- 51 -
การลดธงเหลอื แคค่ รึง่ เสาเปน็ การไว้อาลยั และเรยี กร้องให้ พลอากาศโท มนุ ี มหาสนั ทนะ เวชยันต์รังสฤษฎ์ ซึ่ง
เป็น ส.ส.สงั กดั พรรคเสรีมนังคศิลา ลาออกจากตาแหนง่ อธกิ ารบดจี ุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั
“พบกนั ใหมเ่ มือ่ ชาติต้องการ”
ประชาชนประณามการเลือกต้ังว่า เป็นการเลือกต้ังท่ีไม่บริสุทธิ์ เพราะการนับคะแนนเสียงใน
จงั หวัดพระนครลา่ ชา้ มาก มกี ารทิ้งไพไ่ ฟ (บัตรเลอื กตั้งปลอม) ไฟฟ้าดับตอนกลางคืน ผลการเลือกตั้งในคร้ังนั้น
เปน็ ท่ีเพง่ เล็งสนใจจากประชาชนและนสิ ติ นักศกึ ษามาก นิสติ นบั พนั ได้ชมุ นมุ กนั ทเ่ี สาธงใหญ่หอประชุมจุฬาฯ มี
การชักธงลงครึ่งเสา เพื่อไว้อาลัยแด่ระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในขณะ
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้รับตาแหน่งเป็นผู้บัญชาการฝ่ายทหาร เหตุการณ์ได้ทวีความรุนแรงขึ้น มีการ
เดินขบวนจากท้องสนามหลวงไปตามถนนราชดาเนิน ผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยสู่ทาเนียบรัฐบาล มีการ
ปะทะกันระหว่างทหารและนิสิตบริเวณมัฆวานรังสรรค์ และมีการใช้ก้อนอิฐขว้างปาเพื่อพังประตูทาเนียบเข้า
ไปพบ จอมพล ป. เพ่ือขอให้ประกาศการเลือกตั้งเป็นโมฆะ และเสียงมติมหาชนจากประชาชนและสื่อมวลชน
ต่างๆ แสดงออกถึงความไม่พอใจ เม่ือฝูงชนเดินทางมาถึงสะพานมัฆวานรังสรรค์แล้ว จอมพลสฤษด์ิ ฯ
ผู้บญั ชาการฝ่ายทหาร ไดก้ าชับตอ่ ผใู้ ต้บงั คับบญั ชาวา่ “อยา่ ทาร้ายประชาชนเป็นอนั ขาด จนกว่าจะได้รับคาส่ัง
จากข้าพเจ้า” ทาให้ประชาชนเกิดความศรัทธาในตัวจอมพลสฤษด์ิมาก ความวุ่นวายจึงคลี่คลายลงโดยรวดเร็ว
นาพาประชาชนเข้าพบ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อได้เจรจาจนได้ข้อสรุปว่า จอมพล ป. ยอมรับว่าการ
เลือกตั้งครั้งนี้ไม่ชอบมาพากลและจะจัดการเลือกตั้งขึ้นใหม่ จึงได้พูดผ่านโทรโข่งขอให้ผู้ชุมนุมสลายตัวไปอย่าง
สงบ และขอให้อัญเชิญธงข้นึ สยู่ อดเสาตามปกติ ซ่งึ ก็ได้เปน็ ไปตามอย่างที่ จอมพลสฤษด์ิ ร้องขอทุกประการ ซ่ึง
การเดินขบวนประท้วงครั้งน้ีนับเป็นการชุมนุมทางการเมืองเป็นครั้งแรกของประชาชน ชาวไทยนับต้ังแต่
เปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เปน็ ตน้ มา
ในท่ีสุดรัฐบาลประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉิน เม่ือวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ.2500 คากล่าวสุดท้ายท่ี
จอมพลสฤษษดิ์ ฯ ผู้บัญชาการฝ่ายทหารไดก้ ล่าวตอ่ ประชาชนทางวทิ ยุกระจายเสียงที่ประเทศ ทาให้ประชาชน
ท้ังหลายจดจามริ ู้ลืม “พบกันใหม่เม่ือชาติตอ้ งการ”
นับวา่ เป็นจดุ หัวเลี้ยวหวั ตอ่ อยา่ งสาคญั ในชวี ิตจอมพลสฤษดิ์ ฯ ทจ่ี ะได้ช่ือว่าเป็นศัตรู หรือมิตรกับ
ประชาชน ซ่งึ จากผลของการตัดสนิ ใจในครง้ั นี้ ทาใหป้ ระชาชนได้ตระหนักดีในต่อมาวา่ ใคร ?คือผู้ท่ีเขาสามารถ
ฝากความหวังไว้ได้และใคร? ที่จะช่วยให้เขาเหล่าน้ันหลุดพ้นจากการถูกบีบบังคับจากอิทธิพลมืดต่างๆเม่ือ
ประชาชนได้พากันเดินมาถึงประตูทาเนียบรัฐบาลด้านคลองผดุงกรุงเกษม ปรากฏว่าตารวจรักษาการณ์ได้ปิด
ประตูไม่ยอมให้ใครเข้าไปพบกับจอมพล ป. ฯ เม่ือถูกผลักดันอย่างรุนแรง ประตูทาเนียบซ่ึงเก่าอยู่แล้วก็หักลง
ผู้คนก็ว่ิงกรูเข้าไปในทาเนียบฯ แต่ไปถึงสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า มองเห็นคณะรัฐบาลและคณะนายทหาร
ผู้ใหญ่รวมทั้งจอมพลสฤษดิ์ยืนแถวรออยู่
วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2500 ก็ได้มีการจัดต้ังคณะรัฐบาลขึ้นอีกครั้งหนึ่งภายหลังการเลือกต้ัง
จอมพลสฤษด์ิ ฯ ได้รับการแต่งต้ังให้เข้าร่วมคณะรัฐบาลชุดใหม่นี้ด้วย แต่แทนที่จะเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการดัง
แต่ก่อน ในครั้งนี้จอมพลสฤษด์ิ ฯได้ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเลยทีเดียว โดยมีพลโท
ถนอม กติ ตขิ จรเป็นรัฐมนตรชี ่วยว่าการ
วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2500 ซึ่งเป็นวันครบรอบวันเกิด 60 ปี ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม
พลเอกสฤษด์ิ ธนะรัชต์ เข้าอวยพรวันเกิดและนาลูกสุนัขตัวหน่ึงมอบให้เป็นของขวัญ พร้อมกล่าวว่าจะ
จงรกั ภกั ดีต่อจอมพล ป. เช่นเดียวกับสุนัขตัวน้ี เพ่ือเป็นการสยบความขดั แย้ง
วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2500 จอมพลสฤษด์ิ ฯ และพรรคพวก เช่น พลโทถนอม กิตติขจร
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและแม่ทัพภาคท่ี 1 พลตรีประภาส จารุเสถียร รัฐมนตรีช่วยว่าการ
กระทรวงมหาดไทยและรองแม่ทัพภาคท่ี 1 พลอากาศโทเฉลมิ เกียรติ วัฒนางกูร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง
เกษตรและรองผบู้ ัญชาการกองทัพอากาศ ได้ประกาศลาออกจากตาแหน่ง โดยจอมพลสฤษด์ิ ฯ ได้ให้สัมภาษณ์
- 52 -
ถึงเหตุผลการลาออกว่ามีความคิดเห็นไม่ตรงกับรัฐบาล และมีเหตุผลทางสุขภาพ ในการลาออกของจอม
พลสฤษด์ิ ฯ และพรรคพวก ทาให้นายควง อภยั วงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปตั ยิ ก์ ลา่ ววา่ จอมพล ป. กาลังหรอก
ตัวว่ารัฐบาลยังคงมีเสถียรภาพ แต่เมื่อเสาหลักต้นหน่ึงของรัฐบาลล้มลงรัฐบาลก็พังครืนในไม่ช้า หนังสือพิมพ์
และประชาชนส่วนหนึ่งได้สนับสนุนการลาออกของจอมพลสฤษด์ิ ฯ โดยหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายสัปดาห์ได้
เขียนว่า “น่าชมชยที่ว่าทาให้ความกดกันทางการเมืองเกิดข้ึนในคณะรัฐบาล ประชาชนมีความหวังว่า
จอมสฤษดิ์จะทาให้เกิดการปฏิรูปเมื่อเข้าร่วมกับรัฐบาลจอมพล ป.ภายหลังการเลือกต้ัง “ที่สกปรก”จอม
พลสฤษดิ์ ฯ สัญญากับประชาชนวา่ ตนจะทาใหร้ ฐั บาลให้ความเอาใจใสใ่ นส่งิ ทปี่ ระชาชนปรารถนา เม่ือล้มเหลว
กเ็ ปน็ การถกู ต้องทค่ี วรลาออก
สถานการณท์ างการเมอื งก่อนการยึดอานาจ ปี 2500
ในเวลาเดียวกันช่วงปลายเดือนสิงหาคม พ.ศ.2500 การเมืองไทยได้ร้อนระอุขึ้นเมื่อมีการอภิปราย
ทั่วไปโดยมี พรรคฝ่ายค้านนาโดยพรรคประชาธิปัตย์ สหภูมิ ฯลฯ เป็นผู้เสนอญัตติ ข้อหน่ึงกล่าวหารัฐบาลว่า
รัฐบาลน้ไี มส่ ามารถรักษากฎหมายบ้านเมือง เป็นเหตุให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยและได้มีการหม่ินพระบรมเด
ชานุภาพข้ึนในประเทศ โดยการอภิปรายทั่วไปได้เร่ิมต้นในวันท่ี 26-27 สิงหาคม พ.ศ.2500 การอภิปรายใน
ประเด็นท่ีเกี่ยวขอ้ งกับขอ้ กลา่ วหาน้ี ไดม้ กี ารกลา่ วถงึ เน้อื ความในหนงั สือพมิ พ์วา่
“ หนงั สือพมิ พ์ ไทยเสรี ฉบับวันท่ี 17 พฤษภาคม 2500 กล่าววา่ มเี จ้ากลุ่มหน่ึงมีกิเลสทราม ถือเอาวัน
มงคลย่ีสิบห้าพุทธศตวรรษมาเป็นเคร่ืองนาโฆษณามุ่งโจมตีรัฐบาล… สาหรับ ฉบับ 15 มิถุนายน ภายใต้หัวข้อ
วา่ ถือเอาวันฉัตรมงคลแจกเหรยี ญศักดนิ ามโหฬาร คนดา่ ทวั่ เมอื งให้เหรยี ญแข่งไขห้ วัดทัง้ ฝา่ ยลา่ งฝา่ ยบน ”
หลวงอรรถพิศาล (ส.ส.ตราด) อภิปรายเสริมว่า “ หนังสือพิมพ์ ไทยเสรี ท่ีลงข่าว จ่ัวหัวว่า เจ้าผยอง
นัก เจ้าล้างศาสนา เจ้าจะตายโหง เจ้าวางแผนคว่ารัฐประหาร … และมีใจความว่าพระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยูห่ วั นั้นไม่ไดเ้ สร็จไปรว่ มพธิ งี านฉลอง 25 พทุ ธศตวรรษ เพราะเหตุว่า ประชวรเป็นไข้ ส่วนจอมพลสฤษด์ิฯ
เป็นไข้หวัดอย่างหนัก แต่อุตส่าห์ไปร่วมงานพิธีฉลอง 25 พุทธศตวรรษ แล้วยังลงต่อไปว่า ฝ่ายเจ้า พวกเจ้า
อปั รีย์ พวกเจา้ นายชน้ั ผ้ใู หญ่อปั รยี ์ ซึง่ ไม่ไปรว่ มในงานน้ใี ห้ตายโหงตายห่า ”
นายพีร์ บุนนาค33 (ส.ส.สพุ รรณบุรี ) อภปิ รายต่อไปว่า
“…สงสยั ว่า หนงั สอื พมิ พ์ไทยเสรี จะมีเบ้ืองหลังในทางการเมืองเพ่ือท่ีจะคิดล้มล้างอานาจกษัตริย์
เป็นแน่แท้…” และ “ มีข่าวลืออย่างน้ีครับ… น้ีเก่ียวกับอธิบดี(ตารวจ)โดยตรงเลย เกี่ยวกับฯพณฯรัฐมนตรี
มหาดไทย ในการประชุมพรรคเสรีมนังคศิลา ณ ทาเนียบรัฐบาล เมื่อเวลาบ่ายโมง วันท่ี 7 กุมภาพันธ์ 2498 นี้
ผมได้มาจากในพรรคของท่านน้ันเอง ซ่ึงประชุมเฉพาะ ก่อนที่ประชุมเฉพาะส.ส. มนังคศิลา ประเภท 1 เขา
บอกว่า ฯพณฯ นายพลตารวจเอกเผ่า ศรียานนท์ นี้ รัฐมนตรีมหาดไทย ได้ชี้แจงให้ท่ีประชุมทราบต่อหน้าฯ
ฯพณฯ จอมพลป.พิบูลสงครามว่า ได้มีหลักฐาน แน่นอนว่า ประทานโทษครับ ในหลวงทรงมอบเงิน 7 แสน
บาทให้ม.ร.ว.เสนยี ์ ปราโมช และนายควง อภยั วงศ์ มาเลน่ การเมืองในพรรคประชาธิปตั ย์ ”
33 การไฮปาร์ค เกิดข้ึนหลังจากที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม กลับจากเดินทางรอบโลก โดยเหมาเครื่องบินไปทั้งยุโรปและ
สหรัฐอเมริกาแล้ว เมื่อเดินทางกลับมาก็เห็นว่าไทยเราควรปรับปรุงเร่ืองทางการเมืองอีกมากควรเปิดเสรีภาพให้แก่ประชาชน
และสอ่ื มวลชนมากขึ้น จึงเปิดให้มีการสัมภาษณ์หนังสือพิมพ์หรือ “เพรสคอนเฟอเรนซ์” ทุกสัปดาห์ข้ึน ให้นักข่าวซ่ึงต้องแต่ง
ชดุ สากล ผูกเนกไทจงึ จะเขา้ ทาเนยี บสมั ภาษณ์ไดก้ ารสมั ภาษณจ์ ดั ท่ีตกึ สนั ติไมตรี รฐั มนตรที ุกคนจะตอ้ งร่วมฟังสัมภาษณ์น่ังอยู่
ข้างหลงั นายกรัฐมนตรีโดยมี พลโท ม.ล.ขาบ กญุ ชร เลขาธกิ ารนายกรัฐมนตรเี ป็นผูด้ าเนนิ การสัมภาษณ์ สว่ นดา้ นประชาชนนั้น
จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็เปิดสนามหลวงให้ประชาชน พูดปราศรัยได้อย่างเสรีกลางสนามหลวงในตอนเย็นได้ทุกวัน
เชน่ เดียวกับการพดู ไฮด์ปาร์กทปี่ ระเทศอังกฤษคนพูดไฮด์ปาร์กท่ีสนามหลวงได้เพิ่มความสาคัญมากขึ้นทุกที โจมตีรัฐบาลและ
บางคราวกม็ ีการกล่าวถึงบุคคลสาคัญอน่ื ๆ ด้วย บางครงั้ บางคราวก็มีการจับกุมผูพ้ ดู ไฮดป์ ารก์ ก็มีแต่ถกู จับคร้ังใดก็จะมีผู้ฟังแห่
ไปประทว้ งถงึ โรงพักชนะสงครามเจา้ ของพื้นท่ี ในยุคน้ัน นักไฮด์ปาร์กที่โด่งดังคือ “นายพีร์ บุนนาค” บุรุษผู้พูดเก่ง อ้วนพี พูด
เสียงดังฟงั ชัดคนฟังชอบใจ นายพีรจ์ งึ หันเขา้ เลน่ การเมือง ลงสมัครจังหวดั สพุ รรณบรุ แี ละไดร้ ับเลอื กต้ังด้วย
- 53 -
นายพีร์ กล่าวต่อไปว่า “…บอกว่า มีการประชุมวางแผนการประกาศภาวะฉุกเฉิน เมื่อท่ีแล้วมาครับ
เมื่อวันท่ี 1 มีนาคม 2500 นี้ ได้มีการประชุมในท่ีหน่ึง ได้มีบุคคลช้ันจอมพลไปนั่งในที่ประชุมนั้น เว้นไว้แต่
ฯพณฯจอมพลแปลก พิบูลสงคราม นี้เป็นข้อเท็จจริง เขาว่าอย่างน้ี ถ้าไม่มีอะไร แถลงออกมาเสีย ตอบมาแล้ว
ประชาชนจะม่ันใจว่า รัฐบาลน้ีและโดยเฉพาะนายพลต่ารวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ยังเคารพสักการะองค์พระ
เจา้ อยหู่ ัวอยู่ ”
จอมพลอากาศฟน้ื รณนภากาศฯ (รองนายกรัฐมนตร)ี ประท้วง
นายพรี ์ กล่าวแทรกว่า "… เขาบอกอย่างน้คี รับ บอกว่า ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นาย
พล ตา่ รวจเอกเผ่า ศรียานนท์ โปรดเสนอให้มีการจับกุมองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและรัฐมนตรีบางคน
และนกั การเมืองบางคน วา่ อย่างนคี้ รับ"
ประธานสภาฯ ใหน้ ายพรี ถ์ อนคาพูด
นายพรี ์ "เมอื่ ไมม่ ีอะไร ก็บอกวา่ ไมม่ ี กระผมไมว่ า่ อะไรหรอก จะใหเ้ ป็นประวตั ศิ าสตร์รอยจารึก”
(ประทว้ งกันว่นุ วาย)
ประธานฯ ผมบอกใหถ้ อนเสีย
นายพีร์ "ถอนก็ได้ ผมไมอ่ ยากเห็นการนองเลือดในเมอื งไทย…
จอมพลสฤษดิ์ และคณะลาออกจากพรรคเสรีมนังคศิลา
วันที่ 5 กันยายน 2500 จอมพลสฤษดิ์ ฯ ซ่ึงเป็นรองหัวหน้าพรรคเสรีมนังคศิลา พร้อมด้วย
ทหารและคณะอีก 46 คนที่เป็น ส.ส. ประเภท 2 จึงได้พร้อมใจกันลาออกจากพรรคเสรีมนังคศิลาอย่างพร้อม
เพรียง แม้ว่าการลาออกของ จอมพลสฤษดิ์ ฯ จากตาแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็ดี หรือจาก
ตาแหนง่ รองหัวหนา้ พรรคเสรีมนังคศลิ าก็ดี จะแสดงใหเ้ หน็ ถึงความไม่พอใจที่จอมพลสฤษด์ิ ฯมีต่อรัฐบาลอย่าง
ชัดแจ้งแล้วก็ตาม ก็ยังไม่ปรากฏว่า จอมพล ป. นายกรัฐมนตรีในสมัยน้ันจะสนใจต่อคาร้องขอของจอม
พลสฤษด์ิ ฯ ในการปรับปรงุ รฐั บาลกห็ าไม่ ตรงกนั ขา้ ม ในพรรคเสรีมนังคศลิ ากลับมกี ารประชุมพิจารณาหาทาง
เล่นงานกบั จอมพลสฤษด์ิ ฯ กับคณะทหารท่ีพากันลาออกจากพรรคเสียอีก จอมพลสฤษด์ิ ฯ พูดถึงการลาออก
ครั้งนี้ว่า “ โดยเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญจะเห็นได้ว่าพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชประสงค์ให้สมาชิก
ประเภทที่ 2 ได้เป็นพี่เลี้ยงสมาชิกประเภทท่ี 1 ในสภาผู้แทนราษฎร เพราะเป็นผู้รอบรู้และคุ้นเคยกับการ
บรหิ ารราชการมาแล้ว สมาชิกประเภทท่ี 2 ไม่สมควรสังกัดพรรคการเมือง เพราะเหตุที่พรรคการเมืองนั้นย่อม
ผลัดเปล่ียนกันได้ตามกาลสมัย หากสมาชิกประเภทที่ 2 สังกัดพรรคการเมืองใดแล้ว และภายหลังพรรค
การเมืองมิไดเ้ ป็นรฐั บาลและกลายเป็นฝ่ายค้าน ก็ต้องเป็นฝ่ายค้านรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไป
ด้วย เป็นการขัดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น34 ซึ่งในใจความของจดหมายลาออกของสมาชิก
ประเภท 2 ตอนหน่ึงกล่าวว่า “...ประกอบกับเสียงประณามจากประชาชนว่าเป็น ส.ส. “ฝักถั่ว” ไม่ต้องถึงขั้น
นายพลนายพัน แม้พลทหารก็เป็นได้...เหตุนี้จึงพร้อมในกันลาออกจากพรรคเสรีมนังคศิลา...”35 ผู้ส่ือข่าวได้
ถามจอมพลสฤษดวิ์ ่าทาไมลาออกจากรองหวั หน้าพรรคเสรมี นังคศลิ า ได้รับคาตอบส้นั ๆวา่ “...ผมจะอยู่ไปทาไม
อยู่กไ็ ม่เห็นเขาปรึกษาหารอื อะไรด้วย เวลาเขา้ ประชุมทีไรก็น่ังฟังเฉยๆ.. และยังตอบไม่ได้ว่าจะเข้าพรรคสหภูมิ
หรอื ไม่?..”36
การลาออกของจอมพลสฤษดิ์ และสมาชกิ ประเภท 2 คนอื่นๆ ทาให้พลอากาศเอกฟื้น รณภากาศ
ผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้แถลงข่าวแก้เกี้ยวว่า “เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีที่ต้องการแยกข้าราชการ
34 นรนิติ เศรษฐบตุ ร.”การเมอื งการปกครองไทย พ.ศ.2490-2500.เอกสารการสอนประวตั ศิ าสตร์สงั คมและการเมอื งไทย.
