1
TRIAMUDOMSUKSAPATTANAKARN
NONTHABURI SCHOOL
โรงเรยี นเตรียมอดุ มศกึ ษาพฒั นาการ นนทบุรี
งานวิจยั เพ่อื พัฒนาการเรยี นการสอน
เรือ่ ง
การใชผ้ ังมโนทศั น์ในการพฒั นาทกั ษะการอา่ นภาษาอังกฤษ
เพื่อความเขา้ ใจของนกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 6/9
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพฒั นาการ นนทบรุ ี
Using Concept Maps to Develop English Reading
Comprehension Skills of Mathayom Suksa 6/9 Students
Triamudomsuksapattanakarn Nonthaburi School
2
หัวข้อวิจัย : การใช้ผังมโนทัศน์ในการพฒั นาทกั ษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเขา้ ใจ
ของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 6/9 โรงเรียนเตรยี มอดุ มศกึ ษาพัฒนาการ
ผูว้ ิจัย นนทบุรี
หน่วยงาน : นายกอบศกั ดิ์ สุทัศน์ ณ อยธุ ยา
ปีการศึกษา : โรงเรียนเตรยี มอุดมศกึ ษาพฒั นาการ นนทบรุ ี
: พ.ศ.2564
บทคัดย่อ
การศึกษาคร้ังนี้ มีวตั ถุประสงค์เพ่ือเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ
เพ่ือความเข้าใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6/9โดยใช้ผังมโนทัศน์ กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ใน
การศึกษาครง้ั นเี้ ปน็ นกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6/9 ภาคเรียนท่ี 1-2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียน
เตรียมอดุ มศกึ ษาพฒั นาการ นนทบรุ ี จงั หวัดนนทบุรี จานวน 35 คน เคร่ืองมอื ทีใ่ ช้ ประกอบด้วย
(1) แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรูจ้ านวน 8 แผนและการบันทกึ ผล หลังการสอนทุกแผนการจัด
กจิ กรรมการเรยี นรู้ (2) แบบทดสอบวดั ความสามารถ ในการอ่านเพ่ือความเข้าใจ และ (3) แบบ
ประเมินผงั มโนทัศน์
ข้ันตอนการศึกษาประกอบด้วย การทดสอบก่อนเรียน การแบ่งกลุ่มผู้เรียน ตาม
ความสามารถ คือ กลุ่มเก่ง กลุ่มปานกลางและกลุ่มอ่อน การดาเนินการเรียนการสอน โด ยใช้
แผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ทัง้ 8 แผน บนั ทกึ ผลหลังการสอนแตล่ ะแผนพรอ้ มประเมินผังมโน
ทศั น์ ในแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้แผนท่ี 8 และทดสอบหลังเรียน วเิ คราะห์ข้อมูลโดยการหา
ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที (t-test) ผลการศึกษาพบว่า
นักเรียนมรี ะดับความสามารถและพฤตกิ รรมการอา่ นหลังเรียน สูงข้ึน การเขียนผังมโนทัศน์สรุป
เรอ่ื งทีอ่ า่ นอยใู่ นเกณฑ์ดใี นทกุ กล่มุ และความสามารถใน การอ่านเพ่ือความเข้าใจของนกั เรยี นหลงั
เรยี นโดยใช้ผังมโนทศั น์สงู กวา่ กอ่ นเรยี น อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดับ .01
3
บทที่ 1
ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา
การเรียนรู้ภาษาเพื่อการสื่อสารเป็นการฝึกทักษะทางภาษาซึ่งได้แก่ทักษะการฟัง
ทักษะการพดู ทกั ษะการอ่านและทกั ษะการเขียน เพื่อให้เกดิ การส่อื ความหมายระหวา่ งผู้พูดกับ
ผู้ฟงั หรอื ผ้อู ่านกบั ผ้เู ขียน และสามารถส่ือสารได้เหมาะสมกับกาลเทศะ การใช้ภาษา เพื่อการ
สือ่ สารเปน็ การใช้ภาษาระหว่างผ้รู ับสารและผูส้ ่งสารท่ีเป็นระบบระเบียบ และมีจุดมุ่งหมาย มี
องค์ประกอบตา่ งๆ เข้ามาเกย่ี วข้องเพ่ือใหก้ ารสื่อสารนั้นถูกตอ้ งเหมาะสม วธิ ีการสอนภาษาตาม
แนวการสอนเพื่อให้เกดิ การส่ือสารเปน็ วิธที ไี่ ดร้ บั การยอมรบั เพราะเป็นวธิ ที ีท่ าให้ผ้เู รยี นสามารถ
นาภาษาไปใช้ในการสอื่ สารไดจ้ รงิ (สุมิดรา อังวัฒนกลุ , 2539, หนา้ 17)
ทักษะการอ่านเป็นทักษะการสื่อสารอีกรูปแบบหน่ึงท่ีมีความสาคัญอย่างเห็นได้ชัด
ตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์เป็นค้นมาท่ีมนุษย์รู้จักการใช้ภาษา การบันทึกและการให้ข้อมูล ใน
ลักษณะของรูปภาพ สัญลักษณ์ ตัวเลขและตัวอักษร ดังท่ีศรีวิไล พลมณี(2545, หน้า22) ได้
กล่าวถึงกาเนิดและลักษณะของภาษาว่า การศึกษาประวัติของมนุษย์และวัฒนธรรม โดยการ
คน้ ควา้ ทางโบราณคดี ซึง่ เหลอื หลักฐานใหศ้ กึ ษาได้โดยตรง เชน่ โครงกระดกู และ เคร่ืองใช้ เป็น
คน้ แตก่ ารศึกษาประวัติของภาษามนุษยน์ ้ันไม่มีหลักฐานอืน่ ใดท่เี ก่าไปกวา่ ตวั หนังสือซึ่งจารึกไว้
ตามหนิ และวสั ดุคงทนอน่ื ๆ
ปัจจุบันซ่ึงเป็นยคุ ของขอ้ มูลข่าวสาร การอา่ นจงึ เป็นกระบวนการที่มีความสาคัญท่ีทา
ให้มนุษยส์ ามารถศกึ ษาและสบื ค้นข้อมลู และความรู้ต่างๆรอบตัวได้โดยไม่มีข้อจากัดในเรื่องของ
เวลา สถานที่ หรอื โอกาส การอ่านมีประโยชนแ์ ละความจาเปน็ สาหรบั การดาเนินชวี ติ ประจาวัน
และการเตรียมความพรอ้ มสอู่ นาคต เนื่องจากการอ่านทาให้ผู้อ่านได้รับ ความบันเทิงหรือการ
พกั ผ่อนหย่อนใจ รู้เท่าทนั เหตุการณ์และความเปลี่ยนแปลงของโลก ไมว่ ่าจะเป็นการอ่านจากส่ือ
อเิ ล็กทรอนกิ สห์ รือสอื่ ส่ิงพมิ พ์ การอา่ นทาให้ผ้อู า่ นเกดิ ความตระหนกั เกิดการพิจารณาไตร่ตรอง
ท่จี ะหลีกเล่ยี งหรอื ปฏิบัติตาม เช่น การอ่าน ประกาศ โฆษณาหรือฉลากสนิ ค้าต่างๆ การอ่านจึง
เป็นทักษะท่ตี ้องเรยี นรู้และรู้การฝนให้ เกดิ เป็นนิสยั (แมน้ มาศ เชาวลติ , 2544, หน้า 12)
นอกจากนี้ การอ่านเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความสามารถหลาย
อยา่ งเปน็ พ้นื ฐานคือ ผู้อา่ นตอ้ งมีความรเู้ ก่ียวกับคา วลี หรอื ประโยควา่ มีความสัมพันธก์ นั อย่างไร
เพื่อให้ทราบเจตนาของผู้เขียนว่าจะถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดเช่นไร ถ้าผู้อ่านมีความเข้าใจ
ตรงกันก็จะเกดิ อรรถรสในการอ่านมากยง่ิ ขึน้ (สุมิดรา องั วัฒนกุล, 2539,หน้า 150)
4
ดังนั้น การที่ จะทา ให้ผู้เ รียนต ระหนั กและ เห็นคุ ณค่ าข องกา รอ่าน ภาษา อังกฤ ษ
ครูผู้สอนภาษาอังกฤษก็ควรท่ีจะพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพด้วยซึ่ง
ครูผู้ สอน ควร จะป รับเ ปลี่ย นวิธี การ ฝึกทั กษะ ภาษ าอัง กฤษ ตาม ควา มสา มาร ถขอ ง นัก เรีย น
ตลอดจน การใช้อุปกรณ์และสื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย นอกจากนี้ครูผู้สอนเองควรพัฒนา
ตนเอง อยู่เสมอ ได้แก่ การเข้ารับการฝึกอบรมเก่ียวกับเทคนิควิธีการสอนภาษาอังกฤษ
โดยเฉพาะ การสอนอ่านเพ่ือจับใจความสาคัญและการวิเคราะห์เนื้อหาที่อ่านเพื่อท่ีจะทาให้
ผู้เรยี นสามารถเรียงลาดบั เหตกุ ารณ์ คาดการณ์ล่วงหน้า สรุปและจับใจความสาคัญของเรื่องที่
อ่านไดแ้ ตอ่ ย่างไรกต็ ามจากการศึกษางานวิจัยคณะมนษุ ยศาสตร์มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รจน์
ปทมุ วัน ทกี่ ารเรียนการสอนภาษาอังกฤษ (2528, อ้างในผจงกาญจน์ ภู'วิภาดาวรรธน์, 2540,
หน้า 3) พบว่าการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของครูระดับมัธยมศึกษาตอนต้นด้านการสอน
ทกั ษะ ฟงั พดู อา่ น และเขยี น ยงั ไมส่ อดคล้องสัมพันธ์กัน โดยจะเน้นทักษะการเขียนมากที่สุด
และเนน้ ทกั ษะการพูดนอ้ ยท่สี ดุ การสอนอ่านยังนิยมใช้การแปล ครูไม่ปรับเปล่ียนคาถามหรือ
วธิ ีการฝกึ ทักษะตามความสามารถของผู้เรียน ครูไม่ใช้อุปกรณ์การสอนและครูบางส่วนไม่เคย
ผ่านการอบรมเกี่ยวกับวิธีสอนภาษาอังกฤษมาก่อน โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการสอนอ่าน
และพบว่าครูยงั คงใช้วิธีการสอนอ่านเรียงลาดบั ความสาคญั คอื ใหน้ ักเรยี นผลัดกนั อา่ นออกเสียง
ทีละประโยคทลี ะตอนแล้วตอบคาถาม ครูอธิบายคาศพั ท์และโครงสรา้ งหรือใหน้ ักเรียนอ่านในใจ
แล้วทาแบบฝึกหัด และการสอน ที่ผ่านมาวิธีหลักที่ครูใช้คือการอ่านออกเสียง อ่านในใจ การ
แปลและการทาแบบฝกึ หดั ท้ายบททาใหน้ กั เรียนไมส่ ามารถจับใจความหรือวิเคราะห์หรือยังไม่
สามารถเกบ็ ใจความสาคัญของเรอ่ื งทอี่ ่านได้ นอกจากน้ีผลงานวิจัยโดย ประภาศรี ต้ังบรรเจิดสขุ
(2528, อา้ งใน ผจงกาญจน์ กู่วิภาดาวรรธน์, 2540, หน้า 8) ที่ศึกษาความสามารถในการอ่าน
ภาษาอังกฤษ ข้ันตีความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6/9 พบว่านักเรียนไม่สามารถ
เรียงลาดับเหตกุ ารณ์ คาดการณ์ลว่ งหน้า สรุปความและจบั ใจความสาคัญของเรอ่ื งได้
การอ่านเพอ่ื ความเข้าใจในปัจจบุ ันจะอา้ งอิงมาจากการจาแนกประเภททกั ษะของ
Bloom ( อ้างใน ผจงกาญจน์ กู่วิภาดาวรรธน์, 2540, หน้า 60 ) คือความรู้ความจา
(Knowledge) ความเข้าใจ (Comprehension) การนาไปใช้ (Application) การวิเคราะห์
(Analysis) การสังเคราะห์ (Synthesis) และการประเมินผล (Evaluation) โดย Bloom จะ
จาแนกตามระดบั ของการใชค้ วามสามารถของสมองโดยทั่วไป
ทักษะการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจจึงนับว่ามีความสาคัญที่ผู้สอน
จะต้องเน้นย้าหรือให้ความสาคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่จะทาให้
5
นักเรียนเกิดทักษะการเรียนรู้ สามารถวิเคราะห์ จับใจความหรือสรุปเร่ืองท่ีอ่าน มีความคิด
สรา้ งสรรค์และรักการอ่าน ตลอดจนสามารถใช้ภาษาอังกฤษเป็นเครอื่ งมอื ในการหาความรู้ และ
การศึกษาต่อ ดังน้ันการที่ผู้อ่านสามารถทาความเข้าใจ สรุป วิเคราะห์หรือตีความสิ่งที่อ่านได้
แสดงว่า ผู้อ่านมคี วามเข้าใจในสง่ิ ทอ่ี ่านซ่งึ ผสู้ อนจาเป็นจะต้องใช้เทคนคิ วิธีการสอนอ่านท่ีจะทา
ให้นกั เรยี นเกิดทกั ษะการเรยี นรู้เกีย่ วกับการอา่ นเพ่ือความเขา้ ใจซึ่งการใช้เทคนิคการสอนโดยใช้
ผงั มโนทศั น์ (Concept Map) เป็นเทคนคิ ทเี่ น้นใหน้ ักเรียน เกิดการเรียนรู้เพราะทาให้ทักเรียน
สามารถแยกประเดน็ ตามเน้อื ความหลัก และเน้ือความย่อยทาให้สามารถมองเห็นลักษณะร่วม
หรือการเชือ่ มโยงของเนอ้ื หาได้ นอกจากน้ีผังมโนทศั น์ ยังแสดงถงึ ความสมั พันธ์ของประโยคและ
ข้อความท่ีมีความหมายสอดคล้องกัน เป็นการนาเสนอความคิดรวบยอด นักเรียนจะสามารถ
ผสมผสานความรู้เติมของตนเองกับความรู้ใหม่ได้และรู้ความหมายของเน้ือหาได้จากการอ่าน
เปน็ การเรยี นรู้อยา่ งมีความหมายโดยไม่ตอ้ งอาศัยการท่องจาและเกิดความคงทนในการเรียนรู้
ในนิยามของคาว่ามโนทศั น์ที่ Joseph D. Novak (อ้างใน เฉลิมพล ณ เชียงใหม่, 2547, หน้า 9)
ให้ไว้ว่าหมายถึง ลักษณะประจาของเหตุการณ์หรือวัตถุท่ีกาหนดเป็นความหมายที่รู้กันด้วย
คาพูดและคาว่า “เหตุการณ์” หมายถึงสิ่งต่างๆที่ข้ึนหรือถูกทาให้เกิดขึ้นอาจเกิดข้ึนตาม
ธรรมชาตหิ รอื มนุษย์สรา้ งข้นึ ส่วนคาว่า “วัตถุ” คือส่ิงใดๆที่สังเกตุเห็นได้ อาจเป็นวัตถุท่ีมีอยู่
ตามธรรมชาติหรือเป็นส่งิ ท่มี นษุ ยส์ ร้างข้นึ
นอกจากนผ้ี อู้ ่านสามารถเรยี นรไู้ ด้จากการเข้าใจความหมายของเนือ้ หาที่อ่าน โดย
ไมต่ อ้ งท่องจา ตามหลกั ทฤษฏขี อง David Ausubel ซ่ึงเน้นความสาคัญของการเรียนรู้ อย่างมี
ความหมายโดยผูอ้ ่านเลือกท่ีจะผสมผสานความรเู้ ติมของตนเอง กบั ความรูใ้ หม่ท่ีไดจ้ ากการอ่าน
(Nowak & Gowin, 1986, หนา้ 8) นกั เรียนฝกึ สรา้ งผงั มโนทัศน์ตามขั้นตอนจะสามารถพัฒนา
ทกั ษะการอา่ นของนักเรียนได้ โดยเร่ิมจากให้นักเรียนได้เรียนรู้และเข้าใจความหมายของมโน
ทศั น์และคามโนทัศน์ จนกระทั่งนักเรียนสามารถบอกลักษณะของมโนทัศน์และยกตัวอย่างคา
มโนทัศนไ์ ดถ้ กู ต้อง หลังจากนั้น นักเรียนจะได้เรียนรู้ความแตกต่างระหว่างคาเช่ือมกับคามโน
ทัศนน์ กั เรยี นจะได้ฝึกการสรา้ งผงั มโนทศั นห์ ลังจากที่ไดอ้ ่านบทอ่านท่ีเปน็ ความเรยี งทีก่ าหนดให้
แล้วจับใจความสาคัญของเนื้อเร่ืองที่อ่าน โดยการเติมคามโนทัศน์ คาเช่ือมมโนทัศน์ และฝึก
เขียนเส้น เชือ่ มโยงมโนทัศน์ ซ่ึงผังมโนทัศน์ในแต่ละเรื่องจะมีจานวนคามโนทัศน์และคาเช่ือม
มโนทศั น์ลดลงทีละนอ้ ยตามลาดบั เพ่อื ชว่ ยให้นักเรียนเกดิ ความชานาญในการสร้าง ผังมโนทัศน์
ดว้ ยตวั เองมากย่ิงขั้นจนกระทั่งนักเรียนสามารถจับใจความสาคัญของเร่ืองที่อ่านแล้วนาเสนอ
เปน็ ผังมโนทัศน์ไดด้ ้วยตนเองท้ังหมด
6
