๒๕๖๔
เภสชั วทิ ยาพืน้ ฐาน
สาหรบั การพยาบาล
VOL.1 -แนะนำเภสชั วิทยำ กำรพัฒนำยำ และ รูปแบบยำเตรียม
SAKNARIN LIMCHAROEN
RBRU | มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ตำบลทา่ ชา้ ง อำเภอเมือง จงั หวดั จันทบรุ ี 22000
คำนำ
พยาบาลเปน็ บุคลากรทางการแพทยท์ ต่ี อ้ งมอี งค์ความรู้จากศาสตรห์ ลายแขนง
ดงั น้นั การเรียนรเู้ รอ่ื งเภสัชวิทยา จงึ เป็นพ้ืนฐานสำคญั ในการนำไปประยกุ ตใ์ ช้ในการดแู ล
ผปู้ ่วยใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ
ครูพยายามสรปุ และทำใหช้ ัดเจนทส่ี ุดเท่าที่นกั ศึกษาของครูจะเรยี นรไู้ ด้ ถอื เปน็
บันไดขนั้ แรกท่ีจะตอ่ ยอดไปอา่ นหนงั สอื เลม่ อ่ืน ๆ แล้วเขา้ ใจมากขน้ึ
ศักดิ์นรินทร์ หลมิ เจรญิ
2564
1
สารบญั หนา้
1
คำนำ 2
สารบญั 3
วัตถุประสงค์ 3
1. แนะนำเภสชั วิทยา (Orientation to Pharmacology) 4
8
คำศพั ท์พน้ื ฐาน 4 คำ (Four Basic Terms) 10
แหล่งทม่ี าของยา (Source of drugs) 10
2. การพัฒนายา (Drug discovery) 11
2.1 การคน้ พบแบบบงั เอิญ (serendipity) 20
2.2 การค้นพบแบบใช้หลักเหตุผล (rational drug discovery) 21
2.3 วธิ ีการเรยี กชอื่ ยา (Drug nomenclature) 22
3. รูปแบบยาเตรยี ม (Pharmaceutical preparations หรือ Dosage forms) 28
3.1 ยาเตรียมรปู แบบของแข็ง (Solid dosage form) 36
3.2 ยาเตรียมรูปแบบของเหลว (Liquid dosage form) 40
3.3 ยาเตรียมรปู แบบของกง่ึ แข็ง (Semisolid dosage form) 44
3.4 ยาเตรียมชนิดอ่ืน ๆ 46
4. การเขียนใบส่ังยา (prescription writing) 47
มาตรฐานการให้ยาสำหรับพยาบาล 48
ความหมายคำย่อ-อกั ษรย่อ ท่มี กั ปรากฏในใบส่ังยา ... ควรรู้ไว้ 48
การคำนวณเปลี่ยนหน่วยขนาดยา 50
สรปุ
บรรณานกุ รม
2
บทท่ี 1
แนะนำเภสชั วทิ ยา การพัฒนายา และ รปู แบบยาเตรียม
Introduction to drug, drug discovery and dosage forms
ศกั ดิ์นรนิ ทร์ หลมิ เจรญิ
พย.ม. (การพยาบาลผใู้ หญ)่
วตั ถุประสงค์
1. อธิบายเกี่ยวกับหลักการใช้ยา รูปแบบเภสัชภัณฑ์ การคำนวณยา และหลักการ
เบอื้ งต้นเกย่ี วกับเภสชั จลนศาสตรไ์ ด้
2. ประยกุ ต์ใช้กระบวนการพยาบาลในการใช้ยา รปู แบบเภสชั ภัณฑ์ การคำนวณยา และ
หลักการเบือ้ งต้นเกยี่ วกบั เภสชั จลนศาสตรไ์ ด้
1. แนะนำเภสัชวทิ ยา (Orientation to Pharmacology)
พยาบาลต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเภสัชวิทยาพื้นฐาน ด้วยเหตุผลที่ว่า วิชาเภสัชวิทยาเป็น
ศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับศาสตร์หลายแขนง ได้แก่ anatomy, physiology, chemistry,
microbiology, และ psychology ซึ่งผู้ที่จะศึกษาเภสัชวิทยาจะต้องเรียนรู้ศาสตร์ต่าง ๆ เหล่าน้ี
มากอ่ น จงึ จะสามารถเรียนรูเ้ ภสัชวทิ ยาอย่างเขา้ ใจและนำไปใชไ้ ด้
ภาพที่ 1 ศาสตร์ตา่ งๆทมี่ คี วามเกี่ยวเน่อื งกับเภสชั วิทยา
3
คำศัพท์พืน้ ฐาน 4 คำ (Four Basic Terms)
ภาพท่ี 2 Four Basic Terms
Drug
A drug is defined as any chemical that can affect living processes.
คําวา่ “ยา” ในความหมายตามพจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2554 หมายถึง
สิ่งทีใ่ ชแ้ กห้ รอื ปอ้ งกันโรค หรือบำรุงร่างกาย เรียกชื่อต่าง ๆ กัน คือ เรียกตามลักษณะกม็ ี เช่น ยา
ผง ยาเม็ด ยาน้ำ เรียกตามสีก็มี เช่น ยาแดง ยาเขียว ยาเหลือง ยาดำ เรียกตามรสหรือกลิ่นก็มี
เชน่ ยาขม ยาหอม เรยี กตามวธิ ที ำก็มี เช่น ยาตม้ ยากลน่ั ยาดอง เรียกตามกริ ยิ าทใ่ี ช้ก็มี เชน่ ยาก
วาด ยากนิ ยาฉีด ยาดม ยาอม
Pharmacology
Pharmacology can be defined as the study of drugs and their interactions
with living systems.
Pharmacology; The branch of science that is concerned with the discovery
anddevelopment of drugs; their chemical composition; their actions; their uses; and
their side effects and toxicity. (The British Medical Association, มปป.)
4
Pharmacology; The study of drugs and their origin, nature, properties, and
effects upon living organisms. (Donald Venes, 2017)
เภสัชวิทยา หมายถึง วิทยาศาสตร์แขนงที่ว่าด้วยฤทธิ์ของยาหรือของสารที่มีต่อสิ่งมีชีวติ
(พจนานกุ รม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554)
Clinical Pharmacology
Clinical pharmacology is defined as the study of drugs in humans.
เภสัชวิทยาคลนิ ิก หมายถึง วทิ ยาการเกย่ี วกบั การทดสอบและศึกษาเภสชั วิทยา ตลอดจน
ฤทธิ์ข้างเคียงของยาต่าง ๆ ที่ใช้ในคนปกติและผู้ป่วยในการป้องกันและรักษาโรค โดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อให้มีการใช้ยาอย่างมีเหตุผล ซึ่งจะเป็นผลให้การป้องกันและการรักษาโรคมี
ประสทิ ธิภาพสูงและปลอดภยั แก่ผปู้ ว่ ย
Therapeutics
Therapeutics, also known as pharmacotherapeutics, is defined as the use of
drugs to diagnose, prevent, or treat disease or to prevent pregnancy.
การรกั ษาโรค หมายถึง วทิ ยาและศิลปะการรักษาโรค
การรักษาโรค หมายถึง การรักษาด้วยวิธีการต่าง ๆ (พจนานุกรมการสาธารณสุขไทย
พ.ศ. 2561 ฉบับ 100 ปี การสาธารณสุขไทย)
เภสัชวิทยาเป็นการศึกษาฤทธิ์ที่สารเคมีหรือยาใดยาหนึ่งมีผลต่อระบบต่าง ๆ ของ
สิ่งมีชีวิต ผ่านกระบวนการทางชีวเคมีโดยการจับกันและเกิดปฏิกิริยากับโมเลกุลที่สำคัญต่อ
กระบวนการตา่ ง ๆ ในร่างกาย กระบวนการที่เกิดขน้ึ เปน็ การกระตุ้นหรอื ยับย้งั โมเลกลุ เหล่านนั้นก็
ได้ ส่งผลใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลงในการรกั ษา หรือทำลายเชือ้ จุลชีพในรา่ งกายของผู้ปว่ ยก็ได้ เภสัช
วทิ ยาศึกษาคุณสมบัติ 2 ดา้ น ไดแ้ ก่
1. ด้านเภสัชจลนศาสตร์ (Pharmacokinetic) เป็นการศึกษากระบวนการต่าง ๆ
ในระดับโมเลกุลที่ร่างกายกระทำต่อยาที่ได้รับ ประกอบด้วย การดูดซึมยา (Drug absorption)
การกระจายตัวของยาในร่างกาย (Drug distribution) การเมตาบอลิซึมยาในร่างกาย (Drug
metabolism) และการขับถ่ายยาออกจากร่างกาย (Drug excretion) (พัทธมน ลพานุวรรตน์,
5
2562) รวมถงึ การยอ่ ยสลายทางชวี ภาพ (biodisposition) และการซมึ ผ่านเขา้ ไปในผนงั ก้นั เย่ือหุ้ม
เซลล์ (cellular membrane barriers) (Craig Davis and Steven R. Harris, 2018)
Mnemonic
AD-ME; Absorption >> Distribution >> Metabolism >> Excretion
ภาพท่ี 3 เภสัชจลนศาสตร์ (Pharmacokinetic)
1.1 การดดู ซึมยา (Drug absorption) คอื กระบวนการนำยาจากจดุ ทบี่ ริหารยา
เข้าสู่กระแสเลือด ) (พัทธมน ลพานุวรรตน์, 2562) ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ ไปจนถึงตำแหน่งท่ีออกฤทธ์ิ
อัตราการดูดซมึ ของยาข้ึนอย่กู บั ชอ่ งทางการบรหิ ารยา วงรอบของยาทผ่ี า่ นเข้าไปในเน้อื เยื่อทไ่ี ด้รับ
การบริหารยา และความสามารถในการละลาย ทั้งการละลายในน้ำ (Hydrophilic) หรอื ละลายใน
ไขมัน (Lipophilic) (Craig Davis and Steven R. Harris, 2018) ถ้าให้ยาโดยการรับประทาน
