การพัฒนาทักษะการอา่ นจบั ใจความ เรอ่ื ง สภุ าษิตพระร่วง ของนักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1
โรงเรยี นสตรวี ดั มหาพฤฒาราม ในพระบรมราชนิ ปู ถัมภ์
ดว้ ยเทคนคิ การอ่านแบบ SQ3R
นายบุญญก์ สณิ รชั โด
ตำแหนง่ พนกั งำนรำชกำรทัว่ ไป (ครผู ู้สอน)
กลุ่มสำระกำรเรยี นร้ภู ำษำไทย
โรงเรยี นสตรีวดั มหาพฤฒาราม ในพระบรมราชินูปถมั ภ์
สานกั งานเขตพืน้ ที่การศกึ ษามธั ยมศกึ ษากรุงเทพมหานคร เขต 2
สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน
กระทรวงศกึ ษาธิการ
สารบญั
เรอ่ื ง หน้า
สารบญั ...................................................................................................................................ก
บทคดั ยอ่ .................................................................................................................................ข
กิตติประกาศ ...........................................................................................................................ค
บทที่ 1 บทนา……………………………………………………………………………………………………………..1
ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา……………………………………………………………………1
วัตถุประสงค์ของการวิจยั ………………………………………………………………………………………..2
ขอบเขตของการวจิ ยั ………………………………………………………………………………………………3
กรอบแนวคิดในการวจิ ยั ………………………………………………………………………………………….3
นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ……………………………………………………………………………………………………3
ประโยชนท่ีคาดวา่ จะได้รบั ………………………………………………………………………………………3
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวขอ้ ง………………………………………………………………………….4
เอกสารทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับการอา่ นจบั ใจความ……………………………………………………………4
ความหมายของการอ่านจบั ใจความ……………………………………………………………………….....4
ประเภทของการอ่านจับใจความ…………………………………………….………………………………...5
หลักการอ่านจับใจความ………………………………………….……………………………………………....5
เอกสารทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั การอ่านแบบ SQ3R……………………………………..……………………….7
วธิ ีการสอนแบบ SQ3R………………………………………………..……………………………………..…...7
ข้นั ตอนการจัดการเรยี นรดู้ ว้ ยการอา่ นแบบ SQ3R……………..……………………………………….8
ประโยชน์ของการอา่ นแบบ SQ3R………………………………………………………………………..….14
งานวิจยั ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การอา่ นแบบSQ3R.…………………………………………………..……..16
บทท่ี 3 วิธีการดาเนินการวิจัย………………………………………………………………………………………..19
ประชากรและกลุม่ ตวั อย่าง………………………………………………………………………………..…....19
เครือ่ งมอื ที่ใชใ้ นการทดลอง……………………………………………………………………………………..19
แบบแผนการวจิ ยั …………………………………………………..……………………………………………….19
การสรา้ งเครื่องมือ…………………………………………………………………………………………………..20
ระยะเวลาท่ใี ช้ในการศึกษา……………………………………………………….……………………………..21
ช
สารบญั (ตอ่ )
เรอ่ื ง หน้า
วธิ กี ารดาเนนิ การวจิ ัย……………………………………………………………………………………………...22
การวิเคราะห์ข้อมลู ………………………………………………………………………………..…………….....22
สถิตทิ ่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล………………………………………………………………………………....22
บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล………………………………………………………………………………………..25
สรุปผลทีไ่ ด้จากการวเิ คราะห์ขอ้ มูล…………………………………………………………………………..25
บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผลการวจิ ยั และข้อเสนอแนะ………………………………………………….…..……29
สรปุ ผลการวิจยั …………………………………………………………………………….…………………………30
อภปิ รายผลการวิจัย………………………………………………………………………………….………..……30
ขอ้ เสนอแนะ……………………………………………………………………………………………………….….33
บรรณานกุ รม
ภาคผนวก
ช
กติ ตปิ ระกาศ
งานวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความ เร่ือง สุภาษิตพระร่วง ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ด้วยเทคนิคการอ่าน
แบบ SQ3R ฉบับนี้ มิอาจสาเร็จลุล่วงไปได้ หากปราศจากความช่วยเหลือจากคณะครู โรงเรียนสตรี-
วัดมหาพฤฒาราม ในพระบรมราชินปู ถัมภ์ จนงานวจิ ยั เสรจ็ สมบูรณ์
ขอขอบพระคุณครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยทุกท่าน ที่ตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ใน
งานวิจยั คร้ังน้ี ผู้คอยให้คาแนะนาด้านการจัดการเรียนรู้เน้ือหาวิชาภาษาไทย เทคนิคการสอน การใช้
ส่ือการสอน และการวัดการประเมินผล ทาใหเ้ คร่อื งมือทีใ่ ช้ในการวจิ ยั ครงั้ น้มี ีความสมบูรณ์มากย่ิงขึ้น
ขอขอบพระคุณท่านผู้อานวยการระวีวรรณ เลขนาวิน ผู้อานวยการโรงเรียนสตรี
วัดมหาพฤฒาราม ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ที่ให้การสนับสนุนส่งเสริมเอื้อเฟ้ือสถานท่ี วัสดุอุปกรณ์
ต่าง ๆ สาหรับการทาวิจัยและขอบคุณคณะคุณครู นักเรียน เพ่ือน ๆ ท่ีให้ความร่วมมือในการทาวิจัย
การศกึ ษาครัง้ นใ้ี ห้ประสบผลสาเร็จ
ท้ายที่สุดขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา และทุกคนในครอบครัวที่ให้การสนับสนุน
ใหก้ าลงั ใจ ชว่ ยเหลอื ในการทางานด้วยดีเสมอมา
บุญญก์ สณิ รชั โด
ผู้จัดทา
ช่ือเรือ่ ง การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความ เรอื่ ง สุภาษิตพระร่วง ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษา
ปที ่ี 1 โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ด้วยเทคนิคการอ่าน
ชือ่ ผู้วิจัย แบบ SQ3R.
ปีการศกึ ษา นายบญุ ญก์ สณิ รัชโด
2564
บทคดั ย่อ
การวิจัยเร่ือง การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความ เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ด้วยเทคนิคการอ่านแบบ
SQ3R. ผู้วิจยั ได้ดาเนินการเก็บรวบรวมขอ้ มูลท่ีโรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม ในพระบรมราชินูปถัมภ์
วัตถุประสงค์การวิจัย คือ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความ สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1
โรงเรียนสตรีวดั มหาพฤฒาราม ในพระบรมราชนิ ูปถัมภ์ ด้วยวธิ ีการจัดการเรียนรู้การอ่านแบบ SQ3R
กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 จานวนนักเรียนทั้งหมด
35 คน โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม ในพระบรมราชินูปถัมภ์ สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจงเครื่องมือในการวิจัย
มีดังนี้ แบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบหลังเรียน แผนการจัดการเรียนรู้ สื่อการจัดการเรียนรู้
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ
t-test
ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า นักเรียนมีคะแนนการอ่านจับใจความในช่วงหลังเรียนสูงกว่าก่อน
เรียนอย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติท่ีระดบั .05 มคี ่าสถติ ิ t เท่ากับ 14.07
ลงช่ือ..................................................ผวู้ ิจยั
(นายบญุ ญก์ สณิ รชั โด)
ตาแหน่ง พนกั งานราชการ
ลงช่ือ..................................................
(นายวทิ วัส สวัสดป์ิ ญั ญาโชติ)
รองผ้อู านวยการ กลุ่มบริหารวิชาการ
ลงชือ่ ..................................................
(นางสาวระววี รรณ เลขนาวนิ )
ผูอ้ านวยการโรงเรยี นสตรีวัดมหาพฤฒาราม ฯ
1
บทที่ 1
บทนำ
ควำมเปน็ มำและควำมสำคญั ของปญั หำ
ปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี พัฒนาไปอย่างรวดเร็วและมีบทบาทต่อการ
ดาเนินชีวิตของมนุษย์มากข้ึน โดยเฉพาะความก้าวหน้าในการติดต่อส่ือสารที่สังคมต้องปรับ
กระบวนการเรียนรู้ด้วยวิธีการศึกษาค้นคว้าข้อมูลต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาการประกอบ
อาชีพและการพฒั นาส่ิงต่าง ๆ เพื่อให้มีความเจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น สิ่งสาคัญและมีความจาเป็น
ต่อการรับรู้ข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ คือ การอ่าน เพราะการอ่านเป็นเคร่ืองมือสาคัญท่ีช่วยให้เกิดการ
แสวงหาความรู้ด้วยตนเองไดต้ ลอดชีวิต ก่อ สวัสด์พิ าณิชย์, 2533 ได้กล่าวถึงความสาคัญของการอ่าน
ไว้ว่า "การอ่านเป็นเครื่องมือสาหรับแสวงหาความรู้ที่ดีท่ีสุด นักอ่านที่เกง่ ๆ จะอา่ นหนังสือได้รวดเร็ว
จบั ใจความได้ถูกต้อง และจับใจความได้มาก"
นอกจากนี้ยังมีนักวิชาการได้กล่าวถึงความสาคัญของการอ่านไว้อย่างหลากหลาย เช่น
วัชรี บูรณสิงห์ และนิรมล ศตวุฒิ, 2542 กล่าวถึง ความสาคัญของการอ่านสรุปได้ว่า การอ่าน
เป็นทักษะพื้นฐานจาเป็นต่อการดารงชีวิตและเป็นเคร่ืองมือสาคัญในการเรียนรู้ เป็นรากฐานของ
การศึกษาที่จะทาให้ผู้เรียนไดเ้ รียนรูส้ ่ิงตา่ ง ๆ อย่างรวดเร็วกวา้ งขวางยิ่งข้ึน ผู้ทีม่ ีความสามารถในการ
อ่านย่อมมีมุมมองและวิสัยทัศน์ท่ีกว้างไกล และตัวผู้อ่านเองก็จะ เกิดการพัฒนาความคิด
สติปัญญาจริยธรรม ศีลธรรม และเชาว์ปัญญาไดเ้ ป็นอยา่ งดี นอกจากน้นั ในยุคสงั คมปัจจุบันท่ีผคู้ น
ประสบความกับความเครียดสงู ด้วยสภาวะเศรษฐกิจหน้าทีก่ ารงานความรับผิดชอบต่อครอบครัวและ
สังคมตลอดจนสภาพสง่ิ แวดล้อมต่าง ๆ การอ่านเป็นอีกทางเลือกท่ีจะช่วยให้ผู้อา่ นรู้สกึ ผอ่ นคลายจาก
ความเครยี ดเรานัน้ ได้และอาจจะทาใหผ้ อู้ ่านคน้ พบแนวคิดข้อคดิ และนาไปปรับใชใ้ นชวี ติ ประจาวัน
การอ่านเป็นปัจจัยสาคัญต่อการเรียนรู้ช่วยทาให้เกิดสติปัญญาเพราะวิชาการต่าง ๆ
จาเป็นต้องอาศัยความสามารถในด้านการอ่านเพื่อทาความเข้าใจเน้ือหาและจับ ใจความจากเรื่องท่ี
อ่านแลว้ จึงนาความร้ไู ปใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ดังนั้นการเรยี นการสอนจึงจาเป็นตอ้ งปลูกฝังให้นักเรียนมี
นิสัยรักการอ่าน และพัฒนาความสามารถในการอ่านของนักเรียนให้มีประสิทธิภาพ ตอ้ งฝกึ ปฏิบัติ
อย่างสม่าเสมอ โดยเฉพาะการอ่านจับใจความจึงถือได้ว่าเป็นทักษะการอ่านพื้นฐานที่ดีมีความสาคัญ
สาหรับการอา่ นในระดับต่อ ๆ ไปเพราะถ้าหากนักเรียนไม่สามารถจบั ใจความได้ก็จะทาใหไ้ ม่สามารถ
เขา้ ใจเรือ่ งท่ีอ่านได้ ดงั น้ัน ศศิธร อนิ ตุ่น, 2553 ได้กล่าวถึง การอ่านจับใจความ สรุปไดว้ ่า การอ่านจับ
2
ใจความเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนอยู่เสมอไม่ว่าจะเรียนเร่ืองอะไร ถ้านักเรียนไม่สามารถจับใจความได้
จะทาให้ไม่ได้รับประโยชน์จากการอ่านเท่าที่ควรสาหรับ ถนอมวงศ์ ล้ายอดมรรคผล, 2538 ได้
กล่าวถงึ การอา่ นจับใจความว่า ถึงแม้การอ่านและการอ่านจบั ใจความจากกาหนดไว้เป็นเนื้อหาในการ
เรียนการสอนภาษาไทยมาอย่างต่อเน่ือง แต่ก็พบปัญหาว่านักเรียนไม่มีนิสัยรักการอ่าน และไม่ชอบ
อ่านซึ่งสาเหตุประการหนึ่งอาจจะมาจากปัจจุบันท่ีสื่อประเภทอ่ืน ๆ เช่น โทรทัศน์ วีดิทัศน์
คอมพวิ เตอร์ ล้วนแล้วแต่เป็นสง่ิ ท่นี ักเรียนให้ความสนใจมาก เพราะอานวยความสะดวกให้นกั เรียนได้
เรียนรู้และรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็วจึงทาให้นักเรียนสูญเสียเวลาที่ควรจะอ่านหนังสือไป
ภูริภัทร ทิศร, 2543 และในที่สุดก็จะทาให้นักเรียนขาดนิสัยรักการอ่าน ปัญหาท่ีเกี่ยวกับการอ่าน
ประการต่อมาคือ นกั เรียนจานวนมากประสบปัญหาจากการอ่านหนังสือแล้วไม่เข้าใจไม่สามารถ
สรุปหรือจับใจความสาคัญของเรื่องที่อ่านได้ ดังนั้น เนาวรัตน์ นาคพงษ์, 2536 ได้กล่าวถึง
ปญั หาของการอ่านจับใจความสรุปได้วา่ นักเรียนไม่เขา้ ใจเนื้อเรือ่ งและสรปุ สาระสาคญั ของเรื่องไม่ได้
นอกจากนั้น ณรงคฤ์ ทธ์ิ ศักดาณรงค์, 2538 ได้กล่าวถึงปัญหาการจับใจความได้ว่านักเรยี นอ่านสะกด
คาไม่ถูก ไม่เข้าใจความหมายอ่าน แล้วสรุปใจความสาคัญไม่ได้ และไม่สามารถจับใจความสาคัญของ
เร่อื งทอ่ี า่ นไดร้ วมทงั้ ไม่รู้วิธีการอา่ นทถ่ี ูกต้องเกย่ี วกบั การอา่ นจับใจความ
จากปัญหาดังกล่าวผู้วิจัยจึงต้องการแก้ไขปัญหาและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านของ
นักเรียน ซ่ึงผู้วิจัยได้เลือกวิธีการจัดการเรียนรู้โดยการสอนแบบ SQ3R ซ่ึงเป็นวิธีสอนการอ่านอย่าง