จากความสาคัญของการอ่านภาษาอังกฤษเพอ่ื ความเข้าใจและประเด็นปัญหาของการ
อ่านเพอื่ ความเข้าใจท่ีพบ รวมทงั้ แนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายและเทคนิค การสอน
โดยใช้ผงั มโนทศั น์ที่สามารถพัฒนาการอ่านจนทาให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ ผู้วิจัยจึงสนใจท่ีจะ
นาเอาการสร้างผังมโนทัศน์มาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะการอ่านเพ่ือความเข้าใจใน
ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6/9 และเห็นว่าวิธีการสร้างผังมโนทัศน์เป็นวิธีการหนึ่งท่ีจะช่วยพัฒนา
ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนได้เพราะการสร้างผังมโนทัศน์
เป็นการฝึกให้นักเรียนสรุปหรือวิเคราะห์ข้อมูลเนอื้ หาที่สาคัญของเร่อื งทอ่ี ่านทาให้นกั เรียนสามารถ
คน้ พบโครงสรา้ งความรู้ของตนเองเกยี่ วกับเร่อื งที่อ่านได้อย่างชดั เจนการเกิดความคิดรวบยอดและ
สามารถเชอ่ื มโยงความคดิ ให้สัมพนั ธค์ ันโดยเขยี นเปน็ ผงั มโนทัศน์ซึง่ จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา
กจิ กรรมการเรียนรทู้ ักษะการอ่านภาษาองั กฤษตอ่ ไป
2. วตั ถุประสงค์ของการวิจยั
เพ่อื ศกึ ษาผลการใช้การใช้ผังมโนทศั นใ์ นการพฒั นาทกั ษะการอา่ นภาษาอังกฤษเพอื่
ความเข้าใจของนกั เรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 6/9 โรงเรยี นเตรียมอุดมศกึ ษาพัฒนาการ นนทบุรี ใน
การพัฒนาความสามารถในการอา่ นภาษาองั กฤษของนกั เรยี นโรงเรยี นเตรยี มอดุ มศกึ ษาพฒั นาการ
นนทบุรี ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6/9 จานวน 35 คน ที่เรียนรายวิชา Eng33202: Creative English2
ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ นนทบุรี
3. ความสาคัญของการวจิ ยั
ผลการศกึ ษาวจิ ยั ในครง้ั น้สี ามารถนามาเปน็ แนวทางสาหรบั ผสู้ อนวิชาภาษาองั กฤษ
ในการพฒั นาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษของนกั เรียนดงั น้ี
3.1 ได้แนวทางในการพฒั นาความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษ
3.2 เปน็ แนวทางในการพัฒนากจิ กรรมการเรียนรกู้ ารอา่ นภาษาองั กฤษ
3.3 เพือ่ เปน็ แนวทางในการวจิ ัยเกีย่ วกบั การใช้ผงั มโนทศั นใ์ นการสอนทกั ษะ ภาษาองั กฤษ
ทักษะอ่นื
4. สมมติฐานการวิจัย
นักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ นนทบุรี ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6/9
จานวน 35 คน ที่เรยี นรายวิชา Eng33202: Creative English2 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564
ที่ได้เรียนรู้เร่ืองการอ่านเพื่อความเข้าใจโดย การเขียนสรุปด้วยผังมโนทัศน์แล้วนักเรียนมี
ความสามารถในการอา่ นเพอื่ ความเขา้ ใจสงู ขัน้ กวา่ ก่อนเรยี น
7
5. ขอบเขตของการวจิ ัย
5.1 ประชากร
ประชากรท่ีใชใ้ นการศึกษาคร้ังนี้ เป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6/9 จานวน 35 คน ที่
เรยี นรายวิชา Eng3202: Creative English2 ภาคเรยี นที่ 2 ได้มาโดยการสมุ่ อยา่ งง่ายดว้ ยการจับ
ฉลาก
5.2 ตวั แปรที่ศกึ ษา
ตวั แปรต้น ได้แก่ การสอนการอ่านภาษาอังกฤษเพ่อื ความเข้าใจ โดยการใช้ผงั
มโนทศั น์
ตวั แปรตาม ได้แก่ ความสามารถในการอา่ นภาษาองั กฤษเพื่อความเข้าใจ
5.3 ระยะเวลาในการทดลอง
ดาเนนิ การทดลองในภาคเรียนที่ 2ปีการศกึ ษา2564เปน็ ระยะเวลา8 สัปดาหส์ ปั ดาหล์ ะ
2 ชั่วโมง
5.4 เน้ือหาท่ีใช้ในการทดลอง
เน้ือหาในการศกึ ษาครั้งนเี้ ป็นเนื้อหาท่ใี ชใ้ นการจดั การเรยี นการสอนการอา่ นเพอ่ื จับ
ใจความสาคญั โดยใชแ้ ผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ใี ชผ้ งั มโนทศั น์เพอื่ สง่ เสรมิ ความสามารถใน
การอ่าน เน้อื หาประกอบด้วย
5.4.1 บทอา่ นภาษาอังกฤษจานวน 6 เร่อื ง ทผี่ วู้ ิจัยไดค้ ดั เลือกจากแบบเรียน
ภาษาองั กฤษระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ และหนงั สอื อ่านประกอบวชิ าภาษาอังกฤษซึง่ มีเนือ้ หา
คาศัพทแ์ ละโครงสรา้ งไวยากรณท์ ่ีมคี วามยากงา่ ยใกล้เคียงกบั ท่ีกาหนดไว้ในหลักสตู รระดับชน้ั
มัธยมศึกษาปที ่ี 6
5.4.2 เน้อื หาเก่ียวกบั การใช้ผงั มโนทศั น์ท่ีแสดงความเข้าใจในการอ่าน
6. นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ
6.1 ความสามารถในการอา่ นภาษาอังกฤษ หมายถงึ การแสดงออกของนกั เรียน ในการ
อา่ นภาษาอังกฤษเพือ่ จบั ใจความ แปลความ ตีความ สรปุ ความ และการจดั ลาดบั ความสาคญั
ของเนื้อหาท่ีอา่ น
วัดไดจ้ ากแบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลังเรียน บนั ทึกหลัง การสอนและแบบประเมนิ ผงั มโนทัศน์
6.2 ผังมโนทัศน์ หมายถงึ แผนผังทผ่ี ู้เรียนเขยี นขึ้น เพอื่ แสดงการสรปุ เน้ือหาทอี่ า่ นโดย
เชื่อมโยงความคิดความรแู้ ละความสมั พนั ธเ์ ขา้ ด้วยกนั เกิดเปน็ ภาพรวมของเรื่องหลงั การอ่านซงึ่
อาจเปน็ เหตุการณ์แนวคดิ หรอื ความคดิ รวบยอดเพอ่ื นาไปสคู่ วามเขา้ ใจ ในการอา่ น
8
7. ประโยชนท์ ่ีไดร้ บั
7.1 ได้แนวทางในการพัฒนาความสามารถในการอา่ นภาษาอังกฤษ
7.2 เป็นแนวทางในการพฒั นากจิ กรรมการเรยี นรกู้ ารอ่านภาษาองั กฤษ
7.3 เพื่อเป็นแนวทางในการวิจัยเก่ยี วกับการใชผ้ ังมโนทัศน์ในการสอนทักษะภาษาอังกฤษ
9
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยทเี่ กย่ี วขอ้ ง
การศกึ ษาเรอื่ งการใช้ผังมโนทัศนใ์ นการพฒั นาทกั ษะการอ่านภาษาอังกฤษ เพ่ือความ
เข้าใจของนกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6/9ในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
โดยนาเสนอตามหวั ข้อดังตอ่ ไปน้ี
1. ความสาคัญของการอา่ น
1.1 ความหมายของการอ่าน
1.2 การอ่านเพ่ือความเขา้ ใจ
1.3 ความสามารถในการอ่าน
1.4 ช้นั ตอนการสอนอ่าน
1.5 เทคนคิ การสอนอา่ น
1.6 การพัฒนาทกั ษะการอ่าน
2. ผังมโนทัศน์
2.1 ความหมายของผังมโนทัศน์
2.2 ประเภทของผงั มโนทัศน์
2.3 การสร้างผงั มโนทัศน์
2.4 ความสมั พันธ์ของผงั มโนทศั น์กบั การอ่านเพ่อื ความเข้าใจ
2.5 ประโยชน์ของผังมโนทศั น์
2.6 การประเมินผังมโนทัศน์
3. งานวจิ ยั ท่เี กีย่ วข้องกับการอ่านและผงั มโนทศั น์
ความสาคัญของการอา่ นและความหมายของการอ่าน
การอ่านเป็นทักษะที่มีความสาคัญในชีวิตประจาวัน และมีประโยชน์ในการแสวงหา
ความรู้ นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของการอ่านไว้ ดังน้ี สมุทร เซ็นเชาวนิช (2 542,
หน้า 1) ไดใ้ หค้ วามหมายของการอ่านไว้ว่า การอ่านคือการสื่อความหมาย เป็นการสื่อความหมาย
ระหวา่ งผเู้ ขียนกับผูอ้ ่าน นอกจากน้ี ผจงกาญจน์ กูว่ ิภาดาวรรธน์ (2540, หน้า 33 - 36) ได้กล่าวว่า
มีผู้ให้นิยามของการอ่านไว้มากมาย และส่วนใหญ่จะมี ความเห็นตรงกันว่า การอ่านจะมีความ
เกี่ยวขอ้ งกับความเข้าใจความหมายของข้อความทอ่ี า่ น แต่นิยามเหลา่ นน้ั มีความแตกต่างกันบ้าง ใน
เรื่องรายละเอยี ดของกระบวนการอา่ นพร้อมกบั ได้ยกตวั อยา่ งนยิ ามไว้ดงั น้ี การอ่าน หมายถึง การ
10
เข้าใจความหมายของภาษาเขียน (Roe, Stoodtand Burns, 1983) การอ่านคือการมการเดาโดย
ใช้ความสามารถทางภาษาศาสตร์ เชิงจิตวทิ ยา (Goodman, 1968) การอา่ นเป็นการนาความหมาย
ไปใสใ่ นขอ้ ความและในขณะเดียวกันก็ดึงความหมายออกจากข้อความด้วย (Rubin, 1978) สรุปได้
ว่า การอ่านจะเน้นเร่ืองความหมายต่างกันตรงที่การได้มาของความหมายซ่ึงมีตัวหนังสือหรือ
ข้อความ เป็นองคป์ ระกอบสาคัญในการสอื่ ความหมายส่วนผู้อา่ นเป็นองค์ประกอบที่สาคญั ในการทา
ความเขา้ ใจ และการไดม้ าซึ่งความหมายเป็นผลมาจากการส่อื สาร หรอื ปะทะสัมพนั ธ์ระหว่างผู้อ่าน
กับผู้เขยี น ซึ่งผอู้ า่ นอาจมคี วามสามารถทางภาษาความสนใจความร้หู รือประสบการณ์ทีเ่ หมือนหรือ
แตกต่างจากผเู้ ขยี น ซึ่งสอดคลอ้ งกับแนวคิดของ ศรีรัตน์ เจิง กล่ินจันทร์ (2536, หน้า 25 - 26) ท่ี
อธบิ ายว่าการอา่ นเปน็ การแปลความหมายของตวั อกั ษร หรอื สัญลกั ษณอ์ อกมาเปน็ ความคิดและเมอื่
ผนวกกับความรู้หรือประสบการณเ์ ดิมทาใหเ้ กดิ เป็นความเข้าใจ ในการอา่ นมากข้ึน จากการศึกษา
เรอื่ งความหมายของการอ่าน สรุปได้ว่าการอ่านเก่ียวข้องกับการเข้าใจ ความหมายของสิ่งท่ีอ่าน
เป็นการดีความของสิ่งท่ีอ่าน เป็นการแปลความหมายของข้อความ ที่อ่านและเป็นการส่ือ
ความหมายระหว่างผูเ้ ขยี นและผู้อา่ น โดยมีตัวหนงั สอื ข้อความ หรือ สัญลักษณ์ เป็นองค์ประกอบ
สาคญั ในการอา่ น ซงึ่ ผูอ้ า่ นตอ้ งอาศยั ความรู้หรอื ประสบการณ์เดิม เพือ่ ใหเ้ กดิ ความเข้าใจในการอ่าน
การอ่านเพื่อความเขา้ ใจ
การทผ่ี ู้อา่ นสามารถทาความเขา้ ใจ สรุป วเิ คราะหห์ รือตีความสิ่งที่อ่านได้แสดงว่า ผู้อ่านมี
ความเข้าใจในสิง่ ท่ีอ่าน ผจงกาญจน์ ภู'วิภาดาวรรธน์ (2540, หน้า 60-66) ยังได้กล่าวถึงการอ่าน
เพื่อความเข้าใจไว้อีกว่า ทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจในปัจจุบันจะอ้างอิง มาจากการจาแนก
ประเภททักษะของบลูม (Bloom, 1955) คือความรู้ความจา (Knowledge) ความเข้าใจ
(Comprehension) การนาไปใช้ (Application) การวิเคราะห์ (Analysis) การ สังเคราะห์
(Synthesis) และการประเมินผล (Evaluation) โดย Bloomจะจาแนกตามระดับของการใช้
ความสามารถของสมองโดยท่ัวไปต่อมา Sanders (1866) อาศัยการจาแนกของ Bloom มาใช้กับ
ความเขา้ ใจในการอา่ น โดยแบ่งชนิดของคาถามเพอ่ื ความเขา้ ใจคือคาถามประเภทความจา คาถาม
ประเภทการแปลความ การตีความ การนาไปใช้ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการประเมินผล
ตามลาดับ ซึ่งตอ่ มาผเู้ ชยี่ วชาญการ อา่ นได้ใช้แนวคิดดังกล่าวจัดประเภทของทักษะความเข้าใจซ่ึง
ประเภทและช่ือท่ีใช้เรยี กทักษะการอา่ นเพ่ือความเข้าใจอาจมคี วามแตกตา่ งกัน แต่แนวคิดหลักส่วน
ใหญ่ยังตรงกันอยู่กล่าวคือประเภทของทักษะจะเร่ิมจากทักษะท่ีผู้อ่านไม่ต้องตีความแต่เก็บความ
เข้าใจ ท่ีตวั อักษรปรากฏเปน็ ลักษณะข้อมูล และในระดับต่อมาผู้อ่านต้องตีความในสิ่งท่ีผู้เขียนอาจ
ไม่ไดก้ ลา่ วถงึ โดยตรง สาหรับผเู้ ชี่ยวชาญบางท่านทกั ษะระดับนี้จะรวมไปถึงทักษะที่ต้อง อาศัยการ
สรปุ และประเมน่ และทกั ษะทเ่ี ปน็ ผลโดยตรงจากความเข้าใจในการอ่าน ซ่ึงผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน
11
ไดแ้ ยกทกั ษะท้งั สองประเภทน้อี อกมา และถือว่าเปน็ ทักษะทซี่ ับซอ้ น และเป็นทกั ษะความเขา้ ใจการ
อา่ นในระดบั สงู ส่วนประเภทของทักษะการอา่ นเพ่อื ความเข้าใจ ท่ี Smith (อ้างใน ผจงกาญจน์
ภูวิภาดาวรรธน์, 2540, หน้า 61) ไดจ้ ัดไว้ ดงั น้ี
1. ระดับความเข้าใจความหมายของตัวอักษรเป็นการจับความหมายตรงตัวอักษร และ
ขอ้ ความทีป่ รากฏ โดยไม่ตอ้ งอาศัยการตีความหรืออา่ นระหว่างบรรทัด
2. ระดับความเขา้ ใจแบบตคี วาม เป็นการเข้าใจความหมายทไ่ี มป่ รากฏตรงตวั อักษร แต่ผู้อ่าน
ต้องพยายามอ่านให้ไดม้ าซ่งึ ความหมายทแ่ี ฝงอยู่ซึ่งเป็นการอา่ นระหวา่ งบรรทดั และอ่านเกินไปกว่า
ข้อความในบรรทัดซ่ึงประกอบด้วยทักษะย่อยต่างๆ เช่น การตีความ จากภาพประกอบ การ
เปรียบเทียบความแตกต่างและความเหมือน การเรียงลาดับเหตุการณ์ การหาเหตุผล การจับ
ใจความสาคัญ การพยากรณ์ การสรุปความ การเข้าใจลักษณะของ ตัวละคร และการเข้าใจ
จุดประสงคข์ องผูเ้ ขยี น การตคี วามในสงิ่ ที่ผูเ้ ขยี นไม่ได้กล่าวถึงโดยตรงซึ่งจะต้องทาบนพ้ืนฐานของ
ข้อมูลทีผ่ เู้ ขยี นให้ไมใ่ ช่สรุปความในส่งิ ท่ผี ้เู ขยี นไม่ได้กลา่ วถงึ
3.ระดบั การอา่ นอย่างมวี จิ ารณญาณ ความเขา้ ใจระดับนจ้ี ะเก่ียวกับการแยกแยะ ข้อเท็จจริง
วเิ คราะห์ และประเม่นค่าในสิ่งท่ีอ่าน ผู้อ่านต้องสามารถเข้าใจความหมาย ตรงตามตัวอักษรและ
เข้าใจความหมายที่เกดิ จากการตีความ จากนน้ั จะนาความหมาย
ไปเปรียบเทยี บกบั ประสบการณ์เดิม มกี ารใช้เกณฑ์เพอ่ื ประเมน่ ข้อความนาไปสกู่ ารยอมรับ หรือไม่