การดูดซมึ ยาเกดิ ขึน้ ท่เี ยอ่ื หมุ้ เซลล์ (Cell membrane) ของเซลลบ์ ุผนังทางเดินอาหาร (Epithelial
cell) โดยกระบวนการหลกั 2 แบบ คอื Passive diffusion และ Active transport (ณัฐวธุ
6
สิบหมู่ และ ยุพนิ สงั วรินทะ, 2553) Passive diffusion เป็นการเคล่ือนท่ีของโมเลกุลยาจากพ้ืนที่
ทม่ี ีความเขม้ ขน้ สงู ไปสพู่ ้ืนที่ท่ีมีความเข้มข้นตำ่ กวา่ ซึมผ่านโดยอาศัยน้ำหรือไขมัน การซึมผ่านโดย
อาศัยน้ำ (Aqueous diffusion) เกิดในวงกว้างในส่วนที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบ เช่น ช่องว่าง
ระหว่างเซลล์ และ ผ่านเยื่อบุเซลล์และรูบริเวณเย่ือบุของหลอดเลือด Aqueous diffusion อาศัย
การทำงานของความเข้มขน้ ท่ีแตกต่างกันของโมเลกลุ ยา
1.2 การกระจายตัวของยาในร่างกาย (Drug distribution) คือ การเคลื่อนของ
ยาจากกระแสเลอื ดไปสเู่ น้ือเยื่อต่าง ๆ ซง่ึ ข้นึ อยกู่ ับปรมิ าณเลอื ดทไี่ ปเล้ียงเนอื้ เย่ือหรืออวัยวะนั้น ๆ
ปริมาตรของของเหลวในร่างกายที่ปรากฎว่ายากระจายไปถึง ตัวกั้นไม่ให้ยาผ่าน และการจับของ
ยากบั โปรตนี ในพลาสมา
1.3 การเมตาบอลิซึมยาในร่างกาย (Drug metabolism) เป็นกระบวนการที่
อาศัยเอนไซม์ที่จำเพาะต่อยา แบ่งได้เป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่เติมหมู่ฟังก์ชั่นเล็กเข้าในโมเลกลุ
ยา และ ระยะเชื่อมโมเลกุลยากับฟังก์ชั่นขนาดใหญ่หรือโครงสร้างที่ส่วนมากละลายน้ำได้ด้วย
พนั ธะโควาเลนต์
1.4 การขบั ถ่ายยาออกจากรา่ งกาย (Drug excretion) เปน็ การกำจดั ยาหรอื
การเปล่ยี นแปลงของยาตามเวลา โดยวัดปรมิ าณยาในพลาสมาหรอื เลือดท่ีเวลาต่าง ๆ การขับถ่าย
ยาออกจากร่างกายมีหลายช่องทาง ได้แก่ ทางปัสสาวะ ทางอุจจาระ ทางลมหายใจ ทางน้ำนม
ทางเหง่ือและทางนำ้ ลาย (ณัฐวธุ สบิ หมู่ และ ยพุ นิ สังวรนิ ทะ, 2553)
2. ด้านเภสัชพลศาสตร์ (Pharmacodynamics) เป็นการศึกษาการจับกันระหว่าง
ยากับตัวรับ (Receptors) (Craig Davis and Steven R. Harris, 2018) และกลไกของยาในการ
ออกฤทธิ์หรือก่อให้เกิดผลต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ของร่างกาย (Mechanism of action)
ซึ่งประกอบด้วย ผลของยาต่อการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีและสรีรวิทยาของร่างกายที่จะเกิดเป็น
ผลการรักษา และความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณยาและผลทางเภสัชวิทยา (Dose-response
relationship) รวมถึงการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ และพิษของยาด้วย (พัทธมน ลพานุวรรตน์,
2562; ณัฐวุธ สิบหมู่ และ สภุ ีนันท์ อญั เชิญ, 2553)
เภสัชวิทยายังเกี่ยวข้องกับศาสตร์อื่นที่กำลังเป็นที่สนใจและมีความสำคัญอย่างมากต่อ
การรักษา ในปัจจุบันมีเภสัชวิทยาแขนงใหม่ คือ เภสัชพันธุศาสตร์ (Pharmacogenetics/
Pharmacogenomics) เป็นการประสานองค์ความรู้ทางเภสัชวิทยาและพันธุศาสตร์ ทำให้ทราบ
ถึงภาวะพหุสณั ฐานหรือภาวะการมรี ูปแบบจำนวนมากทางพันธุกรรม และรวมทงั้ การเปลี่ยนแปลง
7
การแสดงออกของยีนที่มผี ลต่อการออกฤทธิ์และการเกิดอาการไม่พึงประสงคจ์ ากยา โดยนำความรู้
เหล่านี้มาใช้ประโยชน์ทางคลินิกในการเลือกใช้ หรือปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับผู้ปว่ ยแต่ละราย
เพ่ือใหก้ ารรักษาโรคดว้ ยยาเป็นไปอยา่ งมีประสิทธิผลและมีความปลอดภัยมากย่งิ ขนึ้
แหลง่ ท่มี าของยา (Source of drugs)
สารที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการใช้เป็นยาอาจได้จากแหล่งที่มาหลายแหล่ง สามารถ
แบง่ ยาตามแหลง่ ทม่ี าดงั นี้
1. ยาทม่ี ีแหล่งทม่ี าจากธรรมชาติ (Natural sources of drugs)
1.1 ยาที่ได้จากพชื หรือผลผลติ จากพืช (Plant sources)
สารสำคัญที่ได้จากการสกัดจากธรรมชาติมักจะมีโครงสร้างของสารที่แปลกใหม่
ซับซ้อน และสังเคราะห์ได้ยากในหลอดทดลอง เช่น ยาที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง Vincristine ได้จาก
การสกัดส่วนทั้งต้นของแพงพวยฝรั่ง (Catharanthus roseus), ยา Paclitaxel ได้จากการสกัด
ส่วนเปลือกของต้น Pacific yew หรือ Taxus brevifolia หรือยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยในภาวะหัวใจ
ล้มเหลว เช่น Digoxin ได้จากการสกัดจากทั้งต้น Foxglove หรือ Digitalis purpurea หากนำ
ส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น ดอก เมล็ด ผล ราก หรือเปลือกไม้ มาใช้เป็นยาโดยตรงโดยไม่ได้
เปลี่ยนแปลงรูป จะเรียกว่า สมุนไพร (Herbal drug) ซึ่งจะประกอบไปด้วยสาระสำคัญหลาย
ชนดิ เชน่ ชุมเห็ดเทศนำส่วนใบหรือดอกมาใช้ในการบรรเทาอาการทอ้ งผกู เปน็ ต้น
1.2 ยาทไ่ี ดจ้ ากสัตว์ (Animal sources)
ยาเตรียมที่ได้จากสตั ว์หรือผลิตภณั ฑ์จากสัตว์ เช่น ฮอร์โมนทดแทนอินซูลิน (Insulin)
เตรียมจากตับอ่อนของหมูหรือวัว ยาฉีดเพื่อสลายลิ่มเลือด Heparin sodium injection เตรียม
จากผนังเยื่อบุลำไส้เล็กของหมู วัคซีนต่าง ๆ เช่น วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบชนิดเอ/ ชนิดบี
เตรียมจากการทำให้วัวติดเชื้อไวรัสนั้น แล้วจึงนำภูมิคุ้มกันที่วัวสร้างขึ้นมาทำเป็นวัคซีนต่อไป
Growth hormone สกัดได้จากต่อมไร้ท่อของวัวหรือแกะ เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ที่ไดจ้ ากสัตว์อาจจะ
ก่อให้เกิดปฏกิ ิริยาแพ้รุนแรงข้นึ ได้ และมีต้นทนุ ในการผลิตคอ่ นขา้ งสงู
1.3 ยาที่ไดจ้ ากแรธ่ าตุ (Inorganic sources)
ยาเตรียมท่ีได้จากแรธ่ าตุ เช่น Lithium carbonate ใช้รักษาผูป้ ว่ ยโรคอารมณ์สองขว้ั
(Bipolar disorder) หรือ Aluminium hydroxide ใช้เป็นยาลดกรดในกระเพาะอาหาร เป็นต้น
8
2. ยาทม่ี แี หลง่ ทมี่ าจากการสงั เคราะห์ (Synthetic drug)
ยาท่ีได้จากกระบวนการสังเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ มีข้อดีคือ สามารถผลิตยาได้ใน
ปริมาณมากและมีความแม่นยําในการวิเคราะห์ซ้ำ ๆ แต่มีข้อกำจัดในการสังเคราะห์สารที่มี
โครงสร้างซับซอ้ น แบ่งเป็นกลุ่มยอ่ ย ดังนี้
2.1 สารท่ีสังเคราะหใ์ หมต่ ้งั แต่ตน้ (Synthesis of new molecular entities)
การสังเคราะห์ยาขึ้นใหม่ตามสูตรโครงสร้างทางเคมีด้วยปฏิกิริยาเคมี เกิดจากการ
ศึกษาวิจัยจนได้สูตรโครงสร้างที่มีการออกฤทธิ์ที่ต้องการ เช่น การสังเคราะห์ยา Paracetamol
จาก Phenol เพือ่ ใชล้ ดไข้ ระงับปวด ต้องใช้คอมพวิ เตอร์ประเมินผลการจบั ของยากบั ชีวโมเลกุลท่ี
ออกฤทธ์ิ (Computer modeling of drug-receptor interactions) ร่วมกับการใช้เทคนิคเคมี
เช่ือมโยง (Combinatorial chemistry) เพ่ือทดสอบสารจำนวนมาก
2.2 สารสังเคราะห์เป็นอนุพันธุ์จากสารธรรมชาติ (Synthesis of analogs of
natural compounds)
การปรับปรุงสูตรโครงสร้างของสารที่ได้จากธรรมชาติเพื่อให้มีคุณสมบัติทีด่ ีขึ้น ได้แก่
การเพิ่มความสามารถในการจับ (Affinity) ความจำเพาะ (Specificity) และความแรง (Potency)
ในการออกฤทธิ์ ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาของสารที่ได้จากธรรมชาติ เช่น
