โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ระเบียบปฏิบัติงาน เรื่อง : การใส่สายสวนปัสสาวะ ระเบียบปฏิบัติเลขที่ : WI-NSO-035 จำนวนหน้าทั้งหมด : 12 หน้า ปรับปรุงครั้งที่ : ทุก 1 ปี เรื่อง : การใส่สายสวนปัสสาวะ วันบังคับใช้ : 1 มีนาคม 2565 วันที่ปรับปรุง : 21 กุมภาพันธ์ 2565 สถานะของเอกสาร : ควบคุม ผู้จัดทำ : คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาล ผู้รับผิดชอบ : คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาล ผู้อนุมัติ .................................................. (นางสาวปัญญา เถื่อนด้วง) รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าพยาบาล
1 1. วัตถุประสงค์ ลดการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะ 2. นโยบาย โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก มีระบบการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาลที่ระบบ ทางเดินปัสสาวะที่ได้มาตรฐานสากล 3. ขอบข่าย - ใช้กับผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ในการใส่สายสวนปัสสาวะทุกราย - เริ่มตั้งแต่จัดเตรียมอุปกรณ์ จนกระทั่งลงบันทึกทางการพยาบาล 4. คำจำกัดความ การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะในโรงพยาบาล[Nosocomial urinary tract infections (UTIs)] หมายถึง การที่ผู้ป่วยมีการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะหลังจากที่อยู่โรงพยาบาลแล้ว 48-72 ชั่วโมงโดยอาจมี อาการ(Symptomatic UTIs) หรือไม่มีอาการ (Asymptomatic UTIs ) CA-UTI (Catheter associated Urinary Tract Infection) หมายถึง การที่ผู้ป่วยมีการติดเชื้อของ ระบบทางเดินปัสสาวะหลังใส่ Foley Cath 48 ชม.หรือภายใน 2 วันหลัง off Foley Catheter 1. การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่มีอาการ ( Symptomatic UTIs ) แบ่งเป็น 1.1 มีอาการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปนี้ ได้แก่ ไข้ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะกะปริบกะปรอย ปัสสาวะลำบาก หรือปวดบริเวณหัวเหน่าร่วมกับผลการตรวจเพาะเชื้อในปัสสาวะพบเชื้อมากกว่า 105 นิคมต่อมล. 1.2 มีอาการ 2 อย่างขึ้นไปของอาการต่อไปนี้ ได้แก่ ไข้ ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะกะปริบกะปรอย ปัสสาวะลำบากหรือปวดบริเวณหัวเหน่าร่วมกับข้อหนึ่งข้อใดต่อไปนี้ - พบเม็ดเลือดขาว > 10 WBC/ml. หรือ > 3 WBC/high – power field ในปัสสาวะที่ ไม่ได้ปั่น - พบเชื้อจากาการทำ Gram stain ในปัสสาวะที่ไม่ปั่น / เพาะเชื้อในปัสสาวะที่เก็บโดย การสวนสายยาง 2 ครั้ง พบเชื้อชนิดเดียวกัน > 102 colonies / ml. - เพาะเชื้อจากปัสสาวะได้เชื้อชนิดเดียว 105 colonies / ml.ในผู้ป่วยที่ได้ยาต้านจุลชีพ แพทย์วินิจฉัยว่าเป็น UTI แพทย์ให้การรักษาโดยใช้ยาต้านจุลชีพ - ผลเพาะเชื้อ พบเชื้อไม่มากกว่า 2 ชนิด ขึ้นไป
