The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หน่วยที่ 7 สุนทรียภาพของชีวิต 20-07-64

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Ku_Noot_PHRCC, 2022-03-16 04:14:32

หน่วยที่ 7 สุนทรียภาพของชีวิต 20-07-64

หน่วยที่ 7 สุนทรียภาพของชีวิต 20-07-64

1

หนว่ ยที่ 7

สนุ ทรียภาพของชวี ติ

หน่วยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชวี ติ

2

หน่วยท่ี 7
สุนทรยี ภาพของชวี ิต

สาระสำคญั
สุนทรยี ภาพเกดิ ขึน้ และพฒั นาไดก้ บั ทกุ เพศทกุ วยั ทุกชว่ งเวลา ไม่เฉพาะผู้สนใจงานศลิ ปะ

เท่านั้น แตก่ ารไดม้ ีโอกาสพบเห็นหรือไดเ้ รียนรู้ศลิ ปะแขนงต่างๆ จะชว่ ยทำให้เกิดความเข้าใจศลิ ปะ
นนั้ ไดอ้ ยา่ งลึกซง้ึ มากย่งิ ขน้ึ และอาจทำใหเ้ กิดความซาบซงึ้ และมีสนุ ทรียภาพเฉพาะด้านได้อีกเช่นกนั
โดยเฉพาะศลิ ปะทเี่ ป็นนามธรรมและไม่มีรูปร่าง ไม่เหน็ รูปทรง ต้องใชเ้ พียงจนิ ตนาการ และเม่อื ได้
คุ้นเคยและมคี วามเข้าใจแล้วจะทำใหเ้ กดิ ทักษะการสร้างอารมณ์และ ความร้สู กึ ให้เกดิ ขึ้นไดโ้ ดยง่าย
เปน็ การพัฒนาทักษะทางอารมณ์เพ่ือใหเ้ กดิ สนุ ทรยี ภาพในตนเองอย่างแยบคาย นอกจากนน้ั ถ้าเร่ิมตน้
จากการมีความเข้าใจในงานศิลปะแขนงใดแขนงหน่งึ หรอื ความ งามในเรอื่ งใดเรื่องหนงึ่ แลว้ ก็จะ
สามารถทำใหเ้ ขา้ ถึงศลิ ปะแขนงอน่ื หรือความงามอื่นๆ ได้อย่างง่ายขึ้น และจะกลายเป็นสุนทรยี ภาพ
แหง่ ตน หรอื สนุ ทรียภาพของตนเองในทส่ี ุด

สาระการเรยี นรู้
1. ความหมายของสนุ ทรียศาสตร์และสนุ ทรียภาพ
2. คุณค่าสนุ ทรียภาพกบั การพัฒนามนุษย์
3. สนุ ทรยี ภาพกับการสรา้ งแรงบนั ดาลใจ
4. การดำเนินชวี ิตอยา่ งมสี นุ ทรียภาพ

จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. บอกความหมายของสนุ ทรียศาสตร์และสนุ ทรยี ภาพได้
2. บอกถงึ คุณค่าสุนทรียภาพกับการพัฒนามนุษย์ได้
3. อธิบายพฤติกรรมสุนทรียภาพกบั การสรา้ งแรงบันดาลใจได้
4. อธบิ ายวธิ ีการดำเนินชวี ิตอยา่ งมสี นุ ทรยี ภาพได้

หน่วยที่ 7 สนุ ทรยี ภาพของชวี ติ

3
กิจกรรมการเรียนการสอน

1. แนะนำชี้แจงเกย่ี วกับจุดประสงค์การเรยี นรู้ และสาระการเรียนในหน่วยที่ 7
2. ทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน ตามแผนจดั การเรียนรูห้ น่วยที่ 7
3. ทำกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใชเ้ อกสารประกอบการสอนหนว่ ยที่ 7
4. ทำกิจกรรม 1.1, 1.2, 1.3 และ 1.4 โดยใชเ้ อกสารประกอบการสอนหน่วยท่ี 7
5. ทำแบบทดสอบหลังการเรยี นรู้ ตามแผนจัดการเรยี นร้หู นว่ ยที่ 7

หน่วยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชวี ติ

4

แบบทดสอบกอ่ นเรียน
หน่วยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชวี ิต

จุดประสงค์ เพอื่ ทดสอบพื้นฐานความรูข้ องผูเ้ รยี น
คำชแี้ จง แบบทดสอบเป็นแบบปรนยั 4 ตวั เลือก มีจำนวน 10 ขอ้ ๆ ละ 1 คะแนน
คำสงั่ จงกาเครอื่ งหมายกากบาท () ข้อทถ่ี กู ตอ้ งท่สี ุด ลงในกระดาษคำตอบทกี่ ำหนดให้
*****************************************************************************************
1. สุนทรยี ศาสตร์เปน็ ปรชั ญาที่เก่ยี วข้องกับเร่ืองใด

ก. ศาสตรท์ เ่ี กีย่ วข้องด้วยเร่อื งศลิ ปะ
ข. ศาสตร์ท่ีเกย่ี วข้องดว้ ยเรอ่ื งคณุ ค่าความงาม
ค. ศาสตรท์ เี่ กีย่ วข้องด้วยเรื่องคุณค่าการดำรงชีวติ
ง. ศาสตร์ทีเ่ ก่ียวขอ้ งดว้ ยเร่อื งความซาบซึ่งต่อความงาม

2. “สนุ ทรียภาพ” มคี วามหมายตามพจนานุกรม คือขอ้ ใด
ก. ความรูส้ ึก สัมผสั รบั รู้ได้
ข. ความงามในธรรมชาตแิ ละงานศิลปะ
ค. การสมั ผสั ต่อความงามทางศิลปะหรือรับรูด้ ว้ ยอารมณ์
ง. การรู้สึกสมั ผัสรบั รไู้ ดข้ องแต่ละบคุ คลต่อความงามในธรรมชาติหรืองานศิลปะ

3. เพราะเหตใุ ดการศึกษาคุณคา่ ทางสุนทรียภาพจึงมคี วามจำเปน็ และความสำคญั ต่อมนษุ ย์
ก. ชว่ ยให้มีความเกง่ ฉลาดในการเรียนรู้
ข. ชว่ ยใหก้ ารดำเนนิ ชวี ติ เป็นไปตามกลไกตามระบบ
ค. ชว่ ยใหร้ บั ร้ใู นดา้ นใดด้านหน่งึ อย่างแทจ้ รงิ
ง. ช่วยใหม้ ีสำนกึ ชวั่ ดี ร้แู ละตระหนักในคณุ คา่ ของความเปน็ ชวี ติ

4. จากภาพ คุณค่าสนุ ทรยี ภาพกับการพฒั นามนษุ ย์ด้านใด
ก. ดา้ นสมาธิปญั ญา
ข. ดา้ นการเปน็ สือ่ กลาง
ค. ด้านการส่งเสรมิ พฒั นาสภาพแวดลอ้ ม
ง. ดา้ นการแสดงออกเชงิ สร้างสรรค์ของมนษุ ย์

หน่วยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชวี ติ

5

5. ขอ้ ใดคือองคป์ ระกอบดา้ นคุณค่าของสนุ ทรียภาพ
ก. คณุ คา่ ทางสุนทรียภาพคือความงามท่เี ป็นธรรมชาตอิ ย่างย่ังยนื
ข. ความงามเปน็ คุณคา่ ท่อี ิงอยูก่ ับการสมั ผสั รบั ร้แู ละอารมณ์
ค. คณุ ค่าจากวฒั นธรรม คุณค่าจากความงาม คณุ ค่าจากอำนาจรฐั คณุ คา่ จากการ

ตีความหมายเชงิ ปัจเจกชน
ง. คุณค่าทางสนุ ทรียภาพคือสภาวะความสงู ล้ำเลิศยิ่งใหญ่ เหนอื การช่ังตวงวัดและการ

ลอกเลียนแบบ

6. อนุสาวรยี ป์ ระชาธปิ ไตย มีคณุ คา่ สุนทรียภาพกบั การพัฒนามนุษยด์ ้านใด
ก. ประวัติศาสตร์
ข. ด้านสมาธปิ ญั ญา
ค. ด้านการเป็นสื่อกลาง
ง. ด้านวัฒนธรรม

7. พระธาตชุ อ่ แฮ จังหวัดแพร่ มีองคป์ ระกอบทางคุณคา่ ของสุนทรยี ภาพด้านใด
ก. คุณค่าด้านการตคี วามหายเชงิ ปัจเจก
ข. คณุ คา่ ด้านวัฒนธรรม อำนาจรฐั
ค. คณุ คา่ ด้านความงาม วฒั นธรรม
ง. คณุ ค่าด้านความงาม วฒั นธรรม อำนาจรฐั

8. ข้อใด ไม่ใช่ แนวทางการเสรมิ สร้างสุนทรียภาพใหก้ บั ตนเอง
ก. การค้นหาตนเองให้พบ
ข. การกระทำตามแนวคิดของบคุ คลอ่ืน
ค. การสร้างสิง่ ยดึ เหนยี่ วใหต้ รงกบั ตวั ตนทแ่ี ท้จรงิ
ง. การเปิดใจท่จี ะยอมรับในความเปน็ จริงของตนเอง

หนว่ ยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชีวติ

6

9. สนุ ทรียศาสตร์กับการดำรงชีวิตประจำวันได้อย่างไร
ก. เห็นความสำคญั การศึกษาเฉพาะดา้ น นำไปประยุกตใ์ ช้ในชวี ิตประจำวนั
ข. เห็นความสำคญั ในการดำรงชวี ิตของมนุษย์ และจดุ มุ่งหมายในการใชช้ ีวติ ประจำวัน
ค. เปน็ ความสำคัญของสรรพส่ิง และการบูรณาการเพื่อการประยกุ ต์ใช้เปน็ ประโยชนใ์ น

ชวี ติ ประจำวัน
ง. เป็นความสำคญั ของการแข่งขันในสังคม เพื่อนำไปสคู่ วามเปล่ียนแปลงในการดำเนิน

ชวี ิตประจำวัน
10. สุนทรยี ภาพมีส่วนชว่ ยใหเ้ กดิ บรรยากาศการทำงานร่วมกนั แบบ Win-win Situation ไดอ้ ย่างไร

ก. สง่ เสรมิ ใหเ้ กิดบรรยากาศในการแข่งขนั กันระหวา่ งมิตรสหาย
ข. ส่งเสริมให้เกดิ บรรยากาศในการแยง่ ชงิ เพ่ือชยั ชนะระหวา่ งมิตรสหาย
ค. ส่งเสรมิ ใหเ้ กดิ บรรยากาศในการเอาชนะซ่งึ กนั และกนั ระหว่างมิตรสหาย
ง. ส่งเสริมใหเ้ กิดบรรยากาศในการเอาชนะใจซ่งึ กนั และกันระหวา่ งมิตรสหาย

หนว่ ยที่ 7 สนุ ทรยี ภาพของชีวติ

7

เรือ่ งที่ 7.1 ความหมายของสนุ ทรยี ศาสตรแ์ ละสนุ ทรียภาพ

สนุ ทรยี ศาสตร์ (Aestheties) เปน็ เนอ้ื หาว่าดว้ ยการศึกษาเรือ่ งมาตรฐานของความงามในเชงิ
ทฤษฎีอนั เกี่ยวกบั ประสบการณท์ างสุนทรยี ภาพ กฎเกณฑ์ทางศลิ ปะ สนุ ทรยี ศาสตรน์ ับวา่ เป็นแขนง
หนง่ึ ของปรัชญาในส่วนทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั การแสวงหาคุณค่า (Axiology) ในสมัยก่อนวชิ านีเ้ ป็นทีร่ ู้จกั กัน
ในรูปของวิชา “ทฤษฎีแหง่ ความงาน” (Theory of Beauty) หรอื ปรัชญาแหง่ รสนยิ ม (Philosophy
of taste)

พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน 2542 ไดใ้ ห้ความหมายวา่ สนุ ทรียศาสตร์เป็นปรัชญา
สาขา หนึ่ง ทีว่ า่ ด้วยความงามและสงิ่ ทีง่ ามท้ังในงานศลิ ปะท้ังในธรรมชาตโิ ดยศึกษาประสบการณ์
คุณคา่ ความ งามและมาตรฐานในการวินิจฉยั ว่า อะไรงามอะไรไม่งาม

อารี สทุ ธิพนั ธ์ุ (2551 : 18) วชิ าสุนทรียศาสตร์ หมายถงึ ศาสตร์ของการรบั รใู้ นความงามของ
ศิลปะโดยเฉพาะ และมีความมุง่ หมายที่จะสง่ เสรมิ ให้มนษุ ย์มีความซาบซึ้งและความช่นื ชมในความงาม
ท่ี มนุษยส์ รา้ ง

คำวา่ “สนุ ทรียศาสตร์” มาจากศพั ท์ภาษาบาลวี ่า“สนุ ทรยี ะ” แปลว่าดี งาม สนุ ทรยี ศาสตร์
จงึ มคี วามหมายตามรากศัพท์ว่าวชิ าท่วี า่ ด้วยความงาม ในความหมายของคำเดยี วกนั น้ี นกั ปราชญ์
ชาวเยอรมันชอ่ื Aisthetics Baumgarten (1718 – 1762) ไดเ้ ลือกคำในภาษากรีกมาใช้คำว่า
Aisthetics ซงึ่ หมายถึงการรับรู้ตามความรู้สึก (Sense Perception) เป็นวิชาเกี่ยวกบั เร่ืองทฤษฎีแห่ง
ความงามตรงกบั คำในภาษาอังกฤษว่า Aesthetics สว่ นในภาษาไทยใช้คำว่าสนุ ทรียศาสตรห์ รือวิชา
ศลิ ปะทวั่ ไป ดังน้นั จงึ ถือว่าศิลปะเปน็ ส่วนหน่ึงของสนุ ทรียศาสตร์หรือเมื่อกล่าวถึงสุนทรียศาสตร์
เม่อื ใดกม็ ักจะเกย่ี วข้องกับงานศิลปะนัน่ เอง