ยอมรับ ตลอดจนการปรบั เปลยี่ นโครงสร้างความรู้ หรอื เจตคตขิ องตนตอ่ หวั เรอ่ื งที่ อ่านไดใ้ นทส่ี ุด
4.ระดับการอ่านอย่างสร้างสรรค์ การอ่านเพ่ือความเข้าใจนั้นไม่ได้หยุดอยู่ที่ เพียงการปรับ
โครงสรา้ งข้อมูลหรอื เจตคติ แตย่ งั รวมไปถงึ การนาความรู้มาใช้ในโอกาสอื่น อย่างเหมาะสมในการ
เรยี นการสอนอ่าน นักเรียนอาจยังไม่ได้นาแนวคิดท่ีได้จากการอ่าน ไปใช้ในทันทีทันใด เช่นความ
ซาบซึ้งในอรรถรสของวรรณคดีซึ่งอาจไม่เกิดข้ึนทันที จนกว่าจะมีการขวนขวายหาอ่านต่อ อาจใช้
เวลาผ่านไปหลายปีแล้วถึงจะเกิดความซาบซ้ึงน้ี การอ่านเพื่อความเข้าใจในระดับต่างๆ น้ันมี
ความสาคัญ นกั เรยี นในระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาควรไดร้ ับการฝกึ ใหอ้ า่ นอยา่ งมีจุดม่งุ หมายเลือกวิธีการ
ทาความเขา้ ใจ อยา่ งสอดคล้องสัมพันธ์ระหว่างความรู้เดิมของตนกับความรู้ในข้อเขียนเพ่ือให้เกิด
ความเขา้ ใจ ในระดับต่างๆ มีการปรบั โครงสร้างความรแู้ ละเจตคติอันเป็นผลจากการอ่าน มีการนา
ความรู้ ที่ไดไ้ ปประยุกตใ์ ชแ้ ละกจิ กรรมการเรียนการสอนอ่านจึงควรจัดอย่างสอดคล้องเพื่อให้เกิด
ประโยชนส์ งู สุดตอ่ ผู้เรยี น
สรุปได้ว่าการอา่ นเพอื่ ความเขา้ ใจเปน็ ความสามารถของผู้อ่านท่ีจะวิเคราะห์ ดีความ
จับใจความ สรปุ ความและจัดลาดบั ของเนื้อหาท่ีอ่าน การอ่านเพื่อความเข้าใจนับว่ามีความสาคัญ
เป็นอยา่ งยิ่ง ผู้อ่านอ่านแล้วเข้าใจในส่ิงทผี่ ้เู ขยี นตอ้ งการสอื่ ความหมายย่อมลือได้ว่าการส่ือสารน้ัน
12
บรรลวุ ัตถุประสงค์ความสามารถในการอ่านปจั จุบนั โลกมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีความ
เจริญกา้ วหนา้ ทัง้ ทางด้านวตั ถุ วทิ ยาการ เทคโนโลยี และดา้ นความนกึ คิด การอ่านจงึ เป็นส่ิงจาเป็น
สาหรับทุกคนท่ีจะ ดารงชีวิตอยู่ในสังคมโดยเฉพาะในวงการศึกษาผู้ท่ีมีความสามารถใน การอ่าน
ยอ่ มมโี อกาสทีจ่ ะ ประสบความสาเรจ็ ในการศึกษาและประสบความสาเรจ็ ในอาชีพการงาน (สมุทร
เซน็ เชาวนิช, อ้างใน มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช, 2537, หน้า 10)ความสามารถในการอ่านว่า
เป็นความสามารถด้านความคิด ด้านภาษาและ ตัวหนังสือ การแปลความ ตีความ รวมไปถึง
ความสามารถในการเข้าใจโครงสร้างของ ประโยค ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคาและประโยค (สุจิ
ตรา อินทรรัศมี,2537,หน้า15) Morris และ Dove ( อ้างใน สุจิตรา อินทรรัศมี, 2537,หน้า 14 )
กลา่ วว่า ความสามารถในการอ่านหมายถึง ความสามารถในการรับรู้และเข้าใจความสัมพันธ์ต่างๆ
ของข้อความที่อ่านแล้วโยงความสัมพันธ์และรวบรวมรายละเอียดเพื่อจัดเป็นกลุ่มหัวข้อหรือ
ประเภทออกจากข้อความท่ีไม่เก่ียวข้องได้ Harris (อ้างใน สุจิตรา อินทรรัศมี, 2537,หน้า 14)
อธบิ ายว่าความสามารถในการอ่านจะตอ้ งอาศัยองคป์ ระกอบหลายอยา่ ง ไดแ้ ก่ ความเข้าใจในภาษา
ที่อา่ น ความสามารถท่ีจะจบั ใจความสาคัญและรายละเอยี ดปลีกยอ่ ยของส่งิ ทอี่ า่ นแลว้ สรุปความคิด
ที่ได้จากการอ่าน ได้ถูกต้อง ตลอดจนเข้าใจเจตคติและรูปแบบการนาเสนอความคิดของผู้เขียน
จากท่ีกล่าวมาน้ีพอจะสรุปได้ว่า ความสามารถในการอ่านเป็นความสามารถ ท่ีจะเข้าใจ รับรู้
ความหมายและความสัมพนั ธ์ของประโยค ข้อความ ตลอดจนลาดับ ความสมั พันธ์ของเนื้อเร่ืองแล้ว
หาใจความสาคญั หรือสรุปความคดิ ที่ได้จากการอ่านเน้ือเรื่อง นัน้ ๆ และการศกึ ษาในครั้งน้ีผู้วิจัยได้
ใช้วธิ กี ารสรุปใจความของเนื้อเร่ืองทอี่ ่านโดยใช้ ผงั มโนทัศน์ในการพัฒนาความสามารถในการอ่าน
เพ่ือความเข้าใจของผเู้ รยี น
ขนั้ ตอนในการสอนอ่าน
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทักษะอ่านจะมีการจัดลาดับการสอนอย่างเป็น
ขนั้ ตอนเพอ่ื ทาใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรยี นรอู้ ย่างเปน็ ระบบ และสามารถเช่ือมโยงความรู้ท่ีไดจ้ าก การฝกึ
ทกั ษะการอ่านได้ สุภทั รา อักษรานุเคราะห์ (2532,หนา้ 89-91) ได้กล่าวถึงข้ันตอนในการสอนอ่าน
ว่า ในการจัดกจิ กรรมการสอนทกั ษะการอา่ น ผ้สู อนควรจัดเปน็ 3 ระยะคือ
1. กจิ กรรมกอ่ นการอา่ น (pre-reading activity) เป็นการสรา้ งความสนใจในเรื่องที่
จะอ่านและปูพื้นความรู้ในเร่ืองท่ีจะอ่าน เช่น ให้คาดคะเนเรื่องที่จะอ่านโดยการให้นักเรียนนึกถึง
คาศพั ท์ที่ควรรจู้ ักในเร่ืองทจี่ ะอา่ น แล้วใหใ้ ช้วธิ ีอา่ นแบบตอ้ งการ ข้อมลู ทเี่ ฉพาะเจาะจง (scanning)
ว่ามคี าศัพทท์ ่ีนกั เรยี นบอกไวห้ รอื ไม่ การเดาความหมาย ของคาศัพท์จากบริบทโดยดูจากประโยค
ข้างเคียง ครูอาจจะให้นักเรียนดูภาพประกอบคาศัพท์ แสดงทาทางและให้คาถามไว้ก่อนเพื่อให้
ผ้เู รียนฝึกการอา่ นแบบผา่ นไปเรว็ ๆ (skimming)
13
เพอ่ื หาคาตอบให้ได้
2. กิจกรรมระหว่างการอ่าน (while - reading activity) เป็นกิจกรรมท่ีผู้สอน
นามาใช้ฝึกทักษะในขณะที่อ่านเนื้อเร่ืองซึ่งอาจจัดกิจกรรม ดังเช่น ให้นักเรียนอ่านแบบผ่าน ไป
โดยเร็วเพ่ือใหไ้ ดป้ ระโยคสาคัญและอ่านแบบหารายละเอียดเพ่ือตอบคาถามเก่ียวกับ เนื้อเร่ืองได้
การให้นกั เรยี นลาดบั เร่ืองจากเร่อื งทตี่ ัดออกเป็นส่วน ๆ อาจเป็นย่อหน้าหรือเป็น ประโยคก็ได้ การ
ใหส้ รปุ ใจความสาคญั โดยให้ผู้เรยี นอนุมานจากเรื่องทอ่ี ่านท้ังหมด ซึง่ ผสู้ อนอาจจะใหส้ รปุ หรอื ต้ังช่ือ
เรื่องขั้นมาใหม่ การให้หาความสัมพันธ์ของประโยค เพ่ือแสดงความหมายในเร่ืองที่อ่าน การหา
จุดประสงค์และทัศนคติของผู้เรียนเพ่ือเป็นการ‘ฝึก ให้หาความหมายท่ีไม่ได้ปรากฏในข้อความที่
อ่าน การอ่านคาอธิบายตาแหน่งทีผ่ ู้เรยี นน่ัง ในเวลาสอบ แลว้ เขยี นผงั พร้อมเขยี นชื่อของผู้สอบตาม
ผัง การใหอ้ ่านคาช้ีแจงการติดตอ่ เจ้าหนา้ ท่ีธนาคารในการแลกเช็คเดินทางแล้วเขียนแผนผังแสดง
ลาดบั การติดตอ่
3. กจิ กรรมหลงั การอา่ น (post-reading activity) เป็นกิจกรรมทผ่ี เู้ รียนสามารถ แสดง
ความคิดเห็นเกี่ยวกับเร่ืองที่อ่านได้ เช่น ให้ผู้เรียนกล่าวถึงประโยชน์ของเรื่องท่ีอ่าน ว่าให้ข้อคิด
อยา่ งไรบ้าง ให้ผู้เรียนกล่าวถงึ ความรสู้ ึกของตนเองและตัวละครในเรื่องที่อ่าน ให้ผู้เรียนเขียนเป็น
บทสนทนาระหวา่ งผทู้ เี่ กยี่ วข้องในเรอ่ื งใหผ้ ้เู รยี นแสดงบทบาทสมมติตามเน้อื เรือ่ งหรอื ให้แสดงความ
คดิ เหน็ เก่ียวกับความแตกต่างทางวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาและของผู้เรียนการจัดข้ันตอนการ
สอนอา่ นเป็นการจัดระบบเพือ่ ใหผ้ ู้เรยี นได้เชื่อมโยงความรู้ท่ีได้จากการอ่านและในการศึกษาคร้ังน้ี
ผวู้ ิจัยได้ใชข้ น้ั ตอนในการสอนอา่ นท้งั หมด 3 ระยะ คอื
3.1 กิจกรรมล่อนการอ่าน ผู้วิจัยได้ให้นักเรียนศึกษาประโยคที่เป็นใจความหลัก
ประโยคที่เป็นส่วนขยายเนื้อหา ส่วนที่เป็นการยกตัวอย่างเพิ่มเติม และให้หาคาเช่ือมระหว่าง
ประโยคหรือข้อความของเนื้อหา เพ่ือให้นกั เรียนสามารถมองเห็นความสัมพันธ์ของประโยค ต่างๆ
จากเนือ้ หาท่ีอ่านแล้วจงึ ให้นกั เรียนเขยี นเปน็ ผังมโนทศั น์เพือ่ สรุปใจความสาคญั ของ เรอื่ งทอี่ ่าน
3.2. กิจกรรมระหว่างการอ่าน ผู้วิจัยได้ให้นักเรียนอ่านเพ่ือให้ได้ประโยคสาคัญ
และอ่านแบบหารายละเอยี ดเพ่ือจบั ใจความสาคัญเกีย่ วกับเน้อื เรื่อง หลังจากนนี้ จะให้นกั เรียน สรุป
ใจความสาคัญโดยให้นักเรยี นอนมุ านจากเรอ่ื งทอ่ี า่ นท้งั หมด ซงึ่ ผ้วู จิ ัยจะให้นักเรียนเขยี น เป็นผังมโน
ทัศนส์ รปุ ความสัมพนั ธ์ของประโยคเพอื่ แสดงความหมายในเรื่องท่อี ่าน
3.3 กจิ กรรมหลังการอ่าน ผู้วิจัยได้ให้นกั เรียนนาเสนอผังมโนทัศนท์ ่ีสร้างขึ้น เพ่ือ
สรปุ ใจความสาคญั ของเร่อื งทอี่ ่านแลว้ ให้นกั เรียนท้งั ขั้นช่วยคันสรปุ โครงสรา้ งของผงั มโนทัศน์ดังนั้น
จะเห็นได้ว่าการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทักษะการอ่ านเพื่อความเข้าใจ โดยใช้ผังมโนทัศน์
นักเรียนจะได้ฝึกทักษะการอ่านตามลาดับขั้นตอนทุกระยะโดยเร่ิมจากการศึกษาประโยคการหา
14
คาเชือ่ ม จากเนอื้ หาหรอื เรื่องท่กี าหนดให้ หลงั จากนัน้ นักเรียนจะ อ่านเน้ือเรื่องทั้งหมด และเขียน
สรุปเป็นผังมโนทัศน์เพื่อนาเสนอ เม่ือนักเรียนได้ผ่านข้ันตอน การสอนอ่านครบทุกระยะแล้ว
นกั เรยี นสามารถเชอ่ื มโยงความรู้ เกิดความเข้าใจ และสามารถ สรุปใจความสาคญั ของเรือ่ งที่อา่ นได้
เทคนิคการสอนอ่าน
การใช้เทคนิคในการสอนทักษะอ่านจะช่วยทาให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในการ
เรยี น และสามารถเรียนรูไ้ ด้โดยไม่รูส้ กึ เบื่อหน่าย Mary Finocchiaro (อ้างใน สุมิตรา อังวัฒนกุล,
2539, หน้า 151) ได้กล่าวถงึ เทคนคิ การสอนอ่านทีท่ าใหน้ กั เรยี นได้เกิดทักษะการอา่ นไว้ดงั น้ี
1. ฝึกใหน้ ักเรยี นมีความรเู้ กยี่ วกับคาศพั ท์เพ่มิ ข้นึ โดยการสอนคาทม่ี รี ากศพั ท์
เดยี วกนั จดั หมวดหมคู่ าท่คี ลา้ ยคลงึ กนั จดั ประเภทคาทม่ี ีลักษณะเดียวกนั และร้กู ารให้นักเรียน ได้
เดาความหมายของคาใหม่ โดยอาศัยตัวช้ีแนะบริบท (Context Clues)
2. ฝึกให้นกั เรียนเขา้ ใจโครงสร้างประโยคโดยวิธีการเช่นเดียวกับการสอนความรู้
เกีย่ วกบั คาศัพท์
3. ฝึกให้นักเรียนเข้าใจวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาเพ่ือให้เกิดความเข้าใจ
ความหมาย ของคาไดล้ ึกซงึ มากขึ้นโดยมีส่อื อุปกรณ์ประกอบเช่นรปู ภาพหรอื ส่ิงของ
4.ใช้คาถามท่ีช่วยให้นักเรียนเข้าใจข้อความที่อ่านได้ดีย่ิงขึ้น เช่น การใช้คาถาม
เพ่ือให้ตอบรับหรือปฏิเสธล่อนแล้วจึงใช้ คาถามประเภทที่ให้บอกรายละเอียด และคาถาม ท่ีให้
นักเรียนบอกใจความสาคญั ของข้อความทอี่ ่าน
5. ฝกึ ให้นักเรียนสามารถอ่านเร็วและรู้จักปรับอัตราเร็วในการอ่าน ซึ่งข้ึนอยู่กับ
วตั ถปุ ระสงคข์ องการอ่านและประเภทของเรอ่ื งที่อา่ น ไดแ้ ก่ การจบั เวลาหรอื การกาหนดเวลา สน้ั ๆ
ทกุ ครงั้ ทีน่ กั เรียนอ่านในใจ และลดเวลาในการอ่านขอ้ ความหน่ึงๆใหน้ อ้ ยลง
6. ให้นักเรียนอ่านในใจโดยการกวาดสายตาแทนการใช้นิ้วช้ีไปตามข้อความที่
กาลงั อา่ น และตอ้ งรู้วัตถปุ ระสงค์ของการอ่านทุกครั้ง เชน่ อา่ นเพ่อื หาคาตอบ หาคาท่ีต้องการ หา
ขอ้ ความท่ชี ว่ ยเฉลยปัญหา หาใจความสาคัญ (Main Idea หรือ Central Thought) หรืออ่าน เพ่ือ
ต้ังชอ่ื เรอ่ื งเปน็ ตน้ นอกจากนอ้ี าจใหน้ ักเรยี นบนั ทกึ ความกา้ วหน้าในการอ่านเร็ว (Speed Reading)
รวมท้งั คะแนนทดสอบที่ไดจ้ ากความเขา้ ใจในการอ่านการท่ีจะให้นักเรียนเกิดทักษะในการอ่านน้ัน
นักเรยี นจะต้องเขา้ ใจ ประเภท และ ความหมายของคาศัพท์ตลอดจนโครงสร้างของประโยค โดย
การจาแนกประเภทหรอื หมวดหมคู่ วรฝึกให้นกั เรยี นตอบคาถามในลักษณะต่างๆ และร้จู กั ปรบั อัตรา
การอ่าน ให้เร็วข้ึน ตลอดจนมีการบันทึกความก้าวหน้าในการอ่านเพื่อนามาเป็นแนวทางในการ
ปรับปรุงและพัฒนาการอา่ นของนกั เรียน
15
ในการแสดงองค์ป ระกอบที่เป็นโครงสร้างทางความคิดอาจสร้างเป็นผังแสดง ความหมายของ
ข้อความที่อา่ นได้ ดงั ที่ ผจงกาญจน์ ภวู ภิ าดาวรรธน์ (2540, หน้า 153-154) ได้กล่าวไว้ว่าการใช้ผัง
สัมพันธ์ทางความหมาย (Semantic Map) ในการสอนอ่าน อาจเป็น เทคนิคที่ใช้เด่ียวหรือใช้
ประกอบกับเทคนิคอ่ืนๆ ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นผังรูปภาพเรขาคณิตที่แสดงความสัมพันธ์
เก่ยี วข้องของแนวคิดรวบยอดของเนื้อหา เช่น ผังสัมพันธ์ ทางความหมายของข้อความที่อ่านก็จะ
แสดงความสมั พนั ธข์ องใจความสาคญั และใจความ สนบั สนุนในระดับต่างๆ รูปภาพเรขาคณิตที่ใช้
ต้องเป็นวงกลมรวมใจความต่างๆแล้วเชื่อมโยงเส้ นตรงหรือลู กศรเป็นผังท่ีอาจใช้เพื่อแสดงถึง
องคป์ ระกอบทเ่ี ปน็ โครงสร้างผงั มโนทัศน์
ความหมายของผังมโนทัศน์
กอ่ นท่ีผวู้ จิ ยั จะทา่ การศกึ ษาในเร่ืองนี้ ผ้วู จิ ัยไดศ้ ึกษาความหมายของผงั มโนทศั น์ โดยสรปุ ได้
ดังนี้การรยี งศักด์ิ เจรญิ วงศ์ศักด์ิ (2546, หนา้ 2-3) ไดก้ ล่าววา่ มโนทัศน์ หมายถึง หมวดหมูข่ องวตั ถุ