2 2. การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่ไม่มีอาการ (Asymptomatic UTIs) หมายถึงการติดเชื้อของ ทางเดินปัสสาวะโดยผู้ป่วยไม่เคยและไม่มีอาการดังกล่าวมาแล้ว แต่ผลการเพาะเชื้อจากปัสสาวะพบเชื้อแบคทีเรีย มากกว่า 105 ตัวต่อมล. ถ้าผู้ป่วยเคยติดเชื้อมาก่อน ตรวจพบเชื้อตัวใหม่มากกว่า 105 ให้ถือว่าเป็นการติดเชื้อ ครั้งใหม่ 5. ผู้รับผิดชอบ 1. แพทย์และพยาบาลวิชาชีพมีหน้าที่ในการพิจารณา การใส่สวนปัสสาวะให้เป็นไปตามข้อบ่งชี้ 2. พยาบาลวิชาชีพและผู้ช่วยพยาบาล มีหน้าที่ในการเตรียมชุดสวนปัสสาวะ และทำการสวน 3. พยาบาลวิชาชีพ และผู้ช่วยพยาบาล มีหน้าที่ดูแลสายสวน การเปลี่ยนสาย และการดูแลความ สะอาดระหว่างใส่สายสวนปัสสาวะ 4. พนักงานช่วยเหลือคนไข้ มีหน้าที่ดูแลทำความความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์และเทน้ำปัสสาวะทิ้ง 6. วิธีปฏิบัติFlow Chart การใส่สายสวนปัสสาวะ Flow Chart การใส่สายสวนปัสสาวะ ผู้รับผิดชอบ เอกสารทีเกี่ยวข้อง RN RN ใบคำสั่งการรักษา RN/TN/PN เอกสารแนวทาง การใส่สายสวนปัสสาวะ RN/TN/PN RN/TN/PN RN/TN/PN RN/TN/PN 1. ประเมินสภาพผู้ป่วยและรายงานแพทย์ 2. รับคำสั่งการรักษาของแพทย์ 4. ล้างมือให้สะอาด 3. อธิบายเหตุผลและวิธีปฏิบัติตัวขณะใส่สายสวนปัสสาวะ 5. จัดเตรียมอุปกรณ์ 6. ตรวจสอบรายชื่อ - สกุลให้ตรงกับผู้ป่วย 7.จัดท่านอนผู้ป่วย
3 RN/TN/PN RN TN/PN RN/PN YES NO YES NO RN/TN/PN RN/TN/PN RN/TN/PN 8. ใส่สายสวนปัสสาวะ 8.1 กรณีใส่คาสาย สวนปัสสาวะ 8.2 กรณีใส่สาย สวนปัสสาวะเป็นครั้งคราว 8.1.1 ตรวจสอบ ว่ามีปัสสาวะ ออกหรือไม่ 8.2.1 ตรวจสอบ ว่ามีปัสสาวะ ออกหรือไม่ 8.1.2 ใส่น้ำกลั่น ในบอลลูน 8.1.7 ขยับสาย สวนปัสสาวะ 8.2.2 ทำความสะอาดอวัยวะ สืบพันธ์หลังปัสสาวะออก หมด 8.2.6 -ประเมินสภาพผู้ป่วย - รายงานแพทย์ทราบ 8.1.3 ต่อปลายสายสวน ปัสสาวะกับ Urine bag 8.1.8ตรวจสอบว่ามี ปัสสาวะออกหรือไม่ 8.1.4 ปิดพลาสเตอร์ ยึดสายสวนกับผู้ป่วย 8.1.9 - ประเมินสภาพผู้ป่วย - รายงานแพทย์ทราบ 8.2.3 ให้คำแนะนำในการ ดูแลตนเองแก่ผู้ป่วยและญาติ 8.1.5 ทำความสะอาด อวัยวะสืบพันธ์ 8.2.4 จัดเก็บอุปกรณ์ 8.1.6 จัดถุง Urine bag ให้อยู่ ในระดับต่ำกว่าเอวของผู้ป่วย 8.2.5ลงบันทึกในเอกสาร ทางการพยาบาล
