The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือสื่อความรู้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ปัทมพร เจริญไชย, 2023-02-27 09:20:25

คำภีร์ฉันทศาสตร์

หนังสือสื่อความรู้

Keywords: คำภีร์ฉันทศาสตร์

ค ำคค ค ำภีร์ฉันทศำสตร์ แพทย์ศำสตร์สงเครำะห์


คำนำ หนังสือเรื่อง คัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ เล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์ในการศึกษา ซึ่งประกอบด้วย ตำรา แพทยศาสตร์สงเคราะห์มีทั้งหมด 14 คัมภีร์ความเป็นมา ต้นกำเนิดแห่งตำรา แพทยศาสตร์สงเคราะห์ ประวัติผู้แต่ง ลักษณะคำประพันธ์ เรื่องย่อ เนื้อเรื่อง อาการของโรคทับ ๘ ประการ คำศัพท์ บทวิเคราะห์ เป็นต้น หนังสือเล่มนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยความกรุณาและความอนุเคราะห์จาก คุณครูอังคณา ทับทิม ที่กรุณา สละเวลาอันมีค่าให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะต่างๆ ตั้งแต่เริ่มต้นจนสำเร็จเรียบร้อย ผู้จัดทำขอขอบพระคุณ อย่างสูง ผู้จัดทำหวังว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักเรียน ที่กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้หากมี ข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย คณะผู้จัดทำ


สารบัญ หัวข้อ หน้า ตำรา แพทยศาสตร์สงเคราะห์มีทั้งหมด 14 คัมภีร์ 1 คัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ความเป็นมา 2 ต้นกำเนิดแห่งตำราแพทยศาสตร์สงเคราะห์ 2 ประวัติผู้แต่ง 3 ลักษณะคำประพันธ์ 4 เรื่องย่อ 4 เนื้อเรื่อง 5 อาการของโรคทับ ๘ ประการ 16 คำศัพท์ 19 บทวิเคราะห์ 22


1 ตำรา แพทยศาสตร์สงเคราะห์มีทั้งหมด 14 คัมภีร์ 1. คัมภีร์ฉันทศาสตร์ ว่าด้วยจรรยาของแพทย์ทับ 8 ประการ 2. คัมภีร์ปฐมจินดาร์ ว่าด้วย ครรภรักษา การคลอด 3. คัมภีร์ธาตุวิภังค์ ว่าด้วยลักษณะธาตุพิการ (ธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และสมุนไพร ที่ใช้รักษา) 4. คัมภีร์สรรพคุณ ว่าด้วยสรรพคุณของสมุนไพรชนิดต่าง ๆ 5. คัมภีร์สมุฏฐานวินิจฉัย ว่าด้วยความรู้ในการวินิจฉัยโรคและการรักษาสุขภาพ 6. คัมภีร์วรโยคสาร ว่าด้วยคุณลักษณะของแพทย์ ลักษณะของผู้ป่วย การรักษาโรค คุณค่าของยาและอาหาร 7. คัมภีร์มหาโชตรัต ว่าด้วยโรคของสตรี และสมุนไพรที่ใช้รักษา 8. คัมภีร์ชวดาร ว่าด้วยโรคลมและโรคเลือด และสมุนไพรที่ใช้รักษา 9. คัมภีร์โรคนิทาน ว่าด้วยสาเหตุของโรค และสมุนไพรที่ใช้รักษา 10. คัมภีร์ธาตุวิวรณ์ ว่าด้วยลักษณะธาตุพิการ และสมุนไพรที่ใช้รักษา 11. คัมภีร์ธาตุบรรจบ ว่าด้วยเรื่องอุจจาระที่เป็นสาเหตุของโรค และสมุนไพรที่ใช้รักษา 12. คัมภีร์มุจฉาปักขันธิกา ว่าด้วยโรคของบุรุษและโรคของสตรี และสมุนไพรที่ใช้รักษา 13. คัมภีร์ตักกะศิลา ว่าด้วยอาการโรคระบาดชนิดต่าง ๆ 14. คัมภีร์ไกษย ว่าด้วยโรคกษัยชนิดต่าง ๆ และสมุนไพรที่ใช้รักษา โดยที่เราจะศึกษาในหนังสือเล่มนี้ คือ คัมภีร์ฉันทศาสตร์ ว่าด้วยจรรยาของแพทย์ทับ 8 ประการ


2 คัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ความเป็นมา ในปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี เจริญพระชนมายุ ๗๒ พรรษา รัฐบาลจึงได้จัดงานเฉลิมพระเกียรติเพื่อถวายเป็นราชสักการะ และได้จัดพิมพ์ หนังสือที่เป็นที่ระลึกในนามของรัฐบาล แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ภูมิปัญญาทางการแพทย์และมรดกทาง วรรณกรรมของชาติ เป็นหนึ่งในหนังสือเหล่านั้น ซึ่งแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ภูมิปัญญาทางการแพทย์และ มรดกทางวรรณกรรมของชาติฉบับเฉลิมพระเกียรตินี้ ได้นำต้นฉบับแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ของพระยาพิศณุ ประสาทเวช เล่มที่ ๒ พิมพ์ครั้งที่ ๒ ร.ศ.๑๒๘ และเล่มที่ ๒ พิมพ์ครั้งที่ ๑ ร.ศ.๑๒๖ โดยจัดพิมพ์ใหม่ โดย จัดทำอธิบายส่วนๆต่างเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เหมาะสมแก่ยุคสมัยและเผยแพร่ความรู้แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ให้ เกิดประโยชน์สูงสุด หนังสือแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ฉบับหลวง รวบรวมและพิมพ์โดยพระยาพิศณุประสาทเวช โดยได้รับ พระอนุญาตจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประกอบด้วยองค์ความรู้ด้านแพทย์ ภูมิปัญญาตะวันออกและภูมิปัญญาไทยด้านเวชกรรมและเภสัชกรรม อีกทั้งยังแฝงไปด้วยปรัชญาที่ทรงคุณค่า รวมถึงวิธีคิด ความเชื่อ พิธีกรรมและวิธีรักษาแบบโบราณ ต้นกำเนิดแห่งตำราแพทยศาสตร์สงเคราะห์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ประชุมคณะแพทย์หลวง เพื่อสืบค้นและรวบรวม ตำราแพทย์จากที่ต่าง ๆ มาตรวจสอบ ชำระให้ตรงกับฉบับดั้งเดิม แล้วส่งมอบให้กรมพระอาลักษณ์เขียนลง สมุดไทย ด้วยอักษรไทยที่มีชื่อเรียกว่า “เส้นหรดาล (แร่ชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยธาตุสารหนูและกํามะถัน)” หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ให้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตั้ง “โรงเรียนราช แพทยาลัย” ได้โปรดให้จัดพิมพ์ตำราแพทย์หลวงสำหรับโรงเรียนขึ้นใช้เป็นครั้งแรก เรียกว่า “ตำรา แพทยศาสตร์สงเคราะห์” แต่พิมพ์ได้เพียง ๓ เล่มก็ต้องยกเลิก เพราะไม่มีทุนในการจัดพิมพ์ ต่อมาพระยาพิศณุประสาทเวช (คง ถาวรเดช) อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนไทยของราช แพทยาลัย และผู้จัดการโรงเรียนเวชสโมสร ได้กราบทูลขอประทานพระอนุญาตจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์ เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (นายกสภาหอสมุดวชิรญาณ) ในการจัดพิมพ์ตำราแพทยศาสตร์สงเคราะห์ ฉบับหลวงจำนวน ๒ เล่มจบสมบูรณ์ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ เพราะเล็งเห็นความ จำเป็น 2 ประการคือ ๑. ราษฎรที่ป่วยจะต้องมีตำราด้านการแพทย์ เพื่อเป็นคู่มือไว้รักษาตนเอง ๒. อนุรักษ์ตำราแพทย์แผนไทยไว้ให้คนรุ่นหลัง