เหตุการณ์ คน หรือแนวคิดที่มอี งศป์ ระกอบพ้ืนฐานใกล้เคียงกัน แต่ละสิ่ง ในหมวดหมู่อาจมีความ
แตกต่าง หลากหลาย แต่มีลักษณะร่วมกันมากเพียงพอท่ีจะบอกได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรซ่ึงแต่ละมโน
ทศั น์ มักแทนด้วยคาพดู ทีเ่ ข้าใจรว่ มกนั ของคนในสังคม เช่น เมอ่ื พูดว่าค้นไม้จะมีภาพร่างของต้นไม้
ในความคดิ ของผู้ฟังทันที ทาใหผ้ ู้ฟงั เขา้ ใจว่าหมายถงึ อะไร เป็นค้น และในความหมายทางปรัชญา
มโนทศั นจ์ ะหมายถึงภาพทีเ่ กดิ ในใจซงึ่ เป็น ตัวแทนของสิง่ หลายส่ิงทตี่ า่ งกนั แตม่ ลี ักษณะบางอย่างที่
คลา้ ยกนั ส่วนในภาษาอังกฤษ มโนทัศน์ (concept หมายถึง การคิดถึงหรือจินตนาการถึงบางสิ่ง
เป็นการเกดิ แนวคดิ หรือเกิดความเขา้ ใจ ตอ่ เรอื่ งใดเรื่องหนึ่งในความคดิ ของคน ดงั นนั้
มโนทัศน์จงึ หมายถึงภาพในความคิดหรอื ตัวแทนของหมวดหมวู่ ตั ถุ เหตุการณ์ คน หรือแนวคิด ซ่ึง
มีความแตกต่างกันแต่ในขณะเดียวกันก็มีลกั ษณะบางอย่างท่ี คลา้ ยกันหรือมคี วามหมายรว่ มกัน
สรุปแล้วผังมโนทัศน์ หมายถึง ผังท่ีแสดงความคิดรวบยอดเป็นหลักมีการเชื่อมโยง
ความสมั พนั ธ์ของคาหรือขอ้ ความอยา่ งมีความหมาย มกี ารจดั อย่างเป็นระบบ และตามลาดับข้ันทา
ใหผ้ ู้เรยี นสามารถสร้างมโนภาพ เกดิ ความเข้าใจและสามารถส่ือ ความหมาย ทาให้เกิดการเรยี นรู้ได้
ประเภทของผังมโนทศั น์ สวุ ิทย์ มลู คา และอรทัย มลู คา (2544, หน้า 89-92) ได้เสนอลักษณะของ
ผังมโนทศั นไ์ ว้ดังนี้
1.แผนผังแบบกง่ิ ไม้ เปน็ ผงั ทีม่ ีความคดิ หลกั อย่ขู า้ งบนหรอื ตรงกลางแล้วมเี ส้นเช่ือมโยงกับ
ความคดิ รวบยอดอืน่ ๆ ท่ีสาคัญรองลงไป
2.แผนวงจร เปน็ แผนความสัมพนั ธ์เปน็ ข้นั ตอนตา่ งๆ เรียงตามลาดับ
3.แผนผังใยแมงมมุ จะมีความคดิ รวบยอดหลักท่ีสาคัญตรงกลางและมีคาอธิบายความคิด
รองในลักษณะของใยแมงมมุ
16
4.แผนผังก้างปลา มปี ระเดน็ หรือเร่อื งหลกั แล้วเสนอสาเหตุและผลตา่ งๆที่เก่ียวข้อง
5.แผนผังตารางเปรียบเทียบ เป็นตารางเปรียบเทียบสองส่ิงหรือสองเร่ือง ในประเด็นท่ี
กาหนด
6.แผนผงั รูปวงกลมพับเหลยี่ ม เป็นการเปรียบเทียบของสองสิ่งหรือสองเร่ืองที่มี ลักษณะ
เหมือนกนั และต่างกนั
มนัส บญุ ประกอบ (2533, หนา้ 27-29) ได้แบง่ ประเภทของผังมโนทัศน์ออกเป็น 4 ชนิด
ไดแ้ ก่
1.ชนิดกระจายออก เป็นผังมโนทศั นท์ เ่ี ริม่ จากคาท่ีเปน็ มโนทัศน์หลกั แลว้ เชือ่ มโยงกระจายออกไป
ทกุ ทิศทุกทางเพอื่ เชอ่ื มต่อกันเป็นมโนทศั น์ยอ่ ย ๆ
2.ชนิดปลายเปิด เป็นผังมโนทัศน์ที่แสดงการเชื่อมโยงกลุ่มมโนทัศน์ต่างๆ ลดหลั่นกันลงไป
ตามลาดับความสาคัญของมโนทศั นท์ ีผ่ เู้ ขียนกาหนดไว้
3.ชนดิ เช่ือมโยง เปน็ ผังมโนทัศน์ทม่ี ลี กั ษณะคล้ายกบั ผังมโนทัศน์ชนิดปลายเปิด แต่มีการเช่ือมโยง
ขา้ มชดุ ระหว่างมโนทศั นท์ ี่ได้
4.ชนิดปลายปดิ หรอื ลอ้ มเป็นวง เป็นผงั มโนทศั นท์ ค่ี ่อนขา้ งจะมลี ักษณะจากัดอยู่
ในตัว เอง
จงึ กล่าวไดว้ า่ ผังมโนทศั นป์ ระเภทต่างๆ ล้วนแต่เป็นผังทเี่ ช่อื มโยงมโนทศั น์หลักกับ กลุ่มคา
หรอื มโนทัศน์ย่อย เรยี งตามลาดับขนั้ เพอ่ื แสดงให้เห็นถึงความสมั พันธ์สอดคลอ้ งกันอย่างเป็นระบบ
และการศกึ ษาครั้งน้ีผู้วิจัยใชผ้ ังมโนทศั น์แบบชนดิ ปลายเปิด และผังมโนทัศน์แบบเช่ือมโยง เพราะ
จะทาให้ผ้เู รยี นสามารถมองเหน็ การลดหลั่นของมโนทัศน์และการเช่ือมโยงระหว่างคามโนทัศน์ได้
ชัดเจนย่งิ ขนั้
การสรา้ งผงั มโนทศั น์
นอกจากนี้ พิทักษ์ เจริญวานิช (2531, หน้า 17) ได้เสนอแนะวิธีการสร้าง ผังมโนทัศน์
ตามแนวทางของ Novak ไว้ดังข้นั ตอนต่อไปนี้
1.คดั เลอื กบทเรยี นจากหนังสือท่ไี ม่ยากจนเกนิ ไป ควรเป็นเน้ือหาสั้นๆ มีมโนทศั น์ ประกอบ
ไมม่ ากจนเกนิ ไป
2.วิเคราะหม์ โนทัศน์ที่มีความสาคญั และบนั ทึกไว้
3.จัดลาดบั และแยกแยะมโนทัศน์ ดลู ักษณะทก่ี ว้างครอบคลมุ เรียงจากมโนทัศน์ รองและ
มโนทศั นเ์ ฉพาะตามลาดบั
4.เมื่อจัดมโนทัศน์ตามตาแหน่งแล้วให้ลากเส้นเช่ือมโยงระหว่างมโนทัศน์ต่างๆแล้วหาคา
หรือขอ้ ความเชอื่ มระหว่างมโนทศั นเ์ พ่ือใหม้ โนทัศนส์ ัมพันธ์กนั
17
5.ตรวจสอบเนอื้ หาให้ตรงลับผงั มโนทัศน์ท่ีสรา้ งขน้ึ
สรปุ ได้ว่า การสรา้ งผงั มโนทัศนจ์ ะมีคามโนทัศนห์ ลักและมโนทัศน์รองเชื่อมต่อ กนั ด้วยเส้น
เชอ่ื มโยง ลดหล่ันกนั เป็นลาดับเพอื่ ใหม้ องเหน็ ความสมั พันธข์ องคามโนทัศน์ได้ชัดเจนความสัมพันธ์
ของผังมโนทัศน์กบั การอา่ นเพ่อื ความเข้าใจผงั มโนทัศน์เปน็ ผงั ทแ่ี สดงความคิดรวบยอดท่ไี ด้จากการ
เชอื่ มโยงความสมั พันธ์ของ คาหรือขอ้ ความตามขั้นตอนอย่างเป็นระบบและมีความหมาย เกิดเป็น
มโนภาพในการส่อื ความหมายและเกิดการเรียนรู้การอา่ นเพอื่ ความเขา้ ใจเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องลับการ
เข้าใจความหมาย สรุป วิเคราะห์ หรือตีความเกี่ยวกับส่ิงที่อ่านนาไปสู่การสร้างความคิดรวบยอด
และการสรา้ งองค์ความรขู้ อง ผเู้ รียนนอกจากนก้ี ารท่ีผู้อ่านจะสามารถเข้าใจเนื้อเรื่องที่อ่านได้มาก
หรือหอ้ ย กข็ ัน้ อยู่กับระดบั ความเข้าใจของผู้อา่ น
Barrett (อ้างใน เฉลิมพล ณ เชียงใหม่, 2547, หน้า 18) ได้จัดแบ่งระดับ ความเข้าใจไว้ทั้งหมด 5
ระดับคือ
1.ระดับการอ่านตามตวั อักษร เป็นความสามารถในการจับใจความ รายละเอียด ต่างๆ ตามลาดับ
เหตกุ ารณ์ เปรียบเทยี บ จาแนกหรอื ทบทวนเรอื่ งที่อ่านได้
2.ระดับการจัดเรียงใหม่ เป็นความสามารถท่ีผู้อ่านย่อเน้ือหาในข้อความบางตอน หรือย่อเรื่อง
ท้งั หมดและสามารถสรุปหรอื สงั เคราะหเ์ รื่องทอ่ี ่านได้
3.ระดบั การอนมุ าน เป็นระดับความสามารถท่ีผู้อ่านสรปุ ใจความสาคญั ลาดบั เหตุการณแ์ ละตคี วาม
ในส่วนท่ไี ม่ไดป้ รากฏใหเ้ หน็ โดยตรงจากเร่ืองทอี่ า่ น
4.ระดับการประเมินผล เป็นระดับความสามารถที่ผู้อ่านจะตอ้ งตัดสนิ หรอื ประเมินผลดว้ ยตนเองวา่
เรอื่ งท่ีอา่ นมีอะไรบา้ งทีเ่ ป็นขอ้ เท็จจรงิ หรอื เปน็ ขอ้ คิด และ สามารถประเมนิ ความน่าเชือ่ ถอื ของเรอ่ื ง
ที่อา่ นได้
5.ระดับความซาบซ้ึง เป็นความสามารถในการอ่านระดับสูงที่ผู้อ่านมีอารมณ์ ตอบสนองหรือ
แสดงออกทางอารมณ์เมื่อได้อ่านเน้อื เรอ่ื ง
จะเหน็ ได้วา่ ถา้ นักเรียนสามารถสร้างผังมโนทัศน์หลังจากเสร็จส้ินกิจกรรมการอ่าน เน้ือ
เร่ือง ได้ ย่อมแสดงใหเ้ หน็ ว่านกั เรียนมีระดับความสามารถในการอ่านสูงถึงระดับ การประเมินผล
เพราะผงั มโนทัศนท์ าให้เห็นความแตกต่างระหว่างขอ้ เท็จจรงิ กบั ข้อคิด ได้อย่างชัดเจน Muth (อ้าง
ใน Collins, 1994, หนา้ 2) กล่าววา่ เนือ้ หาที่พบในตาราเรียนมักจะมี ลักษณะเป็นความเรียงหรือ
ข้อความเชิงอธิบายเป็นส่วนใหญ่ Muth จึงได้เสนอแนวทาง เก่ียวกับกลวิธีในการอ่านเพ่ือความ
เข้าใจ 3 ประการ คือการสรุปเนอ้ื หาทอ่ี า่ นโดยเรียง ตามลาดับหัวข้อเร่ือง การจัดลาดับของหัวข้อ
ของโครงเรอ่ื งและการเขียนเปน็ ผังมโนทศั น์ เพอ่ื นาเสนอเร่ืองท่อี า่ น
18
ผังมโนทศั น์มปี ระโยชน์ในการนาเสนอเพื่อใหเ้ กิดความเข้าใจในเนอื้ เรือ่ งได้งา่ ย และรวดเร็วกว่าการ
อ่านคาอธบิ ายหรือบรรยายสรุป ดังจะเห็นได้จากรายงานของแผนกแนะ แนวมหาวทิ ยาลัยรัฐวิคทอ
เรีย ท่ีกลา่ ววา่ ผงั มโนทัศน์มีประโยชนใ์ นการใชส้ รปุ เรอ่ื งทอี่ า่ น (อ้างใน เฉลิมพล ณ เชียงใหม่, 2547,
หน้า 3)สรุปได้ว่าการสร้างผังมโนทัศน์ในการแสดงความเข้าใจของ เน้ือเร่ืองที่อ่านจึงเป็น
กระบวนการทจ่ี ะทาให้ผู้เรยี นเกดิ การคิดอยา่ งเปน็ ระบบ และเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ถ้า
เมือ่ ใดก็ตามทผ่ี เู้ รยี นสามารถสรุปใจความสาคัญของเนื้อหาท่ีอ่านโดยนาเสนอเป็น ผังมโนทัศน์ได้
อยา่ งถูกต้องก็แสดงวา่ ผ้เู รยี นเขา้ ใจในสงิ่ ทีอ่ า่ น และในทานองเดยี วกนั ถา้ ผเู้ รยี น อ่านเนื้อเรื่องจากผัง
มโนทศั นแ์ ทนการอา่ นเนอ้ื เรอื่ งท่ีเปน็ ความเรยี งเชิงอธบิ าย ผู้เรยี นกจ็ ะ สามารถเขา้ ใจเน้ือเร่อื งได้งา่ ย
และรวดเร็วขึ้น ดว้ ยเหตุนจี้ งึ ทาใหผ้ ังมโนทศั น์กับการอ่าน เพ่ือความเข้าใจมีความสอดคลอ้ งสัมพันธ์
กนั อย่างเหน็ ไดช้ ดั ประโยชนข์ องผงั มโนทศั น์
Nowak และ Gowin (อา้ งใน เสถยี ร ณ เชยี งใหม่, 2541, หน้า 27) ไดก้ ล่าวว่า ผัง
มโนทศั นส์ ามารถใช้ในการสารวจพ้ืนความรู้ของนกั เรียนในการเตรียมการเรยี นการสอน ใช้ประเมิน
ความคิดและการกระทาของนักเรยี น ใช้สรปุ เนอื้ หาจากตาราเพอื่ ชว่ ยประหยดั เวลา ในการอ่านและ
ไม่เกิดความเพื่อหน่าย ใช้เป็นเครื่องมือในการจดบันทึกเพ่ือสรุปความจาก การปฏิบัติและการ
ทดลองตลอดจนช่วยในการวางแผนการเขยี นรายงานหรือการบรรยาย Schwab (อ้างใน Novak &
Gowin, 1986, หน้า 22-23) ไดส้ รุปไวว้ ่า ผังมโนทัศน์ทาให้นักเรียนและครูรู้ความหมายของข้อมูล
ข่าวสารร่วมกัน เนื่องจากผังมโนทัศน์ ทาให้มองเห็นภาพกิจกรรมการเรียนการสอนได้ชัดเจน
นกั เรียนสามารถมองเห็นความสมั พนั ธ์ ของความรเู้ ล่าทเี่ ช่ือมโยงเขา้ กับความรู้ใหม่ ครูสามารถใชผ้ ัง
มโนทัศน์ในการจดั เน้ือหา และตรวจสอบความถูกต้องของความคิดรวบยอดของนกั เรยี น
วิไลพร ธนสวุ รรณ (2543, หน้า 32) ไดเ้ สนอแนะว่าผังมโนทัศน์สามารถนาไป ประยุกต์ใช้ได้เกือบ
ทกุ รายวิชาเพราะผังมโนทัศน์เป็นกระบวนการคิดท่ีเป็นประโยชน์ ทาให้ ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยความ
ต้งั ใจและมีความคงทนในการจาเรื่องที่อา่ นหรือศกึ ษาดังน้นั ผังมโนทศั นจ์ งึ มีประโยชน์ตอ่ การศึกษา
เรยี นรู้ ใชเ้ ป็นเครือ่ งมอื ในการสรปุ ความและรูก้ ารการคิดวิเคราะห์ได้
การประเมนิ ผังมโนทัศน์
Novak และ Gowin (อ้างใน จไุ รรตั น์ แสนมงคล, 2546, หนา้ 17) ไดเ้ สนอวธิ ีการ
ให้คะแนนตามองค์ประกอบของมโนทัศน์ดงั นี้
1. เน้ือความ เน้ือความที่แสดงถึงความสัมพันธ์กันอย่างถูกต้อง ให้คะแนน 1 คะแนน ต่อ 1
เนื้อความ
2. ลาดบั ขนั้ ผงั มโนทศั นม์ ลี าดับขน้ั ตอนของมโนทศั น์ตามลาดบั ความสาคญั จากมโนทัศนห์ ลกั ไปยัง
มโนทัศนร์ องและมโนทัศน์ย่อย ใหล้ าดับละ 5 คะแนน
19
3. ความสัมพันธร์ ะหวา่ งชุดหรือการเชือ่ มโยงขา้ มมโนทัศน์ เมอ่ื มกี ารเชื่อมโยง ความสัมพันธร์ ะหว่าง
ชดุ ท่ีมคี วามสาคัญและถกู ต้องให้ คะแนน 5 คะแนน ต่อความสัมพันธ์ ระหว่างชุด 1 ความสัมพันธ์
และถ้าความสัมพันธ์น้ันลูกต้อง แต่ไม่สาคัญ ให้คะแนน2 คะแนน การให้คะแนนความสัมพันธ์
ระหว่างชดุ นี้ ผสู้ อนตอ้ งใหค้ วามสนใจเป็นพเิ ศษ เพราะแสดงถงึ การคดิ สรา้ งสรรค์ของผู้เรียนจึงควร
ใหค้ ะแนนเพ่ิมเติมได้
4. ตวั อย่างของคามโนทัศนจ์ ะมีค่าเท่ากับ 1 คะแนน ตอ่ 1 มโนทศั น์ ตัวอย่าง เหลา่ นน้ั จะไม่เขียนไว้
ในกรอบเพราะไม่ใชค่ ามโนทัศน์
5. นอกจากเกณฑ์ข้อ 1-4 แล้ว อาจจะมกี ารสร้างผังมโนทศั นท์ ่ใี ชเ้ ปน็ เกณฑ์ เพือ่ ให้คะแนนในแต่ละ
จุดได้
แสดงให้เหน็ ว่าในการประเมินผังมโนทัศน์นั้นมีคะแนนตามองค์ประกอบ เป็นการบอกถึงคุณภาพ
ของการสรา้ ง การเชื่อมโยงความสมั พันธ์ระหว่างมโนทัศน์ท่แี สดงถงึ ความคิดสรา้ งสรรค์ของผู้เรียน
การยกตัวอย่างและการใช้คามโนทัศน์
การศึกษาในครั้งนี้ ผ้วู ิจัยได้ทา่ การประเมนิ ผังมโนทัศนข์ องนกั เรียนในแผนการจัด
กจิ กรรมการเรียนรู้ แผนที่ 8 โดยปรับใช้เกณฑ์ดงั กล่าวขา้ งต้น งานวิจัยทีเกี่ยวข้องกับการอ่านและ
ผงั มโนทศั น์การศกึ ษาครง้ั นี้ ผู้วิจัยได้ศกึ ษางานวิจยั ท่ีเก่ียวกับการใช้ผงั มโนทศั นใ์ นการเรยี นการสอน
ท้งั ในประเทศและต่างประเทศดังน้ี
Halley (อา้ งใน นงลกั ษณ์ เฉลียว, 2537) ได้ศกึ ษาผลการเรยี นรู้เก่ยี วกับ ความสามารถในการอ่าน
เพื่อจับใจความสาคัญ แล้วเขียนสรุปเร่ืองโดยการใช้แผนภูมิมโนทัศน์ กับเขียนสรุปเร่ืองโดยใช้
ข้อความ ผลการศกึ ษาพบวา่ นกั เรียนทีเ่ ขยี นสรุปโดยการใชแ้ ผนภูมิ มโนทัศน์จะสามารถจับใจความ
สาคัญได้ดีกว่านักเรียนท่ีเขียนสรุปโดยใช้ข้อความ Foley (1978) ได้ท่าการวิจัยเร่ืองผลการใช้
