจง้ ความออกรา้ น "งานสวน"

หลวงพิพัฒน์คุรุกิจดำรงตำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนฝึกหัดครูประกาศนียบัตรมณฑลพายัพอยู่ จนถึง
พ.ศ.2480 จึงได้เกษียณอายุราชการ สภาพการจัดการเรียนการสอนสมัยน้ันยังคงเป็นการผลิตครูทั้งสายครู
สามัญและสายครูกสิกรรมควบคู่กันไป อาคารเรียน บ้านพักครูสำเร็จข้ึนด้วยฝีมือของนักเรียนและครูช่วยกัน
ปลูกสรา้ งโรงเรียนเองกไ็ ด้เจรญิ ก้าวหน้าขึ้นเปน็ ลำดบั เป็นท่ีรู้จักกนั โดยทั่วไปทั้งมณฑลพายัพและ ท่ัวภาคเหนือ
มีนักเรียนจากจังหวัดต่าง ๆ เช่น ลำพูน ลำปาง เชียงราย แพร่ น่าน แม่ฮ่องสอน และเชียงใหม่เข้าศึกษาเป็น
จำนวนมาก ทางราชการก็เร่ิมเห็นความสำคัญของการฝึกหัดครูมากข้ึน โดยได้สร้างอาคารเรียนข้ึนเป็นเรือน
ถาวรหลังหนึ่ง ตามบันทึกในจดหมายเหตุรายวันของโรงเรียนซึ่งขุนอภิรักษ์จรรยา ศึกษาธิการจังหวัดใน
ขณะนั้นบันทึกไว้เมื่อวันท่ี 3 กรกฎาคม 2480 ว่า "ได้มาดูสถานท่ีเห็นว่าที่ทำงานครูใหญ่ ห้องเรียน ปลูก
กำมะลอมาเป็นเวลาหลายปีแล้วจะได้พยายามปลูกสร้างหอนอนข้ึนสักหลังหน่ึง โดยใช้ช้ันล่างเป็นห้องเรียน
เพื่อให้สมแก่ฐานะของโรงเรียนจะได้นำหารือท่านข้าหลวงประจำจังหวัดต่อไป" แต่การปลูกสร้างยังไม่ทันได้
เริ่มในสมัยของหลวงพิพัฒน์คุรุกิจ เมื่อนายสนิท ศิริเผ่า ซ่ึงได้ย้ายไปช่วยก่อต้ังโรงเรียนกสิกรรมที่อำเภอสัน
ทรายเชียงใหม่ เม่ือปี พ.ศ.2477 ได้ยา้ ยกลับมาเป็นครใู หญ่สืบต่อเม่ือ พ.ศ.2480 จงึ ได้เริ่มปลูกสร้างเป็นเรือน
ไม้สองชั้นฐานคอนกรีต หันหน้าไปทางทิศตะวันตก (ซึง่ ยังใช้อยู่จนถึง พ.ศ. 2513 จึง ได้ร้ือและได้สร้างอาคาร
1 ขึน้ ในสถานทเ่ี ดิม)

โรงเรียนฝกึ หัดครูมูล จงั หวดั เชียงใหม่

นายสนทิ ศริ ิเผา่ ได้ลาออกจากตำแหนง่ ครใู หญ่ เมอ่ื พ.ศ.2484 นายเปรม ปรมศิริ ได้เป็นผู้รักษาการ
แทนต่อมา จนถึงวันท่ี 1 กรกฎาคม 2485 ทางราชการได้แต่งต้ังให้ นายทวี โปราณานนท์ มาดำรงตำแหน่ง
ครูใหญ่ตรี ในปีการศึกษา 2485 น้ี กระทรวงศึกษาธิการได้ปรับปรุงโรงเรียนฝึกหัดครูประกาศนียบัตรมณฑล
พายัพ โดยได้เน้นการผลิตครูในสายสามัญให้มากย่ิงข้ึนเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนครูสายสามัญของมณฑล
โดยแยก การผลิตครูออกเป็นสามประเภท คือ ฝึกหัดครูมูลสามัญ ฝึกหัดครูประกาศนียบัตรจังหวดั และฝึกหัด
ครูมูลสามัญ ฝึกหัดครูประกาศนียบัตรจงั หวัดและฝกึ หดั ครูประชาบาล เรียกชื่อใหม่เป็น "โรงเรยี นฝึกหัดครมู ูล
จังหวัด เชียงใหม"่ ในตอนน้ีก็ยังมีนกั เรียนอยเู่ พียง 74 คน และยังคงรับนกั เรยี นประจำชายมาจากทุกจังหวดั ใน
ภาคเหนือ ความจำเป็นในด้านที่อยู่อาศยั ก็เกิดข้ึน เรือนไม้บั่วมุงใบตองตงึ ท่ีปลูกสร้างมาแต่ พ.ศ.2467 ก็ผุพัง
ไปตามกาลเวลา โรงเรียนได้ของบประมาณปลูกสร้างหอนอนขึ้นหนึ่งหลัง ในปี พ.ศ. 2490 ซ่ึงเป็นอาคาร

7

หอนอนท่ี ทันสมัยมากในสมัยน้ัน เป็นอาคารสองช้ันเรือนไม้ จุนักเรียนได้ประมาณ 60 คน ( ครูและนักเรียน
รุน่ เก่าเรยี ก กันตดิ ปากวา่ "หอ 90" (ปจั จุบนั ถกู รื้อไปแลว้ และสร้างอาคารยิมเนเซียมข้นึ ในบริเวณเดียวกนั )

โรงเรียนฝกึ หัดครูเชยี งใหม่

ในสมัยครูใหญ่ ทวี โปราณานนท์ ปีการศึกษา 2490 ได้เปล่ียนชื่อโรงเรียนเสียใหม่เพ่ือให้สอดคล้อง
กับงานผลติ ครูท่ีดำเนินการอยโู่ ดยเรียกวา่ "โรงเรยี นฝึกหัดครูเชียงใหม่" และเริ่มใช้สดี ำและเหลืองเปน็ สีประจำ
โรงเรียนใช้สัญลักษณ์ "พระพิฆเนศวร์เทพเจ้าแห่งปัญญา" และได้หล่อรูปพระพิฆเนศวร์นั่งบนแท่นไว้เป็น
เครื่องสักการะแก่ครูและนักเรียนของโรงเรียน ใช้คติพจน์ประจำโรงเรียนว่า "นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา" ซึ่ง
แปลว่า "ไม่มแี สงสวา่ งใดเสมอดว้ ยปัญญา" เปน็ คตพิ จน์ประจำโรงเรยี น

ต่อมาในปี พ.ศ. 2498 โรงเรียนฝึกหัดครูเชียงใหม่ได้เริ่มใช้หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาการศึกษา
(ป.กศ.) เปน็ ปแี รก และได้ใช้หลักสูตรนี้มาจนถึง พ.ศ.2521 จึงได้งดสอนไป ในปีการศึกษา 2499 ได้รวมแผนก
ฝกึ หัดครูสตรี ของโรงเรยี นสตรีประจำจังหวัดเชียงใหม่ (โรงเรียนสตรี วัฒโนทยั พายพั ) และรวมแผนกฝกึ หัดครู
การเรือนของโรงเรียนคำเที่ยงอนุสรณ์ มาจัดเป็นโรงเรียนฝึกหัดครูแบบสหศึกษา แต่ยังเรียก "โรงเรียนฝึกหัด
ครเู ชียงใหม"่ เหมอื นเดิม

โรงเรียนฝึกหัดครูเชียงใหม่ เป็นท่ีนิยมแก่ชาวภาคเหนืออย่างยิ่ง โดยได้ส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนเป็น
จำนวนมาก ซ่ึงตามสถิติในปี พ.ศ.2493 อันเป็นปีท่ีนายทวี โปราณานนท์ ได้ขอย้ายไปโรงเรียนฝึกหัดครูบ้าน
สมเด็จเจ้า พระยานั้น มีนักเรียนประจำชายถึง 147 คน กล่าวกันว่ามีจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ และในปี
เดยี วกันนี้เองทางราชการกไ็ ด้แตง่ ตั้งให้ นายประยทุ ธ สวัสดิสิงห์เป็นครูใหญ่ของโรงเรียนสืบตอ่ มา ในระหวา่ งนี้
ได้มีการปรับปรุงดา้ นอาคารสถานที่อยา่ งใหญห่ ลวงโรงเรยี นฝึกหัดครเู ชียงใหม่ ได้มหี อนอน ชายเพิ่มข้ึนอกี หน่ึง
หลังขน้ึ มาเคียงคู่กับหอนอนหลงั เดิมในลักษณะเดยี วกัน ในปี 2495 เรียกกนั ต่อมาวา่ "หอ 95" ปจั จบุ ันร้อื ถอน
ไปแล้วอยู่บริเวณอาคาร 15 ชั้น ได้ปลูกสร้างโรงอาหารที่ทันสมัย แทนโรงอาหารโรงครัวเก่า ที่ทำด้วยไม้ไผ่
หลังคามุงตองตึง (ปัจจุบันเป็นลาดจอดรถจักรยานยนต์) มีบ้านพักครูท่ีเป็นเรือนไม้เกิดข้ึนอีก 3 หลัง ได้สร้าง
ร้ัวไม้ถาวรฐานคอนกรีตด้านหน้าโรงเรียนแทนร้ัวลวดหนาม (ปัจจุบันรื้อและสร้างร้ัวใหม่ตาม โครงการขยาย
ถนนโชตนาของทางจังหวัด) มีห้องส้วมห้องน้ำที่สะอาดสะอ้านและเพียงพอกับจำนวนนักเรียน และสร้างโรง
ฝึกงานด้านหัตถกรรมด้วย ในปีการศึกษา 2496 นายประยุทธ สวัสดิสิงห์ ครูใหญ่ได้ย้ายไปรับราชการประจำ
กรมการฝึกหัดครูเพ่ือไป ศึกษาดูงาน ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ทางราชการได้ส่ังให้ นายพิษณุ ชัชวาลย์ปรีชา
มาเปน็ ครูใหญ่สบื แทน ในปีการศึกษาน้ี โรงเรยี นฝึกหัดครูเชียงใหม่ไดเ้ ริ่มจัดสอนตามหลักสูตรประกาศนียบัตร
ประโยคครูประถม (ป.ป.) เปน็ รนุ่ แรก มีนักเรียนจากสว่ นกลางคดั เลอื กมาเรียน 36 คน ทงั้ น้ีตามความตอ้ งการ

8

ของกรมประชาศึกษา (ปัจจุบัน คือ กรมสามัญศึกษา) และยงั มีนักเรยี นในท้องถ่ินภาคเหนือมาเรียนอีกจำนวน
หนง่ึ มีครอู ยถู่ งึ 6 คน นับเปน็ ความภาคภูมิใจอยา่ งยงิ่ นับแตไ่ ดส้ ถาปนาโรงเรยี นน้เี ปน็ ต้นมา