ครา่ ว ๆ เพ่อื ให้ได้คาตอบตามท่ตี งั้ ไวล้ ักษณะการสอนจะเนน้ ใหน้ ักเรียนศึกษาดว้ ยตัวเอง
จากการศึกษาค้นคว้างานวิจัยการอ่านแบบ SQ3R นั้นสามารถเสริมสร้างทักษะการอ่าน
จบั ใจความได้ เน่อื งจากการจดั การเรยี นรกู้ ารอ่านแบบ SQ3R มขี ั้นตอนการอ่านทม่ี งุ่ เนน้ ใหผ้ ู้เรยี นเกิด
ทักษะกระบวนการอ่านจับใจความ ทาให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในเรื่องที่อ่าน และสามารถจดจาสิ่งที่
อ่านได้ดี และช่วยพัฒนาความสามารถการอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจที่จะ
พัฒนาทักษะการอ่านจับใจความ เรื่องสุภาษิตพระร่วง สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1
โรงเรียนสตรวี ดั มหาพฤฒาราม ในพระบรมราชินูปถมั ภ์ ดว้ ยวธิ ีการจัดการเรยี นรู้การอ่านแบบ SQ3R
เพ่อื ให้นักเรียนมีประสิทธิภาพทางการอ่านเพิ่มข้ึน
วตั ถุประสงค์ของกำรวจิ ยั
1. เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความ เรื่องสุภาษิตพระร่วง สาหรับนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้
การอ่านแบบ SQ3R
3
ขอบเขตของกำรวิจัย
1. ตัวแปรทศ่ี กึ ษำ
ตวั แปรอสิ ระ คือ วธิ ีสอน ประกอบดว้ ย
- วิธีสอนแบบด้วยการจัดการเรียนร้กู ารอ่านแบบ SQ3R
ตัวแปรตาม คือ ทักษะการอา่ นจบั ใจความ
2. กลุม่ เป้ำหมำยท่ีใชใ้ นกำรศกึ ษำ
2.1 กลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ในการศึกษาครั้งน้ี ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1
โรงเรยี นสตรีวดั มหาพฤฒาราม ในพระบรมราชนิ ูปถัมภ์ จานวนนักเรียนทงั้ หมด 35 คน
3. ระยะเวลำดำเนนิ กำรทดลอง
การวิจยั ครงั้ น้ดี าเนินการทดลองในวนั ท่ี 7 - 15 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2565
กรอบแนวคดิ ในกำรวิจยั
ตัวแปรอสิ ระ ตวั แปรตำม
วธิ กี ารสอนการอ่านแบบ SQ3R ทักษะการอา่ นจบั ใจความ
แผนภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั
นยิ ำมศพั ท์เฉพำะ
1. การจัดการเรียนรู้ด้วยการอ่านแบบSQ3R หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยวิธีการสอนอ่าน
อย่างเป็นระบบ เพ่ือพัฒนาการอ่านจับใจความของนักเรียน โดยมีข้ันตอนดังน้ี 1. การสารวจเนื้อหา
2. การตั้งคาถาม 3. การอ่าน 4. การจดจา และ 5. การทบทวน
2. ทักษะการอ่านจบั ใจความ หมายถึง การอ่านเพอื่ ทาความเข้าใจข้อความหรอื เน้ือเรอื่ งท่ี
อ่าน โดยสามารถจบั สาระสาคัญ บอกจุดม่งุ หมายของเรื่อง บอกข้อเทจ็ จรงิ และแนวคิดของผูเ้ ขยี นได้
ประโยชนที่คำดวำ่ จะได้รับ
1. นักเรียนมที ักษะการอา่ นจบั ใจความดีข้นึ จากการจัดการเรียนรู้แบบ SQ3R
4
บทท่ี 2
เอกสำรและงำนวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง
การวิจยั เร่ืองการพัฒนาความสามารถดา้ นการอ่านจบั ใจความ ของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปี
ที่ 1 ด้วยเทคนิคการอา่ นแบบ SQ3R ผู้วจิ ยั ไดศ้ ึกษาแนวคดิ และทฤษฎดี งั ตอ่ ไปน้ี
1. กรอา่ นจบั ใจความ
2. วธิ กี ารสอนแบบ SQ3R
3. งานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วขอ้ ง
1.เอกสำรที่เกี่ยวข้องกบั กำรอำ่ นจบั ใจควำม
1.1 ควำมหมำยของกำรอำ่ นจับใจควำม
การอ่านจับใจความเป็นสิ่งท่ีมีความสาคัญเพราะเป็นทักษะพ้ืนฐานของการอ่านพูดท่สี ามารถ
จับใจความของสิ่งท่ีอ่านได้มากย่อมมีโอกาสรับรู้เร่ืองราวได้ดีกว่าผู้ท่ีไม่สามารถอ่านจับใจความได้
การอ่านจับใจความเป็นทักษะท่ีมคี วามสาคัญในการศึกษาเลา่ เรยี นเพราะการอ่านจับใจความสามารถ
นาไปใช้เป็นพืน้ ฐานในการหาความร้ทู เ่ี ปน็ ประโยชน์
ความหมายของการอ่านจับใจความคือการอ่านเพื่อทาความเข้าใจคาประโยคข้อความและ
เนอ้ื เร่ืองสามารถบอกสาระสาคญั ของเร่อื งจุดม่งุ หมายของเรอื่ งรวมทั้งแนวคิดของผู้เขียนได้ ดงั น้ี
ผกาศรี เยน็ บตุ ร, (2526) ท่ีอธบิ ายความหมายของการอ่านจับใจความ ซึ่งสรุปได้ว่า เป็นการ
อ่านเพ่ือเกบ็ สาระสาคัญของเร่ืองที่อ่าน เช่น เก็บจดุ มุ่งหมายสาคัญของเรื่อง เก็บเน้ือเรื่องเก็บแนวคิด
หรือทัศนคติของผู้เขียน เก็บข้อเท็จจริง หรือความรู้สึกอารมณ์ของผู้เขียน และสายสุนี สกุลแก้ว,
(2534) ให้ความหมายของการอ่านจับใจความว่าเป็นความสามารถของผู้อ่านท่ีตัดแต่
ความสาคัญของเร่ืองที่อ่านได้ถูกต้อง ตลอดจนวินิจฉัยคุณค่าของสิ่งที่อ่านอย่างมีเหตุผล
สาหรบั สนุ ันทา ม่ันเศรษฐวทิ ย์, (2543) ไดก้ ล่าวถงึ ความหมายของการอา่ นจับใจความ สรปุ ไดว้ ่า การ
อ่านจับใจความนักเรียนจะต้องทาความเข้าใจข้อความหรือสารท่ีอ่านถึง 4 ข้ันตอน คือ การแปล
ความสาคญั ของสัญลักษณ์ทป่ี รากฏในสาร การทาความเขา้ ใจความหมายของคาประโยคและข้อความ
การจับใจความสาคัญและแนวคิดของผู้เขียนและกระบวนการคิดท่ีเกิดขึ้นขณะที่ทาความเข้าใจ
สัญลักษณ์ ซ่ึงสอดคล้องกับ ศิริพร ลิมตระการ, (2531) ได้ให้ความหมายของการอ่านจับใจความ
ซึ่งสรุปได้ว่า การอ่านจับใจความเป็นการจับประเด็นให้ได้ว่าผู้เขียนต้องการเสนอข้อคิดเห็นอะไร
การหาประเด็นสาคัญขึ้นอยู่กับลักษณะและความยาวของย่อหน้าและเรื่องด้วยตามปกตยิ ่อหน้าแต่ละ
5
ย่อหน้าจะมีใจความสาคัญท่ีสุดอยู่หน่ึงใจความบางครั้งใจความสาคัญจะอยู่ในประโยคใดประโยคแรง
หรอื บางย่อหน้าเป็นพรรณนาโวหารผู้อา่ นจะต้องสรปุ ใจความสาคัญดว้ ยตนเอง
จากข้อมูลข้างต้นสรุปได้ว่าการอ่านจับใจความหมายถึงการอ่านเพ่ือทาความเข้าใจ
ความสาคัญของเร่ืองการอ่านเพื่อเก็บสาระสาคัญของเรื่องท่ีอ่านโดยสามารถจับสาระสาคัญบอก
จดุ ม่งุ หมายของเร่ืองบอกข้อเท็จจรงิ และสรุปแนวคิดของผูเ้ ขียนได้
1.2 ประเภทของกำรอ่ำนจับใจควำม
นักการศกึ ษาหลายทา่ นได้ศึกษาประเภทของการอา่ นจบั ใจความไว้ดังน้ี
กาญจนา นาคสกุล และคณะ, (2521) กล่าวถึง แนวการอ่านจับใจความว่ามีสองลักษณะ
ได้แก่การอ่านจับใจความส่วนรวม และการอ่านจับใจความสาคัญ สรุปได้ว่า การอ่านเพื่อจับใจความ
ส่วนรวมเป็นการทาความเข้าใจเนื้อหาส่วนรวมของเรื่อง เพราะถ้าผู้อ่านไม่สามารถจับใจความ
สว่ นรวมจะมองไม่เหน็ ความสัมพนั ธ์ของรายละเอยี ดต่าง ๆ และอาจเปน็ ผลใหไ้ มเ่ ข้าใจจุดหมายสาคัญ
ของหนังสอื น้นั ๆ ไดว้ ิธีการอ่านจบั ใจความสว่ นรวมนอกเหนือจากการสังเกตส่วนประกอบของหนังสือ
แล้ว อาจจะทาได้ด้วยการปิดดูหรืออ่านผ่าน ๆ ในหัวข้อต่าง ๆ และในเวลาเดียวกันก็พยายามจัด
เนื้อหาของหัวขอ้ หลักเรียงลาดบั ในสมองเพ่ือให้ปรากฏภาพคร่าว ๆ ว่าแตล่ ะหัวข้อมคี วามสัมพันธ์กัน
อย่างไร และมีวิธีการดาเนินเร่ืองอย่างไร สาหรับการอ่านจับใจความผู้อ่านจะต้องอ่านค่อนข้าง
ละเอียดแล้วสรุปใจความสาคัญโดยการบันทึก เชน่ เก็บแนวคิดของผู้เขยี น จดุ มุ่งหมายสาคญั ของเรอื่ ง
เป็นต้น ซ่ึงสอดคล้องกับ พนิตนันท์ บุญพามี, (2524) กล่าวถึงการอ่านจับใจความว่า การอ่านจับใจ
ความสามารถจาแนกได้สองลักษณะ คือการอ่านโดยละเอียดคือการอ่านเพ่ือเก็บความท่ีเป็นสาระ
ประเด็นต่าง ๆ อยา่ งละเอียดตลอดเร่อื งสามารถรบั รูท้ าความเข้าใจเร่ืองไดอ้ ยา่ งกระจ่างแจง้ ในขณะท่ี
ลกั ษณะท่ีสองคือ การอ่านโดยสรุป คือ การอา่ นเก็บความเฉพาะที่เป็นประเด็นสาคัญของเรื่อง ผู้อ่าน
สามารถรับรู้ทาความเข้าใจเน้อื หาสาคญั ของเรอ่ื งได้
จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า การอ่านจับใจความมี 2 ประเภท คือ การอ่านจับใจความสาคัญ
และการอ่านจับใจความส่วนรวม การอ่านจับใจความส่วนรวมเป็นการอ่านอย่างคร่าว ๆ เพ่ือสังเกต
ส่วนประกอบของสิ่งท่ีอ่าน ส่วนการอ่านจับใจความสาคัญน้ัน เป็นการอ่านโดยละเอียดเก็บเฉพาะ
ประเดน็ ทีส่ าคัญแลว้ สรปุ ใจความสาคญั และแนวคดิ ของผเู้ ขียน
1.3 หลักกำรอ่ำนจบั ใจควำม
หลักการอ่านจบั ใจความเป็นส่ิงทผ่ี ู้อ่านควรคานงึ ถึง เพอื่ ไปใชเ้ ปน็ แนวทางการฝึกปฏิบัติซึ่งจะ
ทาใหก้ ารอ่านจบั ใจความประสบความสาเร็จไดเ้ ร็วขน้ึ ดงั ท่ี นพดล จนั ทรเ์ พญ็ , (2531) ท่ีกลา่ วถงึ หลัก
ของการจับใจความ สรุปได้ว่า ในการอ่านครั้งแรกควรอ่านผ่าน ๆ โดยตลอด เพ่ือให้รู้ว่าเร่ืองนั้นว่า
ดว้ ยเรื่องอะไร จุดใดเป็นจุดสาคัญของเร่ืองที่อา่ นหลังจากน้ันอา่ นโดยละเอียดทาความเขา้ ใจให้ชัดเจน
6
และเห็นความสัมพันธ์ระหว่างข้อคิดต่าง ๆ ในเรื่อง โดยอาจมีการขีดเส้นใต้ข้อความท่ีเห็นว่าสาคัญ
และอ่านซ้าเฉพาะตอนที่ไม่เข้าใจ ทดสอบความเข้าใจด้วยการตอบคาถามส้ัน ๆ เก่ียวกับประเดน็ ของ
เร่ืองและใจความสาคัญ เช่น ถามว่าเร่ืองอะไร ใคร ทาอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ทาไม เป็นต้น
และเรียบเรยี งใจความสาคญั ด้วยภาษาของตนเอง ซ่ึงสอดคล้องกับ ผกาศรี เย็นบุตร, (2526) กล่าวถึง
หลกั การอา่ นจบั ใจความสรุปไดว้ า่ ในการอ่านแต่ละครั้งควรตัง้ จดุ มุง่ หมายว่าตอ้ งการอะไร จากเรื่องท่ี
อ่านเพือ่ จะไดไ้ ปสูจ่ ุดน้ันไดเ้ ร็วขึ้น และจึงอ่านข้อความให้ทุกอย่างเข้าคร่าว ๆ เพ่อื จะไดร้ ู้เร่ืองทีอ่ า่ นว่า
เป็นเร่ืองเก่ียวกับอะไรถ้าเป็นหนังสือทั้งเล่มควรอ่านสารบัญก่อน ขั้นต่อไปอ่านโดยละเอียดตลอดท้ัง
เรื่องในขณะที่อ่านให้พยายามต้ังคาถามในใจว่า เรื่องที่อ่านเป็นเร่ืองเก่ียวกับอะไร เกิดขึ้นท่ีไหน
เมื่อไหร่ อย่างไร ผู้เขียนมีจุดมุ่งหมายอย่างไรในการเสนอเร่ืองน้ี และประการสาคัญควรฝึกอ่านจับ
ใจความอยู่เสมอจะช่วยให้อ่านหนังสือได้เร็วขึ้นและจับใจความสาคัญได้ดีขึ้น สาหรับสนิท ตั้งทวี,
(2538) กล่าวถึงหลักสาคัญของการอ่านจับใจความสรุปได้ว่า ควรอ่านเรื่องอย่างคร่าว ๆ พอเข้าใจ
และให้อ่านอย่างละเอียดอีกครั้งเมื่ออ่านแล้วตั้งคาถามกับตนเองว่าเรื่องน้ีมีใคร ทาอะไร ที่ไหน
เมื่อไหร่ อยา่ งไร ทาไม และรวบรวมคาตอบทง้ั หมดมาเรยี บเรยี งให้สละสลวยและเหมาะสมตามลาดับ
ความสาคัญของเนื้อหา สาหรบั จุไรรตั น์ ลักษณะศิริ, (2533) กล่าวถึงการอ่านจับใจความสาคัญในการ
อา่ นแต่ละย่อหน้าไว้ว่า นอกจากความพยายามค้นหาประโยคหรือข้อความท่ีมสี ารกลุ่มข้อความอื่น ๆ
ในแต่ละย่อหน้าไว้ทั้งหมดแล้วยังอาจใช้กลวิธีการอ่าน จับใจความสาคัญอย่างง่าย ๆ ด้วยการตัด
ประโยคหรือข้อความที่เป็นส่วนขยายหรือไม่จาเป็นในแต่ละ ย่อหน้าออกไปให้หมด ในที่สุดจะเหลือ
ส่วนท่ีเป็นใจความสาคัญของย่อหน้าได้เช่นกัน ส่วนท่ีตัดออกอาจจะมีดังน้ี เช่น ส่วนขยายหรือ
รายละเอยี ดต่าง ๆ ตัวอย่างประกอบข้อเปรียบเทียบตา่ ง ๆ สานวนหรือโวหารทีย่ กมาประกอบ คาถาม
และคาอธบิ ายของผู้เขยี น เป็นต้น
จากข้อมูลข้างต้นสรุปได้ว่า หลักการอ่านจับใจความต้องเร่ิมจากการต้ังจุดมุ่งหมายของการ
อ่านแล้วอ่านอย่างเข้าคร่าว ๆ โดยตลอด หลังจากนั้นอ่านให้ละเอียดเพ่ือให้เห็นความสมั พันธ์ระหว่าง
ความคิดตา่ ง ๆ ของผอู้ ่าน ควรหาจดุ ม่งุ หมายให้พบ และเรยี บเรียงเป็นภาษาของตนเอง ถ้าเรอื่ งทอ่ี ่าน
มีหลายย่อหน้าให้จับใจความแต่ละย่อหน้า แล้วพิจารณาหาแก่นเร่ืองหรือแนวคิดสาคัญ โดยใช้วิธีตั้ง
คาถามว่าเร่อื งนีม้ ีใคร ทาอะไร ท่ไี หน เมอ่ื ไหร่ อย่างไร และทาไม จะทาให้มองเห็นประเด็นสาคัญหลัง
จากนนั้ ผอู้ ่านควรสรุปใจความเปน็ ภาษาสานวนของตนเอง
7
2. เอกสำรทเ่ี กยี่ วข้องกับกำรอำ่ นแบบ SQ3R
2.1 วิธีกำรสอนแบบ SQ3R
ความเป็นมาของการอ่านแบบ SQ3R เร่ิมขึ้นคร้ังแรกในช่วงต้นของปี 1940 - 1949
โดยฟรานซิส โรบินสัน (Francis Robinson) ครูระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนปลายที่ให้นักเรียนได้
“สารวจ ตั้งคาถาม อ่าน เล่าและ ทบทวน” บทเรียนต่าง ๆ ในหนังสือเรียน และต่อมาโรบินสันจึง
ได้รับสมญานามว่า “คุณปู่แห่งกลยุทธ์ทางการศึกษา (The Grandfather of Study Strategies)”
(Lipson and Wixson, 2003) กลยุทธ์นี้ออกแบบข้ึนมาเพ่ือใช้กับงานเขียนในเชิงอธิบาย
( Huber, 2004 : 108) น อ ก จ า ก นี้ Ronald C. Feldt and Robert Hensley (2009, ห น้ า 584)
ได้กล่าวว่า โรบินสัน ได้พัฒนากลยุทธ์การศึกษา SQ3R เพ่ือปรับปรุงการเรียนโดยการรวมทักษะการ
เรียนระดับท่ีสูงข้ึนเข้าไว้ด้วยกัน เช่นเดียวกันกับ Victoria Pope Hubbell (1985, หน้า 108-112)
ที่ได้กล่าวว่าไว้ว่า SQ3R ถูกพัฒนาข้ึนมาในปี 1946 เพ่ือนามาพัฒนาในด้านการอ่านของนักเรียน
ในระดับมัธยม
ดีส และดีส, (Deese and Deese, 1979, อ้างถึงใน ฉวีวรรณ คูหาภินนัทน์, 2542) กล่าวว่า