แผนภูมิมโนทัศน์ท่ีมีต่อการอ่านของ นักเรียนระดับมัธยมศึกษา โดยแบ่งกลุ่มนักเรียนในงานวิจัย
ออกเปน็ 3 กล่มุ แล้วให้ฝึก กิจกรรมการอ่านที่มีความแตกต่างกันออกไป คือกลุ่มที่ 1 ‘ฝึกการใช้
แผนภมู โิ นทัศน์ อย่างเข้มโดยใหฝ้ กึ สรา้ งแผนภมู ิมโนทศั นต์ ั้งแต่ขัน้ เรม่ิ ค้นจนสามารถสร้างผังได้ด้วย
ตนเอง กลุ่มท่ี 2 ฝกึ สรา้ งแผนภมู ิมโนทศั นแ์ บบการไดร้ บั การช่วยเหลอื แนะนา โดยใหน้ ักเรียนเติมคา
มโนทศั นใ์ นแผนภูมิมโนทศั น์ทผ่ี ู้วจิ ัยสรา้ งเตรยี มไว้ สว่ นกลุ่มท่ี 3 ไม่ใชแ้ ผนภูมมิ โนทัศน์ ในการสอน
แต่สอนโดยวิธีให้ตอบคาถามเก่ียวกับเน้ือเร่ืองที่อ่าน ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มท่ี หน่ึงสามารถจดจา
สาระของเน้ือหาทอี่ ่านได้ดีกวา่ สองกลุ่มหลัง อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถิติ
ทิวาวรรณ ภาสุคา (2544) ได้ศึกษาผลการใช้ผงั มโนทัศน์เร่ือง ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติต่อระดับ
การคิดของนักเรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 โดยใช้ แผนการสอนวชิ าสิง่ แวดล้อมศึกษาที่ใช้เทคนิคการ
สรา้ งผังมโนทัศน์ ผลการวจิ ัยพบว่านักเรยี นทีเ่ รยี นโดยการใช้ผังมโนทัศน์มีระดบั การคิดหลงั เรยี นสูง
20
กว่ากอ่ นเรยี นซง่ึ กอ่ นเรยี นนักเรยี นมรี ะดบั การคิดอยูใ่ นระดบั ความเข้าใจ แต่หลงั เรียนระดบั การคิด
ของนักเรียนอยู่ในระดับการนาไปใช้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า เสถียร ณ เชียงใหม่
(2541) ได้ศกึ ษาผลการใช้แผนภูมมิ โนทัศน์ท่มี ีตอ่ การเขยี นเรยี งความวชิ าภาษาไทยของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปที ่ี 6 ผลปรากฏวา่ นกั เรียนทีเ่ รยี น การเขียนเรียงความโดยใช้แผนภูมิมโนทัศน์ช่วยใน
การเรยี งความ มผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และพัฒนาการทางการเขียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนการ
เขียนเรยี งความแบบปกติ
สรปุ ผลจากการศึกษาและงานวิจยั ดังกลา่ วข้างต้นพอสรุปได้ว่าการใช้ผังมโนทัศน์
มีประโยชน์ต่อการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน ทัง้ ดา้ นการอ่านเพอื่ จับใจความสาคญั การเขียนสรปุ
ความ และการสง่ เสริมระดบั การคดิ ของนกั เรียน ทั้งนเี้ นื่องจากกจิ กรรมการใช้ ผังมโนทัศน์ ช่วยให้
นักเรียนสามารถเชื่อมโยงความคิด และจดจาสาระของเน้อื หาได้ทาให้ผลสมั ฤทธิ์ความเช้าใจในการ
อ่านสูงขึ้น นักเรยี นเขียนสรุปความไดด้ ีขน้ึ เพราะสามารถ มองเหน็ ภาพรวมได้ชัดเจน นอกจากนี้ยัง
ช่วยให้นักเรยี นมีการพฒั นาดา้ นระดบั การคิดทส่ี งู จาก ระดบั ความเข้าใจเป็นระดับการนาไปใช้การ
วิเคราะห์และการประเมินค่า ทาให้นักเรียนมีความคงทนในการจาเนื้อเร่ืองท่ีอ่านและช่วยพัฒนา
ความสามารถในการอ่านของนักเรียนได้
21
บทที่ 3
วธิ ดี าเนินการศึกษา
ในการศกึ ษาการอ่านภาษาองั กฤษเพื่อความเขา้ ใจของนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่
6/9โดยใชผ้ งั มโนทศั น์ มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่อื เปรยี บเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพอื่
ความเข้าใจของนักเรียนกอ่ นและหลงั การใชผ้ ังมโนทัศน์ ผูว้ จิ ัยไดด้ าเนนิ การดงั นี้
ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง
ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่างประกอบด้วย
1 ประชากร
ประชากรทใ่ี ช้ในการศึกษาครงั้ น้ี เปน็ นักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6/9 จานวน 35 คน ท่ีเรียน
รายวชิ า Eng3202: Creative English2 ภาคเรียนที่ 2 การศกึ ษาในคร้ังนเ้ี ป็นการศึกษาเพอ่ื พฒั นา
ผูเ้ รยี นโดยใชก้ ลมุ่ ทดลองกลมุ่ เดียว
2 ตวั แปรท่ีศกึ ษา
ตัวแปรต้น ไดแ้ ก่ การสอนการอ่านภาษาองั กฤษเพื่อความเข้าใจ โดยการใชผ้ ัง
มโนทัศน์
ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ ความสามารถในการอา่ นภาษาองั กฤษเพอื่ ความเข้าใจ
3.ระยะเวลาในการทดลอง
ดาเนนิ การทดลองในภาคเรียนที่ 2ปกี ารศึกษา2564เปน็ ระยะเวลา8 สัปดาหส์ ปั ดาห์ละ2ชวั่ โมง
4.เนอ้ื หาที่ใช้ในการทดลอง
เน้ือหาในการศกึ ษาครงั้ นเ้ี ปน็ เนอื้ หาท่ใี ช้ในการจัดการเรยี น การสอนการอา่ นเพอื่ จบั
ใจความสาคญั โดยใช้แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ทใี่ ช้ผงั มโนทศั น์เพอื่ สง่ เสรมิ ความสามารถใน
การอ่านโดยเนอื้ หาประกอบดว้ ย
4.1 บทอ่านภาษาองั กฤษจานวน 6 เรื่อง ที่ผ้วู ิจัยไดค้ ดั เลือกจากแบบเรยี น ภาษาองั กฤษ
ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ และหนังสอื อา่ นประกอบวชิ าภาษาอังกฤษซ่งึ มีเนือ้ หาคาศัพทแ์ ละ
โครงสร้างไวยากรณ์ทีม่ ีความยากงา่ ยใกลเ้ คียงกบั ที่กาหนดไว้ในหลักสตู รระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี
6/9
4.2 เนอ้ื หาเกี่ยวกบั การใชผ้ ังมโนทัศนท์ ีแ่ สดงความเข้าใจในการอ่าน
ข้นั ตอนในการศกึ ษา
22
ผูว้ ิจัยได้ดาเนินการตามช้ันตอนดังน้ี
1. กาหนดกลมุ่ ตวั อยา่ ง ผวู้ ิจัยไดก้ าหนดกลุ่มตัวอย่างจากการสุ่มอย่างง่ายโดยการจับคัดเลือกจาก
นกั เรียนที่ผ้วู ิจยั รับผิดชอบสอนอยู่และมีคะแนนเฉลี่ยของความสามารถในการเรียนอยู่ในระดับที่
ต่างจากห้องเรยี นอ่ืน
2. ศกึ ษาหลกั การทฤษฎที เ่ี กยี่ วขอ้ งลบั การพัฒนาการอา่ นภาษาองั กฤษ
3. สรา้ งเคร่อื งมอื ในการพัฒนา ผู้วิจัยได้ดาเนินการสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และสร้าง
แบบทดสอบโดยศึกษาจุดประสงค์การอ่านจากหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐานพุทธศักราช2544
ศกึ ษาคาศพั ท์และโครงสร้างไวยากรณ์พื้นฐานในระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากวารสาร เอกสาร
และหนงั สอื เรียนเพื่อเปน็ แนวทางในการคดั เลือกเนือ้ หาท่ีจะใช้ประกอบในแผนการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้และสร้างแบบทดสอบหลังจากนั้นจึงสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และแบบทดสอบ
ตามแนวการเรียนการสอนการเขียนผังมโนทัศน์และการสร้างแบบทดสอบ
4. ทาการสอนตามแผน ผู้วจิ ยั ไดด้ าเนินการพฒั นาตามแผนการจัดกจิ กรรม
การเรียนรู้ท่ีสร้างขึ้นจานวน 8 แผน แผนละ 2 ชั่วโมงซ่ึงผ่านการตรวจสอบคุณภาพและความ
เท่ียงตรงตามเนอ้ื หาจากผเู้ ชี่ยวชาญแล้ว ซ่งึ ไดแ้ สดงผลการตรวจสอบไว้ในภาคผนวก ง
5. ประเมินผลการพฒั นาผู้วิจัยได้ประเมนิ ผลการพัฒนาโดยใชแ้ บบทดสอบ ก่อนเรยี นและหลงั เรยี น
มกี ารบนั ทกึ ผลจากการสังเกตพฤตกิ รรมของผเู้ รียนในระหวา่ งการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนและ
ประเมินผงั มโนทศั น์ในแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรแู้ ผนท่ี 8
23
เคร่ืองมอื ทใี่ ชใ้ นการศึกษา
เครือ่ งมอื ทีใ่ ช้ในการศกึ ษาคร้ังนเี้ ป็นเครอื่ งมือทผี่ ้วู ิจัยสรา้ งข้ึนเองประกอบดว้ ย
1. แบบทดสอบวัดความเขา้ ใจในการอ่านกอ่ นและหลังการใช้ผังมโนทศั น์ ในการสอนอา่ นเปน็ แบบ
ปรนัย 4 ตวั เลอื ก จานวน 20 ขอ้ ซ่ึงได้หาความเชอ่ื มัน่ และ
ระดับความยากง่ายของแบบทดสอบแล ะผ่านการตรวจของผู้เช่ียวชาญแล้วซ่ึงได้แสดงผลไว้ ใน
ภาคผนวก ง
2. แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ที่ใช้ในการทดลอง เป็นแผนที่ว่าด้วยการอ่านโดย ใช้ผังมโนทัศน์
จานวน 8 แผน แผนละ 2 ชวั่ โมง ซ่งึ ในแตล่ ะแผนประกอบด้วยเน้ือหาส้ันๆ มีมโนทัศน์ประกอบไม่
มากจนเกินไป มคี วามเหมาะสมกบั ความตอ้ งการความสนใจและความรู้ความสามารถของผู้เรียนมี
ลักษณะเป็นข้อเทจ็ จรงิ หรอื เปน็ เนื้อหาเก่ียวกับแนวคิดพื้นฐานหลักการและความคิดรวบยอดโดย
หลงั จากท่นี ักเรยี นได้เรยี นรเู้ ร่อื งความหมาย ลักษณะและองค์ประกอบของผังมโนทศั น์แลว้ ผวู้ จิ ัยจะ
ให้นกั เรยี นร้กู ารอ่านบทอ่านแลว้ ทา แบบรู้การหัดโดยการเติมคามโนทัศน์และคาเชื่อมมโนทัศน์ลง
ในผงั ท่ีกาหนดให้ โดยเร่ิมจาก บทอา่ นท่งี ่ายไปยังบทอา่ นทม่ี คี วามซบั ซ้อนมากขึน้ จนกระทั่งนกั เรียน
สาม าร ถส ร้าง ผัง ม โ นทั ศน์จ ากบ ท อ่านได้เ อง ซึ่ง แผ นก าร จัดกิจ ก ร ร ม ก าร เ รี ยนรู้แต่ล ะแผ นมี
รายละเอยี ดดงั นี้
แผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ่ี 1-2 เปน็ แผนทีแ่ นะนาใหน้ กั เรียนรู้จกั ผงั มโนทศั น์ในเร่อื ง
ทเี่ กยี่ วกบั ความหมาย ลกั ษณะและองค์ประกอบ ส่วนแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนร้ทู ่ี 3 - 8 เปน็
แผนที่ผวู้ จิ ัยเน้นการรกู้ ารสร้าง ผังมโนทัศน์หลังการอา่ นบทอา่ นทก่ี าหนดให้การดาเนนิ การสอนตาม
แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
ที่ 3-8 มีขนั้ ตอนดงั น้ี
1.ขั้นกอ่ นการสรา้ งผังมโนทัศน์ เป็นขนั้ ท่ีนกั เรยี นอ่านบทอา่ นท่กี าหนดให้แลว้ หามโนทศั นช์ นดิ ตา่ งๆ
รวมทัง้ กาเชื่อมมโนทัศนเ์ พือ่ นามาจดั เป็นกลมุ่ ๆ
2.ขั้นสร้างผังมโนทศั น์ เป็นขน้ั ที่นักเรียนเติมกามโนทัศน์ชนิดต่างๆ ลงใน ผังมโนทัศน์ท่ีกาหนดให้
ซ่ึงผังมโนทัศน์ในแต่ละแผนจะรู้การให้นักเรียนเขียนผังตามองค์ประกอบที่กาหนดจากผังที่มี
รายละเอยี ดงา่ ยๆไปยงั ผังที่มีรายละเอียดที่ซับซ้อนขึ้น จนนักเรียนสามารถอ่านบทอ่านและเขียน
สรปุ เปน็ ผังมโนทัศน์ไดเ้ องท้งั หมด
3.แบบประเมินผงั มโนทัศน์ ในการศึกษาครั้งนผี้ วู้ ิจัยประเมนิ ผลความสามารถในการสร้างผงั มโน
ทัศนข์ องนักเรียนหลงั การอา่ นบทอ่านท่กี าหนดใหใ้ นแต่ละแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใช้
แบบประเมนิ ผงั มโนทัศนท์ ผ่ี ่านการตรวจของผูเ้ ชี่ยวชาญแลว้ ส่วนการให้คะแนนในการสร้างผงั มโน
ทัศน์ ผู้วิจัยใช้เกณฑก์ ารประเมนิ ความสามารถในการสรา้ งผงั มโนทัศนท์ ป่ี รบั มาจากหลักการให้
24
คะแนนผงั มโนทัศนท์ ่เี สนอโดย Novak และ Gowin (อ้างใน จไุ รรัตน์ แสนมงคล, 2546, หนา้ 17)
โดยประเมนิ ตามองค์ประกอบของ มโนทศั น์ ไดแ้ ก่ ความถูกตอ้ งและสมั พันธ์กันของเน้ือความ ให้ 1
คะแนนตอ่ เนอ้ื ความ 1 เนื้อความความถูกต้องของระดบั การลดหลั่นและการเชื่อมโยงมโนทศั น์ ให้
5 คะแนน ต่อ 1 ระดับ และความลกู ต้องของการยกตวั อยา่ ง ให้ 1 คะแนนตอ่ การยกตวั อย่าง 1
ตวั อย่าง
การสรา้ งเครอื่ งมอื
1. การสรา้ งแบบทดสอบวัดความเขา้ ใจในการอ่านเพอ่ื ใชท้ ดสอบกอ่ นและหลงั การทดลองมี
ข้นั ตอนดังน้ี
1.1 ศกึ ษาหลกั สตู รพทุ ธศักราช 2539 ในหลักสตู รมธั ยมศกึ ษาตอนต้น พทุ ธศกั ราช 2521
(ฉบับปรบั ปรงุ 2533) และหลกั สูตรการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2544 ที่เก่ยี วกบั การอ่านโดย
พิจารณาจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ลบั หลักการ และขอบข่ายของ เนือ้ หาสาระ
1.2 ศึกษาขอบขา่ ยของเนื้อหาวิชาจากหนงั สอื เรียนภาษาอังกฤษระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6
1.3 ศกึ ษานิตยสาร วารสาร หนงั สอื พมิ พ์ หนังสืออา่ นเพ่มิ เตมิ วชิ า ภาษาองั กฤษระดับชัน้
มธั ยมศึกษาปีที่ 6/9เพื่อคัดเลือกเร่อื งและคาศัพท์ทเ่ี หมาะสมลับ ระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6
1.4 ศึกษาเทคนคิ การสร้างแบบทดสอบและเทคนิคการวัดผล
1.5 สรา้ งแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านเพอ่ื ความเขา้ ใจ ชนิดเลือกตอบ
(Multiple Choice) 4 ตัวเลือก จานวน 35 ข้อ
1.6 นาแบบทดสอบวัดความสามารถในการอา่ นเพอ่ื ความเขา้ ใจให้ ผเู้ ชย่ี วชาญตรวจและ
แกไ้ ข แล้วนาแบบทดสอบมาแกไ้ ขปรับปรงุ ตามข้อเสนอแนะ
1.7 นาแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านเพือ่ ความเขา้ ใจไปทดลองใช้ กบั นักเรียน
ขั้นมัธยมศกึ ษาปีที่
6 โรงเรียนเตรียมอดุ มศึกษาพฒั นาการ นนทบรุ ี ท่ีไม่ใช่กลมุ่ ตัวอย่าง จานวน 180 คน