กรี ติ บญุ เจอื (2522 : 268) ให้ความหมายไว้วา่ สุนทรยี ศาสตร์เป็นวชิ าวา่ ด้วยสง่ิ ทส่ี วยงาม
หรอื ไพเราะเพราะพรง้ิ

สชุ าติ สทุ ธิ (2542 : 8) ไดใ้ ห้ความหมายไว้วา่ สนุ ทรยี ศาสตรม์ าจากความหมายดง้ั เดิม
สมยั กรีกโบราณคอื Aisthenathai ซึ่งหมายถึงการรับรู้อย่างหนึง่ และสิง่ ท่รี ับรู้อีกอย่างหนึ่ง ท้งั สอง
อย่างรวมกนั เป็นคำเดยี วคือ Aithetiko หมายถึง ส่ิงที่เกีย่ วกบั ความรู้สึกรับรู้

วิรณุ ตง้ั เจรญิ (2552 : 28) สนุ ทรียศาสตร์ทห่ี มายถึงศาสตรห์ รือวชิ าทเี่ กี่ยวกบั ความงาม ตาม
แนวคดิ ของชาวตะวันตกแลว้ สุนทรียศาสตรเ์ ปน็ ส่วนหน่ึงของปรชั ญาตะวนั ตกท่ีมรี ากเหง้ามาจาก
ปรัชญา กรีกโบราณ ปรัชญาที่เป็นการแสวงหาหรือความรักในภมู ิปญั ญา (Love of Wisdom)
ปรัชญากรีกท่ีมงุ่ แสวงหาความจริง ความดแี ละความงาม การแสวงหาความจริงมีววิ ัฒนาการมาสู่
วทิ ยาศาสตร(์ Science) ความดที ี่เก่ียวข้องกบั จรยิ ศาสตร์ (Ethics) และความงามท่ีเกีย่ วข้องกับ
สนุ ทรยี ศาสตร์ (Aesthetics) ปรัชญาหรือสุนทรียศาสตรท์ ่ีอาจเปน็ เรื่องของความเช่ือ เร่ืองของ

หน่วยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชวี ติ

8

ทรรศนะ หรือเรื่องของเหตผุ ล ในบริบท ความคิดใดความคิดหน่งึ ในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนง่ึ หรอื
ของนักปรชั ญาหรือของนักสุนทรยี ศาสตรค์ นใด คนหนงึ่

โกสุม สายใจ (2549 : 2) สุนทรียศาสตร์เปน็ การคน้ หาความหมายของความงาม ความ
พึงพอใจ ทางสุนทรีย์ หลกั แห่งรสนยิ ม ความสุขของบุคคลทมี่ ตี อ่ วจิ ิตรศลิ ป์ ธรรมชาติของความงาม
ลกั ษณะของวัตถวุ สิ ัยและจติ วิสัยของความงาม แรงกระต้นุ ใหเ้ กิดการสรา้ งสรรค์สง่ิ ท่มี ีความงาม
กระบวนการสรา้ งงานศลิ ปะและมาตรการในการประเมินค่า การตัดสินงานศลิ ปะ

เซนต์โทมสั ออกัสตนิ (St. Augustine) นกั ปรัชญาและบาทหลวงในศาสนาคริสต์ กลา่ วว่า
ความงามเป็นสง่ิ ท่พี ระเจ้า สร้างขึน้ อย่นู อกเหนือเหตผุ ลพระองค์เปน็ ผู้สรา้ งโลกขนึ้ จากความวา่ งเปล่า
ด้วยเจตจำนง (Will) ของพระองค์ และพระเจ้า ก็สร้างมนษุ ยข์ ึ้นจากจนิ ตภาพ (image) ของพระองค์
โดยให้ มนษุ ยน์ ้ันมเี สรภี าพในการเลอื ก (Free will) พระเจ้า คอื ความงามพระเจา้ เปน็ องค์แห่งความ
งามท่ที ำให้ เกิดความงามและสรรพสงิ่ ที่งาม แต่ดว้ ยเหตทุ พี่ ระเจ้านั้นเป็นอุตตรภาวะ(Transcendent)
ประสาทสมั ผัสและเหตุผลไม่สามารถเข้าถึงความงามได้ในการจะเข้าถงึ ความงามนั้นเราจะตอ้ งใช้
วิถีทางภายใน (Inwardpath) คอื การรู้ไดส้ มั ผัสได้ดว้ ยใจ (Sensed Throughthemind) ซง่ึ เปน็
ประสบการณภ์ ายในท่ี เรยี กว่าแสงแหง่ ปญั ญา (Theintelligiblelight) ในลักษณะเดียวกันกบั ทเ่ี ราใช้
เขา้ ถึงพระเจา้ (ลกั ษณวตั ปาละรัตน.์ 2551 : 43-44)

โดยสรุปสนุ ทรยี ศาสตร์ หมายถึง วชิ าที่วา่ ดว้ ยความงาม ความไพเราะ ความรู้สึกในทางบวก
เกย่ี วขอ้ งกบั การรับรไู้ ดด้ ้วยประสาทสัมผัส ความรสู้ กึ พอใจ ปตี ิยินดีและช่ืนชมในสิง่ ตา่ งๆ ท่เี ขา้ มา
ปะทะ อาจจะเปน็ ในธรรมชาติหรือผลงานศลิ ปะจากฝมี ือมนุษย์

สนุ ทรยี ภาพ หมายถึง ความรู้สกึ ทางความงามเกดิ ข้นึ จากการได้สัมผัสกบั สง่ิ ที่มีความงาม
ความไพเราะ แล้วเกิดความปิติสุขเพลดิ เพลิน พอใจ ปีตยิ นิ ดี

“สุนทรยี ภาพ” (Aisthetic) หมายถงึ ความซาบซงึ้ ในคณุ คา่ ของสงิ่ ที่งาม ไพเราะหรือรน่ื รมย์
ไม่วา่ จะเป็นธรรมชาติ หรอื ศิลปะ (พจนานุกรมศัพทศ์ ลิ ป์. 2530 : 6) ซ่งึ ความรู้สึกซาบซ้งึ ในคุณค่า
ดังกล่าวนยี้ ่อมเจริญเตบิ โตไดโ้ ดยประสบการณ์ หรอื การศกึ ษา อบรม ฝกึ ฝน จนเป็นอุปนิสัยเกิดขึ้น
เปน็ รสนยิ ม (Teste) ขึน้ ตามตัวบุคคล

เนื้อหาของสุนทรยี ศาสตรน์ ้ันวา่ ดว้ ยคามคดิ รวบยอดเร่อื งความงาม การทีจ่ ะนยิ ามวา่ ความ
งามคืออะไรนน้ั ก็ยังไมเ่ ป็นทยี่ ุตแิ ละเร่ืองน้กี น็ ับวา่ เปน็ ปญั หาสำคญั ของสุนทรยี ศาสตร์อย่างหน่ึง แต่
ปัญหาท่ีว่าความงามคืออะไรนนั้ นกั ศิลปท์ วั่ ไปไม่ค่อยใหค้ วามสนใจเทา่ ไรนกั แตเ่ ขาจะพยายามทุ่มเท
ทุกอย่างเพื่อสรา้ งความงามข้ึนด้วยศลิ ปะของเขา ซ่งึ ความสนใจดงั กล่าวนถ้ี ือว่าเปน็ สญั ชาตญิ าณของ
ศลิ ปะ จุดม่งุ หมายของสนุ ทรียศาสตร์ก็คือความพยายามยกระดบั ของการสรา้ งสรรค์และความสนใจ
ในศิลปะซ่ึงเป็นไปตามสญั ชาตญาณนน้ั ให้เป็นพฤติกรรมทเี่ ต็มไปดว้ ยปญั ญา ทง้ั นกี้ เ็ พื่อใหเ้ ขา้ ใจถึง
หลกั การข้ันมลู ฐานของพฤตกิ รรมเกย่ี วกบั ศลิ ปะ ดังนนั้ สนุ ทรยี ศาสตร์จึงเริ่มเรื่องด้วยการพิจารณา

หนว่ ยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชวี ติ

9
เรือ่ งการสรา้ งสรรค์ศิลปะและความสนใจในศิลปะ คำตอบจากปัญหานกี้ ็ไดจ้ ากการพยายามค้นหา
ความหมายของความงามนน่ั เอง ความหมายของความงามก็เปน็ เรื่องเกี่ยวกบั การรับรขู้ องมนษุ ย์
จากประเด็นนีจ้ ะเห็นได้วา่ หน้าท่ีของนักสนุ ทรยี ศาสตรก์ ็คือการคน้ หาความหมายของความงามนั่นเอง
แต่ก็มิไดห้ มายความว่าหนา้ ท่ีของนักสนุ ทรียศาสตรจ์ ะจำกัดอยแู่ ค่การค้นหาความหมายของศิลปะ
เท่านัน้ แตย่ งั รวมไปถงึ ความงามของธรรมชาตดิ ้วย

ในปจั จบุ ันสนุ ทรียศาสตรม์ ีความหมายท่ีมขี อบเขตอสิ ระมากขนึ้ ความหมายของคำน้ีในทาง
วิชาการก็คือ เปน็ วชิ าทีเ่ ก่ยี วกับการศึกษาศิลปะแขนงตา่ งๆ หลักการของศลิ ปะ กระบวนการ
สรา้ งสรรค์ศิลปะ ประสบการณ์ทางศิลปะ นอกจากนี้ขอบเขตของความหมายยังได้ครอบคลมุ ไปถงึ
ศลิ ปะกบั ชวี ิตและสงั คมรว่ มทั้งความงามและปรากฎการณ์ท่ีงดงามของธรรมชาติอกี ดว้ ย

หนว่ ยที่ 7 สนุ ทรยี ภาพของชวี ติ

10

เร่อื งท่ี 7.2 แนวทางการเสริมสร้างสุนทรียภาพใหก้ บั ตนเอง

การเสริมสร้างสุนทรียภาพใหก้ บั ตนเองนั้น ส่งิ ที่สำคัญทสี่ ดุ เราตอ้ งเข้าใจตัวเองก่อน เปดิ ใจ
พิจารณาตัวเอง ใหเ้ ข้าใจและรู้จริงอยา่ งถ่องแท้ ในประเด็นคำถาม ดังนี้

1. เราใช้ชวี ิตอยา่ งมสี ุนทรยี ภาพมากน้อยเพยี งใด
2. ความสามารถในการรับรขู้ ้อมูลเปน็ อย่างไร
3. กรอบแนวคิดของเราเปน็ อยา่ งไร
4. เราเป็นตัวของตัวเองมากน้อยแค่ไหน จุดยนื ของเราคืออะไร
5. เอกลกั ษณ์ของเราท่สี ามารถสอ่ื เป็นภาพลักษณ์ไดค้ ืออะไร

หลังจากทำความเข้าใจตนเอง และปรับปรุงได้ในระดับหนึ่งแล้ว ลองนำองค์ความรู้ท่ีได้มาทำ
ความเข้าใจผู้อน่ื ดูบา้ ง ในเรื่องของธรรมชาตขิ องมนุษย์ต่อการตอบสนองส่งิ ท่ีเปน็ สันดานดบิ ซึ่งเป็น
ปัจจัยท่ีก่อใหเ้ กิดความแตกต่างของบุคคล (กฎของปัจเจกบคุ คล)

การเข้าใจสัจจธรรม ความเป็นจริง โดยการพิสูจนเ์ ห็น ไมใ่ ช่เช่อื ตามคำบอกกลา่ วที่บอกต่อๆ
กนั มา ข้อมลู ข้อเทจ็ จรงิ องค์ความรูท้ ่มี ีอยู่ไม่ว่าจะเป็นวถิ ตี ะวนั ออก วิถีตะวนั ตก หรือจากมุมหน่งึ มมุ
ใดบนโลกน้ี ลว้ นแตเ่ ปน็ ขอ้ เท็จจรงิ ตามบรบิ ทแวดล้อมและกาลเวลา ดงั น้นั หากนำมาใช้ภายใต้บริบท
แวดลอ้ ม และกาลเวลาท่แี ตกต่างกัน ยอ่ มเป็นไปได้วา่ จะให้ผลท่แี ตกต่างกนั ด้วย ดังนัน้ ในการศึกษา
ขอ้ มลู ข้อเท็จจริงนน้ั จะต้องตามดว้ ยการเรยี นรู้ แบบผสมผสานระหวา่ งหลักธรรมชาติ (ตามพุทธ
ปรชั ญา) ของวิถีตะวนั ออกและหลักปฏิบตั ิของวถิ ตี ะวนั ตกด้วยเสมอ เพื่อสงั เคราะห์ใหเ้ กิดเป็นองค์
ความรู้ใหมท่ ่ีมีความเหมาะสมกับบริบทแวดล้อม และกาลเวลา อันจะนำไปสกู่ ารสร้างกรอบแนวคดิ
และจดุ ยนื ของตวั เราเองอย่างเหมาะสม

การให้เวลากบั ตวั เองพิจารณาทบทวน และฝกึ ฝนกิจกรรมที่แยกแยะการใช้สมองซีกขวา
เช่ือมโยงสสู่ มองซีกซา้ ยดูบ้าง เชน่ การฟังเสียงดนตรีแล้วแยกแยะประเภทของเคร่ืองดนตรอี อกเปน็
กล่มุ ๆ การขยบั มอื -เท้า ใหเ้ ขา้ กบั จงั หวะดนตรี การฝึกเล่นเคร่ืองดนตรี ฝึกเต้นรำ การฝกึ เขยี นภาพ
การแต่งบทรอ้ ยแก้ว-ร้อยกรอง การทอ่ งเท่ยี วตามแหล่งธรรมชาติ กจิ กรรมการดนู ก การปลกู ต้นไม้
การเล้ยี งสตั ว์ทเ่ี ราชอบ การหางานอดเิ รกที่ไม่ใชง่ านประจำทำดบู ้าง การทดสอบอวยั วะรับสัมผสั
ตา่ งๆ อยา่ งสมำ่ เสมอ เช่น ปิดตาทายเสยี ง ปดิ ตายแล้วใชม้ ือสัมผสั สิ่งทเ่ี ราคุ้นเคยแลว้ ลองทายดู ลอง
สูดกลนิ่ และแยกแยะประเภทของกลิ่นทไ่ี ด้รับ ฝึกการควบคุมจิตใหเ้ กิดสมาธิ การอ่านหนังสือปรัชญา
คำสอนตา่ งๆ ฯลฯ