นนทบรุ ี.สุโขทัยธรรมาธิราช.2547.หนา้ 665.
35 สมบูรณ์ วรพงษ.์ ยึดรัฐบาล.พมิ พ์ครง้ั ท่ี 2.กรุงเทพฯ: สายธาร.2549.หนา้ 123
36 สมบรู ณ์ วรพงษเ์ พ่ิงอา้ ง.หนา้ 222
- 54 -
ประจากับการเมือง” แต่หลังจากนั้นพลอากาศเอกฟื้นก็ได้ลาออกจากตาแหน่งรัฐมนตรีเช่นกัน ต่อมาจอมพล
เรอื หลวงยทุ ธศาสตร์กล็ าออกเชน่ กนั แต่ท้ังของคนยงั มที ีท่าทจ่ี ะสนบั สนนุ รฐั บาลจอมพล ป.ต่อไป
วนั ที่ 10 กนั ยายน พ.ศ. 2500 มีการประชุมของกลุ่มนายทหารที่กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ โดย
ที่ประชมุ มีมตเิ รยี กรอ้ งให้ พลตารวจเอกเผ่า ศรยี านนท์ อธิบดีกรมตารวจ ลาออก
วันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2500 จอมพลสฤษด์ิ ฯ พลเอกถนอมกิตติขจร กับพลโทประภาส จารุ-
เสถียร ซึ่งรวมอยู่ในคณะรัฐมนตรีสมัยนั้น ก็ได้พากันย่ืนใบลาออกจากคณะรัฐมนตรีตามไปด้วย แต่ยังยินดีจะ
ชว่ ยเหลอื รัฐบาล
วันท่ี 15 กันยายน พ.ศ.2500 จอมพลสฤษดิ์ และคณะนายทหารในบงั คบั บญั ชา ได้มีแถลงการณ์
ขอให้จอมพล ป. ลาออก และ พลตารวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ลาออกจากตาแหน่งทั้งหมด ซ่ึงหลังจาก
แถลงการณ์อันน้ีออกมาแล้ว มีรายงานท่ีเช่ือถือได้ว่า สมาชิกพรรคเสรีมนังคศิลาเสนอให้ จอมพล ป. จัดการ
อย่างเดด็ ขาดกับจอมพลสฤษดิ์ และกลุ่มทหารในวันพรุ่งนี้ เท่ากับเป็นการบีบบังคับให้ จอมพลสฤษดิ์ ตัดสินใจ
อย่างแน่นอนในการทารัฐประหารเพื่อเป็นการตัดหน้า การลาออกของ ส.ส.ประเภทท่ี 2 ประจวบเหมาะกับ
ความต้องของประชาชนได้แสดงปฏิกิริยาสนับสนุนท่าทีของจอมพลสฤษดิ์ ฯ ได้มีการชุมนุมไฮปาร์คโจม ตี
รฐั บาลจอมพล ป. เรือ่ ง พ.ร.บ.เงินกู้สร้างเข่ือนยันฮี (เขือ่ นภูมพิ ล) ประชาชนไดพ้ ากันเดินไปยังบ้านสี่เสาซึ่งเป็น
บ้านพักของจอมพลสฤษด์ิ พร้อมตะโกนให่จอมพล ป.ลาออก และให้แขวนคอ พลตารวจเอกเผ่า แต่ขณะนั้น
จอมพลสฤษดิไ์ ม่อยู่ ประชาชนกล่มุ น้ีได้ย่ืนขอ้ เสนอ 4 ข้อ คอื
(1) ให้จอมพล ป. พบิ ลู สงครามนายกรัฐมนตรนี าคณะลาออกภายในวันที่ 20 กนั ยายน 2500
(2) ให้พลตารวจเอกเผา่ ศรยี ายนนท์ ออกทกุ ตาแหน่ง
(3) ให้จอมพลสฤษดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีกับมีอานาจบังคับทหารบก เรือ อากาศ และตารวจ
และตง้ั รัฐบาลภายใน 25 กันยายน พ.ศ.2500
(4) ให้ขับพลตารวจเอกเผ่าออกนอกประเทศ หลังน้ันคลื่นมหาชนก็เคลื่อนย้ายไปยังทาเนียบ
รัฐบาล โดยมีนายกิตติศักดิ์ ศรีอาไพ ขึ้นไฮปาร์คให้ตารวจเปิดประตูทาเนียบภายใน 20 นาที ในขบวน
ประชาชนนั้นไดม้ ีผสู้ นบั สนุนพรรคประชาธปิ ัตย์ตะโกนว่าให้ “นายควง อภัยวงศ์” เปน็ นายกรัฐมนตรี แต่ได้ถูก
ประชาชนส่วนหน่ึงตะโกนสวนข้ึนว่า “...ไม่เอา..ศักดินาเราไม่เอา..”37 ต่อมาทาเนียบรัฐบาลได้พังลง ใน
ทาเนยี บปดิ ไฟมืด ขบวนประชาชนสว่ นหน่งึ ไดย้ ้อนกลับไปยงั บ้านส่ีเสาอีกครั้งหนง่ึ และได้พบกับจอมพลสฤษด์ิ
จอมพลสฤษดิ์ ฯ ได้กล่าวกับกลุ่มประชาชนและนิสิตว่า “...กองทัพบกกับสมาชิกประเภท 2
พวกผมปฏิบัติสิ่งใดไปในคร้ังน้ี ประชาชนย่อมรู้ดีว่าทาเพ่ืออะไร ...แต่ผมและเพื่อนอีกหลายคนเป็นข้าราชการ
ประจาทาอะไรลงไปในครั้งนี้หม่ินเหม่ต่ออันตรายอยู่มาก แต่ถึงอย่างไรผมต้องการให้ชาติเจริญเท่านั้น... ”38
ช้ีแจงให้บุคคลเหล่าน้ันรู้จักความรับผิดชอบ ขอให้ทุกคนได้ช่วยกันรักษาความสงบ ส่วนปัญหาต่างๆที่ผู้ฟังไฮ
ปาร์คสงสยั นน้ั จอมพลสฤษด์ิ ฯจะขอรับไปเสนอเพื่อแก้ไขในคณะรัฐบาลอีกชั้นหน่ึง การที่สามารถยับย้ังความ
เคียดแค้นของฝูงชนผคู้ นผเู้ ดินทางไปทาเนียบฯได้ก็ดี การที่ได้รับมอบอานาจให้ส่ังใช้กาลังตารวจได้ก็ดี ย่อมจะ
กระทาให้ผู้กาลังมีอานาจอยู่ในขณะนั้นคิดกันไปต่างๆนานา เพราะในต่อมาเพียงอีก 10 วัน หลังจากที่ได้มี
ประกาศแตง่ ตั้ง จอมพลสฤษดิ์ ฯได้ เป็นผู้บัญชาการฝ่ายทหารก็ได้มีการยกเลิกประกาศสานักนายกรัฐมนตรีว่า
ด้วยการตัง้ จอมพลสฤษด์ิ ฯได้ เป็นผบู้ ัญชาการฝ่ายนทหารนี้โดยส้ินเชิง แต่แม้จะถูกยกเลิกตาแหน่งน้ีไปก็ดี แต่
บัดนี้จอมพลสฤษดิ์ ฯได้ ได้แสดงตนให้เป็นที่ประจักษ์แลว้ ว่าตนเองไดก้ ลายเป็นขวญั ใจของประชาชน
สฤษดิ์ ฯ ยดึ อานาจรัฐบาลจอมพล ป.พบิ ูลสงคราม
37 สมบรู ณ์ วรพงษ.์ เร่ืองเดมิ .หนา้ 227.
38 สมบรู ณ์ วรพงษ.์ เพ่งิ อา้ ง.
- 55 -
ในวันท่ี 16 กันยายน พ.ศ.2500 เวลาประมาณ 13.00 น. จอมพลป.ไดข้ อเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์
อกี ครง้ั ณ วงั สวนจิตลดา ในเยน็ วนั ท่ี 16 กันยายน พ.ศ. 2500 จากบนั ทึกนายทองใบ ทองเปาด์ 39นักข่าวร่วม
สมัยได้บันทึกว่า สีหน้าของจอมพล ป.ภายหลังเข้าเฝ้านั้น “บูด เหมือนปลาร้าค้างปี ” เขาถามจอมพล ป.ว่า
“เข้าเฝ้าในหลวงท่าไม” จอมพล ป.ตอบว่า “เข้าเฝ้าตามปกติ” เขาถามต่อว่า “ในหลวงรับสั่งอย่างไรบ้าง”
จอมพล ป.ตอบว่า “ไม่รับสั่งอะไร… ไม่มีข่าว” หลังจากนั้นจอมพล ป.เร่งขับรถทันเดอร์เบิรต์ “พุ่งปราดออก
จากประตูสวนจิตรลดาไป” ในคืนน้ันเอง เม่ือรถถังได้ปรากฏตามมุมสาคัญๆในกรุงเทพฯ สาหรับท่าทีของกลุ่ม
อนุรักษ-์ กษัตรยิ ์นิยมอยา่ งพระยาศรวี ิสารวาจา (องคมนตรี) เมือ่ รวู้ ่าเกิดการรฐั ประหาร คือ เสียงหวั เราะ
เวลา 18.00 น. ของวนั ท่ี 16 กันยายน พ.ศ. 2500 การรัฐประหารเกิดข้ึน โดยกาลังพลในบังคับ
บัญชาของ พลโทประภาส จารุเสถยี ร แม่ทัพภาคท่ี 1 ใช้รถถัง รถหุ้มเกราะและกาลังพล กระจายกาลังออกยึด
จุดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ เช่น หอประชุมกองทัพบก ท่ีถนนราชดาเนินนอก เป็นต้น ในส่วนของ กองบัญชาการ
ตารวจกองปราบ ทสี่ ามยอด ซ่งึ เป็นท่บี ัญชาการของ พลตารวจเอกเผ่า ได้รับคาส่ังให้ยึดให้ได้ภายใน 120 นาที
กส็ ามารถยึดไดโ้ ดยเรียบร้อย โดย ร้อยโท เชาว์ ดีสวุ รรณ ในขณะที่ พลจัตวากฤษณ์ สีวะรา รองแม่ทัพภาคที่ 1
พันโทเอิบ แสงฤทธ์ิ พันตรีเรืองศักดิ์ ชุมะสุวรรณ พันเอกเอ้ือม จิรพงษ์40 และ ร้อยเอกทวิช เปล่งวิทยา ได้
นากาลังกระทายุทธศาสตร์ท่ีเรียกว่า "เข้าตีรังแตน" โดยนากองกาลังทหารราบท่ี 1 พัน 3 บุกเข้าไปยึดวังปารุ
สกวัน ซ่ึงเป็นกองบัญชาการตารวจนครบาล จากนั้นจึงติดตามด้วยกองกาลังรถถัง ในขณะที่กองทัพเรือ พล.
ร้อยเอกหลวงชานาญอรรถยุทธ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ส่ังวิทยุเรียกเรือรบ 2 ลา ยึดท่าวาสุกรี และส่งกาลัง
ส่วนหนึ่งยึดบริเวณหน้าวัดราชาธิวาส เพ่ือประสานงานยึดอานาจ จนกระท่ังการยึดอานาจผ่านไปอย่าง
เรยี บร้อย
ฝ่าย จอมพล ป. พิบูลสงคราม รู้ล่วงหน้าก่อนเพียงไม่ก่ีนาที จึงตัดสินใจหลบหนีโดยไม่ต่อสู้ โดย
เดินทางไปโดยรถยนต์ประจาตวั นายกรัฐมนตรยี ่หี ้อซีตรอง พร้อมกับคนติดตามเพียง 3 คน เท่าน้ันคือ นายฉาย
วโิ รจนศ์ ริ ิ เลขานุการส่วนตวั พนั ตารวจเอกชมุ พล โลหะชาละ นายตารวจติดตามตัว และพันโทบุลศักด์ิ วรรณ-
มาศ ทั้งหมดได้หลบหนีไปทางจังหวัดตราด และว่าจ้างเรือประมงลาหนึ่งเดินทางไปที่เกาะกง ประเทศกัมพูชา
กอ่ นลงเรือ จอมพล ป. ไดใ้ ห้ พันโทบลุ ศักด์ิ นารถไปคืนสานักนายกรัฐมนตรี และเข้าพบหัวหน้าคณะปฏิวัติ คือ
จอมพลสฤษด์ิ ว่า ทั้ง 3 คนไดห้ ลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว ขอร้องวา่ ไม่ให้ตดิ ตามไป
มีการเปดิ เผยภายหลังวา่ พลจัตวากฤษณ์ สีวะรา รองผู้บัญชาการกองพลท่ี 1 รักษาพระองค์ ได้
ตามหาตวั พลตารวจเอกเผ่า ศรียานนท์ แต่ไมพ่ บ จนถงึ เวลา 03.35 น. ของวันที่ 17 กันยายน พ.ศ.2500 ได้มี
ประกาศจากคณะปฏวิ ตั ิทางสถานีวิทยกุ องทัพบกให้พลตารวจเอกเผา่ ฯ ไปรายงานตัว ในช่วงนั้นพลตารวจเอก
เผ่า ฯ กับลูกน้องคู่ใจได้นั่งด่ืมสุราท่ีบาร์แห่งหน่ึงแถวราชประสงค์ พลตารวจเอกเผ่า ฯ ได้เดินทางไปยัง
กองบัญชาการทหารที่เป็นท่ีต้ังกองอานวยของคณะปฏิวัติ เม่ือไปถึงพบกับจอมพลสฤษด์ิได้กล่าวว่า “...กูรู้ว่าสู้
มึงไม่ได้จึงมามอบตัว สุดแต่มึงจะทาอย่างไรก็ทาเถอะ..” จอมพลสฤษด์ิ ฯ กล่าวว่า “กูไม่ฆ่าเพ่ือน”41 มีการ
สอบถามว่าก่อนการยึดอานาจ 2 วัน พลตารวจเอกเผ่า ฯ ได้เบิกเงินไป 11 ล้านบาท เอาไปทาอะไร แต่ได้รับ
คาตอบว่าหมดแล้ว ไม่ยอมชี้แจงใด ต่อมาจึงมีประกาศว่าพลตารวจเอกเผ่า ฯ ได้เข้ามารายงานตัวกับคณะ
39 คาบอกเล่าของทองใบ ทองเปาด์ ,ใน สุวฒั น์ วรดิลก , จดหมายจากลาดยาว ( กรงุ เทพฯ : สานักพิมพ์ประกาย, 2521), หน้า
55-56 ทองใบ ทองเปาด์.เป็นชาวมหาสารคาม เคยศึกษาในคณะสหกรณ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และลาออกมาเรียน
นติ ศิ าสตรท์ ม่ี หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประกอบอาชีพทนายความและนักหนังสือพิมพ์ ต่อมาในปี 2527 ได้รับรางวัลแมกไซไซ
สาขาบริการสาธารณะ เคยถูกจาคุก(ไม่มีข้อหา) เม่ือ พ.ศ.2501 หลังจากเดินทางกลับจากประเทศจีน ต่อมาได้รับเลือกเป็น
ส.ส.ร.ปี 2539 ในการร่าง รธน.ปี 40 และ ส.ว. ไดเ้ สียชวี ติ ดว้ ยโรคหัวใจวายเมอื่ 24 มกราคม พ.ศ.2554 รวมอายไุ ด้ 84 ปี
40 เป็นผ้ดู ารงตาแหน่งผู้บญั ชาการกองพลท่ี 9 คนแรก (เป็นบุตรเขยของจอมพลถนอม กิตติขจร) (ต่อมาได้เปล่ียนช่ือเป็นกอง
พลทหารราบท่ี 9 และเปลี่ยนช่ือค่ายกาญจนบุรีเป็นค่ายสุรสีห์) เป็นหน่วยทหารที่ต้ังข้ึนจากผลของสงครามเวียดนามท่ี
สหรัฐอเมรกิ าถอนทหารออกไป
41 สมบูรณ์ วรพงษ.์ เรือ่ งเดมิ .หน้า 22-23
- 56 -
ทหารแล้ว พลตารวจเอกเผ่า ก็ถูกกดดันให้เดินทางออกนอกประเทศเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ.2500 จึงได้
เดนิ ทางไปยังประเทศสงิ คโปร์ และตอ่ ไปยงั ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต่อได้เสียชีวติ ในปี พ.ศ. 2503
พระบรมราชโองการเป็นผู้รักษาพระนครฝา่ ยทหาร
ประกาศพระบรมราชโองการ42
แตง่ ตัง้ ผรู้ กั ษาพระนครฝ่ายทหาร
ภูมพิ ลอดลุ ยเดช ป.ร.