เพ่อื หาคา่ ความยากงา่ ย (p) และค่าอานาจจาแนก (r)
1.8 นาผลการทดลองมาปรบั ปรงุ คา่ ถามและตวั เลอื กโดยใชเ้ ทคนิค การวิเคราะห์รอ้ ยละ
25 ของกลุ่มที่ไดค้ ะแนนสงู กบั กลมุ่ ทไี่ ด้คะแนนต่าและหาคา่ ความยากงา่ ย (p) และคา่ อานาจจาแนก
(r) ของแบบทดสอบ คัดเฉพาะข้อทม่ี คี ่าความยากง่าย ในระดับ 0.20 - 0.80 และ ค่าอานาจจาแนก
,ในระดบั 0.20 ข้ันไป ไดข้ ้อสอบจานวน 20 ข้อ
1.9 นาแบบทดสอบวัดความสามารถในการอา่ นเพือ่ ความเขา้ ใจ ท่ีคัดเลอื ก จานวน 20 ขอ้
ไปหาคา่ ความเช่ือม่ันของแบบทดสอบ โดยใชส้ ูตรของคเู ดอร์ ริชาร์ตสัน(KR-20)
25
2. การสรา้ งแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ผ้วู จิ ยั ได้ดาเนนิ การสรา้ งแผนการจัด กจิ กรรมการ
เรยี นรทู้ ่ใี ชใ้ นการศกึ ษา ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี้
2.1 ศึกษาจุดประสงคก์ ารอ่าน จากเอกสารหลักสตู รช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 6/9เพอ่ื เป็น
แนวทางในการคดั เลอื กหรอื สร้างเนอ้ื หาทจี่ ะใชป้ ระกอบในแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
2.2 ศึกษาคาศพั ทแ์ ละไวยากรณ์พ้นื ฐานในระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 6/9เพอื่ เปน็ แนวทาง
ในการสร้างและคัดเลอื กเนอ้ื หา ทจี่ ะใช้ในแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
2.3 ศึกษาวารสาร หนังสอื เรยี น ตลอดจนหนังสอื อ่านเพม่ิ เติมตา่ งๆ เพ่ือคัดเลอื กเนอ้ื หาท่ี
เหมาะสมกบั ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6
2.4 สรา้ งแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามแนวการเรยี นการสอน การเขยี น ผงั มโนทัศน์
เพ่ือแสดงความสามารถในการอ่านเพื่อความเขา้ ใจ จานวน 8 แผน ดงั น้ี
2.4.1 แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ความหมายมโนทัศนแ์ ละคามโนทัศน์
2.4.2 แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ลักษณะคาเชือ่ มและคามโนทศั น์
2.4.3 แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ เร่อื ง The Plants
2.4.4 แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ เร่ือง Turtles
2.4.5 แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื ง Carrier Pigeons
2.4.6 แผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ เรอื่ ง Frozen Food
2.4.7 แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ เรื่อง The Great Wall of China
2.4.8 แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรื่อง The Inuit
2.5 นาแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ไปใหผ้ เู้ ชี่ยวชาญตรวจสอบคณุ ภาพ และความ
เที่ยงตรงตามเน้อื หาแล้วนามาแกไ้ ขตามคาแนะนา และปรับปรงุ แกไ้ ขให้เหมาะสม เพอ่ื ทีจ่ ะนาไปใช้
กบั กลุ่มตัวอยา่ ง
3.การตรวจสอบคณุ ภาพของแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ผวู้ จิ ยั ได้ทา การตรวจสอบดงั น้ี
3.1นาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรกู้ ลมุ่ ทดลองไปใหผ้ เู้ ชย่ี วชาญตรวจสอบ ความเหมาะสมและ
ความเทย่ี งตรงตามเนอ้ื หา ความครอบคลมุ ขององคป์ ระกอบตามเนื้อหาสาระแล้วนามาปรบั ปรงุ
แกไ้ ขตามข้อเสนอแนะ
3.2 นาแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนร้ไู ปทดลองสอนกับนกั เรยี นทไี่ ม่ใช่กลมุ่ ตัวอย่างเพอื่ หา
ข้อบกพรอ่ ง
3.3 นาแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรูท้ ีไ่ ดท้ ดลองแลว้ มาปรบั ปรงุ แกไ้ ขข้อบกพร่องท่ีพบการเกบ็
รวบรวมข้อมูล
26
การศกึ ษาในครง้ั นไ้ี ดด้ าเนนิ การเก็บรวบรวมข้อมลู โดยผูว้ จิ ยั จะดาเนนิ การเกบ็ ข้อมลู ด้วยตนเองมี
ขั้นตอนใน
การดาเนนิ การดังน้ี
1.เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากนกั เรียนกลมุ่ ตัวอยา่ งโดยใชแ้ บบทดสอบกอ่ นเรียนและ
แบบทดสอบหลงั เรียน
2. ดาเนินการทดลองโดยมขี นั้ ตอนดังนี้
2.1 ทาการทดสอบก่อนเรียนกลมุ่ ตัวอยา่ งดว้ ยแบบทดสอบวัดความสามารถ ในการอา่ น
เพื่อความเข้าใจทผี่ ้วู จิ ยั สร้างข้ึน และได้ผ่านการตรวจของผู้เชยี่ วชาญแล้ว
2.2 ผู้วจิ ัยดาเนนิ การทดลองตามแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรูท้ ผี่ วู้ จิ ยั สร้างขนึ้ จานวน
8 แผน แผนละ 2 ชัว่ โมง จานวน 16 ชั่วโมง หลังแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ท่ี 8 ผู้วจิ ยั ไดใ้ ช้
แบบประเมนิ ผงั มโนทัศน์ในการประเมินผลงานของนักเรียน
3. ทาการทดสอบหลงั เรียนโดยใช้แบบทดสอบฉบบั เดียวกนั กบั ทใ่ี ช้ทดสอบ
กอ่ นเรียน
4. นาคะแนนที่ได้จากการทาแบบทดสอบก่อนและหลังการทดลองมาศึกษาเพื่อ
เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนทดส อบก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการทดสอบ ความมี
นัยสาคัญของความแตกตา่ งดว้ ยการทดสอบค่าที (t-test) พรอ้ มสรปุ ผลการบันทึกหลังการสอนและ
การประเมินผงั มโนทศั น์เพือ่ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ภาพรวมของความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อ
ความเขา้ ใจหลงั การใช้แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
วิธีการวิเคราะหข์ ้อมลู และสถิตทิ ีใ่ ช้
1. การวิเคราะหแ์ บบทดสอบเปน็ รายข้อ ผูว้ จิ ยั นาข้อสอบไปทดลองใชก้ บั นกั เรียน ข้นั มธั ยมศกึ ษาปี
ท่ี 6/9 โรงเรยี นเตรียมอุดมศกึ ษาพฒั นาการ นนทบุรี ทีไ่ มใ่ ชก่ ลุ่มตวั อยา่ ง 180 คน และนาคะแนน
ของนักเรียนมาคานวณหาค่าความยากง่ายค่าอานาจจาแนกและค่าความเชอื่ ม่ันของแบบทดสอบ
โดยใช้สตู รของคเู ดอร์ ริชาร์ตสนั 20
2. วิเคราะห์คะแนนก่อนเรียน เพ่ือแบง่ กลมุ่ ตามความสามารถของนกั เรียน คือ กล่มุ เกง่ กลุ่มปาน
กลางและกลุม่ ออ่ น โดยใช้เกณฑ์ดงั ต่อไปน้ี
คะแนน กลมุ่
11-20 เกง่
6-10 ปานกลาง
0-5 ออ่ น
27
3. วิเคราะห์คะแนนการพฒั นาหรือความตา่ งของคะแนนกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี น โดยใช้เกณฑ์
ดังต่อไปนี้
ร้อยละท่เี พ่ิมขนึ้ ระดับการพฒั นา
21 ขึน้ ไป ดมี าก
11-20 ดี
0-10 พอใช้
4. วิเคราะหค์ วามสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพอื่ ความเขา้ ใจของนกั เรียนจากการประเมนิ การ
สร้างผังมโนทศั น์ โดยใช้เกณฑก์ ารประเมนิ ดังตอ่ ไปน้ี
1.เน้อื ความ
- มีการเช่อื มโยงในแตล่ ะเนอ้ื ความที่สร้างข้ึน และมคี วามหมาย ถกู ต้อง ไดเ้ น้ือความละ 1
คะแนน
(คามโนทศั น์2คา ประกอบกบั คาเช่อื มมโนทศั น์ 1 คา ถอื เป็น 1 เนื้อความ)
2. ลาดบั ขน้ั หรอื การลดหลน่ั ของมโนทศั นแ์ ละการเชอื่ มโยงมโนทัศน์
- จัดระดบั คามโนทศั นไ์ ด้ลดหล่นั ถกู ตอ้ งตามลาดับความสาคัญ และมกี ารเชื่อมโยงมโนทศั น์ไดล้ กู
ต้อง ไดร้ ะดับละ 5 คะแนน
3. การยกตัวอย่างในผงั มโนทัศน์
- ยกตัวอยา่ งในผังมโนทัศนไ์ ดถ้ ูกต้อง ไดต้ วั อยา่ งละ 1 คะแนน
คะแนน ระดับคณุ ภาพ
36 ข้ึนไป ดีมาก
26-35 ดี
16-25 พอใช้
0-15 ปรบั ปรงุ
5. เปรยี บเทียบความแตกตา่ งของค่าเฉลย่ี ของคะแนนความสามารถในการอา่ น
เพื่อความเขา้ ใจก่อนและหลงั การทดลองของนกั เรยี นทเี่ รยี น โดยการเขียนสรปุ ความเขา้ ใจด้วย
ผงั มโนทัศน์ โดยทดสอบหาคา่ ที (t — test)
6. หาความสอดคลอ้ งและความเหมาะสมของแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ (IOC)
28
บทท่ี 4
ผลการวิเคราะห์ข้อมลู
การศกึ ษาเรอ่ื งการใชผ้ ังมโนทัศน์ในการพัฒนาทกั ษะการอา่ นภาษาองั กฤษเพ่ือความเข้าใจ
ของนกั เรียนชน้ั ในครง้ั นี้ผูว้ จิ ัยไดด้ าเนินการวิเคราะห์ข้อมูลและนาเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลดงั น้ี
ก.) ผลการเปรยี บเทียบความสามารถในการอา่ นภาษาอังกฤษกอ่ นและหลงั การใชผ้ งั มโนทศั นก์ อ่ น
ก าร ใช้ ผั ง ม โ นทั ศน์เ พ่ื อ พั ฒ นาทั ก ษะ ก าร อ่ านภาษา อั ง ก ฤษเ พ่ื อ ความ เ ข้ าใจ ขอ ง นั ก เ รี ยนชั้ น
มัธยมศึกษาปีท่ี 6/9 น้ัน ผู้วิจัยได้ทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบทดสอบ จานวน 20 ข้อ แล้วจึงนา
คะแนนที่ได้มาวิเคราะหแ์ บ่งกลมุ่ ผู้เรียนเป็น 3 กลมุ่ คอื กลมุ่ เกง่ กลมุ่ ปานกลางและกลุ่มอ่อน หลัง
การใช้ผังมโนทัศน์ดาเนินกิจกรรมการเรียนการสอนเสร็จสิ้น แล้วผู้วิจัยได้ ทดสอบหลังเรียนด้วย
แบบทดสอบชดุ เดียวกนั ลับการทดสอบกอ่ นเรยี นแลว้ นาผลต่างคะแนนท่ไี ด้มาวิเคราะหจ์ ัดระดบั การ
พฒั นาของผเู้ รยี นเป็น 3 ระดบั คือ ดีมาก ดี และพอใช้
ตาราง 1 เปรียบเทียบคะแนนกอ่ นเรยี นและหลงั เรียนและรอ้ ยละของคะแนนการพฒั นา
โดยใช้ผงั มโนทศั น์ของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 6/9 โรงเรยี นเตรียมอดุ มศึกษาพฒั นาการ นนทบรุ ี
คะแนน คะแนน ผลต่าง ระดับ
กอ่ นเรยี น ร้ รอ้ ยละ กล่มุ การ
ที่ หลงั เรียน ร้อยละ ของ ร้อยละ พัฒนา
(Pre-test) (Post คะแนน
ดมี าก
test) (D) ดีมาก
ดีมาก
15 25 ออ่ น 13 65 8 40 ดีมาก
27 35 ปานกลาง 13 65 6 30 ดีมาก
37 35 ปานกลาง 12 60 5 25
44 20 ออ่ น 11 55 7 35
56 30 ปานกลาง 13 65 7 35
29
ค คะแนน คะแนน ผลต่าง ระดับ
หลังเรยี น ร้ รอ้ ยละ ของ การ
ก่ กอ่ นเรยี น ร้อยละ กลุ่ม (Post คะแนน ร้ รอ้ ยละ พัฒนา
( Pre-test)
ปานกลาง test) (D) 30 ดีมาก
6 30 ปานกลาง ดี
8 40 ปานกลาง 12 60 6 20
7 35 ปานกลาง 12 60 4 30 ดีมาก
7 35 ปานกลาง 13 65 6 35 ดีมาก
6 30 ปานกลาง 14 70 7 35 ดมี าก
ปานกลาง 13 65 7 15
10 50 ปานกลาง 13 65 3 25 ดี
9 45 ปานกลาง 14 70 5 25 ดีมาก
8 40 ปานกลาง 13 65 5 30 ดีมาก
6 30 ปานกลาง 35 ดมี าก
6 30 ปานกลาง 12 60 6 30 ดีมาก
8 40 ปานกลาง 13 65 7 30 ดีมาก
6 30 ปานกลาง 14 70 15 ดมี าก
7 35 6 30
เก่ง 12 60 6 15 ดี
6 30 เก่ง 10 50 3 15 ดมี าก
ปานกลาง 12 60 15
12 60 ออ่ น 15 75 6 35 ดี
11 55 ปานกลาง 14 70 3 25 ดี
ปานกลาง 3 ดี
9 45 เก่ง 12 60 3 20 ดมี าก
ปานกลาง 12 60 7 15 ดีมาก
5 25 ปานกลาง 13 65 5 40 ดี
8 40 4 30 ดี
12 60 3 ดมี าก
8 40 14 70 ดีมาก
11 55 14 70 8
6 30 15 75 6
9 45
30
ตาราง 1 เปรยี บเทยี บคะแนนกอ่ นเรยี นและหลงั เรียนและรอ้ ยละของคะแนนการพฒั นา
โดยใช้ผังมโนทศั น์ ของนักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6/9
โรงเรียนเตรียมอดุ มศึกพฒั นาการ นนทบรุ ี
ค คะแนน คะแนน ผลต่าง
ท่ี ก่ ก่อนเรยี น ร้อยละ กลมุ่ ห หลังเรียน ร้อยละ ของ รอ้ ยละ ร ระดบั
( Pre-test) ( Post คะแนน ก การ
T Test) (D) พฒั นา
ดีมาก
29 7 35 ปานกลาง 13 65 6 30 ดีมาก
ดีมาก
30 8 40 ปานกลาง 16 80 8 40 พอใช้
31 8 40 ปานกลาง 15 75 7 35 ดีมาก
พอใช้
32 12 60 เกง่ 14 70 2 10 พอใช้
25
33 7 35 ปานกลาง 12 60 5
34 11 55 เกง่ 13 65 2 10
35 13 65 เก่ง 15 75 2 10
X = 7.83 , SD = 2.19 X-13.09, SD= 1.27
จากตาราง 1 พบว่าโดยภาพรวมแลว้ ก่อนการใชผ้ ังมโนทัศน์ นักเรยี นสามารถทาคะแนนใน
การอ่านภาษาองั กฤษได้เฉลย่ี 7.83 (จากคะแนนเตม็ 20 คะแนน) นกั เรียน กลุ่มเก่ง มีจานวน 6 คน
นักเรยี นกลุ่มปานกลาง มีจานวน 26 คน และนักเรียนกลุ่มอ่อน มีจานวน 3 คน ส่วนคะแนนหลัง
เรียน นักเรยี นได้คะแนนเฉลี่ย 13.09 และหลงั เรยี น นักเรียนทกุ กลุ่มจัดวา่ เปน็ ผู้เรียนในกลุ่มเก่งทุก
คนโดยนักเรียน 24 คน มีระดบั การพฒั นาอยใู่ น ระดบั ดีมาก 8 คน มรี ะดบั การพัฒนาดี และมีเพียง
3 คนท่ีมีระดับการพัฒนาพอใช้
31
คะแนน X SD t-test
ค่อนการทดลอง 7.83 2.19 16.94**
หลงั การทดลอง 13.09 1.27
**p< 01
ข.) การเปรียบเทียบความแตกต่างของความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ ก่อนและ
หลังการทดลองโดยใชผ้ งั มโนทัศน์ ตาราง2 แสดงค่าเฉล่ีย สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานและ
การทดสอบคา่ ทขี องคะแนนก่อนการทดลอง และหลังการทดลอง ก.)