3 ประวัติผู้แต่ง พระยาพิศณุประสาทเวช (คง ถาวรเวช) เกิด เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๖ ประวัติในวัยเยาว์ของท่านไม่ปรากฏ รายละเอียด แต่จากหนังสือนิทานโบราณคดีเรื่อง “ตั้ง โรงพยาบาล” สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าไว้ว่า “หมอคง” เคยเป็นศิษย์ ของพระยาประเสริฐศาสตร์ธำรง (หนู วรกิจพิศาล) ซึ่ง เป็นหมอที่มีชื่อเสียงได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เป็น แพทย์ใหญ่ประจำโรงพยาบาลศิริราช (โรงพยาบาลวัง หลัง) พระยาประเสริฐศาสตร์ธำรงได้คัดเลือก “หมอ คง” ให้เป็นหมองรองประจำโรงพยาบาลตั้ง แต่แรก ก่อตั้ง เมื่อกิจการโรงพยาบาลศิริราชได้รับความนิยมมากขึ้น กรมพยาบาลจึงตั้งโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นตรงหน้า วังบูรพาภิรมย์ เป็นโรงพยาบาลสามัญเรียกว่าโรงพยาบาลบูรพา หมอคงจึงย้ายมาพระจำที่นั่น เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๓๖ และได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นเป็น “ขุนประสารเวชสิทธิ์” ทำหน้าที่เป็นหมองหลวงประจำ โรงพยาบาล และเป็นหมอเฉลยศักดิ์ (หมอที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน) รับรักษาไข้ทั่วไปตามที่มีคนหาไปรักษา โดย ใช้ความรู้ในวิชาแพทย์สมัยใหม่ที่ใช้ในโรงพยาบาลผสมผสานกับความรู้ ตามตำหรับไทยโบราณที่ศึกษาเล่า เรียนมา หมอคงมีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่ยกย่องว่าเก่ง ทำให้ได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาพิศณุ ประสาทเวช” ในที่สุด พ.ศ. ๒๔๔๙ ได้เกิดโรคระบาดตามหัวเมืองแถบจังหวัดลพบุรี และจังหวัดนครราชสีมา พระยาพิศณุ ประสาทเวชได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ไป ดำเนินการตรวจรักษาและระงับโรคระบาด ทำให้ได้แนวคิดเกี่ยวกับตำราแพทย์แผนไทยที่มีอยู่ในพื้นที่ และ ท้องถิ่นที่ได้คัดลอกต่อๆ กันมา พบว่าอยู่ในสภาพที่ลบเลือนผิดเพี้ยน จึงเกิดความคิดที่จะรวบรวมคัมภีร์ แพทย์ขึ้นไว้ให้สมบูรณ์ครบถ้วน โดยได้รับพระอนุญาตจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุ ภาพ นายกสภาหอสมุดวชิรญาณในขณะนั้น แล้วรวบรวมพิมพ์เป็นหนังสือ “แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์”


4 ลักษณะคำประพันธ์ ลักษณะคำประพันธ์ของคัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทยศาสตร์สงเคราะห์นั้นมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน โดย ส่วนใหญ่เป็นกาพย์ยานี ๑๑ สำหรับตอนที่กล่าวถึงลักษณะทับ (ลักษณะโรคแทรกซ้อน) ๘ ประการ ใช้คำ ประพันธ์ประเภทร่าย เรื่องย่อ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ตอน คัมภีร์ฉันทศาสตร์ เริ่มต้นเปิดเรื่องด้วยบทไหว้ครูซึ่งเรียบเรียงโดย พระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) ผู้ว่าราชการจังหวัดเมืองจันทบุรี ต่อมานั้นกล่าวถึงความสำคัญของแพทย์ และ คุณสมบัติที่แพทย์พึงมี โดยทั่วไปที่มักจะมีความประมาท ความอวดดี ความริษยา ความโลภ ความเป็นแก่ ตัว ความหลงตัว และความไม่เสมอภาคในการให้การรักษาคนไข้ ซึ่งแต่งเป็นกาพย์ยานี ๑๑ ต่อจากนั้นจะ เป็นเนื้อหา ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น ๑๙ ตอน คือ ๑. ว่าด้วยลักษณะทับ ๘ ประการ ๒. พระคัมภีร์ตักกะศิลา ๓. สมมุติฐานการกำเนิดไข้ ๔. ลักษณะอาการไข้ที่เข้าเพศเป็นโทษ ๔ อย่าง ๕. ลักษณะน้ำนมดีและชั่ว ๖. ชีพจร ให้ระวังในการระบายยา ๗. ลักษณะรัตนธาตุทั้งห้า


5 ๘. ลักษณะป่วง ๘ ประการ ๙. ตำรายาแก้สันนิบาตสองคลองและอหิวาตกโรค ๑๐. ลักษณะสมุฏฐาน ๑๑. ลักษณะอติสาร ๑๒. ลักษณะมรณะญาณสูตร ๑๓. โรคภัยต่างๆ แห่งกุมาร และลักษณะซางต่าง ๆ ๑๔. ลักษณะกำเนิดซาง ๑๕. ลักษณะรูปทารก ๑๖. ลักษณะซางตั้ง ๑๗. ลักษณะซางตาลโจร ๑๘. ลักษณะธาตุทั้ง ๔ ๑๙. ตอนลงท้าย ที่นำมาใช้เป็นบทเรียนนี้ ได้คัดเฉพาะตอนขึ้นต้นที่เป็นบทไหว้ครู แต่งโดย พระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) และตอนที่ว่าด้วยทับ ๘ ประการ เนื้อเรื่อง บทไหว้ครู กาพย์ยานี ๑๑ ข้าขอประนมหัตถ์ พระไตรรัตนนาถา ตรีโลกอมรมา อภิวาทนาการ อนึ่งข้าอัญชลี พระฤาษีผู้ทรงญาณ แปดองค์เธอมีฌาน โดยรอบรู้ในโรคา ไหว้คุณอิศวเรศ ทั้งพรหมเมศทุกชั้นฟ้า สาปสรรค์ซึ่งหว้านยา ประทานทั่วโลกธาตรี ไหว้ครูกุมารภัจ ผู้เจนจัดในคัมภีร์ เวชศาสตรบรรดามี ให้ทานทั่วแก่นรชน ไหว้ครูผู้สั่งสอน แต่ปางก่อนเจริญผล ล่วงลุนิพพานดล สำเร็จกิจประสิทธิ์พร ถอดความ : ขอกราบถวายความเคารพต่อพระพุทธเจ้า พระฤาษีพระอิศวร พระพรหม ที่ได้ประทานให้มียาเกิดขึ้น ในโลกไหว้ฤาษีชีวกโกมารภัจ ผู้มีความรู้เชี่ยวชาญในเรื่องยาและการรักษาโรค และได้ถ่ายทอดเป็นวิชาความรู้ มาให้ ไหว้ครูที่อบรมสั่งสอนมา จนมีวิชาความรู้ และประสบความสำเร็จ และเจริญรุ่งเรืองในทุกวันนี้


6 ๑ จะกล่าวคัมภีร์ฉัน ทศาสตรบรรพ์ที่ครูสอน เสมอดวงทินกร แลดวงจันทร์กระจ่างตา ๒ ส่องสัตว์ให้สว่าง กระจ่างแจ้งในมรรคา หมอนวดแลหมอยา ผู้เรียนรู้คัมภีร์ไสย์ ๓ เรียนรู้ให้ครบหมด จนจบบทคัมภีร์ใน ฉันทศาสตร์ท่านกล่าวไข สิบสี่ข้อจงควรจำ ถอดความ : จะพูดถึงตำราฉันทศาสตร์ของเก่าที่ครูสอนไว้เปรียบกับพระอาทิตย์และพระจันทร์ที่ทำให้มองเห็นได้ ชัดเจน หมอนวดและหมอยา ผู้เรียนรู้เวทมนตร์คาถาของศาสนาพราหมณ์ เรียนรู้ให้ครบทั้งหมด จนจบ ข้อความในตำราฉันทศาสตร์ที่ครูบอกไว้ให้เข้าใจสิบสี่หัวข้อควรจำ ๔ เป็นแพทย์นี้ยากนัก จะรู้จักซึ่งกองกรรม ตัดเสียซึ่งบาปธรรม สิบสี่ตัวจึ่งเที่ยงตรง ๕ เป็นแพทย์ไม่รู้ใน คัมภีร์ไสย์ท่านบรรจง รู้แต่ยามาอ่าองค์ รักษาไข้ไม่เข็ดขาม ๖ บางหมอก็กล่าวคำ มุสาซ้ำกระหน่ำความ ยกตนว่าตนงาม ประเสริฐยิ่งในการยา ถอดความ : เป็นแพทย์นี้ยากมากที่จะรู้จักเรื่องผลการกระทำที่ไม่ดี ทำดีสิบสี่ข้อควรจำจึงจะเป็นคนซื้อสัตว์ เป็น แพทย์แต่ไม่รู้ตำราเวทย์มนตร์คาถาที่ครูตั้งใจเรียนไว้รู้แต่ยามาประดับตัว รักษาไข้ไม่เกรงกลัว หมอบางคนก็ พูดโกหก ยกย่องตัวเอง หมอบางคนรังเกียจคนไข้ บางคนก็กล่าวหลอกลวงหวังผลกำไร ๗ บางหมอก็เกียจกัน ที่พวกอันแพทย์รักษา บ้างกล่าวเป็นมารยา เขาเจ็บน้อยว่ามากครัน ๘ บ้างกล่าวอุบายให้ แก่คนไข้นั้นหลายพัน หวังลาภจะเกิดพลัน ด้วยเชื่อถ้อยอาตมา ๙ บางทีไปเยียนไข้ บ มีใครจะเชิญหา กล่าวยกถึงคุณยา อันตนรู้ให้เชื่อฟัง ถอดความ : หมอบางคนรังเกียจคนไข้ บางคนก็หลอกคนไข้ว่าป่วยมากกว่าที่เป็นจริง บางคนก็กล่าวหลอกลวงหวัง ผลกำไรหมอ