วธิ ีอา่ นแบบ SQ3R นี้เร่มิ โดย ฟรานซิส พี โรบินสัน (Francis P. Robinson) ซ่ึงเปน็ ผู้เชี่ยวชาญด้าน
การอา่ นทมี่ หาวทิ ยาลัยโอไฮโอ (Ohio State University) ได้ศึกษาเทคนคิ การอา่ นและ แนะนาวธิ ีการ
อา่ นใหก้ ับนกั ศกึ ษาจนประสบผลสาเรจ็ เปน็ เวลานาน
8
2.2 ขน้ั ตอนกำรจัดกำรเรียนรู้ด้วยกำรอำ่ นแบบ SQ3R
นักการศึกษาหลายท่านไดก้ ลา่ วถงึ ขั้นตอนการจดั การเรยี นรู้ดว้ ยการอ่านแบบ SQ3R ดงั นี้
วิคตอเรีย โพพ ฮับเบิล, (Victoria Pope Hubbell, 1985) กล่าวว่า SQ3R ขึ้นอยู่กับทฤษฎี
กระบวนการการเรียนรู้ และทฤษฎีการเรียนรู้น้ีข้ึนอยู่กับการสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ อย่าง
สม่าเสมอมี 4 ข้ันตอน ดังต่อไปน้ี
1. ผู้เรียนต้องเริ่มต้นจากการอา่ นแบบผา่ นตา
2. ผู้เรยี นต้องประมวลความรู้ เพือ่ เข้าส่กู ระบวนการจา
3. ผเู้ รียนต้องสร้างโครงสรา้ งและจัดหมวดหม่ขู องขอ้ มลู ซ่ึงเป็นเครื่องมือทส่ี าคัญ
4. ข้อมูลจะถูกเก็บไว้เพื่อเรียกใช้ในอนาคต เน่ืองจากผู้เรียนน้ันมีการรับข้อมูลท่ีมากเกินกว่า
จะนาเข้าสู่กระบวนการได้อัตราการ นาเข้าความรู้ใหม่จากส่ิงแวดล้อมสู่ระบบการเรียนรู้ของผู้เรียน
น้ันมีอยู่อย่างจากัด โรบินสันจึงได้ออกแบบแต่ละส่วนของกระบวนการ SQ3R เพ่ือทาให้สะดวกกับ
กระบวนการนาเข้าข้อมูล และเขาได้ใช้เทคนิคเบ้ืองต้นในการเพิ่มความเข้าใจและเก็บรักษาความรู้
ดงั น้ี
ขั้นตอนแรก คือ การสารวจ (Survey) ซึ่งเชื่อว่าเป็นการเตรียมกระบวนการเพื่อสร้างข้อมูล
การสารวจนี้ พัฒนามาจากการสาธิตการวิจัยของการอ่านแบบ Skimming และการสรุปหัวขอ้ ในการ
อ่าน การสารวจนี้เป็นการต้ังเป้าหมายสาหรับท้ังหมด ซึ่งเป็นพื้นฐานของการกาหนดการอ่านของ
ผอู้ ่าน
ข้ันตอนท่ีสอง คือ กระบวนการ SQ3R ขึ้นอยู่กับทฤษฎีความเช่ือที่เสริมสร้างให้นักเรียนมี
ส่วนร่วมในการตั้งคาถาม (Question) ซ่ึงต้องการให้ผู้อ่านตั้งคาถามว่ามีสิ่งใดท่ีเรายังไม่ทราบจาก
ข้อมูลท่ีได้นาเสนอไป ขั้นตอนนี้ยังเป็นข้ันตอนที่ริเริ่มให้ผู้อ่านส่ือสารกับผู้เขียนอย่างรวดเร็ว และ
ขั้นตอนท่ีสาคัญนอกเหนือจากนี้ คือ การมีความเข้าใจที่เพียงพอต่อสิ่งที่อ่าน โรบินสันใช้คาถาม
เนื่องจากเขารู้สึกว่าคาสั่งหรือคาถามนั้น อาจเป็นเรื่องท่ีเฉพาะเจาะจงสาหรับผู้อ่าน การต้ังคาถามน้ี
จัดเป็นข้ันสูงของงานที่ได้รับมอบหมาย และคาถามที่เฉพาะเจาะจงนั้นทาให้เกิดความรวดเร็วและ
สามารถกาหนดทิศทางของการอ่านได้ ผลของการรู้คาถามก่อนอ่านน้ันจะทาให้ผู้อ่านกาหนด
เป้าหมายได้ว่าจะอ่านอะไร ย่ิงไปกว่านั้นคาถามยังต่อเนอื่ งกบั ตรรกะซ่ึงทาให้ส่ิงที่อา่ นจดจาง่าย เพราะ
คาถามทาให้ผู้อ่านได้ข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งโรบินสันเชื่อว่าจะสามารถเป็นตัวช่วยให้ นักเรียนจดจา
ข้อมลู ได้
ขั้นตอนท่ีสำม เปน็ ขน้ั ตอนของการอ่าน (Read) ผู้อ่านต้องจัดการและเลือกข้อมูลที่ ตอ้ งการ
เติมลงไปในช่องว่างของโครงสร้าง เมื่อนาข้ันตอน 3 ขั้น คือ Survey, Question และ Read มา
9
ประยุกต์ในการอ่านท่ีได้รับมอบหมายแล้ว พบว่า ผู้อ่านสามารถเข้าใจไดร้ วดเร็วขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม
ผลการศึกษานย้ี ังไมเ่ ป็นท่ีพอใจท้ังหมด 80 เปอร์เซ็นตข์ องส่ิงทีอ่ ่านน้ันจะลืมภายในสองสัปดาห์ โรบิน
สันจึงเกิดแนวคิดเกี่ยวกับการจดจานั้นสามารถพัฒนาได้ด้วยการทบทวน และทดสอบหลังจาก
การมอบหมายการอ่าน เม่ือส่วนของ Test - type Review ได้ใช้หลังจากการอ่านแล้วอัตราการลืม
น้ันลดลงจาก 80 เปอรเ์ ซ็นต์ เหลือเพยี ง 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อผา่ นไปสองสัปดาห์โรบินสนั จึงไดเ้ พิ่มสอง
ข้ันตอนสดุ ทา้ ยขนึ้ คอื Recite และ Review
ข้นั ตอนทีส่ ่ี การทอ่ งจา (Recitation) ใชเ้ พอ่ื เชค็ ความเข้าใจของแนวคิดท่ีแน่นอนในสว่ นของ
ความจา ซ่ึงในทฤษฎีกระบวนการเรียนรู้ การท่องจาน้ันมีเหตุผลสาคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก
เมื่อผู้อ่านท่องจาภายหลังจากการอ่านแล้วจะสามารถอ่านได้อย่างกระตือรือร้นมากข้ึน และมีการ
ประเมิน และการเลือกเครือ่ งมอื เพ่ือท่ีจะทาซา้ และประการทส่ี อง ทฤษฎกี ระบวนการสรา้ งขอ้ มูลของ
ผู้เรียนจะเกิดขึ้นได้รวดเร็ว มีทั้งความจาระยะส้ัน ๆ และความจาระยะยาว การวิจัยเร่ืองทบทวน
ความจาของโรบินสันน้ันเสนอว่า การท่องจาเป็นการนาเขา้ ข้อมูลอย่างช้า ๆ ซ่ึงมีการใช้เวลาสาหรับ
กระบวนการทผี่ ู้อา่ นท่จี ะเปลีย่ นระยะความจาสั้น ๆ เป็นความจาระยะยาว
ขั้นตอนสุดท้ำย คือ การทบทวน (Review) โรบินสันเชื่อว่า สามารถลดอาการลืมได้การ
ทบทวนครั้งแรกควรเริ่มทันทีหลังจากการอ่านหนึ่งครั้ง การทบทวนอื่น ๆ ควรจะเกิดขึ้นหลังจาก
การทดสอบ ซ่ึงการอ่าน 5 ขั้นตอนของกระบวนการ SQ3R นี้เป็นทฤษฎีท่ีสามารถนาไปใช้ได้อย่าง
ราบร่ืน และมีประโยชน์ ทาให้อ่านได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพและยังสามารถพัฒนาระดับ
ทักษะการอ่านให้สูงข้ึนในการอ่านตาราเรียนในระดับมหาวิทยาลัย SQ3R จึงเป็นท่ียอมรับอย่าง
แพร่หลาย เพราะกลยุทธ์น้ีได้ออกแบบมาเพื่อตอบรับการ จัดการในระดับที่สูงขึ้นเพ่ือท่ีจะกาหนด
เปา้ หมายในการอ่านโดยเฉพาะ เพ่ือใช้วดั ความเขา้ ใจและกาหนดความจาของตนเอง ซึ่งปจั จยั เหลา่ นี้
เป็นปจั จัยที่มคี วามจาเปน็ ตอ่ การอ่านในระดบั สูงของผู้ใหญ่
ดีส และดีส, (Deese and Deese, 1979, อ้างถึงใน ฉวีวรรณ คูหาภินนัทน์, 2542) กล่าวถึงวิธีการ
อา่ นสั้น ๆ เพอื่ ใหจ้ าง่าย คือ Survey Q3R หรือ SQ3R มี 5 ขัน้ ตอน สรปุ ได้ดงั น้ี
1. S (Survey) การสารวจ หมายถึง การสารวจชื่อหนังสือ ดูช่ือผู้แต่ง ชื่อหนังสือ ดู
จุดมุ่งหมาย และแนวคิดของผู้แต่งจากคานา สารวจเน้ือเร่ืองจากสารบัญซ่ึงถือเป็นส่วนด้านหน้า
(Front Matter) ของหนังสือ จากน้ันจึงสารวจด้านหลัง (Back Matter) ของหนังสือ ได้แก่ ดัชนี
อภิธานศัพท์ ภาคผนวก บทสรุป แบบฝึกหัด สารวจเน้ือเรื่องทั้งเล่มอย่างรวดเร็ว อ่านหัวเรื่อง
(Heading) ในแตล่ ะบท
10
2. Q (Question) การต้ังคาถามเก่ียวกับจุดมุ่งหมายในการอ่าน หลังจากอ่านสารวจ เสร็จ
แล้ว ต้ังคาถามถามตนเองว่าส่ิงที่ต้องการทราบน้ันคืออะไร หรือต้องการอ่านเก่ียวกับอะไร และต้ัง
คาถามจากเนือ้ เรอ่ื งทีอ่ ่านตามลาดับหวั ข้อเรื่องในแตล่ ะย่อหนา้
3. R1 (Read) อ่านเพอื่ ตอบคาถามท่ีตนอยากรู้ เปน็ คาถามทผ่ี ู้อา่ นตง้ั ไว้ในใจและคดิ วา่ สาคัญ
ซึ่งจะต้องอ่านอย่างละเอียด เพ่ือจับใจความสาคัญในแต่ละย่อหน้าอย่างรอบคอบ ขีดเส้นใต้ เฉพาะ
ส่วนที่สาคัญ ให้ความสนใจคา วลี หรือประโยคท่ีพิมพ์ตัวเอนหรือตัวหนา การอ่านในข้ันน้ี เป็นการ
อา่ นเพอ่ื ตอบคาถามทผ่ี ู้อ่านต้ังไว้ หากข้อความใดไม่เขา้ ใจให้บนั ทึกไวเ้ พื่อถามผสู้ อน
4. R2 (Recite) การจดจา เม่ือเข้าใจคาตอบและเนื้อเรื่องจากการอ่านแล้วควรพยายาม
จดจาข้อความที่สาคัญ ซ่ึงเป็นหัวใจของการอ่านโดยการจดบันทึกย่อหรือขีดเส้นใต้เพื่อเตือนความจา
ของตนเอง และพยายามถามตนเองว่า จากการอ่านคร้ังน้ีได้ความคิดอะไรใหม่ ๆ บ้าง ทดสอบ
ความจาโดยการปดิ หน้ากระดาษแล้วดูบนั ทึกที่เขียนไว้ว่าจาได้หรอื ไม่ ถ้าตอบไม่ไดใ้ ห้ ทบทวนคาถาม
คาตอบ และท่องจาจากความเข้าใจ
5. R3 (Review or Reconstruct) เป็นการทบทวนเรื่องราวท้ังหมดจากการอ่าน และทา
บนั ทึกย่อจากความจาว่าถูกต้องและจาไดห้ รือไม่ ทบทวนจุดสาคัญใหญ่ ๆ และจุดสาคัญรองลงมาอีก
คร้ังหนึ่ง
นฤมล สวนพันธ์, (2548) กล่าวว่า การสอนอ่านโดยใช้วิธี SQ3R เป็นวิธีการหนึ่งท่ีจะช่วยให้
ผู้อ่านพัฒนาการอ่านจากการอ่านออก แปลความหมายได้ ไปสู่การอ่านเป็นมี 5 ข้ันตอน คือ
การดู การถาม การอ่าน การท่อง และการทบทวน ให้ครูรู้จักความสามารถทางการอ่านอย่างมี
วจิ ารณญาณของนักเรียนโดยนาผลจากการอ่านอยา่ งมีวิจารณญาณไปปรับปรุงวิธีสอนต่อไป
สุนนทั า มนั่ เศรษฐวิทย์, (2543) กลา่ วถึงลาดบั ขนั้ ในการสอนอา่ นด้วยวิธี SQ3R ไวด้ งั นี้
1. ขั้นสารวจ ในขั้นนี้ครูแจกเรื่องที่ต้องการให้นักเรียนอ่าน แล้วแนะนาให้นักเรียน สารวจ
ด้วยการอ่านช่ือเรื่อง ช่ือผู้แต่ง เปิดดูเนื้อเร่ืองอย่างคร่าว ๆ ดูภาพ แผนท่ีหรือกราฟ ตลอดจน
ส่วนประกอบอื่น ๆ ท่ีเป็นส่วนรวมของเร่ือง ในขั้นนี้ควรใช้เวลาอย่างรวดเร็ว การกาหนดเวลาขึ้นอยู่
กับความยาวและความซบั ซอ้ นในสว่ นประกอบของเรอ่ื ง
2. ข้ันตั้งคาถาม ในข้ันน้ีครูจะให้นักเรียนต้ังคาถามในเรื่องที่ได้ทาการสารวจมาแล้ว จานวน
ข้อคาถามจะเป็นกี่ข้อน้ันข้ึนอยู่กับเวลาท่ีครูกาหนดให้คิดคาถามอาจเป็น 8 - 10 นาที หรือ อาจเป็น
15 นาที เมื่อนักเรียนคิดคาถามได้แล้วครูจึงเขียนคาถามบนกระดานเพ่ือจะได้เห็นชัดเจน คาถามใดที่
ซ้ากันให้ตัดออก เลือกเฉพาะคาถามท่ีตรงประเด็น และเป็นคาถามที่ก่อให้เกิดความรู้ท่ีนักเรียน
สามารถจะค้นหาคาตอบได้
11
3. ข้ันอ่าน ครูให้นักเรียนอ่านเรื่องให้ละเอียดเพ่ือค้นหาคาตอบให้ตรงคาถามที่ต้ังไว้ในข้ันน้ี
หากนักเรยี นมีขอ้ สงสัยเพม่ิ ขน้ึ ก็อาจหาคาตอบเพิม่ จากคาถามที่กาหนดไวแ้ ตเ่ ดมิ
4. ข้ันเล่าเร่ือง ครูให้นักเรียนช่วยกันเล่าเรื่องจากที่อ่านมาท้ังหมดเพ่ือตอบคาถามให้ ได้
ครบถ้วน คาตอบบางข้อท่ีไม่สมบูรณ์ควรร่วมกันอภิปรายแสดงความคิดเพื่อให้ได้มาซ่ึงความ ชัดเจน
ของคาตอบ
5. ขัน้ ทบทวน ครูให้นักเรียนอ่านทบทวนเรื่องอย่างละเอียดอีกครง้ั หนึ่งเพื่อให้เกิดความเข้าใจ
อีกทั้งเป็นการป้องกันการลืมเนื้อเร่ืองทั้งหมดที่อ่านมา ในข้ันน้ีนักเรียนจะมองเห็นความสัมพันธ์
ระหว่างความคิดของผู้เขียนและองค์ประกอบที่สาคัญของเนื้อเรื่อง ซ่ึงในส่วนนี้จะช่วยให้นักเรียน
พัฒนาในด้านความคดิ วิจารณญาณเพิม่ ขึ้น
สมุทร เซ็นเชาวนิช, (254) กล่าวว่า เทคนิคท่ีมักจะใช้กันมากและค่อนข้างจะเป็นท่ีรู้จักกันดี
คอื เทคนคิ ดู ถาม อา่ น ทอ่ ง ทวน หรอื SQ3R เทคนิคนีป้ ระกอบขึ้นด้วย 5 ขน้ั ตอน เรียงลาดับ ดังน้ี
1. ดู (S = Survey) เป็นการอ่านดูแบบผ่านไปอย่างคร่าว ๆ ก่อน เพื่อดูว่าเนื้อหาในบท
นั้น ๆ มคี วามยาวมากนอ้ ยขนาดไหน และในเวลาเดียวกันกเ็ พอื่ ตอ้ งการจะจับใจความ โดยทั่วไปใหไ้ ด้
เสียช้ันหนึ่งก่อนดูหัวข้อเรื่องในแต่ละบทว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกับบทก่อน ๆ หรือไม่พิจารณา
รปู ภาพถ้ามีดูตารางกราฟ แผนภูมิหรือแผนผัง ต่อจากน้นั จึงดวู ่ามคี าถามหรือ สรปุ ใจความไว้ทา้ ยบท
หรอื ตอนท้ายหรอื ไม่ ในข้นั นจี้ ะไม่ใช้เวลามากนัก
2. ถาม (Q = Question) หลังจากอ่านดูอย่างคร่าว ๆ แล้ว ก็อาจจะพอเข้าใจเน้ือหา
โดยทั่วไปได้บ้าง จากนั้นพยายามต้ังคาถามถามตัวเอง คาถามที่ว่านี้ควรจะต้องเก่ียวข้องกับใจความ
สาคญั ๆ ในบทนน้ั ๆ โดยตรง อาจได้มาจากหัวข้อย่อย ๆ และท่สี าคญั คือคาถามจะตอ้ งสมั พนั ธก์ ันกับ
สิ่งท่ีกาลังอ่านอยู่ อยา่ งไรก็ตามควรถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าใจความสาคัญทีผ่ ู้เขียนกาลังพูดถึงน้ัน
คืออะไร ทาไมจึงสาคัญ สาคัญอย่างไร เก่ียวข้องกับใครบ้างและเมื่อไร หรือตอนไหน พยายามต้ัง
คาถามให้ได้เพราะจะช่วยทาให้การอ่านในขั้นตอนต่อไปเป็นไปอย่างมีจุดหมายและจับประเด็นท่ี
สาคญั ๆ ไดถ้ กู ตอ้ งไม่ผดิ พลาด
3. อ่าน (R = Read) ในข้ันน้ีจะต้องกลับมาอ่านข้อความในบทหรือในข้ันตอนนั้น ๆ ซ้าอีก
อย่างค่อนข้างละเอียด การอ่านอย่างแท้จริงจะเกิดข้ึนในข้ันนี้ควรพยายามอ่านให้เร็วข้ึนกว่าเดิม
เพราะเข้าใจและทราบดีอยู่แล้วว่าอ่านเพ่ือค้นหาคาตอบสาหรับคาถามท่ีได้ต้ังขึ้นไว้แล้ว และขณะท่ี
กาลังอ่านอยู่ถ้าเกิดนึกคาถามอะไรข้ึนมาได้อีกก็จดบันทึกไว้ก่อน แล้วอ่านต่อไปจนกว่าจะได้คาตอบ
เปน็ ท่ีน่าพอใจ
4. ท่อง (R = Recite) เม่ืออ่านจบแต่ละตอนหรือแต่ละบทแล้วควรจะทาสรุปใจความสาคัญ
ไว้พยายามใช้ถ้อยคาของตนเองใหม้ ากท่ีสุดเท่าที่จะทาได้ อาจจะเร่ิมด้วยการอ่านทวน คาถามซ้าอีก
12
เพื่อจะสรุปคาตอบได้ง่าย การสรุปคาตอบน้ันอาจทาในรูปของเค้าโครงร่าง (Outline) ก็ได้หรืออาจ
ใช้วิธีตอบคาถามแบบปากเปล่าระหว่างเพ่ือนสองต่อสองก็ได้ ซึ่งเท่ากับเป็นการทดสอบดูว่าตัวเอง
เข้าใจประเด็นสาคัญ ๆ ไดถ้ ูกตอ้ งหรอื ไม่ พยายามเช่ือมโยงใจความสาคญั ในบทหรือในตอนกอ่ น ๆ ให้
สัมพนั ธก์ นั ซึง่ จะช่วยใหก้ ารอ่านในบทต่อ ๆ ไปไดใ้ จความต่อเน่ืองกนั ดว้ ย