ค.) จากตาราง 2 แสดงให้เห็นว่านักเรียนที่เรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์มีความสามารถในการ
อ่าน เพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าค่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ .01 โดย
ค่าเฉลี่ยของ คะแนนความสามารถในการอ่านเพ่ือความเข้าใจหลังการทดลองสูงกว่า
กอ่ นการทดลอง ผลการบนั ทึกหลงั สอนในแต่ละแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ หลังจาก
ท่ีผวู้ ิจัยไดด้ าเนนิ กจิ กรรมการสอนการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยใช้ผังมโน
ทัศน์แลว้ ผู้วิจัยได้บันทึกผลหลังการสอนท้ายแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ทุกแผน
เพื่อประเมนิ ผลการพัฒนาความสามารถในการอ่านของนกั เรียน
32
แผนที่ บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
1 เนื้อหา ความหมายมโนทัศนแ์ ละผงั มโนทัศนน์ กั เรยี นสว่ นใหญส่ ามารถบอกลกั ษณะ
และยกตัวอย่างผังมโนทศั น์ ไดถ้ กู ตอ้ ง มีนกั เรียน 5 คน ที่ยังไมค่ ่อยเข้าใจ เน่ืองจาก
ไมร่ ้คู วามหมายของคา นกั เรยี นใหค้ วามสนใจการทางานกลมุ่ การสร้างผงั แสดงความ
สัมพนั ธ์จากภาพ และสามารถทาไดล้ กู ต้องเกอื บทกุ กลมุ่ มี 1 กลุม่ ทยี่ งั ทาไมถ่ กู ตอ้ ง
ผ้วู จิ ัยจงึ ให้ ลองแก้ทาจากรูปภาพและกาหนดคาศัพท์ให้
2 เนอื้ หา คาเชื่อมและคามโนทัศน์
จากการท่ีนกั เรียนไดต้ อบขอ้ ซกั ถาม และร้กู ารแต่งประโยคจากคา ท่กี าหนดให้
นกั เรยี นสามารถบอกความแตกตา่ งระหว่างคามโนทศั นแ์ ละคาเช่อื มไดเ้ กือบทกุ คน
มีนักเรียน 3 คนที่ไม่เขา้ ใจ จงึ ให้เขียนขอ้ ความ จากคาศพั ทง์ า่ ย ๆ
3 เนอ้ื หา การสรา้ งผงั มโนทศั น์เรื่อง The Plants
นกั เรียนสามารถอา่ นขอ้ ความท่ีกาหนดให้ได้ทุกคนนักเรียนทุกคนสามารถสร้าง
ผังมโนทัศนไ์ ด้ มีข้อผิดพลาดเรอื่ งคามโนทศั น์รองและคาเชอื่ มมโนทัศนอ์ ยบู่ ้าง
ผู้วจิ ัยจงึ แกไ้ ขโดยให้นักเรียนรกู้ ารทาใบงานก่อนการนาเสนอ
4 เนอื้ หา การสร้างผงั มโนทัศน์เร่ือง Turtles
นกั เรยี นอ่านข้อความที่กาหนดให้ไดท้ ุกคน รวมถึงการอธบิ ายคาศพั ท์หาคาเช่อื ม
และเกอื กคามโนทัศนไ์ ดแ้ ตย่ ังไม่สมั พนั ธ์กันผู้วจิ ยั ไดใ้ ห้คาแนะนาในเรอื่ งการเรียงคามโน
ทศั น์ ผลปรากฏวา่ นักเรยี นทาไดด้ ขี ึ้นและสามารถแลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ และอาสาสมคั ร
มานาเสนอผลงานกันอยา่ งสนกุ สนาน
33
แผนท่ี บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
5 เนื้อหา การสรา้ งผังมโนทัศนเ์ ร่ือง Carrier Pigeons
นักเรียนสามารถอา่ นขอ้ ความทกี่ าหนดให้ไดท้ กุ คนและสามารถสื่อความหมาย
ของคาศพั ทย์ ากได้ดขี ้ึนและเลือกคามโนทศั น์นามาสรา้ งผงั มโนทัศน์ไดค้ รอบคลมุ ขน้ึ จะมี
ปัญหาในสว่ นของการใช้เส้นเช่ือมโยงคามโนทัศนแ์ ละการเขยี นคาเชอื่ มได้แกไ้ ขปัญหาโดย
ใหน้ กั เรียนศึกษาจากผลงานของเพือ่ นและรกู้ ารทาใบงานทกี่ าหนดใหก้ อ่ นลงมอื สร้าง
ผงั มโนทศั น์
6 เนื้อหา การสร้างผังมโนทัศน์เรื่อง Frozen Food
นกั เรียนสามารถส่อื ความหมายของคาศพั ท์ได้เกอื บทุกคนมนี กั เรยี น
2 คนทส่ี ่ือความหมายไม่ได้จงึ อธิบายโดยการยกตัวอยา่ งคาศพั ท์การเลอื กคามโนทัศนเ์ พอื่
นามาสร้างผงั นักเรียนทกุ คนทาได้ครอบคลมุ มากขึ้นการใช้เส้นเช่อื มโยงคามโนทศั น์และ
การกาหนดคาเชอื่ มบนเสน้ เชอื่ มโยงทาได้ดีขน้ึ มีขอ้ ผิดพลาดเพียงเล็กนอ้ ย
7 เนื้อหา การสรา้ ง ผงั มโนทัศนเ์ รอื่ ง The Great Wall of China
นกั เรียนสามารถสรา้ งผังมโนทศั นไ์ ด้อยา่ งหลากหลายรปู แบบและครอบคลุม
มากขึน้ การเลอื กคามโนทศั น์และการใช้คาเชือ่ มมโนทัศน์ สมั พันธ์และส่ือความหมายของ
เนือ้ เรื่องไดด้ ีเกือบทกุ กลมุ่ มีนกั เรียน 2 กลุ่มทย่ี งั ใช้เส้นเชอื่ มโยงไมถ่ กู ตอ้ งผู้วจิ ัยจงึ ใหก้ าร
ใชเ้ ส้นเชื่อมโยงคามโนทศั น์และให้คาแนะนาเรื่องการใช้เสน้ เช่อื มโยงคามโนทศั น์
8 เนอ้ื หา การสร้างผงั มโนทศั นเ์ รอ่ื ง The Inuit
นกั เรียนสามารถสร้างผังมโนทศั นไ์ ดอ้ ย่างหลากหลายรูปแบบและครอบคลมุ
เกือบทงั้ หมดการเชอ่ื มโยงมโนทศั น์ ได้ความหมายและสัมพนั ธ์กันเกือบทุกกลุ่มและจาก
การประเมนิ การสรา้ งผังมโนทัศน์ของนักเรยี นแตล่ ะกลุ่มพบว่านักเรียนทกุ กลมุ่ ผ่านเกณฑ์
การประเมิน
จากตาราง 3 พบว่าจากการเรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์ตามแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แต่ละแผน
นักเรียนสามารถเรียนรู้และปฏิบัติกิจกรรมจนบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ได้และโดยภาพรวม
นักเรียนมกี ารพฒั นาความสามารถในการอา่ นดขี ึ้นโดยลาดบั
34
ง.) ผลการประเมินการสรา้ งผังมโนทัศนข์ องนักเรียนตามแผนการจัดกจิ กรรม
การเรยี นรู ้ แผนที่ 8
หลังจากท่ีผวู้ จิ ยั ไดท้ าการสอนตามแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ แผนที่ 8 และได้
บันทึกผลการสอน ตามท่ีปรากฏในตารางที่ 3 ผ้วู ิจัยไดป้ ระเมินการสร้างผังมโนทัศน์ของกลุ่ม
นักเรยี น 7 กลุ่ม ซ่งึ แตล่ ะกลุ่มมจี านวนสมาชิก 5 คน โดยใช้เกณฑ์การประเมนิ ผงั มโนทศั น์และ
คะแนน คะแนน ลาดบั คะะแนน คะแนน ระดับ
กลมุ่ ข้อความ กาเชรล่ือดมหโยล,ง่ันมแโลนะทกศั านร์ รวม คณุ ภาพ
การยกตวั อย่าง
ในผงั มโนทศั น์
1 7 20 2 29 ดี
2 7 20 3 30 ดี
3 7 25 3 35 ดี
4 25 2 35 ดี
8 4 38 ดมี าก
5 9 25 4 38 ดมี าก
6 9 25
3 41 ดมี าก
7 8 30
X =35.14
จากตาราง 4 พบว่านักเรยี นสามารถทาคะแนนในการสร้างผังมโนทัศน์จากการอ่าน
บทอ่านทีก่ าหนดให้ไดค้ ะแนนเฉลยี่ 35.14 และผลการจดั ระดับคุณภาพจากคะแนนการสร้าง
ผังมโนทัศน์ของนกั เรยี นแต่ละกลมุ่ โดยภาพรวมนักเรียนมีระดบั คุณภาพดี
35
บทที่ 5
สรุป อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ
การค้นคว้าแบบอิสระเรื่อง การใช้ผังมโนทัศน์ในการพัฒนาทักษะการอ่าน
ภาษาองั กฤษ เพอ่ื ความเขา้ ใจของนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 6/9 มีวัตถปุ ระสงค์เพื่อเปรียบเทียบ
ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเขา้ ใจของนักเรยี นกอ่ นและหลงั การใชผ้ ังมโนทศั น์
กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการพัฒนาในคร้ังนี้คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ปีท่ี 6/9 ภาคเรียนที่ 2 ปี
การศึกษา 2564 โรงเรียนเตรียมอดุ มศึกษาพัฒนาการ นนทบุรี จานวน 35 คน ซ่ึงได้มาจากการ
ส่มุ อยา่ งงา่ ยโดยการจับฉลาก เคร่ืองมือท่ีใช้ในการศึกษา ประกอบด้วยแผนการจัดกิจกรรมการ
เรยี นรตู้ ามแนวการเรยี นการสอนการเขยี นผังมโนทศั น์เพ่ือสรุปความเข้าใจในการอ่าน จานวน 8
แผน แผนละ 2 ช่ัวโมง แบบทดสอบ วัดความสามารถการอ่านเพ่ือความเข้าใจ จานวน 20 ข้อ
และแบบประเมนิ ผังมโนทศั น์ ผูว้ จิ ัยได้เก็บและรวบรวมขอ้ มูล ด้วยตนเอง โดยการนาแบบทดสอบ
วัดความสามารถ ในการอ่านเพ่ือความเข้าใจไปทดสอบก่อนการสอนกับนักเรียนที่เป็นกลุ่ม
ตวั อยา่ ง หลังจากนน้ั ไดด้ าเนนิ การสอนนักเรยี นที่เป็นกล่มุ ตัวอยา่ งโดยใชแ้ ผนการจดั กจิ กรรมการ
เรยี นรู้ท่สี รา้ งขน้ึ จานวน 8 แผน แผนละ 2 ช่ัวโมง บันทึกการสอนหลังแผนการจัดกิจกรรมการ
เรียนรูแ้ ลว้ ทาการทดสอบดว้ ยแบบทดสอบฉบบั เดมิ นาขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการทดสอบก่อนเรียนและ
หลงั เรยี นไปวิเคราะห์โดยการหาค่าเฉล่ยี ร้อยละของคะแนนการพัฒนา ส่วนเที่ยงเบนมาตรฐาน
(SD) และเปรียบเทียบความแตกต่างคา่ ที (t- test)
สรปุ ผลการศกึ ษา
การศกึ ษาครั้งนี้ เปน็ การศึกษาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ
ของนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 6/9 โดยการใช้ผังมโนทัศน์ ผลการศึกษาพบวา่
1. นักเรียนมีการพัฒนาความสามารถในการอ่านเพ่ือความเข้าใจโดยการเขียนสรุป
ด้วยผงั มโนทศั น์ดีขึน้
2. นักเรยี นทไ่ี ด้พัฒนาการอ่านด้วยผงั มโนทัศน์มผี ลสัมฤทธิ์ทางการอ่าน หลัง การเรียน
สูงกว่าก่ อนการ เรียนอย่ างมีนัย สาคัญทา งสถิติที่ .01 บ รรลุวัต ถุประสง ค์ที่ต้ังไว้
อภปิ รายผล
ผลการเปรียบเทยี บความสามารถในการอา่ นภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนและหลังการใช้
ผังมโนทศั น์
1. ผลสัมฤทธ์ิด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังการทดลองสูงกว่าล่อน การทดลอง
อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิตทิ ่ี .01 ทเ่ี ป็นเช่นน้เี พราะกิจกรรมการสรา้ งผงั มโนทัศน์ นั้นจะเรมิ่ จากการอา่ นแล้วทา
ความเข้าใจลบั เนอ้ื หาท่กี าหนด และปฏบิ ตั ติ ามหลักของการอา่ น เพอ่ื ความเขา้ ใจ โดยให้นักเรยี นแกการค้นหา
ใจความสาคัญของเร่อื งแล้วพิจารณาเลอื ก มโนทัศนจ์ ากเน้อื หาซง่ึ จะชว่ ยใหน้ ักเรียนไดศ้ กึ ษาและสามารถหาคา
ที่เป็นคาหลัก หรอื คาสาคัญของเร่ือง และคาเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็คือคามโนทัศน์ของเร่ืองน่ันเอง หลังจากที่
นกั เรยี นหาคามโนทศั นไ์ ดแ้ ลว้ ก็ใหน้ ักเรยี นนาคาเหล่าน้ันมาจดั เรียงลาดบั คามโนทศั น์
ซง่ึ เปน็ กจิ กรรมท่ีช่วยเสริมใหน้ ักเรียนไดฝ้ ึกทกั ษะการหาความสัมพันธ์ท่มี ีความหมายทางภาษาของ
เร่อื งที่อา่ นไดอ้ ยา่ งต่อเนื่องตามลาดับ ทาให้เกดิ ความเข้าใจในการอ่านและสามารถหาคาเพื่อเชือ่ มคามโนทัศน์
ซงึ่ อาจมีมากกว่าสองคาข้ึนไป เพอ่ื สรา้ งเนื้อความ หรือ ประโยคท่ีมีความหมายและสัมพันธ์กับเรื่องท่ีอ่านใน
การทากิจกรรมการสร้างผังมโนทัศน์ ผู้วิจัยได้ฝึกให้ผู้เรียนได้สร้างผังมโนทัศน์เป็นรายบุคคล เป็นคู่และเป็น
กลมุ่ เพ่ือให้นักเรยี น เกดิ การคดิ อยา่ งเปน็ ระบบ มคี วามกลา้ ท่จี ะแสดงความคดิ เหน็ และยอมรบั ฟังความคิดเห็น
ของผู้อืน่ เพราะการสร้างผงั มโนทัศนจ์ ะชว่ ยใหเ้ กดิ การถา่ ยทอดความคดิ และความเข้าใจ จากเนอื้ หาทอ่ี า่ นไดด้ ี
ซ่งึ สอดคลอ้ งกับผลการวจิ ยั ของ วราวุฒิ สรุ ยิ ะปอ้ (อา้ งใน จไุ รรตั น์ แสนมงคล, 2546, หนา้ 3) ท่ีศึกษาผลการ
ใชผ้ งั มโนทศั นส์ มั พันธ์ในการสรุปบทเรยี นวชิ า วิทยาศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 ผลปรากฏวา่ การสอน
โดยใชผ้ งั มโนทัศน์เป็น กจิ กรรมหนงึ่ ทฝี่ ึกใหน้ ักเรียนได้คิดอยา่ งมีระบบ นอกจากนักเรียนจะสามารถจัดลาดับ
การคดิ ไดแ้ ลว้ นกั เรียนยังไดฝ้ กึ การเชือ่ มโยงมโนทัศน์ ระหว่างมโนทัศน์หลักและมโนทัศน์รอง ในขณะเดียว
คันดว้ ย เปน็ การคดิ อยา่ งมเี หตุผลว่ามโนทัศนใ์ ดเปน็ ผลระหว่างคนั จงึ ทาให้ นักเรยี นมีความเข้าใจในเนื้อหาได้
อย่างลกึ ขงึ้ และมีความหมาย ซง่ึ สอดคลอ้ งกับทฤษฎีพื้นฐาน การเรียนรู้อยา่ งมคี วามหมายของ Ausubel (อ้าง
ใน Nowak & Gowin, 1986, หน้า 47)ที่กล่าวว่าผังมโนทัศน์ เป็นตัวแทนที่ดี ในการแสดงให้เห็นถึง การ
เรียนรูท้ ่ีจะเกิดขึ้นได้ ล้าความรใู้ หมส่ ามารถเชื่อมโยงกับความรู้เติมท่ีมีอยู่ก็จะทาให้ความรู้นั้นขยายออกไปได้
เรือ่ ย ๆ จากเหตผุ ลดงั กล่าวทาให้นักเรยี นท่ีเรยี นการอา่ นแล้วเขียนสรุปความดว้ ยผงั มโนทัศน์ มีความสามารถ
หลังการทดลองสงู กว่าล่อนการทดลอง
นอกจากน้ี เมื่อพิจารณาผลของความแตกต่างของคะแนนทดสอบก่อนและหลังเรียน ซ่ึงผู้วิจัย
กาหนดให้เปน็ ระดบั การพัฒนาความสามารถกพ็ บวา่ ผู้เรยี นเกินกวา่ ครึ่งทมี่ รี ะดับการพัฒนาอยู่ในเกณฑ์ดีมาก
มีผเู้ รียนไมถ่ ึงร้อยละ 10 ท่มี กี ารพฒั นาอยใู่ นระดบั พอใช้ทเี่ ป็น เชน่ น้เี พราะผเู้ รียนในกล่มุ น้ี เป็นผู้เรียนท่ีจดั อยู่
ในกล่มุ เกง่ อยแู่ ลว้ คะแนนสอบทัง้ กอ่ นและ หลังเรยี นอยู่ในเกณฑ์คะแนนทส่ี งู ซ่งึ สรปุ ได้วา่ การจัดกิจกรรมการ
เรียนร้โู ดยใช้ผังมโนทัศน์สามารถพัฒนาความสามารถในการอา่ นเพ่อื ความเขา้ ใจของผเู้ รยี นในระดับดีถงึ ดมี าก
2. ผลการบันทึกหลังการสอนในแต่ละแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จากการจัด กิจกรรมการ
เรียนรู้ที่แกและส่งเสริมให้นักเรียนได้ทางานร่วมกัน ตลอดจนได้แสดง ความคิดเห็นซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อ
ผเู้ รียนในการพัฒนาทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษ ในการจดั ให้นักเรยี นทากจิ กรรมร่วมกันในกลุ่ม ซ่ึงแตล่ ะกลุม่
จะมสี มาชกิ 5 - 6 คน ใชแ้ ผนการจัด กจิ กรรมการเรยี นรู้ทอ่ี าศยั หลักการสรา้ งผงั มโนทศั นพ์ รอ้ มหลักการสอน
การอา่ น เพอ่ื ความเข้าใจ คือเริม่ ตงั้ แต่สอนคาศัพท์ ประโยค และการจับใจความสาคัญของเน้ือเร่ือง ส่วนการ
สอนการสรา้ งผังมโนทัศน์ เร่มิ จากการสอนให้นักเรยี นเขา้ ใจมโนทศั น์ต่างๆ และ ความหมายของมโนทัศน์ ซ่ึง
นักเรยี นสว่ นใหญม่ คี วามเข้าใจในขน้ั ตอนเหลา่ น้ีดี แตอ่ าจจะมี ปัญหาบ้างในขันการเลือกคามโนทัศน์ท่ีสาคัญ
จากประโยคหรือขอ้ ความทอี่ า่ น การจดั เรียง มโนทัศน์ การจัดกลุ่มการเช่อื มโยงความสมั พันธ์ระหว่างมโนทศั น์
และการเลือกคาเช่อื ม มโนทัศน์จากการสังเกตุและสอบถามนักเรียนเป็นรายบุคคลได้ข้อค้นพบว่า จากการ
เรยี น โดยการใชผ้ ังมโนทศั นท์ าใหน้ กั เรยี นได้แสดงความคดิ เห็นรว่ มกนั ไดแ้ ลกเปล่ยี นเรยี นรู้และ ช่วยเหลือซึ่ง
กันและกัน และหลังจากส้ินสุดข้ันตอนการสร้างผังมโนทัศน์ นักเรียนจะร่วมกัน แสดงความคิดเห็นอย่างมี
เหตผุ ล มกี ารปรบั ปรุงผังมโนทัศน์เพือ่ สรุปความเข้าใจในการอ่าน ซึ่งข้ันตอนน้ีนักเรียนจะเข้าใจความสาคัญ
ของเรอ่ื งและความสัมพนั ธข์ องโครงเรือ่ งมากท่ีสดุ นกั เรยี นที่มคี วามสามารถในด้านการอ่าน หรือมีพื้นฐานใน
ดา้ นการอ่านมากอ่ นจะไม่มีปญั หาในการสร้างผังมโนทัศน์ ส่วนนกั เรียนที่ยังสับสนหรือไม่เข้าใจจะมีปัญหาใน
การเลือก คามโนทัศน์และคาเชือ่ มมโนทัศน์ เนือ่ งจากไม่เขา้ ใจความหมายของคาศัพท์ และประโยค ผู้วิจัยได้
แกป้ ัญหาโดยให้นกั เรยี น เรยี นรู้ความหมายของคาศัพท์และโครงสร้างประโยคทซ่ี บั ซ้อน แลว้ รู้การตอบคาถาม
จากเน้ือเรือ่ งเพื่อสรุปใจความสาคญั อกี ครั้งหนงึ่ หลังจากนั้นให้ นักเรียนรู้การสร้างผังมโนทัศน์เป็นกลุ่มพบว่า
นกั เรยี นสามารถสรปุ ใจความสาคัญของเรอ่ื งที่อ่านและสร้างผังมโนทศั น์ได้ดีขน้ั นักเรียนได้นาเสนอชิ้นงานทั้ง