การศึกษาของเราทุกวนั นีม้ ุ่งให้คน รบั รู้ ในสิง่ ท่เี ป็นผลมาจากบรบิ ทอื่นๆ มากกว่า การ
ฝกึ ฝนความคดิ สู่แนวทางทีถ่ ูกตอ้ ง (สัมมาทฏิ ฐิ) ในบรบิ ทของเราเอง รวมถงึ การพฒั นาคนในชว่ งวัย
ทำงานท่ีควรม่งุ ให้คนสามารถปรับวิถีการดำเนนิ ชวี ติ ของตนเอง ใหส้ อดคล้องกบั วถิ ีองค์กร สอดคล้อง

หน่วยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชีวติ

11

กบั ขดี ความสามารถในบทบาทหน้าท่ีอันจะนำไปสกู่ ารดงึ ศักยภาพของตนเองออกมาใช้อย่าง
เหมาะสม ไมใ่ ช่การยัดเยียดให้ร้อู กี ต่อไป พบว่ามนษุ ย์ช่วงวยั ทำงานเปน็ คนท่ีรูเ้ ยอะ และรู้มากดว้ ยซำ้
ไป ในลักษณะทีไ่ ด้รู้ในข้อเทจ็ จริงต่างๆ มากมาย แต่สว่ นใหญ่ไมส่ ามารถตคี วาม แปลความหมาย
(Interpretation) และแยกแยะจำแนกขอ้ เทจ็ จรงิ (Classification) ทีม่ อี ย่โู ดยผ่านกระบวนการใช้
ความคดิ อย่างมสี ุนทรยี ภาพบนพืน้ ฐานของปัญญาได้อยา่ งดีพอ สงิ่ ทีร่ บั รู้ไวม้ ากมายนอกจากจะไม่
กอ่ ให้เกิดคุณคา่ แล้วยังไปปดิ ก้ันโอกาสท่จี ะนำศักยภาพที่มีอยูภ่ ายในตนเองออกมาใช้ ทำให้เสยี โอกาส
ในการพัฒนาตนเอง ผลตามมาก็คือ การแสดงออกทางพฤติกรรมของบุคคลมกั จะไมส่ อดคลอ้ งกับส่งิ ท่ี
เปน็ ตัวตนทแี่ ท้จริง เพราะคนส่วนใหญไ่ มก่ ลา้ พอท่ีจะวินจิ ฉัยและยอมรับส่งิ ท่เี ปน็ ปมดอ้ ยว่าเป็นปม
ดอ้ ยของตนเองได้ ทำใหห้ ลงตนเอง คิดเข้าขา้ งตนเองวา่ เป็นปมเดน่ ไมย่ อมรับหรืออาจจะเลือกทีจ่ ะไม่
รบั รู้ไปเลยก็ได้ สิ่งเหลา่ นล้ี ว้ นแตจ่ ะทำให้เกดิ ความไมร่ ูจ้ ักตนเอง ไม่รู้ตัวตนควบคุมตนเอง
ไมไ่ ด้ พฤติกรรมการแสดงออกจึงตกอยภู่ ายใต้อทิ ธพิ ลของความอยากได้ใครม่ ี นน่ั คือ กิเลสตัณหา
ทค่ี นทุกคนมเี หมือนกนั แตม่ ากนอ้ ยไม่เท่ากนั เป็นท่ีตั้ง ซง่ึ จะสง่ ผลตอ่ ไปสู่ ความคาดหวงั การรบั รู้
ความรสู้ กึ และแสดงออกเป็นพฤติกรรมท่ีไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงใหค้ นรอบข้างได้รับรู้ เม่ือได้มีการรบั รู้
แล้วมาทราบภายหลงั ว่าสิง่ ทแ่ี สดงออกไม่ใชส่ ิ่งทเี่ ปน็ ตวั ตนที่แท้จรงิ กรณีถ้ามผี ลเสียหายกระทบกัน
โดยตรง กย็ อ่ มก่อให้เกิดบรรยากาศท่ีไมเ่ อื้อตอ่ การทำงานร่วมกนั ต่อไปในอนาคตได้

แนวทางการแกไ้ ขส่ิงที่กลา่ วมาขา้ งต้น เร่มิ ต้นจากส่ิงท่ีเปน็ พื้นฐานท่สี ำคญั และใกลต้ ัวที่สุด
กอ่ น คือ การหาตนเองให้พบ เราตอ้ งเปดิ ใจทจ่ี ะยอมรบั ในความเป็นจริงของตนเอง สร้างสิ่งยึดเหนย่ี ว
ให้ตรงกับตวั ตนที่แทจ้ ริงของเรา กำหนดให้เปน็ จดุ ยืนของชีวิต บางคนอาจเรยี กวา่ ศกั ด์ิศรี ความสง่า
งามในความเปน็ มนษุ ย์กแ็ ลว้ แต่ อย่าทำลายจุดยืนของตนเองอย่างเดด็ ขาด จากนั้นให้ทำความเขา้ ใจ
ในความปรารถนาทางจติ ใจของตนเองและรูห้ ลักในการจัดการให้ได้ โดยการศกึ ษาจากข้อมูลทเี่ ป็นภูมิ
หลังของแตล่ ะบคุ คล ในช่วงชวี ิตตอ้ งพัฒนาตนเองโดยใช้แรงขับภายในตนเองตลอดเวลา ต้องมองภาพ
ในมโนทัศน์ตนเองจากข้อเท็จจริงท่ีไดร้ บั รู้และเช่อื มโยงสูห่ ลักความเปน็ จรงิ ทเ่ี ข้าใจได้ง่ายๆ ไม่
จำเปน็ ตอ้ งซบั ซ้อนให้ตนเองไดเ้ ขา้ ใจหลกั แห่งความเป็นจริงเพ่อื พัฒนาในสว่ นท่ีเป็นวถิ ีแหง่ ปจั เจก
อนั ได้แก่ ความคาดหวัง การรับรู้ และความรสู้ กึ ของตนเองทจี่ ะนำไปสพู่ ฤตกิ รรมที่แสดงออกอยา่ ง
สอดคลอ้ งกับความเปน็ ตวั ตนของเรานน่ั เอง

หน่วยที่ 7 สนุ ทรยี ภาพของชีวติ

12

กิจกรรม 7.1 ความหมายและการสรา้ งสุนทรยี ภาพ

คำช้ีแจง
1. ให้นกั ศกึ ษาอ่านสาระโดยละเอยี ดในเอกสารประกอบการสอน หน่วยที่ 7 เรอ่ื งที่ 7.1

และ เร่อื งท่ี 7.2
2. ตอบคำถามต่อไปนีใ้ ห้ถกู ต้อง

คำถาม
1. วิชาสุนทรยี ศาสตร์ (Aesthetics) เปน็ วิชาท่จี ัดอยูใ่ นปรัชญาสาขาใด
2. จงอธบิ ายความหมายของสนุ ทรยี ศาสตร์
3. ปรัชญาความงามในพทุ ธศาสนากล่าวถึงสุนทรยี ์วา่ อย่างไร จงอธบิ ายพร้อมยกตัวอย่าง

ประกอบ
4. ความงาม มีความเก่ยี วข้องกบั ความเป็นมนษุ ย์อย่างไร
5. จงบอกแนวทางการสรา้ งสุนทรียในการเรยี นร้กู บั วิทยาลยั ชุมชนได้อยา่ งมีความสขุ ใน

การเรยี นรู้

บันทกึ การตอบกจิ กรรม 7.1
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................... .................................................................
............................................................................................................................. ...................................
.......................................................................................................................................................... ......
............................................................................................................................ ....................................
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ...................................
....................................................................................... .........................................................................
............................................................................................................................. ...................................
.................................................................................................................................................. ..............
.................................................................................................................... ............................................
............................................................................................................................. ...................................

หน่วยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชวี ติ

13

เร่ืองที่ 7.3 คณุ ค่าสนุ ทรยี ภาพกับการพัฒนามนษุ ย์

ศิลปะและสนุ ทรยี ภาพสามารถมีอิทธิพลตอ่ จิตใจของคนเราไดห้ ลายระดับ ระดบั แรกคือ
ความคิดใครใ่ ฝห่ า เป็นความรู้สึกอยากชดิ ใกล้ อยากได้หรืออยากครอบครอง (พุทธศาสนาเรียกวา่
ราคะ) ระดับต่อมาคอื ความรู้สกึ ดม่ื ด่ำ ปีติ สงู ข้นึ มาอีกคือความสงบ และสูงท่ีสุดคือความร้สู ึกท่เี หนือ
โลกย์ (Transcendence) เป็นสภาวะทจ่ี ติ ไดส้ มั ผสั กับความจรงิ ขน้ั สูงสดุ หรอื ปรมัตถ์ เช่น ความรู้สกึ
เป็นหนง่ึ เดยี วกบั ธรรมชาตแิ ละจกั รวาล สภาวะที่อตั ตาตัวตนไดเ้ ลอื นหาย ไม่มีเสน้ แบ่งระหว่างฉนั กับ
โลกอีกต่อไป อย่เู หนือบัญญัติหรอื ความจริงแบบทวินยิ ม (Dualism) เปน็ สภาวะทจ่ี ติ เปยี่ มด้วยเมตตา
กรณุ าอย่างไมม่ ปี ระมาณ

มองในแงน่ ีศ้ ลิ ปะมิใช่ตรงข้ามกับศาสนา แต่สามารถเปน็ สื่อนำผู้คนเข้าถึงมิติทล่ี ึกซงึ้ สูงสุด
ในทางศาสนธรรมได้ เชน่ เป็นตัวอยา่ งหนึง่ ทเี่ ช่ือมศิลปะเขา้ กบั การขัดเกลาทางจติ วิญญาณได้ อาทิ
ศิลปะการชงชา ซ่งึ มองดูแบบผิวเผิน เป็นเร่ืองของพิธีกรรมท่ีซับซ้อน แตท่ ีจ่ ริงเปน็ กระบวนการกลอ่ ม
เกลาจติ ตั้งแต่ระดบั พน้ื ๆ คือ การได้สมั ผัสกบั ความงามและรสชาติทางผสั สะ ไปจนถึงการนอ้ มใจให้
สงบ และเข้าถึงความจริงท่เี หนอื สมมติ ศลิ ปะท่สี ดุ ยอดนัน้ คือความงดงามที่กล่อมเกลาจิตให้สงบ นิ่ง
และเยน็ เข้าถงึ ภาวะท่ีโปร่งเบา และสมั ผัสกับมิติอนั ลกึ ซ้ึงภายใน แต่คุณค่าของศลิ ปะมิได้มีเพียง
เท่าน้นั หากยังสามารถนำพาใหผ้ คู้ นซาบซ้ึงถึงสัจธรรมของชีวติ ดว้ ย

คนทุกคนมีความแตกต่าง คนเหมอื นคน แต่คนก็ไมเ่ หมือนกัน คำวา่ “ปัจเจกบุคคล” จงึ ถูก
บัญญตั ิขึน้ ทำไมคนแตล่ ะคนจึงมีบคุ ลิกลักษณะท่ีแตกตา่ งกนั ลองมาวิเคราะหต์ ามดูว่า เหตใุ ดจงึ เปน็
เชน่ นัน้

เริ่มจากการวเิ คราะห์พฤติกรรมมนษุ ย์ ส่ิงที่เป็นเหตุให้เกดิ พฤติกรรมมนุษย์ นนั่ คอื กรอบ
แนวคิดของบุคคล อนั ประกอบด้วย เจตคติ ความเชื่อ และค่านิยมของบุคคล สิง่ ทท่ี ำให้มนุษย์นำมา
สรา้ งกรอบแนวคิด น่ันคือ การได้ลงมือทำและพิสจู น์แล้วเห็นผลจรงิ ดว้ ยตนเอง หรือที่เราเรียกว่า
ทกั ษะทีเ่ กิดจากการฝกึ ฝน สงิ่ ทีเ่ ปน็ เหตุใหม้ นุษยส์ ามารถสร้างทักษะฝึกฝนตนเองไดน้ ั่นคือ องคค์ วามรู้
เฉพาะบคุ คล ที่ไดจ้ ากการนำขอ้ มูล ข้อเท็จจรงิ ตา่ งๆ มาพิจารณาและวนิ ิจฉัยอยา่ งมีหลักการ สิง่ ท่ที ำ
ให้มนุษย์สามารถเก็บกกั และนำขอ้ มลู ข้อเทจ็ จริงเข้าสตู่ นเองได้ นั่นคอื การท่ีมนุษยม์ สี มองเปน็
อุปกรณ์ในการเกบ็ และประมวลผล โดยอาศัยอวัยวะรบั สมั ผสั ท้ัง 5+1 ทม่ี ตี ดิ ตวั มนุษยม์ าทุกคนเปน็ ตวั
สง่ สัญญาณท่ีได้รบั รมู้ า (การรับสัมผสั 5 ทางไดแ้ ก่ การมองเหน็ การได้ยนิ เสยี ง การได้กลน่ิ การได้
รบั รู้รสชาติ และการสมั ผัส สว่ นการรบั อีก 1 ทางนนั้ คือ ความร้สู ึกของปจั เจกบุคคล น่ันคอื อารมณ์)