เน่ืองด้วยปรากฏว่า รัฐบาลอันมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้บริหารราชการ
แผน่ ดนิ ไมเ่ ป็นท่ไี วว้ างใจของประชาชน ทั้งไมส่ ามารถรกั ษาความสงบเรยี บร้อยของบ้านเมืองได้ คณะทหารซ่ึงมี
จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ เป็นหัวหน้า ได้เข้ายึดอานาจการปกครองไว้ได้ และทาหน้าที่เป็นผู้รักษาพระนครฝ่าย
ทหาร ข้าพเจ้าจงึ ขอตัง้ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั ต์ เปน็ ผู้รกั ษาพระนครฝ่ายทหาร ขอให้ประชาชนทัง้ หลายจงอยู่ใน
ความสงบ และใหข้ า้ ราชการทกุ ฝา่ ยฟังคาสงั่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั ต์
ตง้ั แต่บัดน้เี ป็นต้นไป
ประกาศมา ณ วนั ที่ 16 กันยายน พุทธศักราช 2500
ประกาศใชร้ ัฐธรรมนญู พ.ศ.2475 ฉบบั แก้ไขเพ่มิ เตมิ พ.ศ.2495
คณะรฐั ประหารได้ประกาศใช้รฐั ธรรมนูญ พ.ศ.2475 ฉบบั แก้ไขเพิม่ เตมิ พ.ศ.2495 โดยให้มีผลใช้
บังคับต่อไป แต่ให้สมาชิกผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 สิ้นสุดลง โดยจะดาเนินการเลือกตั้ง
สมาชกิ ผูแ้ ทนราษฎรประเภทท่ี 1 ภายใน 90 วัน ส่วนสมาชิกประเภทท่ี 2 พระมหากษัตริย์จะทรงโปรดเกล้าฯ
แต่งตัง้ จานวน 123 คน และใหส้ ภานิตบิ ญั ญตั ทิ าหนา้ ทไ่ี ปพลางกอ่ น
จดั ตง้ั รัฐบาลพลเรือนและกล่าวอาลาตาแหน่งผู้รกั ษาพระนคร
จอมพลสฤษด์ิ ฯ ได้เปน็ หวั หน้ากระทาการรัฐประหารขับไล่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ครั้ง
นี้สามารถกระทาสาเร็จได้ในเวลาไม่ก่ีช่ัวโมง โดยไม่มีการเสียเลือดเน้ือและชีวิต ภายหลังที่กระทาการ
รฐั ประหารสาเร็จแลว้ จอมพลสฤษด์ิ ฯ ได้ทาบทามขอให้นายพจน์ สารสินเข้ามาทาหน้าท่ีรัฐบาลช่ัวคราว เพ่ือ
จัดการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรอีก ซ่ึงจอมพลสฤษดิ์ ฯไม่ขอรับตาแหน่งทางการเมืองแต่อย่างใดทั้งส้ิน ในอีก 11
วันต่อมาหลังจากวันทาการรัฐประหาร ได้มีการประกาศพระบรมราชโองการแต่งต้ังให้จอมพลสฤษด์ิ ฯ เป็น
ผู้บังคับบัญชาทหารสูงสุด ต่อมาจอมพลสฤษดิ์ได้มีคากล่าวถึงประชาชนเก่ียวกับการจัดตั้งรัฐบาล และช้ีแจง
การไม่ยอมรับตาแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวาทะกรรม “พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ คร้ังที่ 2” มีใจความบาง
ชว่ งบางตอนท่ีสาคญั ดังน.้ี -
ทา่ นพี่นอ้ งชาวไทยท่ีเคารพรักท้งั หลาย
“ตามทีได้มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าพเจ้าเป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร
มาต้ังแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2500 เป็นต้นมานั้น ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น ถึงแม้
42 ราชกิจจานเุ บกษา เลม่ 74/ตอนที่ 36/ฉบับพิเศษ/หน้า 1/16 กันยายน 2500
- 57 -
ภารกิจดังกล่าวจะเป็นภารกิจอันหนัก และยุ่งยากอยู่มากก็ตาม ข้าพเจ้าก็ได้ตั้งในปฏิบัติหน้าที่สนองพระเดช
พระคุณมาด้วยความต้ังใจดีท่ีสุดเท่าท่ีจะสามารถทาได้ อย่างไรก็ดีในการปฏิบัติภารกิจของข้าพเจ้าคร้ังน้ี
ข้าพเจ้าได้รับความเห็นอกเห็นใจจากพ่ีน้องชาวไทยทุกคนและจากทุกฝ่าย เพ่ือทหารทุกกองทัพก็ได้ร่วมกัน
ปฏิบตั ิหน้าทีข่ องตนไปด้วยความเรยี บรอ้ ยและด้วยความลาบากตรากตราเปน็ อยา่ งยิ่ง ข้าพเจ้าจึงรู้สึกว่าเป็นหน้ี
บุญคณุ ทา่ นทง้ั หลายอยูม่ ใิ ชน่ ้อย
บัดนี้สภาผู้แทนได้เลือกนายพจน์ สารสินเป็นนายกรัฐมนตรีและได้มีพระบรมราชโองการโปรด
เกล้าฯ แต่งต้ังคณะรัฐบาลเข้าบริหารราชการแผ่นดินโดยได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎรตาม
รฐั ธรรมนูญแล้ว...บดั นีข้ า้ พเจ้าไดม้ อบหน้าทีบ่ รหิ ารราชการแผ่นดินใหแ้ กค่ ณะรฐั บาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงขอ
กราบเรียนให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบไวโ้ ดยทั่วกันดว้ ย
พี่น้องที่รักทั้งหลายคงจะยังระลึกได้ว่า เม่ือคราวเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเดือนมีนาคม
2500 นั้น ข้าพเจ้าในฐานะผู้บัญชาการฝ่ายทหารได้กล่าวคาอาลาต่อท่านท้ังหลาย โดยปฏิญาณไว้ว่าการใดจะ
เปน็ ประโยชน์สขุ ต่อประเทศชาติและพ่ีนอ้ งชาวไทยทรี่ กั แล้ว แมก้ ารนั้นจะตอ้ งเส่ียงชวี ิตเข้าปฏิบัติ ข้าพเจ้ายินดี
ที่รับทาตามมตเิ รยี กรอ้ งของท่านทัง้ หลายด้วยความเตม็ ใจทุกประการ
บัดน้ขี า้ พเจ้าได้ปฏิบัติหน้าท่ีตามคาปฏิญาณของข้าพเจ้าโดยครบถ้วนแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอกล่าวคา
ลาจากพนี่ อ้ งทรี่ ักทั้งหลายจากหน้าทผ่ี ้รู ักษาพระนครฝ่ายทหารต้ังแต่บัดน้ีเป็นต้น ....ในส่วนข้าพเจ้าก็ดี บรรดา
คณะทหารทไี่ ดร้ ่วมดาเนินปฏิบัติกับข้าพเจ้าในคร้ังนี้ก็ดี มิได้มีความมุ่งหมายทะเยอทะยานใฝ่สูงเป็นส่วนตัวแต่
ประการใด และมิได้มีเจตนาร้ายต่อผู้หน่ึงผู้ใดโดยเฉพาะ ได้กระทาไปเพราะเห็นแก่ความร่วมเย็นเป็นสุขของพี่
น้องชาวไทยเป็นหลักสาคัญ... อน่ึงตามที่พี่น้องท้ังหลายได้ให้ความกรุณาปราณีโดยเรียกร้องให้ข้าพเจ้าเข้ารับ
ตาแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ข้าพเจ้ากระทาการครั้งน้ีมิได้มุ่งหมายที่จะช่วงอานาจจากผู้อื่นเพื่อเข้าครอง
ตาแหน่งน้ันเสียเองแต่อย่างใด ข้าพเจ้าเข้าปฏิบัติหน้าที่ก็ด้วยความเรียกร้องของท่านพี่น้องทั้งหลาย ท่ีจะให้
ปลดเปล้ืองขจดั ปดั เปา่ ความเดอื นรอ้ นและทุกข์ยากของประชาราษฎรท้ังมวล จึงไม่สามารถที่จะรับตาแหน่งได้
ข้าพเจ้าเป็นทหารมีความสมัครใจอย่างยิ่งท่ีจะรับใช้พ่ีน้องประชาชนชาวไทยแต่ทางทหารเท่านั้น ข้าพเจ้ารู้สึก
เสียใจเป็นอย่างมากท่ีมิอาจจะสนองความต้องการของพ่ีน้องประชาชนชาวไทยท่ีรักของข้าพเจ้าในกรณีนี้ได้
อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็จะยังคงเป็นคนของประชาชนอยู่ตลอดไปและพอใจท่ีจะรับใช้ท่านท้ังหลายในทาง
เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงต้องขอความกรุณาร้องขอต่อพี่น้องประชาชนที่รัก
ทั้งหลายได้โปรดเมตตาใหข้ า้ พเจ้าไดป้ ฏิบตั ิหน้าท่ีรับใชป้ ระเทศชาติเฉพาะในทางที่ข้าพเจา้ ปรารถนาน้นั เถิด...
ท่านพี่น้องท้ังหลาย หากการปฏิบัติการของคณะทหารคราวน้ีมีข้อผิดพลาดล่วงเกินต่อท่านใด
โดยข้าพเจ้าเองก็ดี หรือโดยผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าพเจ้าก็ดี ขอท่านทั้งหลายได้โปรดกรุณาให้อภัยด้วยจะเป็น
พระคณุ แก่คณะทหาร และตวั ข้าพเจา้ อยา่ งทเ่ี ปรียบมิได้ ฯลฯ
ในประการสดุ ทา้ ย ข้าพเจา้ ขอถอื โอกาสนอ้ มจติ ระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยและพระสยามเทวาธิ-
ราชทไี่ ดค้ มุ้ ครองและดลบันดาลใหก้ ารปฏบิ ัตคิ ร้ังนี้ประสบความสาเรจ็ โดยมติ ้องเสยี เลอื ดเนื้อของประชาชนชาว
ไทยแมแ้ ต่น้อย ท่านพี่น้องชาวไทยและเพื่อนทหารท่ีรักท้ังหลาย เมื่อมีภาวระฉุกเฉินขึ้นคร้ังก่อน และก่อนที่จะ
จากกันน้ัน ข้าพเจ้าได้กล่าวกับทา่ วา่ “พบกนั ไมเ่ ม่ือชาติต้องการ” ในคร้ังน้ีข้าพเจ้าจะขอถือโอกาสกล่าวลากับ
ทา่ นเช่นเดยี วกันอีกวา่ “สวัสดี พบกนั ใหมเ่ มอื่ ชาติต้องการ”43
จอมพลสฤษดิ์ตงั้ พรรคการเมือง “พรรคสหภูม”ิ
จอมพลสฤษดิ์ ฯ ได้เข้าสู่วงการเมืองต้ังแต่ในการเข้าร่วมการรัฐประหาร พ.ศ.2490 ขณะที่ดารง
ตาแหน่งเป็นผู้บังคับการกรมทหารราบท่ี 1 รักษาพระองค์ ยศพันเอก ในสมัยรัฐบาลของจอมพลป.พิบูล -
สงคราม จอมพลสฤษดิ์ ได้รับการแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งทางการเมืองพร้อมกับยังคงดารงตาแหน่งทางทหาร
43 สมบูรณ์ วรพงษ.์ เรอื่ งเดมิ .หนา้ 277-280
- 58 -
ควบคู่ไปด้วย จึงมีอานาจท่ีเหนียวแน่น ทาให้ต้องการมีการจัดต้ังพรรคการเมืองเพ่ือรองรับ ในเดือนมิถุนายน
พ.ศ.2500 คือพรรคสหภูมิ ซง่ึ เปน็ ชว่ งที่รัฐบาลของจอมพล ป. ได้ถูกกดดันทางการเมืองจากพรรคฝ่ายค้านคือ
พรรคประชาธิปัตย์ และนิสิตนักศึกษาร่วมกับประชาชนท่ีไม่พอใจการโกงการเลือกตั้งของพรรคเสรีมนังคศิลา
ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม
พรรคสหภูมิ มีนายสุกิจ นิมมานเหมินทร์ เป็นหัวหน้าพรรค นายสงวน จันทรสาขา ซ่ึงเป็น
นอ้ งชายตา่ งบดิ า แตม่ มี ารดาเดยี วกันกับจอมพลสฤษดิ์ ฯ เป็นเลขาธิการพรรค44 สมาชิกพรรคส่วนใหญ่ย้ายมา
จากพรรคเสรีมนงั คศิลา ทาให้เป็นพรรคฝ่ายคา้ นที่มีบทบาทโดดเดน่ กวา่ พรรคประชาธปิ ตั ยท์ ีเ่ ปน็ พรรคฝ่ายค้าน
เดิมเพราะสมาชิกส่วนหนึ่งเคยอยู่ร่วมรัฐบาลของจอมพล ป. ทาให้คนท่ัวไปเข้าใจว่าพรรคสหภูมิเป็นพรรค
การเมอื งทีจ่ อมพลสฤษดิ์ ฯ เปน็ ผ้อู ย่เู บื้องหลงั จากการจดั ต้ัง
พรรคชาตสิ ังคม
วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2500 รัฐบาลนายพจน์ สารสิน ได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎรประเภทท่ี 1 พรรคสหภูมิได้รับเลือกตั้งเพียง 45 คน จากจานวนสมาชิกผู้แทนราษฎรประเภทท่ี 1
จานวน 160 คน จอมพลสฤษด์ิ เห็นว่าพรรคสหภูมิมีสมาชิกน้อยเกินไป จอมพลสฤษดิ์ ฯ จึงได้จัดตั้งพรรค
การเมืองขึ้นใหม่มีช่ือว่า “พรรคชาติสังคม” เม่ือวันท่ี 20 ธันวาคม พ.ศ.2500 โดยจอมพลสฤษด์ิ เป็นหัวหน้า
พรรค และพลโทประภาส จารเุ สถียร เป็นเลขาพรรค พรรคชาติสังคมได้รวบรวม ส.ส.จากพรรคการเมืองอื่นๆ
เขา้ มาอยู่ในพรรค ทาให้พรรคชาตสิ ังคมมี ส.ส.ประเภทท่ี 1 และประเภทท่ี 2 รวมกัน จานวน 202 คน
เมือ่ รูผ้ ลการเลือกตั้งแล้วรฐั บาลช่ัวคราวของนายพจน์ สารสิน ก็หมดอายุไป แต่จอมพลสฤษด์ิ ฯ
ประสงค์จะใหน้ าย พจน์ สารสนิ มาเปน็ นายกรฐั มนตรอี ีกสมยั หนึ่ง แต่ นายพจน์ สารสนิ ได้ปฏเิ สธ ที่ประชุมจึง
ตกลงให้ พลเอก ถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี ในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 24 ธันวาคม 2500 จอมพลสฤษด์ิ ฯ
จึงเชิญ พลเอก ถนอม กิตติขจรนายกรัฐมนตรีไปพบ และแจ้งให้ทราบว่าตนเองจะไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ
ประมาณ 1 ปี จอมพลสฤษด์ิ ฯ ไดเ้ ดนิ ทางไปรักษาตัวยงั สหรฐั อเมริกาคร้งั นน้ั ในเดอื นมกราคม พ.ศ. 2501
จอมพลสฤษด์ิ ฯ เชื่อม่ันว่าพรรคชาติสังคมจะมีเสถียรภาพมั่นคงในรัฐสภาท่ีสามารถคุมเสียงข้าง
มากได้ ได้ตั้งรัฐบาลใหม่ภายในการนาของพลเอกถนอม กิตติขจรเม่ือวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2501 หลังจาก
ออกเดนิ ทางไปยังกรงุ ลอนดอนในเดือนกรกฎาคม 2501 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ จอมพลสฤษด์ิ ฯ ได้
ใช้เปน็ ฐานเพ่ือออกไปดูงานในประเทศต่างๆด้วยกันหลายประเทศเม่ือไปดูงานแล้วกลับมาพักผ่อนอยู่ที่บ้านเช่า
ชานกรุงลอนดอนกับคณะต่อไป
รฐั บาลของพลโทถนอม กิตติขจร ประกอบด้วยรฐั มนตรี 27 คน รวมเปน็ คณะรฐั มนตรีจานวน 28
คน จะเหน็ ได้วา่ จอมพลสฤษดิ์ ฯ ได้สรา้ งภาพให้เข้าใจกนั วา่ เขาไมต่ ้องการมกั ใหญ่ใฝ่อานาจเพื่อตนเอง
ปฏกิ ริ ิยาของส่อื มวลชนและประชาชนหลังยดึ อานาจ45
หนังสือพิมพ์ “ประชามิตร” สุดสัปดาห์ได้วิจารณ์ไว้ในหัวเร่ือง “รัฐประการ 16 กันยา” โดย
“ประชา ย่ิงเจริญ” ได้เขียนบทวิจารณ์ว่า “การยึดอานาจของคณะทหารโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เม่ือ
วันท่ี 16 กันยายนน้ี ได้โค่นล้มรัฐบาลพิบูลสงครามซ่ึงนิยมตะวันตกลงไปปราศจากเสียชีวิตและเลือดเน้ือ ยัง
ความปราโมทย์แก่ประชาชนทั่วไป อย่างไรก็ดีโดยที่การรัฐประหารเกือบทุกครั้งของเมืองไทยได้สาเร็จลงอย่าง
ง่ายดายเช่นนี้เอง จึงทาให้เกิดการล้มล้างรัฐบาลหรือการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลนอกตาราหรือวิถีทาง
ประชาธิปไตยเกิดข้ึนเสมอ ประชาชนเองก็มองดูการรัฐประหารหรือการล้มล้างรัฐบาลโดยวิธีท่ีผิดแบบแผน
ประชาธิปไตย เป็นเสมือนหนึ่งว่าเป็นแบบวิธีธรรมดาของระบบประชาธิปไตยไป ทาให้วิถีทางรัฐธรรมและ
เจตนารมณ์ของประชาชนทแี่ สดงออกโดยการเลือกต้ังเป็นสิ่งที่ไรค้ วามหมาย
44 รุ่งพงษ์ ชัยนาม.เรอ่ื งเดิม.หน้า 12-5
45 สมบรู ณ์ วรพงษ.์ เรอ่ื งเดมิ .หนา้ 247
- 59 -
กล่าวโดยท่ัวไป การรัฐประหารคร้ังน้ี ประชาชนซ่ึงเอือมระอาและเบ่ือหน่ายรัฐบาลพิบูลสงคราม
ที่บริหารประเทศแบบเดินตามหลงั จกั รวรรดินิยมอเมริกันได้ให้การสนับสนุนคณะทหารเป็นอันดี ประชาชนต่าง
สงบเงียบมองดูคณะทหารเสมือน “ผู้ปลดปล่อย” พร้อมกับต้ังความหวังว่า บรรดาความผิดพลาดและนโยบาย
ของรัฐบาลพิบูลสงครามจะได้รับการแก้ไข ประชาชนทั้งหลายหวังว่ารัฐประการครั้งน้ีจะไม่มีผลแต่เพียงการ
เปลี่ยนแปลงตัวชนช้ันปกครองเท่าน้ัน แต่ได้มั่นใจและหวังว่าการเปลี่ยนแปลงในนโยบายต่างประเทศ ซ่ึง
ประชาชนได้เรียกร้องอย่างหนักแน่นและม่ันคงตลอดมา ให้รัฐบาลเลิกนโยบายเดินตามหลังจักรวรรดินิยม
อเมริกา ให้ดาเนินนโยบายต่างประเทศเปน็ กลาง และยดึ มั่นในสันติภาพ และการเตรียมสงคราม ถอนตัวอออก
จาก SEATO46 ดาเนินการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เบิกบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ
และเลิกการ ส.ส.ประเภทที่ 2 และเลิกการกดขี่เสรีภาพของประชาชน เลกิ พ.ร.บ.คอมมิวนิสต์ และ พ.ร.บ.การ
พิมพ์ปราบปรามการทุจริตและการฉ้อราษฎร์บังหลวงในวงราชการ แยกข้าราชการประจาและการเมืองออก
จากการค้า แยกข้าราชการประจาออกจากการเมือง ดาเนินนโยบายเศรษฐกิจอย่างมีโครงการตามแนวสังคม
นิยม เปิดการค้าเสรี และรับการช่วยเหลือที่ไม่มีเงื่อนไขท่ีเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติทุกค่าย และได้มี
ความหวงั ว่าคณะทหารซง่ึ ทาการยดึ อานาจจากรัฐบาลพิบูลสงคราม คงจะกล้าทาในสิ่งที่รัฐบาลพิบูลสงครามทา
ไม่ไดน้ ี้ แม้ในวันก่อนจะมีการยึดอานาจก็ได้มีประชาชนบางสว่ นพากันเดินขบวนสนบั สนนุ จอมพลสฤษด์ิ
อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงท่ีน่าจะมีความสาคัญทางประวัติศาสตร์ และเป็นความหวังของ
ประชาชนครงั้ นก้ี ลบั ไมท่ าให้ “ฝ่ายตะวนั ตก” กระทบกระเทือนแตอ่ ย่างไร ไม่ว่าผลประโยชน์ทางการเมืองหรือ
เศรษฐกิจ ทั้งวอชิงตันและลอนดอน ร่วมตลาดทั้งมะนิลา ได้วิจารณ์กันว่าแม้จะมีการยึดอานาจล้มล้างรัฐบาล
พิบูลสงคราม แต่ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายตะวันตก ซึ่งรัฐบาลพิบูลสงครามได้ดาเนินมาน้ันเลย
หนังสือพิมพ์อเมริกันถึงกับกล่าวว่า “การยึดอานาจล้มล้างรัฐบาลพิบูลสงครามของจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์
ครั้งน้ี นอกจากจะไม่มีผลเปล่ียนแปลงนโยบายของไทยท่ีมีต่อฝ่ายตะวันตกและซีอาโต้ (SEATO)แล้ว ยังเป็น
“ลางดี” อกี ดว้ ย
การแสดงความหวังในแง่ดีของฝ่ายตะวันตกนี้ในชั้นแรกประชาชนและนักการเมืองไทยต่างเข้าใจ
กันว่า ฝ่ายตะวันตกได้ตีขลุมเพ่ือปลอบใจตนเองเท่าน้ัน ประชาชนยังม่ันใจว่าคณะทหารท่ีทาการเส่ียงชีวิต
ละเมิดกฎหมายบ้านเมืองนี้ จะไม่กระทาการเพียงเพ่ือขับผู้ปกครองชุดเดิมออกไปเพ่ือตนจะได้เข้าครองอานาจ
แทนเท่านั้น หากจะดาเนินการเปล่ียนแปลงข้ันรากฐานคือเปล่ียนแปลงหลักการและนโยบายของประเทศ
ตามทป่ี ระชาชนตอ้ งการและซึ่งรับใช้ประโยชน์ของประเทศเท่าน้ัน ประชาชนสนับสนุนรัฐประการคร้ังน้ี ก็โดย
นกึ หวังวา่ คณะทหารจะได้ปฏบิ ตั ินโยบายของประเทศเปน็ ประการสาคัญ
อย่างไรก็ตาม เม่ือวันเวลาได้ผ่านไป และโดยพฤติการณ์หลายอย่างทาให้เกิดโน้มเอียงไปใน
เลือกตั้งทางตรงกันข้ามกับความต้องการและความหวังของประชาชน และทาให้การตีขลุมของฝ่ายตะวันตก
ใกล้ความจริงย่ิงข้ึน และก็มีหลายส่ิงท่ีชี้ว่าฝ่ายศักดินา ซ่ึงเป็นส่วนอย่างสาคัญในการโค่นล้มรัฐบาลพิบูล
สงครามจะเป็นฝ่ายได้เปรียบจนกลายเป็นผู้มีฐานะเข้มแข็งและม่ันคงขึ้นกว่าเมื่อก่อนการยึดอานาจความ
แข็งแกร่งของศักดินาน้ีได้เกิดขึ้นพร้อมกับความม่ันคงของจักรวรรดินิยมด้วย ซ่ึงทาความข่ืนขมและผิดหวัง
ให้แก่ประชาชนอย่างยิ่ง การยึดอานาจรัฐบาลพิบูลสงครามคร้ังน้ีได้กระทาไปโดยอ้างความไม่พอใจของ
ประชาชนที่มีต่อรัฐบาลพิบูลสงครามเป็นสาคัญ โดยอ้างว่า “สถานการณ์บ้านเมืองยุ่งยาก มีแต่จะนาความ
46 SEATO คือ องค์การสนธิสัญญาป้องกันเอเชียอาคเนย์ (South East Asia Treaty Organization) มีชาติสมาชิก 8 ชาติ
ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฝร่ังเศส อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ ปากีสถาน และไทย เป็นผลจากการประชุมท่ีกรุง
มะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เม่ือ 8 กันยายน ค.ศ.1954 ท่ีเรียกว่า “Manila Pact” ต่อมารัฐบาลไทยได้ออกเป็นกฎหมาย
คมุ้ ครองการดาเนนิ งานของ “องคก์ ารสนธิสญั ญาป้องกันร่วมกันแห่งอาเซียอาคเนย์ (South East Asia Collective Defense
Treaty) ในปี ค.ศ.1960 (พ.ศ.2503) มีท่ตี ั้งอยทู่ ี่กรุงเทพ ฯ เรียกชอื่ ยอ่ ว่า “สปอ.” เพอื่ เป็นการปอ้ งกันภยั จากลัทธคิ อมมิวนิสต์
(อา้ งถงึ ใน ชอบ สโิ รดม.วิทยานพิ นธ์ “สปอ.” กับการปอ้ งกันประเทศไทย.กรุงเทพฯ:โรงเรยี นเสนาธกิ ารทหารบก.2514.)