Morphine เปน็ สารสกดั จากฝ่นิ มฤี ทธ์ใิ นการระงบั ปวดและกดการไอ แตเ่ ม่อื ใช้ตดิ ตอ่ กนั กอ่ ใหเ้ กิด
การเสพติดได้ จึงพัฒนาโครงสร้างเป็น Codeine ซึ่งมีฤทธิ์ในการเสพติดน้อยกว่าและสามารถ
ระงับการไอได้ แต่ขนาดยาที่ใช้กดการไอต่ำมากจนเกือบไม่มีฤทธิ์ระงับปวด หรือเพื่อลด
ผลข้างเคียงต่าง ๆ เช่น Carboplatin ถูกพัฒนาเพื่อลดความเป็นพิษต่อไตของ Cisplatin ส่วน
Doxorubicin ถกู พัฒนาเพ่ือลดความเป็นพษิ ตอ่ หัวใจของ Daunomycin
2.3 สารสังเคราะห์ทีไ่ ดจ้ ากเทคโนโลยีใหม่ (synthesis by new technologies)
การพัฒนาเทคโนโลยใี หมเ่ พ่ือลดการใช้สตั ว์ในการผลติ ยาชีวภาพ และเพือ่ ควบคุมการ
ผลิตให้มีความสม่ำเสมอในด้านคุณภาพและประสิทธิภาพของยาในทุกรอบการผลิต ได้แก่
เทคโนโลยี Recombinant DNA technology ใช้ความรทู้ างพนั ธุวศิ วกรรม (Genetic
engineering) เข้ามาช่วย เช่น การผลิตอินซูลินของมนุษย์ การผลิตฮอร์โมนในการเจริญเติบโต
ของมนุษย์ การผลิตวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี เป็นต้น และเทคโนโลยีการผลิตแอนติบอดี้ แบบ
Monoclonal antibody เป็นการผลิตแอนติบอดี้ที่มีความจำเพาะต่อโปรตีนเป้าหมายสูง และ
9
ก่อให้เกดิ ปฏิกิริยาแพ้ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญใ่ ช้เซลล์เพาะเล้ียงของสัตวเ์ ลยี้ งลกู ด้วยนมในการผลิต
(Mammalian cell culture)
ภาพที่ 4 Source of drugs
2. การพัฒนายา (Drug discovery)
การค้นพบยาใหม่มีเป้าประสงค์เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ ในการต่อสู้กับโรคภัยไข้
เจ็บหรือป้องกันการเกิดโรค ในปี ค.ศ. 1928 การค้นพบยาในกลุ่ม Penicillin ของ Alexander
Fleming ช่วยชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วน และปูทางให้คนในรุ่นถัดมาได้รูจ้ ักกับยาปฏิชีวนะ (Antibiotic)
นอกจากน้ีในปัจจุบันมีการค้นพบยาใหม่ ๆ เช่น การค้นพบยากลุ่ม Statin ช่วยลดระดับไขมันใน
เลือด รวมถึงการค้นพบยาชีววัตถุ (Biologics) ต่าง ๆ เช่น Humanized monoclonal
antibodies ท่ใี ชใ้ นการรกั ษาโรคมะเร็ง ถอื ว่ามคี วามสำคญั มากตอ่ วงการสาธารณสขุ
การค้นพบสารที่นำมาใช้เปน็ ยารกั ษาโรคน้ันเกิดขน้ึ ในหลายลักษณะ ดังน้ี
2.1 การค้นพบแบบบังเอิญ (serendipity)
การค้นพบยาต้านจุลชีพกลุ่ม Penicillin เกิดขึ้นจากความบังเอิญและความช่างสังเกต
ของ Alexander Fleming ในระหว่างการศกึ ษาแบคทเี รยี ในกลุ่ม Staphylococcus อยู่น้นั มเี ชื้อ
10
ราปนเป้อื นลงไปในจานเพาะเล้ียงแบคทีเรีย สังเกตว่ารอบๆ บรเิ วณทมี่ เี ชือ้ ราจะไมม่ ีเชื้อแบคทีเรีย
เจริญเติบโตได้เลย การค้นคว้าต่อไปจึงพบว่าเชื้อราที่ปนเปื้อนเป็นเชื้อราสายพันธ์ุ Pennicilium
notatum Alexander Fleming และเพื่อนนักเคมจี ึงได้ทำการสกัดสารสำคัญจากเชื้อราในกลุม่ น้ี
และตอ่ มารจู้ กั ในชือ่ ยากล่มุ Penicillin ในช่วงนัน้ นำไปใช้กับทหารทม่ี ีบาดแผลตดิ เชอ้ื จากสงคราม
2.2 การค้นพบแบบใชห้ ลกั เหตผุ ล (Rational drug discovery)
กระบวนการการค้นคว้ายาแบบใช้เหตุผลเป็นวิธกี ารที่ใช้กนั ในปัจจุบนั เรม่ิ จากการเข้าใจ
ถึงสาเหตุและกลไกการเกิดโรค พยาธิวิทยาของโรค รวมไปถึงชีวโมเลกุลที่สำคัญที่เกี่ยวข้องหรือ
เป็นสาเหตุหลักของโรคอย่างถ่องแท้ แล้วจึงค้นหาหรือสังเคราะห์สารที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นหรือ
ยับยั้งชีวโมเลกุลนั้น คัดกรองเฉพาะสารเคมีที่มีฤทธิ์และไม่มีพิษต่อร่างกายมนุษย์ รวมทั้งศึกษา
ทดสอบคุณสมบัติทางด้านเภสัชจลนศาสตร์และเภสัชพลศาสตร์ของยาจนได้ตัวยาสำคัญออกมา
เพ่ือการรักษาในท่ีสดุ
ขั้นตอนการค้นคว้ายาใหม่แบบหลักเหตุผล จนถึงการขึ้นทะเบียนยาและนำไปใช้ทาง
คลนิ ิก มขี ัน้ ตอนและกระบวนการดงั นี้ (ภาพที่ 5)
ภาพที่ 5 Rational drug discovery
ภาพที่ 5 กระบวนการค้นคว้ายาใหม่แบบหลักเหตุผล (1) เริ่มต้นจากการทำวิจัยใน
เบื้องต้น ค้นหาชีวโมเลกุลที่เกี่ยวข้องกับโรคและมีแนวโน้มที่จะสามารถพัฒนาเป็นเป้าหมาย
(Target identification) (2) จากนั้นค้นหาสารเคมีที่มีฤทธิ์เริ่มต้น (Lead discovery) ซึ่งสามารถ
ออกฤทธิ์กับชีวโมเลกุลเป้าหมายและทำการสังเคราะห์อนุพันธุ์จำนวนมาก คัดกรองคุณสมบัติ
ต่างๆ ในหลอดทดลองและเซลล์เพาะเลี้ยง (3) ต่อมาจะเข้าสู่กระบวนการทดสอบฤทธิ์ใน
11
สัตวท์ ดลอง (Preclinical development) เพ่ือทดสอบฤทธ์ิและความปลอดภัย (4) สารที่ผ่านการ
คัดกรองที่มีคุณสมบัติที่ดีจะเข้าสู่ขั้นตอนการทดสอบในมนุษย์ (clinical trials) ซึ่งประกอบด้วย
การทดสอบในอาสาสมัครสขุ ภาพดี ตอ่ มาจึงทดลองในกลุ่มอาสาสมคั รทีเ่ ป็นผู้ป่วยโรคที่สนใจยาท่ี
มีประสิทธิภาพและปลอดภัย (5) ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA)
และจำหน่ายในท้องตลาดได้ และ (6) หลังจากยาออกสู่ท้องตลาดแล้วยังต้องติดตามผลในการ
รักษา ประสทิ ธิภาพของยา และความปลอดภัยจากการใชย้ าในกลุม่ ผู้ปว่ ยในสถานการณจ์ รงิ
การค้นพบแบบหลักเหตุผลเป็นกระบวนการค้นคว้าหายาใหม่ที่ยึดตามหลักการคิด
วิเคราะห์ และพิสูจน์ความจริงในตลอดระยะเวลาในการค้นคว้าจนกระทั่งได้ยาใหม่ ซึ่งจึงมักใช้
ระยะเวลานาน และมวี ตั ถดุ ิบ รวมไปถงึ ตน้ ทนุ ท่มี หาศาล ประกอบดว้ ยขนั้ ตอนดังน้ี
2.2.1 การคัดเลือกชวี โมเลกลุ ท่สี ำคัญ (Target identification and validation)
ชีวโมเลกุลที่สำคัญที่จะใช้เป็นเป้าหมายในการออกฤทธิ์ จะต้องสัมพันธ์และเป็นสาเหตุ
สำคัญในการกอ่ โรค โดยมคี วามจำเพาะกับโรคเทา่ นั้น และต้องมตี ำแหน่งทีย่ าจะสามารถออกฤทธ์ิ
ได้ (Site of action) อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนใหญ่เป็นโปรตีน เช่น เอนไซม์, รีเซพเตอร์
(Receptor), ชอ่ งทางออิ อน (Ion channel) เปน็ ตน้ เมื่อมกี ารคน้ พบชีวโมเลกลุ แล้ว ยังต้องมีการ
ทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อใช้แล้ว จะมีประสิทธิภาพมากพอที่จะรักษา หรือชะลอโรคได้ (Target
validation) โดยทำการทดสอบในหลอดทดลอง (in vitro) และ ทดสอบในรา่ งกาย (in vivo)
ภาพที่ 6 Target identification and validation
12
2.2.2 การคน้ หาสารเคมนี ำทมี่ ฤี ทธิ์ (Lead identification and validation)
การค้นหาสารเคมีที่มีฤทธิ์นั้นสามารถทำได้หลายวิธี หนึ่งในวิธีที่เป็นที่นิยมและ
สามารถคัดกรองสารจำนวนมากได้ในเวลาเดียวกันคือ High-through put screening (HTS) โดย
การทดสอบกับคลังยาโมเลกุลขนาดเล็ก (Small molecule library) สารที่ผ่านการคัดกรองใน
รอบแรกเรียกว่า Hit ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการจับกับชีวโมเลกุลทีส่ นใจ หลังจากนั้นคัดกรอง
อีกครั้งเพื่อให้ได้เฉพาะสารที่มีผลที่ต้องการต่อชีวโมเลกุลที่สนใจ โดยพิจารณาความสามารถและ
ความจำเพาะในการจับกับชีวโมเลกุลเป้าหมาย สารที่ได้เรียกว่า “Lead” หลังจากได้ Lead
มาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ ปรับปรุงคุณภาพของ Lead (Lead optimization) โดยการปรับ