ดงั นั้นอาจกลา่ วไดว้ ่า เพราะการรับรู้นั่นเอง เป็นเหตใุ ห้เกดิ การศกึ ษาวนิ ิจฉัยของบคุ คล
สังเคราะห์เปน็ องค์ความรู้สว่ นตนซงึ่ เป็นปจั จยั ไปกอ่ ใหเ้ กดิ การทดสอบองคค์ วามรูน้ ัน้ ดว้ ยการลงมือ
ฝกึ ฝนและเปน็ ปัจจัยไปก่อให้เกิดการยดึ ติดเปน็ เจตคติ ความเชือ่ และค่านิยมส่วนบคุ คล (กรอบ

หน่วยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชีวติ

14

แนวคิดของบุคคล) ซึง่ เปน็ ปัจจัยตอ่ ไปทำให้เกิด การแสดงออกอยา่ งซำ้ ๆ และถาวรจนเป็น
พฤติกรรม ทีแ่ สดงถึงบคุ ลิกลักษณะสือ่ ให้คนทวั่ ไปได้รบั รู้ โดยไม่ต้องบอกกล่าว เราอาจเคยได้ฟังในสิง่
ที่พระทา่ นส่งั สอนเราอยเู่ สมอว่า “คนเราคิดอย่างไร จะทำอยา่ งนนั้ คนเราทำอย่างไร ก็จะเชอื่ อยู่
อยา่ งน้นั คนเราเชื่ออย่างไรพฤติกรรมกจ็ ะเปน็ เช่นนน้ั ดังน้ันจงระวงั ความคิดของตนเองใหด้ ี และหมั่น
ฝกึ ฝนความคดิ ของตนให้ถึงพรอ้ มอยู่เสมอ”

การรับร้ทู างความรู้สกึ ของปัจเจกบคุ คล (อารมณ์) จะมคี วามไวและรวดเร็วมากตอ่ ส่งิ เร้า
ท่ีมากระทบผา่ น เพราะมกี ารปรงุ แตง่ จากความต้องการหยาบๆ ของมนุษย์ (สันดานดบิ ) จงึ เปน็
อารมณ์ทไ่ี มบ่ รสิ ทุ ธ์ิ และจะสรา้ งพลงั เหน่ยี วนำให้เกิดการกระทำข้ึนอย่างมหาศาลเพอื่ ตอบสนองต่อ
ความต้องการที่หยาบนนั้ เนื่องจากไม่ไดผ้ า่ นกระบวนการไตรต่ รอง ศกึ ษา วิเคราะห์ พิจารณา
สงั เคราะห์ (การใชว้ ิจารณญาณ) ของบุคคลกอ่ นที่จะแสดงเปน็ การกระทำออกมา ถ้าเราไม่มคี วาม
ตระหนักและเขา้ ใจอยา่ งดีพอ การกระทำแบบนั้นก็จะกลายเปน็ ความเคยชิน และกลายเป็นพฤติกรรม
ที่ถาวรของเราไปในทีส่ ดุ

สุนทรยี ภาพของบุคคล เปน็ สภาพความซาบซงึ้ ในคุณคา่ ของสิง่ ที่งดงาม ไพเราะ รนื่ รมย์ ไม่ว่า
จะเป็นธรรมชาติหรือศลิ ปะ ความซาบซึง้ ในคณุ ค่าดังกลา่ วจะเจรญิ เติบโตได้โดยประสบการณ์
การศึกษา อบรม ฝกึ ฝน จนเป็นอปุ นสิ ัย และเกิดรสนิยม (Taste) ขน้ึ ตามตัวบคุ คล ซง่ึ ถือได้ว่าเปน็
เรื่องของปัจเจกบคุ คล ในความรสู้ กึ ทซี่ าบซึ้งนนั้ เป็นความรู้สกึ ท่ีเกิดจากการรับรู้ทบ่ี รสิ ทุ ธิ์ ปราศจากสิ่ง
ใดๆ ปรงุ แตง่ ในหว้ งเวลาหนงึ่ ดังน้นั พฤติกรรมของผู้ทีม่ ีสุนทรยี ภาพจะมองคุณค่าของสรรพสิ่งทุก
อย่างจากภายใน (Intrinsic Value) มากกว่าภายนอก (Extrinsic Value) เปรยี บได้กบั เป็นตัวกรองที่
จะสนองต่อความต้องการที่ละเอียดอ่อน สรา้ งพลงั เหนย่ี วนำให้เกิดการกระทำท่ีดงี าม
งดงาม (แรงจงู ใจจากภายในบุคคล) ผ่านกระบวนการไตร่ตรอง ศกึ ษา วิเคราะห์ พิจารณา สงั เคราะห์
(การใชว้ ิจารณญาณ) แสดงเป็นการกระทำที่มคี วามงดงามเหมาะสม ชนื่ ชมตอ่ ผู้พบเห็น จนตดิ ตวั
กลายเป็นพฤติกรรมถาวร เป็นเอกลกั ษณ์ที่สง่างามเฉพาะตัว น่าเคารพ นับถือ นา่ เลือ่ มใสและศรัทธา

ความงาม ความจริง และความดี
ศิลปะนนั้ มักจะมองวา่ เป็นเรื่องของความงาม แต่ศิลปะการชงชาเป็นตัวอย่างทช่ี ว้ี า่ ศิลปะก็

สามารถเป็นส่อื แห่งความจรงิ ได้ ความจรงิ น้นั มี 2 ระดบั คือ ความจริงแบบสมมติ (สมมติสจั จะ) กับ
ความจริงแบบปรมัตถ์ (ปรมัตถสจั จะ) นาย ก. เปน็ รัฐมนตรี นาย ข. เปน็ ชาวนา นีเ่ ป็นความจริงแบบ
สมมติ แตเ่ ม่ือพูดถงึ ความจริงระดบั ปรมัตถ์แล้ว ท้ัง 2 คนไม่ไดต้ า่ งกนั เลย เพราะต้องเกิด แก่ เจบ็ ตาย
เช่นเดยี วกนั หนา้ ทีอ่ ย่างหนึง่ ของศิลปะคือการเปดิ ใจให้คนเห็นความจริงขน้ั ปรมัตถ์ ไมห่ ลงติดอยกู่ ับ
สมมติ

หน่วยที่ 7 สนุ ทรยี ภาพของชวี ติ

15

ความจริงยังสามารถแบง่ ออกเป็น ความจริงแบบเฉพาะ และความจรงิ ทเ่ี ปน็ สากล งานศิลปะ
หลายช้ินมีช่ือเสียง เปน็ ทย่ี กย่องเพราะเปิดเผยสภาวะทางจิตของคนร่วมสมยั เชน่ ความทุกข์ ความ
เหงา ความโดดเดย่ี ว ได้อย่างมพี ลัง ชนดิ ท่สี ัมผสั ไดด้ ้วยใจ ทำใหเ้ กดิ อารมณ์สะเทือนไหว หรือรู้สกึ
เหงาและหนาวเหน็บไปถงึ หวั ใจ

แต่มีงานศลิ ปะอีกหลายชิ้นทถ่ี ่ายทอดความจรงิ ทีเ่ ปน็ สากล เป็นอกาลโิ ก เชน่ ความไมเ่ ทยี่ ง
ความพลดั พราก ท่ีมนษุ ย์ทุกคนตอ้ งประสบ หรือพลังแหง่ ความกรณุ าปราณที ่โี อบอุ้มมนุษยชาตเิ อาไว้
บา้ งก็เปดิ ใจใหเ้ ราเหน็ อานภุ าพแหง่ ธรรมะหรือสง่ิ สงู สุด ทท่ี ำให้เรามคี วามหวงั แมใ้ นยามมืดมิดทีส่ ุด
ของชวี ิต

งานศิลปะช้นั ครู เมื่อเปิดเผยความจรงิ ใหเ้ ราสัมผสั ไมว่ า่ ความจริงเฉพาะหรอื ความจริงอัน
สากล มกั ก่อให้เกดิ แรงบนั ดาลใจในอนั ทีจ่ ะทำสิง่ ดีงาม งานบางชน้ิ ถ่ายทอดโศกนาฏกรรมของเพ่ือน
มนษุ ย์ได้อยา่ งสะเทือนใจ จนเราไม่อาจอยู่นงิ่ เฉยได้ เพราะรู้สกึ ถงึ แรงผลกั จากมโนธรรมภายในให้
อยากทำบางอย่างเพื่อช่วยเหลอื เขา

ดงั นนั้ นอกจากความงามและความจริงแลว้ ศิลปะยงั สามารถเป็นสื่อกระตุ้นใหเ้ กิดความดีข้ึน
ได้ ความงาม ความจริง และความดีจงึ มิใช่สง่ิ ทแ่ี ยกจากกนั กลา่ วไดว้ า่ หน้าที่สูงสุดของศิลปะก็คือ
ประสานความงาม ความดี และความจริงให้เปน็ หน่ึงเดียวกันนัน่ เอง

คุณคา่ ความเปน็ มนษุ ย์
การท่มี นุษยไ์ ด้หาคำตอบจากปัญหาที่ว่า ความจรงิ คืออะไร ไม่ว่าจะเป็นทัศนะของจติ นิยม

หรือวตั ถนุ ิยม ทุกคำตอบต่างก็มเี ปา้ หมายหลักอยู่ทีก่ ารดำรงอยู่ของชวี ิต ซง่ึ เป็นความเชื่อ เบ้อื งต้นที่
กำหนดบทบาททางพฤติกรรมและความประพฤติของคนเราให้อยูใ่ นแนวทางหรือ มาตรฐานเดยี วกนั
เช่น คนท่เี ช่อื ว่าความจรงิ ขึ้นอยกู่ ับจิต พระเจ้ามีจริง พระเจา้ สร้างมนุษย์ มนุษย์ ต้องแสดงความ
เคารพนับถอื ต่อพระเจา้ กจ็ ะสรา้ งวหิ ารเพ่ือเป็นท่ีสงิ สถิตย์หรอื เปน็ ท่ีกราบไหว้ บูชาพระเจ้า เกิด
พธิ กี รรมต่างๆ เกดิ การเริงระบำเพ่ือบชู าถวายพระเจ้า เกิดคนตรีเพ่ือสวด สรรเสรญิ พระเจา้ เกดิ การ
เสรมิ แต่งเพื่อใหเ้ กิดสง่ิ สวยๆ งามๆ เพื่อเสรมิ พธิ ีกรรมใหด้ ูดี ดูขลัง และ มีการกำหนดมาตรฐาน
เกย่ี วกับความดีให้เปน็ รปู ธรรมอย่างชดั เจน เพอื่ ใหส้ อดคล้องกับความเช่ือ ของคน สิ่งเหล่าน้ีคือ
ข้อกำหนดพฤติกรรมของมนษุ ย์ มาตรฐานทางพฤติกรรมทีด่ ียอ่ มนำมาซ่งึ การ พฒั นาสงั คม ทำให้
สงั คมอยู่ได้อยา่ งปกติสขุ สำหรบั คนทเ่ี ชอ่ื วา่ ความจริงขนึ้ อยู่กบั วตั ถุจะมี มาตรฐานควบคุมพฤติกรรม
ของคนโดยใชห้ ลักกฎหมาย และจะให้ความสำคัญต่อความเจรญิ ความสมบรู ณ์พูนสุขในโลกปจั จุบนั
ดว้ ยเหตนุ ้ี คุณค่าของความเป็นมนุษย์ จงึ ควรมมี าตรฐานอย่าง น้อย 3 ดา้ น คือ

หนว่ ยที่ 7 สนุ ทรยี ภาพของชวี ติ

16

1. จริยศาสตร์ (Ethics) เปน็ มาตรฐานเกีย่ วกับพฤติกรรมของมนุษยท์ างจรยิ ธรรม
จริยศาสตรเ์ ปน็ ศาสตรว์ า่ ดว้ ยมาตรฐาน การกำหนดพฤตกิ รรมของมนุษย์ ว่าอย่างไรคอื ความดี
อย่างไรคือความชว่ั คุณคา่ ของความเปน็ มนษุ ย์ท่ีไดร้ บั การยกย่องประการแรกกค็ ือ ความดี

2. สนุ ทรยี ศาสตร์ (Aesthetics) เปน็ มาตรฐานเกีย่ วกับการรบั รคู้ วามงาม เป็น คุณคา่ อีก
อยา่ งหนึ่งซึ่งแตกต่างจากความดี คณุ ค่าทางความงามเปน็ เร่อื งเกี่ยวกบั ความคิดจาก การสมั ผสั เช่น
เมื่อเราเห็นภาพดวงอาทิตย์กำลงั จะลบั ขอบฟ้าระหวา่ งขอบน้ำทะเลยามเยน็ เราจะ มองเห็นความงาม
ความงามจะทำให้เราเกิดความพอใจ ความยนิ ดีหรือความสุข เม่อื เราสมั ผสั กบั สง่ิ สวยงามทำให้เรา
สามารถแยกแยะวตั ถุท่ีมีความงามวา่ มีความโดดเด่น หรอื แตกต่างจากวตั ถุ ธรรมดาทั่วไปได้ ทำให้เรา
เขา้ ใจว่าอะไรทำใหเ้ กิดความงดงาม เราก็อาจนำความเขา้ ใจนน้ั มาเปน็ หลักการสร้างความงามหรอื
สร้างสรรคง์ านศลิ ปะขน้ึ มา

ส่ิงสวยงาม คือคุณคา่ ของความเป็นมนษุ ย์อกี ประการหนง่ึ ท่ีเราจะละเลยไม่ได้ ถึงแมม้ นษุ ยจ์ ะ
ประกอบคุณงามความดีเพยี งใด แตถ่ ้าเป็นคนท่ีมรี ปู รา่ งหน้าตาขี้ร้ิวขี้เหร่ เนื้อตัว เสอื้ ผ้าสกปรก กย็ ังคง
เป็นทรี่ งั เกียจของคนทัว่ ไป ดังน้ันการแตง่ กาย การปรงุ แตง่ บคุ ลกิ หนา้ ตา จึงเป็นปจั จยั ในคณุ ค่าท่ี
สำคัญอีกอย่างหน่ึงในความเป็นมนษุ ย์ พิธกี รรมต่างๆ ทางศาสนาเป็น กิจกรรมต้องการปรงุ แตง่ ให้
เกิดความงามวหิ ารของเทพเจ้ายอ่ มต้องการความงามกวา่ บ้านธรรมดา เพลงสวดเพ่ือสรรเสริญเทพเจา้
ตา่ งๆ ย่อมต้องมีความไพเราะเสนาะหู คุณคา่ ทางดา้ น ความงามดงั กล่าวนีเ้ ราเรยี กวา่ สุนทรียภาพ
ในทางปรชั ญาเรยี กวา่ สนุ ทรยี ศาสตร์