วทิ ยาลัยครูเชียงใหม่

ในปีการศึกษา 2502 นายพิษณุ ชัชวาลย์ปรีชา ครูใหญ่โรงเรียนฝึกหัดครูเชียงใหม่ได้ย้ายไปรับ
ราชการที่กรงุ เทพฯ และนายศริ ิ ศุขกิจ ได้ย้ายมาเปน็ หัวหนา้ สถานศึกษาแหง่ น้ีแทน และเรียกตำแหนง่ นี้ใหม่ว่า
"อาจารย์ใหญ่" ทงั้ นีเ้ พราะได้เตรียมการยกฐานะของโรงเรียนให้เปดิ ถึงข้ันประกาศนยี บัตรวชิ าการศึกษา ช้ันสูง
(ป.กศ. สูง) ซ่ึงเทียบเท่ากับประโยคครูมัธยมเดิมและอนุปริญญา และเรยี กช่ือสถานศึกษาใหม่ว่า "วิทยาลัยครู
เชียงใหม่" ในปีการศึกษา 2503 และในปีการศึกษา 2503 นี้ วิทยาลัยครูเชียงใหม่ได้เริ่มงาน ตามโครงการ
ฝกึ หัดครูชนบท โดยได้ส่งนักศึกษาใน ระดับ ป.กศ. ออกฝึกสอนในโรงเรียนประถมศึกษา 5 โรงเรียน ในท้องที่
อำเภอสันป่าตอง จังหวดั เชียงใหม่ ซึง่ การน้ีได้รับความช่ืนชมจากชาวจังหวัดเชียงใหมอ่ ย่างยิ่ง ชาวบ้านหวังอยู่
เสมอว่าวทิ ยาลยั ครจู ะสง่ นกั ศึกษาไป ฝึกสอนในโรงเรยี นในทอ้ งถนิ่ ของตนบ้าง

ทางด้านผู้บริหารในช่วงนี้ นางบุญฉวี พรหโมปกรณ์กิจ ได้ย้ายม าเป็นอาจารย์ใหญ่อยู่ปีหน่ึง
(พ.ศ.2506- 2507) จากน้ัน นายศิริ ศุขกิจ ก็ย้ายกลับมาเป็นอาจารย์ใหญ่อีกหน่ึงปี (พ.ศ. 2507-2508) ก่อนท่ี
จะเกษียณอายุราชการ ระหว่างท่ีรออาจารย์ใหญ่คนใหม่ ทางราชการได้มอบหมายให้ นางประชุมพร อมาตย
กุล เป็นผู้รักษาราชการแทนอาจารย์ใหญ่และในช่วงปีการศึกษา 2508 นี้ ทางราชการได้ยกระดับผู้บริหารขึ้น
ถึงช้ันพิเศษ และ เรียกตำแหน่งผู้บริหารวา่ "ผู้อำนวยการ" ผู้อำนวยการท่านแรกของวิทยาลัยครูเชียงใหม่ คือ
นายประสิทธิ์ สุนทโรทก ซ่ึงเข้ามารับตำแหน่งตั้งแต่ พ.ศ.2509 การผลิตครูตามหลักสูตรประกาศนียบัตร
ประโยคครูประถม (ป.ป.) ซ่ึงเดิมรับจากนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 6 (ม.6) มาเรียนต่ออีก 3 ปี และได้ยุติการผลิต
หลักสูตรนี้ไปพักหน่ึงน้ัน เมื่อได้รับนโยบายการเรง่ รัดผลิตครู วิทยาลัยครูหลายแห่งก็เริ่มนำหลักสูตรนี้มาผลิต
อีกครั้งหนึ่ง วิทยาลัยครูเชียงใหม่ได้รับนักเรียนมัธยมศึกษา ปีท่ี 5 (ม.ศ.5) มาเข้าเรียนหลักสูตรนี้ โดยปรับ
เน้ือหาและระยะเวลาการอบรมให้เหลือเพียง 1 ปีการศึกษา โดย เร่ิมในปีการศึกษา 2511 แต่ก็เลิกไปในปี
การศึกษา 2517 และด้วยเหตุผลในการเร่งรัดผลิตครูดังกล่าวข้างต้น ในปีการศึกษา 2512 วิทยาลัยครู
เชียงใหม่จึงได้เปิดสอน นักศึกษาภาคนอกเวลา ซึ่งนิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า "นักศึกษาภาคค่ำ" แต่ต่อมา
กำหนดเรียกเป็นทางการว่า "นักศึกษาภาคสมทบ" ทั้งนี้เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลสองประการคือ
การขาดแคลนครูในท้องถิ่น ชนบทประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งคือ การท่ีนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ
ปีท่ี 5 ไม่มีท่ีเรียน และเม่ือ นโยบายดังกล่าวได้ผลดีเกินความคาดหมายจึงได้เลิกผลิตหลักสูตร ป.กศ. ภาค
สมทบไปเมื่อ พ.ศ.2519 และเลิก หลักสูตร ป.กศ. ช้ันสูง ภาคสมทบ เมื่อ พ.ศ. 2522 ในปี พ.ศ. 2515

9

นายประสิทธ์ิ สุนทโรทก ผู้อำนวยการได้ย้ายเข้าไปรับตำแหน่งอธิบดีกรมการฝึกหัดครู ทางราชการได้แต่งตั้ง
ให้ นางสาวบุญจนั ทร์ วงศ์รักมิตร เป็นผู้อำนวยการสืบตอ่ มา ในปีการศกึ ษา 2517 วิทยาลัยครูเชียงใหม่ได้เปิด
สอนระดับปริญญาตรี โดยใช้หลักสูตรของวิทยาลัยวิชาการ ศึกษา 3 วิชาเอก คือ ภาษาอังกฤษ เคมี และ
วิทยาศาสตร์ท่ัวไป โดยมุ่งหวังว่าจะให้ได้รับวุฒิประกาศนียบัตร ประโยคครูอุดมศึกษา (ป.อ.) แต่ก็ได้เลิกไป
เมอื่ พ.ศ.2518 เมื่อมกี ารประกาศใช้ " พระราชบญั ญตั ิวทิ ยาลัยครู พ.ศ. 2518 "

โดยท่ีกำหนดให้การบริหารงานของวิทยาลัยครูทุกแห่งข้ึนอยู่กับ "สภาการฝึกหัดครู" และได้
กำหนดให้เรียกชื่อผู้บริหารเป็น "อธิการ" จึงนับได้ว่า นางสาวบุญจันทร์ วงศ์รักมิตร เป็นอธิการคนแรกของ
วทิ ยาลัยครูเชียงใหม่ ในปีต่อมาสภาการฝึกหัดครูได้ประกาศใช้ " หลักสูตรการฝึกหัดครูของสภาการฝึกหัดครู
พ.ศ.2519 " โดย แบ่งการศกึ ษาออกเป็นสองระดับคือ ระดับ ป.กศ.ช้ันสูง และระดับ ค.บ. (หลักสูตร 2 ปี) ซ่ึง
เป็นหลักสูตรท่ีต่อเน่ืองกัน วิทยาลัยได้เริ่มรับนักศึกษา ค.บ.2 ปี วิชาเอกภาษาไทย เป็นรุ่นแรกในปีการศึกษา
2520 และได้ปรับ หลักสูตรการเรียนการสอนของนักศึกษาปริญญาตรี 3 วิชาเอกที่ได้รับไว้ก่อนหน้านั้นให้
สำเรจ็ การศึกษาตาม หลักสตู ร ค.บ.ท่ีประกาศใชใ้ หม่น้ี ปีการศึกษา 2521 วิทยาลัยเปิดรับนักศกึ ษา ค.บ.อีก 3
วิชาเอก คือ เกษตรศาสตร์ สังคมศึกษา และคณิตศาสตร์ และตลอดระยะเวลาท่ีผ่านมาในช่วงนี้ แม้จะเปิด
สอนระดับ ค.บ. แล้วก็ตามวิทยาลัยก็ยังคงรับนักเรียน ม.ศ.3 และ ม.ศ.5 เข้าเรยี นในระดับ ป.กศ. และ ป.กศ.
ช้ันสูงอยู่ จนในปีการศึกษา 2522 จึงได้งดรับนักศึกษาตามหลักสูตร ป.กศ. (แต่มาเริ่มเปิดสอนใหม่ให้กับ
สำนักงานการประถมศึกษาเชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน ในปี 2527) ในปีการศึกษานี้ ได้ร่วมมือกับวิทยาลัยพล
ศึกษาเชียงใหม่ รับนักศึกษา ค.บ. (2 ปี) วิชาเอกพลศึกษา และร่วมมือกับสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัด
เชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน รวมทั้งหน่วยงานผู้ใช้ครูโดยท่ัวไปเปิดรับครูและบุคลากรทางการศึกษาเข้ารับการ
อบรมตาม "โครงการฝึกอบรมครู และบุคลากรทางการศึกษา (อคป.) " เพ่ือเป็นการปรับคุณภาพและวุฒิของ
ครูให้สูงข้ึน ให้ได้วุฒิ ค.บ. โดยใช้ หลักสูตร 2 ปี เป็นรุ่นแรก และได้เปิดรับรุ่นที่ 2 ในปีการศึกษา 2524
หลังจากทผี่ ้เู รยี นรนุ่ ท่ี 1 สำเรจ็ การศึกษาเรียบรอ้ ยแล้ว

ในด้านผู้บริหารนนั้ เม่ือนายวิเชียร เมนะเศวต ได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าท่ี
กรมการฝึกหัดครู ในปี พ.ศ.2528 อธิการคนต่อมา คือ รศ.ดร.มังกร ทองสุขดี ซ่ึงดำรงตำแหน่งจนถึงปี พ.ศ.
2534 ผศ.สายสมร สร้อยอินต๊ะ จึงได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิการ ซึ่งปี พ.ศ.2535 ได้เปลี่ยนการเรียกช่ือ
ผบู้ รหิ ารจาก "อธกิ าร" เป็น "อธิการบดี" จึงนับไดว้ ่า ผศ.สายสมร สร้อยอนิ ต๊ะ เป็นอธิการบดีคนแรก

10

สถาบนั ราชภัฏเชยี งใหม่

เม่ือวันท่ี 14 กุมภาพันธ์ 2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานนาม วิทยาลัยครูทั่วประเทศว่า "สถาบันราชภัฏ" แปลว่าผู้ท่ีอยู่ใกล้พระราชา แต่หลายท่านให้
ความหมายเป็นนัยว่า "นักปราชญ์ของพระราชา" โดยมีตราสัญลักษณ์ประจำสถาบันเป็นตราพระราชสัญจกร
ประจำพระองคข์ อง พระบามสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ฯ แต่ละสมี คี วามหมายดังนี้

สนี ้ำเงนิ แทนสถาบนั พระมหากษัตริย์
สเี ขียว แทนแหล่งทตี่ ้ังของสถาบนั 36 แห่ง ที่อยู่ในแหลง่ ธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อมท่สี วยงาม
สีทอง แทนความรุง่ เรอื งทางปัญญา
สีสม้ แทนความรุ่งเรอื งทางศลิ ปวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่
สีขาว แทนความคดิ อนั บริสุทธิ์ของนกั ปราชญแ์ หง่ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัว
สถาบันราชภัฏ ได้เปลี่ยนครุยวิทยฐานะใหม่ ต้ังแต่ประกาศใช้พระราชบัญญัติสถาบันราชภัฏ พ.ศ.
2538 ลักษณะและความหมายของครุยวิทยฐานะนั้น ตัวเสื้อครุยทำด้วยผ้าหรือแพรสีดำเย็บเป็นเสื้อคลุม ตัว
เสื้อผ่าอกตลอด แขนเสื้อกว้างและยาวตกข้อมือแขนปล่อย มีสำรดรอบขอบและที่ปลายแขน ส่วนสำรดต้น
แขนเป็นสิ่งแสดงถึงระดับปริญญา และมเี ข็มตราสถาบันราชภัฏประดับครยุ ด้วยสำหรับแถบสปี ระจำ สาขาวิชา
นั้น สงั เกตไดด้ ังนี้
แถบสีฟ้า หมายถึง บัณฑติ สาขาวิชาครศุ าสตร์
แถบสแี สด หมายถงึ บณั ฑิตสาขาวชิ าศิลปศาสตร์
แถบสีเหลือง หมายถงึ บณั ฑิตสาขาวทิ ยาศาสตร์
ส่วนท่ีใช้บนแถบสำรดและบนเสื้อครุยน้ัน ได้ใช้สีจากตราสถาบันราชภัฏซ่ึงประกอบด้วย สีทอง
หมายถึง ความเจริญรงุ่ เรอื ง สีเขียว หมายถึง สถาบันราชภัฏที่มงุ่ ให้การศึกษาพฒั นาทอ้ งถ่ิน สีน้ำเงิน หมายถึง
สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีคุณประการอันยิ่งใหญ่ไพศาลต่อสถาบันราชภัฏ มีภารกิจหลัก 6 ประการ ตาม
มาตรา 7 แห่ง พระราชบัญญัติสถาบันราชภัฏ พ.ศ.2538 ท่ีระบุให้สถาบันราชภัฏเป็น สถาบันอุดมศึกษาเพื่อ
การพัฒนาทอ้ งถ่นิ คือ ทำการศกึ ษาวิชาการและวิชาชพี ชนั้ สูง

มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเชยี งใหม่

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณา
โปรดเกล้า โปรดกระหม่อมลงพระปรมาภิไธย ในพระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.๒๕๔๗ เมื่อวันท่ี

11

๑๐ มิถุนายน ๒๕๔๗ อันมีผลให้สถาบันราชภัฏ เปล่ียนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏ และมีสถานภาพเป็นนิติ
บคุ คลโดยสมบรู ณ์

ปัจจุบันมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ต้ังอยู่เลขท่ี 202 ถนนช้างเผือก ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่ มีภารกิจหลัก 6 ประการ ตามมาตรา 7 แห่ง พระราชบัญญัติสถาบันราชภัฏ พ.ศ.2538 ที่
ระบุให้สถาบนั ราชภัฏเปน็ สถาบนั อุดมศกึ ษาเพอ่ื การพฒั นาท้องถิน่ คอื ทำการศึกษาวิชาการและวิชาชีพช้ันสูง
ปัจจุบนั มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเชยี งใหม่ มีภารกจิ หน้าทใ่ี นการทำงานหลักดังนี้

- การสอนในระดบั อุดมศกึ ษา เพอื่ พฒั นาคน
- การวิจยั รวมถึงการถา่ ยทอดเทคโนโลยี
- ใหบ้ ริการวชิ าการแกส่ ังคม
- ทำนุบำรงุ ศิลปวฒั นธรรม ผลติ ครแู ละส่งเสริมวิทยฐานะครู
ปัจจุบันมหาวิทยาลัยราชภัฏ มีท่ีต้ังในการดำเนินงานหลักอยู่ 4 พ้ืนท่ีได้แก่พ้ืนที่เวียงบัว ซ่ึงเป็นพ้ืนท่ี
ดำเนินกิจการหลักของมหาวิทยาลัย พื้นท่ีแม่สาซึ่งแต่เดิมเป็นพื้นท่ีดำเนินงานของคณะวิทยาการจัดการ
ปัจจบุ ันอยรู่ ะหวา่ งการพัฒนาเพ่อื ใช้ประโยชน์ดา้ นอืน่ พื้นท่ีศูนย์แม่รมิ ซึง่ ทางมหาวิทยาลยั ได้ให้ความสำคญั ใน
การพัฒนาเป็นพ้ืนที่หลักต่อไป ปัจจุบันมีพื้นท่ีประมาณ 7,000 ไร่ โดยได้มีการสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ และ
ได้เริ่มมีการย้ายหน่วยงานต่างๆ ได้แก่สำนักงานอธิการบดี ส่วนงานบริหารต่างๆ ตลอดจนคณะ
เทคโนโลยีการเกษตร คณะครุศาสตร์ ไปยังพื้นท่ีดังกล่าวแล้ว และจะได้มีการพัฒนาพ้ืนที่เพื่อเตรียมการย้าย
ที่ตั้งไปดำเนินงานกิจการของมหาวิทยาลัยในอนาคตต่อไป นอกจากน้ียังมีวิทยาเขตแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นวิทยา
เขตท่ีจัดตั้งขึ้นในพ้ืนที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีภาระกิจเพ่ือจัดการศึกษา วิจัยและบริการวิชาการ ทำนุบำรุง
ศลิ ปวัฒนธรรมในพ้นื ทแ่ี ม่ฮอ่ งสอน

3. วสิ ยั ทศั น์และพันธกจิ ของมหาวิทยาลัย

ปรชั ญาของมหาวทิ ยาลยั “การศกึ ษาเปน็ หัวใจของการพฒั นาท้องถ่ิน”
วสิ ัยทัศน์ “เป็นมหาวิทยาลัยช้ันนำระดับประเทศในการผลิตและพัฒนาครู และเป็นมหาวิทยาลยั เพ่ือ
การพัฒนาทอ้ งถิน่ ”
พันธกิจ เพอ่ื ให้การพัฒนามหาวิทยาลัยนำไปสูว่ สิ ยั ทศั น์ ไดก้ ำหนดพันธกิจหลักไว้ 5 ด้าน ไดแ้ ก่
1) เสริมสร้างความเข้มแข็งของวิชาชีพครู ผลิตและพัฒนาครู และบคุ ลากรทางการศึกษาใหม้ ีคุณภาพ
และมาตรฐานท่เี หมาะสมกบั การเป็นวชิ าชพี ช้ันสูง
2) ผลิตบณั ฑิตให้มคี ณุ ภาพและมาตรฐานวชิ าชพี ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน

12

3) สร้างและถ่ายทอดองค์ความรู้และนวัตกรรมที่มีคุณภาพ ด้วยการวิจัยและการบริการวิชาการ เพ่ือ
สนบั สนุนการพฒั นาทอ้ งถ่ินอย่างยง่ั ยนื นอ้ มนำแนวพระราชดำริ

4) เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในคุณค่า ความสำนึก และความภูมิใจในศิลปะ และวัฒนธรรมของ
ทอ้ งถิน่ และของชาติ

5) พัฒนาระบบบริหารจัดการของมหาวิทยาลัยให้มีประสิทธิภาพ โดยยึดหลักธรรมาภิบาลและการ
บรหิ ารกจิ การบ้านเมอื งที่ดี

วัตถุประสงค์
1) เพ่ือผลติ และพัฒนาครู และบุคลากรทางการศกึ ษาให้มคี ุณภาพและได้มาตรฐานวิชาชพี
2) เพื่อผลิตบัณฑิตให้มีอัตลักษณ์และคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ ตรงกับความต้องการของ
ตลาดแรงงาน ตลอดจนสรา้ งโอกาสทางการศึกษา โดยรว่ มมอื กับองค์กรท้งั ในและต่างประเทศ
3) เพ่ือนำองค์ความรู้และนวัตกรรมท่ีมีคุณภาพ จากการวิจัย และการบริการวิชาการสู่การพัฒนา
ท้องถ่ินอย่างยั่งยืน นอ้ มนำแนวพระราชดำริ
4) เพ่ือใหน้ ักศึกษา บุคลากร และผู้สนใจ มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจในคุณคา่ ความสำนึกและความภูมิใจใน
ศลิ ปะและวัฒนธรรมของทอ้ งถ่ินและของชาติ
5) เพือ่ ให้การบรหิ ารมหาวทิ ยาลยั เป็นไปตามหลกั ธรรมาภบิ าลและการบรหิ ารจัดการบา้ นเมืองท่ีดี
ค่านยิ มหลกั

ค่านิยมหลกั (Core value) ทย่ี ึดถือใชก้ ันมาในมหาวทิ ยาลยั จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กร ซ่ึงเป็น ตัว
สนับสนุนหรือชี้นำการตัดสินใจของสมาชิกทุกคน มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ค่านิยมหลักของ
มหาวิทยาลยั จากผูเ้ขา้ ร่วมการประชุมสัมมนา รวม 117 คน ประกอบด้วย ผบู้ ริหาร อธิการบดี รองอธกิ ารบดี
ผู้ช่วยอธิการบดี คณบดี รองคณบดี ผู้อำนวยการสถาบัน/สำนัก รองผู้อำนวยการสถาบัน/สำนัก ผู้อำนวยการ
กอง หัวหน้าสำนักงาน ผู้อำนวยการสำนกั งาน/ศูนย์ หวั หน้าภาควชิ า คงค่านยิ มหลกั ของมหาวทิ ยาลัย ดงั น้ี

C Community สถาบนั อุดมปญั ญาเพื่อพฒั นาท้องถนิ่ ให้ก้าวไกล
M Moral สรา้ งบณั ฑิตดสี ู่สงั คมไทยดว้ ยอดุ มการณ์แห่งศลี ธรรม
R Royal นอ้ มนำพระราชดำริมาปฏิบัตเิ พอ่ื พัฒนาสงั คม
U Unity ดว้ ยจิตอาสาพฒั นาสถาบนั เป็นหนึ่งเดยี ว

อัตลกั ษณ์

อัตลักษณ์ (Identity) หมายถึง ผลผลิตของผู้เรียนตามปรัชญา ปณิธาน พันธกิจ และวัตถุประสงค์
ของการจัดต้ังมหาวิทยาลัย ท่ีได้รับความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัย การดำเนินการเพ่ือให้ได้มา ซ่ึงอัต

13

ลักษณ์ มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ความเป็นมาของมหาวิทยาลัย และเจตนารมณ์ใน
การจดั ต้ังมหาวิทยาลยั “บณั ฑิตมที ักษะชีวิต จติ สาธารณะ และสู้งาน” ทกั ษะชีวติ หมายถงึ ความสามารถของ
บัณฑิตในการปรับตัวรู้เท่าทันกับการเปล่ียนแปลง และเลือก ทางเดินชีวิตที่เหมาะสม เพ่ือดำรงชีวิตและ
ประกอบอาชีพ รวมทั้งสามารถเผชิญปัญหาต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว ในสภาพสังคมปัจจุบัน และเตรียมพร้อม
สำหรบั อนาคตไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ ประกอบด้วยทักษะ 10 ประการ ดงั น้ี

1. ทักษะการตดั สนิ ใจ
2. ทกั ษะการแกป้ ัญหา
3. ทักษะการคดิ สร้างสรรค์
4. ทักษะการคดิ อยา่ งมีวจิ ารณญาณ
5. ทกั ษะการส่อื สารอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
6. ทักษะการสรา้ งสมั พันธภาพระหว่างบคุ คล
7. ทกั ษะการตระหนักร้ใู นตน
8. ทกั ษะการเข้าใจผู้อื่น
9. ทักษะการจัดการกบั อารมณ์
10.ทกั ษะการจดั การกับความเครียด
จิตสาธารณะ หมายถึง บัณฑิตมีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม ตระหนักรู้ และคำนึงถึงส่วนรวมร่วมกัน
ชว่ ยเหลือสงั คม ไมท่ ำใหผ้ ูอ้ นื่ หรอื สงั คมเดือดรอ้ นได้รับความเสียหาย

สู้งาน หมายถึง บัณฑิตมีความมุ่งมั่น ต้ังใจ ขยัน มานะ อดทน มีความเพียรพยายาม มีวินัย มีมนุษย
สมั พนั ธ์ และมคี วามรับผิดชอบในหนา้ ท่กี ารงาน

คุณลกั ษณะบณั ฑติ ท่ีพึงประสงค์
บัณฑิตมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ มีคุณลักษณะ เป็นคนดี มีความรู้ดี บุคลิกภาพดี สุขภาพดี และ เป็น
พลเมอื งดี (5 ด)ี

• คนดี หมายถึง บัณฑิตมีความสุภาพอ่อนน้อม กตัญญูรู้คุณ ขยัน ประหยัด ซ่ือสัตย์ อดทน มีสำนึกรัก
ท้องถนิ่ และความเป็นไทย