4 RN/TN/PN RN/TN/PN RN/TN/PN รายละเอียด การใส่สายสวนปัสสาวะในผู้ป่วย ให้พยาบาลวิชาชีพหรือผู้ช่วยพยาบาล ปฏิบัติดังต่อไปนี้ 1. พยาบาลวิชาชีพประเมินสภาพผู้ป่วยและรายงานแพทย์ทราบ 2. รับคำสั่งการรักษาของแพทย์ 3. ล้างมือให้สะอาด 4. อธิบายเหตุผลและวิธีการปฏิบัติตัวขณะใส่สายสวนปัสสาวะ พยาบาลวิชาชีพ/พยาบาลเทคนิค/ผู้ช่วยพยาบาลอธิบายเหตุผลและการปฏิบัติตัวขณะใส่สาย สวนปัสสาวะ 5. จัดเตรียมอุปกรณ์ พยาบาลวิชาชีพ/พยาบาลเทคนิค/ผู้ช่วยพยาบาล เตรียมอุปกรณ์ในการใส่คาสายสวนปัสสาวะ ในผู้ป่วยให้ตรงตามสภาพของผู้ป่วยตามเอกสารแนวทางการปฏิบัติงานเรื่องการใส่คาสายสวนปัสสาวะในผู้ป่วย 6. ตรวจสอบรายชื่อ – สกุลให้ตรงกับผู้ป่วย โดยพยาบาลวิชาชีพหรือผู้ช่วยพยาบาล ตรวจสอบ รายชื่อ – สกุลให้ในใบคำสั่งการรักษาให้ตรงกับตัวผู้ป่วย 7. จัดท่านอนผู้ป่วย พยาบาลวิชาชีพ/พยาบาลเทคนิค/ผู้ช่วยพยาบาล ช่วยจัดท่านอนผู้ป่วยให้นอน หงายราบ กางขาเล็กน้อย 8. ปฏิบัติการใส่สายสวนปัสสาวะ พยาบาลวิชาชีพ/พยาบาลเทคนิค/ผู้ช่วยพยาบาล ปฏิบัติการใส่ สายสวนปัสสาวะ ดังนี้ 8.1 กรณีใส่คาสายสวนปัสสาวะ ผู้ชายใส่สายสวนประมาณ 6 – 8 นิ้ว หรือสุดสาย ส่วนผู้หญิงใส่ ประมาณ 2 – 3 นิ้ว 8.1.1 ตรวจสอบว่ามีน้ำปัสสาวะออกหรือไม่ 9. ให้คำแนะนำในการดูแลตนเอง แก่ผู้ป่วยและญาติ 10. จัดเก็บอุปกรณ์ 11. ลงบันทึกในเอกสารทาง การพยาบาล
5 พยาบาลวิชาชีพ/พยาบาลเทคนิค/ผู้ช่วยพยาบาล ตรวจสอบ ว่ามีปัสสาวะออกหรือไม่ กรณีปัสสาวะออก ให้พยาบาลวิชาชีพ/พยาบาลเทคนิค/ผู้ช่วยพยาบาล ปฏิบัติดังนี้ 8.1.2 ใส่น้ำกลั่น จำนวน 10 cc ในบอลลูน 8.1.3 ต่อปลายสายสวนปัสสาวะกับ Urine bag 8.1.4 ตรึงสายสวนปัสสาวะ บริเวณปุ่มกระดูกเชิงกรานของผู้ป่วยในผู้ป่วยชาย ส่วนผู้ป่วยหญิงติดพลาสเตอร์บริเวณโคนขาด้านใน 8.1.5 ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ 8.1.6 จัดถุง Urine bag ให้อยู่ในระดับต่ำกว่าเอวผู้ป่วย กรณีไม่มีปัสสาวะออกให้พยาบาลวิชาชีพหรือผู้ช่วยพยาบาล ปฏิบัติดังนี้ 8.1.7 ขยับสายสวนปัสสาวะ 8.1.8 ตรวจสอบว่าปัสสาวะออกหรือไม่ - กรณีมีปัสสาวะให้ปฏิบัติตามข้อ 8.1.2 – 8.1.6 - กรณีไม่มีปัสสาวะออก ประเมินสภาพของผู้ป่วยละรายงานให้แพทย์ทราบ 8.2 กรณีใส่สายสวนปัสสาวะเป็นครั้งคราว (Intermittent catheter ) 8.2.1 ตรวจสอบว่ามีปัสสาวะหรือไม่ พยาบาลวิชาชีพ/พยาบาลเทคนิค/ผู้ช่วยพยาบาล ตรวจสอบว่ามีน้ำปัสสาวะออกมาหรือไม่ 8.2.2 กรณีมีปัสสาวะออกให้รอน้ำปัสสาวะออกจนหมด และดึงสายสวนปัสสาวะแบบ ครั้งคราวออกและทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ 8.2.3 ให้คำแนะนำในการดูแลตนเองแก่ผู้ป่วยและญาติพยาบาลวิชาชีพ/พยาบาลเทคนิค/ ผู้ช่วยพยาบาล ให้คำแนะนำในการดูแลตนเองแก่ผู้ป่วยและญาติหลังใส่คาสายสวน ปัสสาวะ 8.2.4 จัดเก็บอุปกรณ์ พยาบาลวิชาชีพ/พยาบาลเทคนิค/ผู้ช่วยพยาบาลจัดเก็บอุปกรณ์ต่างๆ เข้าที่ 8.2.5 ลงบันทึกในเอกสารทางการพยาบาล พยาบาลวิชาชีพ/พยาบาลเทคนิค/ผู้ช่วยพยาบาลลงบันทึกลักษณะจำนวน สี กลิ่นปัสสาวะ ลงในบันทึกทางการพยาบาล 8.2.6 กรณีไม่มีปัสสาวะออก ให้ประเมินสภาพผู้ป่วยและรายงานแพทย์ทราบ 9. ให้คำแนะนำในการดูแลตนเองแก่ผู้ป่วยและญาติ พยาบาลวิชาชีพ/พยาบาลเทคนิค/ผู้ช่วยพยาบาลให้คำแนะนำในการดูแลตนเองหลังใส่คา สายสวนปัสสาวะ 10. จัดเก็บอุปกรณ์ พยาบาลวิชาชีพ/พยาบาลเทคนิค/ผู้ช่วยพยาบาลจัดเก็บอุปกรณ์ต่างๆเข้าที่ 11. ลงบันทึกในเอกสารทางการพยาบาล