- 60 -
เดือดร้อนมาสู่ประชาชนชาวไทยทับทวีข้ึนทุกวัน” อย่างไรก็ดี ในหนังชี้แจงแก่ต่างประเทศของคณะทหารก็ได้
ระบุตาหนิรัฐบาลพิบูลสงครามด้วยว่า “รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ไม่สามารถบริหารประเทศตาม
แบบอยา่ งอนั ดี เช่น ยอมให้มีการลอบติดต่อกับพวกคอมมิวนิสต์ในจีน” คงจะจากันได้ว่าก่อนหน้าน้ีไม่นานนัก
นายวอลเตอร์ โรเบริ ต์ สัน รองรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯได้เคยสอบถามนายพจน์ สารสิน ซึ่งขณะนั้นกาลัง
ดารงตาแหน่งเอกอัครราชทูตประจาสหรัฐอเมริกา เมื่อเป็นเช่นน้ีก็พอจะเข้าใจได้ว่าการยึดอานาจครั้งน้ี
สหรัฐอเมริกามีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่เพียงใด และแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของคณะทหารในการเปลี่ยนแปลง
การปกครองคร้งั นว้ี ่ามอี ยา่ งไร
คารับรองของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั ต์ ผรู้ ักษาพระนครฝ่ายทหาร ต่อนายบิช้อบ เอกอัครราชทูต
อเมริกาประจาประเทศไทย เมื่อวันที่ 20 น้ี (ตุลาคม 2500) ตามข่าวของสานักข่าวยูซิส “เมื่อท่าน
จอมพลสฤษด์ิทราบว่า ท่านเอกอคั รราชทูตกาลงั จะเดินทางไปสหรัฐอเมริกา เพื่อปรึกษาหารือข้อราชการต่างๆ
ตามที่กาหนดไว้เดิม จึงแจ้งให้ท่านเอกอัครราชทูตทราบเป็นการยืนยันว่า ประเทศจะยึดมั่นตามนโยบาย
ต่างประเทศท่ีเป็นอยู่ขณะนี้อย่างเคร่งครัด ทั้งยึดม่ันอยู่กับหลักการของสหประชาชาติและองค์การ ส.ป.อ.
(ซีอาโต้)ด้วย ท่านเอกอัครราชทูตบิช้อบได้แสดงความขอบคุณท่ีจอมพลสฤษดิ์ยืนยันท้ังนี้ไปรายงานให้รัฐบาล
สหรัฐฯทราบต่อไป” จอมพลสฤษด์ินั้นกล่าวกันว่าเป็นชายชาติทหารพูดแล้วไม่คืนคา คารับรองของจอม
พลสฤษดติ์ อ่ เอกอัครราชทตู บิชอ้ บน้ี ทาให้ความผิดหวังให้แก่ประชาชนและผู้สนับสนุนการยึดอานาจครั้งน้ีเคย
หวังว่าการเปลี่ยนแปลงจะเป็นการปลดปล่อยประเทศจากนโยบายตามหลังจักรวรรดินิยม มาเป็นนโยบาย
อสิ ระและสันติภาพตอ้ งสลายไปฯลฯ
หนังสือพิมพ์เดลิเมย์ บทนาฉบับประจาวันท่ี 19 กันยายน พ.ศ.2500 ภายใต้เร่ืองว่า “ความ
รับผดิ ชอบของคณะทหาร”
“ไม่ว่าคณะทหารจะได้ดาเนินโดยละมุ่นละหม่อมและด้วยน้าเสียงอันสุภาพอ่อนโยนเพียงใด
ประวัติศาสตร์ของไทยก็ได้พลิกหน้าใหม่เปิดบทรัฐประหารตอนใหม่ แต่ค่าวันท่ี 16 กันยายน 2500 โดยคณะ
ทหารผู้ดาเนินการนจ้ี ะต้องรับผิดชอบในผลไดผ้ ลเสยี แห่งการเปล่ยี นแปลงคร้งั นอ้ี ย่างเต็มประตู
อยา่ งไรก็ตาม เม่ือเราได้ยืนยนั ในฉบบั วานน้ีแลว้ ว่า คณะทหารกระทาในนามของประชาชนและมี
ประชาชนทั้งชาตยิ ืนหยัดอยู่เบอื้ งหลังกข็ อใหท้ า่ นกา้ วต่อไปด้วยความอุ่นใจ และด้วยความแน่วแนม่ น่ั คง” ฯลฯ
หนังสือพิมพ์ “นิวยอร์กไทมส์” ของสหรัฐอเมริกาลงบทบรรณาธิการฉับประวันที่ 21 กันยายน
พ.ศ.250047 เก่ยี วกบั การรัฐประหารในประเทศไทยวา่
“สิ่งที่เกิดขึ้นในกรุงเทพ ฯ มิได้ก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงอย่างใดขนาดใหญ่ท่ัวไป พิบูลสงคราม
ซ่ึงได้เป็นบุรุษเหล็กของไทยมาอย่างจริงจังกว่า 10 ปี ได้ถูกคณะรัฐประหารท่ีมีจอมพลสฤษด์ิเป็นหัวหน้าโค่น
ลม้ อยา่ งไม่นองเลือด มไิ ดม้ ีการเปลีย่ นแปลงสาคัญแต่อย่างใดในโครงร่างของรฐั บาล มกี ารยบุ สภา และจะจัดให้
มีการเลือกต้งั ทวั่ ไปขึ้นใน 90 วัน การเลือกตั้งจะเป็นการเลือกตั้งผู้แทนจานวนคร่ึงของสภา ส่วนอีกคร่ึงยังเป็น
ของทางการจากการแต่งตงั้ เช่นเดิม
ความจริงก่อนหน้านี้ได้มีการต่อสู้เพื่ออานาจส่วนใหญ่เป็นไปอยู่หลังฉาก และเพราะเหตุจากตัว
บคุ คลประเทศมีปัญหาสาคัญมากจากการบีบค้ันของคอมมิวนิสต์ไม่น้อย เพียงแต่เม่ือก่อนสงครามยังไม่รุนแรง
เพราะความช่วยเหลือที่อเมริกาได้ให้ จึงเป็นผลให้พิบูลสงครามถูกหาว่านิยมตะวันตกหรือนิยมอเมริกาซึ่งเขา
มไิ ดล้ ังเล ยอมรับคากล่าวหาอันนี้โดยดี ไม่มีเหตผุ ลอันใดใหเ้ ชอ่ื วา่ การเปล่ียนแปลงคณะฝ่ายบริหารในไทยครั้งนี้
จะเปลี่ยนข้อเท็จจริง และท่าที่พ้ืนฐานไปด้วยภัยคอมมิวนิสต์ยังคงมี และชาวจีนจานวนมากใรประเทศยังเป็น
เครื่องมือและอาวุธอนั มปี ระโยชนข์ องคอมมวิ นิสต์ รฐั บาลไทยไม่อาจมองข้ามภยั ท่มี ีอย่นู ี้
หนังสือพิมพ์ “สิงคโปร์แสตนอาร์ด” ออกในสิงคโปร์ โจมตีว่า “เป็นกองทัพจาอวด แม้ว่า
อเมรกิ าจะพยายามฝึกและให้อาวุธเพ่ือใหเ้ ป็นกาลงั ปฏบิ ัติการรบที่ทันสมยั ”
47 สมบูรณ์ วรพงษ.์ เรือ่ งเดมิ .หน้า 263-266
- 61 -
หนังสือพิมพ์ไทม์รายสัปดาห์ ฉบับวันท่ี 30 กันยายน พ.ศ.2500 มีใจความตอนหนึ่งกล่าวว่า “การ
ขจัดเผด็จการนั้นมีเพียงสามวิธีเท่าน้ัน คือ ด้วยการเนรเทศ ด้วยการจับเข้าคุก และหรือการฝังศพ” และยัง
กล่าวถึงจอมพลสฤษด์ิได้พูดหลังยึดอานาจว่า “...ข้าพเจ้าไม่ดีใจเลนในส่ิงท่ีกระทาไปแล้วเลย ข้าพเจ้าจะคง
กตญั ญูต่อทา่ นนายกรัฐมนตรตี อ่ ไป...”
สรุป การเมืองไทยลักษณะการเมอื งไทยตงั้ แต่ 2475-2500
1. มกี ารเปล่ยี นแปลงเป็นระบอบประชาธปิ ไตย (Democracy) แบบตะวนั ตก
2. เป็นประชาธิปไตยเฉพาะรูปแบบเท่านั้น แต่เนื้อหาที่แท้จริงยังเป็น อาามาตยาธิปไตย
(Bureaucratic Polity) เพราะการเปลย่ี นแปลงการปกครองมิได้มีรากฐานมาจากประชาชน แต่มาจากกลุ่มคน
เพยี งกลมุ่ เดยี วเทา่ นั้น
3. มีการปฏิวตั แิ ละรฐั ประหารหลายครง้ั
4. นายกรัฐมนตรีที่เป็นทหารจะดารงตาแหน่ง เป็นระยะเวลานานกว่านายกรัฐมนตรีที่เป็นพล
เรอื นเพราะมฐี านอานาจ และกาลงั มากกวา่
5. ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจคุณค่าของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ยังไม่พร้อมที่จะ
ปกครองตนเอง และขาดการมีส่วนร่วมทางการเมืองและคิดว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นเรื่องของนักการเมือง
หรอื ขา้ ราชการ
6. ระบบบริหารราชการมุ่งสนองตอบต่อความต้องการของผู้ปกครอง เจ้านาย หรือ
ผบู้ ังคับบัญชามากกว่าสนองตอบต่อความตอ้ งการของประชาชน
7. เกิดการแย่งอานาจ และความต้องการทางการเมือง ปรากฏการณ์เหล่าน้ีแสดงถึงความ
อ่อนแอของสถาบนั การเมือง
8. ขาดการพัฒนาทางการเมืองอย่างต่อเน่ือง ดังน้ันการเมืองไทย ระยะที่ 1 นี้จึงติดอยู่กับวงจร
อุบาทวท์ างการเมือง ดงั แผนภูมิ
รัฐประหาร
วิกฤติการณ์ ทหารตงั ้
ความขดั แย้ง รฐั บาล
รกั ษาการ
วงจรอบุ าทว์
รฐั ธรรมนญู
กระบวนการ การเลอื กตงั้
ประชาธิปไตย
9. การเมืองช่วงนี้ไม่ปลอดจากการแทรกแซงของประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะประเทศ
สหรัฐอเมรกิ าสนบั สนนุ รฐั บาลเผดจ็ การใหต้ อ่ ต้านลทั ธคิ อมมิวนิสต์
10.เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ได้มีการเลือกตั้งขึ้น มีพรรคเสรีมนังคศิลาของ จอมพล ป.พิบูล
สงคราม และพรรคประชาธิปัตย์ ของนายควง อภัยวงศ์ แข่งขันกันในการเลือกตั้ง ผลปรากฏว่าพรรคของจอม
พล ป. พบิ ูลสงครามไดเ้ สยี งขา้ งมาก แตม่ ีการโวยวายว่าการเลอื กต้งั ครัง้ นีส้ กปรก มกี ารโกงคะแนนเลือกตั้งมาก
นสิ ติ เรียกรอ้ งให้นายกรัฐมนตรลี าออก และให้มกี ารเลอื กตงั้ ใหม่ ซ่งึ ครั้งน้นั ได้เกดิ บคุ คลสาคัญคนหน่ึงขึ้นมา ท่ีมี
- 62 -
ความสามารถยุติการเคลื่อนไหวของนักศึกษาได้คือ พันเอกอาทิตย์ กาลังเอก (ยศขณะนั้น) จนได้รับสมญาว่า
เปน็ “วรี ะบุรุษมัฆวาน”
วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ ได้ทาการรัฐประหาร จอมพล ป. พิบูล
สงคราม จึงลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่เขมร แต่ต่อมาขอล้ีภัยทางการเมืองไปอยู่ที่ญี่ปุ่น และอยู่จนกระทั่งถึงแก่
อสัญกรรม แต่ก่อนทจี่ อมพลสฤษดจ์ิ ะข้ึนครองอานาจ เขาได้แต่งต้ังให้ นายพจน์ สารสินเป็นนายกรัฐมนตรีเป็น
เวลา 90 วันแล้วจึงมีการเลือกต้ังท่ัวไป หลังการเลือกต้ัง พลโทถนอม กิตติขจร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะน้ัน
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั ต์ ไปรักษาตวั ทีป่ ระเทศสหรัฐอเมริกา ต่อมาเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง มีความขัดแย้ง
ทางการเมืองในพรรคและกองทัพ จอมพลสฤษด์ิ ได้ยึดอานาจอีกคร้ังหนึ่ง เม่ือวันที่ 20 ตุลาคม 2501 หลังจาก
นั้นประเทศไทยก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองที่ครอบงาด้วยอานาจนิยม หรือเผด็จการเป็นเวลายาวนานจนถึง
วนั ที่ 14 ตลุ าคม 2516
1. จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ ทาการรัฐประหาร เม่ือ 20 ตุลาคม 2501 สาเหตุท่ีทาให้กระทาการ
รัฐประหารครง้ั นี้คอื
1.1 ความไม่พอใจในการเมืองแบบประชาธิปไตยของตะวันตก โดยอ้างว่าไม่เหมาะสมกับ
ประเทศไทยในขณะนนั้
1.2 เกดิ วิกฤตการณ์ทางการเงนิ และการคลงั อย่างหนัก รัฐบาลตอ้ งเปน็ หนธี้ นาคารแห่งชาติ
ถงึ 1,507 ลา้ นบาทเศษ
1.3 เกิดภัยจากลัทธคิ อมมิวนิสต์ โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มองวา่ เปน็ ภัยต่อประเทศ
1.4 สภาพการณ์ของประเทศไทยขณะน้ันมีปัญหาหลายประการ เช่น การอพยพเข้าสู่เมือง
หลวงของชาวชนบท ภาวะฝนแลง้ อาชญากรรม ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ ฯลฯ
2. สมยั นผี้ นู้ าใชอ้ านาจเผดจ็ การนิยมมาก เช่นใช้ มาตรา 17 กวาดลา้ งผู้ทเี่ ป็นภัยต่อสงั คม หรือ
ผู้ทเี่ ป็นปฏิปกั ษท์ างการเมอื ง ตลอดจนปญั ญาชน นักคดิ นกั เขียน นักหนงั สือพิมพ์ นักศกึ ษา ฯลฯ
3. ยกเลกิ สถาบันทางการเมืองท้งั หมด ประกาศใชก้ ฎอยั การศึก
4. ประชาชนไมม่ สี ิทธิและเสรภี าพทางการเมือง
5. แนวความคิดทางการเมืองของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กล่าวไว้ คือ เป็นผู้ปกครองแบบพ่อขุน
ที่ชว่ ยเหลอื ประชาชน พ่อขนุ ที่รกั ษาความสงบเรยี บรอ้ ย พ่อขุนทส่ี ่งเสริมศีลธรรม พ่อขุนท่ีเยี่ยมเยียนประชาชน
พอ่ ขนุ ทใี่ ชอ้ านาจเดด็ ขาด แตเ่ ออื้ อารยี ์ และสนับสนุนสถาบนั กษัตริยม์ ากกว่ารัฐบาลก่อน ๆ
6. มกี ารปรับปรงุ ประเทศไปสู่ทฤษฎีภาวะความทันสมยั (Modernization)มีการพฒั นาทส่ี าคญั คอื
6.1 เกิดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ขึ้น เพื่อมุ่งให้ประเทศมีความ
เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมและความเติบโตในเขตเมือง ซึ่งช่วงนี้มีการกู้เงินจาก
ตา่ งประเทศเข้ามาลงทนุ มาก มีการนาเขา้ เทคโนโลยสี มัยใหม่มาก
6.2 เนน้ การพัฒนาโครงสร้างพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) มาก จนมีคาขวัญใน
สมยั น้ีว่า “น้าไหล ไฟสว่าง ทางดี มงี านทา บารงุ ความสะอาด”
6.3 ดาเนินนโยบายผกู พนั กบั ประเทศสหรฐั อเมริกา ต่างชาตเิ ขา้ มาลงทุนมาก
7. ภายหลังที่จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ ถึงแก่อสัญกรรม เม่ือ พ.ศ. 2506 จอมพลถนอม กิตติขจร
ก็ได้สืบทอดทางการเมืองต่อ ซึ่งความแตกต่างในนโยบายทางการเมืองจะไม่ค่อยต่างกันนักจะมีก็เฉพาะด้าน
บุคลกิ ภาพสว่ นบุคคลเทา่ นน้ั
8. จุดเดน่ การเมืองสมัยใหม่จอมพลถนอม กิตติขจร คือ
8.1 เป็นเผด็จการทางทหาร อานาจอยู่กับกลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียว มีการสร้างอานาจโยงใยใน
หมเู่ ครือญาติ เพ่ือรกั ษาและปกปอ้ งผลประโยชนข์ องกลมุ่ ตน
8.2 คาขวัญเน้นคุณธรรมคอื “จงทาดมี ีศลี ธรรมถือความสัตย์พงึ ขจดั ความโลภและโกรธหลง”
- 63 -
8.3 ยังคงอิงประเทศมหาอานาจมาก โดยเฉพาะสหรัฐอเมรกิ า เพอ่ื ตอ่ ตา้ นลัทธคิ อมมวิ นิสต์
8.4 ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศมาก ดังจะเหน็ ได้จากการกอ่ หนีส้ าธารณะ
8.5 ประชาชนขาดสทิ ธแิ ละเสรีภาพทางการเมอื ง ขาดรฐั ธรรมนูญเป็นเวลายาวนาน
8.6 เกดิ กลุม่ ผลประโยชน์ หรือกลุ่มแนวนอน (Horizontal Groups) มากข้ึน เช่น กลุ่มอาชีพ
กลุ่มนิสิตนักศึกษา สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย กลุ่มชาวไร่ชาวนา ฯลฯ กลุ่มเหล่านี้ได้เรียกร้อง
ประชาธปิ ไตย และตอ่ ต้านผูน้ าขณะนน้ั ซ่งึ เป็นเผดจ็ การสงู
9. พลังจากกลุ่มนสิ ิตนกั ศึกษาและประชาชนเหล่าน้นั ทาให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงวันที่ 14 ตุลาคม
2516 หรือ “วันมหาวิปโยค” และสามารถกดดันให้รัฐบาลลาออก และกลุ่มเผด็จการต้องล้ีภัยออกนอก
ประเทศไประยะหน่งึ
วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองยุคใหม่ของไทย เป็นการเริ่มการ
พัฒนาทางการเมือง เพราะประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะนิสิตนักศึกษา
และประชาชน ซ่งึ สามารถวเิ คราะห์สาเหตุของการเกดิ วกิ ฤตการณ์ “วนั มหาวปิ โยค” ได้ดังนี้
1. การเสียความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ และการเมืองขณะน้ัน คือ เน้นการ
พฒั นาเฉพาะด้านเศรษฐกจิ แต่การเมอื งถูกแทรกแช่แข็ง ไม่ไดร้ บั การพฒั นาเทา่ ท่ีควร
2. เกิดระบบอุปถัมภ์ (Clientelism System) มากท้ังในระบบการเมอื งและระบบราชการ
3. การทีผ่ นู้ าพยายามจะสืบทอดอานาจทางการเมอื งให้กบั ทายาทในขณะน้นั
4. เกดิ การขดั แย้งอยา่ งรุนแรงระหวา่ งกลุม่ ผมู้ อี านาจขณะนนั้ และกลมุ่ อปุ ถัมภ์อื่น ๆ
5. การเรียกร้องรฐั ธรรมนูญของกลุ่มนิสติ นักศกึ ษา และการจับกมุ กลุ่มผู้นานสิ ติ นักศกึ ษา
การเมอื งช่วง 2516-2520
การเมอื งไทยยคุ ท่ีรียกว่าประชาธิปไตยเฟ่ืองฟู สรปุ ไดด้ ังน้ี
1. หลังวันที่ 14 ตุลาคม 2516 จอมพลถนอม กิตติขจร ลาออกและลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่
ต่างประเทศพร้อมครอบครัว
2. มีพระบรมราชโองการแตง่ ตง้ั นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เปน็ นายกรัฐมนตรี
3. เป็นยุคท่ีประชาธิปไตยเบ่งบานมาก ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพสูงจนเกินขอบเขต มีการ
เดินขบวน มีการประทว้ งอยา่ งกวา้ งขวาง
4. มรี ัฐธรรมนูญท่ีคอ่ นขา้ งเป็นประชาธิปไตยสูงกว่ารัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ
5. มีพรรคการเมืองมาก ประมาณ 56 พรรค ทเ่ี ขา้ มาตอ่ สกู้ นั บนถนนของการเลอื กตัง้
6. พ.ศ. 2518 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี ประมาณ 9 เดือน 29 วันเกิดปัญหาใน
สภา จงึ ตอ้ งประกาศยบุ สภา
7. มกี ารเลือกต้ังใหม่เดอื น เมษายน พ.ศ.2519 มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีแต่
ไดแ้ ถลงนโยบายต่อรฐั สภา ไมผ่ ่านการเหน็ ชอบจากรัฐสภา จงึ ทาใหน้ ายกรัฐมนตรีตอ้ งลาออกในสภา
8. วันท่ี 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 เกิดการนองเลือดท่ีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยกลุ่มนิสิต
นักศึกษาได้ดาเนินกิจกรรมทางการเมืองต่อเนื่องมาต้ังแต่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 และถูกแทรกแซงจากพลัง
ภายนอก ผู้นาทางการเมืองขณะน้ันกาลังกังวลกับลัทธิคอมมิวนิสต์ ขบวนการของนิสิตนักศึกษาจึงถูก
ปราบปรามอยา่ งรนุ แรงในวนั ท่ี 6 ตลุ าคม พ.ศ. 2519
9. มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็เป็น
รัฐบาลที่ไม่มีอานาจอย่างแท้จริง แต่มีอานาจของฝ่ายทหารแฝงอยู่เบ้ืองหลัง จึงได้รับสมญาว่า“รัฐบาลหอย”
หรืออาจเรียกว่าเปน็ เผด็จการโดยพลเรอื น มี .นโยบายขวาตกขอบ. จึงทาให้ประชาชนเกิดความไมพ่ อใจมาก
- 64 -
10. วันท่ี 20 ตุลาคม พ.ศ.2520 รัฐบาลจึงถูกปฏิวัติโดยพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ และต่อมาได้
แต่งต้งั ให้ พลเอกเกรยี งศักดิ์ ชมะนนั ท์ เป็นนายกรฐั มนตรตี อ่ มาเปน็ เวลา 1 ปี 3 เดือนเศษ
การเมืองช่วง 2520-2540 การเมืองไทยในยุคประชาธิปไตยครงึ่ ใบ48พอสรปุ ดงั นี้
1. คณะนายทหารภายใต้การนาของ พลเอกเกรียงศักด์ิ ชมะนันท์ ได้ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ.