โครงสร้างทางเคมีให้มีความสัมพันธ์ทางโครงสร้างของสารและการออกฤทธิ์ (Structure-activity
relationships) ให้ออกฤทธ์ิจำเพาะเจาะจงมากขึน้ ปรับปรุงคุณสมบัติทางเภสัชจลนศาสตร์ใหถ้ ูก
เปลี่ยนแปลงด้วยเอนไซม์ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น และเภสัชพลศาสตร์ให้มีความแรงในการออกฤทธิ์
(Potency) กับชีวโมเลกุลเป้าหมาย โดยเพิ่มประสิทธภิ าพการรักษา (Efficacy) ขั้นตอนนี้เป็นการ
ทดลองในหลอดทดลองหรือเน้ือเย่อื ทไี่ ด้จากสัตว์ทดลอง (ex vivo) เป็นหลกั
ภาพท่ี 7 Lead identification and validation
2.2.3 การพฒั นายาใหม่ระยะกอ่ นคลินิก (preclinical development)
ขั้นตอนต่อไปของการพัฒนายาคือ การพัฒนายาใหม่ระยะก่อนศึกษาในมนุษย์ หรือ
การทดสอบฤทธ์ใิ นสัตว์ทดลอง โดยมีวัตถุประสงค์เพอ่ื ศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวทิ ยา เภสัชจลนศาสตร์
13
ความปลอดภัย ความเป็นพิษเบื้องต้น การหาขนาดยาขนาดแรก (First dose) ที่จะนำไปใช้ใน
การศึกษาในมนุษย์ และหาขนาดยาสูงสุดที่สามารถทนทานได้ (Maximum tolerated dose)
รวมไปถึงปรับปรุงตำรบั ยาเพ่ือท่ีจะนำไปใช้ในการศึกษาในมนษุ ยต์ ่อไป รายละเอยี ดดังตอ่ ไปนี้
1) การศึกษาฤทธทิ์ างเภสัชวทิ ยา
การทดสอบในสตั ว์ทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบว่า สารเคมีท่ีมีฤทธ์ิท่ีได้มานั้น
มีประสิทธิภาพมากพอที่จะพัฒนาไปเป็นยาใหม่ ออกฤทธิ์ได้ดีกับชีวโมเลกุลเป้าหมาย และนำมา
ซึ่งผลการรักษาที่ต้องการ โดยไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่าง ๆ เช่น ทำให้หลอดลมหดตัว หัวใจเต้นผิด
จงั หวะ ความดนั โลหิตเปลี่ยนแปลง เป็นต้น
2) การศึกษาฤทธ์ทิ างเภสชั จลนศาสตร์ (pharmacokinetic study)
นัน่ คือการศึกษากระบวนการต่าง ๆ ในเภสชั จลนศาสตร์ของยา ประกอบด้วย การ
ดูดซึมของยา (Drug absorption) การกระจายตัวของยา (Drug distribution) การเปลี่ยนแปลง
ของยา (Drug metabolism) และการขบั ถ่ายยาออกจากรา่ งกาย (Drug excretion)
3) การศึกษาความเป็นพษิ แบ่งออกไดด้ ังน้ี
3.1) การทดสอบพิษเฉียบพลัน (Acute toxicity testing) เป็นการทดสอบ
ความเป็นพิษของยาโดยการใหย้ าขนาดสูงในขนาดเดียวภายในระยะเวลาสั้น เพื่อหาขนาดยาที่ทำ
ให้สัตว์ทดลองตายไปร้อยละ 50 (Lethal dose 50%; LD50) และเพื่อหาขนาดยาสูงสุดที่สัตว์
สามารถทนได้ (Maximum tolerated dose; MTD) โดยจะมกี ารตดิ ตามผลต่อเปน็ เวลา 7-14 วัน
วิธีบริหารยา 2 ประเภท คือ การรับประทานและการฉีด โดยทั่วไปจะใชส้ ัตวท์ ดลองขนาดเล็กเช่น
สตั วฟ์ ันแทะ (Rodent) ได้แก่ หนถู บี จักร (Mice) และหนแู รท (Rat) หรอื ใช้สตั วท์ ดลองท่ไี ม่ใช่สัตว์
ฟนั แทะ (Non-rodent) เช่น สุนขั หรอื กระต่าย เป็นตน้
3.2) การทดสอบพษิ กึ่งเฉียบพลันและกึง่ เร้อื รัง (Subacute and
subchronic toxicity) เป็นการทดสอบความเปน็ พิษโดยการให้ยาในขนาดเดยี วกนั ซำ้ หลายครัง้
ภายในระยะเวลา 2-4 สัปดาห์ สำหรับการทดสอบพิษกึ่งเฉียบพลัน และภายใน 3 เดือนสำหรับ
การทดสอบพิษแบบกึ่งเรื้อรัง โดยทั่วไปจะใช้สัตว์ทดลอง 2 สายพันธุ์ ได้แก่ สัตว์ฟันแทะ และที่
ไม่ใช่สัตว์ฟันแทะ เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เช่น น้ำหนักตัว ค่าชีวเคมีในเลือด พยาธิ
วิทยา และเนอ้ื เย่อื ทางจลุ พยาธิวิทยา (Histopathology) รวมถึงพฤติกรรมของสตั วท์ ดลองดว้ ย
3.3) การทดสอบพิษเรื้อรัง (Chronic toxicity) เป็นการทดสอบความเป็น
พษิ ของสารโดยใชเ้ วลาตดิ ตามมากกว่า 3 เดอื น โดยทว่ั ไปจะใชส้ ตั วท์ ดลอง 2 สายพนั ธุ์ ไดแ้ ก่ สัตว์
ฟันแทะและที่ไม่ใช่สัตว์ฟันแทะ เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เช่น น้ำหนักตัว ค่าชีวเคมีใน
14
เลือด พยาธิวิทยา การผ่าชันสูตรหลังจากครบกำหนดการดูการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตด้วยตาเปล่า
(Macroscopic lesions) เน้ือเยอื่ ทางจลุ พยาธวิ ิทยา (Histopathology) โดยการทดสอบพษิ เรื้อรัง
สามารถทำไปพร้อมกับการทดสอบฤทธิ์ ในคน (Clinical trial)
3.4) การศึกษาผลต่อระบบสืบพันธุ์ (Effect on reproductive system)
ทดสอบทั้งในสัตว์ทดลองเพศผู้และเพศเมีย 2 สายพันธุ์ ได้แก่ สัตว์ฟันแทะและกระต่าย โดยจะ
สังเกตพฤติกรรมการผสมพันธ์ุ (Mating behavior) การเจริญพันธ์ุ (Reproduction) การคลอด
(Parturition) ลูกที่คลอดออกมา (Progeny) ความผิดปกติแต่กำเนิด (Birth defect) และ
พฒั นาการหลังคลอด (Postnatal development)
3.5) การทดสอบการก่อมะเร็ง (carcinogenicity testing) ทดลองในสัตว์
ฟันแทะ ครอบคลุมระยะเวลาอายุขัยของสัตว์ทดลอง เช่น หนูแรท 2 ปี และหนูถีบจักร 18-24
เดือน ปัจจุบันได้มีการปรับปรุงพันธุกรรมของสัตว์ทดลองเพื่อลดระยะเวลาการทดสอบ เช่น การ
ใช้สัตว์สายพันธุ์คัดสรรพิเศษที่ไวต่อการเป็นมะเร็งบางอย่าง หรือหนูตัดต่อพันธุกรรม
(Genetically engineer mice) โดยการเพิ่มโปรตีนก่อมะเร็ง RAS หรือทำลายโปรตีนกดมะเร็ง
p53 ออกไป ลดระยะเวลาในการตดิ ตามผลการเกดิ มะเร็งในหนเู หลอื 6 เดอื น
3.6) การทดสอบการก่อกลายพันธ์ุ (Mutagenicity testing) การทดสอบ
ความมีแนวโน้มการก่อกลายพันธุ์ของสารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงในโครโมโซม และการ
เปลี่ยนแปลงในดีเอนเอ ทำได้หลายวิธี เช่น การศึกษายีนกลายพันธุ์ (Gene mutation) ใน
แบคทีเรียโดยใช้ Ames test การทดสอบในหลอดทดลองโดยใช้เซลล์เพาะเลี้ยง (in vitro
mammalian cell culture) การศกึ ษายีนเดน่ ทีท่ ำใหต้ วั อ่อนตาย (Dominant lethal test) และ
การทดสอบความผดิ ปกตขิ องโครโมโซม (Clastogenicity)
4) การปรับปรุงตำรบั ยา
โดยทั่วไปก่อนที่จะทำการทดสอบยาในมนุษย์อาจต้องมีการปรับตำรับยา เพื่อให้
เหมาะสมที่จะนำไปทดสอบในมนุษย์ ประกอบด้วย การปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพและเคมี
ของสารเคมีที่มีฤทธิ์ การพัฒนารูปแบบตำรับยา (Dosage form) เช่น ยาน้ำ ยาเม็ด ยาฉีด แผ่น
แปะที่ออกฤทธิ์ทางผิวหนัง โดยตำรับยาที่ได้ต้องประกอบไปด้วยตัวยาสำคัญ (Active
pharmaceutical ingredient) และสารช่วยภายในตำรับ (Excipients) การปรับปรุงตำรับยาทำ
ได้ทั้งในระยะพัฒนายาใหม่ระยะก่อนคลินิก (Preclinical development) และในระยะทดสอบ
ฤทธิ์ในทางคลินิก (Clinical trial) เพื่อให้ได้ตำรับยาที่มี ความคงตัว (Stability) ปริมาณยาออก
ฤทธิท์ อ่ี ยใู่ นกระแสเลอื ด (Bioavailability) ทดี่ ี และสามารถผลิตได้จริงในเชงิ อตุ สาหกรรม
15
ภาพท่ี 8 Preclinical development
2.2.4 การทดสอบฤทธใิ์ นทางคลนิ กิ (Clinical trial)
การทดสอบฤทธิ์ทางคลินิกเป็นการทดสอบการออกฤทธิ์ของสารสำคัญในคน โดยมีราย
ละเอยี ดดังต่อไปน้ี
1) การทดสอบฤทธท์ิ างคลนิ ิกระยะที่ 1 (Phase I clinical trial)
ศึกษาในอาสาสมัครสุขภาพดีประมาณ 10-100 คน เป็นการศึกษาแบบเปิด (Open-
label trial) ทั้งผู้วิจัยและผู้เขา้ ร่วมวิจัยทราบว่าได้รับการรักษาแบบใด วัตถุประสงค์หลักของการ