3. ตรรกศาสตร์ (Logics) คือมาตรฐานทางคุณค่าสว่ นทจ่ี ะเสริมให้มนษุ ยม์ ีความ สมบูรณ์ขึ้น
เปน็ คณุ คา่ ทางปญั ญา ความคิด กล่าวคือ นอกเหนือจากมาตรฐานทง้ั 2 ด้านดงั กล่าว มนุษยย์ ังต้องมี
ความคิดและวิจารณญาณที่ดี รู้จกั ใชเ้ หตุ ใช้ผล ไมห่ ลงงมงาย มีสามัญสำนึกที่ดี มี โลกทัศน์ท่ีดี และมี
วิสัยทศั น์ท่ีกวา้ งไกลศาสตรว์ ่าด้วยความคิด เมื่อความต้องการของมนษุ ย์ที่มีมากกว่าปัจจัยภายนอกท่ี
เกีย่ วข้องกบั รา่ งกาย นน่ั ก็คือ ปัจจยั ภายในซ่งึ เปน็ เรอื่ งของจิตใจ โดยเฉพาะเรื่องความงามท่ีเกดิ จาก
ภายในจิตใจซงึ่ กล่มุ ที่ให้ คุณค่าความงามในแงม่ ุมของสุนทรียภาพ เปน็ ความรูส้ กึ ส่วนบุคคล เชน่
ความพอใจ เพลนิ ใจ ใช้ ความร้สู ึกตนเองเปน็ ตวั ตัดสินใจ อยา่ งไรก็ตามการตัดสนิ ความงามมิได้มี
ขอ้ สรุปทต่ี ายตวั เพราะ สุนทรียศาสตรเ์ ปน็ เรื่องความร้สู ึกและพฤติกรรมเทา่ นั้น

คณุ คา่ สุนทรยี ภาพกบั การพฒั นามนุษย์
คุณคา่ สุนทรยี ภาพกบั การพฒั นามนษุ ยม์ ดี ังนี้
1. คุณค่าดา้ นการสง่ เสริมพัฒนาสภาพแวดลอ้ ม เปน็ การสง่ เสรมิ พฒั นา ส่งิ แวดลอ้ มให้แลดู

สวยงาม มีความเป็นระเบยี บเรียบร้อย น่าพงึ ปรารถนา นา่ อยูอ่ าศัย เปน็ คุณค่าท่ีมีความหมายมี
ความสำคญั ต่อ การดำรงอยู่ของชีวติ มนุษย์ทุกสงั คมในปจั จุบันรูปธรรมของ คุณคา่ ด้านน้ี เชน่ การ

หนว่ ยที่ 7 สนุ ทรยี ภาพของชวี ติ

17

ออกแบบสรา้ งสรรค์อาคารบ้านเรือน การตกแต่งบรเิ วณท้ังภายในและ ภายนอกอาคารบ้านเรอื น
ตลอดจนสถานพักผอ่ นหย่อนใจ เชน่ สวนสาธารณะ สวนสตั ว์ เปน็ ต้น สงิ่ แวดลอ้ มจึงต้องได้รับการ
ดูแลพัฒนาและสรา้ งสรรค์ใหเ้ ป็นไปในทิศทางทพี่ ึงประสงค์ เกิดคณุ ค่า เกิดประโยชนต์ ่อตนเองและ
ส่วนรวมอยา่ งแทจ้ ริง

2. คณุ คา่ ดา้ นการแสดงออกเชงิ สร้างสรรค์ของมนษุ ย์ เปน็ ผลจากธรรมชาติของ ความเป็น
มนุษย์ ทีม่ รี ะดับจิตสำนกึ ความคดิ ทีส่ งู และสลบั ซับซ้อนกว่าสัตวเ์ ดรจั ฉานท่วั ไป กล่าวคือ มคี วาม
ปรารถนาที่จะแสดงออกซึ่งความคิด ความรู้สึกทางอารมณ์ ความฝนั จินตนาการ รวมทงั้ ประสบการณ์
ในแงม่ มุ ต่างๆ อยู่ทกุ ขณะทัศนศิลป์เปน็ ผลผลติ หรอื องค์ความรู้ หนง่ึ ที่มนุษย์ได้แสดงออกอย่างเป็น
รูปธรรม สามารถรบั ร้สู ัมผสั ได้ ทางการเหน็ เป็นหลักก่อให้เกดิ ความร้สู กึ อารมณส์ ะเทือนใจ เกดิ แง่คิด
ใหม่ เกิดการเห็นแจ้ง เกดิ ปญั ญาและสามารถก่อใหเ้ กดิ สำนกึ ในทางท่ดี งี ามแกผ่ ชู้ มผสู้ ัมผสั รบั รู้ได้

3. คุณคา่ ดา้ นการเปน็ สือ่ กลาง เปน็ สอ่ื กลางระหวา่ งมนุษย์กบั มนุษย์ มนุษย์กับสงิ่ แวดล้อม
มนษุ ยก์ บั ธรรมชาติ มนุษยก์ ับจักรวาล ทัศนศลิ ปเ์ ปน็ ศลิ ปกรรมทมี่ ีคุณคา่ เป็น ภาษาสากลท่สี ามารถใช้
สอ่ื สารแกก่ นั และ กนั ได้ โดยไมต่ ้องอาศยั คำพดู เสยี งและอักษรใดๆ ภาษาทศั นศิลปจ์ ึงเป็นภาษาท่ี
อาศยั ภาพลักษณ์ทางการเหน็ ทีเ่ ปน็ รูปภาพ สามารถรับรู้ได้ตรงกัน ของทุกเผ่าพันธท์ุ ว่ั โลก

4. คณุ ค่าดา้ นสมาธปิ ัญญา ผูใ้ ฝแ่ ละปฏบิ ตั ใิ นศิลปกรรมย่อมเปน็ ผู้ทมี่ ีสมาธิ มปี ัญญา มจี ิตใจ
ท่ีแน่วแน่ในการท่ีจะปฏิบัติการใดๆ ให้ลลุ ่วงไปได้ด้วยดี ผทู้ ี่ศึกษาใฝ่รู้ ผู้ท่ปี ฏบิ ัติงานทัศนศลิ ป์อยา่ ง
ต่อเนื่องสม่ำเสมอ จึงมกั จะเป็นผ้ทู ม่ี ีจติ สงบน่ิง ไมห่ วัน่ ไหวเมื่อต้องเผชญิ กบั ปัญหาใดๆ ศิลปนิ ที่
แทจ้ ริง ย่อมรู้ซึ้งถึงความมสี มาธจิ ากการสรา้ งสรรค์ผลงาน ผู้ดูชมผลงานก็ สามารถพัฒนาตนเองใน
การซมึ ซับรบั เอาคณุ ค่าสนุ ทรียภาพ สิง่ ดี สง่ิ งาม ความสุขความปีติ ความเป็นสมาธิ ความละเอียดอ่อน
ในผลงานทศั นศลิ ป์ได้อยา่ งมิรู้จบ

5. คุณค่าด้านการพฒั นาเชาวป์ ญั ญาทางศลิ ปะ กลา่ วคือ ให้รจู้ ักจำแนกแยกแยะ รูจ้ กั
เลือกสรรสิง่ ที่ดสี ง่ิ ท่ีงามออกจากสงิ่ ทไี่ ม่ดสี ิ่งที่ไมง่ าม รู้วา่ อะไรคอื หลัก อะไรคอื รอง อะไรคอื จดุ เด่น
จุดสำคญั สดุ อะไรเป็นเพยี งตัวประกอบทีม่ ีการลดหลน่ั ลงไปและแต่ละสว่ นมคี วามสมั พันธ์ ต่อกนั
อย่างไร มีเอกภาพหรือไม่เพียงใด และถ้าจะเชื่อมโยงแต่ละองคป์ ระกอบต่างๆ ขึ้นเป็นส่ิงใหม่ น่าจะ
กระทำได้หรือไม่ มากน้อยเพียงใด กลา่ ว โดยสรปุ กค็ ือ การศึกษาเรียนรู้และการสมั ผสั รับรู้ ตลอดจน
การสรา้ งสรรค์งานทัศนศิลป์ สามารถนำไปสู่การเป็นผูม้ เี ชาวป์ ัญญาทางศิลปะ ที่ สามารถจะวเิ คราะห์
สังเคราะห์ หรือสรา้ งสรรค์งานทศั นศลิ ป์ ตลอดจน ประดษิ ฐ์กรรมตา่ งๆ ท่ีมี ประโยชน์ มีคุณค่าตอ่
ชวี ิตมนุษย์ได้อย่างมากมาย การศึกษาทศั นศลิ ป์เชงิ ปฏิบัตกิ ารโดยตรงยัง สามารถหล่อหลอมผ้ศู ึกษา ผู้
ปฏิบตั ใิ ห้เป็นนักคดิ นักปฏบิ ตั ิหรือปราชญ์ผรู้ อบรูท้ างศิลปะ มิใชเ่ พยี งแค่การท่องบน่ ท่องจำในความรู้
ทีม่ ีอยู่แลว้

หนว่ ยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชวี ติ

18

6. คุณคา่ ด้านวัฒนธรรม ทัศนศลิ ป์เปน็ ศลิ ปวตั ถทุ ส่ี ามารถดำรงอยคู่ ู่กับกลุ่มชน เผ่าพนั ธนุ์ ั้นๆ
ไดอ้ ย่างยาวนานย่ิงกวา่ ชีวติ มนุษย์ ดังคำกลา่ วอันอมตะของศลิ ป์ พีระศรี ทวี่ ่า “ศลิ ปะยืนยาว ชีวิตสน้ั "
ผลิตผลหรือ ผลงานของบรรพชนในอดีตและปจั จบุ นั ทีม่ ีคุณค่าสูงจงึ เปน็ ส่งิ ทผี่ ู้คนรุน่ หลงั ตอ้ งตระหนกั
จัดเกบ็ รักษา ทำนุบำรงุ ให้คงอยูต่ อ่ ไปตราบนานเท่านาน ใหเ้ ปน็ ความภาคภมู ิใจในฐานะท่เี ปน็ ทรัพย์
ทางปัญญาจิตใจ เปน็ วัฒนธรรมทต่ี อ้ งสืบสานและเช่ือมโยง ไปสูอ่ นาคต ตราบเท่าท่ีมนษุ ยย์ งั ศรทั ธาใน
ความเป็นมนษุ ย์ ผู้มี ศกั ยภาพเป่ียมล้นในการที่จะ สรา้ งสรรค์สิ่งใหมท่ ส่ี ามารถบง่ ชไี้ ดถ้ ึงความมี
วัฒนธรรมมีจติ ใจอนั สงู ยิ่ง

7. คณุ คา่ ดา้ นประวัตศิ าสตร์ ผลงานทัศนศลิ ป์ทุกชนิ้ ทุกภาพ ล้วนเปน็ การบันทกึ ไว้ ซึ่งความ
มอี ยู่และเปน็ อยู่จริงแห่งยุคสมัยหรอื ช่วงหน่งึ ๆ ของประวัติศาสตร์ การกลา่ วถึงข้อเทจ็ จริง ทาง
ประวัตศิ าสตร์ โบราณคดี จงึ จำเปน็ ตอ้ งกลา่ วถึงผลงานศลิ ปกรรมโดยเฉพาะงานทัศนศลิ ป์ ไดด้ ้วย
เสมอ

ชวี ติ นั้นมีหลายมติ ิ เราแต่ละคนมสี ัมพันธภาพท่หี ลากหลาย ในฐานะปจั เจกบุคคล เราต้อง
สมั พนั ธ์กบั ส่งิ รอบตัว อาทิ ผู้คน สังคม และธรรมชาติ ขณะเดยี วกันเราก็ต้องไม่ละเลยชีวติ ดา้ นในจน
แปลกแยกกบั ตวั เอง จะทำเช่นนน้ั ได้ เราตอ้ งสมั พันธ์กับสง่ิ สูงสุดด้วย ไมว่ า่ จะเป็นปรมตั ถสัจจะ
นพิ พาน หรือพระเจ้าก็ตาม หากสัมพนั ธภาพกบั ผคู้ น สังคม และธรรมชาติ เปน็ สมั พันธภาพแนวนอน
สัมพันธภาพแนวต้ัง เบ้ืองล่างคือสัมพนั ธภาพกับชวี ติ ด้านใน เบื้องบนคือสมั พันธภาพกบั ส่ิงสูงสดุ

ในฐานะที่เป็นสะพานพาใหเ้ ข้าถงึ ความงาม ความจริง และความดี ศิลปะคือส่งิ สำคัญทีจ่ ะช่วย
ให้เรามีสมั พันธภาพกับสรรพสิง่ อยา่ งรอบด้าน ทำให้เราเหน็ คณุ คา่ ของธรรมชาติ เหน็ มนุษยท์ กุ คนเปน็
พี่น้องกนั หยั่งลกึ ถึงจติ วญิ ญาณของตน และเขา้ ถึงสิ่งสงู สุดได้ ศาสนามคี วามหมายกับชีวติ อย่างไร
ศิลปะก็มีความหมายอยา่ งนั้นกบั เรา ชวี ิตที่ดงี ามกับศลิ ปะจึงไม่อาจแยกจากกันได้ ศิลปะชว่ ยใหค้ วาม
เป็นมนุษยข์ องเราสมบูรณ์และงดงาม

หนว่ ยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชีวติ

19

กจิ กรรม 7.2 คณุ ค่าสุนทรยี ภาพกบั การพฒั นามนษุ ย์

คำช้ีแจง
1. ใหน้ กั ศึกษาอ่านสาระโดยละเอยี ดในเอกสารประกอบการสอน หนว่ ยท่ี 7 เรือ่ งท่ี 7.3
2. นกั ศึกษาเลือกสถานท่ีในชุมชนของนักศึกษา ดังนี้
ก) วดั /โบสถ์/มัสยดิ
ข) สถานทจ่ี ดั งานประเพณีตา่ งๆ
ค) พพิ ธิ ภณั ฑ์
3. นักศกึ ษารวบรวม บนั ทึก ประวตั ิ แนวคดิ สถานทใ่ี นชุมชนทน่ี ักศกึ ษาเลอื ก และวิเคราะห์

ความสอดคล้องของสุนทรยี ภาพกับการพฒั นามนษุ ย์อย่างไร
4. จดั ทำรายงานส่งครูผู้สอน

บนั ทกึ การตอบกิจกรรม 7.2
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................... .................................................................
............................................................................................................................. ...................................
.......................................................................................................................................................... ......
............................................................................................................................ ....................................
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ...................................
....................................................................................... .........................................................................
............................................................................................................................. ...................................
.................................................................................................................................................. ..............
.................................................................................................................... ............................................
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................