2521 ขึ้นมาใช้
2. รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ใช้นโยบายทางการเมืองนาการทหาร โดยได้ดึงพวกที่
ฝักใฝ่ และสนบั สนนุ ลัทธิคอมมวิ นสิ ต์ ท่ีเป็นนกั ศึกษาที่หนีเข้าป่าไปต้ังแต่ ตุลาคม พ.ศ.2519 ให้เข้ามอบตัวโดย
ไม่เอาผิด หรือลงโทษ ให้เรียกว่า “เป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย” ตามคาสั่งสานักนายกรัฐมนตรี 66/252349 และ
คาส่งั ที่ 65/2525 ซง่ึ กเ็ ปน็ นโยบายที่ดีท่ใี หโ้ อกาสกับคนไทยด้วยกัน ซ่ึงอาจมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่าง
กนั ได้
3. พ.ศ. 2524-2531 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซ่ึงเป็นช่วงที่มีการปรับ
คณะรัฐมนตรีหลายคร้ัง และในปี พ.ศ. 2527 ก็เป็นปีท่ีเศรษฐกิจไทยตกต่าจนต้องประกาศนโยบายลดค่าเงิน
บาทเกิดการขาดดุลการค้า และดุลการชาระเงินมาก รัฐบาลจึงต้องให้กองทุนเงินกู้ระหว่างประเทศ (IMF) เข้า
มาชว่ ยเหลือ
4. ระบบราชการมอี านาจครอบงาทางดา้ นการเมอื งมาก หรอื เรียกว่า “รฐั ข้าราชการ”
5. สมยั พลเอกเปรม ตณิ สูลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น มีการสนับสนุนจากพลังทางการเมืองท้ัง
พลังการเมอื งในระบบ และ พลังอานาจจากสถาบันกษัตริย์ จึงทาให้ดารงตาแหน่งอยู่
นาน และประกอบกบั สามารถเขา้ กับสื่อมวลชนไดด้ ี และไม่มีประวตั ดิ ่างพร้อย
6. เดือนสิงหาคม พ.ศ.2521 พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ได้รับเลือกตั้ง เป็นนายกรัฐมนตรีเป็น
รัฐบาลท่ีประชาชาคิดว่าเป็นประชาธิปไตยมากกว่า สมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เน่ืองจากพลเอกชาติชาย
ชณุ หะวัณ เป็นนายกท่ีมาจากการเลือกตั้ง และเป็นหัวหน้าพรรคเสียงข้างมากจัดต้ังรัฐบาล แต่ต้องเป็นรัฐบาล
ผสมหลายพรรค ซึ่งก็มปี ัญหาในการบริหารคณะรฐั มนตรมี ากพอสมควร
7. ภาพลกั ษณ์ของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นกันเองกับประชาชน และส่ือมวลชนมากและมี
คาพูดติดปากจนเปน็ เอกลกั ษณค์ ือ “ไม่มีปัญหา” (no problem)
8. การเมืองมีลักษณะเป็นธุรกิจการเมืองมากกว่าทุกยุค มีกลุ่มนักธุรกิจเข้ามาสนับสนุนทาง
การเมอื งและเขา้ มาเป็นนักการเมืองมากข้ึน (วาณิชยาธปิ ไตย) เนือ่ งจากการเลือกตง้ั มีการซ้อื สิทธิ์ขายเสยี งมาก
48 พันเอกประจักษ์ สว่างจิตร.นายทหารกลุ่มยังเติร์ก.เป็นผู้ให้คานิยาม เป็นผู้ให้คานิยามศัพท์ในการสรุปลักษณะของ
รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2521 ว่าเป็นประชาธิปไตยคร่ึงใบ หมายถึง การควบคุมอานาจและบทบาททางการเมืองของ ส.ส.ท่ีมาจาก
การเลอื กตง้ั โดยให้มีสมาชิกประเภทแต่งตั้งเป็นผู้คอยถ่วงดุลอานาจ โดยอาศัยบทบัญญัติของรัฐธรรมในการจากัดอานาจและ
บทบาท.
49คาสั่งสานักนายกรัฐมนตรที ี่ 66/2523 เรอื่ งนโยบายการต่อสเู้ พอ่ื เอาชนะคอมมวิ นสิ ต์” ลงนามโดย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
วันที่ 23 เม.ย. 2523 ภายหลงั ข้ึนดารงตาแหน่งนายกฯ ได้ไม่ถึง 2 เดือน สาระสาคัญของคาสั่งดังกล่าวเพ่ือใช้หลัก “การเมือง
นาการทหาร” ในการตอ่ สูก้ ับการแพร่ขยายของ “ลทั ธิคอมมวิ นิสต์”
*จุดเรม่ิ ต้นของแนวคิดการเมืองนาการทหารน้ีมีมาตั้งแต่สมัยที่ พล.อ.เปรม ยังครองยศพลตรีในตาแหน่ง รองแม่ทัพภาคที่ 2
ในปี 2517 หลายจังหวดั ในภาคอีสานเป็น พ้ืนท่ีสีแดง ชาวบ้านไม่ไว้ใจทหาร-ตารวจ แต่ไว้ใจคอมมิวนิสต์มากกว่า โดยหนึ่งใน
ทมี งานที่ร่วมวางยุทธศาสตร์การต่อสใู้ หม่ด้วยการดงึ ประชาชนและนักศึกษาที่เป็นแนวร่วมของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศ
ไทย (พคท.) ให้กลับมาเป็นแนวร่วมของทางราชการ มี พ.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ (ยศในขณะน้ัน) รวมอยู่ด้วย นอกจากน้ีรายช่ือ
นายทหารประชาธิปไตย ที่ร่วมผลักดันแนวความคิดดังกล่าวยังประกอบไปด้วย พล.ต.ปฐม เสริมสิน พ.อ.หาญ ลีนานนท์
พ.อ.เลศิ กนษิ ฐะนาคะ พล.ท.สณั ห์ จติ รปฏิมา พล.อ.สายหยุด เกดิ ผล เป็นตน้
- 65 -
9. มีการเล่นพรรคเล่นพวกมาก มีการคอรัปชั่นสูง (Corruption) มีการแสวงหาประโยชน์เพ่ือ
พรรคพวกและกล่มุ ของผู้นา และขา้ ราชการระดบั สูงอยา่ งกว้างขวาง จนทาใหเ้ กิดการวพิ ากษว์ ิจารณม์ าก
10. ขา้ ราชการการเมอื งเขา้ แทรกแซงข้าราชการประจามาก เชน่ เรอ่ื ง การโยกย้ายตาแหน่ง
11. ในด้านเศรษฐกิจ เศรษฐกิจขยายตัวมากกวา่ จนเรียกว่า .เศรษฐกิจแบบฟองสบู่ ราคาท่ีดินสูง
มากมกี ารเล่นหนุ้ มาก ธรุ กจิ อสงั หาริมทรัพย์ขยายตัวมากกวา่ ความตอ้ งการของผู้บริโภค มีนโยบายการเงินแบบ
เสรี หรือการกเู้ งินจากต่างประเทศในอัตราดอกเบ้ียที่ถูกมากเข้ามาขยายการลงทุนจนมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
ของประเทศไทยในระยะยาวในเวลาต่อมา
12. คนจนขายที่ดินในเมืองใหญ่ มีฐานะดีขึ้นจนกลายเป็น "เศรษฐีใหม่ ดังมีคากล่าวท่ีว่าคนจน
เล่นหวยคนรวยเล่นหุ้นนายทุนเล่นท่ี( ที่ดิน ) เศรษฐีนีเล่นทอง(ทองคา) ส่วนข้าราชการท่ีไม่มีอสังหาริมทรัพย์
กลายเปน็ "คนจนรุ่นใหม"่
สรปุ การเมืองไทยยคุ รสช. มีลักษณะดังตอ่ ไปนี้
1. คณะ รสช. ทาการยึดอานาจ (ปฏิวัติ) จากรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เม่ือวันที่ 23
กุมภาพันธ์ 2534 โดยมีพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ เป็นหัวหน้าคณะ รสช. พลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นรอง
หัวหน้าคณะ รสช. ซึง่ ระบเุ หตุผลในการยึดอานาจไว้ดงั น้ี คอื
1.1 มกี ารทุจริต และการคอรปั ชน่ั มากในบรรดารัฐมนตรีร่วมรฐั บาล
1.2 ข้าราชการการเมืองรงั แกข้าราชการประจา ประชาชนขาดศรัทธา
1.3 รฐั บาลเป็นเผด็จการทางรฐั สภา
1.4 มกี ารพยายามทาลายสถาบันทหาร
1.5 มกี ารบดิ เบอื นคดีลอบสังหาร ซ่งึ มีจดุ มงุ่ หมายล้มลา้ งสถาบันกษตั ริย์
2. คณะ รสช. ได้แต่งต้ังนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี และกาหนดให้มีการเลือกต้ัง
ท่ัวไปในวันท่ี 22 มีนาคม 2535 ประชาชนมีการต่ืนตัวทางการเมืองมากข้ึน มีการจัดตั้งองค์กรกลางในการ
เลอื กต้งั สือ่ มวลชนสนใจการเลือกต้งั มาก 3. ระบบการเมืองเป็นระบบเปิดมากข้ึน กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ
อาทิ นักศึกษา นักวิชาการนกั ธรุ กจิ ฯลฯ ออกมาแสดงความคดิ เห็นทางการเมืองอย่างกว้างขวาง
4. เมื่อเลือกต้ังเสร็จ ได้มีการเสนอช่ือนายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรมเป็น
นายกรฐั มนตรี แต่มกี ระแสการคดั ค้านวา่ พวั พนั กับธุรกิจที่ผิดกฎหมาย จนสหรัฐอเมริกางดวีซ่าเข้าประเทศ ผล
สุดทา้ ยก็มีการเสนอชอ่ื พลเอกสจุ ินดา คราประยูร เปน็ นายกรฐั มนตรี
5. พลเอกสจุ นิ ดา คราประยูร ยอมรบั คาเชญิ มาเป็นนายกรฐั มนตรี ทง้ั ๆ ที่คร้งั แรกบอกวา่ จะ
ไม่เป็นนายกฯ แตอ่ า้ งว่า "ยอมเสียสัตย์เพือ่ ชาติ"
6. เกิดการประท้วงของประชาชน (ชนช้ันกลาง) หรือ "ม้อบมือถือ" อาทิ นักธุรกิจ นักวิชาการ
ฯลฯ ออกมามีส่วนร่วมทางการเมืองจนเกิดการนองเลือด ช่วงวันท่ี 17 - 18 พฤษภาคม พ.ศ.2535 ที่เรียกว่า
"เหตกุ ารณ์พฤษภาทมิฬ" แต่วกิ ฤตการณ์ครั้งน้ันก็ได้สงบลงอย่างรวดเร็ว เพราะสถาบันกษัตริย์เข้ามาช่วยแก้ไข
สถานการณ์ เพ่อื ทาใหก้ ารเมอื งเข้าสภู่ าวะปกติ
7. พลเอกสุจินดา คราประยูร ลาออกจากตาแหน่งนายกรัฐมนตรี และ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์
ประธานสภาผแู้ ทนราษฎร กราบบงั คมทลู แต่งตัง้ นายอานนั ท์ ปนั ยารชนุ เปน็ นายกรฐั มนตรีอกี ครั้งหน่ึง
8. ต่อมามีการเลือกต้ังท่ัวไป (2536) พรรคประชาธิปัตย์ได้เสียงข้างมาก จึงเป็นแกนนาในการ
จัดตง้ั รัฐบาล และแต่งตง้ั นายชวน หลกี ภัย เปน็ นายกรฐั มนตรี
9. รฐั บาลนายชวน หลีกภัย เป็นรัฐบาลผสม เกิดความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคฝ่าย
ค้านขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี พรรคฝ่ายค้านโจมตีนโยบายปฏิรูปที่ดินของรัฐบาลที่ให้เอกสาร
สิทธิ์ สปก. 4-01 ไม่เป็นธรรม ผลปรากฏว่าเสียงสนับสนุนรัฐบาลไม่เพียงพอทาให้นายชวนหลีกภัย ต้อง
ประกาศยุบสภา เมอ่ื วันท่ี 19 พฤษภาคม พ.ศ.2538 โดยบรหิ ารงานได้เพยี ง 2 ปี 7 เดอื นเทา่ นั้น
- 66 -
10. มีการเลือกตั้งท่ัวไป เมือวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2538 พรรคชาติไทยได้เสียงข้างมาก จึงเป็น
แกนนาในการจัดตง้ั รฐั บาล แตเ่ ปน็ รัฐบาลผสมเชน่ เดิมมีนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี
11. นักวิชาการ และประชาชนวพิ ากษว์ จิ ารณ์กนั มากวา่ การเลือกต้ังคร้ังนี้เป็นการเลือกตั้งท่ีมีการ
ซื้อสิทธ์ิขายเสียงมากท่ีสุดในประวัติศาสตร์ของการปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทย หรือเรียกว่าเป็น
ลักษณะของ " ธนาธปิ ไตย" หรอื การใชเ้ งนิ ในการซื้อเสยี งมาก
12. ผู้ท่ีมีอายุ 18 ปี เริ่มมีสิทธิ์ไปลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง และเกิดปรากฎการณ์ทางการเมือง
หลายอย่าง อาทิ มี ส.ส. ย้ายพรรคการเมืองมาก นกั การเมืองหน้าเก่าหลายทา่ นสอบตกทางการเมือง
13. รัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นรัฐบาลที่มีการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินมาก เพราะมี
การอนุมัตโิ ครงการใหญ่ ๆ หลายโครงการ และเป็นช่วงที่มีวิกฤตการณ์น้าท่วมหลายจังหวัด และมีงานพระราช
พิธีต่าง ๆ หลายงาน รัฐบาลขาดเสถียรภาพ มีการปรับ ครม. หลายครั้ง และต่อมาพรรคฝ่ายค้านได้ขอเปิด
อภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล แต่เน้นท่ีตัวนายกรัฐมนตรี จนทาให้เกิดวิกฤติในสภา
จนกระท่ังนายบรรหาร ศิลปอาชา ประกาศว่าจะลาออก แต่ขอเวลา 7 วันจึงจะลาออก ทาให้พรรคร่วมรัฐบาล
ที่มีเสียงรองลงไปเตรียมพร้อมท่ีจะเสนอช่ือนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่ก่อนจะถึงกาหนด นายบรรหาร ศิลป
อาชา ก็ประกาศยบุ สภาเพือ่ คืนอานาจให้กับประชาชน
14. มีการเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้งหน่ึงในปลายปี พ.ศ.2539 พรรคที่ได้เสียงข้างมาก คือพรรค
ความหวงั ใหม่ ซงึ่ ไดจ้ ัดต้งั รฐั บาลผสม มีพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่รัฐบาลชุดนี้ก็เกิดปัญหา
ทางการเมืองและทางเศรษฐกิจมาก ดังน้ัน วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 รัฐบาลจึงประกาศให้ “ค่าเงินลอยตัว"
ส่งผลกระทบทาให้เกิดปัญหาในเร่ืองอัตราการแลกเปลี่ยน การเก็งกาไรจากค่าเงินบาท ธุรกิจต่าง ๆ ต้องหยุด
กิจการ ประเทศไทยต้องเข้าสู่เง่ือนไขของกองทุนเงินกู้ระหว่างประเทศ(IMF) มีการเปลี่ยน รมต.
กระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหลายคน ทาให้ชนช้ันกลางออกมาเคล่ือนไหวให้
นายกรัฐมนตรีลาออก ในท่ีสุดนายกรัฐมนตรีต้องยอมลาออก และมีการจัดต้ังรัฐบาลใหม่จากท้ัง 2 ข้ัวทาง
การเมือง ผลปรากฎว่าพรรคประชาธิปัตย์สามารถจัดตั้งคณะรัฐบาลได้ก่อน จึงแต่งตั้งให้นายชวน หลีกภัยเป็น
นายกรัฐมนตรีอีกครั้ง (เกดิ งเู หา่ รอบแรกโดยลูกพรรคประชากรไทยนาโดยนายวฒั นา อศั วเหม สนบั ปชป.)
15. รฐั บาลนายชวน หลกี ภยั ได้เขา้ มาแก้ปญั หาวิกฤตเศรษฐกิจ การปฏิรูปทางการเมือง โดยการ
ออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญหลายฉบับ โดยใช้เวลา 3 ปีเศษ แต่เศรษฐกิจก็ยังไม่ฟื้นตัวเท่าท่ีควร ส่วน
ก่อนจะส้ินสุดวาระของรัฐบาลชุดนี้ การเมืองไทยเร่ิมมีการหาเสียงเพ่ือการเลือกตั้งท่ัวไปในต้นปี พ.ศ. 2544
อยา่ งเขม้ ข้น
16. รัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาดารงตาแหน่งเม่ือเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2544 โดยเป็น
พรรคฝา่ ยรัฐบาลท่ีมเี สยี งขา้ งมากในสภา และมพี รรคประชาธิปัตย์ เปน็ พรรคฝา่ ยค้าน ต่อหลังจากนั้นก็ได้มีการ
เลือกต้ังสมัยท่ี 2 ทาให้พรรคไทยรักไทยได้เสียงข้างมาก แต่ไม่สามารถบริหารประเทศได้เน่ืองจากถูกกล่าวหา
ว่ามีการทุจริต ทาให้เกิดการต่อต้านจากหลายภาคส่วนกลายเป็นวิกฤติการณ์เมืองนาไปสู่การรัฐประหาร 19
กนั ยายน 2549
เหตกุ ารณ์รัฐประหาร 2549
เหตกุ ารณร์ ฐั ประหารยึดอานาจรฐั บาลรักษาการณ์ พ.ต.ท.ทักษณิ ชนิ วตั ร เมือ่ วนั ท่ี 19 กันยายน
2549 เป็นผลสืบเนื่องจากความขดั แย้งทางการเมืองท่ีเริ่มต้นตง้ั แตเ่ ดือนกนั ยายน 2548
จุดเร่มิ ตน้ อาจนับได้ตัง้ แต่การปลดรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” จากผังรายการของโมเดิร์นไนน์ทีวี
(ช่อง 9) ในเดือนกันยายน หลังมีความพยายามเปิดโปงและโจมตีปัญหาการคอรัปช่ันของรัฐบาลทักษิณ ทาให้
หนึ่งในผู้จัดรายการคือนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อต้ังหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ตัดสินใจจัดรายการในลักษณะ
“สัญจร” ในชื่อ “เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” เป็นคร้ังแรกในวันที่ 23 กันยายน 2548 ที่หอประชุมเล็ก
- 67 -
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรจัดต่อมาเรื่อยๆ โดยเปล่ียนแปลงสถานที่
อีกหลายครง้ั คร้ังสาคัญคือครั้งท่ี 6 ที่สวนลุมพินี มีผู้เข้าร่วมถึงหลักหมื่นและมีการประกาศจุดยืนขับไล่รัฐบาล
อยา่ งชัดเจน
11 พฤศจิกายนปีเดียวกัน นายสนธิ ล้ิมทองกุล นาประชาชนท่ีชุมนุมประท้วงหลายหมื่นคนบริเวณ
ลานพระบรมรูปทรงม้ากล่าวถวายสัตย์ปฎิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ถวายคืนพระราชอานาจ”
และ “พระราชทานผู้นาในการปฏิรูปการเมือง” โดยอ้างมาตรา 7 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พทุ ธศักราช 2540 ทวี่ ่า
“ในเม่ือไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีน้ันไปตามประเพณีการ
ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมุข”
นอกจากน้ียงั เรยี กร้องให้ทหารแสดงจุดยืนทางการเมืองระหวา่ งการประท้วงในคนื วันที่ 4 ต่อเน่อื งถึง
รุ่งเชา้ วนั ที่ 5 กมุ ภาพนั ธ์ 2549 โดยเข้าพบ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผ้บู ญั ชาการทหารบกเรียกร้องให้ “ทหาร
ออกมายนื ข้างประชาชน” กอ่ นจะสลายการชุมนมุ ในเวลาต่อมา
10 กุมภาพันธ์ มีการเปิดตัว “พันธมิตรประชาชนเพ่ือประชาธิปไตย” เป็นองค์การนาในการชุมนุม
ต่อต้านรัฐบาล หลังจากนั้นก็มีการชุมนุมเป็นระยะ ช่วงนั้น นักวิชาการ นักหนังสือพิมพ์ องค์กรพัฒนาเอกชน
กลุ่มพลังทางการเมืองต่างๆ ได้ออกมาให้ความเห็นเก่ียวกับความเหมาะสมของการใช้มาตรา 7 ในการขอ
นายกรฐั มนตรพี ระราชทาน
ในที่สุดท่ามกลางสถานการณ์ท่ีส่อเค้าว่าจะเกิดความรุนแรง นายกรัฐมนตรีได้ประกาศยุบสภาและจัด
ให้มกี ารเลือกตัง้ ทว่ั ไปในวนั ที่ 2 เมษายน 2549
พรรคประชาธิปัตย์งดส่งผู้สมคั รแขง่ ขันในการเลือกตัง้ ครัง้ โดยอา้ งว่ากระช้นั ชดิ เกนิ ไป นอกจากน้ี
พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ยังมพี ระราชดารัสกบั คณะผู้พิพากษาในวนั ท่ี25 เมษายน 2549 ความวา่
“ข้าพเจ้ามีความเดือดร้อนมาก ที่เอะอะอะไร ก็ขอพระราชทานนายกฯ พระราชทาน ซึ่งไม่ใช่การ
ปกครองแบบประชาธิปไตย ถา้ ไปอา้ งมาตรา 7 ของรฐั ธรรมนญู เปน็ การอ้างที่ผิด มันอ้างไม่ได้” และมีพระราช
ดารัสให้ศาลจัดการปัญหาการเมือง ต่อมา 8 กรกฎาคม 2549 ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การเลือกต้ังคร้ังน้ีเป็น
โมฆะโดยหนงึ่ ในเหตุผลของศาลนน้ั ชว้ี ่ากรรมการการเลือกตั้งจัดวางคูหาเลือกต้ังในลักษณะส่อให้เกิดการทุจริต
ในการลงคะแนนส่งผลให้มีคะแนนโนโหวตถึง 9.5 ล้านคะแนน ทาให้ต้องกาหนดวันเลือกตั้งใหม่เป็น 15
ตุลาคม 2549
ก่อนการเลือกต้ังคร้ังใหม่ มีเหตุการณ์สาคัญท่ีส่อถึงการเตรียมรัฐประหารเกิดขึ้นหลายคร้ัง อาทิ วันที่
19 กรกฎาคม 2549 พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ออกคาสั่งโยกย้ายนายทหารระดับคุมกาลังจานวน 129
นาย และสนธิ ลิ้มทองกลุ ได้ประกาศจะชมุ นุมใหญอ่ กี คร้งั ในวันท่ี 20 กันยายน ในขณะที่ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลก็
ประกาศระดมพลชุมนุมเชน่ กัน
ในทส่ี ดุ 19 กันยายน 2549 ช่วงเชา้ พ.ต.ท. ทกั ษิณ ชนิ วตั ร รกั ษาการนายกรัฐมนตรซี งึ่ อยรู่ ะหว่างร่วม
การประชุมสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา มีคาสั่งให้ผู้บัญชาการ
เหล่าทัพเข้าประชุมกับคณะรัฐมนตรีที่ทาเนียบรัฐบาล แต่ไม่มีผู้นาเหล่าทัพคนใดร่วมประชุมทาให้เกิดข่าวลือ
แพร่สะพัดว่าจะเกิดการรัฐประหาร ต่อมาช่วงหัวค่าก็ปรากฎการเคลื่อนกาลังทหารและรถถังเข้ามาใน
กรงุ เทพมหานคร
เวลา 22.00น. พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศใช้พระราชกาหนดการบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์
ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพมหานครผ่านสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี (ช่อง 9 อ.ส.ม.ท.) ปลดพลเอกสนธิ บุญย
รตั กลนิ จาก ผบ.ทบ.แต่งตง้ั พล.อ. เรอื งโรจน์ มหาศรานนท์ ผบู้ ญั ชาการทหารสูงสุดให้ควบคุมสถานการณ์ แต่
ระหว่างประกาศคาส่ัง สัญญาณก็ถูกตัดเนื่องจากกาลังทหารเข้าควบคุมสถานีไว้ได้ ส่วนโทรทัศน์ช่องอ่ืน
- 68 -
รายการตามปรกติถูกงดออกอากาศ มีการเปิดเพลงและฉายภาพยนตร์เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระ
เจา้ อย่หู วั แทน
ขณะนนั้ รถถงั จานวนหนึง่ เข้าคมุ จุดสาคัญต่างๆ ในกรุงเทพฯ อาทิ ทาเนียบรัฐบาล สถานีโทรทัศน์ช่อง
ตา่ งๆ ถนนราชดาเนิน บ้านพกั ของ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ลานพระบรมรูปทรงม้า โดย
ทหารเหล่านี้ผูกริบบ้ินสีเหลอื งเอาไวท้ ี่แขนเสอื้ และปลายปนื
เวลา 23.00 น. โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยเผยแพร่แถลงการณ์ยึดอานาจของคณะ
ปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) มี พล.ต.ประพาศ
ศกุนตนาค อดีตโฆษกสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 เป็นผู้อ่านใจความว่า“เนื่องด้วยขณะน้ีคณะปฏิรูปการ
ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพ
และผู้บัญชาการตารวจแหง่ ชาติ ไดเ้ ข้าควบคุมสถานการณ์ในเขตพ้นื ท่ีกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลไว้ได้แล้ว
โดยไมม่ กี ารขดั ขวาง เพอื่ เป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองจึงขอความร่วมมือประชาชนในการให้
ความร่วมมือและอยู่ในความสงบ และขออภัยในความไมส่ ะดวกมา ณ ทน่ี ี้ด้วย”
อกี ด้าน ที่สหรัฐอเมรกิ า นายสรุ เกยี รติ์ เสถยี รไทย รฐั มนตรีวา่ การกระทรวงการตา่ งประเทศให้
สมั ภาษณส์ ถานโี ทรทัศน์ CNN ว่ามที หารกล่มุ หนึ่งพยายามทารฐั ประหารจงึ ต้องประกาศสถานการณ์ฉกุ เฉิน
ขณะน้ีควบคมุ สถานการณไ์ วไ้ ดแ้ ลว้
เวลา 23.50 น. สถานการณ์ชัดเจนข้ึนเมื่อมีประกาศ คปค. ฉบับท่ี 1 ช้ีแจงเหตุผลยึดอานาจว่า “การ
บรหิ ารราชการแผน่ ดินโดยรกั ษาการณร์ ฐั บาลปจั จุบนั ได้ก่อให้เกดิ ปญั หาความขัดแย้ง แบ่งฝ่าย สลายความรู้รัก
สามคั คขี องคนในชาติอยา่ งไมเ่ คยปรากฎมากอ่ น ประชาชนเคลอื บแคลงสงสัยการบริหารราชการแผ่นดินอันส่อ
ไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง หน่วยงาน องค์กรอิสระถูกครอบงาทางการเมือง ไม่สามารถ
สนองตอบเจตนารมณ์ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ตลอดจนหมื่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่ง
องค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นท่ีเคารพเทิดทูนของปวงชนชาวไทยอยู่บ่อยครั้ง แม้หลายภาคส่วนสังคมจะได้
พยายามประนปี ระนอมคลค่ี ลายสถานการณม์ าโดยต่อเนื่องแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะทาให้สถานการณ์ความ
ขัดแยง้ ยุติลงได้
“ดังน้ันคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขซึ่ง
ประกอบดว้ ยผู้บัญชาการเหล่าทพั และผ้บู ญั ชาการตารวจแหง่ ชาติ จงึ มคี วามจาเปน็ ตอ้ งยึดอานาจการปกครอง
แผ่นดินตั้งแต่บัดน้ีเป็นต้นไปโดยคณะปฎิรูปการปกครองฯ ขอยืนยันว่าไม่มีเจตนาท่ีจะเข้ามาเป็นผู้บริหาร
ราชการแผ่นดินเสียเองแต่ได้คืนอานาจปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทร งเป็นประมุข
กลับคืนสู่ปวงชนชาวไทยโดยเร็วที่สุด ทั้งน้ีเพ่ือธารงรักษาไว้ซ่ึงความสงบสุขและความมั่นคงของชาติ รวมท้ัง
เทิดทูนไว้ซ่ึงสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นท่ีเคารพยิ่งของปวงชนชาวไทยทุกคน” นอกจากนี้ยังประกาศกฎ
อัยการศกึ ทั่วราชอาณาจกั ร
เวลา 00.19 น. มีแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยว่าพระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. พล.ร.อ. สถิรพันธ์ุ เกยานนท์ ผู้
บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) พล.อ.อ. ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) และพล.อ. เปรม
ติณสูลานนท์ รัฐบุรุษและประธานองคมนตรีเข้าเฝ้าฯ ณ พระตาหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิตเพ่ือ
กราบบังคมทูลรายงานสถานการณ์บ้านเมือง (เหตุการณ์นี้ภายหลังมีการเผยแพร่ภาพน่ิง และภาพเคล่ือนไหว
ซึ่งไม่สามารถฟงั พระสุรเสยี งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั ทต่ี รัสกบั พล.อ. สนธิ ไดอ้ ย่างชัดเจนออกมา)
คปค. ยังคงทยอยออกคาสั่งและประกาศเป็นระยะตลอดคืนจนถึงวันรุ่งขึ้นซึ่งถูกประกาศให้เป็น
วันหยุดราชการ ประกาศฉบับสาคัญคือให้ทหารทุกนายรายงานตัว ณ ต้นสังกัด ห้ามเคลื่อนย้ายกาลังโดย
เด็ดขาดและยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน (ฉบับที่ 2) ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2540 (ฉบับท่ี 3) ให้อานาจในการบริหารประเทศของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเป็นของ
- 69 -
หัวหน้า คปค. คือพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. (ฉบับท่ี 4) ห้ามการชุมนุมทางการเมือง (ฉบับที่ 7) ให้
กระทรวงเทคโนโลยีและการส่อื สาร(ไอซที )ี ควบคุมการเผยแพรข่ ้อมลู ในเครือข่ายการส่ือสารทัง้ หมด(ฉบับท่ี 10)
แต่งตัง้ ตาแหนง่ ตา่ งๆ ของ คปค. โดยให้ พล.อ.เรอื งโรจน์ มหาศรานนท์ ผบ.สส. เป็นประธานท่ีปรึกษา
คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) พล.อ.สนธิ บุญย-
รัตกลิน ผบ.ทบ. เป็นหัวหน้า คปค. พล.ร.อ. สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผบ.ทร. เป็นรองหัวหน้า คปค. คนท่ี 1
พล.อ.อ. ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. เป็นรองหัวหน้า คปค. คนที่ 2 พล.ต.อ. โกวิท วัฒนะ ผู้บัญชาการสานักงาน
ตารวจแห่งชาติ เป็นรองหัวหน้า คปค. คนท่ี 3 พล.อ.วินัย ภัททิยะกุล เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
(สมช.) เป็นเลขาธิการ คปค. (ฉบบั ท่ี 11)
เวลา 09.00 น. วันท่ี 20 กันยายน 2551 แกนนา คปค. แถลงข่าวทางสถานีโทรทัศน์เป็นคร้ังแรก
โดยมีพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถขนาดใหญ่
ต้ังอยู่เบ้ืองหลัง ย้าสาเหตุยึดอานาจและยืนยันว่าจะเร่งปฎิรูปการเมืองโดยเร็วท่ีสุด ช่วงบ่ายยังเชิญ
เอกอัครราชทูตและอุปทูตจากประเทศตา่ งๆ เข้าพบเพ่ือชี้แจงสถานการณ์ที่หอประชุมกิตติขจร กองบัญชาการ
กองทัพบก ถนนราชดาเนิน โดยมีการย้ากบั คณะทตู ว่าจะประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับช่ัวคราวภายใน 2 สัปดาห์
เพื่อใหม้ รี ัฐบาลพลเรือนโดยเร็วที่สุด
มีการเชิญสื่อมวลชนทุกแขนงท้ังไทยและต่างประเทศกว่า 400 คนเข้าซักถามโดยแถลงย้าว่าคณะ
รัฐประหารวางแผนยึดอานาจล่วงหน้าเพียง 2 วัน มีแผนยึดอานาจระยะส้ันเท่าน้ัน จากน้ันจะยกร่าง
รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวและแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีกับคณะรัฐมนตรีช่ัวคราวภายใน 2 สัปดาห์ จะจัดให้มีการ
เลือกตั้งใหม่ภายใน 1 ปี ส่วนการสอบสวนความผิดของ พ.ต.ท.ทกั ษณิ ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
ต่อเรื่องน้ี คปค. มีประกาศ (ฉบับท่ี 30) แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทาท่ีก่อให้เกิดความ
เสียหายแก่รัฐ (คตส.) ท้ังหมด 12 คน ประกอบด้วย นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน นายแก้วสรร อติ
โพธิ เลขานกุ าร นายสัก กอแสงเรือง โฆษกกรรมการทเี่ หลอื คือ นายกล้าณรงค์ จนั ทิก คุณหญงิ จารุวรรณ เมณ-
ฑกา นายจริ นิติ หะวานนท์ นายบรรเจิด สิงคะเนติ นายวิโรจน์ เลาหะพันธ์ุ นายสวัสดิ โชติพานิช นางเสาวนีย์
อัศวโรจน์ นายอุดม เฟื่องฟุ้งและนายอานวย ธันธรา มีหน้าท่ี “ตรวจสอบการดาเนินงานหรือโครงการท่ีได้รับ
อนุมัติหรือเห็นชอบโดยบุคคลในคณะรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีซึ่งพ้นจากตาแหน่งโดยผลของการปฏิรูปการ
ปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะเป็นไปโดย
ทุจริตหรือประพฤติมิชอบ” นอกจากน้ียังมีหน้าที่ตรวจสอบสัญญาสัมปทานหรือการจัดซื้อจัดจ้างของส่วน
ราชการ รัฐวิสาหกจิ หน่วยงานอ่นื ของรฐั ทม่ี ีเหตอุ นั ควรสงสัยวา่ จะมกี ารกระทาทเี่ อ้ือประโยชน์แก่เอกชนโดยมิ
ชอบ หรือมีการกระทาท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีการกระทาท่ีทุจริตหรือประพฤติมิชอบ ตรวจสอบการ
ปฏิบตั ริ าชการใดๆ ของเจ้าหนา้ ท่ีของรฐั ทมี่ ีเหตอุ นั ควรสงสยั วา่ จะมีการดาเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมี
การกระทาที่ทุจริตหรือประพฤติมิชอบ ตรวจสอบการการะทาของบุคคลใดๆ ที่เห็นว่าเป็นไปโดยไม่ชอบด้วย
กฎหมาย หรือหลีกเล่ียงกฎหมายว่าด้วยภาษีอากร อันเป็นการกระทาให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ โดยในกรณีที่
เห็นว่ามีหลักฐานอันควรเช่ือได้ว่ามีการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ มีพฤติการณ์ว่า มีบุคคลใดเกี่ยวข้องกับการ
ทุจริต หรือประพฤติมิชอบ หรือร่ารวยผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพ่ิมขึ้นผิดปกติ ให้คณะกรรมการตรวจสอบมี
อานาจสัง่ ยึด หรืออายดั ทรัพย์ที่เกยี่ วขอ้ งของผ้นู นั้ ค่สู มรส และบตุ รซึ่งยังไม่บรรลนุ ติ ภิ าวะของผนู้ นั้ ไว้ก่อนได้
คณะรัฐประหารบริหารประเทศด้วยการออก“ประกาศ คปค.” ฉบับต่างๆ อยู่ 10 วัน ถึง 1 ตุลาคม
2549 ก็ประกาศธรรมนูญปกครองประเทศชั่วคราวคือ “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)
พุทธศักราช 2549” โดยในรัฐธรรมนูญช่ัวคราวฉบับน้ีมีท้ังหมด 39 มาตรา มีการกาหนดให้ คปค. เป็น
ผู้รับผิดชอบงานด้านความมั่นคงทั้งหมดโดยเปลี่ยนสภาพเป็น “คณะมนตรีความม่ันคงแห่งชาติ” (คมช.) โดย
หัวหน้า คปค. จะดารงตาแหน่งประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ มีอานาจเป็นผู้สนองพระบรมราช
โองการแต่งต้ังนายกรัฐมนตรี ประธานสภาและรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ สมาชิกสมัชชาแห่งชาติ และ
- 70 -
คณะกรรมาธิการยกรา่ งรฐั ธรรมนูญฉบับถาวรทจี่ ะประกาศใชใ้ นเวลาต่อมา (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศกั ราช 2550)
มกี ารแต่งตง้ั ให้ พล.อ.สรุ ยทุ ธ์ จุลานนท์ ซ่ึงขณะน้ันดารงตาแหน่งองคมนตรีเป็นนายกรัฐมนตรี จากน้ัน
จงึ มกี ารแตง่ ตั้งคณะรัฐมนตรเี ขา้ บริหารประเทศ
ส่ือต่างประเทศได้เกาะติดสถานการณ์การรัฐประหารคร้ังน้ีและรายงานข่าวไปท่ัวโลก สานักข่าว
จานวนมากแสดงความประหลาดใจต่อเหตุการณ์ อาทิ BBC พาดหัวข่าวช่วงดึกวันท่ี 19 กันยายน 2549 ว่า
“ภาพเหนอื จริงบนท้องถนนของกรุงเทพฯ” (“Surreal scenes on streets of Bangkok”) เทเลกราฟ ระบุว่า
“รัฐประหารแบบคลาสสิก” (“Army mounts coup in Thailand”)
ส่วนสานักข่าวของสหรัฐอเมริกา CNN พาดหัวข่าวว่า “ผู้บัญชาการกองทัพไทยก่อรัฐประหารขณะ
นายกรัฐมนตรีอยู่ต่างประเทศ” (Thai army chief leads coup while prime minister away”) นิตยสาร
ไทมส์ ฉบบั ออนไลน์พาดหวั วา่ “รัฐประหารอันครน้ื เครงในประเทศไทย” ( “A festive coup in Thailand”)
วันรุ่งขึ้นยังมีการรายงานถึงผู้คนออกมาถ่ายรูปกับรถถัง มอบดอกไม้และอาหารให้ทหาร ช่ือคณะ
รัฐประหารยังถูกรายงานแตกตา่ งกันไปในสอ่ื ต่างประเทศ อาทิ เดอะการ์เด้ียน (The Guardian) แปลช่ือ คปค.