ทดลองในระยะนี้คือ เพื่อศึกษาความปลอดภัย (Safety profile) ความทนต่อยา (Drug
tolerance) ศึกษาเภสัชจลนศาสตร์ในคนเป็นครั้งแรก เช่น การดูดซึมยา การกระจายตัวของยา
การเปลี่ยนแปลงยา และการขับถ่ายยา และเพื่อศึกษาฤทธิ์และผลข้างเคียงของยาเบื้องต้น
(Adverse drug reaction)
2) การทดสอบฤทธใ์ิ นทางคลนิ กิ ระยะท่ี 2 (phase II clinical trial)
ศึกษาในผูป้ ่วยทีม่ คี ุณลักษณะเฉพาะในโรคที่หวังผลรักษา ประมาณ 50-500 คน โดย
การสุ่มและควบคุมตัวแปร (Randomized controlled trial) อาจเป็นแบบ Double-blind โดย
ทั้งแพทย์และผู้ป่วยไม่ทราบว่าตนถูกจัดเป็นกลุ่มใดของการทดสอบ เช่น กลุ่มควบคุมที่ได้รับยา
หลอก (Placebo) กลุ่มที่ได้รับยามาตรฐาน (Standard treatment) หรือกลุ่มท่ีได้รับยาทดสอบ
16
(Test drug) วัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการรักษา (Efficacy) ความปลอดภัย
(Safety) และการหาขนาดของยาท่ีเหมาะสม เพื่อนำไปใช้ในการทดสอบในระยะถัดไป
3) การทดสอบฤทธิใ์ นทางคลนิ กิ ระยะที่ 3 (phase III clinical trial)
ศึกษาในผู้ป่วยโรคที่หวังผลรักษา ประมาณ 1000 คน โดยทั่วไปจะทำการทดสอบใน
ศูนย์การแพทย์หลายแห่งทั่วโลก (Multicenter trial) เพื่อให้มีความหลากหลายของกลุ่มผู้ป่วย
ศกึ ษาแบบส่มุ และควบคุมตัวแปร (Randomized controlled trial) มกั เป็นแบบ Double-blind
ทั้งแพทย์และผู้ปว่ ยไม่ทราบว่าได้รบั ยาที่ทดสอบหรือไม่ หรือได้รบั ยามาตรฐาน วัตถุประสงคห์ ลัก
คือ เพื่อยืนยันประสิทธิภาพในการรักษา (Efficacy) และความปลอดภัย (Safety) ในกลุ่มโรค
เป้าหมายที่มีจำนวนผู้ป่วยมากขึ้น อาจค้นพบอาการไม่พึงประสงค์จากยาที่พบได้ยากท่ีไม่พบใน
กล่มุ ผปู้ ว่ ยจำนวนน้อย เมือ่ ผ่านระยะนี้ยาจะรบั อนุญาตใหน้ ำไปใชท้ วั่ ไปได้
4) การทดสอบฤทธิ์ในทางคลนิ ิกระยะท่ี 4 (phase IV clinical trial)
ระยะนี้ทดสอบและเก็บขอ้ มลู ภายหลังทย่ี าได้รบั การรับรองจากองค์การอาหารและยา
แล้ว วัตถุประสงค์ เพื่อติดตามความปลอดภัยของการใช้ยาภายใต้สภาวะจริงในผู้ป่วยที่ใช้ยาใหม่
เป็นการศกึ ษาผลของยาแบบระยะยาว ทัง้ อาการไมพ่ ึงประสงค์จากยา (Adverse drug reaction)
ที่พบได้ยาก หรืออาการท่ีเกิดขึ้นในระยะเวลานานหลังจากที่ผู้ป่วยเริ่มใช้ยา เก็บข้อมูลในผู้ป่วย
จำนวนมากหลายพันถงึ หม่ืนคนในเวชปฏบิ ัตปิ กติ แบบเปิด (Opened label trial) และไม่กำหนด
ระยะเวลาในการศกึ ษา นอกจากน้ยี งั ศึกษาอนั ตรกริ ยิ าระหวา่ งยา หรือยาและอาหารอกี ด้วย
ภาพท่ี 9 Clinical trial
17
2.2.5 ขอ้ บงั คับในกระบวนการพฒั นายาใหม่ (Regulatory of drug
development)
ข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (USFDA)
แบง่ ข้อบังคับในกระบวนการพฒั นายาใหมอ่ อกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1) Investigational new drug (IND) เป็นเอกสารที่ใช้ยื่นขออนุมัติเพื่อนำยาใหม่
ไปใช้ในการศึกษาการทดสอบฤทธิ์ทางคลินิกระยะ 1-3 ต้องยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการอาหารและ
ยาภายหลังจากเสร็จสิ้นการพัฒนายาใหม่ระยะก่อนคลินิก เอกสารประกอบด้วย การศึกษาฤทธิ์
ทางเภสัชวิทยาและพิษวิทยาที่ได้จากการศึกษาในสัตว์ทดลอง ข้อมูลการผลิตยา ข้อมูลตำรับยา
การศกึ ษาความคงตัว รวมไปถึงแผนปฏิบตั ิงานในระยะการทดสอบฤทธใิ์ นทางคลินกิ ระยะตา่ ง ๆ
2) New drug application (NDA) เป็นการยื่นขออนุมัติขึ้นทะเบียนยาใหม่
ภายหลังการศึกษาการทดสอบฤทธิ์ทางคลินิกระยะ 3 เสร็จสิ้น โดยจะต้องยื่นเรื่องต่อ
คณะกรรมการอาหารและยา ประกอบด้วยข้อมูลสำคัญดังนี้ ข้อมูลเรื่องความปลอดภัย
ประสิทธิภาพในการรักษา เภสัชจลนศาสตร์ในมนุษย์ ข้อมูลด้านกระบวนการผลิต รวมถึงข้อมูล
ฉลากยา เมื่อได้รบั อนุมตั จิ ากคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว จึงจะนำยาออกสทู่ ้องตลาดได้
ภาพท่ี 10 Regulatory of drug development
18
2.3 วธิ ีการเรียกช่ือยา (Drug nomenclature)
การเรยี กชือ่ ยา แบง่ ออกเป็นหลายวิธี ดังนี้
2.3.1 เรียกตามชื่อเคมีของยา (Chemical name) คือ การเรียกชื่อตามสูตรทาง
เคมีของยานั้น ๆ ยึดตามระบบสากล การตั้งชื่อของ International Union of Pure and
Applied Chemistry (IUPAC) เ ช ่ น 1-(isopropylamino) 3-(1-naphthyloxy) propan-2-ol
เป็นชื่อของยาโพรพราโนลอล (propranolol), N-acetyl-p aminophenol เป็นชื่อของยา
paracetamol เป็นตน้
2.3.2 เรียกตามชื่อสามัญทางยา (Generic name) เป็นการตั้งชื่อสามัญให้เป็น
มาตรฐานและสากลที่รู้จักทั่วโลก เช่น propranolol, paracetamol, amoxicillin simvastatin,
cetririzine เป็นต้น
2.3.3 เรียกตามชื่อการคา้ ของยา (trade name, brand name)
เนื่องจากยาหนึ่งตัว สามารถผลิตได้จากผู้ผลิตหลายบริษัท เพื่อให้สะดวกในการขอขึ้นทะเบียน
การจำหน่ายยา รวมไปถึงการสั่งจ่ายยา แต่ละบริษัทจึงได้กำหนดชื่อของผลิตภัณฑ์ขึ้นเองและใส่
เครื่องหมายการค้า ® ต่อท้ายจากชื่อไว้เป็นตัวบ่งชี้ เช่น Tylenol® Sara®, Cemol® ทั้งหมดนี้
เปน็ ตวั อยา่ งชอื่ การค้าของยา paracetamol
ภาพท่ี 11 Drug nomenclature
19
3. รูปแบบยาเตรียม (Pharmaceutical preparations หรอื Dosage forms)
รูปแบบยาเตรียม หมายถึง รูปแบบทางกายภาพของสารที่นำมาใช้เป็นยา โดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อให้ใช้ยาได้อย่างสะดวก ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพทีส่ ุด สามารถแบ่งเป็นชนิด
ย่อย ๆ ได้ ดงั นี้
ภาพที่ 12 Dosage forms
ภาพที่ 13 Dosage forms based on the physical form
20
3.1 ยาเตรยี มรูปแบบของแขง็ (Solid dosage form) ประกอบไปดว้ ย
3.1.1 ยาเมด็ (Tablet)
รูปแบบที่เตรียมจากตวั ยาออกฤทธ์ิกับส่วนประกอบอ่ืน ๆ เช่น แป้งตัวกลาง สารหล่อ
ลื่น สารที่ช่วยในการแตกตัวของเม็ดยา เป็นต้น ตอกอัดออกมาเป็นเม็ด แบ่งเป็นชนิดต่าง ๆ ตาม
วัสดทุ ใ่ี ชเ้ คลือบ และลกั ษณะการรับประทาน ดังน้ี
ภาพที่ 14 ยาเมด็ (Tablet)
1) ยาเม็ดชนิดเคลอื บฟลิ ม์ (Film-coated tablet) คือ ยาเม็ดที่เคลอื บด้วย
โพลเิ มอร์ที่มีลักษณะคล้ายฟลิ ม์ เพ่ือกลบรสชาติและทำใหต้ วั ยาทนต่อความร้อนและความชน้ื ไดด้ ี
ภาพท่ี 15 ยาเมด็ ชนิดเคลือบฟิล์ม (Film-coated tablet)
2) ยาเม็ดชนิดเคลือบน้ำตาล (Sugar-coated tablet) คือ ยาเม็ดที่เคลือบด้วย
นำ้ ตาล วัตถปุ ระสงคเ์ พือ่ กลบรสชาติยา เพม่ิ ความสวยงาม และกลนื งา่ ยข้นึ
21
ภาพท่ี 16 ยาเมด็ ชนดิ เคลอื บน้ำตาล (Sugar-coated tablet)
3) ยาเม็ดชนดิ แตกตวั ในลำไส้ (Enteric-coated tablet) เคลอื บด้วยพอลิเมอร์
ที่มีคุณสมบัติทนต่อกรด ไม่ละลายในกระเพาะอาหาร เมื่อเคลื่อนเข้าสู่ลำไส้เล็กที่ความเป็นกรด
ลดลง สารเคลือบจะละลายและตัวยาจะถูกปลดปล่อย นำมาใช้กับยาที่มีความระคายเคืองต่อ
กระเพาะอาหาร เช่น Aspirin หรือยาทถี่ ูกทำลายเมือ่ สภาวะแวดล้อมเปน็ กรด เช่น Omeprazole