7 บ้างพูดอย่างเล่ห์กลกับคนไข้ว่าต้องใช้เงินมากคาดว่าจะได้ของทันที เพราะเชื่อคำพูดของตนเอง บางครั้งไป เยี่ยมคนไข้ ทั้งที่ไม่มีใครเชิญแล้วพูดยกตัวอย่างถึงประโยชน์ของยาที่ตนรู้ให้คนฟังเชื่อ ๑๐ บางแพทย์ก็หลงเล่ห์ ด้วยกาเมเข้าปิดบัง รักษาโรคด้วยกำลัง กิเลสโลภะเจตนา ๑๑ บางพวกก็ถือตน ว่าไข้คนอนาถา ให้ยาจะเสียยา บ ห่อนลาภจะพึงมี ๑๒ บ้างถือว่าตนเฒ่า เป็นหมอเก่าชำนาญดี รู้ยาไม่รู้ที รักษาได้ก็ชื่นบาน ถอดความ : หมอบางคนหมกมุ่นในความอยากได้ ทำการรักษาด้วยอำนาจแห่งความอยากได้ หมอบางคนถือตัวดู ถูกคนไข้ว่ายากจน หากรักษาไปก็จะเสียยา และจะไม่ได้ค่าตอบแทนในการรักษา หมอบางคนถือว่าตนเอง อาวุโส อายุมาก มีความเชี่ยวชาญในการรักษา ไม่ยอมรับความสามารถของคนอื่น พอรักษาได้ก็ดีใจ ๑๓ แก่กายไม่แก่รู้ ประมาทผู้อุดมญาณ แม้เด็กเป็นเด็กชาญ ไม่ควรหมิ่นประมาทใจ ๑๔ เรียนรู้ให้เจนจัด จบจังหวัดคัมภีร์ไสย์ ตั้งต้นปฐมใน ฉันทศาสตรดังพรรณนา ๑๕ ปฐมจินดาร์โชตรัต ครรภ์รักษา อไภยสันตา สิทธิสารนนท์ปักษี ถอดความ : หมอบางคนแก่แต่ตัวแต่ไม่แก่วิชาความรู้ ไม่ควรดูหมิ่นคนอายุน้อยแต่มีวิชาความรู้ และอาจมีความ ชำนาญมากกว่าได้ ดังนั้นแพทย์ที่ดีควรเรียนรู้ให้จบขอบเขตของเนื้อหา ตำราเวทมนต์คาถาตั้งแต่เริ่มตนตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ ฉันทศาสตร์ และตำราปฐมจินดาโชติรัตน์ ตำราครรภ์รักษา ตำราอภัยสันตา ตำราสิทธินนท์ปักษีก็ควรจะ เรียนรู้ให้หมด ๑๖ อติสารอะวะสาน มรณะญาณตามคัมภีร์ สรรพคุณรสอันมี ธาตุบัญจบโรคนิทาน ๑๗ ฤดูแลเดือนวัน ยังนอกนั้นหลายสถาน ลักษณะธาตุพิการ เกิดกำเริบแลหย่อนไป ๑๘ ทั้งนี้เป็นต้นแรก ยกยักแยกขยายไข กล่าวย่อแต่ชื่อไว้ ให้พึงเรียนตำรับจำ


8 ถอดความ : แพทย์ควรศึกษาวิธีการดูลักษณะคนไข้หนักใกล้ตาย ตามตำราสรรพคุณ ตำราธาตุบรรจบ และ ตำราโรคนิทาน บางครั้งแพทย์ต้องดูเวลาประกอบในการรักษา เพราะเป็นสาเหตุหนึ่งในความผิดปกติของ ร่างกายว่า เช่น อยู่ระยะเริ่มต้น ระยะเป็นมากขึ้น และระยะทุเลาลง ตามที่อธิบายบอกชื่อตำราไว้ตั้งแต่ แรก แพทย์ควรไปศึกษาเล่าเรียนให้ครบทุกตำรา ๑๙ ไม่รู้คัมภีร์เวช ห่อนเห็นเหตุซึ่งโรคทำ แพทย์เอ๋ยอย่างมคลำ จักขุมืด บ เห็นหน ๒๐ แพทย์ใดจะหนีทุกข์ ไปสู่สุขนิพพานดล พิริยสติตน ประพฤติได้จึ่งเป็นการ ๒๑ ศีลแปดแลศีลห้า เร่งรักษาสมาทาน ทรงไว้เป็นนิจกาล ทั้งไตรรัตน์สรณา ๒๒ เห็นลาภอย่าโลภนัก อย่าหาญหักด้วยมารยา ไข้น้อยว่าไข้หนา อุบายกล่าวให้พึงกลัว ถอดความ : ถ้าไม้รู้ตำราแพทย์ ก็จะไม่ทราบสาเหตุของโรค รักษาเหมือนคนตาบอด มืดมน แพทย์คนใดจะดับ ความทุกข์และกิเลสทั้งปวง เพื่อเข้าถึงพระนิพพาน จะต้องระลึก และปฏิบัติตนเสมอ แพทย์ควรยึดพระ พุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง และรักษาศีล ๘ และศีล ๕ เป็นประจำ อย่าหลงในสิ่งที่ได้มาโดยไม่ คาดคิด อย่าโลภ อย่าหลอกลวงคนไข้เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ ๒๓ โทโสจงอดใจ สุขุมไว้อยู่ในตัว คนไข้ยิ่งคร้ามกลัว มิควรขู่ให้อดใจ ๒๔ โมโหอย่าหลงเล่ห์ ด้วยกาเมมิจฉาใน พยาบาทแก่คนไข้ ทั้งผู้อื่นอันกล่าวกล ๒๕ วิจิกิจฉาเล่า จงถือเอาซึ่งครูตน อย่าเคลือบแคลงอาการกล เห็นแม่นแล้วเร่งวางยา ถอดความ : แพทย์ควรรู้จักยับยั้งใจ สุภาพอ่อนโยนต่อคนไข้อย่าข่มขู่คนไข้ ให้เกิดความกลัว อย่าหมกมุ่นหา อุบายเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการที่ไม่ถูกต้อง ไม่ผูกใจเจ็บอาฆาตแค้นกับคนไข้และผู้อื่นที่เคยหลอกลวง ตน หากมีความสงสัยจงมั่นใจในครูของตนและสิ่งที่เล่าเรียนมา บางครั้งอาการของคนไข้อาจลวงให้แพทย์ สับสน ถ้าแน่ในแล้วก็รีบให้ยารักษา