ว่า “Council of Administrative Reform” เอพี (Association Press) แปลแบบเดียวกับการ์เดี้ยนแต่ขยาย
ว่า “คณะปฏิรูปการปกครองอันมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเป็นประมุข” (“with king
Bhumibol Adulyadej as head of state”) อินเตอร์เนชั่นแนล เฮรัลด์ ทรีบูน (International Herald
Tribune) แปลว่า “คณะปฏิรูปการปกครองอันประกอบด้วยกองทัพและตารวจได้ยึดอานาจในพระนามของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช” (“a ‘Council of Administrative Reform’ including the
military and the police had seized power in the name of the King Bhumibol Adulyadej.”) และ
บางคร้ังยังแปลว่า “คณะปฏิรูปการปกครอง ซ่ึงมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้นา” ความสับสนเหล่าน้ี
ส่งผลให้คณะรัฐประหารเปล่ียนชื่อภาษาอังกฤษ Council for Democratic Reform under Constitutional
Monarchy (CDRM) ดว้ ยการตดั “under Constitutional Monarchy” ออกในเวลาตอ่ มา
หลังเหตุการณ์รัฐประหารมีการแสดงการสนับสนุนและต่อต้านจากหลายฝ่าย อาทิ นักธุรกิจนายหนึ่ง
พน่ สีทัว่ รถบีเอ็มดับเบิล้ ยูว่า “พล.อ.สนธิ วรี บุรุษชาวไทย” และ “กองทัพเพื่อประชาชน” ทั้งนี้เสียงนักธุรกิจใน
ประเทศไทยส่วนมากจะเป็นไปในลักษณะเห็นด้วย ยังมีกลุ่มสนับสนุนจากแวดวงวิชาการอาทิ นายเสน่ห์ จาม
ริก ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ขณะน้ัน) ท่ีกล่าวสนับสนุนอย่างชัดเจนว่า “อย่ามองว่ามัน
ถอยหลัง เพราะเราถอยหลังมาจนถึงจุดแล้วและรัฐธรรมนูญถูกต้อนเข้ามุม ดังน้ัน มันไม่ใช่เรื่องเดินหน้าหรือ
ถอยหลัง แต่เป็นเรื่องของการแก้สถานการณ์ ความจริงรัฐธรรมนูญถูกฉีกมาต้ังนานแล้ว ตั้งแต่ พ.ต.ท. ทักษิณ
ชินวัตร อดีตนายกรฐั มนตรีขึ้นมาบริหารประเทศ”
ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวต่อประเด็นการ
รัฐประหารว่า ผู้ท่ีรัฐประหารสาเร็จถือเป็น “องค์อธิปัตย์” โดยไม่กล่าวถึงความผิดตามท่ีรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
ว่าการรัฐประหารเป็นเร่ืองผิดกฎหมายแต่อย่างใด ว่าการได้อานาจนั้นเป็นการกระทาท่ีผิดกฎหมาย และเป็น
อันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นการใช้อานาจนอกระบบไม่ใช่วิถีทางระบอบประชาธิปไตย ทาให้
เกิดการบดิ เบือนหลักการสาคญั ของระบอบประชาธปิ ไตย
หลังจากน้ันก็มีความพยายามอธิบายความชอบธรรมของการรัฐประหารครั้งนี้จากนักวิชาการจานวน
มาก ส่วนเสียงฝ่ายต่อต้านปรากฏข้ึนต้ังแต่วันที่ 20 กันยายน 2549 เช่นกัน ในวันนั้น ร.ต. ฉลาด วรฉัตร และ
ทวี ไกรคปุ ต์อดตี สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรพรรคไทยรักไทย ประทว้ งท่บี ริเวณอนสุ าวรยี ป์ ระชาธิปไตยแต่ทั้งสอง
คนก็ถูกทหารรวบตัวข้ึนรถไป ต่อมา “เครือข่าย 19 กันยาต้านรัฐประหาร” เปิดตัวทากิจกรรมต่อต้านการ
รัฐประหารที่ด้านหน้าห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนในวันท่ี 22 กันยายน โดยไม่มีสถานีโทรทัศน์ช่องใดใน
ขณะน้นั รายงานขา่ วเรื่องนี้
- 71 -
25 กันยายน 2549 เวลา 17.00 น. มีการประท้วงท่ีลานหน้าตึกโดมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่า
พระจนั ทรแ์ ละจดั เสวนาในหวั ข้อ "ทาไมเราตอ้ งคดั คา้ นรฐั ประหาร" โดย "กลุ่มโดมแดง" และเครือข่ายนักศึกษา
มหาวิทยาลัยอ่ืนๆ เปน็ เวลา 1 ช่วั โมง
30 กันยายน เกิดเหตุการณ์แท็กซ่ีซ่ึงทราบชื่อผู้ขับภายหลังว่า นายนวมทอง ไพรวัลย์ พุ่งเข้าชนรถถัง
บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อประท้วงคณะรัฐประหารแต่ไม่ประสบความสาเร็จ (ต่อมานวมทองได้ผูกคอ
ตายประท้วงอีกคร้ังจนเสียชีวิตในวันท่ี 31 ตุลาคม 2549) ยังมีผลสารวจความเห็นของประชาชนจากสานักโพ
ลอย่าง “สวนดุสิตโพล” สอบถามประชาชนทั่วประเทศ 2,019 คน ในวันที่ 20 กันยายน 2549 พบว่า
ประชาชน 83.98% เห็นด้วยกับการรัฐประหารเน่ืองจากมองว่าการเมืองจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีข้ึน ส่วนท่ีไม่
เหน็ ด้วย มีมองวา่ ภาพลักษณ์ของประเทศอาจตกต่า
การรัฐประหารวันท่ี 19 กันยายน 2549 เป็นการ “รัฐประหาร” อันหมายถึงยึดอานาจ ล้มล้างรัฐบาล
เดิม และรฐั ธรรมนญู ฉบับเดิมแล้วต้ังรัฐบาลใหม่และร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาแทน มิใช่การ “ปฏิวัติ” ซ่ึง
หมายถงึ การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง
การรัฐประหารในวันท่ี 19 กันยายน 2549 เป็นการรัฐประหารคร้ังที่ 11 หลังไทยเปล่ียนแปลงการ
ปกครองเมื่อปี 2475 ทาให้การเลือกต้ังท่ัวไปท่ีวางไว้ในเดือนตุลาคม 2549 ถูกยกเลิก พ.ต.ท. ทักษิณ พ้นจาก
ตาแหน่งและเดินทางไปล้ีภัยการเมืองในต่างประเทศ รัฐธรรมนูญปี 2540 ถูกฉีก นามาสู่การประกาศใช้
รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทยฉบับช่ัวคราว พุทธศักราช 2549 มีการแต่งตั้ง พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็น
นายกรัฐมนตรี มีร่างรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช 2550 โดยผรู้ ่างส่วนใหญ่มาจากการแต่งตั้ง
ของคณะมนตรคี วามมน่ั คงแหง่ ชาติ ก่อนจะมกี ารทาประชามติและได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่
จนมีผลบงั คับใช้มาจนถงึ ปจั จุบัน ก่อให้เกดิ การเลือกตั้งเมื่อเดือนธนั วาคม 2550
การรัฐประหารคร้งั น้ยี ังคงสง่ ผลทางการเมอื งมาถึงปัจจุบนั คนไทยมีการแบ่งเป็นฝ่ายอาทิ กลุ่มต่อต้าน
ทักษิณท่นี าโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธปิ ไตย กลุม่ รกั ทกั ษิณทนี่ าโดยแนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
(นปช.) นอกจากสองกลมุ่ ใหญน่ ้ีแลว้ ยังมีกลุ่มท่ีต่อต้านรัฐประหารแต่ไม่เอาทักษิณ กลุ่มท่ีเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่าย
ใด ซง่ึ ไม่คอ่ ยถูกสือ่ มวลชนกลา่ วถงึ บอ่ ยนกั
การชุมนุมของกลมุ่ พนั ธมิตร ปี 2550
จากผลการเลือกตงั้ เมื่อวันที่ 23 ธนั วาคม พ.ศ. 2550 พบวา่ พรรคพลงั ประชาชนไดร้ ับเลือกมากท่ีสุด คือ
233 ทีน่ ัง่ สว่ นพรรคประชาธปิ ตั ยไ์ ด้อันดบั รองลงมา คือ 165 ทีน่ ั่ง นายสมคั ร สุนทรเวชเริ่มวาระดารงตาแหน่ง
นายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2551 และจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดแรกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ แต่ก็มี
ข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นรัฐบาลตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ฝ่ายพันธมิตรฯเองก็เร่ิมมองว่ารัฐบาลสมัครมี
พฤตกิ ารณ์ทีส่ อ่ ถึงความทุจริตหลายอย่าง เช่น การยกปราสาทเขาพระวิหารข้ึนทะเบียนเป็นมรดกโลกแต่เพียง
ฝา่ ยเดยี ว[81] และความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนญู เพื่อนิรโทษกรรมให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ
กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพ่ือประชาธิปไตยได้กลับมาชุมนุมอีกครั้ง นับต้ังแต่วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.
2551 เป็นต้นมา ต่อมา กลุ่มพันธมิตรได้ทาการ "ดาวกระจาย" ไปยังสถานท่ีต่าง ๆ ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นการทวง
ถามการตรวจสอบทุจริตในรัฐบาลทักษิณ รวมทั้งเร่งรัดคดีการทุจริตการเลือกต้ังของนายยงยุทธ ติยะไพรัช
[84] และเมือ่ วนั ท่ี 20 มิถุนายน พธม. ได้เคล่อื นกลุ่มผชู้ มุ นมุ 9 เสน้ ทางเพอ่ื ยึดพน้ื ท่ที าเนยี บรัฐบาล ก่อนท่ีกลุ่มผู้
ชมุ นมุ จะยา้ ยกลับไปยังสะพานมฆั วานรังสรรค์ หลังจากมีคาส่งั ของศาลแพง่ ใหเ้ ปดิ เส้นทาง จนกระท่ังนายสมัคร
ถูกศาลรฐั ธรรมนูญพิพากษาว่าผดิ รฐั ธรรมนูญในการทากบั ขา้ วออกโทรทัศน์ การเปน็ รัฐมนตรีจึงสิ้นสุดลง ทาให้
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้เข้ารับตาแหน่งแทน แต่ก็ต้องพบกับวิบากกรรมท่ีไม่สามารถเข้าทางานในทาเนียบ
รฐั บาลไดเ้ น่ืองจากถูกพันธมิตร ฯ เข้ายึด นาไปสู่เหตุกาณ์ 7 ตุลาคม 2551 ที่มีการสลายการชุมนุมนาไปสู่การ
เสียชวี ิตของผู้ชมุ นมุ จนเกิดการปฏวิ ัตหิ น้าจอจากเหลา่ ทัพนาโดยพลเอกอนุพงษ์ เผา่ จนิ ดา ให้รัฐบาลลาออก
- 72 -
การต้งั รัฐบาลอภิสิทธ์ิ
ภายหลังการพน้ จากตาแหนง่ ของสมชาย วงษส์ วัสดิ์ จากผลการถกู ยุบพรรคพลังประชาชน ต่อได้มีการ
ลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ผลปรากฏว่านายอภิสิทธ์ิ เวชชาชีวะ ได้รับคะแนนเสียงมากกว่า พล.ต.อ.ประชา
พรหมนอก ทาให้การเมืองพลิกขั้ว พรรคประชาธิปัตย์ได้จัตตั้งรัฐบาลผสม จากเดิมท่ีเป็นฝ่ายค้านในรัฐบาล
ทักษิณ สมัครและสมชาย ในขณะท่ีพรรคเพื่อไทย ซ่ึงส่วนใหญ่ประกอบนักการเมืองเดิมจากพรรคพลัง
ประชาชน รัฐบาลเก่า กลายเป็นฝ่ายค้านแทน โดยมีรายงานอย่างกว้างขวางว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
ผู้บัญชาการทหารบก บีบบังคับให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคพลังประชาชนย้ายมาอยู่กับพรรค
ประชาธปิ ัตย์ จึงเกดิ นานงเู ห่ารอบสองการเปน็ รฐั บาลของพรรคประชาธิปัตย์ถูกมองวา่ เปน็ รัฐบาลในค่ายทหาร
การประทว้ งและเหตกุ ารณ์เมษายน 2552
เดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ถ่ายทอดภาพมายังกลุ่มผู้สนับสนุน และกล่าวอ้างว่า
ประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม เป็นผู้อยู่เบ้ืองหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2549 และองคมนตรีบางท่าน คือ พล.อ.