หนว่ ยที่ 7 สนุ ทรยี ภาพของชีวติ

20

เร่ืองที่ 7.4 สนุ ทรียภาพกับการสรา้ งแรงบันดาลใจ

ความสวยงาม คือ สถานภาพของส่ิงใดส่ิงหน่ึงท่ีกอ่ ใหเ้ กดิ ความเพลดิ เพลิน และความ ชื่นชม
ผ่านการเข้าใจและรับรถู้ ึงความสมดุล สัดส่วน และแรงดงึ ดูด ของสงิ่ ๆ น้นั ซง่ึ อาจจะ เป็นบุคคล สัตว์
ส่ิงของ เหตุการณ์ สถานที่ ดนตรี ศลิ ปะ หรือความคดิ ตรงกันข้ามกับความ นา่ เกลยี ดน่าชงั ซึ่งมี
ผลกระทบอยา่ งตรงขา้ มต่อผู้ท่ีรับรู้ แตก่ ารทจี่ ะเข้าใจถึงธรรมชาติและ ความหมายของความสวยงาม
น้ัน จําเป็นที่จะต้องเขา้ ใจถงึ หลกั ปรชั ญาของ “สนุ ทรียศาสตร”์ ซ่ึงเปน็ วชิ าที่ว่าด้วย ความดี ความงาม
ซ่ึงเปน็ ความงามทม่ี ีอยูต่ ามธรรมชาติ หรอื ความงาม ในทางศลิ ปะก็ได้ นักปราชญ์ทางศิลปะกล่าววา่
“ความงามเป็นหน่วยความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง การรบั รู้ทางความรสู้ กึ กับการส่ือสารความหมาย”
สุนทรยี ศาสตร์ เปน็ มาตรฐานความงามใน เชิงทฤษฎี (Theory of Beauty) อย่ใู นปรชั ญาสาขา
Axiology ซ่ึงจะโนม้ นําไปสู่ การสร้าง สนุ ทรียภาพของบคุ คล

สว่ นคำว่า “แรงบนั ดาลใจ” จะพจิ ารณาความหมายโดยแยกคำวา่ “แรง” ออกมาอธิบาย
ตามหลักทางวทิ ยาศาสตรด์ ้วยเหตแุ ละผล (ตรรกะ) จากนิยามทีก่ ล่าวไวว้ า่ งาน เปน็ ผลลพั ธ์ทไี่ ด้
จาก แรง คณู กบั ระยะทาง ท่ีวตั ถเุ คลอื่ นที่ไปในแนวของแรง ดังนั้นหากยา้ ยข้างสมการก็จะ
พบวา่ แรง กค็ ือ ผลลัพธ์ของสดั ส่วนระหว่าง งาน กบั ระยะทาง งานในที่นี้ หมายถึง การแสดงซึ่ง
บทบาทและหน้าที่ ท่ีมาจากความยินดแี ละเต็มเปีย่ มไปดว้ ยจติ ใจที่ม่งุ มนั่ ในการกระทำ เป็นสิ่งทท่ี ำ
แลว้ จะนำมาซง่ึ ความสุขสงบ ไดพ้ ัฒนาจิตใจของเรา และได้รับเกียรติ ช่อื เสียง วตั ถตุ ามมาเป็นเพยี งผล
พลอยได้ เพื่อใหส้ ามารถเลย้ี งชีพได้อยา่ งผมู้ ีปญั ญาโดยแท้ ทีส่ ำคญั คือจะทำให้เราเกดิ แรงจงู ใจใน
ตนเองตลอดเวลา (การกระตุ้นให้เกดิ แรงด้วยตัวของตวั เอง ไมจ่ ำเป็นต้องอาศยั ปจั จยั ภายนอกมา
กระตุ้น) ทำใหเ้ ราทุ่มเทความสามารถดึงศักยภาพของตนเองออกมาใช้สรา้ งสรรคค์ วามดี,ความงามได้
มากทส่ี ุด และเปน็ การ สั่งสมประสบการณจ์ ากระยะทาง ที่เราได้กา้ วเดนิ พร้อมรับมือและเผชิญกับส่งิ
ท้าทายใหม่ๆ ซ่ึงงานไดเ้ รียกร้องจากเรา (เปรียบได้กบั การเคล่อื นท่ีของวัตถุให้ไดร้ ะยะทางน้นั ย่อมต้อง
มแี รงเสยี ดทานระหว่างพืน้ ผิวสมั ผสั เปน็ เรอื่ งธรรมดา) การยนื หยัดและฟันฝา่ อปุ สรรคให้สามารถทำ
บทบาทหน้าท่ีไปตามแนวแรงจูงใจในตนเองได้ จะเป็นส่ิงท่ีดลบนั ดาลใหเ้ ราเป็นผ้มู ใี จทีร่ ักและมี
ความปติ ปิ ราโมทยใ์ นงาน เป็นการไดซ้ าบซึ้งและด่มื ดำกบั คณุ ค่าภายใน (Intrinsic Value) ของการ
ทำงานอย่างแท้จรงิ ดังคำกล่าวของทา่ นพทุ ธทาสที่กลา่ วไว้ว่า “สขุ แท้มีแตใ่ นงาน”

ผูท้ ่ที ำแตเ่ พยี งบทบาทหนา้ ท่ีให้ผา่ นไปวนั ๆ โดยไม่ใส่ใจท่ีจะพฒั นาจิตใจ หวงั เพยี งเพื่อ
ชื่อเสยี ง วัตถุ ส่งิ ทเี่ ป็นคณุ ค่าภายนอก (Extrinsic Value) แนวโนม้ ในอนาคตสามารถพยากรณ์ไดต้ าม
หลักตรรกะเมอ่ื แทนค่าเข้าไปจะพบวา่ คา่ ของงาน (สิ่งท่ีเราทำ) จะเท่ากบั ศูนย์ เหตุผลก็เพราะ แรง
(แรงจงู ใจในตนเอง) ไม่มี เทา่ กับ ศนู ย์ เม่ือมนั ไปคูณกับ ระยะทางถงึ แม้เราจะทำงานมายาวนาน
เดินทางในเส้นทางของชีวติ คนทำงานมามากเทา่ ใดกต็ าม ศนู ย์ คูณอะไรก็ได้ ศูนย์ ตลอดชีวิตของเรา

หนว่ ยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชวี ติ

21

จะไม่ไดร้ ับประโยชนใ์ ดๆ จากช่วงชวี ิตการทำงาน นอกจากการเลย้ี งชวี ิตให้รอด เท่าน้นั กวา่ ท่ีจะรูต้ วั
อกี ทีก็กา้ วเข้าสวู่ ัยทีจ่ ะต้องปลดระวางจากการทำงานเสยี แล้ว ชีวิตลักษณะน้ีจงึ เป็นชวี ติ ท่เี สยี ศูนย์
ความเปน็ ตวั ตน (เปรยี บเสมือนรถท่ศี ูนย์ลอ้ ผิดปกติทำใหก้ ารควบคมุ ทิศทางของรถนน้ั ยากลำบาก)
และ สญู เสยี โอกาสทด่ี ีในการไดเ้ กดิ เปน็ มนุษยใ์ นภพชาติน้ี

ปจั จัยที่มีอิทธพิ ลต่อพลังเหนีย่ วนำความงดงามในการแสดงออกซง่ึ พฤติกรรมปจั เจกบุคคล

คนทุกคนมีความแตกตา่ ง คนเหมือนคน แต่คนก็ไม่เหมือนกัน คำวา่ “ปจั เจกบุคคล” จงึ ถูก
บญั ญัติขนึ้ ทำไมคนแต่ละคนจึงมบี ุคลิกลักษณะที่แตกตา่ งกัน ลองมาวิเคราะหต์ ามดูว่า เหตุใดจงึ เป็น
เชน่ นนั้

เริ่มจากการวเิ คราะห์พฤติกรรมมนุษย์ ส่ิงทีเ่ ปน็ เหตุให้เกดิ พฤติกรรมมนุษย์ นนั่ คือ กรอบ
แนวคิดของบุคคล อันประกอบดว้ ย เจตคติ ความเชอื่ และคา่ นิยมของบุคคล ส่งิ ทท่ี ำให้มนุษยน์ ำมา
สร้างกรอบแนวคดิ นนั่ คอื การไดล้ งมือทำและพสิ จู นแ์ ล้วเห็นผลจริงด้วยตนเอง หรือทเ่ี ราเรียกว่า
ทักษะทเ่ี กิดจากการฝึกฝน สิง่ ที่เป็นเหตใุ หม้ นุษยส์ ามารถสร้างทกั ษะฝึกฝนตนเองไดน้ น่ั คือ องคค์ วามรู้
เฉพาะบคุ คล ทไ่ี ด้จากการนำข้อมูล ข้อเทจ็ จริงตา่ งๆ มาพิจารณาและวินจิ ฉยั อยา่ งมหี ลักการ ส่งิ ที่ทำ
ใหม้ นุษยส์ ามารถเกบ็ กกั และนำข้อมูล ข้อเท็จจริงเข้าสตู่ นเองได้ น่นั คอื การที่มนุษยม์ ีสมองเปน็
อุปกรณ์ในการเกบ็ และประมวลผล โดยอาศยั อวยั วะรับสัมผัสท้ัง 5+1 ทีม่ ีติดตัวมนุษยม์ าทกุ คนเป็นตวั
ส่งสัญญาณท่ีไดร้ บั รมู้ า (การรับสัมผัส 5 ทางได้แก่ การมองเหน็ การได้ยนิ เสียง การได้กลนิ่ การได้
รบั รรู้ สชาติ และการสัมผัส สว่ นการรบั อีก 1 ทางนน้ั คือ ความรู้สึกของปจั เจกบุคคล นนั่ คือ อารมณ์)

ดงั นนั้ อาจกลา่ วไดว้ า่ เพราะการรบั รู้นน่ั เอง เป็นเหตใุ หเ้ กดิ การศกึ ษาวนิ จิ ฉัยของบุคคล
สงั เคราะหเ์ ป็นองค์ความรูส้ ว่ นตนซึง่ เปน็ ปัจจยั ไปกอ่ ให้เกดิ การทดสอบองค์ความรูน้ น้ั ดว้ ยการลงมอื
ฝึกฝนและเปน็ ปจั จยั ไปก่อให้เกดิ การยดึ ติดเปน็ เจตคติ ความเชอื่ และค่านิยมส่วนบคุ คล (กรอบ
แนวคดิ ของบคุ คล) ซึ่งเป็นปัจจยั ตอ่ ไปทำให้เกิด การแสดงออกอย่างซ้ำๆ และถาวรจนเป็น
พฤติกรรม ท่แี สดงถึงบคุ ลิกลักษณะสอ่ื ให้คนทั่วไปได้รับรู้ โดยไมต่ ้องบอกกลา่ ว เราอาจเคยได้ฟังในสงิ่
ทพ่ี ระท่านสงั่ สอนเราอยู่เสมอว่า “คนเราคดิ อยา่ งไร จะทำอยา่ งน้ัน คนเราทำอย่างไร ก็จะเชือ่ อยู่
อย่างนนั้ คนเราเชื่ออยา่ งไรพฤติกรรมก็จะเปน็ เช่นนั้น ดงั นั้นจงระวังความคิดของตนเองให้ดี และหมน่ั
ฝึกฝนความคิดของตนให้ถึงพร้อมอยู่เสมอ”

การรับร้ทู างความรูส้ กึ ของปัจเจกบุคคล (อารมณ์) จะมคี วามไวและรวดเร็วมากต่อส่ิงเรา้
ท่ีมากระทบผา่ น เพราะมีการปรุงแตง่ จากความต้องการหยาบๆ ของมนุษย์ (สนั ดานดิบ) จึงเปน็
อารมณ์ทไี่ มบ่ รสิ ทุ ธ์ิ และจะสรา้ งพลงั เหน่ียวนำให้เกิดการกระทำขึ้นอยา่ งมหาศาลเพอ่ื ตอบสนองต่อ
ความตอ้ งการทหี่ ยาบน้นั เนอื่ งจากไม่ไดผ้ ่านกระบวนการไตรต่ รอง ศึกษา วเิ คราะห์ พจิ ารณา

หน่วยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชีวติ

22

สงั เคราะห์ (การใชว้ จิ ารณญาณ) ของบคุ คลก่อนทีจ่ ะแสดงเป็นการกระทำออกมา ถ้าเราไม่มคี วาม
ตระหนักและเข้าใจอยา่ งดพี อ การกระทำแบบนั้นก็จะกลายเป็นความเคยชนิ และกลายเป็นพฤติกรรม
ที่ถาวรของเราไปในที่สดุ