งานเดยี่ ว งานคู่ และงานกล่มุ หนา้ ข้นั มกี ารอภปิ รายและหาข้อสรปุ เก่ยี วกบั ผังมโนทศั น์ท่ีสร้างข้ึนร่วมคันส่งผล
ให้นกั เรยี นมคี วามเขา้ ใจเกย่ี วกับการอา่ นและการสร้างผงั มโนทศั น์ยง่ิ ข้ัน
3. การประเมนิ ผังมโนทัศน์ของนกั เรยี นแต่ละกลมุ่ ในแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ แผนท่ี 8 โดย
ใช้เกณฑ์การประเมนิ ผงั มโนทัศน์ทีป่ รบั มาจากเกณฑ์การประเมินผงั มโนทัศน์ ของ Nowak & Gowin (อ้างใน
จุไรรตั น์ แสนมงคล, 2546, หนา้ 17) ซ่ึงไดป้ ระเมนิ ในด้านเน้ือความ ด้านการลาดับขั้นหรือการลดหลั่นและ
การเชอื่ มโยงมโนทศั น์ และ ดา้ นการยกตวั อยา่ ง กล่าวคือถ้ามกี ารเช่ือมโยงในแต่ละเน้ือความท่ีสร้างข้ึนและมี
ความหมาย ถูกตอ้ งจะได้เนื้อความละ 1 คะแนน ถ้ามีการจัดระดับคามโนทัศน์ได้ลดหลั่นถูกต้อง ตามลาดับ
ความสาคัญ และมีการเช่ือมโยงมโนทัศน์ได้ถูกต้อง จะได้ระดับละ 5 คะแนน ถ้ามีการยกตัวอย่างในผังมโน
ทัศน์ได้ลกู ตอ้ ง จะไดค้ ะแนนตัวอยา่ งละ 1 คะแนน ซึง่ การประเมนิ ผงั มโนทศั น์ได้ประเมินจากผลงานการสร้าง
ผังมโนทศั นเ์ พอื่ สรุปเร่ือง ท่อี า่ นของนกั เรยี นเป็นรายกลุม่
ผลการประเมนิ การสร้างผงั มโนทศั น์ของนกั เรียนแตล่ ะกลุ่ม โดยภาพรวมพบวา่ นักเรยี นส่วนใหญ่มี
ระดับคุณภาพอยูใ่ นระดบั ดี
จากการสังเกตุพฤติกรรมและบรรยากาศการเรียนรู้ในขณะท่ีดาเนินกิจกรรมการเรียนการสอน
ผู้วิจยั พบวา่ นักเรียนมคี วามสนใจสนุกสนานกบั การสรา้ งและปรบั ปรงุ ผงั มโนทัศนแ์ ละผ้วู ิจยั ไดส้ อบถามนกั เรยี น
ซงึ่ สว่ นใหญม่ คี วามคดิ เหน็ วา่ ชอบการเรียนโดยใช้ผังมโนทัศน์เพราะทาให้เข้าใจในเร่ืองท่ีอ่านทาให้นักเรียน
เห็น ความสมั พนั ธท์ ่ีเปน็ เหตุเปน็ ผลและได้ฝึกการคดิ อยา่ งมีระบบ
ข้อเสนอแนะ
การศกึ ษาในครง้ั นี้ผวู้ ิจยั มีขอ้ เสนอแนะ 2 ประเดน็ คอื
1. ขอ้ เสนอแนะเพ่อื การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
1.1 การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้โดยให้นักเรียนเขียนผังมโนทัศน์เพ่ือสรุป ใจความของเร่ืองท่ี
อ่านนน้ั ควรให้นักเรียนมเี วลาในการ'ฝึกใหม้ ากกว่าการศกึ ษาในครัง้ น้ี เพราะจะทาให้นักเรียนเกิดความเข้าใจ
และ เขยี นผังมโนทศั นไ์ ดถ้ ูกต้องยิ่งขั้น
1.2 เนื้อหาท่ีใช้ในการ'ฝึกสรา้ งผังมโนทศั นค์ วรเปน็ เร่ืองท่ีนักเรียนคุ้นเคยหรือมพี ้นื ฐานมา
บ้างเพื่อช่วยให้นักเรียนทาความเขา้ ใจในรายละเอียดไดง้ า่ ยข้ันและการสรุป เน้ือหาด้วยผงั มโนทัศน์ไม่ควร
จะมคี ามโนทศั น์มากจนเกนิ ไป
1.3 ควรให้นกั เรียนไดม้ สี ่วนร่วมในการเลอื กเนอ้ื หาหรอื เลอื กเน้อื หาเองเพอื่ เป็นการ‘ฝกึ ทกั ษะ
ในการสร้างผงั มโนทัศน์จากสงิ่ ท่ีตนเองชอบและสนใจ สว่ นปัญหาใน การสรา้ งผังมโนทัศน์ในระยะแรกที่พบคอื
นกั เรียนไม่เข้าใจความหมายของคาศัพทแ์ ละ ไม่สามารถเลอื กคาเช่อื มมโนทศั น์ท่ีเหมาะสมได้ ครคู วรเน้นเร่ือง
การสอนคาศพั ท์และ โครงสร้างประโยคให้นกั เรียนก่อน
2. ขอ้ เสนอแนะในการศกึ ษาคร้งั ต่อไป
2.1 ควรมีการศึกษาในลักษณะนีใ้ นระดบั ชั้นและรายวชิ าอ่นื ๆบา้ งเพราะจะเป็นการส่งเสริมให้
นักเรยี นได้รู้การการคดิ วิเคราะหแ์ ละเรยี นรอู้ ย่างมคี วามหมาย
2.2 ควรทาการศึกษาเกี่ยวกับผลที่เกิดขึ้นจากการใช้ผังมโนทัศน์ในด้านอื่นๆเช่นด้าน
กระบวนการปฏิบัติงานพฤติกรรมความสนใจและเจตคติ
ภาคผนวก
Reading Comprehension Test
Part I : Read the passage and then choose the best answer, mark X in the box under
the letter for items 1 – 5. ( 5 points)
Rules for growing old
1. Exercise according to your age and requirement. In our modern space age
there is a tendency to reduce exercise to a minimum. Make up for this by making
every movement you perform during the day and active movement whether it is
lifting, working or walking. Put your muscles to it so that you can get exercise out of
your daily activity as well as recreational sports. If you are over 40, don’t decide to
take up tennis or handball. Get out and walk. Walk briskly. This is an excellent form
of exercise. Don’t miss any opportunity to swim as swimming utilizes every muscle
and joint in your body.
2. Rest, relax. Find out how much sleep you need to feel your best and then go to
bed at a regular hour.
3. Don’t let little illnesses grow into big ones. If you have any pain or discomfort.
It is smart to consult your physician now and perhaps prevent a small illness from
becoming a big one.
(ดัดแปลงจากหนังสือเรียน ภาษาองั กฤษ อาน เขยี น อักษรเจรญิ ทัศน)
1. The person who is over 40 should exercise by …………………………………..
a. playing handball b. walking c. playing tennis d. running
2. What kind of exercise is good for every muscle ?
a. swimming b. walking c. playing handball d. playing tennis
3. You will have exercise if you ………………………………………..
a. sleep b. sit c. stand d. move
4. We should sleep ……………………………………………………..
a. according to the need of our bodies.
b. about 6 – 8 hours
c. as much as we can.
d. According to our time.
5. The word “physician” (line 12) means ………………………………
a. a nurse b. a teacher c. a doctor d. a patient
Part II : Read the passage and then choose the best answer, mark X in the box
under the letter for items 6 – 10 ( 5 points)
Some fact about dogs
Dogs are the oldest domestic animals. They are basically carnivorous. They can go
for long periods without food or water. Many dogs can go without eating for a week
without serious harm. When food is served, a hungry dog will gulp down large quantities
as rapidly as possible.Dogs can digest bones easily and can live almost exclusively on
fresh bones. But splintery bones may sometimes cause trouble. Dogs are able to
produce their own vitamin C, so they have no need for vegetables and fruits, but they
can eat them if nothing else is available. Most dogs, however, prefer meat to any other
kind of food.
6. The word “carnivorous” (line 1) means ……………..
a. plant – eating b. flesh – eating
c. ant – eating d. bone – eating
7. The word “domestic animals” (line 1) means ………………………..
a. working animals b. wild animals
c. animals in the farm or family d. ancient animals
8. Though the dogs don’t eat vegetables or fruits, but they can get vitamin C ……
a. from the other food b. from the bone
c. that they produced d. from the meat
9. Why will the dog gulp down large quantities of food rapidly ?
a. It wants to save food for its trip.
b. It’s in a hurry.
c. The food is delicious.
d. It’s hungry.
10. What kind of food do most dogs like to eat ?
a. vegetables b. meat
c. fruits d. fish
Part III : Read the passage and then choose the best answer, mark X in the box
under the letter for items 11 – 20. ( 10 points)
The Nile River
The Nile River makes life possible in Egypt. Every spring, the Nile overflows
its banks and waters the fields where the people grow their crops. If the Nile didn’t
overflow, all of Egypt would be a desert.In ancient times, the Nile watered enough
fields to grow crops for everybody in Egypt. But, there are many people living there.
They have had to build ditches and dams to hold all the water they need.In 1962, the
people of Egypt began working on a dam that would hold the water of Nile in a huge
lake. This lake would hold enough water to grow food for everybody in Egypt.The
people were happy about the dam, but one thing worried them. In southern Egypt,
where they were building the dam, there were many ancient temples and statues.
When the water rose, the temples and statues would be covered by the lake.When
they heard that the temple would be covered by the lake, people from all over the
world wanted to save it. In 1963, hundreds of workers from about fifty different
countries began working to move it. Carefully they cut the temple and the statues into
big blocks of stone. They numbered each block of stone and marked where it was in
the temple or statue. Then they use powerful cranes to lift the blocks to the top of a
high cliff where they rebuilt the temple and statues. Today visitors can go to Egypt and
see the temple and statues.
11. In spring the crops in Egypt get water from ?
a. the ditches b. the dam
c. the lake d. the overflow of the Nile river
12. “the Nile overflows its banks” (line 1 – 2) means the Nile ………………….
a. flows over the edges of its banks
b. flows through its banks
c. flows into its banks
d. flows along its banks
13. The word “ there” (line 5) means ………………………………
a. Egypt b. the Nile River
c. the field d. the ancient place
14. In southern Egypt, there were …………………………………….
a. the dam b. the deserts
c. the lake d. the ancient places
15. If the dam was built there will be ………………………………
a. the well b. the river
c. the lake d. the ditch
16. The temple and statues would be covered by the lake if …………………….
a. the dam was built b. the ditch was built
c. the well was built d. the Egyptians grew their crops
17. Why did the people in Egypt built the dam ?
a. To prevent the flood.
b. To lessen the desert area.
c. To prevent the Nile overflows its bank.
d. To hold the water for increasing crops.
18. Why were the temple and the statues moved?
a. To prevent them from being covered by water.
b. Because the visitors could visit them.
c. To grow more crops there.
d. To dig a lake at that area.
19. Where are those temples and statues now ?
a. Near the dam.
b. On the banks of the Nile River.
c. On the high cliff.
d. Near the Nile River.
20. Which is true according to the passage ?
a. The dam is a dangerous building.
b. Egyptians like to grow crops.
c. Egyptians like to raise animals.
d. Water is necessary for growing crops.
เฉลยแบบทดสอบวดั ความเขาใจในการอานภาษาอังกฤษ
1. b 11. d
2. a 12. a
3. d 13. a
4. a 14. d
5. c 15. c
6. b 16. a
7. c 17. d
8. c 18. a
9. d 19. c
10. b 20. D
บรรณานกุ รม
กรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2540). หลกั สูตรภาษาอังกฤษพุทธศักราช 2539 ในหลักสูตรพุทธศักราช
2521 (ฉบบั ปรับปรงุ 2533). กรงุ เทพฯ :
โรงพมิ พ์คุรุสภา.
กรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2545). หลักสูตรการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2544. กรุงเทพฯ : โรง
พิมพค์ รุ ุสภา.
การรียงสักด เจรญิ วงศส์ ักด. (2546). การคิดเชิงมโนทศั น์ (Conceptual Thinking).
กรุงเทพฯ : ซคั เซสมีเดยี .
จไุ รรตั น์ แสนมงคล. (2546). การใชแ้ ผนภมู มิ โนทศั น์เพื่อแสดงความสามารถในการอ่านในใจ ของนักเรียนขั้น
ประถมศกึ ษาปที ี่ 4. การค้นคว้าแบบอสิ ระศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าประถมศึกษา บัณฑิต
วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่.
ฉวีวรรณ คูหาภิบันพ์. (2542). การอ่านและส่งเสริมการอ่าน (Reading and Reading Promotion).
กรุงเทพฯ : โสภณการพมิ พ.์
มนัส บุญประกอบ. (2533). ยทุ ธศาสตร์ใหมท่ างการศกึ ษา ; แผนภมู ิมโนทศั น.์
วารสารสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 18(69), 26 - 29.
แม้นมาศ ชวลติ . (2544). แนวทางส่งเสริมการอ่าน. (ฉบับแก้ไขและเพ่มิ เติม).
กรุงเทพฯ : สานักพมิ พ์บรรณกิจ 1991 จากัด.
ละเอียด จุฑานันพ์. (2545). แนวทางการจัดการเรยี นการสอนวชิ าภาษาองั กฤษ
ตามหลกั สตู รภาษาอังกฤษ พุทธศักราช 2539. สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) กรุงเทพฯ :
สานกั พิมพ์เดอะมาสเตอร์กรุ๊ป แมฒจฌน้ ท์จากดั .
วราภรณ์ อรรถธรรมสนุ ทร. (2546). ผลการใชกจกรรมผังความสัมพันธ์ของความหมาย ท่ีมีต่อความเข้รู้ใจใน
การอ่านภาษาองั กฤษของนกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 6.
วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
วชิ ยั วงศ์ใหญ่. (2532). การเรียนการสอนความคิดรวบยอดและหลักการ. วารสารการวิจัย ทางการศึกษา.
19(3): 18-20.
ศรจี นั ทร์ เจิงกลิน่ จันทร.์ (2536). การอ่านและการสร้างนิสัยรักการอา่ น. กรุงเทพฯ :
ไทยวัฒนาพานชั .
สมทุ ร เซน็ เชาวนชั . (2542). เทคนคิ การอ่านภาษาองั กฤษเพื่อความเข้าใจ. Techniques for English
Reading Skill and Comprehension Development for Thai Students. สานกั พิมพ์
มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร.์
Collins, Normal Decker. (1994). Metacognition and Reading to Learn. Eric Digest.
[Online], Available : http://www.ed.gov.databases/ ERIC-Digests/ed3/642/html
(2005, August 24).
Folley, A. Elizabeth. (1978). “ The Effects of a Mapping Program on the Reading
Comprehension of Middles School Students”. Abstract International 47. (June)
476 - A.
Novak. Joseph and D. Gowin. (1986). Learning How to Learn. London: Cambridge University
Press.