ภาพที่ 17 ยาเม็ดชนิดแตกตัวในลำไส้ (Enteric-coated tablet)
4) ยาเม็ดชนิดออกฤทธเ์ิ น่ิน (Sustained-release tablet หรอื Extended-re
lease tablet หรือ Controlled-release tablet) ประกอบด้วย เม็ด Granule เล็ก ๆ เคลือบ
ด้วยพอลิเมอร์ที่ค่อย ๆ ละลาย และปลดปล่อยตัวยาสำคัญ ทำให้ฤทธิ์ของยาอยู่ได้นานกว่ายาที่
เคลือบฟิล์มธรรมดา เหมาะกับยาที่ต้องการให้ออกฤทธิ์เนิ่น เช่น ยาที่ควบคุมการชัก ที่ออกฤทธิ์
นานและไมต่ ้องรบั ประทานยาบ่อย
22
ภาพที่ 18 ยาเมด็ ชนิดออกฤทธิ์เน่ิน (Sustained-release tablet)
5) ยาเม็ดฟู่ (Effervescent tablet) ต้องละลายน้ำก่อนรับประทาน เป็นยาท่ี
ตอกผสมรวมกับเกลือคาร์บอเนต ซึ่งผลิตแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ได้เมื่อทำปฏิกิริยากับน้ำ เกิด
เป็นฟองฟู ข้อดีคือ ช่วยให้กลืนยาได้ง่ายขึ้น บริหารยาได้ครั้งละมาก ๆ และกลบรสชาติของยาได้
จากรสเปร้ียวของกรด
ภาพที่ 19 ยาเม็ดฟู่ (Effervescent tablet)
6) ยาอม (Troche หรือ Lozenge) ประกอบด้วยตัวยาสำคัญมากกว่า 1 ชนิด
และเตมิ สารปรุงแตง่ ท่ีมกี ล่นิ หอมและรสหวาน เมด็ ยาละลายช้า ๆ ไม่ควรเคี้ยวในชอ่ งปาก เพื่อให้
ผลการรกั ษาแบบเฉพาะท่ีในปากและลำคอ
23
ภาพท่ี 20 ยาอม (Troche หรอื Lozenge)
7) ยาเม็ดเคี้ยว (Chewable tablet) ต้องเคี้ยวก่อนกลนื เพื่อทำให้ตัวยาแตกตวั
และพร้อมดดู ซมึ สะดวกในการกลนื ของผูป้ ่วย เชน่ ยาลดกรด ยาถา่ ยพยาธิ วิตามนิ บางชนดิ
ภาพที่ 21 ยาเมด็ เคีย้ ว (Chewable tablet)
8) ยาเม็ดเพสทิล (Pastilles tablet) ลักษณะคล้ายเจลล่ีท่ีมีเกล็ดน้ำตาลบนผิว
ชั้นนอก วิธกี ารใช้งานคลา้ ยกบั ยาอม
ภาพที่ 22 ยาเม็ดเพสทลิ (Pastilles tablet)
24
3.1.2 ยาแคปซลู (Capsule)
รูปแบบยาเตรียมทอ่ี ยู่ในวัสดหุ ่อหุ้มตัวยาสำคัญ อาจเปน็ ผงแกรนูล หรือของเหลวก็ได้
วัสดุห่อหุ้มเป็นสารที่ละลายและปลดปล่อยตัวยาได้ในกระเพาะอาหาร บดบังรสชาติของตัวยา
และสะดวกในการกลนื แบง่ ออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
ภาพที่ 23 ยาแคปซูล (Capsule)
1) ยาแคปซูลชนดิ ปลอกแข็ง (Hard capsule) แคปซูลทำจากเจลาติน บรรจุตัว
ยาที่เป็นของแข็ง เช่น ผงหรือแกรนูล ได้ในปริมาณมาก และปลอกทึบแสงช่วยป้องกันตัวยาจาก
แสงได้
ภาพที่ 24 ยาแคปซูลชนดิ ปลอกแขง็ (Hard capsule)
2) ยาแคปซูลชนิดปลอกนิ่ม (Soft capsule) บรรจุยาที่เป็นของเหลว เช่น
วติ ามนิ ท่ลี ะลายในไขมันตา่ ง ๆ ความน่มิ และลืน่ ของปลอกแคปซลู ทำใหส้ ะดวกในการกลืนมากขนึ้
25
ภาพท่ี 25 ยาแคปซลู ชนิดปลอกนิ่ม (Soft capsule)
3.1.3 ยาผงและยาแกรนลู (Powder and granule)
1) ยาผง มีลักษณะเป็นผงแห้ง อาจมีตัวยาสำคัญเพียงตัวเดียวหรือยาผสม มักจะ
แบ่งบรรจุเป็นส่วน ๆ เนื่องจากตัวผงยาเกิดความชื้นได้งา่ ย เช่น ยาห่อ ยาเกลือ ยาผงโรยแผล ยา
ผงสวนล้าง เปน็ ตน้
2) ยาแกรนูล มีลักษณะเป็นของแข็งที่มีอนุภาคใหญ่กว่ายาผง ขนาดอนุภาค
ประมาณ 2 มิลลิเมตร ประกอบด้วย ตัวยาและส่วนประกอบต่าง ๆ ผสมกัน เช่น ยาแกรนูลฟู่
(Effervescent granule)
ภาพท่ี 26 ยาผงและยาแกรนลู (Powder and granule)
3.2 ยาเตรียมรปู แบบของเหลว (Liquid dosage form) ประกอบไปดว้ ย
3.2.1 ยาน้ำใส (Solution) ลักษณะเป็นของเหลวทีม่ ีลกั ษณะใส เป็นเนือ้ เดยี วกนั ไม่
มีตะกอน ประกอบด้วย ตวั ยาทเ่ี ปน็ ของเหลวหรือของแข็งละลายอยู่ในตัวทำละลาย ท่ีเป็นน้ำหรือ
แอลกอฮอล์ ปรุงแต่งรสชาติด้วยน้ำตาลหรือสารให้ความหวานอื่น ๆ กลบรสชาติของยา นำไปใช้
บริหารได้หลายช่องทาง เช่น รับประทาน สอดทางทวาร/ ช่องคลอด หยอดตา/ หู หรือฉีดเข้า
กระแสเลอื ด แบง่ ออกได้ดงั นี้
26
ภาพท่ี 27 ยาเตรยี มรปู แบบของเหลว (Liquid dosage form)
1) ยานำ้ เชอ่ื ม (Syrup) ประกอบด้วยตัวยาสำคัญที่ละลายน้ำได้และน้ำเชื่อมท่ีทำ
มาจากน้ำตาลซูโครสอิ่มตัว ยารสหวานข้นหนืด และแต่งกลิ่น สะดวกในการรับประทานมากขึ้น
จงึ นยิ มใชใ้ นเดก็ เชน่ Paracetamol syrup สำหรบั ลดไข้
ภาพท่ี 28 ยาน้ำเชอ่ื ม (Syrup)
2) ยาอิลิกเซอร์ (Elixir) เป็นยาน้ำใส มีรสหวานของน้ำเชื่อม และแต่งกลิ่นหอม
แต่จะหวานและหนืดน้อยกว่ายาน้ำเชื่อม ประกอบด้วย ตัวยาที่ละลายในแอลกอฮอล์ 5-40%
(USP) เช่น ยาแกแ้ พ้ Phenobarbital elixir
27
ภาพที่ 29 ยาอลิ ิกเซอร์ (Elixir)
3) ยาสปิริต (Spirit) เปน็ สารละลายของสารหอมระเหยในแอลกอฮอล์ ตำรับยามี
แอลกอฮอล์มากกว่า 60% แต่งกลน่ิ แต่ไม่มีรสหวาน สำหรบั ใช้เป็นยารับประทาน ยาทาภายนอก
เชน่ Aromatic ammonia spirit
ภาพที่ 30 ยาสปิรติ (Spirit)
4) ยาทิงเจอร์ (Tincture) สกัดจากสมุนไพรมีแอลกอฮอล์เป็นตัวทำละลาย ใช้
เป็นยาภายนอกและภายใน ตำรับยามีแอลกอฮอล์ 15-80% ซึ่งแอลกอฮอล์ช่วยป้องกันการ
เจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ได้ เช่น ไอโอดีนทิงเจอร์ (Iodine tincture) ทาแผลสด ทิงเจอร์ฝ่ิน
(Opium tincture) รับประทานรักษาอาการท้องเสยี เป็นต้น
28
ภาพท่ี 31 ยาทงิ เจอร์ (Tincture)
5) น้ำปรุง (Aromatic water) เป็นสารละลายใสที่อิ่มตัวด้วยน้ำมันหอมระเหย
(Volatile oil) ใช้เปน็ นำ้ หอมหรอื สารแตง่ กล่นิ ในตำรับ เช่น Peppermint oil
ภาพที่ 32 นำ้ ปรงุ (Aromatic water)
6) ยาสวนล้าง (Douche) เป็นยานำ้ ใสสำหรบั สวนลา้ งทำความสะอาด ระงบั กลิ่น
และสมานเนื้อเยื่อ ตามช่องต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น Eye douche, Nasal douche, Vaginal
douche เป็นต้น
ภาพที่ 33 ยาสวนล้าง (Douche)
29
7) ยาน้ำสวนทวารหนัก (Enema) เป็นสารละลายใสสำหรับสวนเข้าทางทวาร
หนัก เพื่อระบายหรือสวนล้างลำไส้ให้สะอาด ปราศจากกากอาหารก่อนส่องกล้องในทางเดิน
อาหาร หรอื เตรียมผา่ ตดั เช่น ยาสวนทวารโซเดยี มคลอไรด์
ภาพท่ี 34 ยาน้ำสวนทวารหนัก (Enema)
8) ยากลั้วคอ (Gargle) เป็นยาน้ำใสสำหรับกลั้วคอ ตัวยามีฤทธิต์ ้านเชื้อจุลนิ ทรยี ์
ใช้ป้องกนั หรอื รักษาการติดเช้อื ในลำคอได้ ยากลวั้ คอมกั มคี วามเข้มข้นมากจึงต้องเจอื จางก่อน
ภาพที่ 35 ยากลวั้ คอ (Gargle)
9) ยาบ้วนปาก (Mouthwash) เป็นสารละลายใสใช้ทำความสะอาดในช่องปาก
และกระพ้งุ แก้ม ตัวยาสำคญั มีฤทธิร์ ะงบั เชอ้ื จลุ นิ ทรีย์ หรือยาชา หรอื ยาสมานเน้อื เย่ือ
30
ภาพท่ี 36 ยาบ้วนปาก (Mouthwash)
10) ยานวด (Liniment) ตัวยาเป็นสารที่ละลายในแอลกอฮอล์หรือน้ำมัน ใช้ถู
นวดตามผิวหนังภายนอก เชน่ น้ำมันมวย (Methyl salicylate liniment)
ภาพท่ี 37 ยานวด (Liniment)
11) ยากัด (Collodion) เป็นยาน้ำใสผสมสารระเหย ใช้ทาภายนอกบริเวณ
ผิวหนงั จะกอ่ เปน็ ฟลิ ์ม ประกอบด้วย ยาที่มีฤทธ์ิกัดลอกผิวหนังรักษาหดู หรอื ตาปลา เช่น Salicylic
acid collodion
ภาพที่ 38 ยากัด (Collodion)
31
3.2.2 ยาแขวนตะกอน (Suspension) เปน็ ยานำ้ ที่มขี องแขง็ แขวนตะกอนในตวั กลางท่ี
เป็นของเหลว ตวั ยาละลายในตวั กลางได้น้อยมาก มที ง้ั แบบพร้อมใช้เชน่ ยาลดกรด Antacid และ
แบบที่ต้องละลายผงยาก่อนใช้ เช่น Amoxicillin suspension ตัวยาจะตกตะกอนเมื่อตั้งทิ้งไว้