9 ๒๖ อุทธัจจังอย่าอุทธัจ เห็นถนัดในโรคา ให้ตั้งตนดังพระยา ไกรสรราชเข้าราวี ๒๗ อนึ่งโสดอย่าซบเซา อย่าง่วงเหงานั้นมิดี เห็นโรคนั้นถอยหนี กระหน่ำยาอย่าละเมิน ๒๘ ทิฏฐิมาโนเล่า อย่าถือเอาซึ่งโรคเกิน รู้น้อยอย่าด่วนเดิน ทางใดรกอย่าครรไล ถอดความ : เป็นแพทย์อย่าคิดฟุ้งซ่าน ถ้าเห็นแน่ชัดแล้วว่าคนไข้ป่วยด้วยโรคอะไร ก็ให้มั่นใจในการรักษาประดุจ พญาราชสีห์เข้าล่าเหยื่อ แพทย์ควรเป็นคนตื่นตัวตลอดเวลา ไม่ง่วงเหงาหาวนอนเพราะจะไม่ส่งผลดีต่อการ รักษา ถ้าโรคที่รักษาทุเลาลงควรให้ยารักษาต่อไปจนมั่นใจว่าหายจริงๆ อย่าละเลย แพทย์ไม่ควรเป็นคนอวด ดี พยายามรักษาโรคที่เกินความสามารถของตน หากไม่มีความรู้ไม่ควรรีบลงมือรักษา ถ้าไม่รู้จริงอย่าทำ ๒๙ อย่าถือว่าตนดี ยังจะมียิ่งขึ้นไป อย่าถือว่าตนใหญ่ กว่าเด็กน้อยผู้เชี่ยวชาญ ๓๐ ผู้ใดรู้ในทางธรรม ให้ควรยำอย่าโวหาร เรียนเอาเป็นนิจกาล เร่งนบนอบให้ชอบที ๓๑ ครูพักแลครูเรียน อักษรเขียนไว้ตามมี จงถือว่าครูดี เพราะได้เรียนจึ่งรู้มา ถอดความ : แพทย์ไม่ควรถือตัวว่าเก่งกว่าคนอื่นเสมอไป เพราะอาจมีคนเก่งกว่าเรามาก แม้ผู้ที่มีอายุยังน้อยก็ อาจมีความรู้ความชำนาญมากกว่าเราในบางเรื่อง หากผู้ใดปฏิบัติดีมีคุณธรรม ควรให้ความเคารพนพ นอบ และเรียนรู้จากคนนั้นอยู่ตลอดเวลา ให้ยกย่องครูเพราะมีครูจึงมีวิชาความรู้ ทั้งครูพักลักจำ ครูที่สั่ง สอนปกติ ครูที่เป็นตำรา ๓๒ วิตักโกนั้นบทหนึ่ง ให้ตัดซึ่งวิตักกา พยาบาทวิหิงสา กามราคในสันดาน ๓๓ วิจาโรให้พินิจ จะทำผิดฤาชอบกาล ดูโรคกับยาญาณ ให้ต้องกันจะพลันหาย ๓๔ หิริกังละอายบาป อันยุ่งหยาบสิ้นทั้งหลาย ประหารให้เสื่อมคลาย คือตัดเสียซึ่งกองกรรม ถอดความ : แพทย์ที่ดีต้องไม่มีความลังเล ไม่มีจิตวิตกในอกุศล ๓ อย่าง คือ ๑. พยาบาทวิตก (มุ่งร้าย) ๒. วิหิงสาวิตก (การมั่วเมาครุ่นคิด) ๓. กามราควิตก (มุ่งร้ายเพราะความต้องการที่มีมาแต่กำเนิด) แพทย์ที่ดีควร


10 เวลาใดควรทำอะไรก่อนหรือหลัง ควรดูโรคกับยาให้ถูกกันจึงจะรักษาโรคให้กายได้ แพทย์ควรมีความละอาย และเกรงกลัวต่อบาปและความหยาบช้า ทั้งปวง ๓๕ มโนตัปปังบทบังคับ บาปที่ลับอย่าพึงทำ กลัวบาปแล้วจงจำ ทั้งที่แจ้งจงเว้นวาง ๓๖ อย่าเกียจแก่คนไข้ คนเข็ญใจขาดในทาง ลาภผลอันเบาบาง อย่าเกียจคนพยาบาล ๓๗ เท่านี้กล่าวไว้ใน ฉันทศาสตรเป็นประธาน ลอนกล่าวให้วิตถาร ใครรู้แท้นับว่าชาย ถอดความ : ความระอายและเกรงกลัวต่อบาปเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้คน ให้ดูแลรักษาคนไข้ไม่ว่า ยากดีมีจน ควรรักษาให้เสมอเท่าเทียมกัน มีเพียงเท่านี้ที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ฉันทศาสตร์ ใครศึกษาให้รู้จริงถือ ว่าเป็นคนจริง ๓๘ อนึ่งจะกล่าวสอน กายนครมีมากหลาย ประเทียบเปรียบในกาย ทุกหญิงชายในโลกา ๓๙ ดวงจิตคือกระษัตริย์ ผ่านสมบัติอันโอฬาร์ ข้าศึกคือโรคา เกิดเข่นฆ่าในกายเรา ๔๐ เปรียบแพทย์คือทหาร อันชำนาญรู้ลำเนา ข้าศึกมาอย่าใจเบา ห้อมล้อมรอบทุกทิศา ๔๑ ให้ดำรงกระษัตริย์ไว้ คือดวงใจให้เร่งยา อนึ่งห้ามอย่าโกรธา ข้าศึกมาจะอันตราย ถอดความ : อีกอย่างจะสอนแพทย์ว่าร่างกายของหญิงชายในโลกนี้ เปรียบเหมือนเมืองๆ หนึ่ง เปรียบหัวใจ เหมือนกษัตริย์ที่ครองราชย์ในเมืองนั้น เปรียบเมืองเหมือนร่างกาย เปรียบโรคภัยคือข้าศึกที่เข้ามาโจมตีเมือง เปรียบแพทย์เป็นทหารของเมืองที่รู้ภูมิประเทศของเมืองอย่างดี เมื่อมีข้าศึกเข้ามาอย่าวางใจ ต้องป้องกัน เมืองไว้อย่าดี การรักษาหัวใจเปรียบได้กับการรักษากษัตริย์ของเมืองไว้ แพทย์ต้องใจเย็นๆ รักษาอย่างมีสติ ไม่ โกรธ เพราะอาจเกิดอันตราย ๔๒ ปิตตํ คือ วังหน้า เร่งรักษาเขม้นหมาย อาหารอยู่ในกาย คือเสบียงเลี้ยงโยธา ๔๓ หนทางทั้งสามแห่ง เร่งจัดแจงอยู่รักษา ห้ามอย่าให้ข้าศึกมา ปิดทางได้จะเสียที


11 ๔๔ อนึ่งเล่ามีคำโจทก์ กล่าวยกโทษแพทย์อันมี ปรีชารู้คัมภีร์ เหตุฉันใดแก้มิฟัง ถอดความ : น้ำดีในตับทำหน้าที่ย่อยอาหาร เปรียบเหมือนวังหน้าต้องดูแลรักษาให้ดีเพราะทำหน้าที่ย่อยอาหาร ไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ซึ่งเปรียบเหมือนเสบียงอาหารที่หล่อเลี้ยงทหารในกองทัพ ทั้ง ๓ อย่าง คือ หัวใจ น้ำดีอาหาร ต้องรักษาดูแลให้ดีอย่าให้เชื้อโรคเข้ามาทำลายได้ เพราะจะพลาดโอกาสในการ รักษา อีกอย่างบางครั้งแพทย์ก็มีความชำนาญ ก็อาจไม่สามารถแก้ไขรักษาโรคให้หายได้ ๔๕ คำเฉลยแก้ปุจฉา รู้รักษาก็จริงจัง ด้วยโรคเหลือกำลัง จึ่งมิฟังในการยา ๔๖ เมื่ออ่อนรักษาได้ แก่แล้วไซร้ยากหนักหนา ไข้นั้นอุปมา เหมือนเพลิงป่าไหม้ลุกลาม ๔๗ เป็นแพทย์พึงสำคัญ โอกาสนั้นมีอยู่สาม เคราะห์ร้ายขัดโชคนาม บางทีรู้เกินรู้ไป ถอดความ : คำถามนี้ตอบได้ว่า ถึงมีความรู้ความสามารถในการรักษา แต่โรคถึงขั้นรุนแรงเกินการรักษาแล้ว เมื่อเริ่มมีอาการของโรคจะรักษาง่ายกว่าเมื่อเป็นมากแล้ว เพราะโรคร้ายเปรียบเหมือนไฟป่าที่ลุกลาม ถ้า รุนแรงแล้วดับยาก แพทย์ควรจำไว้ว่าโอกาสทำให้เสียชื่อเสียงมีอยู่ ๓ อย่าง คือ ๑ คิดว่ารู้วิธีรักษาแต่โรค ร้ายแรงเกินไป ๔๘ บางทีรู้มิทัน ด้วยโรคนั้นใช่วิสัย ตน บ รู้ทิฏฐิใจ ถือว่ารู้ขืนกระทำ ๔๙ จบเรื่องที่ตนรู้ โรคนั้นสู้ว่าแรงกรรม ไม่สิ้นสงสัยทำ สุดมือม้วยน่าเสียดาย ๕๐ บางทีก็มีชัย แต่ยาให้โรคนั้นหาย ท่านกล่าวอภิปราย ว่าชอบโรคนั้นเป็นดี ถอดความ : ๒. แพทย์ไม่มีความรู้ในการรักษาโรคนั้น แต่ทำการรักษา และ ๓. ไม่มรความรู้ในการรักษาโรคนั้นๆ แต่ฝืนรักษาคนไข้ไป เมื่อรักษาจนสุดฝีมือแล้วไม่หายคนไข้ตาย ก็ไปโทษว่าเกิดจาก แรงกรรม ซึ่งเป็นที่น่าเสียดาย แต่บางครั้ง บังเอิญรักษาให้หายได้เพราะยา ก็กล่าวอ้างว่าตนมีความรู้ในการรักษาโรคนั้นเป็นอย่างดี