• ความรู้ดี หมายถึง บัณฑิตรู้จักแสวงหาความรู้ มีความรู้และประสบการณ์ในสาขาวิชาท่ีศึกษาและ
สามารถประยกุ ตใ์ ช้ในการดำรงชวี ิตไดอ้ ย่างเหมาะสม

• บุคลิกภาพดี หมายถึง บัณฑิตมีลักษณะท่าทาง การพูดจา การแต่งกายดี มีมนุษยสัมพันธ์ การวางตัวได้
เหมาะสมกบั กาลเทศะ และมคี วามเขา้ ใจในวัฒนธรรมข้ามชาติ

14

• สุขภาพดี หมายถึง บัณฑิตมีสุขภาวะที่ดีครบทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ สุขภาวะกาย สุขภาวะจติ สุขภาวะสังคม
และสขุ ภาวะปญั ญา

• พลเมืองดี หมายถึง บัณฑิตมีวินัย มีความรับผิดชอบ เคารพกฎระเบียบของสังคม เสียสละ มีความ
เอื้อเฟอื้ เผ่อื แผ่ ทำงานรว่ มกบั บคุ คลอื่นได้และคำนงึ ประโยชน์สว่ นรวมมากว่าส่วนตน

เอกลกั ษณ์
เอกลักษณ์ (Uniqueness) หมายถึง ความสำเร็จตามจุดเน้นและจุดเดน่ ท่ีสะท้อนให้เห็นเป็น ลกั ษณะ
โดดเด่นเป็นหนึ่งของมหาวิทยาลัย จากการวิเคราะห์เอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของผู้เข้าร่วม ประชุมสัมมนา
จำนวนท้ังสิ้น 117 คน ซ่ึงประกอบด้วย อธิการบดี รองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี คณบดี รองคณบดี ผู้ช่วย
คณบดี ผู้อำนวยการสถาบัน/สำนัก รองผู้อำนวยการสถาบัน/สำนัก หัวหน้าภาควิชา หัวหน้า สำนักงาน
ผู้อำนวยการกอง/สำนักงาน/ศูนย์ และกองนโยบายและแผน ปฏิบัติหน้าท่ีในการประชุม ได้ข้อสรุปเพ่ือ
กำหนดให้เป็นเอกลักษณข์ องมหาวิทยาลยั คือ “สถาบนั อุดมศึกษา เพื่อการพฒั นาท้องถนิ่ ”

4. การแบ่งสว่ นงานในมหาวิทยาลยั

มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชียงใหม่ มีการแบง่ สว่ นงานด้านต่างๆดังนี้
1) หน่วยงานจัดการศึกษา ได้แก่คณะ วิทยาลัยต่างๆ มีหน้าที่โดยตรงในการจัดการเรียนการสอน
พัฒนาและดแู ละหลกั สูตรวิชาการตา่ งๆ ซงึ่ เป็นหน้าทห่ี ลักของมหาวทิ ยาลยั ประกอบไปดว้ ย

1.1) คณะครศุ าสตร์
1.2) คณะเทคโนโลยีการเกษตร
1.3) คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
1.4) คณะมนุษศาสตร์และสงั คมศาสตร์
1.5) คณะวิทยาการจดั การ
1.6) วิทยาลยั แมฮ่ ่องสอน
1.7) วิทยาลัยนานาชาติ
1.8) วทิ ยาลัยพัฒนาเศรษฐกิจ (adiCET)
1.9) บณั ฑติ วิทยาลยั
1.10) โรงเรียนสาธติ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเชยี งใหม่
2) หน่วยงานสนับสนุนวิชาการ มีหน้าที่ดำเนิการด้านต่างๆท่ีเก่ียวข้องกับการสนับสนุนด้านการจัด
การศึกษา งานบรหิ าร ตลอดจนภารกิจดา้ นงานวิจัย บริการวชิ าการ และทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ได้แก่

15

2.1) สำนักงานอธกิ ารบดี
2.2) สถาบนั วิจยั และพฒั นา
2.3) สำนกั ทะเบียนและประมวลผล
2.4) สำนักหอสมดุ
2.5) สำนักศิลปะและวัฒนธรรม
2.6) สำนักดิจทิ ลั เพือ่ การศึกษา
3) หน่วยงานภายใน มหี นา้ ทดี่ ำเนนิ งานด้านอ่ืนๆท่ีเกย่ี วข้องกบั การสนบั สนนุ กิจการต่างๆได้แก่
3.1) สำนกั งานตรวจสอบภายใน
3.2) สำนักงานสภามหาวทิ ยาลยั
3.3) สำนกั งานมาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา
3.4) สำนักงานจัดการศึกษาท่ัวไปและศิลปวิทยาศาสตร์
3.5) สำนักงานบริหารและจัดการทรัพยส์ ิน
3.6) สำนักงานบรหิ ารศูนย์แม่ริม
3.7) สำนกั งานวิเทศสมั พันธ์
3.8) ศนู ย์ภาษา
4) หน่วยงานลักษณะเฉพาะ มีหน้าท่ีดำเนินงานเกี่ยวกับงาน กิจกรรม หรือโครงการที่มีความเฉพาะ
ทาง ได้แก่ ศูนย์ศึกษาศาสตร์พระราชา ศูนย์ประสานงาน อพ.สธ. สำนักงานสภาคณาจารย์และข้าราชการ
และศูนยบ์ ่มเพาะวิสาหกจิ
5) หน่วยงานอ่ืนๆ ได้แก่ กองพัฒนานักศึกษา กองนโยบายและแผน กองบริหารงานบุคคล และงาน
ประชาสัมพนั ธ์
5. วทิ ยาเขต/ศูนยก์ ารศกึ ษา
ราชภัฏเชียงใหม่ปัจจุบันได้มีการจัดการศึกษาอยู่หลายพ้ืนท่ี เพื่อเป็นการตอบสอนงภาระกิจของการ
จัดการเรียนการสอน และการเข้าถึงชุมชนในพื้นท่ีบริการ ได้มีการเปิดดำเนินการทั้งในจังหวัดเชียงใหม่และ
แมฮ่ ่องสอน โดยมพี ื้นท่ตี า่ งๆนอกเหนือจากศูนย์เวียงบวั ดังน้ี
1) ศูนย์แมร่ ิม

มคี วามเป็นมายาวนานตง้ั แตป่ ี พ. ศ. 2467 ได้เริ่มต้นจัดการศกึ ษาครง้ั แรกโดยจัดตง้ั โรงเรียนฝึกหัดครู
กสิกรรม โดยตั้งอยู่บริเวณเวียงบัวซ่ึงเป็นที่ตั้งของ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ปัจจุบันมีพ้ืนที่ 80 ไร่
ต่อจากนนั้ กไ็ ดพ้ ัฒนาหน่วยงานเปน็ วทิ ยาลยั ครู สถาบันราชภัฏและมหาวิทยาลัยราชภัฏในปจั จุบัน

16

สมัยน้ันในฐานะเป็นวิทยาลัยครูเชียงใหม่ สังกัดกรมการฝึกหัดครู มีภารกิจในการผลิตครูท่ีมีคุณภาพ
ให้กับท้องถ่ินโดยเฉพาะพื้นท่ีท่ีได้ดูแลได้แก่ เชียงใหม่กับแม่ฮ่องสอน ผู้บริหารสมัยนั้นได้แก่ ดร.นิเชต สุนทร
พิทักษ์ อธิบดีกรมการฝึกหัดครู ผศ.สายสมร สร้อยอินต๊ะ อธิการวิทยาลัยครูเชียงใหม่พร้อมกับผู้บริหาร
วิทยาลัยครูเชียงใหม่ได้มีวิสัยทัศน์และแนวคิดท่ีจะพัฒ นาวิทยาลัยครูขยา ยและยกระดับการจัดการศึกษา
ระดับอุดมศึกษาให้กว้างขึ้นและยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัย ดังน้ันเมื่อมีการเติบโตของหน่วยงานพ้ืนท่ีที่จัด
การศึกษาท่ีเป็นวิทยาลัยครูจะไม่มีพื้นท่ีรองรับอย่างพอเพียง จึงมีแนวคิดที่จะหาพ้ืนท่ีใหม่เพ่ือการรองรับการ
ขยายตวั ของหน่วยงาน ในปี พ.ศ.2536 กรมการฝึกหัดครู โดย ดร.นิเชต สุนทรพทิ ักษ์ อธิบดีกรมการฝึกหัดครู
ไดใ้ หน้ โยบายกับวิทยาลยั ครูทว่ั ประเทศให้หาพ้นื ที่ท่เี ป็นวทิ ยาเขตเพ่ือรองรับในการขยายตวั ของวทิ ยาลัยครู

เดือน มิถุนายน ปี 2536 หลังจาก ท่านอธกิ าร ผศ.สายสมร สร้อยอินตะ๊ เข้ามารับตำแหนง่ อธกิ ารบดี
เม่ือ 24 ธันวาคม 2534 โดย มีเป้าหมายของการเตรียมการต้ังคณะเกษตรและอุตสาหกรรม ได้มีการประชุม
คณาจารย์ภาควิชาเกษตรไร่ฝึก ตำบลแม่สา อำเภอแม่ริม มี รศ. อมรา ทีปะปาล เป็นหัวหน้าภาควิชา ที่
ประชุมมีข้อคิดเห็นตรงกันว่า พื้นที่ 55 ไร่ของภาควิชาเกษตรที่ตำบลแม่สาไม่เพียงพอสำหรับการจัดตั้งคณะ
เกษตรและอุตสาหกรรมการเริ่มต้นจึงเกิดข้ึนโดยมีหัวหน้าภาควิชาเกษตร รศ.อมรา ทีปะปาล ผศ.เกษม จัน
พินิจ และอาจารย์ศุภชัย ศรีธิวงศ์ ได้ไปดูพื้นที่อำเภอสะเมิง ไปดูพื้นที่ตามคำแนะนำของอาจารย์นิยม เหล่า
แสง ซ่ึงเป็นพื้นที่โครงการพระราชดำริ จนวน 800 ไร่ แล้วกลับมาสรุปให้ข้อมูลว่า มีปัญหาเร่ืองน้ำและระยะ
ทางไกลเกินไป ในการที่จะส่งกองกำลังบำรุงได้ จากน้ันคณะกรรมการจึงได้เสาะแสวงหาที่ใหม่เป็นจุดท่ี 2
เป้าหมายของการสำรวจอยู่ที่อำเภอจอมทองทางแยกเข้าดอยอินทนนท์ อยู่หน้าวัดสังวรณ์วราราม จำนวน
ประมาณ 3,000 ไร่ ห่างไกลจากวิทยาลัยครูเชียงใหม่ 70 กิโลเมตร ถนนดี มีทิวทัศน์วิวสวย มีภูเขาล้อมรอบ
จงึ เริม่ กิจกรรมเชิงรุกโดยการนำนกั ศกึ ษาและคณาจารยไ์ ปร่วมกนั ทำกจิ กรรมปลกู ป่าในเดอื นสงิ หาคม ปี 2536
แต่มีกระแสการต่อต้านจากผู้ที่บุกรุกพื้นที่เดิมอีกทั้งได้ทราบว่าพ้ืนท่ีดังกล่าวได้ดำเนินการปลูกสวนป่าของ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แล้ว ควรหลีกเล่ียงพื้นท่ีสวนป่า ในการดำเนินการครั้งน้ีได้รับความร่วมมือจาก
หน่วยงานราชการของอำเภอจอมทองเป็นอย่างดี โดยเฉพาะท่านนายอำเภอจอมทอง นายเฉลิม วรวุฒิพุทธิ
วงศ์ การดำเนินการหาพ้ืนท่ีที่จอมทอง ทางคณะกรรมการก็ได้ดำเนินการทางด้านเอกสารในการขออนุญาตใช้
ประโยชนข์ องพื้นท่ี ยื่นผา่ นความเห็นชอบระดบั จงั หวดั โดยเสนอตน้ เร่ืองผ่านจากอำเภอจอมทอง ป่าไมอ้ ำเภอ
นายอำเภอจอมทอง มาสู่ระดับป่าไม้จังหวัด ป่าไม้เขตและผู้ว่าราชการจังหวัดโดยมี ผศ.เกษม จันพินิจ เป็น
ผดู้ ำเนินการติดตามเส้นทางของหนังสือผ่านทุกข้ันตอน มีการเข้าสำรวจพ้ืนที่เพื่อกำหนดเขตและแผนผังพ้ืนที่
ระบุรายละเอียดในเอกสาร ทั้งหมดพร้อมที่จะย่ืนเสนอไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยต้องเสนอผ่าน
กรมการฝึกหัดครูและกระทรวงศึกษาธิการ ในข้ันตอนของการนำเสนอผ่านกรมการฝึกหัดครูได้รับความ