5. ทวน (R = Review) ในขั้นนี้เป็นการทบทวนส่ิงต่างๆท่ีได้จดบันทึกย่อไว้หลังจากที่ได้อ่าน
จบแลว้ อาจจะเป็นการอ่านทวนคาถาม - คาตอบ ในหวั ข้อเรื่องใหญ่ ๆ และสาคญั ๆ เพือ่ เป็นการฟื้น
ความจา ถ้าหากยังไม่แน่ใจหรือไม่มน่ั ใจในตอนไหนหรือบทใดก็กลับไปอ่านซ้าใหมอ่ ีกเพื่อใหจ้ ดจาได้ดี
ข้ึน
สดุ ารกั ษ์ สวุ รรณทอง, (2553) กล่าวถงึ วิธีการและขนั้ ตอนการอา่ นแบบ SQ3R ไว้ ดงั นี้
1. S = Survey หมายถึง การสารวจเพ่อื ใหเ้ ห็นภาพกวา้ ง ๆ เก่ยี วกบั เรื่องนน้ั เพ่อื ดู ขอบเขต
ของเนื้อหาของข้อเขียนน้ันอย่างคร่าว ๆ เช่น การอ่านส่วนท่ีเป็นชื่อเรื่อง คานา สารบัญ คาช้ีแจง
ภาพประกอบตา่ ง ๆ บทสรปุ และคาสาคัญ
2. Q = Question หมายถึง การตั้งคาถามเกี่ยวกับเน้ือเรื่องท่ีอ่าน การต้ังคาถามใน ขณะที่
อ่านจะช่วยให้เราต้ังใจและจดจ่ออยู่กับส่ิงท่ีอ่านได้เป็นอย่างดี หลังจากท่ีอ่านจบแล้วผู้อ่านสามารถ
บันทกึ สาระที่อ่านไดเ้ นอ่ื งจากเป็นการอ่านท่ีมีจุดมงุ่ หมายชัดเจน
3. R = Read หมายถึง การอ่านเพื่อค้นหาคาตอบให้แก่คาถามท่ีต้ังไว้ คาที่พิมพ์ด้วย
ลักษณะที่แตกต่างไปจากปกติและภาพประกอบต่าง ๆ เป็นส่ิงท่ีช่วยในการทาความเข้าใจเน้ือเรื่อง
ทันทีที่พบคาตอบ ควรใช้ปากกาสีต่าง ๆระบายที่ข้อความนั้นๆเพื่อให้มองเห็นไดง่าย แล้วเขียนคา
สาคัญไว้ในที่ว่างด้านข้างหรือขอบของหนังสือยังไม่ต้องบันทึกสิ่งที่ได้จากการอ่านอาจต้องอ่าน
ข้อเขยี นนน้ั ซ้าอกี หากยงั ไมเ่ ข้าใจ
4. R = Recite หรือ Recall หมายถึง การจาส่ิงที่อ่านไปแล้วก่อนท่ีจะอ่านส่วนต่อไปอาจ
ตรวจเช็คความจาด้วยการตอบคาถามเกี่ยวกับข้อความเหล่าน้ัน หากไม่สามารถตอบได้ให้เปิดดู คา
สาคัญท่ีเขียนไว้ แล้วพยายามตอบคาถามจากน้ันจึงเร่ิมต้นอ่านส่วนต่อไป เมื่อสามารถตอบ คาถาม
เหลา่ นั้นได้อย่างถกู ตอ้ งและคล่องแคลว่ ในขั้นตอนน้ีให้บันทึกสาระสาคัญท่ไี ด้จากการอ่าน ด้วยภาษา
ของตนเอง บันทกึ สิ่งทเ่ี ปน็ ข้อเทจ็ จรงิ และขอ้ คดิ เห็น
5. R = Review หมายถงึ การทบทวนภายหลงั จากทอี่ า่ นเร่อื งท้ังหมดจบแล้วด้วย การอา่ น
ออกเสียง เพื่อตรวจดูว่ามีความรู้ความจาเกี่ยวกับเร่ืองที่อ่านหรือไม่เพียงใด การทบทวนน้ีเป็นการ
ปฏบิ ัตขิ นั้ ตอนท่ี 1-3 อกี ครัง้ หนงึ่ เพ่ือให้มัน่ ใจว่าเราไมพ่ ลาดสาระสาคัญส่วนใด
13
จากการศึกษาขั้นตอนการจัดการเรียนรู้การอ่านแบบ SQ3R ข้างต้นผู้วิจัยได้สังเคราะห์
ข้ันตอนและวิธีจัดการเรียนรู้ของนักการศกึ ษาหลายทา่ น เพอ่ื พัฒนาความสามารถดา้ นการอา่ นอย่างมี
วจิ ารณญาณ โดยกาหนดขนั้ ตอนการจดั การเรียนรู้การอา่ นแบบ SQ3R ดงั น้ี
1. ขน้ั นาเขา้ สู่บทเรียน
2. ขน้ั สอน ประกอบดว้ ยกระบวนการอา่ น 5 ขนั้ ได้แก่
2.1 S (Survey) การอ่านสารวจเนอ้ื หาอยา่ งคร่าว ๆ ได้แก่ สารวจชื่อเรือ่ ง ชือ่ ผูแ้ ต่ง
ภาพประกอบ คาศพั ทย์ ากจากบทอ่านพจิ ารณา คานา และส่วนสรปุ ของเนอื้ หา
2.2 Q (Question) การตง้ั คาถามเกี่ยวกับเร่อื งท่อี า่ น
2.3 R1 (Read) การอา่ นเพ่ือหาคาตอบใหแ้ ก่คาถามท่ตี ั้งไว้
2.4 R2 (Recite) การจาและจดบนั ทกึ ข้อความสาคัญ
2.5 R3 (Review) การทบทวนประเดน็ สาคัญและประเมินค่าส่ิงท่ีอ่านอย่างมเี หตผุ ล
ภายหลงั จากทอ่ี า่ นเรือ่ งทั้งหมดจบแลว้
3. ขน้ั สรุป
ประโยชน์ของการอ่านแบบ SQ3R เป็นกระบวนการอ่านท่ีมีข้ันตอนช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียน
พัฒนาการอ่านได้ในระดับสูง ดังเช่นนักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงประโยชน์ของการอ่านแบบ
SQ3R ไว้ดงั น้ี คมคาย หม่ืนสาย, (2526) กล่าวถงึ ประโยชน์ของการอา่ นแบบ SQ3R ไว้ว่าเป็น วิธกี าร
ท่จี ะช่วยให้ผอู้ ่านได้พัฒนาการอ่านจากการอา่ นออก แปลความหมายไดไ้ ปสกู่ ารอา่ นเป็น กลา่ วคือ
1. เปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้ฝึกอ่านเร็วในข้ันสารวจ (S = Survey) และในขั้นนี้ผู้อ่านจะได้ฝึก
การกวาดสายตา ฝึกการอา่ นในใจ และสรา้ งความเงียบในช้นั เรียน
2. เปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้ฝึกความคิดในข้ันถาม (Q = Question) เป็นการฝึกฝนการแปล
ความหมาย การวิเคราะหเ์ นอ้ื เรอื่ งการแปลความคดิ ของผเู้ ขยี น ฝกึ การตคี วาม
3. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในข้ันอ่าน (R = Read) เพราะในข้ันนี้ผู้อ่านต้องอ่าน
อย่างตัง้ ใจ และทาความเข้าใจเน้อื หาของแบบฝึกการอ่านอย่างจริงจงั
4. ฝกึ ให้ผอู้ ่านเกิดความแม่นยาในการจดจาเนอื้ หาอย่างถูกต้องเป็นการฝกึ ในข้ันท่อง
(R = Recite) และทวน (R = Review) เพราะในข้ันน้ีผู้อ่านจะต้องสรุปคาตอบและตรวจทานเน้ือหา
ในแบบฝึกทอี่ ่าน เพอื่ ความจาอย่างถกู ตอ้ งและแมน่ ยา
14
ชนัดดา แนบเกษร, (2535) กลา่ วถงึ ประโยชนข์ อง SQ3R ไวด้ ังนี้
1. เป็นวิธีการอ่านที่เตรียมการอ่าน เพื่อจัดระเบียบโครงสร้างทางสมองของผู้อ่าน ผู้อ่าน
สามารถตงั้ จดุ มุ่งหมายในการอา่ น และสามารถคดิ คาดการณ์ลว่ งหนา้ ได้ดว้ ยตนเอง
2. เป็นวิธีการอ่านท่ีทาให้ผู้อ่านรู้สึกว่าค้นหาบางส่ิงบางอย่างที่อ่านแบบเฉพาะเจาะจง
มากกวา่ เถลไถลไปโดยปราศจากจุดมุง่ หมายในสิง่ ที่อ่าน
3. เปน็ วธิ กี ารอ่านทีผ่ ู้อ่านสามารถประเมินความเขา้ ใจในการอ่านได้ดว้ ยตนเอง
4. เป็นวิธีการอ่านท่ีเรา้ ใจให้ผู้อ่านค้นหาคาตอบหรือข่าวสาร ซ่ึงเม่ือผู้อ่านคน้ พบคาตอบหรือ
ข่าวสารท่ีต้องการค้นหาได้แล้วนั้น ทาให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเป็นรางวัลที่ตนเองได้รับผลสาเร็จบางสิ่ง
บางอย่าง และถ้าผู้อ่านสามารถจาข่าวสารได้ในทันทีทันใดและสามารถตรวจสอบ โดยการระลึกจาก
ความจาไดจ้ ะเป็นรางวลั ของตนเองมากยิง่ ขึ้น
เอมอร เนียมน้อย, (2546) กล่าวว่าประโยชน์ของการอ่านแบบ SQ3R สามารถใช้พัฒนา
ทักษะ การอ่านให้ถึงขั้นการอ่านอย่างมีวิจารณญาณได้เป็นอย่างดี เพราะวิธีอ่านแบบ SQ3R มี
ขั้นตอนฝึกให้ผู้อ่านต้องคิดและเขียนในขณะที่อ่านอยู่ตลอดเวลา ช่วยลาดับความคิดอย่างเป็น
ระบบและมีเหตุผลทาให้สามารถวเิ คราะหแ์ ละสังเคราะห์เนอ้ื หาได้ถกู ตอ้ ง ชดั เจน
สรุปได้ว่าวิธีอ่านแบบ SQ3R เป็นวิธีการที่จะช่วยให้ผ้อู ่านไดพ้ ัฒนาการอา่ นจากการอ่านออก
แปลความหมายได้ไปสู่การอ่านเป็นหรือการอ่านข้ันวิจารณญาณด้วยการฝึกฝนผู้เรียน ให้เกิด
กระบวนการอ่าน 5 ข้ันได้แก่ การอ่านสารวจเน้ือหาอย่างคร่าว ๆ การตั้งคาถามเกี่ยวกับเร่ืองที่อ่าน
การอ่านเพื่อหาคาตอบให้แก่คาถามที่ต้ังไว้ การจาและจดบันทึกข้อความสาคัญ การทบทวนประเด็น
สาคัญและประเมนิ ค่า
2.3 ประโยชน์ของกำรอำ่ นแบบ SQ3R
SQ3R เป็นกระบวนการอ่านท่ีมีขั้นตอนช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาการอ่านได้ใน ระดับสูง
ดังเชน่ นกั การศึกษาหลายทา่ นไดก้ ล่าวถึงประโยชน์ของการอ่านแบบ SQ3R ไว้ดงั นี้
ชนดั ดา แนบเกษร, (2535) กลา่ วถงึ ประโยชนข์ อง SQ3R ไวด้ งั นี้
1. เป็นวิธีการอ่านที่เตรียมการอ่าน เพื่อจัดระเบียบโครงสร้างทางสมองของผู้อ่าน ผู้อ่าน
สามารถตง้ั จุดมงุ่ หมายในการอ่าน และสามารถคดิ คาดการณล์ ่วงหน้าได้ด้ ว้ ยตนเอง
2. เป็นวิธีการอ่านท่ีทาให้ผู้อ่านรู้สึกว่าค้นหาบางส่ิงบางอย่างที่อ่านแบบเฉพาะเจาะจง
มากกว่าเถลไถลไปโดยปราศจากจดุ มุ่งหมายในส่ิงที่อา่ น
3. เป็นวิธีการอา่ นท่ีผูอ้ ่านสามารถประเมนิ ความเขา้ ใจในการอ่านได้้ดว้ ยตนเอง
4. เป็นวิธกี ารอา่ นที่เรา้ ใจให้ผูอ้ ่านคน้ หาคาตอบหรือขา่ วสาร ซงึ่ เมื่อผู้อา่ นคน้ พบ คาตอบหรือ
ข่าวสารที่ต้องการค้นหาได้แล้วน้ันทาให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเป็นรางวัลท่ีตนเองได้รับ ผลสาเร็จบางส่ิง
15
บางอย่าง และถ้าผู้อ่านสามารถจาข่าวสารได้ในทันทีทันใดและสามารถตรวจสอบ โดยการระลึกจาก
ความจาไดจ้ ะเปน็ รางวลั ของตนเองมากยิง่ ขึน้
คมคาย หม่ืนสาย, (2526) กล่าวถึงประโยชน์ของการอ่านแบบ SQ3R ไว้ว่าเป็นวิธีการที่จะ
ชว่ ยให้ผู้อ่านได้พัฒนาการอ่านจากการอา่ นออก แปลความหมายได้ ไปสู่การอ่านเปน็ กลา่ วคอื
1. เปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้ฝึกอ่านเร็วในข้ันสารวจ (S = Survey) และในขั้นน้ีผู้อ่านจะได้ฝึก
การกวาดสายตา ฝกึ การอา่ นในใจ และสร้างความเงยี บในชน้ั เรียน
2. เปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้ฝึกความคิดในขั้นถาม (Q = Question) เป็นการฝึกฝนการแปล
ความหมาย การวเิ คราะห์เนอ้ื เรอื่ ง การแปลความคดิ ของผ้เู ขยี น ฝึกการตคี วาม
3. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในข้ันอ่าน (R = Read) เพราะในข้ันนี้ผู้อ่านต้องอ่าน
อยา่ งตงั้ ใจ และทาความเข้าใจเนอื้ หาของแบบฝึกการอ่านอยา่ งจริงจงั
4. ฝกึ ใหผ้ ้อู ่านเกิดความแม่นยาในการจดจาเน้อื หาอย่างถกู ตอ้ งเปน็ การฝึกในข้นั ทอ่ ง (R = Recite)
และทวน (R = Review) เพราะในข้ันนี้ผู้อ่านจะต้องสรุปคาตอบและตรวจทานเน้ือหา ในแบบฝึกที่
อ่าน เพอ่ื ความจาอย่างถูกตอ้ งและแมน่ ยา
เอมอร เนียมน้อย, (2546) กล่าวว่าประโยชน์ของการอ่านแบบ SQ3R สามารถใช้ พัฒนา
ทักษะการอ่านให้ถึงขั้นการอ่านอย่างมีวิจารณญาณได้เป็นอย่างดี เพราะวิธีอ่านแบบ SQ3R มี
ข้ันตอนฝึกให้ผู้อ่านต้องคิดและเขียนในขณะท่อี ่านอยูต่ ลอดเวลา ช่วยลาดบั ความคิดอย่างเป็น ระบบ
และมีเหตผุ ล ทาให้สามารถวเิ คราะห์และสงั เคราะห์เนือ้ หาไดถ้ กู ต้อง ชัดเจน
จิราภรณ์ สกุลเหลืองอร่าม, (2554) กล่าวว่าประโยชน์ของการอ่านแบบ SQ3R สรุปได้ว่า
เทคนิค SQ3R มีข้ันตอนการอ่านทีส่ ่งเสริมให้นักเรียนใช้กระบวนการคิดในการตั้งคาถามเกี่ยวกบั เนื้อ
เร่ือง จงึ ทาให้นกั เรียนอ่านอย่างมจี ุดมุ่งหมาย เพ่ือค้นหาคาตอบ นอกจากนั้นมกี ารเขียนเพื่อสรุปเร่ือง
ท่ีอ่าน ซ่ึงเป็นการใช้ความคิดข้ันสูง คือ ให้นักเรียนเขียนบันทึกย่อเพ่ือการเล่าเรื่อง การที่นักเรียนจะ
เล่าเร่ืองได้น้ัน นักเรียนจะต้องสรุปสาระสาคัญของเรื่องได้ทั้งหมดจึงจะสามารถเล่าเร่ืองได้ สุดท้าย
นักเรียนยังต้องอ่านทบทวนบันทึกย่ออีกคร้ัง ซึ่งเป็นการตรวจสอบความถูกต้อง สมบูรณ์ เพ่ือจะได้
จดจาไดอ้ ย่างครบถ้วน
สรุปได้ว่าวิธีอ่านแบบ SQ3R เป็นวิธีการทจ่ี ะช่วยให้ผอู้ ่านได้พัฒนาการอา่ นจากการอ่านออก
แปลความหมายได้ไปสู่การอ่านเป็นหรือการอ่านข้ันวิจารณญาณด้วยการฝึกฝนผู้เรียนให้เกิด
กระบวนการอ่าน 5 ข้ันได้แก่ การอ่านสารวจเนื้อหาอย่างคร่าว ๆ การตั้งคาถามเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน
การอ่านเพ่ือหาคาตอบให้แก่คาถามท่ีต้ังไว้ การจาและจดบันทึกข้อความสาคัญ การทบทวนประเด็น
สาคัญและประเมินค่า
16
3. งำนวจิ ยั ท่ีเกย่ี วขอ้ งกับกำรอ่ำนแบบ SQ3R
เอมอร เนยี มน้อย, (2546) ได้ทาการศึกษาเรื่อง ผลสัมฤทธิ์การอ่านอยา่ งมีวิจารณญาณ ด้วย
วิธีอ่านแบบ SQ3R ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ช้ันปีที่ 1 การวิจัย คร้ังนี้มีจุดประสงค์เพ่ือ สร้าง
เคร่ืองมือในการพัฒนาทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณด้วยวิธีอ่านแบบ SQ3R และเพื่อ
เปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิการอ่านอย่างมีวจิ ารณญาณด้วยวิธีอา่ นแบบ SQ3R ระหว่างก่อนและหลังการ
สอนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ช้ันปีท่ี 1 สถาบันราชภัฏกาแพงเพชร กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ใน
การศึกษาเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 โปรแกรมวิชาภาษาอังกฤษ ภาคเรียนท่ี 2 ปี
การศึกษา 2545 สถาบันราชภัฏกาแพงเพชร จานวน 40 คน เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวิจัย ได้แก่ แบบฝึก
การอ่านและแผนการสอนอ่านอย่างมีวิจารณญาณ ด้วยวิธี SQ3R ผลการวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธิ์
ทางการอา่ นอยา่ งมวี ิจารณญาณที่สอนด้วยวิธีอ่านแบบ SQ3R มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญ
ทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมุตฐิ าน
นฤมล สวนพันธ์, (2548) ได้ทาการศึกษาเร่ือง เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านอย่างมี
วิจารณญาณ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ท่ีสอนอ่าน ด้วยวิธี