ต้องเขย่าขวดเพื่อกระจายตัวยาก่อนนำไปใช้ แบ่งเป็นกลุ่มตามวิธีบริหารยาดังนี้ ยาน้ำแขวน
ตะกอนชนิดรับประทาน ยาน้ำแขวนตะกอนชนิดใช้ภายนอก ยาน้ำแขวนตะกอนแบบฉีด (ฉีดเข้า
กล้ามเนอื้ หรอื เขา้ ช้นั ใตผ้ ิวหนงั ) เปน็ ต้น
ภาพท่ี 39 ยาแขวนตะกอน (Suspension)
3.2.3 ยาอมี ัลชน่ั (Emulsion) เป็นยานำ้ ที่ประกอบด้วยของเหลวสองชนิดทเี่ ขา้ กนั ไม่ได้
(Liquid in liquid dispersion) ต้องใช้ตัวช่วยในการกระจาย (Emulsifier) แบ่งเป็น 2 ชนิดตาม
การกระจายตัวดงั น้ี
ภาพท่ี 40 ยาอมี ัลชนั่ (Emulsion)
32
1) ยาอีมัลชั่นชนิดน้ำกระจายตัวในน้ำมัน (Water in oil emulsion; w/o
emulsion) เป็นยาอีมัลชั่นที่มีน้ำกระจายตัวเป็นวัฏภาค (phase) ภายใน และน้ำมันเป็นวัฏภาค
ภายนอก ไม่เข้ากับน้ำและล้างออกยาก รับประทานจะรู้สึกถึงความมัน (Oily taste) และเมื่อทา
จะรูส้ ึกเหมือนฟลิ ม์ น้ำมนั ปกคลุมผวิ
2) ยาอีมัลชั่นชนิดน้ำมันกระจายตัวในน้ำ (Oil in water emulsion; o/w
emulsion) เป็นยาอีมัลชั่นที่มีน้ำมันกระจายตัวเป็นวัฏภาค (phase) ภายใน และน้ำเป็นวัฏภาค
ภายนอก มีรสชาติดีกว่ายาอิมัลชั่นชนิด Water in oil emulsion โดยแต่งความหวานในวัฏภาค
น้ำ (water phase) ใช้เป็นตำรับยารับประทาน เช่น น้ำมันตับปลาคอดอิมัลชั่น (Cod liver oil
emulsion)
ภาพที่ 41 ชนดิ ยาอีมลั ช่นั (Emulsion Types)
3.2.4 ยาฉีด (Injection) เป็นของเหลวที่ใช้ฉีดเข้าสู่ร่างกาย ถ้าฉีดเข้าทางหลอดเลือด
จะต้องเป็นยาน้ำใส (Solution) หรือมีอนุภาคของยาละลายอยู่ไม่เกิน 5 ไมโครเมตร (µm) ถ้าฉีด
ทางอวัยวะอื่น เช่น ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือ ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง อาจเป็นยาแขวนตะกอนได้ แต่สิ่งท่ี
สำคญั ที่สดุ คือ จะต้องปราศจากเชอ้ื ปลอดภัย ไม่มสี ารก่อไข้ (Pyrogen) และมีความคงตวั ดี
ภาพที่ 42 ยาฉีด (Injection)
33
3.3 ยาเตรียมรูปแบบของกงึ่ แขง็ (Semisolid dosage form) ประกอบไปด้วย
ภาพท่ี 43 ยาเตรียมรปู แบบของกง่ึ แขง็ (Semisolid dosage form)
3.3.1 ยาครีม (Cream) รูปแบบยาแบบกึ่งแข็ง ประกอบด้วย ยาชนิดหนึ่งหรือ
มากกว่าที่กระจายในตัวกลางที่เป็นอิมัลชั่น ซึ่งอาจจะเป็นยาอีมัลชั่นชนิดน้ำกระจายตัวในน้ำมัน
(w/o emulsion) หรือ อีมัลชั่นชนิดน้ำมันกระจายตัวในน้ำ (o/w emulsion) ก็ได้ ลักษณะ
ภายนอกสขี าวขุน่ เป็นเน้อื ครีมสำหรบั ทาภายนอกแผก่ ระจายบนผวิ หนงั ได้งา่ ย
ภาพที่ 44 ยาครีม (Cream)
34
3.3.2 ยาขี้ผึ้ง (Ointment) ประกอบด้วย ตัวยาที่ละลายในน้ำมัน (Lipid or
hydrophobic excipients) ใช้ทาภายนอกและตามเยื่อบุต่าง ๆ เนอ้ื นุ่มแต่แข็งกวา่ ยาครีม เหนียว
แผ่ตัวดีเมื่อออกแรงถู และหลอมได้ที่อุณหภูมิร่างกาย มักใช้เป็นตำรับให้ความชุ่มช้ืน
(Emollients) หรือเป็นตัวกลางให้ยาในกลุ่มที่ละลายในไขมัน เช่น ปิโตรลาตุม (Petrolatum;
Vaseline®), ขผ้ี ้ึงวติ ฟิวด์ (Whitfield ointment) ใชร้ กั ษาโรคกลากเกลือ้ น นำ้ กัดเทา้ เป็นต้น
ภาพที่ 45 ยาข้ผี ง้ึ (Ointment)
3.3.3 เพสต์ (Paste) ประกอบด้วย ผงยา 50% อาจจะมียามากกว่าหนง่ึ ชนิด เนื้อยา
เหนียว แข็ง ยึดเกาะดี ความมันน้อย และดูดซบั นำ้ ได้มากกว่ายาขี้ผึ้ง เหมาะที่จะใช้กบั บริเวณทีม่ ี
สารคัดหลั่งมาก เช่น แผลที่มีน้ำเหลืองไหล หรือในช่องปาก เช่น Triamcinolone acetonide
0.1%, Dental paste ทใี่ ชร้ ักษาแผลในชอ่ งปาก
ภาพที่ 46 เพสต์ (Paste)
35
3.3.4 โลชั่น (Lotion) เป็นยากึ่งแข็งมีความหนืดต่ำถึงปานกลาง มักเป็น o/w
Emulsion ใช้เป็นยาทาภายนอก ไม่เหนียวเหนอะหนะ เกลี่ยให้กระจายตัวได้ง่าย ตัวยามีอนุภาค
ขนาดเล็กปอ้ งกนั ไมใ่ ห้เกิดการระคายเคอื งเมือ่ ทาผวิ เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาสเตยี รอยด์ เป็นต้น
ภาพท่ี 47 โลชั่น (Lotion)
3.3.5 ยาเหนบ็ (Suppository) ยาเม็ดกึ่งแขง็ เตรียมจากตัวกลางที่เปน็ ไขมันหรือพอ
ลิเมอร์ท่ีละลายได้ในอุณหภูมิร่างกาย ตัวยาสำคัญละลายหรือกระจายตัวออกมา เมื่อเหน็บหรือ
สอดเข้าไปในช่องต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ยาเหน็บทวารหนัก (Rectal suppository) ยาเหน็บ
ช่องคลอด (Vaginal suppository) ยาเหน็บทางเดนิ ปสั สาวะ (Urethral suppository) ออกฤทธ์ิ
เฉพาะที่หรอื ออกฤทธิท์ ่วั รา่ งกายได้ ใชไ้ ดใ้ นผปู้ ่วยเด็กหรือผู้ป่วยทหี่ มดสติ
ภาพท่ี 48 ยาเหนบ็ (Suppository)
36
3.3.6 เจล (Gel) เป็นยาแบบกึ่งแข็ง ตัวยาละลายหรือกระจายตัวอยู่ในตัวกลางท่ี
ละลายน้ำได้ (Aqueous base) และสารให้ความหนืด (Gelling agent) มีลักษณะใส ไม่มัน ใช้ทา
บริเวณผิวหนังได้ และมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบช่วยในการละลายของตัวยาสำคัญ และให้
ความรู้สึกเย็นเมอ่ื ทา เชน่ Diclofenac sodium gel
ภาพที่ 49 เจล (Gel)
3.3.7 โฟม (Foam) เป็นยาแบบกึ่งแข็งเตรียมโดยอัดอากาศเข้าไป ทำให้โฟมมี
ลักษณะเบาและนุ่ม ใช้เป็นยาภายนอกโดยเฉพาะบริเวณที่เข้าถึงยาก เช่น หนังศีรษะ หรือบริเวณ
ท่ีระคายเคอื งไดง้ ่าย เช่น Clobetasol 0.05% foam เป็นสเตยี รอยด์โฟมรักษาหนังศรี ษะอักเสบ
ภาพท่ี 50 โฟม (Foam)
3.4 ยาเตรยี มชนิดอื่น ๆ
3.4 1 ยารูปแบบฝัง (Implant) เป็นยาที่ต้องติดตั้งภายในร่างกายโดยการผ่าตัดฝัง
เช่น ชั้นใต้ผิวหนังบริเวณต่าง ๆ เต้านม หัวใจ กระดูก ฟัน ตา หู เป็นต้น ตัวยาสำคัญอยู่ในรูป
ของแข็งปราศจากเชื้อ เตรียมโดยการกด (Compression) หลอมละลายได้ในอัตราที่กำหนดเป็น
37
การยืดระยะเวลาการออกฤทธิ์ของยาในการรักษาภาวะต่าง ๆ เช่น เครื่องช่วยฟัง เคร่ืองกระตุ้น
หัวใจ ฮอร์โมนทดแทนชนิดฝัง เปน็ ตน้
ภาพที่ 51 ยารปู แบบฝงั (Implant)
3.4.2 ยารูปแบบอปุ กรณ์ (Devices) รูปแบบยาเป็นระบบนำสง่ ยาแบบพเิ ศษ เพ่อื ให้
ไปสู่อวัยวะเป้าหมายได้ ประกอบด้วย
1) ยาสูดพ่น (Inhaler) รูปแบบยาเป็นของแข็งที่มีอนุภาคขนาดเล็ก หรือ
ของเหลว และใชแ้ รงของการสดู เข้าในการนำส่งยาไปให้ถงึ ปอด ออกฤทธเ์ิ ฉพาะท่หี รือออกฤทธ์ิทั่ว
ร่างกาย แบง่ ได้ดงั นี้คือ
- ยาสูดพ่นชนิดละอองฝอย (Meter dose inhaler; MDI) ตัวยากระจายอยู่
ในสารผลักดันที่เป็นของเหลว (Propellant) ยาจะถูกพ่นออกมาจากหัวฉีดโดยแรงดันจากสาร
ผลกั ดัน ทำให้ปริมาณยาออกมาเท่ากันทกุ ครั้ง ต้องพน่ ยาโดยการกดและสดู ละอองยาเข้าทางปาก
พรอ้ มกนั อยา่ งเปน็ จงั หวะจงึ จะไดป้ ริมาณยาครบถ้วน
ภาพที่ 52 ยาสดู พ่นชนดิ ละอองฝอย (Meter dose inhaler; MDI)
38
- ยาสูดพน่ ชนดิ ผงแหง้ (Dry powder inhaler; DPI) ตัวยาสำคัญเป็นผงแหง้
บรรจุอยู่ในแคปซูลที่อยู่ในเครื่องมือสูดพ่นยา เมื่อกดเครื่องมือแคปซูลจะถูกทำให้แตกออก แล้ว
ปลดปล่อยผงยาออกมา ส่วนใหญ่ DPI ใช้ง่ายกว่า MDI เมื่อใช้ต้องออกแรงสูดผงยาให้เรว็ แรงและ
ลึกที่สุด เพื่อให้ผงยาเขา้ ถงึ ปอด
ภาพที่ 53 ยาสูดพ่นชนิดผงแหง้ (Dry powder inhaler; DPI)
ภาพท่ี 54 ยาสดู พน่ ชนิดผงแห้ง (Dry powder inhaler; DPI)
39