17

ช่วยเหลือ แนะนำให้ขอ้ คิดเห็นและประสานเข้าพบรฐั มนตรวี ่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพ่อื ช้ีแจงรายละเอียด
ของโครงการ โดยได้รับความช่วยเหลือจากท่านรองอธิบดีกรมการฝึกหัดครู อาจารย์กลาย กระจายวงศ์ และ
ดร.ประเสรฐิ จริยานุกูล หัวหน้าหน่วยศึกษานิเทศก์

ในช่วงเวลาของการเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสัมพันธ์ ทองสมัคร โดยมีอาจารย์
กลาย กระจายวงศ์รองอธิบดีกรมการฝึกหัดครูเป็นผู้นำเข้าพบ ซ่ึงมีผู้เข้าพบประกอบไปด้วย ผศ.สายสมร
สรอ้ ยอินตะ๊ อธิการ รศ.อมรา ทีปะปาล ผศ.เกษม จันพนิ ิจ อาจารย์ประเสริฐ ตันสกุล ศกึ ษานิเทศก์ในขณะนั้น
เมื่อไดร้ ับฟังรายละเอียดของโครงการจากอธิการวทิ ยาครเู ชียงใหมแ่ ลว้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธกิ ารกไ็ ด้
โทรศัพท์ประสานถึงรัฐมนตรีวา่ การกระทรวงเกษตรและสหกรณใ์ นทนั ทีและแจ้งเร่อื งโครงการของวิทยาลัยครู
เชียงใหม่ว่าเป็นโครงการท่ีจะขอเข้าไปใช้พ้ืนที่ป่าไม้ขอให้ช่วยพิจารณาสนับสนุนให้ด้วย โดยได้ทำหนังสือจา
กระทรวงศึกษาธิการที่ ศธ 0305/25778 ลงวันท่ี 7 กันยายน 2535 ถึง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เร่อื ง การขอใช้พ้นื ทส่ี วนปา่ หนว่ ยปรบั ปรงุ ต้นน้ำปงิ หนว่ ยที่ 2 (แม่กลาง) มใี จความย่อคือ จะขอใช้ทีด่ นิ บริเวณ
หลักกิโลเมตรที่ 11 อำเภอจอมทอง เพ่ือประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอนและทำการวิจัย ในสาขาพืชไร่
ไม้ผล เทคโนโลยีภมู ิทัศน์ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวบรวมพันธ์ุพืชและไม้ผลตามโครงการพระราชดำริในโครงการ
“ป่ารักน้ำ” ดังโครงการที่แนบไป โครงการท่ีส่งไปตอนน้ันใช้ช่ือว่า “โครงการอุทยานการศึกษาธรรมชาติและ
สิง่ แวดล้อม”แนวความคิดของโครงการมีพื้นฐานจากความคิดท่ีจะหาท่ีตั้งคณะเกษตรและอุตสาหกรรม ผนวก
กับอิทธิพลทางความคิดที่สำคัญยิ่งจากอดีตอธิบดีกรมการฝึกหัดครู ดร. นิเชต สุนทรพิทักษ์ ผู้ซึ่งได้สนับสนุน
และผลักดันโครงการอทุ ยานการศึกษาธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ มน้ตี ลอดมา

กรมป่าไม้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ตรวจสอบ การขอใชพ้ ้ืนท่ีของสถาบนั ในเน้ือที่ 2,870 ไร่ อำเภอ
จอมทองและแจ้งให้ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ให้ทราบว่าพื้นที่ดังกล่าวได้ดำเนินการปลูกสร้างสวนป่าไม้ไปแล้ว
จึงควรได้หลีกเล่ียงพ้ืนท่ีสวนป่าเมื่อ 30 ธันวาคม 2535 เพื่อนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการฯ
พร้อมด้วยข้อมูลการพิจารณาจำนวนหน่ึง ในเดือนมิถุนายน 2536 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้รับ
หนังสือจากกระทรวงเกษตร ท่ี กษ 0705/9621 โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสุ
เทพ เทือกสุบรรณ ได้แจ้งว่า “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้พิจารณาแล้วมีความเห็นเช่นเดียวกับกรมป่าไม้
ไม้ แต่โดยท่ีโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพ่ือสร้างจิตสำนึกในอนุชน และประชาชนทั่วไปมีความรัก
ธรรมชาติ ตระหนักในความสำคัญของสิ่งแวดล้อม ร่วมมือกันอนุรักษ์ป่าไม้ ดินและน้ำเพื่อที่จะได้ทำให้ระบบ
นิเวศวทิ ยามีความสมบูรณ์ย่ิงขึ้น จึงสมควรได้รับการสนับสนุน แต่ท้ังนี้จะต้องไม่อยู่ในพ้ืนท่ีสวนป่าหรือพื้นที่ที่
จำเป็นต้องสงวนรักษาไว้ จึงขอได้โปรดพิจารณาหาพื้นท่ีแห่งใหม่เพ่ือดำเนินการตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว
ถัดไป” นี่คือใบเบิกทางที่สำคัญสำหรับการแสวงหาพ้ืนท่ีแปลงใหม่ต่อไป การเร่ิมแสวงหาพื้นที่แปลงใหม่จึง

18

เร่ิมต้นอีกคร้ังหน่ึงหลังจากที่เวลาผ่านไป 1ปี เต็ม เมื่อเริ่มต้นหาพ้ืนที่ใหม่ พ.ศ. 2535 พร้อมกับการแสวงขอ
พื้นท่ีจากหน่วยราชการที่มีพื้นที่ครอบครองอยู่จำนวนมาก ก็ได้ดำเนินการด้วยเม่ือได้รับคำตอบชัดเจนจาก
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่าขดั ข้องท่ีจะให้ทท่ี อี่ ำเภอจอมทอง เน่อื งจากเป็นป่าสงวนท่ีไดป้ ลูกสวนปา่ ไวแ้ ล้ว
และให้แสวงหาท่ีแปลงใหมโ่ ดยด่วนเพื่อสนบั สนุนโครงการอุทยานการศึกษาธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อมทส่ี ถาบัน
ได้เสนอไป ผู้เขียนโครงการน้ีคือ รศ. อมรา ทีปะปาล การแสวงหาพื้นที่ใหม่เร่ิมต้นข้ึนมาอีกคร้ังหน่ึง โชคดีที่
คณะกรรมการแสวงหาพ้ืนที่ทั้ง รศ. อมรา ทีปะปาล และ ผศ. เกษม จันพินิจ เป็นชาวเกษตรทีม่ ีรนุ่ พี่ รุ่นเพ่ือน
และรุ่นน้องทำงานอยู่ที่ป่าไม้จังหวัด ป่าไม้เขตและกรมป่าไม้ จึงได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดีย่ิง
รายละเอียดความช่วยเหลือของบุคคลทีเ่ ก่ียวข้อง คงจะได้มีการบนั ทึกไวจ้ ากอาจารยท์ ั้ง 2 ทา่ น ในระหว่างการ
แสวงหาที่แปลงใหม่ แนวคิดการแสวงขอใช้พนื้ ทขี่ องหน่วยงานตา่ งๆ ทม่ี ีพืน้ ที่ครอบครองอยู่จำนวนมาก ก็เป็น
อีกช่องทางหนึง่ ท่ีคิดและไดด้ ำเนินการดังน้ี

1.ท่ีในครอบครองของทหาร บนเส้นทางจากเชยี งใหม่ถึงแม่ริมทางซา้ ยมือของถนนใหญ่เปน็ พ้ืนที่ทหาร
ในครอบครองของหน่วยงานหน่วยงานทหาร และดูว่ายังมีที่ๆท่ีไม่ใช้อีกมาก น่าจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
ถ้าจะได้ขยับขยายสถาบันไปอยู่ในช่วงระยะทางดังกล่าวก็จะไม่ไกลและสะดวกสบายสำหรับนักศึกษาและ
คณาจารย์ ในโอกาสนี้ได้พบกับ พลตรีแป้ง มาลากุล ( ยศขณะนั้นปี 2535 – 2536) ผู้บังคับการมณฑล
ทหารบกค่ายกาวิละ จึงได้ลองทาบทามพุดถึงวัตถุประสงค์ของการขยับขยายสถาบันได้รับคำตอบที่ดูเป็นจริง
คือ “เอาพื้นท่ีแถวแม่แรมไหม” จึงได้แต่หัวเราะแล้วบอกว่าคงไม่มีความสามารถดูแลได้ เพราะเป็นช่วงที่
ราษฎรตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม กำลังยกขบวนมาร้องเรียนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ท่ีหน้าศาลากลาง
เป็นประจำ ด้วยสาเหตุถูกทหารขับไล่ที่และจนถึงปัจจุบันนี้ทางทหารก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาการบุกรุกที่
ดังกล่าวได้ ส่วนบริเวณข้างทางถนนเส้นทางแม่ริม – เชียงใหม่ เป็นเรื่องของความมั่นคงท่ีไม่อาจแบ่งให้
หน่วยงานอื่นได้ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ทางทหารได้แบ่งพื้นท่ีให้จังหวัด สำหรับสร้างสนามกีฬาซีเกมส์และ
โรงเรยี นนวมนิ ทรฯ์ พายัพไปแลว้ จึงเป็นการเร่ิมต้นคดิ เรือ่ งการขยายที่ช้าไป

2. ที่ในครอบครองของ ตชด. ในโอกาสท่ีได้เข้าประชุมโครงการพระราชดำริ ร่วมกับ หน่วยงานต่างๆ
ที่ผู้แทนพระองค์ สมเด็จพระกณิษฐาธิราชฯ (สมเด็จพระเทพฯ) ได้เชิญประชุมท่ีค่ายดารารัศมีในช่วง ปลายปี
2535 ได้มีการพูดถึงโครงการพัฒนาอาชีพ ให้กับนักเรียนที่จบจากโรงเรียนในโครงการพระราชดำริ (โรงเรียน
ตชด.) และเยาวชนนอกโรงเรียน ชาวไทยที่ราบสูง ทาง ตชด. ได้เสนอที่ๆ จะต้ังหน่วยงานฝึกอบรมวิชาชีพบน
พนื้ ที่ประมาณ 5,000 ไร่ ติดถนนเชียงใหม่ – ฝาง ในช่วงอำเภอแม่แตง อยู่ทางขวามือถ้าไปจากเชียงใหม่ เป็น
พื้นท่ีสวยงามและยังไม่ได้ใช้ประโยชน์และราษฎรเริ่มบุกรุกที่แล้ว วิชาชีพส่วนใหญ่ท่ีจะฝึกเน้นด้านเกษตร จึง
ได้คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ ถ้าคณะเกษตรของสถาบันไปอยู่ใกล้เพราะเรามีโครงการพระราชดำริท่ีได้