6 พยาบาลวิชาชีพ/พยาบาลเทคนิค/ผู้ช่วยพยาบาลลงบันทึกจำนวน สี กลิ่นปัสสาวะ ลงใน บันทึกทางการพยาบาล
7 แนวทางการปฏิบัติ แนวทางการปฏิบัติทางคลินิกเพื่อป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ปรับปรุงมาจากแนว ปฏิบัติและหลักฐานความรู้เชิงประจักษ์ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคประเทศสหรัฐอเมริกา ปี ค.ศ. 2009 (The US Centers for Disease Control and Prevention [CDC]) 1. ข้อบ่งชี้ในการใส่สายสวนปัสสาวะ ควรพิจารณาใส่สายสวนปัสสาวะแก่ผู้ป่วยตามข้อบ่งชี้ ดังต่อไปนี้ 1. มีภาวะอุดตันของระบบปัสสาวะเฉียบพลัน 2. เกิดภาวะวิกฤตจำเป็นต้องบันทึกปริมาณปัสสาวะ 3. ไม่ต้องใส่สายสวนในผู้ป่วยผ่าตัดทุกราย ยกเว้นการผ่าตัดในระบบทางเดินปัสสาวะ หรือการ ผ่าตัดเวลานาน 4. มีแผลบริเวณอุ้งเชิงกรานหรือบริเวณก้นกบ 5. มีภาวะบาดเจ็บรุนแรงบริเวณไขสันหลังทำให้มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวในระยะแรก หมายเหตุ ผู้ป่วยคาสายสวนปัสสาวะเพื่อทำการผ่าตัด ภายหลังการผ่าตัดควรถอดสายสวนปัสสาวะออก อย่างเร็วที่สุดภายใน 24 ชั่วโมง กรณีที่ไม่มีข้อบ่งชี้ 2. การเตรียมอุปกรณ์ 1. ล้างทำความสะอาดมือด้วยน้ำและน้ำยาฆ่าเชื้อ (Hygienic hand washing) ก่อนการ จัดเตรียมชุดสวนปัสสาวะ 2. เตรียมชุดสวนปัสสาวะโดยเทคนิคปราศจากเชื้อ ปูถาดด้วยผ้าปราศจากเชื้อ และเตรียมอุปกรณ์ดังนี้ - ผ้าสี่เหลี่ยมเจาะกลาง 1 ชุด - ใช้สายสวนปัสสาวะที่มีขนาดเล็กที่สุดตามความเหมาะสมของผู้ป่วย (ชาย No 14-18 , หญิง No 12-16 , เด็ก No 8-12 ) - C-set 1 set - ถุงรองรับปัสสาวะ Sterile 1 ชุด อุปกรณ์นอกถาด - Syringe 10 cc. ดูดน้ำกลั่น (Sterile) - ถุงใส่ขยะ - ถุงมือ Sterile 1 คู่ - สารหล่อลื่น - Hibitane (1:1000) - พลาสเตอร์สำหรับยึดสายสวน
8 3. การใส่สายสวนปัสสาวะ 3.1 ล้างทำความสะอาดมือด้วยน้ำสบู่และน้ำยาฆ่าเชื้อ (hygienic hand washing) ก่อนใส่สาย สวนปัสสาวะ 3.2 บุคลากรผู้ทำการสวนปัสสาวะต้องยึดหลัก standard precaution ได้แก่ การใส่ถุงมือ ปราศจากเชื้อ การสวมหน้ากากอนามัย และใส่สายสวนปัสสาวะโดยเทคนิคปราศจากเชื้อ (aseptic technique ) 3.3 เตรียมผู้ป่วยทั้งด้านร่างกายและจิตใจก่อนได้รับการคาสายสวนปัสสาวะ โดยอธิบายให้ผู้ป่วย ทราบถึงสาเหตุ วิธีปฏิบัติตัวภายหลังได้รับการคาสายสวนปัสสาวะ 3.4 จัดท่านอนผู้ป่วยโดยผู้ชายจัดท่านอนหงาย แยกขาออกเล็กน้อย