วิทยาศาสตร์กับการสอนอ่านด้วยวิธี SQ3R การวิจัยครั้งน้ีมีจุดมุ่งหมายเพ่ือเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์
ด้าน กา รอ่ านอย่า งมีวิจ ารณญา ณที่สอน อ่า นด้ วย วิธี วิ ทย าศาสต ร์ร ะห ว่า งก่อ นเ รีย นกับ หลั งเ รีย น
เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านอย่างมีวิจารณญาณที่สอนอ่านด้วยวิธี SQ3R ระหว่าง ก่อนเรียน
กับหลังเรียน และเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิด้านการอ่านอย่างมีวิจารณญาณท่ีสอนอ่านด้วยวิธี
วิทยาศาสตร์กับการสอนอ่านด้วยวิธี SQ3R กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
โรงเรียนบรรจงรัตน์ จังหวัดลพบุรี ทก่ี าลงั ศึกษาในภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2547 เครื่องมอื ท่ีใช้ ใน
การวิจัยประกอบด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิด้านการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ แบบฝึกการอ่าน
อย่างมีวิจารณญาณ และแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีวิทยาศาสตร์และวิธี SQ3R ผลการวิจัย พบว่า
นักเรียนท่ีได้รับการสอนอ่านด้วยวิธีวิทยาศาสตร์กับการสอนอ่านด้วยวิธี SQ3R มีผลสัมฤทธ์ิด้านการ
อา่ นอยา่ งมวี ิจารณญาณสูงขนึ้ แตกตา่ งกนั อย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ิที่ระดบั .01
ณันท์ขจร กันชาติ, (2550) ได้ทาการศึกษาเรื่อง ผลของการสอนอ่านแบบ SQ3R ท่ีมีต่อ
ความสามารถในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณและความสนใจในการอ่านภาษาไทยของนักเรียนชั้น
ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 มวี ัตถุประสงค์ในการวิจัยดงั นี้
1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถใน การอ่านอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี
ที่ 6 ก่อนและหลงั ไดร้ บั การสอนอา่ นแบบ SQ3R
2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นประถมศึกษา
ปที ี่ 6 ก่อนและหลงั ได้รบั การสอนอา่ นแบบ SQ3R กบั เกณฑ์
17
3) เพื่อเปรียบเทียบความสนใจในการอ่านภาษาไทยของนักเรียนก่อนและหลังได้รบั การสอน
อ่านแบบ SQ3R
4) เพ่ือเปรียบเทียบความสนใจในการอ่านภาษาไทยของนักเรียนก่อนและหลังได้รับการสอน
อ่านแบบ SQ3R กับเกณฑ์กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านน้าโท้ง
สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษากาแพงเพชร เขต 1 จานวน 30 คน เครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวม
ข้อมูล คือ แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณและแบบสอบถามวัดความ
สนใจในการอ่านภาษาไทยแบบมาตราส่วนประมาณค่า ผลการวิจัยพบว่าความสามารถในการอ่าน
อย่างมีวิจารณญาณที่ได้รับการสอนอ่านแบบ SQ3R หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทาง
สถิติทรี่ ะดับ .05
กัญญา ร้อยลา, (2553) ได้ทาการศึกษาเรื่อง การพัฒนาความสามารถด้านการอ่าน
ภาษาไทยอย่างมีวจิ ารณญาณด้วยรูปแบบการอา่ น 5 ข้ันตอน (SQ3R) ของนักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่
4 โดยมวี ัตถุประสงคใ์ นการวจิ ัย
1) เพ่ือสร้างแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย ด้านการอ่านอย่างมีวิจารณญาณด้วย
รปู แบบการอา่ น 5 ขัน้ ตอน (SQ3R) ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 ให้มปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
2) เพ่อื เปรยี บเทียบความสามารถด้านการอ่านอยา่ งมีวิจารณญาณกอ่ นและหลงั เรยี น
3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการเรียนด้วยแผนการ
จัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย ด้านการอ่านอย่างมีวิจารณญาณด้วยรูปแบบการอ่าน 5 ขั้นตอน
(SQ3R) กลมุ่ ตวั อยา่ งที่ใช้ในการวิจัยเปน็ นักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 4 จานวน 55 คน โรงเรียนพยคั ฆ
ภมู ิวิทยาคาร อาเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 เครื่องมือ
ท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทยด้านการอ่านอย่างมี วิจารณญาณด้วย
รูปแบบการอ่าน 5 ขั้นตอน (SQ3R) ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 แบบทดสอบวัด ความสามารถด้านการ
อา่ นอย่างมีวิจารณญาณ ชนิดเลือกตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 30 ข้อ และ แบบสอบถามความพึงพอใจ
ของนักเรียนทเี่ รียนด้วยแผนการจัดการเรียนรรู้ ายวิชา ภาษาไทยด้านการอา่ นอยา่ งมวี ิจารณญาณดว้ ย
รูปแบบการอ่าน 5 ข้ันตอน (SQ3R) จานวน 15 ข้อ ผลการวิจัยพบว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัย
สร้างข้ึนมปี ระสิทธภิ าพ 84.43/82.97 ส่งผลใหน้ ักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 มีความสามารถด้านการ
อ่านอย่างมวี ิจารณญาณหลังเรียนสูงกว่ากอ่ น เรียนอย่างมีนยั สาคัญทางสถิตทิ ่ีระดับ .01 และนักเรยี น
มคี วามพึงพอใจโดยรวมอยูใ่ นระดับดีมาก
สุดารักษ์ สุวรรณทอง, (2553) ได้ทาการศึกษาเรื่อง ผลการเรียนรู้ภาษาไทยด้าน การอ่าน
อยา่ งมวี จิ ารณญาณ ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 โดยใช้การสอนอา่ นแบบ SQ3Rs มีความมงุ่ หมายเพ่อื
18
1) พฒั นาแผนการจดั การเรียนรภู้ าษาไทย ด้านการอ่านอย่างมวี ิจารณญาณ ช้นั มัธยมศกึ ษาปี
ท่ี 3 โดยใช้การสอนอ่านแบบ SQ3Rs ทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
2) เพื่อหาค่าดัชนี ประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาไทย ด้านการอ่านอย่างมี
วิจารณญาณ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 โดยใชก้ ารสอนอ่านแบบ SQ3Rs
3) เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ภาษาไทย ด้านการอ่านอย่างมีวิจารณญาณโดยใช้
การสอนอ่านแบบ SQ3Rs
4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ที่มีต่อการอ่านอย่างมี
วิจารณญาณ โดยใช้การสอนอ่านแบบ SQ3Rs กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
โรงเรียนคาแสนวิทยาสรรค์ อาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา
หนองบัวลาภู เขต 2 จานวน 44 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้
ภาษาไทย ด้านการอ่านอย่างมีวิจารณญาณชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โดยใช้การสอนอ่านแบบ SQ3Rs
จานวน 8 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนด้านการอ่านอย่างมีวิจารณญาณชนิด
เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 40 ข้อ ผลการวิจัย พบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทย
ด้านการอ่านอย่างมวี ิจารณญาณโดยใชก้ ารสอนแบบ SQ3Rs มดี ชั นปี ระสทิ ธิผลเท่ากับ 0.6895 แสดง
ว่านักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียน ร้อยละ 68.95 และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความ
พึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทย ด้านการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ โดยใช้การสอน
แบบ SQ3Rs อยูใ่ นระดับมาก
จิราภรณ์ สกุลเหลืองอร่าม, (2554) ได้ทาการศึกษาเรื่อง เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ การอ่าน
อย่างมีวิจารณญาณวิชาภาษาไทย ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนไผ่ดาพิทยาคม รัชมัง
คลาภิเษก ระหว่างกลุ่มที่สอนด้วยเทคนิค SQ3R กับกลุ่มที่สอนด้วยเทคนิค KWLH - Plus การวิจัย
ครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอ่านอย่างมีวิจารณญาณระหว่างกลุ่มท่ี สอนด้วย
เทคนิค SQ3R กับกลุ่มที่สอนด้วยเทคนิค KWLH-Plus กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ นักเรียน ช้ัน
มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรยี นไผ่ดาพิทยาคมรัชมังคลาภเิ ษก ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2554 เคร่อื งมือ
ท่ใี ช้ในการวิจยั ได้แก่ แผนการจดั การเรยี นรดู้ ้านการอ่านอย่างมวี จิ ารณญาณที่สอนด้วยเทคนคิ SQ3R
และ KWLH-Plus และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การอ่านอย่างมีวิจารณญาณ ผลการวิจัยสรุปได้ว่า
ผลสัมฤทธิ์ดา้ นการอ่านอย่างมีวิจารณญาณระหว่างกลุ่มท่ีสอนด้วยเทคนิค SQ3R กับกลุ่มที่สอน
ด้วยเทคนิค KWLH-Plus ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติท่ีระดับ .05 โดยค่าเฉลี่ยของคะแนน
ทดสอบหลังเรียนสงู กว่าก่อนเรียน
19
บทท่ี 3
วธิ กี ำรดำเนินกำรวิจยั
การวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความเรื่อง สุภาษิตพระร่วง ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ด้วยเทคนิคการอ่านแบบ SQ3R มวี ิธกี ารดาเนินการวจิ ยั ตามขัน้ ตอนดังต่อไปน้ี
3.1 ประชากรและกลุม่ ตวั อย่าง
3.2 เครือ่ งมือที่ใช้ในการทดลอง
3.3 แบบแผนการวจิ ยั
3.4 การสร้างเคร่ืองมือ
3.5 ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา
3.6 วิธกี ารดาเนินการวิจยั
3.7 การวิเคราะห์ขอ้ มลู
3.8 สถติ ทิ ีใ่ ช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มลู
3.1 ประชำกรและกลุ่มตวั อย่ำง
กลุ่มเป้าหมายท่ใี ชใ้ นการศกึ ษาคร้งั น้ี ได้แก่ นกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1/1 โรงเรยี นสตรีวัด
มหาพฤฒาราม ในพระบรมราชินปู ถมั ภ์ จานวนนักเรียนทงั้ หมด 35 คน
3.2 เครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นกำรทดลอง
3.2.1 แผนการจัดการเรียนรูเ้ รอื่ ง สภุ าษติ พระรว่ ง กลมุ่ สาระวิชาภาษาไทย ของนักเรยี นชนั้
มัธยมศึกษาปที ่ี 1
3.2.2 แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นกอ่ นเรียนและหลงั เรยี น 4 ตัวเลอื ก จานวน 20 ขอ้
3.3 แบบแผนกำรวจิ ยั
การวิจัยในครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงทดลอง โดยใช้กลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียว (One Group
Pretest -Posttest Design) (พวงรัตน์ ทวรี ตั น์, 2550.) ดังนี้
ตำรำงที่ 2 แบบแผนการวิจัย
กลมุ่ สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง
E T1 X T2
20
สัญลักษณท์ ่ีใชใ้ นแบบแผนการทดลอง
E แทน กลมุ่ ทดลอง
T1 แทน การสอบก่อนการทดลอง (Pretest)
X แทน การสอนโดยใช้เทคนิคการอ่านแบบ SQ3R
T2 แทน การสอบหลังการทดลอง (Posttest)
3.4 กำรสรำ้ งเครือ่ งมือ
แผนการจดั การเรียนรู้เร่ืองการอา่ นจบั ใจความ ผ้วู ิจัยได้สรา้ งแผนการจดั การเรียนรู้ตาม
ขน้ั ตอน ดังนี้
1. ศึกษาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3จากหลักสูตร
การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย และวิเคราะห์หลักสูตร
สถานศกึ ษา คาอธบิ ายรายวิชา เพ่อื นาไปจดั การเรยี นรู้
1.1 การกาหนดเนอื้ หาวชิ าเรือ่ ง พระบรมราโชวาท
1.2 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องสุภาษิตพระร่วง สาหรบั นักเรยี น
ช้นั มัธยมศึกษาปที ี 1 โดยใช้เวลาสอน 4 คาบ คาบละ 50 นาที ซึ่งมีแผนการจัดการเรียนรู้ 2 แผน ดังน้ี
1. แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 12 เรื่อง สุภาษติ พระรว่ ง จานวน 4 คาบ
2. แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 13 เรอื่ ง วเิ คราะห์คณุ ค่าสุภาษิตพระร่วง จานวน 1 คาบ
ซ่ึงมีสว่ นประกอบของแผนการจดั การเรยี นรู้ ดังนี้
1. มาตรฐานการเรยี นรู้ และตัวชวี้ ัด
2. สาระสาคัญความคดิ รวบยอด
3. สาระการเรยี นรู้
4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
5. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
6. สมรรถนะทส่ี าคญั ของผู้เรียน
7. กิจกรรมการเรยี นรู้
- ข้นั นา
- ขัน้ สอน
- ข้ันสรปุ
8. ส่อื อุปกรณ์แหล่งเรียนรู้
9. ชิ้นงาน/ภาระงาน
10. การวัดและประเมนิ ผล
11. บันทึกผลหลงั การจดั การเรียนรู้
21
1.3 นาแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีสร้างขึ้นให้หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ตรวจสอบความเหมาะสมด้านเนื้อหา ภาษาและกระบวนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบตรวจสอบ
ประเมินค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างคุณลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้กับวัตถุประสงค์
ของแผนการจดั การเรียนรู้ IOC พจิ ารณาและใหค้ ะแนนดังนี้
+1 = แน่ใจว่าคณุ ลักษณะของแผนการจัดการเรยี นรู้สอดคลอ้ งกับวัตถปุ ระสงค์
0 = ไมแ่ นใ่ จวา่ คณุ ลกั ษณะของแผนการจดั การเรียนรู้สอดคล้องกบั วัตถุประสงค์
-1 = แนใ่ จวา่ คณุ ลกั ษณะของแผนการจดั การเรียนร้ไู ม่สอดคล้องกบั วตั ถุประสงค์
1.4 ปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ตามคาแนะนาของหัวหน้ากลุ่มสาระ
การเรียนรู้ จากน้นั นาแผนการจดั การเรยี นรู้ไปใช้กับนกั เรยี นหอ้ งทดลอง
2. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น วจิ ัยได้ดาเนนิ งานตามขน้ั ตอน ดงั นี้
2.1 ศึกษาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1
จากหลักสูตรการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
2.2 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสาระการเรียนรู้มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด
และจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
2.3 สร้างแบบแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน แบบปรนัยชนดิ เลือกตอบ
4 ตวั เลอื ก จานวน 20 ขอ้ โดยให้ครอบคลมุ เนือ้ หาและจดุ ประสงค์
2.4 นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท่ีสร้างขึ้นเสนอผู้เชี่ยวชาญ
เพื่อตรวจสอบและให้ข้อเสนอแนะ พิจารณาถึงความถูกต้องและเหมาะสม จากน้ันแก้ไขปรับปรุง
ตามทผ่ี เู้ ชี่ยวชาญแนะนา
2.5 นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท่ีได้รับการแก้ไขแล้วไปทดลอง
กับนักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที 1 โรงเรยี นวดั สังเวช
3.5 ระยะเวลำทใี่ ชใ้ นกำรศึกษำ
3.4.1 การวจิ ัยคร้งั นด้ี าเนนิ การทดลองในวนั ที่ 7 - 15 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2565
3.6 วิธีกำรดำเนนิ กำรวจิ ยั
การศึกษาคร้งั น้ี เปน็ การศึกษากบั นกั เรยี นกลุม่ เป้าหมาย คอื นักเรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 1
ห้อง 1 โรงเรยี นสตรีวัดมหาพฤฒาราม ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จานวน 35 คน การดาเนินการวจิ ัย
ผู้วิจยั ไดด้ าเนินการตามข้ันตอน ดงั น้ี
1. กาหนดหวั ข้อเรื่องท่ีจะทาการทดลอง คอื เรื่องสภุ าษิตพระรว่ ง เลือกเทคนิคการ
อา่ นจบั ใจความสาคัญ คือ เทคนคิ SQ3R
2. สร้างแผนการจดั การเรียนร้เู รอื่ ง การอ่านจบั ใจความสุภาษติ พระร่วง
22
3. สรา้ งแบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรียนปรนัยชนิดเลอื กตอบ 4 ตัวเลือก
จานวน 20 ข้อ เพื่อวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
4. นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียนเร่ืองสุภาษิตพระรว่ ง จานวน 20 ข้อ
ทาการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) กบั นักเรียนกลุ่มเป้าหมาย เพื่อวดั ความรพู้ ้ืนฐานของนกั เรียน
แลว้ ตรวจเก็บคะแนน
5. ดาเนินการจดั กิจกรรมการเรยี นรตู้ ามแผนการจดั การเรียนรู้ โดยผู้วิจยั ใชเ้ วลา
ในการสอน 5 คาบ
6. ทดสอบหลงั เรยี นเม่ือส้นิ สุดการทดลองแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้
แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 ซ่ึงเปน็ ฉบบั เดียวกนั กบั
แบบทดสอบก่อนเรียน
3.7 กำรวิเครำะหข์ ้อมูล
4.1 วิเคราะห์หาค่าเฉล่ีย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจากคะแนนการทากิจกรรม
ระหว่างการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคนิค SQ3R และคะแนนจากการทาแบบทดสอบวัดผล
สัมฤทธท์ิ างการเรยี น
4.2 วเิ คราะห์หาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นเร่อื ง การอา่ นจับใจความเรอื่ งสุภาษิตพระร่วง
3.8 สถติ ิทใี่ ช้ในกำรวิเครำะห์ข้อมูล
การศึกษาคร้ังนีผ้ ู้ศกึ ษาในสถิตใิ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู ดังนี้
สถติ ิพนื้ ฐำน
1. คา่ ดัชนคี วามสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence: IOC) โดยการคานวณ
จากสตู ร (พชิ ิต ฤทธจ์ิ รญู , 2547)
IOC R
n2
เมือ่ IOC แทน ดัชนคี วามสอดคล้องระหวา่ งข้อคาถามกับจุดประสงค์ซง่ึ คาถาม
R ในการวจิ ัยครั้งนี้ ใหร้ วมหมายถึง หนว่ ยการเรียนรู้ เนอ้ื หา
n กิจกรรมการเรียน แบบฝึกหัด แบบทดสอบ แบบวัด และ
แผนการจดั การเรยี นรู้
แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเหน็ ของผเู้ ชี่ยวชาญ
แทน จานวนผเู้ ช่ียวชาญ
23
2. หาค่าเฉล่ียแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Mean) โดยการคานวณจากสูตร
∑
=
เมอื่ แทน ค่าเฉล่ียหรือคะแนนเฉลีย่ ของกลมุ่ ตวั อย่าง
X แทน ผลรวมของคา่ ขอ้ มูลหรอื คะแนนในกลุ่มตัวอยา่ ง
n แทน จานวนขอ้ มลู ทง้ั หมดของกลมุ่ ตัวอย่าง
3. คา่ สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (SD) มสี ตู รในการคานวณ ดังน้ี
= √∑( − )
−1
เมื่อ แทน ความเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มตัวอยา่ ง
X แทน ค่าข้อมลู หรือคะแนนแต่ละตัว
X แทน คา่ เฉล่ียหรอื คะแนนเฉลยี่ ของกลุ่มตัวอยา่ ง
n แทน จานวนประชากรกลมุ่
24
บทท่ี 4
ผลกำรวิเครำะหข์ อ้ มูล
การวิจยั เร่ือง การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านจับใจความเร่ือง สภุ าษิตพระร่วง ของนกั เรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ด้วยเทคนิคการอ่านแบบ SQ3R ผู้วิจัยได้ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลที่
โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ผู้วิจัยได้นาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ตามลาดบั ดังน้ี
4.1 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล
4.2 สรปุ ผลทไ่ี ด้จากการวิเคราะหข์ ้อมลู
เพ่ือให้เกิดความเข้าใจในการแปลความหมายการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยขอเสนอสัญลักษณ์และอักษร
ยอ่ ท่ีใชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมูล ดังนี้
สัญลกั ษณแ์ ละอักษรย่อท่ใี ช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลดงั นี้
แทน คา่ เฉลี่ยของคะแนนผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน
σ แทน คา่ ความเบยี่ งเบนมาตรฐานของคะแนน
N แทน จานวนนกั เรียนในกลมุ่ ทดลอง
4.1 สรปุ ผลทไ่ี ด้จำกกำรวิเครำะห์ขอ้ มูล
ตอนที่ 1 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
หลังได้รับการสอนอ่านจับใจความด้วยเทคนิคการอ่านแบบ SQ3R ระหว่างก่อนเรียน – หลังเรียน
ปรากฏผลดงั แสดงในตารางที่ 3 ดังนี้
25
ตำรำงท่ี 3 ตารางคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังได้รับการ
สอนอ่านจบั ใจความด้วยเทคนิคการอา่ นแบบ SQ3R ระหว่างก่อนเรยี น – หลังเรียน
เลขท่ี คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลังเรยี น ควำมแตกตำ่ ง
1 6 12 +6
2 5 13 +8
3 4 8 +4
4 6 14 +8
5 6 16 +10
6 5 8 +3
7 5 13 +8
8 6 14 +8
9 9 13 +4
10 7 13 +6
11 5 11 +6
12 6 15 +9
13 9 15 +6
14 10 12 +2
15 11 13 +2
16 4 8 +4
17 5 11 +6
18 6 12 +6
19 7 10 +3
20 6 12 +6
21 5 15 +10
22 4 8 +4
23 10 12 +2
24 9 12 +3
25 10 15 +5
26 12 15 +3
27 10 14 +4
28 10 15 +5
26
เลขที่ คะแนนกอ่ นเรยี น คะแนนหลงั เรยี น ควำมแตกต่ำง
29 12 16 +4
30 8 14 +6
31 10 15 +5
32 13 16 +3
33 6 8 +2
34 12 17 +5
35 11 16 +5
คะแนนรวม 270 451 181
7.71 12.89 5.17
คะแนนเฉลี่ย ( )
จากตารางท่ี 3 พบว่า นักเรียนท่ีได้รับการสอนโดยใช้เทคนิคการอ่านแบบ SQ3R มีคะแนน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนเท่ากับ 12.89 มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนเท่ากับ
7.71 ซงึ่ สรุปได้วา่ นักเรยี นมีผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนหลงั เรยี นสูงกว่ากอ่ นเรยี น
4.2 สรปุ ผลทีไ่ ด้จำกกำรวเิ ครำะหข์ ้อมลู
ตอนท่ี 1 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน หลังได้รับการสอนด้วย
เทคนิคการอ่านแบบ SQ3R ระหว่างก่อนเรียน - หลังเรียน มาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 80
โดยวธิ ีทางสถติ ิ t-test for dependent ปรากฏผลดังแสดงในตารางที่ 4 ดงั นี้
ตำรำงท่ี 4 สรุปการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ก่อนและ
หลังการสอนโดยใช้เทคนคิ การอ่านแบบ SQ3R
กำรทดสอบ N คะแนนเต็ม σT
35 20 7.71
คะแนนก่อน 2.71
เรยี น 35 20 12.89 14.07 *
คะแนนหลงั 2.62
เรยี น
* มนี ยั สาคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05
27
จากตารางที่ 3 พบว่า ก่อนการทดลองนักเรียนมีคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 7.71 คะแนน
จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.71 คะแนน ส่วนหลังการทดลอง
นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 12.89 และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.62 และเมื่อเปรียบเทียบ
ค่าเฉล่ียก่อนและหลังการทดลองพบว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ เทคนิคการอ่านแบบ
SQ3R มีคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงกว่าก่อนการท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคการอ่าน
แบบ SQ3R อย่างมีนัยสาคัญทางสถิตทิ ี่ระดบั .05
28
บทท่ี 5
สรุป อภิปรำยผลกำรวจิ ยั และขอ้ เสนอแนะ
การวิจัยเร่ือง การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านจับใจความวรรณคดีเรื่อง สุภาษิตพระร่วง
ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ด้วยการจัดการเรียนรู้การอ่านแบบ SQ3R ผู้วิจัยได้ดาเนินการเก็บ
รวบรวมข้อมูลท่ีโรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม ในพระบรมราชินูปถัมภ์ วัตถุประสงค์การวิจัย
คือ เพ่ือพัฒนาความสามารถด้านการอ่านจับใจความ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1
โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม ในพระบรมราชนิ ูปถมั ภ์ ด้วยวธิ ีการจัดการเรียนรู้การอ่านแบบ SQ3R
ผู้วิจัยดาเนินการทดลองโดยการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี
1 จานวน 2 แผน ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญแล้วโดยประเมินภาพรวมการแสดงความ
คิดเห็นและข้อเสนอแนะมีความเหมาะสมมากทสี่ ุดจัดทาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรอ่ื ง การอ่าน
จบั ใจความสุภาษิตพระรว่ ง ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 1 แบบทดสอบเป็นแบบปรนัย 4 ตวั เลือก จานวน 20 ข้อ
และทาการบันทึกผลการเรียนรู้ในแผนเป็นคะแนนระหว่างเรียนไว้เมื่อทดลองในแผนเสร็จแล้วทา
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเร่ือง การอ่านจับใจความ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1
ซึ่งใช้หลังเรียนชุดเดียวกันกับก่อนเรียน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์ค่าเฉล่ียร้อยละและส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐาน (σ) ทดสอบสมมติฐานการวิจัยโดยใช้การทดสอบค่าที (t–test) วิเคราะห์ข้อมูล
โดยใช้โปรแกรมสาเร็จรปู Excel
5.1 สรุปผลกำรวิจัย
วัตถปุ ระสงค์ของกำรวิจัย
การศึกษาคน้ คว้าคร้ังนม้ี วี ตั ถปุ ระสงค์ดงั น้ี
1. เพือ่ พัฒนาทกั ษะการอา่ นจับใจความ สาหรบั นักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 1
โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม ในพระบรมราชนิ ปู ถมั ภ์ ด้วยวธิ กี ารจดั การเรยี นรูก้ ารอ่านแบบ SQ3R
ขอบเขตของการวิจัย
การวจิ ัยครั้งน้ผี ้วู ิจัยได้กาหนดขอบเขตของการวิจัย ไวด้ งั น้ี
1. ตวั แปรทีศ่ กึ ษำ
ตวั แปรอสิ ระ คือ วิธสี อน ประกอบดว้ ย
- วิธสี อนแบบด้วยการจัดการเรียนรู้การอา่ นแบบ SQ3R
ตวั แปรตาม คือ ทกั ษะการอ่านจบั ใจความ
29
2. กลุม่ เปำ้ หมำยที่ใช้ในกำรศึกษำ