19

ดำเนินการอยู่แล้ว จึงได้นัดหมายและไปขอพบผู้บังคับบัญชาการ ตชด. 33 พตอ. จง จันทรา พร้อมกับ รศ.
อมรา ทีปะปาล ผศ.เกษม จันพินิจ คณะเกษตรฯ ของสถาบันสัก 500 ไร่ ท่านจง จันทรา ได้แจ้งว่า การ
อนุญาตให้ใช้ท่ีอยู่ท่ีอธิบดีกรมตำรวจและเป็นไปค่อนข้างยากถึงแม้จะยังไม่มีแผนงานที่ชัดเจนท่ีจะลงไว้ ณ ท่ี
ดังกล่าวในขณะน้ันทาง ตชด. ได้เตรียมขยับขยายท่ีทำการไปอำเภอสันทราย ตำบลเตาไห บนเน้ือท่ีหลายพัน
ไร่ ทพี่ ึ่งแสวงหาไดม้ าประมาณ ปี 2531 – 2532 ทำให้รู้สึกว่าเราแสวงหาท่ีชา้ ไปไม่ก่ีปี ถึงแมจ้ ะไมใ่ ห้ความหวัง
ในการขอแบ่งพนื้ ท่ี ท่านผ้บู ังคับการ ตชด. ก็ไดใ้ ห้ขอ้ แนะนำที่เป็นความหวงั ใหม่ว่านา่ จะไปขอใชพ้ ้ืนท่เี ก่าที่ทาง
ทหารอากาศได้ใช้เป็นที่ปลดลูกระเบิดในเขตอำเภอแม่แตงติดกับอำเภอแม่ริม ตำบลแม่มาลัย มีประมาณ
1,000 ไร่ ซึ่งปัจจุบันทอ. ได้เลิกใช้ตรงนี้เพราะไปได้ท่ีใหม่ที่อำเภอสันทรายประมาณ 7,000 ไร่ แล้วเป้าหมาย
ใหม่คอื การไปพบผู้บังคับการกองบนิ 41

3.การไปพบผู้บังคับการกองบิน 41 เชียงใหม่ ด้วยความช่วยเหลือนัดหมายผ่าน รท.เวชพงศ์ พันธ์ศรี
นายทหารประชาสมั พันธข์ อง ทอ.41 ในเวลาน้ันประมาณตน้ ปี 36 เพ่ือขอเจรจาใชท้ ๆ่ี แมม่ าลัย อำเภอแมแ่ ตง
ท่ีทางทหารอากาศใช้แล้ว คำตอบจากผู้บังคับการกองบิน 41ได้คืนให้กรมป่าไม้ไปแล้วเม่ือได้ท่ีแปลงใหม่ที่
อำเภอสันทราย และเมื่อ ผศ. เกษม จันพินิจ ได้ไปติดตามที่ป่าไม้พบว่าเป็นพื้นที่ๆ ได้ปลูกสวนป่าไปแล้ว
ประมาณ 1,000 ไร่แต่ได้นำไปสู่การสำรวจพบพ้ืนที่แปลงใหม่ท่ีตำบลข้ีเหล็กและตำบลสะลวง อำเภอแม่ริม
โดยแปลงหน่ึงเป็นป่าเส่ือมโทรมและอีกแปลงหนึ่งขอแบ่งมาจากพ้ืนที่ๆ เคยเป็นโครงการโคนมของสหกรณ์
การเกษตร ซ่ึงมีพ้ืนท่ีรวมหม่ืนกว่าไร่ เป็นโครงการที่เริ่มตั้งแต่ปี 2519 จนถึงปี 2530ก็ยงั ไม่สามารถดำเนนิ การ
ได้ พื้นท่ีจึงกลับคืนไปเป็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การขอใช้พื้นท่ีท้ัง 2 แปลง ได้ย่ืนขอโดยตรงจาก
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การขอใช้พ้ืนท่ีแปลงใหม่และข้อตกลงอย่างไม่มีเง่ือนไขทำนองสัญญาประชาคม
กับสภาตำบลสะลวง –ขี้เหล็ก

ด้วยความช่วยเหลือเป็นอย่างดีย่ิงจากป่าไม้เขตที่ช่วยให้ข้อมูลพื้นท่ีของกรมป่าไม้ อธิการได้รับบันทึก
ข้อความลงวันท่ี 27 กรกฏาคม 2536 จาก ผศ. เกษม จันพินิจ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการจัดหาที่แจ้ง
ว่า “ข้าพเจ้าพร้อมด้วย รศ. อมรา ทีปะปาลได้ร่วมกันสำรวจป่าโดยยานพาหนะส่วนตัว ณ พ้ืนท่ีตำบลสะลวง
ตำบลห้วยทราย ตำบลข้ีเหล็ก อำเภอแม่ริม เห็นสภาพความเหมาะสมของพ้ืนที่จึงได้ดำเนินการประสานอย่าง
เร่งด่วนทันทีกับป่าไม้เขต และกรมป่าไม้ เพื่อจะขอใช้พื้นที่ดังกล่าว” โดยการประสานกับเจ้าหน้าท่ีป่าไม้เขต
เชยี งใหมเ่ พือ่ จัดเตรียมเอกสาร รายละเอียดของที่ดินท้ัง 2 แปลง

20

แปลงท่ี 1 เป็นพื้นที่ขอแบ่งใช้พ้ืนที่ของกรมส่งเสริมสหกรณ์สำหรับการจัดตั้งโครงการสหกรณ์โคนม
ตั้งแต่ปี 2519 แต่ยังไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติแม่ริม ในบริเวณตำบลสะลวง ตำบล
หว้ ยทราย และตำบลขีเ้ หล็ก อำเภอแมร่ ิม จงั หวัดเชยี งใหม่

แปลงท่ี 2 เป็นพ้ืนท่ีป่าสงวนแห่งชาติในท้องที่ตำบลขีเ้ หล็ก อำเภอแม่ริมการจัดเตรียมข้อมูลของท่ีดิน
ทัง้ 2 แปลงเป็นงานท่ที ำยากเป็นงานที่มีขน้ั ตอนการจัดทำตามระเบียบการมีการสำรวจจำนวนตน้ ไม้ ใช้วธิ ีการ
สำรวจโดยใช้วิธีทางสถิติสุ่ม - แจง นับจำนวนต้นไม้ในบริเวณพื้นท่ีรวมประมาณ 6,000 ไร่ ท่ีมีถนนรอบพื้นท่ี
ยาวประมาณ 14 กิโลเมตร ซึ่งใกล้เคียงระยะทางจากเชียงใหม่ถึงแม่ริมความกว้างของทิศตะวันออกติดคลอง
ชลประทานยาว 14 กิโลเมตร ทิศเหนือติดห้วย ยาว 3.5 กิโลเมตรทิศใต้จากปากทางเข้าตำบลสะลวง ยาว
ประมาณ 4.4 กิโลเมตรทศิ ตะวันตก ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร

นอกจากความยากลำบากของการบุกรุกป่าเพ่ือวัดแนวเขตทด่ี ินดังกล่าวและการแจงนับจำนวนต้นไม้ที่
จะต้องดูแลแล้ว การปะทะกับบุคคลท่ีเข้าไปจับจองโดยไม่มีสิทธิ์ ก็เป็นงานที่หนักหนาสาหัส เป็นงานท่ีสร้าง
ความเครียดให้กับผู้บกุ เบิก รวมทงั้ ความไมป่ ลอดภยั ในชีวิตโดยเฉพาะ ผศ. เกษม จันพินิจ และคณะบุกเบิกกับ
ความช่วยเหลือของชาวป่าไม้ที่มีหน้าท่ีในการดูแลตรวจสอบการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ก็ช่วยผ่อนแรงได้มาก
โดยเฉพาะอย่างย่ิงความเข้มแข็งในการยึดหลักความถูกต้องตามแนวคิดของรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่
นายพงค์โพยม นิวาศภูติ ในขณะนั้นได้กล่าวไว้ชดั เจนว่า ราษฎรทีเ่ คารพกติกาของบ้านเมือง ถ้ารฐั ไมด่ ูแล ก็จะ
เป็นการสรา้ งความไมเ่ ป็นธรรมในสังคมมากขนึ้ และกลุม่ ท่ีเข้าไปจับจองจำนวนมากๆ ก็มักจะไม่ใช่คนจนทไี ม่มี
ที่ทำกิน เหตุผลที่สถาบันได้ขอเข้าใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติทั้ง 2 แปลง ก็เพ่ือ “ดำเนินการตามโครงการขยาย
งานการใช้ที่ดินเพ่ือการสอนและการวิจัยและจดั ตั้งอุทยานการศึกษาธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม” เป็นโครงการ
เพ่ือประโยชน์ของสาธารณชนโดยส่วนรวมอย่างชัดเจน บทเรียนท่ีได้จากประสบการณ์การแสวงหาท่ีดินที่
อำเภอจอมทองเป็นเรื่องที่ต้องระวังในเรื่องการกำหนดยุทธศาสตร์การสร้างความเข้าใจที่ดีกับมวลชน จึงเป็น
เป้าหมายในการทำงานครัง้ ใหม่ ด้วยความช่วยเหลือและสนบั สนุนเปน็ อย่างดียงิ่ จากทา่ นนายอำเภอแม่รมิ นาย
อดุลย์ พลประอินทร์ได้ไปร่วมประชุมกับสภาตำบลสะลวงและตำบลข้ีเหล็กหลายคร้ัง ครั้งแรกของการร่วม
ประชุม ทางสภาตำบลได้เชิญคณะบุคคลผนู้ ำท้องถ่นิ มารว่ มประชุมเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะครใู หญ่ อาจารย์
ใหญ่ของโรงเรียนทุกโรงได้ช้ีแจงวัตถุประสงค์ของการขอเข้าใช้พื้นที่ท้ัง 2 ตำบลมีการซักถามอย่างกว้างขวาง
จากคณะกรรมการสภาตำบลและชาวบ้านชาวบ้านท้ัง 2 ตำบลมีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับพ้ืนที่ที่สถาบันจะเข้าไป
โดยเฉพาะการเข้าไปเก็บของป่า ล่าสัตว์ (กระต่าย) เก็บใบตอง เก็บเห็ด เก็บต้นไม้แห้งทำฟืน เผาศพ ฯลฯ
ปัญหาก็คือ ทำอย่างไรไม่ให้เกิดความเดือดร้อนกับวิถีชีวิตของชาวบ้านได้มีการพูดจา มองภาพปัจจุบันและ

21

อนาคตร่วมกันและสุดท้ายคำขอท่ีถือว่าเป็นสัญญาประชาคมที่ให้กับสภาตำบลสะลวงและข้ีเหล็ก มี 3
ประการคือ

1. ขอไม่ให้มีคำกว่า ห้ามผ่าน เข้าบริเวณของสถาบันฯ ในลักษณะมีร้ัว ประตูปิด ห้ามชาวบ้านผ่าน
เข้าออก