สนุ ทรยี ภาพของบุคคล เปน็ สภาพความซาบซึ้งในคุณค่าของสิ่งท่ีงดงาม ไพเราะ ร่ืนรมย์ ไมว่ า่
จะเป็นธรรมชาติ หรอื ศลิ ปะ ความซาบซงึ้ ในคณุ คา่ ดงั กล่าวจะเจรญิ เตบิ โตไดโ้ ดยประสบการณ์
การศกึ ษา อบรม ฝกึ ฝน จนเปน็ อุปนิสัย และเกดิ รสนิยม (Taste) ข้นึ ตามตัวบคุ คล ซึง่ ถือไดว้ ่าเปน็
เรื่องของปัจเจกบคุ คล ในความรู้สกึ ท่ซี าบซึ้งน้ันเป็นความรู้สกึ ทเ่ี กดิ จากการรบั รู้ท่บี ริสทุ ธ์ิ ปราศจากสง่ิ
ใดๆ ปรุงแต่งในห้วงเวลาหน่งึ ดงั น้นั พฤติกรรมของผู้ท่มี ีสุนทรยี ภาพจะมองคุณคา่ ของสรรพสิ่งทุก
อยา่ งจากภายใน (Intrinsic Value) มากกว่าภายนอก (Extrinsic Value) เปรยี บไดก้ ับเป็นตัวกรองท่ี
จะสนองต่อความต้องการที่ละเอียดอ่อน สรา้ งพลงั เหนี่ยวนำให้เกดิ การกระทำที่ดงี าม งดงาม ผา่ น
กระบวนการไตร่ตรอง ศกึ ษา วิเคราะห์ พิจารณา สงั เคราะห์ แสดงเปน็ การกระทำที่มีความงดงาม
เหมาะสม ชื่นชมตอ่ ผู้พบเห็น จนตดิ ตวั กลายเป็นพฤติกรรมถาวร เป็นเอกลกั ษณ์ทีส่ ง่างาม
เฉพาะตวั นา่ เคารพ นบั ถือ น่าเล่ือมใสและศรทั ธา

หน่วยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชีวติ

23

เรอ่ื งที่ 7.5 การดำเนนิ ชีวิตอยา่ งมีสุนทรยี ภาพ
การรวมกลุ่มกนั ของมนุษย์ เพื่อดำรงชวี ติ ในประจำวนั ให้มคี วามสขุ โดยพยายามค้นหาวธิ ีการ

ตา่ งๆ มาสนบั สนุน แต่ผลทไ่ี ด้กลับไม่เป็นไปตามสงิ่ ทค่ี าดหวงั แมก้ ระทงั่ บางคร้งั อาจจะดเู หมือนได้ผล
แตเ่ ป็นเพยี งชั่วครั้งชั่วคราวแล้วกก็ ลบั สูส่ ภาพดงั่ เดมิ ไมม่ ีความย่งั ยืนถาวร ท้งั นถ้ี า้ มาวเิ คราะห์ดเู หตุ
และปจั จยั ต่างๆ ประกอบแลว้ จะพบว่าปจั จยั ทม่ี ีอทิ ธิพลอย่างมากโดยเฉพาะในวิถีไทย ที่ทำใหเ้ กิด
เหตนุ น้ั ก็คือ ความไมเ่ ข้าใจความเป็นจริงในตัวคน ไม่เข้าใจแกน่ แท้ของการเกดิ พฤตกิ รรมทีถ่ าวรของ
มนษุ ย์

คนทุกคนมีความแตกตา่ ง คนเหมือนคน แต่คนก็ไมเ่ หมือนกัน คำว่า "ป้จเจกบุคคล" จงึ ถูก
บัญญัตขิ ้นึ ทำไมคนแต่ละคนจงึ มีบุคลิกลักษณะท่ีแตกต่างกนั เม่ือวเิ คราะห์ตามดูว่า เหตใุ ดจึงเป็น
เช่นนั้น

เร่มิ จากการวเิ คราะห์พฤติกรรมมนษุ ย์ ส่ิงทเี่ ปน็ เหตใุ หเ้ กิดพฤตกิ รรมมนษุ ยน์ ่ันคือ กรอบ
แนวคิดของบุคคล อนั ประกอบดว้ ย เจตคติ ความเช่ือ และคา่ นิยมของบุคคล สิ่งทท่ี ำให้มนุษยน์ ำมา
สร้างกรอบแนวคดิ น่นั คอื การไดล้ งมือทำและพสิ ูจนแ์ ล้วเห็นผลจริงด้วยตนเอง หรือที่เราเรยี กว่า
ทกั ษะทีเ่ กิดจากการฝึกฝน สิ่งทเ่ี ปน็ เหตใุ ห้มนุษย์สามารถสร้างทักษะฝึกฝนตนเองได้นั่นคือ องค์ความรู้
เฉพาะบุคคล ที่ไดจ้ ากการนำขอ้ มูล ข้อเทจ็ จรงิ ต่างๆ มาพจิ ารณาและวนิ ิจฉยั อยา่ งมหี ลักการ ส่งิ ท่ที ำ
ให้มนุษยส์ ามารถเกบ็ กักและนำข้อมูล ข้อเทจ็ จริงเข้าสู่ตนเอง ได้ นัน่ คือ การทม่ี นุษยม์ ีสมองเป็น
อุปกรณ์ในการเกบ็ และประมวลผล โดยอาศัยอวยั วะรับสัมผัสทงั้ 5+1 ท่มี ตี ิดตัวมนุษยม์ าทกุ คนเป็นตัว
ส่งสญั ญาณท่ีไดร้ บั รูม้ า ประกอบดว้ ยการรบั สัมผสั 2 ทางไดแ้ ก่ การมองเห็น การได้ยินเสยี ง การได้
กล่นิ การได้รับรรู้ สชาติ และการไดร้ ับรสู้ ัมผัส ส่วนการรับอกี 1 ทางน้ันคือ ความรู้สกึ ของปัจเจก
บุคคล นั่นคอื อารมณ์

ดงั นนั้ อาจกล่าวไดว้ า่ เพราะการรบั รนู้ ัน่ เอง เป็นเหตุให้เกิดการศึกษาวินิจฉัยของบุคคล
สังเคราะหเ์ ป็นองค์ความรู้สว่ นตนซึ่งเป็นปัจจัยไปก่อให้เกดิ การทดสอบองค์ความรู้น้นั ด้วยการลงมอื
ฝกึ ฝนและเป็นปจั จัยไปก่อใหเ้ กดิ การยึดคิดเป็น เจตคติความเชื่อ และค่านิยมส่วนบุคคล กรอบแนวคิด
ของบุคคล ซ่ึงเปน็ ปัจจัยต่อไปทำให้เกิด การแสดงออกอย่างซำ้ ๆ และถาวรจนเป็นพฤติกรรม ท่แี สดง
ถงึ บคุ ลกิ ลักษณะสื่อใหค้ นท่วั ไปไดร้ ับรู้ โดยไมต่ ้องบอกกลา่ ว เราอาจเคยได้ฟงั ในสิง่ ท่พี ระท่านส่งั สอน
เราอยเู่ สมอวา่ "คนเราคดิ อย่างไร จะทำอยา่ งน้ัน คนเราทำอยา่ งไร กจ็ ะเช่ืออยู่อยา่ งนนั้ คนเราเชอ่ื
อยา่ งไรพฤติกรรมกจ็ ะเป็นเช่นน้ัน ดงั นั้นจงระวงั ความคิดของตนเองให้ดีและหม่ันฝกึ ฝนความคิดของ
คนใหถ้ งึ พรอ้ มอยูเ่ สมอ"

หนว่ ยที่ 7 สนุ ทรยี ภาพของชวี ติ

24

สุนทรยี ภาพมีส่วนช่วยให้เกิดการบรรยากาศการทำงานรว่ มกันแบบ Win-win Situation
การรับรู้ทางความรู้สึกของปัจเจกบคุ คล (อารมณ์ จะมีความไวและรวดเร็วมากตอ่ สิง่ เร้าทมี่ า

กระทบผ่าน เพราะมกี ารปรุงแต่งจากความต้องการหยาบๆ ของมนุษย(์ สญั ชาติญาณดบิ จงึ เป็น
อารมณ์ที่ไมบ่ รสิ ทุ ธิ์ และจะสรา้ งพลังเหนยี วนำให้เกิดการกระทำข้นึ อยา่ งมหาศาลเพ่ือตอบสนองต่อ
ความต้องการทหี่ ยาบนัน้ เนือ่ งจากไมไ่ ด้ผ่านกระบวนการไตรต่ รอง ศกึ ษา วิเคราะห์ พจิ ารณา
สงั เคราะห์ ของบุคคลก่อนท่ีจะแสดงเปน็ การกระทำออกมา ถา้ เราไม่มีความตระหนักและเข้าใจอย่างดี
พอ การกระทำแบบนัน้ กจ็ ะกลายเปน็ ความเคยชิน และกลายเป็นพฤติกรรมท่ีถาวรของเราไปในทส่ี ุด

สนุ ทรียศาสตร์ เปน็ วิชาทวี่ า่ ดว้ ย ความดี ความงาม ซง่ึ เปน็ ความงามที่มีอยู่ตามธรรมชาติ
หรอื ความงามในทางศลิ ปะก็ได้ นกั ปราชญท์ างศลิ ปะกลา่ วว่า "ความงามเปน็ หน่วยความสัมพันธ์
ระหวา่ งการรบั ร้ทู างความร้สู ึกกบั การส่อื สารความหมาย" สุนทรียศาสตร์ เปน็ มาตรฐานความงามใน
เชงิ ทฤษฎี (Theory of Beauty) อยใู่ นปรัชญาสาขา Axiology ซึ่งจะโน้มนำไปสู่ การสร้าง
สุนทรียภาพของบุคคล

สุนทรียภาพของบคุ คล เป็นสภาพความซาบซง้ึ ในคุณคา่ ของสิง่ ทง่ี ดงามไพเราะ รนื่ รมย์ ไมว่ า่
จะเปน็ ธรรมชาติ หรือ ศิลปะ ความซาบซ้งึ ในคณุ คา่ ดังกล่าวจะเจรญิ เตบิ โตได้โดยประสบการณ์
การศึกษา อบรม ฝกึ ฝน จนเปน็ อปุ นิสัย และเกดิ รสนิยม (Taste) ขนึ้ ตามตัวบุคคล ซงึ่ ถือได้วา่ เป็น
เรื่องของปัจเจกบคุ คล ในความรู้สกึ ทซี าบซึ้งนัน้ เปน็ ความรู้สึกทเ่ี กดิ จากการรบั รู้ทีบ่ รสิ ทุ ธิ์ ปราศจากสิง่
ใดๆ ปรงุ แตง่ ในหว้ งเวลาหนงึ่ ดงั น้ันพฤติกรรมของผทู้ ี่มีสนุ ทรียภาพจะมองคุณคา่ ของสรรพสง่ิ ทุก
อยา่ งจากภายใน (Intinsic Value) มากกวา่ ภายนอก (Extinsic Value) เปรียบได้กบั เปน็ ตวั กรองทจี่ ะ
สนองตอ่ ความต้องการที่ละเอียดอ่อน สร้างพลงั เหนี่ยวนำให้เกิดการกระทำท่ีดีงาม งดงาม ผา่ น
กระบวนการไตรต่ รอง ศกึ ษา วเิ คราะห์ พิจารณา สังเคราะห์ แสดงเป็นการกระทำท่มี คี วามงดงาม
เหมาะสม ชน่ื ชมต่อผู้พบเหน็ จนตดิ ตัวกลายเป็นพฤติกรรมถาวร เปน็ เอกลกั ษณ์ท่สี งา่ งามเฉพาะตวั
น่าเคารพ นับถอื เล่อื มใสและศรทั ธา สอดคล้องกับหลักการ Win-win Situation ทมี่ ุ่งเน้นการสร้าง
สถานการณ์แบบชนะทั้งสองฝ่าย เป็นการเอาชนะกันดว้ ยใจ เพ่อื ก่อใหเ้ กิดความรกั ความศรทั ธา และ
ความเชอ้ื ถือต่ออุดมการณ์ร่วมกัน ซ่ึงจะมีผลก่อใหเ้ กิดวิถีรว่ มกันอยา่ งสอดคล้องชัดเจน นำมาสกู่ ารมี
ชัยชนะร่วมกันไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

หน่วยที่ 7 สนุ ทรยี ภาพของชวี ติ

25

ภาพลกั ษณ์ของบุคคล มีผลตอ่ การรบั รู้และสามารถควบคุมพฤตกิ รรมคนรอบข้าง
จากข้อเทจ็ จรงิ ต่างๆ ทำใหเ้ ราพอจะเข้าใจไดว้ ่า การรับรขู้ องมนุษย์น้ันมคี วามสำคัญอย่างย่งิ

เพราะเปน็ ปัจจยั เร่ิมตน้ ของการกอ่ ใหเ้ กดิ การกระทำ และพฤติกรรมของมนษุ ย์ ในทางจติ วทิ ยาได้
ศึกษาและคน้ พบวา่ มนุษย์เรานัน้ จะปฏบิ ตั ติ อ่ คนอ่นื ตามภาพลักษณข์ องเขาที่อยู่ในใจเรา นักจติ วทิ ยา
เรียกวธิ กี ารน้วี า่ "การจัดการความประทับใจ" (Impression Management) น่ันกห็ มายความวา่ เรา
สามารถที่จะใชภ้ าพลักษณ์ (Image) ควบคุมพฤติกรรมของคนอ่นื ทีม่ ีต่อตนเองได้ ด้วยวิธกี ารทำเสมอ
กาพลักนณท์ แ่ี ท้ริงกองรา ให้กบั ผอู้ น่ื ได้รบั รู้