2.1 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาคร้ังนี้ ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1
โรงเรยี นสตรวี ัดมหาพฤฒาราม ในพระบรมราชนิ ูปถัมภ์ จานวนนักเรียนทั้งหมด 35 คน
วธิ ีกำรดำเนนิ กำรวจิ ัย
การศกึ ษาคน้ ควา้ คร้งั น้ีมีวธิ ีการดาเนนิ การวิจัยดงั น้ี
1. กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาคร้ังน้ีเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1/1
โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม ในพระบรมราชินูปถัมภ์ สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา
มัธยมศกึ ษากรงุ เทพมหานคร เขต 2 ซง่ึ ได้มาจากการเลอื กแบบเจาะจง
2. เครือ่ งมือในการวิจัย
2.1 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 12 เรอื่ ง สุภาษิตพระร่วง จานวน 4 คาบ
2.2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 13 เร่อื ง วิเคราะห์คุณค่าสุภาษิตพระร่วง จานวน 1 คาบ
2.3 แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก
จานวน 20 ข้อ
3. วธิ กี ารดาเนนิ การวิจัย ผูว้ จิ ยั ดาเนนิ ตามข้นั ตอน ดงั นี้
3.1 ทดสอบก่อนเรียนโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของ
นกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1
3.2 ดาเนนิ การสอนโดยผวู้ จิ ยั ใช้เวลาในการสอน 5 คาบ
3.3 ทดสอบหลังเรียนโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ
นักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1
กำรวเิ ครำะห์ขอ้ มูล
4.1 วิเคราะห์หาค่าเฉล่ีย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจากคะแนนการทากิจกรรม
ระหว่างการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคนิค SQ3R และคะแนนจากการทาแบบทดสอบวัดผล
สัมฤทธ์ิทางการเรียน
4.2 วิเคราะห์หาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นเรื่อง การอ่านจับใจความ
30
5.1 สรุปผลกำรวจิ ยั
การวิจัยคร้ังนี้เป็นการพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1
สรปุ ผลได้ดงั นี้
1. ผลสัมฤทธ์ิทางการอ่านจับใจความ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนเฉล่ียเท่ากับ
7.71 และมีคะแนนหลังเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 12.89 เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนทั้งสองคร้ังพบว่า
คะแนนสอบหลังเรยี นสงู กว่าก่อนเรยี นเฉลีย่ เท่ากับ 5.17 และมีนัยสาคญั ทางสถิติทีร่ ะดบั .05
5.2 อภปิ รำยผลกำรวจิ ัย
จากการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ที่ได้รับ
การสอนโดยใชเ้ ทคนิคการอา่ นแบบ SQ3R สามารถอภิปรายผลไดด้ ังน้ี
ผลการวิจัยคร้ังนี้พบว่า นักเรียนมีคะแนนการอ่านจับใจความในช่วงหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 มีค่าสถิติ t เท่ากับ 14.07 ท้ังนี้อาจเนื่องมาจากการจัดการ
เรยี นรู้การอ่านโดยใช้เทคนิคแบบ SQ3R เป็นการจดั การเรียนรู้ท่ีให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในเรือ่ งท่ีอ่าน
อย่างเป็นระบบ เน่ืองจากมีขั้นตอนการอ่านให้นักเรียนปฏิบัติอย่างชัดเจน ดังท่ี ฟรานซิส โรบินสัน
(Robinson, 1961, หน้า 29-30, อ้างถึงใน ศรีสกุล ด่านยุทธศิลป์, 2529, หน้า 113) ได้กล่าวไว้ว่า
SQ3R เป็นวิธีการอ่านที่มีขั้นตอนอย่างเป็นระบบ ผู้เรียนจะต้องพยายามหาความหมาย จากส่ิงที่อ่าน
โดยใช้ข้ันตอนท้ัง 5 ของวิธีการ SQ3R ซ่ึงแต่ละขั้นตอนจะชว่ ยใหผ้ ู้เรียนเข้าใจส่ิงที่อ่านได้ดมี ีลาดบั ข้ัน
ของการสร้างความเข้าใจในการอา่ น โดยผูว้ ิจัยได้กาหนดกิจกรรมการจัดการเรยี นรู้ ดังน้ี 1) ขั้นนาเข้า
สู่บทเรียน เป็นการกระตุ้นและสร้างความกระตือรือร้นในการเรียนด้วยเทคนิคต่าง ๆ ด้วยการให้
นักเรยี นดูภาพที่สมั พันธ์กับเรอ่ื ง และใชค้ าถามเพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่เร่ืองที่อ่าน 2) ขนั้ สอน ประกอบดว้ ย
กระบวนการอ่าน 5 ข้ัน 2.1) S (Survey) การอ่านสารวจเน้ือหาอย่างคร่าว ๆ โดยให้นักเรียนอ่าน
สารวจเน้ือหาอย่างคร่าวๆ ได้แก่ สารวจช่ือเรื่อง ภาพประกอบ พิจารณาคานาและส่วนสรุปของ
เนื้อหา 2.2) Q (Question) การต้ังคาถามเกี่ยวกับเรื่องท่ีอ่านในขั้นนี้ครูให้นักเรียนตั้งคาถามที่
เกี่ยวข้องกับเน้ือเรื่องโดยใช้รูปแบบคาถามที่ก่อให้เกิดการพัฒนาความสามารถในขั้นการใช้
วิจารณญาณ เช่น อะไรคือข้อเท็จจริงจากเร่ืองท่ีอ่านเนื้อหาที่นาเสนอมคี วามเหมาะสมหรือไมอ่ ย่างไร
นกั เรียนได้รับข้อคดิ อะไรจากเรื่องที่อา่ น เป็นต้น 2.3) R1 (Read) การอ่านเพื่อหาคาตอบใหแ้ ก่คาถาม
ท่ีต้ังไว้ โดยให้นักเรียนอ่านเนื้อเรื่องโดยละเอียดเพ่ือหาคาตอบ ของคาถามท่ีได้ต้ังไว้ 2.4) R2
(Recite) การจาและจดบันทึกข้อความสาคัญในข้ันนี้เป็นการเน้นให้นักเรียนจดจาข้อความสาคัญและ
สรุปเน้ือหาด้วยตนเอง 2.5) R3 (Review) การทบทวนประเด็นสาคัญและประเมินค่าส่ิงท่ีอ่านอย่างมี
เหตุผลภายหลังจากท่ีอ่านเรื่องทั้งหมดจบแล้วเป็นการทบทวนเร่ืองราวทั้งหมดภายหลังจากการอ่าน
และการสรุปเน้ือหา ครูจะเป็นผู้ตรวจสอบนักเรียนด้วยการอ่านทวนคาถาม คาตอบ เพ่ือเป็นการ
ตรวจสอบความถูกต้องและความเข้าใจเก่ียวกับเรื่องที่อ่าน และเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนได้แสดงความ
31
คิดเห็นต่อสิ่งท่ีอ่านอย่างมีเหตุผล 3) ขั้นสรุป ขั้นน้ีครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความคิดรวบยอดที่ได้
จากการอา่ นเพ่ือให้ผูเ้ รยี นมคี วามเข้าใจที่ถูกต้องและตรงตามวตั ถุประสงคท์ ีต่ ง้ั ไว้
จากการจดั การเรยี นรู้ดังกล่าวจะเห็นไดว้ ่าท้ัง 5 ขน้ั ตอน ของการจัดการเรยี นรู้ การอา่ นแบบ
SQ3R ช่วยเสริมสร้างทักษะการอ่านให้เกิดประสิทธิภาพ เอื้อให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรง
ตลอดจนมีความเข้าใจเรอ่ื งทอ่ี ่านอย่างเปน็ ระบบเชอ่ื มโยงกัน เร่ิมต้ังแต่ขน้ั แรก การอ่านสารวจเน้ือหา
อย่างคร่าว ๆ เปน็ ขั้นตอนท่ีทาให้เกิดกระบวนการรับข้อมูลจากสารท่ีอ่านอย่างเป็นระบบ การอ่านใน
ข้ันตอนนี้จะช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพรวมเกี่ยวกับเนื้อเร่ืองว่าเป็นเรื่องเก่ียวกับอะไร มีเค้าโครงเรื่องเป็น
อย่างไร ซ่ึงเป็นส่วนช้ีให้เห็นจุดสาคัญหรือแนวคิดหลักของเร่ือง และจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถเรียบ
เรียงความคดิ ต่าง ๆ ได้เมื่ออ่านเรื่องอย่างละเอียดอีกครั้งในข้ันต่อไปสอดคล้องกับ ณันท์ขจร กันชาติ
(2550, หน้า 67) กล่าวว่า “การสารวจ เป็นข้ันตอน ที่ทาให้นักเรียนคิดเก่ียวกับเน้ือหาท่ีเป็นระบบ
ก่อนการอ่านเร่ิมข้ึน” หลังจากผู้เรียนได้สารวจสิ่งที่อ่านแล้วข้ันตอนต่อไป คือ การต้ังคาถามเกี่ยวกับ
เร่ืองท่ีอ่าน เป็นการตั้งวัตถุประสงค์สาหรับการอ่านในข้ันต่อไป และเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ
เรียนรู้ ช่วยให้ผู้เรียนสรา้ งความร้คู วามเขา้ ใจและพัฒนาความคดิ ใหม่ ๆ กระบวนการถามจะช่วยขยาย
ทักษะการทาความเข้าใจเน้ือหาท่ีอ่านให้กระจ่าง ก่อให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างความคิดต่าง ๆ
และแนวทางในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน และหลังจากต้ังคาถามแล้ว ผู้เรียนจะได้อ่านเนื้อเร่ืองอย่าง
ละเอียดในข้นั ที่สาม การอ่านเพอื่ หาคาตอบให้แก่คาถามที่ตั้งไว้เป็นการให้ความสาคัญกบั กับส่ิงทอ่ี ่าน
อย่างละเอียด เพอื่ ทาความเข้าใจเน้ือเรือ่ งทงั้ หมดอยา่ งพินิจพิเคราะห์ โดยใช้คาถามทีต่ ั้งไวใ้ นข้ันทีส่ อง
เป็นแนวทางในการอ่าน ซ่ึงนักเรียนจะได้ใช้ความร้เู ดมิ ที่มอี ยู่ในข้ันท่ีหนึ่งและข้นั ท่ีสองมาเชือ่ มโยงกับ
ความรู้ใหม่จากบทอ่าน เพื่อให้เกิดความเข้าใจสิ่งที่อ่านมากยิ่งขึ้น ดังที่ ชนัดดา แนบเกษร
(2535, หน้า 22) ได้กล่าวไว้ว่า “SQ3R เป็นวิธีการอ่านท่ีทาให้ผู้อ่านรู้สึกว่าค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่
อา่ นแบบเฉพาะเจาะจงมากกว่าเถลไถลไปโดยปราศจากจุดมุ่งหมายในส่ิงที่อ่าน” หลังจากน้นั ในข้ันท่ี
สี่ การจาและจดบนั ทกึ ขอ้ ความสาคญั เป็นการเขียนสรปุ เน้ือหา ในขนั้ นี้ผเู้ รียนจะต้องเรยี บเรียงความ
คิดต้ังแต่การอ่านในขั้นแรกและนามาเขียนสรุปด้วยสานวนภาษาของผู้เรียนเอง ซึ่งการบันทึกข้อมูล
ภายหลังจากการอ่านน้ัน เป็นการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของผู้เรียนอีกครั้ง ช่วยให้ผู้เรียน
สามารถจดจาและเข้าใจเน้ือหาได้ดี และข้ันที่ห้า การทบทวนประเด็นสาคัญและประเมินค่าส่ิงที่อ่าน
อย่างมีเหตุผล ข้ันน้ีผู้อ่านจะเข้าใจเน้ือเรื่องท่ีอ่านได้อย่างแม่นยามากย่ิงขึ้นด้วยการถาม – ตอบ
เพ่ือตรวจสอบความรจู้ ากครูผู้สอน ซึ่งผู้เรียนจาเป็นต้องประมวลความรู้ความคิดท่ีได้จากข้ันตอนการ
อ่านทั้งหมด เพื่อทบทวนความเข้าใจเก่ียวกับเรื่องท่ีอ่านก่อนท่ีจะฝึกทักษะการอ่านในขั้นต่อไปด้วย
การแสดงความคิดเห็นและประเมินค่าต่อส่ิงท่ีอ่านโดยยกเหตุผลประกอบ ดังนั้น เม่ือผู้วิจัยจัดการ
เรียนรู้อย่างเป็นเป็นข้ันตอนด้วยการอ่านแบบ SQ3R โดยให้นักเรียนอ่านสารวจเนื้อหาอย่างคร่าว ๆ
ตงั้ คาถามเกี่ยวกับเรื่องท่ีอ่าน อ่านเพ่ือหาคาตอบให้แก่คาถามที่ต้ังไว้ จาและจดบันทึกข้อความสาคัญ
ตลอดจนทบทวนประเด็นสาคัญและประเมินค่าสง่ิ ทอี่ ่านอยา่ งมีเหตุผล ทาให้ผู้เรียนมีขนั้ ตอนการอ่าน
อย่างเป็นระบบ สง่ ผลต่อการทาความเข้าใจในสิ่งที่อา่ นสงู ขนึ้ อนั เป็นพื้นฐานสาหรับการพัฒนาทกั ษะ
32
การอ่านอย่างมีวิจารณญาณ ดังที่ ศรีสกุล ด่านยุทธศิลป์ ( 2529, หน้า 115) ได้กล่าวไว้ว่า
“วิธีการ SQ3R มีระบบข้ันตอนในการปฏิบัติซึ่งเอ้ือให้นักเรียนมีประสบการณ์ในการอ่านและหา
ความหมายจากสิง่ ท่ีอ่านด้วยตนเองทุกคร้ัง จนเกิดเป็นความเคยชินในการอา่ นและสามารถเข้าใจเร่ือง
ทอ่ี า่ นไดแ้ ม่นยาและลึกซึง้ ”
ผลการวิจัยข้างต้นสอดคล้องกับงานวิจัยของ เอมอร เนียมน้อย (2546, หน้า 43) ศึกษา
ผลสัมฤทธ์ิการอ่านอย่างมีวิจารณญาณด้วยวิธีอ่านแบบ SQ3R ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ช้ันปีที่ 1
ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธ์ิทางการอ่านอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนหลังเรียนด้วยวิธีอ่านแบบ
SQ3R สูงกว่าก่อนเรียน และมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซ่ึงเป็นไปตาม
สมมติฐาน สอดคล้องกับ กัญญา ร้อยลา (2553, หน้า 84) ท่ีศึกษาการพัฒนาความสามารถด้านการ
อ่านภาษาไทยอย่างมีวิจารณญาณด้วยรูปแบบการอ่าน 5 ขั้นตอน (SQ3R) ของนักเรียนช้ัน
มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 ผลการวจิ ยั พบว่านักเรียน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 มคี วามสามารถด้านการอา่ นอยา่ งมี
วจิ ารณญาณ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติทร่ี ะดับ .01 และมีความพึงพอใจต่อ
การเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทยด้านการอ่านอย่างมีวิจารณญาณด้วยรูปแบบ
การอ่าน 5 ข้ันตอน (SQ3R) โดยรวมอยู่ในระดับดีมาก และจิราภรณ์ สกุลเหลืองอร่าม
(2554, หนา้ 83) ศึกษาเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธ์ิการอ่านอยา่ งมวี จิ ารณญาณวิชาภาษาไทยของนักเรียน
ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนไผ่ดาพิทยาคมรัชมังคลาภิเษก ระหว่างกลุ่มที่สอนด้วยเทคนิค SQ3R
กับกลุ่มที่สอนด้วยเทคนิค KWLH-Plus ผลการวิจัยสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านอย่างมี
วิจารณญาณระหว่างกลุ่มท่ีสอนด้วยเทคนิค SQ3R กับกลุ่มที่สอนด้วยเทคนิค KWLH-Plus
ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่า
ก่อนเรียน นอกจากน้ี โดนัลด์ (Donald, 1973, อ้างถึงใน ชนัดดา แนบเกษร, 2535, หน้า 22)
ได้ทาการศึกษาเร่ือง ผลของวิธีการ SQ3R ต่อการเพิ่มความสามารถในการอ่านกับนักเรียนเกรด 7
จานวน 31 คน ที่ Southern Minnesota Parochial School โดยแบ่งกลุ่มตัวอยา่ งออกเป็น 2 กลุ่ม
แตล่ ะกลมุ่ มีความเท่าเทยี มกนั ทางดา้ นสตปิ ญั ญา อายสุ มอง และความสามารถในการอา่ นกลุ่มควบคุม
ใช้วิธีการสอนตามปกติ ส่วนกลุ่มทดลองใช้วิธีการ SQ3R โดยครูทาการช้ีแนะให้ เริ่มจากการสารวจ