2. ขอเขา้ ไปเก็บใบตอง เก็บเหด็ ตามวถิ ชี ีวิตท่เี คยเปน็ มา

3. ถา้ มกี ารจา้ งงานขอให้โอกาสจา้ งคนงานในทั้ง 2 ตำบลเปน็ โอกาสแรก

สญั ญาประชาคมทั้ง 3 ประการไม่เปน็ เรอ่ื งยากสำหรบั สถาบนั ข้อสำคัญสถาบันควรจะ ไดด้ ูแลทอ้ งถิ่น
ตามปรัชญาของสถาบันท่ีระบุไว้ในมาตรา 7 สถาบันจะเป็นส่วนร่วมของท้องถิ่น มีความผูกพันและปฏิบัติ
หน้าท่ีเพ่ือท้องถิ่นร่วมกัน ดังน้ันสถาบันจำเป็นต้องให้ความสำคัญและรักษาไว้ยิ่งสัญญาประชาคมท้ัง 3
ประการ ตลอดไป

เมื่อได้พบปะและร่วมประชุมกับสภาตำบลสะลวง – ข้ีเหล็ก จนได้ข้อตกลงท่ีเป็นเสมือนสัญญา
ประชาคมท่ีสถาบันได้ถือปฏิบัติต่อมา การดำเนินการเข้าทำแนวเขตพื้นที่ท่ีจะขออนุญาตเข้าไปทำประโยชน์
จากกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ได้ดำเนินไปด้วยปัญหาท่ีน้อยมาก แต่ก็ยังมีปัญหาท่ีต้องแก้ไข
เป็นรายกรณีไป โดยใช้ความสามารถสร้างความเข้าใจของ ผศ. เกษม จันพินิจ จนทำให้มีข้อมูลพร้อมแผนผัง
แนวทางทีท่ างจังหวัดและป่าไม้เขต ไดด้ ำเนินการส่งหนงั สือถึงกรมปา่ ไม้ดงั น้ี

1.หนังสือลงนามโดย นายอัครพงค์ พยัคฆันตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รักษาราชการแทน
ผ้วู ่าราชการจงั หวัดเชียงใหม่ ลงวนั ที่ 24 มีนาคม 2537 ถงึ อธิบดีกรมป่าไม้ 2 ฉบับ

ฉบบั ที่ 1 ท่ี ชม 0009.2/11641 ส่งพรอ้ มด้วยเอกสาร

- คำขออนญุ าตเข้าทำประโยชน์ (แบบ ป.ส.17)พร้อมเอกสารประกอบเรอื่ งราวคำขอ

- รายงานการตรวจสอบสภาพปา่ (แบบ ปส.18)พรอ้ มบญั ชกี ารสำรวจไม้

- ภาพถ่ายแสดงบริเวณพ้ืนทีท่ ี่ขออนญุ าตจำนวน 20 ภาพ

- สำเนาบันทกึ การตรวจสอบสภาพปา่ ลงวนั ที่ 18 ธนั วาคม 2536

บริเวณพื้นที่ทข่ี ออนญุ าตอยูใ่ นเขตป่าสงวนแหง่ ชาติ ปา่ แม่รมิ ทอ้ งที่หมู่ 7 , 8 ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่
รมิ มีเนื้อที่ 2,954 ไร่ 3 งาน 25 ตารางวา เหตุผลในการขออนุญาตใช้พ้ืนท่ีแปลงนี้เพ่ือประโยชน์ในการศึกษา

22

วิจัยทางวิชาการ และเพ่ือเป็นอนุสรณ์สถานในการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสทรง
ครองราชย์สมบตั ิ ปที ่ี 50

ฉบับท่ี 2 ที่ ชม. 0009.2/11642 พร้อมด้วยเอกสารตามระเบียบเช่นเดียวกบั ฉบับท่ี 1 โดยขออนุญาต
เข้าทำประโยชน์เขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ริม เพื่อขยายวิทยาเขตของสถาบัน และจัดต้ังอุทยานการศึกษา
ธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม บริเวณพ้ืนท่ี หมู่ 1และ 3 ตำบลสะลวง และหมู่ 7 , 8 ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่ริม มี
เน้ือที่ 2,846 ไร่ 95 ตารางวา นวมพน้ื ท่ที ั้ง 2 แปลง มเี น้อื ที่ 5,801 ไร่ 20 ตารางวา

เมื่อได้มอบให้สำนักงานพัฒนาท่ีดนิ จัดทำ Contour และตรวจสอบดินในพื้นที่ทั้ง 2 แปลง หลังจากที่
ได้รับอนุญาตเข้าใช้ประโยชน์จากกรมป่าไม้แล้ว ทางสำนักพัฒนาที่ดินได้จัดทำแผนท่ีแสดงแนว Contour ใน
พ้ืนที่ทั้งหมด 2 แปลง เป็น 6,235 ไร่ 1 งาน 20.5 ตารางวา มีพื้นท่ีงอกเพิ่มประมาณ 40 ไร่ น่าจะเป็นความ
คลาดเคลอื่ นในการวดั แตล่ ะครง้ั

หนังสือจากสำนักงานป่าไม้เขตเชียงใหม่ ท่ี กษ 0723/679และที่ กษ 0723/1996 ลงวันท่ี 31
มกราคม 2537 และลงวันท่ี 25 มีนาคม 2537 ลงนาม โดย นายขจรเดช จารุจินดา ผู้ช่วยป่าไม้เขต รักษา
ราชการแทน ป่าไม้เขตเชียงใหม่ ถึงอธิบดีกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แจ้งให้กรมป่าไม้ทราบและ
ยืนยนั ข้อมูลบรเิ วณที่ขออนญุ าตใช้ว่าไม่ขัดต่อระเบียบทางราชการ และคณะผู้เข้าไปตรวจสอบมีความเห็นว่าผู้
ขอมีวัตถุประสงค์จะเข้าไปช่วยอนุรักษ์ป่าให้สมบูรณ์ยิ่งข้ึนและขยายการศึกษาในท้องถ่ินให้เจริญ จึงเห็นควร
อนุญาตให้เข้าใช้ประโยชน์ดังขอ เอกสารท้ังหมด ทางสถาบันจะได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน นำเข้าไว้เป็น
สว่ นหนงึ่ ของหอจดหมายเหตุด้วย

การพัฒนาพนื้ ท่ขี องวิทยาเขตสะลวง – ขีเ้ หล็ก หลงั จากทไ่ี ดร้ ับอนุญาตให้ใช้พืน้ ที่ป่าสงวนแห่งชาติแม่
รมิ ก็ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องตามกำลังของงบประมาณท่ีเข้ามาสนับสนุน อธิการสายสมร สรอ้ ยอินต๊ะ ได้มี
คำสั่งแต่งต้ังคณะกรรมการเพื่อท่ีจะพัฒนาพื้นท่ีวิทยาเขตสะลวง – ข้ีเหล็ก ได้แก่ คำสั่งวิทยาครูที่ 522/ 2537
เรื่องให้ข้าราชการไปปฏิบัติราชการในพื้นที่ตำบลสะลวงและตำบลขี้เหล็ก นับว่าเป็นคำส่ังแรกท่ีให้อาจารย์ไป
ป ฏิ บั ติ ห น้ า ท่ี เต็ ม เว ล า โด ย ไม่ มี วั น ห ยุ ด โด ย มี ร า ย ชื่ อ อ า จ า ร ย์ ได้ แ ก่ ผ ศ .เก ษ ม จั น พิ นิ จ
ผศ.รณชติ หอมสุวรรณ รศ.อมรา ทปี ะปาล อาจารยส์ ุนารี ศันสนีย์ อาจารยก์ มลณฏั ฐ์ พลวนั

สถาบันได้แต่งต้ังคณะกรรมการเข้าไปดูแลรับผิดชอบศูนย์สะลวง – ขี้เหล็ก มาแล้วหลายชุด โดยมี
ผศ.เกษม จันพินิจ เป็นหัวหน้าคณะรับผิดชอบตั้งแต่เร่ิมดำเนินงานคณะกรรมการที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมี
รศ.อมรา ทีปะปาล ผศ.รณชิต หอมสุวรรณ อาจารย์บัญชา อินทะกูล ผศ.พิมล มัธยมบุรุษ และมี
คณะกรรมการอีกส่วนหนึ่งได้ขอพักเม่ือมีงานมอบหมายจากทางคณะมากข้ึน ได้แก่ อาจารย์กมลณัฏฐ์ พลวัน

23

ผศ. สุมิตรา จอมมาวรรณ ผศ. อำไพ อาภรณ์ชยานนท์ อาจารย์สุนารี ศันสนีย์ นอกจากคณะกรรมการ
ดำเนินการประจำศูนย์สะลวง – ขี้เหล็ก แล้วยังมีผู้รับผิดชอบโครงการต่างๆ หลายโครงการ เช่น โครงการ
พิพิธภัณฑ์พืช มี รศ.อมรา ทีปะปาล เป็นหัวหน้าโครงการ โครงการสวนสมุนไพร โครงการสวนสัตว์เปิดและ
โครงการสวนนก มี ผศ.นิราศ วัฒนานิวัติเป็นหัวหน้าโครงการ โครงการปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น สะเดา มี ผศ.
กมล รักสวน เป็นหัวหน้าโครงการ โครงการหมู่บ้านวัฒนธรรม มี ผศ.จินตนา มัธยมบุรษุ เตรยี มการ โครงการ
อื่นๆ อกี 11 – 12 โครงการทก่ี ำลงั อย่ใู นแผนและจะดำเนินการต่อไป

คณะเทคโนโลยีการเกษตร เป็นคณะแรกที่ได้ย้ายมาจัดการเรียนการสอนในปี พ.ศ. 2542 โดยมี รศ.
อมรา ทีปะปาล เป็นคณบดีคนแรก และเป็นผู้ผลักดันให้วิทยาเขตสะลวง – ข้ีเหล็ก ได้เกิดการพัฒนาอย่าง
ตอ่ เนื่อง หลังจากท่ีได้เหน็ดเหน่ือยในการวางแนวเขตแดนและดำเนินการตามเงื่อนไขของการขออนญุ าตได้แก่
การวางเสาหลกั เขต การติดต้ังป้ายประกาศไดร้ บั อนุญาตการใชพ้ ื้นท่ีป่าของกรมปา่ ไม้และปลกู ปา่ นศรนารายณ์
รอบพืน้ ที่ ระยะทางยาว 20 กโิ ลเมตร ในช่วงระยะนี้อาจารย์ผู้บุกเบิกรนุ่ แรก ผ.ศ.เกษม จันพินิจ ได้ลาออกจาก
ราชการก่อนกำหนด จึงได้ยุติการทำงานทุกอย่างในวิทยาเขตสะลวง – ขี้เหล็กและได้มอบหมายงานให้แก่
อาจารย์บัญชา อินทะกูล อาจารย์คณะเทคโนโลยีการเกษตรได้ดำเนินการแทน งานพัฒนาพื้นที่วิทยาเขตสะ
ลวง – ขี้เหล็ก 6,235 ไร่ เป็นงานท่ีหนักมากเพราะต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ มากมาย อาทิ การบุกรุกพ้ืนที่
ของชาวบ้าน การประท้วงของชาวบ้านเกี่ยวกับพ้ืนที่บุกรุกในตำบลขี้เหล็กและพ้ืนท่ีทับซ้อนกับพ้ืนที่ของ
สหกรณ์นิคมแม่ริม การพัฒนาพ้ืนที่ก็ได้ดำเนินการไปตลอด โดยสำนักงานวิทยาเขตสะลวง – ข้ีเหล็ก เป็นผู้
ดำเนินงาน ภายใต้การให้คำแนะนำจากคณะกรรมการพัฒนาพ้ืนท่ีวิทยาเขตสะลวง – ข้ีเหล็ก โดยเฉพาะ
อาจารย์รุน่ บกุ เบิกทีไ่ ดเ้ กษยี ณอายรุ าชการไปแล้ว อาทิ รศ.ดร.อมรา ทปี ะปาล ผศ.รณชติ หอมสวุ รรณ