แต่สง่ิ ทจ่ี ะต้องทำความเข้าใจและตระหนักให้ดีกค็ ือ การเสนอภาพตนเอง (Self-Presentation)
เพอื่ สร้างเป็นภาพลักษณ์น้นั จะตอ้ งเกดิ จากความเป็นตัวตนของเราจริงๆ เราจะต้องสำรวจ เปดิ ใจ
พิจารณา และปรบั ปรุงตนเองใหด้ กี ่อน โดยเฉพาะในเร่ืองของการสร้างส่ิงท่ดี ีงามใหก้ ับจิตใจ โดย
พยายามฝกึ รบั รูจ้ ากอารมณ์ที่บริสทุ ธิ์ปราศจากการปรงุ แตง่ มองคุณคา่ ของสรรพสิง่ ทุกอยา่ งจาก
แกน่ แท้ขา้ งในใหม้ ากกว่ามองแคเ่ ปลอื กที่ห่อหุ้มอยู่ดา้ นนอก การปฏิบัติเช่นน้จี นเป็นพฤติกรรมท่ีดีงาม
จะทำใหภ้ าพลักษณข์ องเราเกิดขนึ้ อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นตวั เปน็ ตนของเราอย่างแท้จริง และสง่างาม
ผ้คู นรอบขา้ งเราจะรับร้ใู นภาพลกั ษณข์ องเราเชน่ นไ้ี ด้อยา่ งดึ สง่ิ ที่เราจะได้รับตามมาก็คอื ความเคารพ
นับถอื เล่ือมใสและศรัทธา

การเสนอภาพตนเอง จนเกดิ เป็นภาพลกั ษณท์ ีไ่ ม่ได้มาจากตัวตนทแ่ี ทจ้ ริงของเรา แมจ้ ะมี
วิธีการวางแผนอยา่ งดี จนประสบความสำเรจ็ ในสิ่งท่ีตอ้ งการ แตถ้ า้ กาลเวลาเปลย่ี นไป คนรอบข้างรวู้ ่า
ส่งิ ท่เี รานำเสนอมาไม่ตรงกับภาพลกั ษณ์แห่งความเป็นจรงิ ตามทเ่ี สนอไว้ คนรอบขา้ งจะเกดิ การสะบดั
กลับของความรู้สกึ ผดิ หวังหมายความวา่ เคยรกั เทา่ ไรกจ็ ะเกลยี ดมากเทา่ นั้นนน่ั เอง

หนว่ ยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชวี ติ

26

กจิ กรรม 7.3 สุนทรยี ภาพในชีวติ ประจำวนั

คำช้ีแจง
1. ให้นกั ศกึ ษาอา่ นสาระโดยละเอียดในเอกสารประกอบการสอน หน่วยที่ 7 เรอ่ื งท่ี 7.4

และเร่ืองท่ี 7.5
2. ใหน้ ักศึกษาวเิ คราะหภ์ าพชดุ อาหารพน้ื เมอื งเหนือ และวิเคราะห์ความเชื่อมโยงเก่ียวกับ

วิถีชวี ิตของคนไทย ในหัวข้อ “สนุ ทรยี ภาพในชีวิตกบั อาหาร” อย่างไร

ท่มี า : https://www.cheezebite.com/อาหารเหนอื /

บันทึกการตอบกิจกรรม 7.3
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................ ................
.................................................................................................................. ..............................................
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................... .................................................................
............................................................................................................................. ...................................
.......................................................................................................................................................... ......

หน่วยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชวี ติ

27

แบบทดสอบหลังเรียน
หนว่ ยที่ 7 สุนทรียภาพของชวี ติ

จดุ ประสงค์ เพือ่ ทดสอบความร้ขู องผู้เรียน
คำช้แี จง แบบทดสอบเป็นแบบปรนยั 4 ตัวเลือก มจี ำนวน 10 ข้อๆ ละ 1 คะแนน
คำสง่ั จงกาเครือ่ งหมายกากบาท () ข้อที่ถูกตอ้ งทส่ี ุด ลงในกระดาษคำตอบท่กี ำหนดให้
*****************************************************************************************
1. “สุนทรยี ภาพ” มคี วามหมายตามพจนานกุ รม คอื ข้อใด

ก. ความรู้สกึ สมั ผสั รบั รู้ได้
ข. ความงามในธรรมชาตแิ ละงานศลิ ปะ
ค. การสัมผสั ตอ่ ความงามทางศลิ ปะหรือรับรู้ด้วยอารมณ์
ง. การรู้สกึ สมั ผัสรบั รู้ได้ของแต่ละบคุ คลต่อความงามในธรรมชาตหิ รืองานศิลปะ

2. สนุ ทรียศาสตรเ์ ป็นปรัชญาท่ีเกี่ยวข้องกับเร่ืองใด
ก. ศาสตรท์ เี่ กี่ยวข้องดว้ ยเรอื่ งศลิ ปะ
ข. ศาสตรท์ ่เี ก่ยี วข้องด้วยเร่ืองคุณค่าความงาม
ค. ศาสตรท์ เ่ี ก่ียวข้องดว้ ยเร่อื งคุณค่าการดำรงชีวิต
ง. ศาสตรท์ ่เี กย่ี วขอ้ งดว้ ยเร่อื งความซาบซึ่งตอ่ ความงาม

3. เพราะเหตใุ ดการศึกษาคุณค่าทางสนุ ทรยี ภาพจงึ มคี วามจำเปน็ และความสำคัญต่อมนุษย์
ก. ช่วยใหม้ ีความเกง่ ฉลาดในการเรียนรู้
ข. ช่วยใหก้ ารดำเนินชีวติ เป็นไปตามกลไกตามระบบ
ค. ชว่ ยใหร้ บั รูใ้ นด้านใดดา้ นหน่งึ อยา่ งแทจ้ ริง
ง. ช่วยใหม้ สี ำนกึ ช่วั ดี รู้และตระหนักในคณุ คา่ ของความเปน็ ชีวติ

4. จากภาพ คุณค่าสนุ ทรยี ภาพกับการพฒั นามนษุ ยด์ ้านใด
ก. ดา้ นสมาธิปัญญา
ข. ดา้ นการเปน็ สอ่ื กลาง
ค. ดา้ นการสง่ เสรมิ พัฒนาสภาพแวดล้อม
ง. ดา้ นการแสดงออกเชงิ สร้างสรรค์ของมนษุ ย์

หน่วยที่ 7 สนุ ทรยี ภาพของชวี ติ

28

5. ข้อใดคือองค์ประกอบดา้ นคุณค่าของสุนทรียภาพ
ก. คุณคา่ ทางสุนทรียภาพคอื ความงามทเี่ ปน็ ธรรมชาตอิ ยา่ งยั่งยืน
ข. ความงามเป็นคุณค่าท่ีองิ อยกู่ ับการสมั ผัสรบั รู้และอารมณ์
ค. คณุ คา่ จากวัฒนธรรม คุณค่าจากความงาม คณุ ค่าจากอำนาจรัฐ คุณค่าจากการ

ตีความหมายเชิงปัจเจกชน
ง. คุณค่าทางสนุ ทรยี ภาพคือสภาวะความสงู ล้ำเลศิ ย่ิงใหญ่ เหนอื การชัง่ ตวงวดั และการ

ลอกเลยี นแบบ

6. อนสุ าวรียป์ ระชาธปิ ไตย มคี ณุ ค่าสนุ ทรยี ภาพกบั การพัฒนามนุษยด์ ้านใด
ก. ประวตั ิศาสตร์
ข. ด้านสมาธิปญั ญา
ค. ดา้ นการเป็นสอ่ื กลาง
ง. ด้านวัฒนธรรม

7. ขอ้ ใด ไมใ่ ช่ แนวทางการเสรมิ สร้างสุนทรียภาพให้กบั ตนเอง
ก. การคน้ หาตนเองให้พบ
ข. การกระทำตามแนวคิดของบุคคลอนื่
ค. การสร้างส่งิ ยดึ เหนี่ยวใหต้ รงกับตัวตนท่ีแท้จริง
ง. การเปดิ ใจที่จะยอมรบั ในความเป็นจรงิ ของตนเอง

8. พระธาตุชอ่ แฮ จงั หวัดแพร่ มีองคป์ ระกอบทางคุณคา่ ของสนุ ทรยี ภาพด้านใด
ก. คุณคา่ ด้านการตคี วามหายเชงิ ปจั เจก
ข. คุณค่าดา้ นวฒั นธรรม อำนาจรัฐ
ค. คุณค่าดา้ นความงาม วฒั นธรรม
ง. คณุ คา่ ด้านความงาม วฒั นธรรม อำนาจรฐั

หนว่ ยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชีวติ

29

9. สุนทรียภาพมสี ่วนช่วยใหเ้ กิดบรรยากาศการทำงานร่วมกันแบบ Win-win Situation ไดอ้ ย่างไร
ก. ส่งเสรมิ ใหเ้ กดิ บรรยากาศในการแข่งขันกันระหว่างมิตรสหาย
ข. ส่งเสริมใหเ้ กิดบรรยากาศในการแย่งชิงเพอื่ ชัยชนะระหว่างมิตรสหาย
ค. สง่ เสริมใหเ้ กดิ บรรยากาศในการเอาชนะซึ่งกนั และกนั ระหวา่ งมิตรสหาย
ง. สง่ เสริมให้เกดิ บรรยากาศในการเอาชนะใจซงึ่ กนั และกันระหวา่ งมติ รสหาย

10. สนุ ทรยี ศาสตรก์ ับการดำรงชีวิตประจำวนั ไดอ้ ยา่ งไร
ก. เห็นความสำคัญการศึกษาเฉพาะดา้ น นำไปประยุกตใ์ ช้ในชวี ติ ประจำวนั
ข. เห็นความสำคญั ในการดำรงชีวติ ของมนุษย์ และจดุ มุ่งหมายในการใช้ชีวิตประจำวนั
ค. เปน็ ความสำคัญของสรรพสิ่ง และการบรู ณาการเพ่ือการประยุกต์ใช้เปน็ ประโยชน์ใน

ชีวิตประจำวนั
ง. เป็นความสำคัญของการแขง่ ขันในสังคม เพื่อนำไปสคู่ วามเปลีย่ นแปลงในการดำเนิน

ชวี ิตประจำวัน

หน่วยที่ 7 สนุ ทรยี ภาพของชวี ติ

30

บรรณานกุ รม

กรี ติ บุญเจือ. สารานุกรมปรชั ญา. กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช. 2522.
โกสมุ สายใจ. สุนทรียภาพของชวี ติ . กรงุ เทพฯ : ศนู ยห์ นังสือสถาบันราชภฏั สวนดุสิต. 2549.
เฉลา ประเสริฐสังข์. การพฒั นาตน ใน พฤติกรรมมนษุ ย์กับการพัฒนาตน. สรุ าษฎรธ์ านี :

มหาวิทยาลัยราชภฎั สรุ าษฎรธ์ าน.ี 2560.
นฏั จรี เจรญิ สุข และคณะ. การพัฒนาตน. สุราษฎร์ธานี : มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สรุ าษฎร์ธาน.ี 2560.
ธนากรณ์ ใจสมานมิตร . บทความ วถิ ีการทำงานรว่ มกนั อยา่ งมสี ุนทรยี ภาพ : สถาบันซมั มิท,

2552.
บุญมี แทน่ แก้ว . พทุ ธปรัชญาเถรวาท. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์ 2545.
ปัญญฎา ประดิษฐบาทกุ า. พฤติกรรมมนุษยก์ ับการพัฒนาตน. กรุงเทพฯ : สาขาวิชา จติ วิทยาคณะ

ศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจนั ทรเกษม. 2548.
พระเทพเวที (ป.อ.ปยุตโต). พัฒนาตน. กรุงเทพฯ : มูลนิธโิ กมลคีมทอง. 2560.
ไพศาล ไกรสิทธ์.ิ การพฒั นาตน. ราชบรุ ี : สถาบนั ราชภัฏหม่บู า้ นจอมบึง. 2560.
ราชบณั ฑติ ยสถาน. พจนานุกรมศัพทศ์ ิลปะ อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน. กรุงเทพฯ :

อักษรเจริญทัศน.์ 2530.
เรยี ม ศรที อง. กระบวนการพัฒนาตน ใน พฤติกรรมมนษุ ย์กับการพฒั นาตน. กรงุ เทพฯ : หนว่ ย

ศึกษานิเทศก์ สำนักงานสภาสถาบันราชภฏั . 2560.
ลกั ขณา สรวิ ัฒน์. จิตวิทยาในชีวติ ประจำวัน. กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร์. 2544.
ลักษณวตั ปาละรัตน.์ สุนทรียศาสตร์. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลยั รามคำแหง, 2551.
วิรุณ ตั้งเจริญ. มศว 60 ปี ศรสี งา่ งามหานคร : มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ 28 เมษายน

2552. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. 2552.
สชุ าติ สุทธ.ิ สุนทรยี ภาพของชีวิต. กรงุ เทพฯ : เสมาธรรม. 2543
อภชิ า แดงจำรูญ. การตระหนกั รแู้ ละเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อ่ืนและการรบั รู้ เกย่ี วกับตนเอง

ใน หนังสอื ชุด ครูผู้สรา้ งแรงบันดาลใจ. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . 2562.
อารีย์ สทุ ธิพันธ์ุ. ปรชั ญาศิลปะ. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตประสารมติ ร.

2551.

หนว่ ยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชวี ติ

31

ภาคผนวก

หนว่ ยที่ 7 สนุ ทรยี ภาพของชีวติ

32

เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น
หนว่ ยที่ 7 สนุ ทรยี ภาพของชวี ติ

1. ก
2. ง
3. ง
4. ค
5. ค
6. ก
7. ค
8. ข
9. ข
10. ง

หน่วยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชีวติ

33

เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น
หนว่ ยที่ 7 สนุ ทรยี ภาพของชีวิต

1. ง
2. ก
3. ง
4. ค
5. ค
6. ก
7. ข
8. ค
9. ง
10. ข

หน่วยที่ 7 สนุ ทรียภาพของชีวติ


Click to View FlipBook Version