ผู้หญิงจัดท่านอนหงาย ตั้งขาและแยกออกเล็กน้อย 3.5 สวมถุงมือ Sterileและสารหล่อลื่นปลายสายสวนด้วยสารหล่อลื่นโดยเทคนิคปราศจากเชื้อ 3.6 ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์โดยใช้Forceps คีบสำลี ชุบน้ำยา Hibbitane (1:1000) โดยมีขั้นตอนดังนี้ (ผู้ป่วยหญิง) ลำลีก้อนที่ 1 บริเวณหัวเหน่าขึ้นไปหน้าท้อง สำลีก้อนที่ 2 บริเวณแคมใหญ่ไกลตัว จากบนลงล่าง สำลีก้อนที่ 3 บริเวณแคมใหญ่ใกล้ตัว จากบนลงล่าง สำลีก้อนที่ 4 บริเวณแคมเล็กไกลตัว จากบนลงล่าง สำลีก้อนที่ 5 บริเวณแคมเล็กใกล้ตัว จากบนลงล่าง (ผู้ป่วยชาย) เช็ดที่อวัยวะเพศชายโดยรอบจากปลายถึงโคน Penis 3.7 ปูผ้าสี่เหลี่ยมบริเวณหน้าขาและผ้าสีเหลี่ยมเจาะกลาง 3.8 ก่อนใส่สายสวน ผู้ป่วยหญิง ใช้นิ้วแหวก Labia 2 ข้างแล้วเช็ด Urethra ด้วยสำลีชุบ Hibitane (1:1000) จากบนลงล่าง 2 ก้อน แล้ว ใส่ Foley cath ผู้ป่วยชาย รูดหนังหุ้มปลายลงแล้วเช็ดบริเวณปลาย Urethra ด้วยสำลีชุบ Hibbitane (1:1000) จากบนลงล่าง 2 ก้อน แล้วใส่ Foley’s cath (รูดหนังกลับเมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอน) 3.9 ใส่สายสวนปัสสาวะ ด้วยความนิ่มนวลให้สุดสาย จนปัสสาวะไหลออกมา แสดงว่าสาย อยู่ใน กระเพาะปัสสาวะ, ความลึกสายสวนปัสสาวะ ชายลึก 6- 8 นิ้ว, หญิงลึก 2-3 นิ้ว - หากไม่มีน้ำปัสสาวะไหลออกมาให้ irrigate bladder ด้วย NSS 30-50 cc. ถ้าใส่และดูดออก ได้สะดวก แสดงว่าสายสวนอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ - กรณีที่ Irrigate bladder ด้วยวิธีข้างต้นแล้ว พบว่า ใส่ NSS ได้และดูดออกไม่ได้หรือใส่ NSS ไม่ได้ ห้ามใส่น้ำกลั่นเข้าไปทางบอลลูน ให้ถอดสายสวนออก และพิจารณาใส่ใหม่หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ 3.10 ใส่น้ำกลั่นเข้าไปทางบอลลูนประมาณ 10 มิลลิลิตร (จำนวนน้ำกลั่นระบุอยู่ที่สายสวน) 3.11 ค่อย ๆ ดันสายสวนปัสสาวะเข้าไปเบา ๆ เพื่อลดการดึงรั้งบริเวณคอกระเพาะปัสสาวะ
9 3.12 ต่อสายสวนปัสสาวะกับข้อต่อของถุงรองรับปัสสาวะโดยวิธีปราศจากเชื้อ 3.13 ถอดถุงมือปราศเชื้อ 3.14 ยึดตรึงสายสวนปัสสาวะ ผู้ป่วยเพศชายบริเวณโคนขาด้านหน้าหรือหน้าท้อง ผู้ป่วยเพศหญิง บริเวณโคนขาด้านใน 3.15 จัดสายสวนปัสสาวะไม่หักพับงอ แขวนถุงปัสสาวะให้อยู่ในระดับต่ำกว่ากระเพาะปัสสาวะ ไม่ควรวางถุงปัสสาวะไว้บนพื้น 3.16 ทำความสะอาดมือด้วยน้ำและสบู่(Normal hand washing ) หลังใส่สายสวนปัสสาวะ 3.17 บันทึกจำนวน สี ลักษณะน้ำปัสสาวะ และรายงานแพทย์เมื่อพบความผิดปกติ 3.18 อธิบายญาติและผู้ป่วยทุกครั้งว่ามีบอลลูนคาอยู่ ห้ามดึงสาย 4. การทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์และการดูแลผู้ป่วยคาสายสวนปัสสาวะ 1. ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธ์ด้วยน้ำและสบู่อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (เช้า – เย็น) และทุกครั้งหลังถ่ายอุจจาระ 2. ดูแลสายสวนปัสสาวะให้เป็นระบบปิด ในกรณีต้องการเก็บปัสสาวะเพื่อทำการตรวจควรใช้ หลักปราศจากเชื้อ 3. ดูแลสายสวนปัสสาวะไม่ให้หักพับงอ จัดให้ถุงปัสสาวะอยู่ต่ำกว่าระดับกระเพาะปัสสาวะไม่ ควรวางถุงปัสสาวะไว้บนพื้น 4. ยึดตรึงสายสวนปัสสาวะให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและถูกต้อง เพื่อป้องกันการเลื่อนและ การดึงรั้งของสายสวนปัสสาวะ ตำแหน่งการยึดตรึงสายสวนปัสสาวะในผู้ป่วยเพสชายคือบริเวณปุ่มกระดูกและ ผู้ป่วยเพศหญิงบริเวณโคนขาด้านใน 5. ดูแลผู้ป่วยคาสายสวนปัสสาวะโดยใช้หลัก standard precautions โดยพิจารณาใส่เครื่อง ป้องกันตามความเหมาะสม เช่น ถุงมือ หน้ากากอนามัย เป็นต้น 6. การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไม่จำเป็นต้อง Clamp สายสวนปัสสาวะ แต่ต้องดูแลให้ถุงรองรับ ปัสสาวะอยู่ต่ำกว่าระดับกระเพาะปัสสาวะเสมอ กรณีที่ไม่สามารถให้ถุงปัสสาวะอยู่ต่ำกว่าระดับกระเพาะปัสสาวะ ต้อง camp สายสวนปัสสาวะ 7. ในกรณีที่มีการอุดตันของสายสวนปัสสาวะไม่แนะนำให้สวนล้างกระเพาะปัสสาวะควร เปลี่ยนสายสวนปัสสาวะทั้งระบบ 5. การเก็บปัสสาวะส่งตรวจ 5.1 กรณีต้องการตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะ (Urine examination) หรือตรวจเพาะเชื้อ (urine culture) clamp สายสวนปัสสาวะต่ำกว่าข้อต่อสายสวนปัสสาวะประมาณ 1 -2 นิ้ว โดยเช็ดบริเวณที่แทงสาย สวนปัสสาวะ (sampling port ) ด้วยน้ำยาทำลายเชื้อระดับปานกลาง (intermediate level ) เช่น 10% povidone – iodine , 70% alcohol เป็นต้น และดูดปัสสาวะจากบริเวณที่เช็ดทำความสะอาดด้วยเข็ม ขนาด เล็กเบอร์ 23-25
10 5.2 กรณีต้องการปริมาณปัสสาวะจำนวนมากเพื่อส่งตรวจ ให้เทจากถุงรองรับปัสสาวะโดยใช้ เทคนิคปราศจากเชื้อ ในผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะไว้นาน ควรรายงานแพทย์เพื่อพิจารณาสวนปัสสาวะแบบครั้งคราว (intermittent catheterization) หรือการคาสายโดยการเจาะกระเพาะปัสสาวะ (suprapubic catheters) เมื่อ ไม่พบข้อบ่งชี้ที่กำหนด สิ่งที่ต้องรู้ 6. การเทปัสสาวะ 1. เทปัสสาวะเมื่อพบจำนวนของปัสสาวะมีปริมาณ 3/4 ของถุงรองรับปัสสาวะ หรือไม่เกิน 800 มิลลิลิตร 2. เทปัสสาวะออกจากถุงรองรับปัสสาวะด้วยเทคนิคปราศจากเชื้อ โดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อในระดับ ปานกลาง ได้แก่ 70% alcohol เป็นต้น เช็ดบริเวณปลายเปิดถุงรองรับปัสสาวะทั้งก่อนและหลังเทน้ำปัสสาวะ 3. ไม่ควรใส่น้ำยาทำลายเชื้อในภาชนะรองรับปัสสาวะ 7. การถอดสายสวนปัสสาวะ 1. ควรถอดสายสวนปัสสาวะออกทันที เมื่อหมดข้อบ่งชี้ 2. ใช้หลัก Standard precautions โดยพิจารณาใส่เครื่องป้องกันตามความเหมาะสม เช่น ถุงมือ หน้ากากอนามัย เป็นต้น 3. ทำความสะอาดมือด้วยน้ำยาและสบู่และสวมถุงมือสะอาด (Disposable gloves) และเตรียม ชุดทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก พร้อมอธิบายให้ผู้ป่วยทราบก่อนถอดสายสวนปัสสาวะ เพื่อให้ผู้ป่วยให้ ความร่วมมือ 4. ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกด้วยสบู่และน้ำกลั่น 5. ใช้70 % alcohol เช็ดบริเวณโดยรอบของทางเปิดสำหรับดูดน้ำออกจากบอลลูน และใช้ กระบอกฉีดยาปราศจากเชื้อดูดน้ำออกเท่าที่ปริมาตรที่มีอยู่ในบอลลูน 6. บีบหรือหักพับสายสวนปัสสาวะแล้วดึงสายสวนปัสสาวะออกเบาๆ สังเกตปลายสายว่ามี หนองหรือสิ่งผิดปกติหรือไม่ 7. ถอดถุงมือออก และทำความสะอาดมือด้วยน้ำและสบู่ (Normal hand washing) 8. สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติในการดูและผู้ป่วยใส่คาสายสวนปัสสาวะ 1. เปลี่ยนสายสวนปัสสาวะโดยไม่จำเป็น 2. กำหนดระยะเวลาการเปลี่ยนถุงรองรับปัสสาวะเป็นประจำโดยไม่มีข้อบ่งชี้ 3. ตัดปลายสายสวนปัสสาวะส่งตรวจเพาะเชื้อหลังถอดสายสวนปัสสาวะ (routine surveillance culture) หมายเหตุ ควรเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะในกรณีต่อไปนี้
11 • ชุดสายสวนปัสสาวะซึม อุดตัน • เมื่อพบปัสสาวะขุ่น มีตะกอน หรือเป็นหนอง 7. เครื่องชี้วัด 7.1 ผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการใส่สายสวนปัสสาวะ 7.2 ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตัวหลังการใส่สายสวนปัสสาวะอย่างถูกต้อง 8. เอกสารทีเกี่ยวข้อง 8.1 ใบคำสั่งการรักษา 8.2 บันทึกทางการพยาบาล เอกสารอ้างอิง Carolyn, V., Craig A. U., Rajender K. A., Gretchen K., David A. P., and the Healthcare Infection Control Practices Abvisory Committee. (2009). Guideline for prevention of catheterassociated urinary tract infection 2009. November 1,2009, form the US Centers for Disease Control and Prevention Availabel from :Website: http://www.cdc.gov/ncidod/dhqp/pdf/guidelines/CAUTI_Guideline 2009final.pdf. Division of Healthcare Quality Promotion National Center for Preparedness, Detection and Control of Infections Diseases Atlanta, GA and USA. (2009). Patient safely component protocol. The National Healthcare Safety Network (NHSN) Manual. Evelyn, L., Lindsay N., David C., Kathleen M. A., Kelly P., Deverick J. A., etal. (2008) Strategies to prevent catheter-associated urinary tract infection in acute care hospitals. Infection Control and Hospital Epidemiology, 29,S41-S50. Wongkeju, P. (2019). Effects of