การพัฒนาพื้นท่วี ทิ ยาเขตสะลวง – ขี้เหลก็ ช่วงแรกกไ็ ด้ดำเนินการทางด้านโครงสรา้ งพน้ื ฐานต่างๆทจ่ี ะ
เตรียมการย้ายจากเวียงบัวได้แก่ ถนนเชื่อมระหว่างอาคารภายใน น้ำท่ีใช้อุปโภค บริโภค ไฟฟ้า การส่ือสาร
ด้านอนิ เตอร์เน็ต อา่ งเก็บนำ้ อาคารส่งิ กอ่ สรา้ งต่างๆ

พ.ศ. 2546 มหาวทิ ยาลัยได้งบประมาณกอ่ สร้างอาคารหอประชุมทีปังกรรัศมีโชติกับการก่อสรา้ งถนน
4 ช่องทางมีเกาะกลางถนนเป็นแอสฟัสติก เป็นช่วงการทำงานสมัยปลายของ รศ. วรรณวดี ม้าลำพอง
อธิการบดี และสมัยเริ่มต้นของอธิการบดี ผศ.ดร.เรืองเดช วงศ์หล้า การก่อสร้างต่างๆ ก็สามารถดำเนินไป
ดว้ ยดี ด้วยความเอาใจใส่ในการควบคุมจากรองอธกิ ารบดฝี ่ายบริหารอาจารยบ์ พิตร โกมลตรี อาจารยป์ ระคอง
ฤกษว์ ันเพญ็ กบั คณะกรรมการในการกอ่ สรา้ ง

24

พ.ศ2549 มหาวิทยาลัยได้รับงบประมาณก่อสร้างอาคารฝึกประสบการณ์วิชาชีพการท่องเท่ียวและ
โรงแรม

พ.ศ. 2551 มหาวิทยาลัยได้รับงบประมาณก่อสร้างอาคารเรียนรวม 3 อาคารและหอพักนักศึกษา 3
อาคาร

พ.ศ. 2552 มหาวทิ ยาลัยไดร้ ับงบประมาณแผ่นดนิ ก่อสร้างอาคารสำนักงานอธิการบดี

พ.ศ. 2553 มหาวทิ ยาลยั ได้รับงบประมาณแผน่ ดินก่อสร้างอาคารเทคโนโลยีสารสนเทศและภาษา

ปัจจุบันทางมหาวิทยาลัยได้ทำการปรับปรุงและกอ่ สร้างหน่วยงานต่างของมหาวิทยาลัยเพ่ือทำให้เกิด
ความพรอ้ มในการย้ายการบริหารและจัดการศึกษาสว่ นใหญม่ าต้ังทพ่ี ้ืนที่ศูนย์แม่รมิ น้ี โดยได้มีการก่อสร้างและ
เปดิ การจัดการเรียนการสอนในสว่ นของคณะครุศาสตร์อยา่ งสมบูรณ์แบบ รวมถึงอาคารอำนวยการทีข่ ณะนี้ได้
มีการโยกย้ายหน่วยงานบริหารงานกลางต่างๆมาที่ศูนย์แม่ริมเป็นท่ีเรียบร้อยแล้ว สำหรับกลุ่มอาคาร
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ อยู่ในระหว่างเตรียมความพร้อมในการย้ายการจัดการเรียน
การสอน นอกจากนี้ทางมหาวิทยาลัยยังได้อนุมัติให้มีการก่อสร้างกลุ่มอาคารคณะมนุษยศาสตร์และ
สังคมศาสตร์ รวมถึงศูนย์กีฬาของมหาวิทยาลัย จะเห็นได้ว่าทางมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่มีความพร้อมใน
การจัดการเรยี นการสอนในศูนย์แมร่ ิม และจะดำเนนิ การให้แล้วเสร็จต่อไป

2) วิทยาเขตแม่ฮอ่ งสอน

มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้รบั อนุญาตให้ใช้พื้นท่ีแห่งน้ี เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2543 จากกรมป่า
ไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซ่ึงเป็นพื้นท่ีป่าสงวน โดยคุณูปการจากสมาชิกผู้แทนราชฎรจังหวัด
แม่ฮ่องสอน ร่วมกับอธกิ ารบดสี ถาบนั ราชภัฏเชียงใหม่และผูน้ ำท้องถน่ิ ไดแ้ ก่

1. อาจารยป์ ัญญา จนี าคำ สมาชกิ สภาผู้แทนราชฎรจงั หวดั แม่ฮ่องสอน
2. ผศ.สายสมร สรอ้ ยอนิ ตะ๊ อธกิ ารบดีสถาบนั ราชภฏั เชยี งใหม่
3. นายเดช เยาวโสภา นายกองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำบลปางหมู
4. นายเสน่ห์ คำแสน กำนันตำบลปางหมู
5. นายศมน รตั นชัยทพิ ยกลุ ผู้ใหญบ่ า้ นบา้ นทุง่ กองมู

นอกจากน้ียังมีคณะทำงานและชาวบ้านบ้านทุ่งกองมู จำนวน 56 คน ท่ีใช้ประโยชน์ในท่ีดินใน
ขณะนั้นและได้ยกให้กับวิทยาลัยได้ใช้ประโยชน์เพ่ือการศึกษาของจังหวัดแม่ฮ่องสอนเนื่องจากข้อจำกัดด้าน

25

งบประมาณจึงดำเนินการมาได้ระยะหนึ่งและได้รับความอนุเคราะห์จากรองศาสตราจารยว์ รรณวดี ม้าลำพอง
อธิการบดีสถาบันราชภัฏเชียงใหม่ พร้อมด้วยนักศึกษาได้ดำเนินการล้อมร้ัวลวดหนามโดยรอบบริเวณพื้นท่ี
จำนวน 109 ไร่ 6 ตารางวา

วันที่ 5 กันยายน 2546 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เรืองเดช วงศ์หล้า อธิการบดี พร้อมด้วยผู้บริหาร
สถาบันราชภัฏเชียงใหม่ ได้เดินทางมาเย่ียมชมพ้ืนท่ีและได้ประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน
สมาชิกสภาผู้แทนราชฎรจังหวัดแม่ฮ่องสอน หัวหน้าส่วนราชการและผู้นำท้องถ่ินเพื่อวางแนวทางการพัฒนา
พ้นื ที่จดั การศกึ ษาในจงั หวัดแมฮ่ อ่ งสอน

สภาสถาบันราชภัฏเชียงใหม่ไดม้ ีมติเหน็ ชอบให้ดำเนนิ การจดั ตั้งวิทยาเขตแม่ฮ่องสอนในปี 2547 และ
ในปี 2547 องค์การบริหารส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอนโดยนายสุรสิทธ์ิ ตรีทอง นายกองค์การบริหารส่วนจงั หวัด
แม่ฮ่องสอนได้สนับสนุนงบประมาณในการก่อสร้างอาคารเรียนรวมขนาด 3 ชั้น จำนวน 1 หลัง พร้อม
สาธารณูปโภค งบประมาณการก่อสร้าง 11.9 ล้านบาท และมอบให้วิทยาลัยแม่ฮ่องสอนเพ่ือใช้ประโยชน์ใน
การจัดการเรียนการสอน โดยได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันท่ี 31 มกราคม 2547 โดยมี ศาสตราจารย์
เกียรติคุณ นายแพทย์อาวุธ ศรีศุกรี นายกสภาประจำสถาบันราชภัฏเชียงใหม่ เป็นประธาน จึงถือได้ว่าวันน้ี
เป็นวันสถาปนาวทิ ยาลัยแม่ฮ่องสอน

ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร พร้อมคณะได้เดินทางมาตรวจราชการท่ีจังหวัด
แม่ฮ่องสอนเมื่อวันท่ี 21 กรกฎาคม 2547 ได้สั่งการให้จังหวัดแม่ฮ่องสอน และสถาบันราชภัฏเชียงใหม่
ดำเนินการพัฒนาด้านการศกึ ษาให้แกเ่ ยาวชนและประชาชนของจังหวัดแม่ฮ่องสอน และไดอ้ นุมัติงบประมาณ
จำนวน 75.6 ลา้ นบาท เพื่อพฒั นาและกอ่ สร้างอาคารเรียนรวมขนาด 3 ชัน้ 1 หลัง อาคารอัฒจนั ทร์ จำนวน 1
หลัง หอพักนักศึกษาชาย จำนวน 1 หลัง หอพักนักศึกษาหญิง จำนวน 1 หลัง และโรงยิมเนเซียม จำนวน 1
หลัง และสถาบันราชภัฏเชียงใหม่ได้อนุมัติงบประมาณจำนวน 3.77 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างอาคารบ้านพัก
ข้าราชการขนาด 2 ช้ัน จำนวน 8 คูหา

กระทรวงศึกษาธิการการได้จัดตั้งวิทยาลัยแม่ฮ่องสอน เป็นส่วนราชการในสังกัดมหาวิทยาลัยราชภัฏ
เชียงใหม่ ท่ีรับผิดชอบดำเนินการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาในพ้ืนที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตั้งแต่วันที่ 6
มิถุนายน 2548 โดยได้ทำการเปิดสอนภาคปกติรุ่นแรก 3 สาขาวิชา คือ สาขาวิชาการท่องเท่ียว สาขาวิชา
พัฒนาชุมชน และสาขาวิชาการบัญชี มีนักศึกษารุ่นแรก จำนวน 51 คน ที่เรียนในพื้นที่จัดการศึกษาแห่งน้ี
ท้ังน้ีก่อนหน้าน้ีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้จัดการศึกษามาแล้วมากกว่า 10 ปี โดยสถานท่ีจัดการศึกษา
ต่างๆ อาทิ โรงเรียนบ้านจองคำ ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดแม่ฮ่องสอน วิทยาลัยการอาชีพนวมินท

26

ราชินีแม่ฮ่องสอนและในปี 2550 องค์การบริหารส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้อนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อ
กอ่ สรา้ งสนามฟุตบอลและระบบรดน้ำ งบประมาณ 5.7 ลา้ นบาท และอาคารจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าหนึ่ง
ตำบลหนง่ึ ผลิตภณั ฑ์ งบประมาณ 5.98 ล้านบาท

ปัจจุบันสภามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ได้มีมติเห็นชอบในการยกวิทยาลัยแม่ฮ่องสอนให้มีฐานะ
เป็นวิทยาเขต โดยมีหน่วยงานในวิทยาเขต 3 หน่วยงานได้แก่วิทยาลัยแม่ฮ่องสอน สถาบันวิจยั เพื่อการพัฒนา
ท้องถิ่น และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่วิทยาเขตแม่ฮ่องสอน โดยได้มีการเปิดหลักสูตร การ
เรยี นการสอนทัง้ ส้นิ 7 หลักสตู รไดแ้ ก่

1. ครศุ าสตรบณั ฑิตสาขาการศกึ ษาปฐมวยั
2. ครุศาสตรบัณฑิตสาขาวิการประถมศึกษา
3. ศิลปศาสตรบณั ฑิตสาขาวชิ าการท่องเทย่ี วอย่างยงั่ ยืน
4. ศิลปศาสตรบัณฑิตสาขาวิชาภาษาอังกฤษเพอ่ื การสื่อสาร
5. บริหารธุรกิจบัณฑติ สาขาวิชาการจัดการค้าชายแดน
6. วิทยาศาสตรบณั ฑติ สาขาวิชาเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สาร
7. สาธารณสขุ ศาสตรบัณฑิตสาขาวชิ าสาธารณสุขชมุ ชน

27


Click to View FlipBook Version