12 ๕๑ ผู้ใดใครทำชอบ ตามระบอบพระบาลี กุศลผลจะมี อเนกนับเบื้องหน้าไป ๕๒ เรียนรู้ให้แจ้งกระจัด เห็นโรคชัดอย่าสงสัย เร่งยากระหน่ำไป อย่าถือใจว่าลองยา ๕๓ จะหนีหนีแต่ไกล ต่อจวนใกล้จะมรณา จึ่งหนีแพทย์นั้นหนา ว่ามิรู้ในท่าทาง ถอดความ : แพทย์คนใดประพฤติได้ถูกต้องตามหลักในทางพระพุทธศาสนา ในอนาคตจะได้รับผลดีจากการ กระทำนั้น แพทย์ควรเรียนรู้ให้รู้จริงว่าเป็นโรอะไรแล้วให้ยาให้ถูกโรค อย่าใช้วิธีลองยา ถ้าไม่มีความรู้ก็ควร ปฏิเสธการรักษาแต่แรก อย่าลองรักษาจนคนไข้อาการหนักใกล้ตายจึงทิ้งการรักษา ถือว่าไม่ถูกต้อง ๕๔ อำไว้จนแก่กล้า แพทย์อื่นมาก็ขัดขวาง ต่อโรคเข้าระวาง ตรีโทษแล้วจึ่งออกตัว ๕๕ หินชาติแพทย์เหล่านี้ เวรามีมิได้กลัว ทำกรรมนำใส่ตัว จะตกไปในอบาย ๕๖ เรียนรู้คัมภีร์ไสย สุขุมไว้อย่าแพร่งพราย ควรกล่าวจึ่งขยาย ย่ายื่นแก้วแก่วานร ๕๗ ไม่รักจะทำยับ พาตำรับเที่ยวขจร เสียแรงเป็นครูสอน ทั้งบุญคุณก็เสื่อมสูญ ถอดความ : ปิดบังไว้จนคนไข้มีอาการหนัก แพทย์คนอื่นจะรักษาก็ไม่เปิดโอกาสให้ จนโรคนั้นเข้าขั้น ที่ เสมหะ เลือด ลมเป็นพิษ แพทย์ลักษณะนี้ถือว่าเป็นคนไม่ดีไม่กลัวผลของความชั่วที่ตนกระทำ ตายไปก็จะตกนรก เรียนรู้คัมภีร์ ต่างๆ ควรสุขุมเก็บความรู้ไว้ไม่ต้องบอกคนทั่วไป ถ้าเห็นสมควรบอกค่อยบอก อย่าบอกสิ่งดีๆ ให้กับคนที่ ไม่รู้ค่า คนที่ไม่รักในวิชาความนั้นจะทำให้เกิดความเสียหาย ความรู้ที่ลงแรงบอกสอนไปจะไม่เกิด ประโยชน์ และไม่มีเห็นบุญคุณ ๕๘ รู้แล้วเที่ยวโจทย์ทาย แกล้งภิปรายถามเค้ามูล ความรู้นั้นจะสูญ เพราะสามหาวเป็นใจพาล ๕๙ ผู้ใดจะเรียนรู้ พิเคราะห์ดูผู้อาจารย์ เที่ยงแท้ว่าพิสดาร ทั้งพุทธไสยจึ่งควรเรียน ๖๐ แต่สักเป็นแพทย์ได้ คัมภีร์ไสยไม่จำเนียร ครูนั้นไม่ควรเรียน จะนำตนให้หลงทาง


13 ถอดความ : (คนพวกนี้) ได้ความรู้มาแล้วก็ไม่เชื่อถือความรู้ตั้งคำถามข้อสงสัยในความรู้ความรู้ที่ได้รับมาก็จะ หมดไป เพราะเขาไม่เชื่อ คนใดต้องการเรียนรู้ต้องพิจารณาคนที่เป็นครูว่ามีความรู้ทั้งทางศาสนาพุทธและ ทางไสยศาสตร์ จึงจะสมควรไปเรียนด้วย ถ้าเป็นเพียงแพทย์แต่ไม่มีความรู้เรื่องไสยศาสตร์ ไม่ควรไปศึกษา เล่าเรียนด้วย เพราะจะทำให้เสียเวลาและเข้าใจผิด ๖๐ แต่สักเป็นแพทย์ได้ คัมภีร์ไสยไม่จำเนียร ครูนั้นไม่ควรเรียน จะนำตนให้หลงทาง ๖๑ เราแจ้งคัมภีร์ฉัน ทศาสตร์อันบุราณปาง ก่อนกล่าวไว้เป็นทาง นิพพานสุศิวาไลย ถอดความ : ถ้าเป็นเพียงแพทย์แต่ไม่มีความรู้เรื่องไสยศาสตร์ ไม่ควรไปศึกษาเล่าเรียนด้วย เพราะจะทำให้ เสียเวลาและเข้าใจผิด เป็นที่ทราบกันดีว่าคัมภีร์ฉันทศาสตร์เป็นตำราที่แต่งมานาน เป็นแนวทางในการ ประพฤติตนไปสู่พระนิพพาน ซึ่งเป็นแดนแห่งการพ้นทุกข์ ๖๒ อย่าหมิ่นว่ารู้ง่าย ตำรับรายอยู่ถมไป รีบด่วนประมาทใจ ดังนั้นแท้มิเป็นการ ๖๓ ลอกได้แต่ตำรา เที่ยวรักษาโดยโวหาร อวดรู้ว่าชำนาญ จะแก้ไขให้พลันหาย ๖๔ โรคคือครุกรรม บรรจบจำอย่าพึงทาย กล่าวเล่ห์อุบายหมาย ด้วยโลภหลงในลาภา ถอดความ : อย่าดูหมิ่นว่าตำรา วิชาความรู้ที่มีอยู่เป็นเรื่องง่าย คนคิดอย่างนี้ถือเป็นคนประมาท แท้จริงแล้วไม่ มีความรู้ใดๆ เลย คัดลอกได้แต่ตัวหนังสือ ออกไปรักษาคนไข้โดยจำแต่ตำราไปพูดไปแสดงให้คนอื่นเข้าใจว่า มีความรู้ความชำนาญสามารถรักษาให้หายได้ทันที ใช้กลอุบายทำนายว่าโรคร้ายเกิดจากกรรมหนักของ คนไข้ เพียงเพื่อหวังในโชคลาภจากค่ารักษา ๖๕ บ้างจำแต่เพศไข้ สิ่งเดียวได้สังเกตมา กองเลือดว่าเสมหา กองวาตาว่ากำเดา ๖๖ คัมภีร์กล่าวไว้หมด ไยมิจดมิจำเอา ทายโรคแต่โดยเดา ให้เชื่อถือในอาตมา ๖๗ รู้น้อยอย่าบังอาจ หมิ่นประมาทในโรคา แรงโรคว่าแรงยา มิควรถือว่าแรงกรรม