- แอโรซอล (Aerosol) ตัวยากระจายอยู่ในสารผลักดัน (Propellant) และ
บรรจุอยู่ในเครื่องมือภายใต้ความดัน เมื่อกดหัวฉีด ยาจะถูกพ่นออกมากระจายตัวอยูใ่ นตัวกลางที่
เปน็ ก๊าซ เช่น Methyl salicylate aerosol
ภาพท่ี 55 แอโรซอล (Aerosol)
- สเปรย์ (Spray) ตัวยาละลายในน้ำกระสายยาท่ีเหมาะสม อาจจะเป็นน้ำหรือ
แอลกอฮอล์ เช่น สเปรย์พ่นจมูก (Nasal Spray) บรรเทาอาการคัดจมูก ลดอาการอักเสบในโพรง
จมกู
ภาพที่ 56 สเปรย์ (Spray)
2) แผ่นติดผิวหนัง (Transdermal patch) ยาบรรจุอยู่ในรูปแบบแผ่นติด เพื่อ
ควบคุมการปลดปล่อยยาเข้าสู่กระแสเลือด โดยยาจะเข้าสู่กระแสเลือดทีละน้อย เช่น แผ่นติด
คมุ กำเนดิ แผ่นติดนิโคตินสำหรับเลิกบุหร่ี เป็นตน้
40
ภาพท่ี 57 Transdermal patch
3.4.3 ยาเตรียมรูปแบบใหม่ คือ ยาเตรียมที่ใช้เทคโนโลยีการปริ้นแบบสามมิติ (3D-
printing) โดยตวั ยาทีผ่ สมกบั สารตัวกลางจะถกู พมิ พอ์ อกมาโดยเครื่องปร้ินแบบสามมิติ กลายเป็น
ของแข็ง เหมาะสำหรับการผลิตในปริมาณน้อย เช่น ผลิตเพื่อการวิจัย หรือรักษาเฉพาะบุคคล
(Personalized medicine) ยาตวั แรกทไ่ี ดร้ บั การขึ้นทะเบยี นโดย US FDA คือ Spritam ใช้รักษา
โรคลมชกั และกำลังพัฒนารูปแบบการนำส่งยาใหม้ ีความซับซ้อนมากข้นึ
ภาพท่ี 58 Transdermal patch
41
4. การเขยี นใบสง่ั ยา (prescription writing)
การเขียนใบสั่งยา (prescription) จะทำโดยแพทย์ผู้ตรวจ เมอื่ ตรวจวินิจฉัยผปู้ ว่ ยแล้ว สง่
ตอ่ ใบสงั่ ยาใหเ้ ภสัชกรจา่ ยยาตามใบสั่งยา ดังภาพท่ี 59 ขอ้ มลู ในใบส่ังยาประกอบไปดว้ ย
1. ข้อมูลผู้ป่วย เช่น ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ อายุ เพศ เลขประจำตัวของผู้ป่วย (HN) ผลการ
วินิจฉัยของแพทยผ์ ้ตู รวจและ วนั ท่ีมกี ารเขยี นใบส่งั ยานั้น
2. รายละเอียดของยา เช่น ชื่อการค้าของยา (Trade name) หรือชื่อสามัญของยา
(Generic name) ขนาดยา ปริมาณยาที่ใช้ในแต่ละครั้ง จำนวนยาทั้งหมดที่ผู้ป่วยจะได้รับในการ
พบแพทยค์ ร้งั น้ี รวมไปถึงวธิ ีการบริหารยา
3. ขอ้ มลู ของแพทย์ผู้จ่าย เช่น เลขที่ใบประกอบโรคศิลป์ ลายเซ็นของแพทย์ผู้สง่ั ยา
ภาพที่ 59 ตวั อย่างใบสั่งยา
ในการเขียนใบสั่งยาจะมีการใช้ตัวอักษรภาษาละตินเพื่อให้เกิดความสะดวกและเข้าใจ
ตรงกันระหว่างแพทย์และเภสัชกรผู้จ่ายยา ภาษาละตินเป็นภาษาที่ตายแล้วจึงไม่เกิดการเปลี่ยน
แปลงใด ๆ อีก ถือเป็นภาษาหรือสัญลักษณ์สากลที่บุคลากรทางการแพทย์ทั่วโลกเข้าใจ
ตรงกัน ตัวอยา่ งคำสง่ั การใช้ยาทพ่ี บบ่อย ดังภาพที่ 60
42
ภาพท่ี 61 ตัวอย่างภาษาละตนิ ท่บี ่งบอกเวลาและลกั ษณะในการใชย้ า
43
การบริหารยาให้มปี ระสทิ ธภิ าพจึงมีมาตรฐานการใหย้ า สำหรบั พยาบาล โดยใชห้ ลัก 5R,
7R หรอื 10R มากำกบั ในการบรหิ ารยา ดงั นี้
ภาพที่ 60 มาตรฐานการใหย้ าสำหรับพยาบาล
44
การสั่งใช้ยามักควบคู่มากับการคำนวณยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ดังนั้น อาจมี
การเปลย่ี นหนว่ ยขนาดยา จำเปน็ ทพ่ี ยาบาลต้องสามารถคำนณเปล่ียนหนว่ ยขนาดยาได้ เพ่ือได้ยา
ตรงตามความต้องการของผู้ป่วย ไม่เกิดพิษจากยา หรือได้รับยาเกินขนาด หน่วยน้ำหนักที่ใช้บ่อย
มีดังน้ี
ภาพท่ี 62 การคำนวณเปลี่ยนหนว่ ยขนาดยา
การออกใบสั่งยาในอดีตเขียนด้วยลายมือ ส่งผลให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการใช้ยา
(Medication error) ค่อนข้างมาก ปัจจุบันจึงปรับเปลี่ยนระบบการสั่งจ่ายยาเป็นในรูปแบบ
ดจิ ติ อลหรือใชร้ ะบบคอมพิวเตอร์ ซ่ึงสามารถช่วยลดปญั หาและทำใหร้ ะบบมีประสทิ ธภิ าพมากข้ึน
สรุป
1. เภสัชวิทยาเป็นวิชาที่ว่าด้วยกระบวนการออกฤทธิ์ของยาในร่างกาย ประกอบด้วย
ศาสตร์สองแขนงคือ เภสัชจลนศาสตร์ท่ีศึกษากระบวนการต่าง ๆ ที่ร่างกายจัดการกับยา และ
เภสัชพลศาสตร์ศกึ ษาการออกฤทธข์ิ องยาตอ่ ร่างกายทัง้ ฤทธ์ิทีต่ อ้ งการและการเกิดพิษ
2. การศึกษาค้นคว้ายาใหม่ และการประเมินยาใหม่ ประกอบด้วย ขั้นตอนการค้นหา
สารเคมีนำ (Lead compound) ที่ออกฤทธิ์ต่อโมเลกุลร่างกายเกี่ยวข้องกับการดำเนินของโรค
45
การคัดกรองสารที่มีคุณสมบัติเหมาะสมทั้งด้านการออกฤทธิ์และความปลอดภัย และการ
เปลี่ยนแปลงยาในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง การศึกษาความเป็นพิษในสตั ว์ทั้งแบบเฉียบพลนั
และเร้อื รงั รวมท้ังการศึกษาพิษแบบพิเศษ ท่ีเรยี กวา่ Preclinical study ท่ศี กึ ษาสารทเ่ี หมาะสมท่ี
นำมาใช้ศึกษาต่อในมนุษย์ (Clinical study) ซึ่งในการศกึ ษจะประเมนิ ความเปน็ พษิ ขนาดยาทีใ่ ช้
จลนศาสตร์ในรา่ งกาย และประสทิ ธิภาพการรกั ษา จึงจะขึน้ ทะเบยี นยาออกสทู่ อ้ งตลาดได้
3. วธิ กี ารบริหารยา ประกอบดว้ ย การรับประทาน การฉดี ลักษณะต่างๆ และการให้แบบ
เฉพาะที่ แต่ละแบบมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกัน จึงต้องเลือกให้เหมาะสมกับโรค รวมถึงชนิดของยา
เพื่อใหย้ าสามารถออกฤทธิ์ไดต้ ามต้องการ ไม่ก่อพิษตอ่ รา่ งกาย และเกดิ ประโยชน์สงู สุดตอ่ ผปู้ ่วย
4. รูปแบบยาที่ใช้ในปัจจุบัน ประกอบด้วย ยาในรูปแบบของแข็ง ได้แก่ เม็ด แคปซูล
ผง รูปแบบของเหลว ไดแ้ ก่ ของเหลวใส แขวนตะกอน หรืออีมลั ชั่น รปู แบบของก่งึ แข็ง ไดแ้ ก่ เจล
ครมี และแบบพเิ ศษ ไดแ้ ก่ สดู พน่ แตล่ ะรปู แบบมีคณุ ลกั ษณะเด่นด้อยต่างกัน แต่พัฒนารูปแบบที่
หลากหลายเพ่ือเพมิ่ ตวั เลือกใหเ้ กิดความเหมาะสมกับผ้ปู ่วยแต่ละรายมากทส่ี ดุ
5. การเขียนใบสง่ั ยาจะใช้ภาษาละตินในการสื่อสารเป็นหลัก ดงั นั้นการเขา้ ใจความหมาย
ของใบสง่ั ยาจึงมีความสำคญั มากเพื่อลดการเกดิ ขอ้ ผดิ พลาดจากการใช้ยา
46
บรรณานกุ รม
ณัฐวธุ สิบหมู่ และยพุ นิ สงั วรินทะ. (2553). เภสัชจลนศาสตร์. ใน ณัฐวุธ สิบหมู่ (บรรณาธกิ าร.),
เภสัชวิทยา (น. 3-26). โฮลสิ ติก พบั ลิชชงิ่ .
พทั ธมน ลพานุวรรตน์. (2562). แนะนำเภสชั วทิ ยา การพฒั นายา และรปู แบบยาเตรียม. ใน
วีรพล ค่คู งวริ ิยพนั ธุ์ และลดั ดาวัลย์ เส็งกนั ไพร (บรรณาธกิ าร.), เภสชั วทิ ยา สำหรบั
นกั ศกึ ษาวิทยาศาสตร์สขุ ภาพ เลม่ 1 (น. 2-25). โรงพิมพ์คลังนานาวทิ ยา.
Bertram G. Katzung SBM, Anthony J. Trevor. Basic & clinical pharmacology. 12th ed.
United States: McGraw-Hill; 2012.
Hughes JP, Rees S, Kalindjian SB, Philpott KL. Principles of early drug discovery.
Br J Pharmacol. 2011;162(6): 1239-49.
McCormick DL. A Comprehensive Guide to Toxicology in Nonclinical Drug
Development. 2nd ed: Elsevier, 2017.
Ram Mahato AN. Pharmaceutical dosage forms and drug delivery. 3rd ed.
Boca Raton: CRC Press; 2018.
Zidan A. CDER Researchers Explore the Promise and Potential of 3D Printed
Pharmaceuticals 2017 [updated 12th Nov 2017. Available from:
https://www.fda.gov/drugs/news-events-human-drugs/cderresearchers-
explore-promise-and-potential-3d-printed-researchers-explore-promise-
and-potential-3d-printed-pharmaceuticals.
47