บทเรียน การต้ังคาถามเบ้ืองต้นในการอ่าน การตั้งวัตถุประสงค์ในการอ่าน การอ่านตามวัตถุประสงค์
ท่ีต้ังไว้ การท่องหรือเขียนคาตอบ รวมถึงการขีดเส้นใต้และการสรุปคาตอบโดยใช้รูปแบบการเขียน
คาตอบ ของนักเรียนเองและการทบทวนเนื้อหาท่ไี ด้ศึกษาไปแล้วทาการทดลองตง้ั แต่เดือนมกราคมถึง
พฤษภาคม แล้วทาการทดสอบจากแบบทดสอบที่ครูผู้สอน 2 คน เป็นผู้สร้างขึ้น ผลการวิเคราะห์
คะแนนทดสอบพบว่ากลุ่มท่ีฝึกการอ่านโดยวิธีการ SQ3R สามารถพัฒนาทักษะทางการอ่านได้ด้วย
ตนเอง และ เบเยอร์ (Baier, Kylie, 2011, หน้า abstract) ได้ทาการศึกษาเร่ือง ผลการใช้วิธี SQ3R
ในของ นกั เรยี นประถมศึกษาปีที่ 5 ระดับ การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการกลยุทธ์ SQ3R
กบั การอ่านเน้ือหาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 และปรับปรุงความเข้าใจโดยรวม
ของนักเรียน และการศึกษายังตรวจสอบการนาวิธี SQ3R ไปประยุกต์ใช้ในการอ่านจนเป็นนิสัย ผล
33
การศึกษาชี้ให้เห็นว่าการอ่านด้วยกลยุทธ์ SQ3R ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ดีขึ้นอย่างมี
นัยสาคัญ การศึกษายังชี้ให้เห็นว่า 46.9% ของนักเรียนท่ีใช้ SQ3R สามารถมีทักษะในการอ่านนิยาย
เพมิ่ ขนึ้
ดังนั้น จากผลการอภิปรายข้างต้น จึงสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้ด้วยการอ่านแบบ SQ3R
เป็นการสอนอ่านท่ีนอกจากจะช่วยพัฒนาความสามารถด้านการอ่านอย่างมีวจิ ารณญาณให้กับผเู้ รียน
แล้วยงั สง่ ผลตอ่ ความพึงพอใจทด่ี ีของนกั เรียนอกี ด้วย
ขอ้ เสนอแนะ
1. ขอ้ เสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้
1.1 การจัดกิจกรรม SQ3R ผู้สอนควรเลือกเรื่องท่ีตรงกับวัยและความสนใจของนักเรียน
และเลือกเน้ือหาท่ีเหมาะสมกับการจัดกิจกรรมการอ่านแบบ SQ3R หากใช้บทอ่านที่มีเน้ือหามาก
จนเกินไป อาจทาใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความรู้สกึ เบ่อื หนา่ ยต่อกจิ กรรมการอ่าน
1.2 ควรซกั ถามทาความเข้าใจกับผู้เรียนในขณะสอนเก่ียวกับกระบวนการอ่านแบบ SQ3R
เพอื่ ผูเ้ รยี นจะไดไ้ ม่สบั สนกับขัน้ ตอนในการทากจิ กรรม
2. ขอ้ เสนอแนะสาหรับการวจิ ัยครัง้ ตอ่ ไป
2.1 ควรมีการศึกษาการจัดการเรียนรู้การอ่านแบบ SQ3R ที่มีผลต่อความสามารถด้านอ่ืน ๆ
เช่น การอา่ นเพื่อความเขา้ ใจ และการอา่ นอยา่ งมีวจิ ารณญาณ เป็นต้น
บรรณานุกรม
ภาษาไทย
กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทยตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551.
กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย.
กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551.
กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พุชม์ นุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย.
ก่อ สวัสดิพาณิชย์. (2533). ใช้วิชาภาษาไทยแสวงหาความรู้ วิทยาสารก้าวไกล 1.
กรงุ เทพมหานคร: สานกั พมิ พจ์ ุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
กาญจนา นาคสกุล และคณะ. (2521). การใช้ภาษา. พิมพ์คร้ังท่ี 2. กรุงเทพฯ : หน่วยศึกษานิเทศก์
กรมการฝกึ หัดครู.
คมคาย หม่ืนสาย. (2526). เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการอ่านของนักศึกษาครูระดับปริญญาตรี
ปีท่ี 1 ของวิทยาลัยครูเพชรบูรณ์ที่สอนด้วยวิธีอ่านแบบธรรมดากับวิธีอ่านแบบ SQ3R.
วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการสอนภาษาไทย บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
จไุ รรัตน์ ลักษณะศิริ. (2533). ภาษากับการส่ือสาร. นครปฐม: โรงพมิ พม์ หาวิทยาลยั ศิลปากร.
ฉวีลักษณ์ บุณยะกาญจน. (2523). การอ่านและการส่งเสริมการอ่าน. กรุงเทพมหานคร:
ศลิ ปาบรรณาคาร.
ฉวีวรรณ คูหาภินันทน์. (2542). การอ่านและการส่งเสริมการอ่าน. กรุงเทพมหานคร:
ศิลปาบรรณาคาร.
ชนดั ดา แนบเกษร. (2535). ผลของการฝึกการอ่านดว้ ยวิธกี ารเอสควิ ทรอี าร์ทมี่ ตี ่อความสามารถใน
การอ่านเข้าใจความภาษาไทยของนักศึกษาพยาบาลช้ันปีท่ี 1. วิทยานิพนธ์ปริญญา
ครุศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาจิตวิทยา บณั ฑิตวิทยาลยั จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
ชลธริ า สัตยาวัฒนา. (2524). การอ่านในการใชภ้ าษาไทย. กรุงเทพมหานคร: โอเดยี นสโตร์.
ณรงค์ฤทธ์ิ ศักดาณรงค์. (2538). ยุทธวิธีการสอนอ่านวิทยาจารย์. กรุงเทพมหานคร:
ไทยวฒั นาพานชิ .
ดนยา วงศ์ธนะชัย. (2542). การอ่าน เพ่ือชีวิต. สงคราม: โปรแกรมวิชาภาษาไทย
คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สถาบันราชภัฏพบิ ลู สงคราม.
ถนอมวงศ์ ล้ายอดมรรคผล. (2538). การใช้ภาษาไทย (ฉบับปรับปรุง) หน่วยที่ 9. นนทบุรี :
มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช.
ธัญมาส ตันเสถียร. (2544). การใช้วิธีอ่านเร่ืองการพัฒนาการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ที่มีความสามารถทางด้านการอ่านต่ากว่าระดับเฉลี่ยโรงเรียนเผดิม
สะอา ดวิทย า จั งหวัด ชุมพ ร. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต
มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์.
นพดล จันทร์เพ็ญ. (2531). การใชภ้ าษา. กรุงเทพฯ : ตน้ อ้อ.
นิธิภัทร บาลศริ ิ. (2561). การวิจัยทางการศกึ ษา. กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพโ์ อเดียนสโตร์.
เนาวรัตน์ นาคพงษ์. (2536). การศึกษาสัมพันธ์ในการอ่านจับใจความกับผลสัมฤทธ์ิในการเรียน
วิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนอนุบาลก่าแพงเพชร
จังหวัดก่าแพงเพชร. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการสอนภาษาไทย
บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.์
บันลือ พฤกษะวัน. มิติใหม่ในการสอนอ่าน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์
ไทยวฒั นาพานิช.
ประเทิน มหาขนั ธ.์ การสอนอ่านเบ้อื งต้น. กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร.์
ประภาศรี สีหอาไพ. (2534). วิธสี อนภาษาไทยระดับมธั ยมศึกษา. กรุงเทพมหานคร: ไทยวฒั นาพานชิ .
ปรียา หิรัญประดิษฐ์. การใช้ภาษาไทยในวงราชการ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร:
โอเดยี นสโตร์.
ผกาศรี เย็นบุตร. (2526). ทักษะความรู้ทางภาษา. กรุงเทพฯ : ภาควิชาภาษาไทยและภาษา
ตะวนั ออกคณะมนษุ ศาสตร์มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.
ผกาศรี เย็นบุตร. (2526). ทักษะและความรู้ทางภาษา. กรุงเทพมหานคร: ภาควิชาภาษาไทยและ
ภาษาตะวันออก คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ บางเขน.
พนิตนันท์ บญุ พาม.ี (2542). เทคนคิ การอ่านเบือ้ งต้นส่าหรบั บรรณารกั ษ์. นครราชสีมา: สถาบนั ราช
ภัฎนครราชสีมา.
วัชรี บูรณสิงห์ และ นิรมล ศตวุฒิ. (2542). การอ่านเชิงวิเคราะห์วิจารณ์ด้านหลักสูตรและการสอน.
กรงุ เทพมหานคร. มหาวิทยาลยั รามคาแหง.
วิจิตรา แสงพลสิทธ์ิ และคณะ. (2522). การใช้ภาษาไทย (ไทย 101). กรุงเทพมหานคร:
โอเดยี นสโตร.์
ศศิธร อินตุ่น. (2535). การพัฒนาแบบฝึกการอ่านจับใจความส่าคัญส่าหรับนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประถมศึกษา
บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่.
ศริ พิ ร ลิมตระการ. (2531). อา่ นเรว็ อย่างเข้าใจ. กรุงเทพฯ : สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ เจ้าคุณ
ทหารลาดกระบงั .
สนทิ ต้ังทวี. (2538). การใช้ภาษาเชงิ ปฎบิ ัติ. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร.์
สมพร มนั ตะสตู ร แพง่ พพิ ัฒน.์ (2534). การอา่ นทว่ั ไป. กรงุ เทพมหานคร: โอเดยี นสโตร.์
สมพร มนั ตะสูตร. (2526). การสอนภาษาไทย. กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร.์
สมุทร เซ็นเชาวนิช. (2549). เทคนิคการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจ. พิมพ์ครั้งที่ 11.
กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.์
สายสุนี สกุลแก้ว. (2534). การพัฒนาชุดแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาไทยเพื่อจับใจความของ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตร์มหาบัณฑิต สาขา
ประถมศกึ ษา บณั ฑติ วิทยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สุขุม เฉลยทรัพย์. (2529). การส่งเสริมการอ่าน. กรุงเทพมหานคร: ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์
คณะวชิ ามนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ วิทยาลัยครเู พชรบุรวี ทิ ยาลงกรณ.์
สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์. (2523). วิธีสอนภาษาไทยระดับมัธยมศึกษา.
กรงุ เทพมหานคร: ไทยวฒั นาพานิช.
สุนนั ทา มั่นเศรษฐวิทย์. (2543). หลักและวธิ ีสอนอ่าน. พิมพ์ครั้งท่ี 3 กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ไทย
วฒั นาพานชิ .
สุภาพ บุตรสีทัด. (2529). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิในการอ่านภาษาอังกฤษและทัศนคติต่อการ
อ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนการอ่านด้วยการใช้ TLS,
SQ3R และวิธีสอนตามคู่มือครู. ปริญญานิพนธ์หลักสูตรปริญญาการศึกษา มหาบัณฑิต
บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒประสานมิตร.
เอมอร เนียมน้อย. (2546). การศึกษาผลสัมฤทธิ์การอ่านอย่างมีวิจารณญาณด้วยวิธีอ่านแบบ
SQ3R ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ัช้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2545 สถาบันราชภัฏ
ก่าแพงเพชร. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการสอนภาษาไทย
บัณฑิตวทิ ยาลัยมหาวิทยาลยั ราชภฏั กาแพงเพชร.
ภาษาองั กฤษ
Balsiri, N. N. (2518). การวจิ ยั ทางภาษาไทย (Educatiional Research).Bangkok: odeon
Store.
Cooper, J.D., and others. (1988). To What and How to Reading Instruction. Ohio:
Merrill Publishing.
Dalton, D.F. (2009). Critical reading-an evaluation of a teaching approach. Frontiers
in Education Conference. Academic Journal. Accessed January 2, 2014.
available from
http://ieeexplore.ieee.org/xpl/articleDetails.jsp?arnumber=5350833
Erwin, B.W.J.R. (1993). Growth in Critical Reading and Evaluation of Arguments
Among Non-proficient College Readers. Doctoral Dissertation. State
University of New York at Buffalo.
Hubbell, Victoria Pope. (1985). A Comparison of the SQ3R and the SQ2RW
Method of Study with Reader of Collage Textbooks. Ed.D. dissertation,
University of Missouri-Columbia. Accessed January 29, 2014. Available from
http:/search.proquest.
com/docview/303392834/916E09A7DF384D66PQ/2?accountid=50150
Kylie, Baier. (2011). The Effects of SQ3R on Fifth Grade Students'
Comprehension Levels. Academic Journal. Accessed January 27, 2014.
Available From https://etd.ohiolink.
Edu/ap/10?0::NO:10:P10_ACCESSION_NUM:bgsu1300677596
Lizabeth A. Guzniczak. (2007). A Quasi-experimental Study of Adolescent Using
the SQ3R Strategy Instruction with Web-based Learning Materials. Ed.D.
dissertation, Oakland University.
Sadeghi, Azin. (2013). The Effect of Summary Writing as a Critical Reading Strategy
on Reading Comprehension of Iranian EFL Learners. English Department,
Shiraz University of Medical Sciences, Iran. Accessed January 29,
2014. Available from
http://www.macrothink.org/journal/index.php/jse/article/view/ 2644
/2946
Smith, N.B. (1963). Reading Instruction for Today’s Children. New York:
Prentice-Hall Inc.
ภาคผนวก
1. แผนการจัดการเรยี นรู้ เร่อื ง สุภาษิตพระร่วง
2. แผนการจดั การเรยี นรู้ เรอ่ื ง วิเคราะห์คณุ ค่าสภุ าษิตพระรว่ ง
3. แบบทดสอบก่อนเรยี น (Pre-Test)
4. แบบทดสอบหลงั เรยี น (Post-Test)
5. แบบฝึกหดั เร่ืองสภุ าษติ พระรว่ ง
6. สือ่ ประกอบการจัดการเรียนรู้