14 ถอดความ : แพทย์บางคนจำเอาอาการไข้ที่แสดงให้เห็นอย่าเดียว กองเลือดก็บอกว่าเสมหะ ลมที่ออกมาก็ บอกว่าเป็นเลือดกำเดา ตำราบอกไว้ทุกเรื่องแต่ไม่จดจำ บอกว่าเป็นโรคอะไรโดยการคิดเอาเองโดยไม่มี เหตุผล เพื่อให้คนอื่นนับถือ ถ้ามีความรู้น้อยอย่าประมาทในโรค ความรุนแรงของโรคอย่าเดาว่าเป็นฤทธิ์ ยา หรือแรงกรรมเก่าของคนไข้ ๖๘ อนึ่งท่านได้กล่าวถาม อย่ากล่าวความบังอาจอำ เภอใจว่าตนจำ เพศไข้นี้อันเคยยา ๖๙ ใช่โรคสิ่งเดียวดาย จะพลันหายในโรคา ต่างเนื้อก็ต่างยา จะชอบโรคอันแปรปรวน ถอดความ : อีกอย่าง หากคนไข้ถามแพทย์อย่าพูดตามอำเภอใจว่าโรคนี้ตนเองเคยให้ยารักษามาแล้ว ถึงแม้ จะเป็นโรคเดียวกัน บางคนก็อาจไม่ถูกกับยาชนิดเดียวกันก็ได้ เข้าทำนอง “ลางเนื้อชอบลางยา” ๗๐ บางทีก็ยาชอบ แต่เคราะห์ครอบจึ่งหันหวน หายคลายแล้วทบทวน จะโทษยาก็ผิดที ๗๑ อวดยาครั้นให้ยา เห็นโรคาไม่ถอยหนี กลับกล่าวว่าแรงผี ที่แท้ทำไม่รู้ทำ ๗๒ เห็นลาภจะใคร่ได้ นิยมใจไม่เกรงกรรม รู้น้อยบังอาจทำ โรคระยำเพราะแรงยา ถอดความ : บางทีก็ให้ยาแต่กลับมีอาการรุนแรงขึ้นอีก จะไปโทษว่ายาไม่ดีก็ไม่ได้ แพทย์บางคนอวดอ้างใน สรรพคุณยาที่ให้แล้วโรคร้ายยังไม่หาย ก็กลับพูดว่าเกิดจากผีร้าย ที่แท้แล้วรักษาไม่ถูกทางนั้นเอง ที่พูด อย่างนั้นเพื่อที่จะรับค่ารักษา เกิดจากความรู้ไม่มีแล้วพยายามให้ยารักษาแต่ไม่ถูกทาง เพราะตัวยาจึงทำให้ โรคมีอาการรุนแรงมากขึ้น ๗๓ โรคนั้นคือโทโส จะภิยโยเร่งวัฒนา แพทย์เร่งกระหน่ำยา ก็ยิ่งยับระยำเยิน ๗๔ รู้แล้วอย่าอวดรู้ พินิจดูอย่าหมิ่นเมิน ควรยาหรือยาเกิน กว่าโรคนั้นจึ่งกลับกลาย ๗๕ ถนอมทำแต่พอควร อย่าโดยด่วนเอาพลันหาย ผิโรคนั้นกลับกลาย จะเสียท่าด้วยผิดที


15 ถอดความ : โรคนั้นจึงกำเริบ (โทโส) เกิดอาการรุนแรงมากขึ้นอย่างรวดเร็ว หากแพทย์ให้ยาเพิ่มก็ยิ่งทำให้ อาการรุนแรงมากขึ้น อย่าอวดว่าสิ่งที่ทำไปในการรักษาถูกต้อง ควรพิจารณาด้วย ความถี่ถ้วนว่า อาการ กำเริบเกิดจากการให้ยาผิดหรือไม่จึงเป็นเช่นนั้น ควรค่อยระมัดระวังในการรักษา อย่ารีบร้อนรักษาโดยหวัง จะให้โรคหายทันทีอาการของโรคอาจทรุดหนักเพราะรักษาผิดโรค ๗๖ บ้างได้แต่ยาผาย บรรจุถ่ายจนถึงดี เห็นโทษเข้าเป็นตรี จึ่งออกตัวด้วยตกใจ ๗๗ บ้างรู้แต่ยากวาด เที่ยวอวดอาจไม่เกรงภัย โรคน้อยให้หนักไป ดังก่อกรรมให้ติดกาย ถอดความ : แพทย์บางคนก็รู้แต่เรื่องยาระบาย ให้ยาระบายจนน้ำดีผิดปกติคนไข้มีอาการใกล้ตายจึงออกตัว เพราะตกใจ แพทย์บางคนมีความรู้เฉพาะเรื่องยากวาด เที่ยวอวดอ้างความสามารถไปทั่วไม่กลัว อันตราย โรคไม่หนักก็ทำให้หนักขึ้น ทำให้กรรมชั่วติดตามตัวไป


16 อาการของโรคทับ ๘ ประการ อาการของโรคทับ ๘ ประการ ทับ คือ อาการของโรคอย่างหนึ่งซึ่งเกิดแทรกซ้อนโรคหนึ่งที่เป็นอยู่ ก่อน ทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้นในคัมภีร์ฉันทศาสตร์กล่าวถึงทับ ๘ ประการ ซึ่งเป็นอาการที่เกิดกับเด็กมีชื่อ ต่าง ๆ โดยระบุอาการ วิธีการสังเกตอาการและแนวทางการรักษาดังนี้ ๑.ทับสองโทษ นัยหนึ่งนั้นเด็กไข้ แม่ซางใดมากระทำ เข้าประจำสองโทษ กุมารโสดให้ท้องขึ้น เท้ามือมึนเยือ เย็น อุจจาระเหม็นพิการ พอมาพานสำรอกทับ อาการกลับแรงร้าย เป็นลงท้องกระหายน้ำ มีกำลัง ด้วยเชื่อมมัว ให้ปวดหัวตัวร้อน ตีนมือท่อนปลายเย็น อาการเป็นดังนี้ เอายาตรีให้กินเช้า ยามเที่ยงเอา หอมผักหนอก ยามเย็นบอกประสะนิลน้อย ให้กินสำหรับ อาการ : เด็กท้องขึ้น มือเท้าเย็น อุจจาระเหม็นผิดปกติอาเจียน ลงท้อง กระหายน้ำ ปวดหัวตัวร้อน การรักษา : เช้า ยาตรีหอม เที่ยงวัน ยาหอมผักหนอก เย็น ยาประสะนิลน้อย ๒.ทับสำรอก หนึ่งซางทับสำรอก อาจารย์บอกไว้แจ้ง สำรอกแห่งกุมาร มีอาการสี่อย่าง เหลืองเขียวบ้างเสมหะ เป็นเม็ด มะเขือก็มี ยังทวีด้วยซางแทรก อาการแปลกต่อไป ขึ้นคอไอนอนผวา ไม่นำพาซึ่งนมข้าว ตัวนั้นเล่าบาง ทีร้อน บางทีผ่อนให้หนาว แลบางคราวเป็นท่อน เย็นและร้อนไม่เหมือนกัน หนึ่งตามันมักดูบน ซาง ระคนกับสำรอก อาการบอกจะแจ้งใจ อาการทับ : มีอาการสี่อย่าง อาเจียนออกมาเป็นสีเหลืองบ้าง สีเขียวบ้าง เป็นเสมหะบ้าง เป็นเม็ด มะเขือบ้าง มีเม็ดขึ้นในคอ ทำให้ไอ นอนผวา ไม่กินนม ไม่กินข้าว เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว แลบางคราว ร่างกาย เย็นและร้อนเป็น ส่วน ๆ ตามักช้อนขึ้นบน การรักษา : ในหนังสือไม่ปรากฏ ๓.ทับละออง หนึ่งนั้นไซร้ซางทำ เจ็บประจำอยู่ก่อน ให้อธิกรณ์แก้เด็กใด ท้องลงไหลเป็นมูกคละ อุจจาระพิการเป็น เปรี้ยวคาวเหม็นสองอย่าง ละอองซางขึ้นคอใน กำเริบไอเป็นหมู่ ๆ กำเดาจู่มาซ้ำเข้า ให้ซึมเซาเชื่อม มัว หัวตัวเป็นเปลวร้อน โดยอธิกรณ์สังเกตมา แพทย์ให้ยาอย่าดูเบา อาการ : ทารกมีละอองซางเกิดขึ้นในคอ ไอกำเริบเป็นหมู่ ๆ (ไอถี่ ๆ เป็นชุด ๆ) ท้องเดิน อุจจาระเป็น มูก มีกลิ่นคาวและเปรี้ยวซึมเซา เชื่อมมัว ตัวร้อนจัดดังเปลวไฟ การรักษา : ในหนังสือไม่ปรากฏ