Program Promoting the Use of Clinical Practice Guideline on Nurses ,s Practice and Incidence of Catheter - Associated Urinary Tract Infections in Medical Intensive Care Unit. Journal of Nursing and Health Care, 37(2), 26-35. The Joanna Briggs Institute. (2000). Evidence Based Practice Information Sheets for Health Professionals Management of Short Term Indwelling Urethral Catheters to Prevent Urinary Tract Infections. The Joanna Briggs Institute, 4(1), ISSN 1329 -1874.
12 กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล โรงพยาบาลพุทธชินราชพิษณุโลก แบบประเมินคุณภาพ : การใส่สายสวนปัสสาวะ วัตถุประสงค์1. ลดการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพันธ์กับการคาสายสวนปัสสาวะ ลำดับ กิจกรรม ปฏิบัติ ไม่ปฏิบัติ หมายเหตุ ถูกต้อง ไม่ ถูกต้อง 1. บันทึกและประเมินความจำเป็นในการใส่สายสวนปัสสาวะ การเตรียมอุปกรณ์ 2. ล้างทำความสะอาดมือด้วยน้ำและน้ำยาฆ่าเชื้อ (Hygienic hand washing) ก่อนการจัดเตรียมชุด สวนปัสสาวะ 3. เตรียมอุปกรณ์การสวนปัสสาวะได้ครบถ้วน 4. เตรียมอุปกรณ์สวนปัสสาวะโดยเทคนิคปราศจากเชื้อ การใส่สายสวนปัสสาวะ 5. ล้างทำความสะอาดมือด้วยน้ำและน้ำยาฆ่าเชื้อ (Hygienic hand washing) ก่อนการจัดเตรียมชุด สวนปัสสาวะ 6. เตรียมอุปกรณ์พร้อมใช้ไปที่เตียงผู้ป่วย 7. เตรียมผู้ป่วยทั้งด้านร่างกายและจิตใจก่อนได้รับการใส่สายสวน ปัสสาวะ โดยอธิบายให้ผู้ป่วยทราบถึงสาเหตุ วิธีปฏิบัติตัวภายหลัง ได้รับการคาสายสวนปัสสาวะ 8. ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก เพื่อกำจัดคราบสกปรก ด้วยสบู่และน้ำสะอาดก่อนใส่สายสวนปัสสาวะ 9. ใส่สายสวนปัสสาวะโดยเทคนิคปราศจากเชื้อ (aseptic technique ) 10. การทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์หลังใส่สายสวนปัสสาวะ ด้วย น้ำและสบู่อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (เช้า – เย็น) และทุกครั้งหลังถ่ายอุจจาระ 11. การเก็บปัสสาวะส่งตรวจ การเทปัสสาวะ 12. เทปัสสาวะเมื่อพบจำนวนของปัสสาวะมีปริมาณ 3/4 ของถุง รองรับปัสสาวะ หรือไม่เกิน 800 มิลลิลิตร 13. เทปัสสาวะออกจากถุงรองรับปัสสาวะด้วยเทคนิคปราศจากเชื้อ 14. การถอดสายสวนปัสสาวะใช้หลัก Standard precaution ตำแหน่งผู้ปฏิบัติ...................................................... วันที่...........................................เวร................................ หอผู้ป่วย................................................... ผู้ตรวจสอบ..................................................................... ตำแหน่ง.................................................... ..