17 ๔.ทับกำเดา หนึ่งกำเดาเป็นต้นไข้ ทำให้ไอปวดหัว ทั่วตัวเป็นเปลวร้อน นอนสะท้อนถอนใจใหญ่ ดูหายใจติดจะสั้น ปากคอ นั้นแห้งสามารถ หลับ ๆ หวาดผวาไห้ ซางนั้นไซร้พลอยเกิด เม็ดกำเนิดในคออก เข้านมยก บ พาน ต้องหลัง ดานท้องขึ้นแข็ง อาการแสดงเป็นสองโทษ อาจารย์โจทย์ให้เห็น ให้ยาเย็นแลสุขุม อาการ : มีไข้ ไอ ปวดศีรษะ ตัวร้อนดังเปลวไฟ ถอนใจใหญ่ (หายใจแรง) หายใจสั้น ปากคอแห้ง หลับ ๆ หวาดผวาเกิดเม็ดในลำคอ ในอก ไม่กินข้าว ไม่กินนม ท้องขึ้นแข็ง การรักษา : ให้ยาเย็นและสุขุม ๕. ทับกุมโทษ หนึ่งซางกุมโทษให้ ยังอยู่ในระหว่างทำ มูกเลือดดำสดก็มี ปวดแบ่งทวีเป็นกำลัง กำเดาบังเกิดจรมา ทั่วกา ยาร้อนตลอด เชื่อมมัวทอดไม่สมปฤดี เห็นวารีให้อยาก หายใจกระดากให้ขัด โทษอุบัติดังนี้ไซร้ มิเป็นไรพอ กระทำ เช้ายาน้ำสมอไทย ยามเที่ยงให้หอมผักหนอก อาจารย์บอกอย่าพลั้ง อาการ : อุจจาระเป็นมูกเลือด มีสีดำหรือสีแดงสด ปวดเบ่งมากตัวร้อนมากตลอดทั้งตัว เชื่อมมัวทอด ไม่สมปฤดี หายใจขัด กระหายน้ำ การรักษา : เช้า ให้ยาน้ำสมอไทย , ยามเที่ยง ให้ยาหอมผักหนอก ๖. ทับเชื่อมมัว หนึ่งกำลังเด็กกำเดา ให้ซึมเซาเชื่อมมัว ปวดหัวตัวร้อนกล้า แต่บาทาตลอดบน บางทีท้นท้องขึ้นแรง หอบ ไอแห้งทำต่าง ๆ มูกเลือดขวางมาทับให้ ลงมิได้เป็นเพลา ให้เวทนากระหายน้ำ ปวดแบ่งซ้ำเป็นกำลัง อาการ ดังที่กล่าวมา พอเยียวยาไว้ได้ อาการ : ทารกเป็นไข้กำเดา ซึมเซาเชื่อมมัว ปวดหัว ตัวร้อนจัด ท้องขึ้น หอบไอแห้ง ๆ ทับมีอาการอุจจาระเป็นมูกเลือด ลงมิได้เป็นเวลา ปวดเบ่งเป็นกำลัง กระหายน้ำ การรักษา : ในหนังสือไม่ปรากฏ ๗. ทับซาง หนึ่งซางไซร้กระทำก่อน มันเบียนบ่อนกินปอดตับ โดยตำหรับท่านกล่าวว่า ลงออกมาเป็นส่าเหล้า น้ำ ไข่เน่าคาวขื่นเหม็น ปลายมือเป็นมูกเลือดสด ให้ระทดแบ่งปวดมวน หิวโหยหวนกระหายน้ำ ตับนั้นซ้ำซุดลง มา ให้เวทนายิ่งมากเข้า เลือดเสลดเน่าพิการกล ตัวร้อนท้นทำท้องขึ้น ตีนมือมึนเยือกเย็น หนึ่งจงเห็น หายใจขัด อาการชัดดังกล่าวอ้าง เหลือแพทย์ง้างให้คืนกลับ อาการ : เป็นไข้ ซางกินปอด ตับอยู่ภายใน ถ่ายออกมาคล้ายน้ำส่าเหล้าบ้าง คล้ายน้ำไข่ เน่าบ้าง มี กลิ่นเหม็นคาว สุดท้ายถ่ายเป็นมูกเลือด ปวดเบ่ง หิว กระหายน้ำ อาจทำให้มีอาการตับทรุด อาการ หนักขึ้น ถ่ายออกมาเป็นเลือดเสลดเน่า ตัวร้อน ท้องขึ้น มือเท้าเย็น หายใจขัด ยากจะรักษา การรักษา : ในหนังสือไม่ปรากฏ


18 ๘. ทับช้ำใน หนึ่งบังคับไว้ว่า กุมารากุมารี ล้มอกตีสีข้างฟัด ชอกช้ำขัดในกายา อยู่นานมาจับไข้ ตัวร้อนไปเป็น เพลา ดูหน้าตาไม่มีสี ยังทวีด้วยอาการ ตับบันดาลตกจากที่ สองโทษทวีระคนกัน ให้ท้องนั้นร่วงลง มา เป็นส่าเหล้าแลไข่เน่า เบื้องปลายเล่าเป็นมูกเลือด ไม่ห่างเหือดเวลา นอนหลับตาเบ่งปวด ตัวร้อนรวดรุ่ม ไป หนึ่งหายใจสะอื้นขัด ตีนมือสะบัดเย็นแลร้อน ทำยอกย้อนให้ฉงน อาการกลมีนานา แม้นชัดดังเช่น ว่า โทษแท้เที่ยงตาย อาการ : ขัดยอกในกายเหตุหกล้ม อกและสีข้างกระแทก (ตับได้รับการกระทบกระแทก) ชอกช้ำ ภายใน (ตับ) อยู่นานมา จับไข้ ตัวร้อนเป็นเวลา หน้าตาไม่มีสี( ซีด ) ให้มีอาการตับทรุด อุจจาระเป็นส่าเหล้า แลไข่เน่าแล้วเป็นมูกเลือด ปวดเบ่ง ตัวร้อนหายใจสะอื้นขัด มือเท้าเดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อน มีโทษถึงตาย การรักษา : ในหนังสือไม่ปรากฏ


19 คำศัพท์


20


21


22 บทวิเคราะห์ ๑.คุณค่าด้านเนื้อหา ๑. รูปแบบ คัมภีร์ฉันทศาสตร์ เป็นชื่อตำรารวบรวมความรู้ หลากหลาย ในชุดแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ เนื้อหา แบ่งเป็น ๑๙ ตอน ผู้แต่งเลือกใช้คำประพันธ์ในการ นำเสนอได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะใช้กาพย์ยานี ๑๑ ในบทนำ ซึ่งเป็นบทไหว้ครู และต่อด้วยการสอนจรรยา แพทย์ และข้อควรปฏิบัติสำหรับแพทย์ ส่วนเนื้อหาที่ว่าด้ายลักษณะทับ ๘ ประการผู้แต่งใช้คำประพันธ์ประเภทร่ายอธิบายให้ความรู้ เกี่ยวกับโรคและการรักษาโรคของแพทย์แผนไทย ๒. องค์ประกอบของเรื่อง ๒.๑ สาระสำคัญหรือแก่นเรื่อง ในส่วนที่คัดมาเรียน เป็นการกล่าวถึงความสำคัญของแพทย์และคุณสมบัติที่แพทย์พึงมี ซึ่งจะช่วยให้ รักษาโรคได้ผลมากกว่าการมีความรู้เรื่องยาอย่างเดียว ๒.๒ โครงเรื่อง การลำดับเนื้อความเริ่มด้วยบทไหว้ครู ซึ่งเป็นการไหว้พระรัตนตรัย ไหว้เทพเจ้าของพราหมณ์ ไหว้ หมอชีวกโกมารภัจ (แพทย์หลวงของพระเจ้าพิมพิสารแห่งแคว้นมคธ) ต่อจากนั้นเป็นบทไหว้ครูแพทย์โดยทั่วไป เนื้อหาบทต่อมากล่าวถึงความสำคัญของแพทย์และจรรยา แพทย์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แพทย์พึงมี และตอนท้ายกล่าวถึงลักษณะทับ ๘ ประการ ได้แก่อาการของโรคชนิด หนึ่งที่แทรกซ้อนโรคชนิดอื่นที่เป็นอยู่ก่อน ๒.๓ กลวิธีในการแต่ง เป็นตำราที่มีเนื้อหาเฉพาะด้าน การนำเสนอ เป็นการอธิบายโวหารเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อกล่าวถึง เรื่องที่เป็นนามธรรม ผู้เขียนเลือกใช้อุปมาโวหาร หรือ บทเปรียบเทียบ ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายได้ ง่ายและเห็นภาพจากบทประพันธ์ชัดเจนมากขึ้น


23 ตัวอย่าง จะกล่าวคัมภีร์ฉัน ทศาสตร์บรรพ์ที่ครูสอน เสมอ ดวงทินกร แลดวงจันทร์กระจ่างตา ๒.คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑. การสรรคำ ผู้แต่งได้เลือกคำที่สื่อความหมายและความคิดได้อย่างเหมาะสมทำให้เข้าใจง่าย ดังนี้ ๑.๑ การใช้ถ้อยคำที่เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง กวีเลือกใช้คำที่สามารถถ่ายทอดความรู้ให้เข้าใจได้ อย่างตรงไปตรงมา ดังตัวอย่าง บางหมอก็กล่าวคำ มุสาซ้ำกระหน่ำความ ยกตนว่าตนงาม ประเสริฐยิ่งในการยา บางหมอก็เกียจกัน ที่พวกอันแพทย์รักษา บางกล่าวเป็นมารยา เขาเจ็บน้อยว่ามากครัน บางกล่าวอุบายให้ แก่คนไข้นั้นหลายพัน หวังลาภจะเกิดพลัน ด้วยเชื่อถ้อยอาตมา ๑.๒ การใช้สำนวนไทย มีการใช้ สำนวนไทยประกอบการอธิบาย ช่วยให้เข้าใจ เนื้อความได้ชัดเจนยิ่งขึ้นดังตัวอย่าง เรียนรู้คัมภีร์ไสย สุขุมไว้ อย่างแพร่งพราย ควรกล่าวจึ่งขยาย อย่ายื่น แก้วแก่วานร จากตัวอย่าง มีการใช้สำนวนไทย “อย่า ยื่นแก้วให้วานร”หมายถึงการให้ของมีค่าแก่คนที่ไม่รู้ค่าของสิ่งนั้น เหมือนกับการเรียนรู้คัมภีร์ไสย์ ที่ควร นำไปบอกต่อเมื่อเหมาะสมเท่านั้น ๒. การใช้โวหาร มีการใช้ถ้อยคำเปรียบเทียบเพื่อให้ผู้อ่าน เข้าใจความหมายและเห็นภาพได้ชัดเจน ยิ่งขึ้น ดังตัวอย่าง อุทธัจจังอุทธัจ เห็นถนัดในโรคา ให้ตั้งตนอย่างพระยา ไกรสรราชเข้าราวี


24 จากตัวอย่าง สอนให้แพทย์ทำตนเหมือนราชสีห์ที่เข้าตะครุบเหยื่อ คือ เมื่อเห็นโรคแล้วให้รับรักษา อย่ามัวประหม่าฟุ้งซ่าน ๓.คุณค่าด้านสังคม ๑.สะท้อนให้เห็นความเชื่อของ สังคมไทย ฉันทศาสตร์มีความหมายว่า ตำรา (ศาสตร์) ที่แต่งเป็นสูตร (ฉันท์) ตามอย่าง ตำราการแพทย์ในคัมภีร์อาถรรพ์เวท ตำรา อาถรรพ์เวท เป็นพระเวทหนึ่งในศาสนา พราหมณ์ จึงมีเรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์ด้วย จึง มักพบคำว่า “คัมภีร์ไสย์”ปรากฏอยู่ในคำ ประพันธ์ ดังตัวอย่าง เรียนรู้ให้ชัดเจน จบจังหวัดคัมภีร์ไสย์ ตั้งต้นปฐมใน ฉันทศาสตร์ดังพรรณนา แต่ในคัมภีร์ฉันศาสตร์ มีการประสานความเชื่อความคิดต่างๆ ทางสังคมและทางพระพุทธศาสนาเข้า ด้วยกัน เนื้อหาจึงปรากฏคำบาลีแสดงให้เห็นตลอด ทำให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ทาง พระพุทธศาสนา เช่น มิจฉา (ความผิด) พิริยะ (ความเพียร) วิจิกิจจา (ความลังเล) อุทธัจ(ความฟุ้งซ่าน) วิ หิงษา (เบียดเบียน) อโนตัปปัง (ความไม่สะดุ้งกลัวต่อบาป) อธิกรณ์ (โทษ) ๒. สะท้อนให้เห็นคุณค่าเรื่องแพทย์แผน ไทย ถ้าพิจารณาในส่วนที่กล่าวถึงทับ ๘ ประการ จะ เป็นได้ว่าแพทย์แผนไทยเป็นวิธีการรักษาโรคอีกวิธี หนึ่ง เป็นแพทย์ทางเลือกที่มีความจำเป็นในการรักษา โรค เราจะคิดว่าเป็นเรื่องที่ล้าสมัยไม่ได้ เพราะเวช กรรมแผนโบราณเป็นที่ยอมรับเชื่อถือมาช้า นาน ก่อนที่จะรับเอาวิทยาการแพทย์แผนใหม่มาจาก ชาติตะวันตกมาใช้ ซึ่งปัจจุบันการค้นคว้าวิจัยทาง แพทย์ จะกลับมาให้ความสนใจในการรักษาด้วยยาสมุนไพรตามแบบโบราณ โดยถือว่าเป็นทางเลือกทางหนึ่ง ในการรักษาโรคในปัจจุบัน


25 ๓. ให้ข้อคิดสำหรับการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน สามารถนำข้อคิดที่ได้จากการศึกษาคัมภีร์ฉันทศาสตร์ไป ใช้ได้ทุกสาขาอาชีพ เพราะไม่ว่าจะเป็นบุคคลในอาชีพใด ถ้าไม่มีความประมาท ความอวดดีความ ริษยา ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความหลงตัวเอง และการมีศีลธรรมประจำใจ ย่อมได้รับการยกย่องจาก บุคคลต่างๆ โดยเฉพาะในวิชาชีพแพทย์ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของชีวิตคน ต้องเป็นผู้ที่รอบรู้จริง ตั้งแต่การวินิจฉัยสมติฐานโรค การใช้ยา และความรับผิดชอบต่อผู้ป่วย ให้ปฏิบัติด้วยความรอบคอบไม่ ประมาท โดยมีคำสอนในทางพระพุทธศาสนาเป็นแนวทางในการชี้นำ ๔. ให้ความรู้เรื่องศัพท์ทางการแพทย์แผนโบราณ เช่น คำว่า “ธาตุพิการ”ธาตุทั้งสี่ (ดิน น้ำ ลม และไฟ) ในร่างกายไม่ปกติ ทำให้เกิดโรคต่างๆ ขึ้นตามกองธาตุเหล่านั้น คำว่า “กำเดา” หมายถึงอาการไข้ อย่างหนึ่งเกิดจากหวัดเรียกว่า “ไข้กำเดา” อาการของโรคจะมีเลือดไหลออกทางจมูก เรียกว่าเลือดกำเดา คำ ว่า “ปวดมวน” หมายถึงการปั่นป่วนในท้อง


26 เอกสารประกอบหนังสือ คัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทยศาสตร์สงเคราะห์ - ครูอภิชิต สุธาวา (google.com) คัมภีร์ฉันทศาสตร์ Ppt[1] (slideshare.net) คัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทยศาสตร์สงเคราะห์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 วิชาภาษาไทย (startdee.com) คัมภีร์ฉันทศาสตร์ แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ อ.บุญกว้าง ศรีสุทโธ (google.com)


27 คณะผู้จัดทำ นางสาววรรณษา ไหว้ครู เลขที่1 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ห้อง3 โรงเรียนภูดินแดงวิทยา สังกัดองค์การบรหารส่วนจังหวัดสกลนคร นายนาวิน ชมภู เลขที่2 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ห้อง3 โรงเรียนภูดินแดงวิทยา สังกัดองค์การบรหารส่วนจังหวัดสกลนคร นายสรศักดิ์ สุวรรณโณ เลขที่6 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ห้อง3 โรงเรียนภูดินแดงวิทยา สังกัดองค์การบรหารส่วนจังหวัดสกลนคร นางสาวกัญญารัตน์ บุตรเพ็ง เลขที่8 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ห้อง3 โรงเรียนภูดินแดงวิทยา สังกัดองค์การบรหารส่วนจังหวัดสกลนคร นางสาวภานุมาศ โครตอาษา เลขที่9 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ห้อง3 โรงเรียนภูดินแดงวิทยา สังกัดองค์การบรหารส่วนจังหวัดสกลนคร


28 นางสาวกาญดาวดี คำผาย เลขที่10 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ห้อง3 โรงเรียนภูดินแดงวิทยา สังกัดองค์การบรหารส่วนจังหวัดสกลนคร นางสาวนภาลัย สัพโส เลขที่ 12 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ห้อง3 โรงเรียนภูดินแดงวิทยา สังกัดองค์การบรหารส่วนจังหวัดสกลนคร นางสาวสุชาดา ใจวัน เลขที่13 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ห้อง3 โรงเรียนภูดินแดงวิทยา สังกัดองค์การบรหารส่วนจังหวัดสกลนคร นางสาวปัทมพร เจริญไชย เลขที่14 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ห้อง3 โรงเรียนภูดินแดงวิทยา สังกัดองค์การบรหารส่วนจังหวัดสกลนคร นางสาววันทนา โพธิ์ศรี เลขที่15 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ห้อง3 โรงเรียนภูดินแดงวิทยา สังกัดองค์การบรหารส่วนจังหวัดสกลนคร


29 นางสาวจิดาภา ทองย้อย เลขที่16 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ห้อง3 โรงเรียนภูดินแดงวิทยา สังกัดองค์การบรหารส่วนจังหวัดสกลนคร นางสาวน้ำหวาน ธุระนนท์ เลขที่24 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ห้อง3 โรงเรียนภูดินแดงวิทยา สังกัดองค์การบรหารส่วนจังหวัดสกลนคร เสนอ คุณครูอังคณา ทับทิม หนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทย ท32102 โรงเรียนภูดินแดงวิทยา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร


Click to View FlipBook Version