สุรยุทธ์ และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ได้ใช้อานาจทหารค้าตาแหน่งของนายอภิสิทธ์ิ ทาให้กลุ่มผู้สนับสนุน
พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการให้บุคคลดังกลา่ วลาออกทงั้ หมด
เมื่อวันท่ี 7 เมษายน รถของนายอภิสิทธิ์ถูกกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ทุบจนกระจกแตก แต่นาย
อภิสิทธ์ิสามารถหลบหนีไปได้ ในวันต่อมา กลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มการชุมนุมคร้ังใหญ่ โดยมี
ผู้เข้าร่วมกว่า 100,000 คน และรวมตัวกันบริเวณทาเนียบรัฐบาลและรอยัลพลาซา การชุมนุมดังกล่าวได้
ขยายตัวไปยังพัทยาซ่ึงเป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดผู้นาเอเชียตะวันออก คร้ังท่ี 4 ในขณะที่เดินทางไปยัง
สถานท่ีประชุมนั้น กลุ่ม นปช. ได้มีการปะทะกับกลุ่มคนเสื้อน้าเงิน แต่ในท่ีสุด กลุ่ม นปช. ก็สามารถบุกเข้า
สถานทป่ี ระชมุ และทาให้การประชมุ ถูกยกเลกิ นายอภิสิทธิ์จึงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในจังหวัดชลบุรี เม่ือ
วันที่ 11 เมษายน แต่ก็ไดป้ ระกาศยกเลกิ ในวนั เดียวกนั ในขณะท่ีมีคนออกความเห็นว่า การเคล่ือนไหวของคน
เสื้อแดง โดยเฉพาะการบุกล้มการประชุมอาเซียนนั้น ทาให้รัฐบาลเสียความน่าเช่ือถือในสายตาประชาคม
โลก อกี ทั้งยังสรา้ งความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ การประท้วงเร่ิมลุกลาม
ในเขตกรงุ เทพมหานคร จนเกิดเหตุปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งฝ่ายต่อต้านและฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล และ
ประชาชนผู้อยู่อาศัยท่ัวไป จนนายอภิสิทธ์ิต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงเทพมหานครและพื้นท่ี
โดยรอบอีกแห่งหนึ่ง และมีการกล่าวว่า "ถ้าใครมีความยินดีท่ามกลางความเสียหายของประเทศ จะถือว่าเป็น
ศัตรขู องชาต"ิ นอกจากน้ี นายอภิสิทธิ์ยังออกพระราชกฤษฎีกาให้อานาจแก่รัฐบาลในการเซ็นเซอร์การแพร่ภาพ
ทางโทรทัศน์
เม่ือวนั ท่ี 12 เมษายน 2552 ไดม้ ีการจับกุมแกนนา นปช. ซึ่งบุกสถานที่ประชุมการประชุมสุดยอดผู้นา
เอเชียตะวันออก เป็นวันเดียวกับที่กระทรวงมหาดไทย ได้ถูกปิดล้อมโดยกลุ่มผู้ชุมนุม และทุบทาลายรถของ
นายอภสิ ทิ ธแิ์ ละรัฐมนตรบี างคนระหวา่ งเดินทางออก แตก่ ส็ ามารถหลบหนีออกมาได้ หลังจากน้ัน กลุ่มผู้ชุมนุม
ไดก้ ีดขวางบริเวณทาเนยี บรัฐบาล สถานท่รี าชการทีส่ าคญั และเสน้ ทางการจราจรทั่วกรงุ เทพมหานคร
วันที่ 13 เมษายน 2552 ทหารในเคร่ืองแบบเต็มชุดได้สลายการชุมนุมที่แยกดินแดง ใกล้กับอนุสาวรีย์
ชยั สมรภมู ิ มีผู้ได้รบั บาดเจ็บราว 70 คน ส่วนทางกลุม่ นปช. ไดม้ ีการกลา่ วอ้างว่ามีผู้เสียชีวิต 1 คน จากกระสุน
ปนื ของทหาร สว่ นฝ่ายกองทัพไดอ้ อกมาปฏิเสธ ในวันเดียวกันยังได้มีการปิดสถานีดีสเตชัน และวิทยุชุมชนบาง
แหง่ เนอ่ื งจากต้องสงสยั วา่ สนบั สนุนกลุ่มนปช. เหตปุ ะทะกันยังคงมขี ึน้ ในหลายจดุ ของกรงุ เทพมหานคร และได้
มีหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ และแกนนา นปช. อีก 13 คน ในช่วงดึก ได้มีกลุ่มคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวชุมชน
นางเล้งิ ปะทะกบั กลุม่ คนเสอ้ื แดงจนชาวชุมชนนางเลิ้งเสียชีวติ 2 คนจากกระสนุ ปืน
ในวันที่ 14 เมษายน 2552 แกนนา นปช. หลายคนยอมมอบตัว การชุมนุมจึงสงบลง แม้ว่าผู้ชุมนุม
บางส่วนจะยังคงชุมนุมกันต่อไป สถานการณ์ฉุกเฉินมีผลจนถึงวันท่ี 24 เมษายน นายกรัฐมนตรีจึงประกาศ
- 73 -
ยกเลกิ สาหรับตัวเลขผูเ้ สยี ชีวติ และผูไ้ ดร้ บั บาดเจ็บ รัฐบาลระบุว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บประมาณ 120 คน ระหว่าง
การชุมนุม ในเวลาต่อมา ได้พบศพ นปช. 2 คน ลอยตามแม่น้าเจ้าพระยา ซ่ึงทางตารวจสรุปว่าเป็นการ
ฆาตกรรมดว้ ยชนวนเหตุทางการเมือง กลุ่มนปช. กล่าวอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 6 คน แต่ศพได้ถูกฝ่ายทหาร
เอาไปซ่อน แตท่ างกองทพั ปฏเิ สธ
เหตกุ ารณท์ างการเมอื งปี 2553
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ศาลฎีกาแผนกผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองมีคาพิพากษายึดทรัพย์มูลค่า 46,000
ล้านบาทของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เย็นวันท่ี 27 กุมภาพันธ์ ระเบิดเอ็ม 67 ถูกโยนมาจาก
มอเตอร์ไซค์ด้านนอกธนาคารกรุงเทพสามสาขา ต้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 กลุ่มผู้ประท้วง นปช. ได้มา
บรรจบกันท่ีกรุงเทพเพ่ือแสดงความต้องการให้นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศเลือกตั้งใหม่ การ
เคลื่อนไหวดังกล่าว นาโดย นปช. ประกอบด้วยกลุ่มผู้สนับสนุนประชาธิปไตย กลุ่มผู้สนับสนุนอดีต
นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ต่อมา ได้มีการประท้วงโดยการรับบริจาคเลือดของผู้ชุมนุมไปเทด้านนอกของ
บา้ นพกั นายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นเม่ือวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 โดย
ผู้ชุมนุมได้เข้ายึดสถานีเผยแพร่โทรทัศน์ ทาให้นายกรัฐมนตรีกล่าวให้สัญญาว่าจะฟื้นฟูประเทศให้กลับคืนสู่
ภาวะปกติ วันท่ี 11 เมษายน การปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมและทหารทาให้มีผู้เสียชีวิต 18-19 คน (ใน
จานวนนี้มีทหาร 1 นาย) และอีกมากกว่า 800 คน ได้รับบาดเจ็บ เมื่อวันท่ี 15 เมษายน ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น
เป็น 24 ศพ ความตึงเครียดยังดาเนินต่อไป เมื่อมีการชุมนุมสนับสนุนรัฐบาลปรากฏขึ้นพร้อมกับการชุมนุม
ต่อต้านรัฐบาล วันที่ 22 เมษายน เหตุระเบิดหลายครั้งในกรุงเทพมหานครทาให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 คน
และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกมากกว่า 85 คน ในจานวนน้ีมีชาวต่างชาติ 4 คนรวมอยู่ด้วย เหตุระเบิดบางส่วน
เกดิ ข้ึนจากระเบิดมอื รฐั บาลกลา่ วหาว่าพฤติการณด์ งั กลา่ วมาจากท่พี ักของกลมุ่ คนเสื้อแดง คากล่าวหาดังกล่าว
ได้รับการปฏิเสธอย่างชัดเจนจากผู้นาการชุมนุม ผู้ซึ่งสงสัยว่าอาจเป็นแผนการท่ีเตรียมไว้เพ่ือสร้างความชอบ
ธรรมในการใชค้ วามรุนแรงกบั การชุมนุมโดยสงบ
วันท่ี 3 พฤษภาคม 2553 นายกรัฐมนตรีประกาศว่าเขามีความต้องการจะจัดการเลือกต้ังในวันท่ี 14
พฤศจกิ ายน ซ่ึงในวนั รงุ่ ขึน้ ผู้นาการชุมนุมประกาศยอมรับข้อเสนอท่ีจะยุติการชุมนุมเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไป
ตามแผนกาหนดเดิม แต่ได้มีการเสนอรายละเอียดของแผนเพ่ิมเติม เมื่อปรากฏชัดเจนแล้วว่าจะไม่มี
กระบวนการทางกฎหมายดาเนนิ คดีกบั ผ้นู าบางคนในรฐั บาลอภสิ ิทธทิ์ ม่ี ีสว่ นรบั ผดิ ชอบตอ่ เหตุการณ์สังหารกลุ่ม
ผ้ชู ุมนมุ ที่ไม่มอี าวธุ การชุมนมุ จึงดาเนนิ ต่อไป
วนั ที่ 14 พฤษภาคม 2553 ตารวจและทหารพยายามที่จะล้อมและตัดที่พักหลักของกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งทา
ให้มีการปะทะกับกลุ่มคนเส้ือแดงและมีผู้เสียชีวิต 10 คน และได้รับบาดเจ็บอีก 125 คน รวมท้ังผู้สื่อข่าว
ต่างชาติบางคน วันเดียวกัน นายทหารนอกราชการ พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล ถูกยิงด้วยปืนไรเฟลซุ่มยิงระหว่าง
ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติ วันรุ่งข้ึน ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 24 ศพ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 175 คน ผู้นา
การชุมนุมเตือนว่า เหตุการณ์ดังกล่าวอาจปะทุขึ้นเป็นสงครามกลางเมืองได้ ทหารได้ตั้งเขตกระสุนจริงข้ึนใกล้
กับกล่มุ ผชู้ ุมนมุ และยงิ ทกุ คนในพ้นื ท่ที ี่พบเห็น
จนถึงวันที่ 16 พฤษภาคม จานวนผู้ท่ีเสียชีวิตจากการปะทะกันตามท้องถนนเพิ่มข้ึนเป็น 35 ศพ โดยใน
จานวนนี้ 1 ศพเป็นทหาร ไดม้ ีการประกาศสถานการณ์ฉกุ เฉนิ เพ่ิมในอีก 5 จังหวัดเพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุม
จากต่างจังหวดั เดินทางเข้ามายงั กรงุ เทพมหานครเพม่ิ เติม
วันที่ 19 พฤษภาคม กองทัพ พร้อมรถลาเลียงหุ้มเกราะเข้าโจมตีค่ายผู้ชุมนุม ซ่ึงทาให้มีผู้เสียชีวิต 11
คน และผู้สื่อข่าวชาวอิตาลี 1 คน ผู้นากลุ่มคนเส้ือแดงทั้งหมดยอมมอบตัวหรือพยายามหลบหนี ได้เกิดเหตุ
จลาจลท่วั กรุงเทพมหานครเม่ือกลมุ่ ผู้ชุมนมุ ถกู บีบบงั คับใหอ้ อกจากค่าย ได้มีการวางเพลิงซึ่งทาลายศูนย์การค้า
- 74 -
เซ็นทรัลเวิลด์และอาคารอ่ืน ๆ ยอดความสูญเสียทั้งหมดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม อยู่ที่ 85 ศพ และมี
ผูไ้ ด้รับบาดเจบ็ 1,378 คน
การเลือกต้ังปี 2554
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการท่ัวไป พ.ศ. 2554 เป็นการเลือกตั้ง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการท่ัวไปคร้ังที่ 24 ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
2550 กาหนดให้มีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ตามความในพระราชกฤษฎีกายุบสภา
ผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2554 ที่ให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรเสีย ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2554 การเลือกต้ังคร้ังนี้มีข้ึน
ในห้วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนารัฐบาล อันประกอบด้วยพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค และได้มีการ
ชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติอย่างต่อเน่ือง นับต้ังแต่ พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา
คะแนนนิยมของรัฐบาลลดต่าลงอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าเป็นสาเหตุที่ทาให้ต้องมีการเลือกต้ังก่อนสภา
ผู้แทนราษฎรจะครบวาระ มีผู้มีสิทธ์ิเลือกตั้งออกมาใช้สิทธิ์ทั้งสิ้น 75.03% จากจานวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
46,921,682 คน พรรคท่ีได้รับเลือกต้ัง ส.ส.แบบบัญชีรายช่ือมากที่สุดคือพรรคเพื่อไทย 15,744,190คะแนน
และรองลงมาคือ พรรคประชาธิปัตย์ 11,433,501 คะแนน โดยผู้ใช้สิทธ์ิเลือกพรรคเพื่อไทย คิดเป็น 44.72%
ของจานวนผู้ท่ีออกมาเลือกต้ังในปี 2554 ผลปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยได้ที่นั่งผู้แทนราษฎรเกินก่ึงหนึ่ง 265 ที่
นัง่ นับเปน็ ครั้งที่สองในรอบทศวรรษท่ีมีพรรคการเมืองได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหน่ึงในสภาผู้แทนราษฎร และ
ย่งิ ลักษณ์ ชินวตั รเป็นว่าท่ีนายกรัฐมนตรีหญงิ คนแรกของประเทศไทย ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นพรรคฝ่าย
ค้านหลัก โดยได้ทีน่ ั่งผ้แู ทนราษฎร 159 ที่นง่ั
เหตกุ ารณ์ทางการเมอื ง ปี 2556
การปรับ ครม.
นรม.ได้ปรับครม.ถึง 20 ตาแหน่ง มี รมต.ที่ถูกปรับออก 12 คน ผู้ที่เข้ามาใหม่ 12 คน และปรับย้าย 4
คน โดยตวั นรม.น้ันควบ รมว.กห.อีกตาแหนง่ หนงึ่ การปรบั คร้ังน้ไี ด้เกิดผลกระทบต่อรัฐบาล 3 ประการคอื
ร.ต.อ.เฉลิมฯ ซึ่งถูกลดบทบาทให้มาเป็น รมว.แรงงานออกมาให้สัมภาษณ์เสียดสี นรม. และกล่าวหา
พ.ต.อ.ทวี สอดสอ่ งเป็นผทู้ ีอ่ ยู่เบ้ืองหลงั ทีท่ าให้ตนเองถูกปรบั ยา้ ยในครั้งนี้
นายจุตพร พรหมพันธ์ และ นายวรชยั เหมะ ส.ส.สมทุ รปราการออกมาให้สัมภาษณ์ในลักษณะว่ารัฐบาล
ให้ความสาคัญกับคนอื่นมากกว่าคนท่ีได้ร่วมต่อสู้กันมาซึ่งขณะนี้ยังมีคนเสื้อแดงติดคุกอยู่ และยังไม่ได้รับการ
ช่วยเหลือ ทาให้ส.ส.กลุ่มอีสานของพรรคเพื่อไทยซ่ึงมีจานวนร้อยกว่าคน มากกว่าส.ส.ภาคอื่น รู้สึกผิดหวังที่
ไมไ่ ด้รับการปรบั เพ่มิ แตก่ ลบั ถูกปรบั ออกอกี 1 คน
สาหรับการที่ นรม.ควบตาแหน่ง รมว.กห.แทน พล.อ.อ.สุกาพลฯ ที่ค่อนข้างจะมีภาพลักษณ์ที่เผด็จการ
โดยให้ พล.อ.ยุทธศักด์ิฯ ซ่ึงเป็นผู้ท่ีมีบุคลิกในการประนีประนอมมาเป็น รมช.กห. นับเป็นส่ิงบอกเหตุช้ีชัดว่า
ปัจจุบัน ผบ.สส. และ ผบ.ทบ. มีความสัมพันธ์ที่ดีระดับหน่ึงกับ นรม. ดังน้ันทั้ง 2 คนคงจะอยู่ในตาแหน่งเดิม
ต่อไปในปีหน้าซึ่ง พล.อ.ยุทธศกั ด์ฯิ ไดอ้ อกมาใหส้ ัมภาษณ์การนั ตไี วแ้ ลว้
2. ปญั หาที่รัฐบาลกาลังเผชิญหน้ามี 3 ประเด็นใหญ่ ไดแ้ ก่
หนง่ึ ปญั หาการจานาขา้ ว ก้เู งิน 3.5 แสนล้านบาทในโครงการแกป้ ญั หานา้ ท่วม และ กู้เงิน 2.2 ล้านล้าน
บาทในโครงการพัฒนาประเทศโดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงซึ่งใช้เงินมากที่สุด แต่ไม่มีความคุ้มค่า
เพราะไปแค่เชยี งใหม่ โคราชและหัวหนิ ไมไ่ ดเ้ ชอ่ื มต่อกับประเทศใดเลย ปัญหาดังกล่าวจะมีการวิพากษ์วิจารณ์
โต้เถียงกันในแง่มุมการตีความด้านกฎหมาย ข้อบกพร่องของ รมต. และข้าราชการที่ดาเนินงาน รวมท้ังการ
คอรัปช่ัน
- 75 -
สอง ปัญหาความเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนนอกสภาท่ีเร่ิมขยายตัวออกเป็นหลายกลุ่ม และเมื่อเกิด
เหตกุ ารณป์ ฏวิ ตั ใิ นอยี ิปต์ ทาใหแ้ กนนามวลชนบางคนคิดทจี่ ะวางแผนเดนิ งานให้มีการขยายพลังมวลชนออกมา
กดดันต่อรัฐบาลให้มากท่ีสุด แบบมวลชนอียิปต์จนกระท่ังเกิดความวุ่นวาย เพื่อให้กองทัพต้องออกมา
เคล่ือนไหวแต่แค่เร่ิมต้นกลุ่มหน้ากากขาวก็เกิดปัญหาแล้วเพราะมีหลายคนที่ต้องการช่วงชิงเป็นหัวหน้ากลุ่ม
เพือ่ ผลประโยชนข์ องตนเอง
สาม เมือ่ มีการเปดิ สภาต้น ส.ค. 56 มีรา่ ง พ.ร.บ.ท่ลี อ่ แหลมทจี่ ะถูกคดั ค้านทง้ั ในสภา และนอกสภาอย่าง
รนุ แรง ได้แก่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม (ซ่งึ ถูกมองวา่ เปน็ การเอาทักษิณฯกลบั ประเทศ) พ.ร.บ.แกไ้ ขรฐั ธรรมนูญ
และพ.ร.บ.เงนิ กู้ 2.2 ล้านลา้ นบาท
3. ขา่ วใหญ่ทเี่ กิดขึน้ เม่อื 5 ก.ค. 56 ไดแ้ ก่ มีการนาเทปคาสนทนาของบุคคล 2 คนซึ่งคุยกันท่ีฮ่องกงเม่ือ
ปลาย มิ.ย. 56 ออกมาเผยแพร่ โดยสรุปว่าจะนา พ.ต.ท.ทักษิณฯ กลับประเทศไทยให้จงได้ ใครสนใจเปิด
Internet ดไู ด้วา่ เป็นเร่อื งจรงิ หรอื มีคนทาขึน้
ได้ข่าวว่าจะมีการยุให้ส.ส.พรรคปชป.ลาออกจากการเป็นส.ส.เพ่ือให้เกิดเหตุการณ์บานปลายจะได้มี
มวลชนออกมาเปน็ ลา้ นคนแบบอยี ิปต์ ผมวา่ ควรจะคดิ อยา่ งรอบคอบอย่าบมุ่ บ่ามเอาแต่ใจตัวเองเป็นท่ีต้ัง ความ
จริงปจั จบุ นั รัฐบาลกาลังอยใู่ นช่วงขาลง การทางานประสบปัญหารนุ แรงมีความบาดหมางใจกันเองภายในพรรค
และแกนนามวลชนคนเส้อื แดง
เพยี งแค่ต้งั เวทปี ราศรัยนอกสภา ระบคุ วามผิดจากการทางานของรฐั บาลไปเร่ือยๆ ก็จะทาให้รฐั บาล
ถึงกับทรุดลงได้ หากไปเคลื่อนไหวทางมวลชนเกนิ เลยไป เมื่อยงั ไม่ถึงเวลาสกุ งอมก็จะทาให้พวกเขาหนั กลบั มา
รวมตวั กันเหมือนเดิม
หลังจากที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บริหารประเทศได้ 2 ปีเศษ ก็เกิดการประท้วงจากฝ่ายตรงข้าม
นาไปส่กู ารยุบสภาผแู้ ทนราษฎรเม่อื วันท่ี 9 ธนั วาคม 2556 และปัจจุบันยังมีความวุ่นวายทางการเมืองยังหาข้อ
ยติไม่ได้ ประเด็นชนวนนาไปสู้วิกฤตทางการเมืองถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ตั้งแต่มีการชุมนุมทาง
การเมอื งท่ีมีศลิ ปนิ ดารา นักแสดง นักร้อง และคนในวงการบันเทงิ ท่มี คี วามเหน็ ไปในทางเดียวกันว่าไม่เห็นด้วย
กับการออก พ.ร.บ. นิรโทษกรรมของรัฐบาลชุดน้ี ซึ่งต้องยอมรับว่าการคัดค้าน พ.ร.บ. น้ีมีคนในวงการบันเทิง
“เปิดหน้า” คัดค้านอย่างชัดเจนและมากที่สุดนับต้ังแต่มีการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลชุดน้ีมาตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.
2549 เลยทีเดียว เพราะทุกคนรู้ดีว่าการออกมาเคล่ือนไหวทางการเมืองย่อมมีผลต่ออาชีพและการงาน
โดยเฉพาะอาชีพนักแสดงซ่ึงเป็นบุคคลสาธารณะ หากนักร้องนักแสดงคนไหนมีภาพลักษณ์ทางการเมืองที่
ชัดเจนจนเกินไปก็อาจจะทาให้มีงานที่จากัดตลอดไปจนอาจจะสูญเสียฐานแฟนเพลงท่ีมีความคิดเห็นทางการ
เมืองที่แตกต่างไปได้ แต่ในการต่อต้าน พ.ร.บ. นิรโทษกรรมท่ีจะเอ้ือประโยชน์ให้กับทักษิณและพรรคพวก
นาไปสกู่ ารเคลื่อนไหวต่อตา้ นกลายเปน็ ความขัดแยง้ ใหญ่อีกครั้งหนง่ึ ของการเมืองไทย
สรุป
ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย มี ก า ร ป ก ค ร อ ง แ บ บ ส ม บ รู ณ า ญ า สิ ท ธิ ร า ช ย์ ม า จ น ถึ ง รั ช ส มั ย พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้มีความเคลื่อนไหวจากกลุ่มข้าราชการและประชาชนให้มีการปกครองตาม
ระบอบประชาธปิ ไตย ความคดิ ทีจ่ ะให้มกี ารปกครองแนวประชาธิปไตยได้รับอิทธิพลจากชาวตะวันตก สืบเนื่อง
จากประเทศไทยไดม้ ีการติดตอ่ กับชาวตะวันตกตั้งแตัช่ สมยั พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกล้าเจ้าอยู่หวั เปน็ ต้น
การติดต่อกับต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศทางยุโรป นับว่าเป็นความจาเป็นมหาอานาจตะวันตกได้
แขง่ ขันกันแสวงหาอาณานิคมในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านของไทยได้ตกเป็นอาณานิคมของประเทศ
อังกฤษและฝรั่งเศส ดังนั้น พระบรมวิเทโศบายของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงเน้นหนักไป
ในทางผูกมิตรกับมหาอานาจตะวันตกและประเทศในยุโรปอ่ืนๆ พร้อมกับเร่งศึกษาวิทยาการของชาวตะวันตก
เพ่ือจะได้ปรับปรุงประเทศให้เป็นแบบอารยประเทศ จากการได้ศึกษาวิทยาการของชาวตะวันตก ทาให้กลุ่ม
- 76 -
ข้าราชการและประชาชนได้รู้เรื่อง การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ด้วยความรักชาติและประสงค์จะให้
ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองเหมือนประเทศที่ได้ปรับปรุงการบริหารประเทศแล้ว เช่น ประเทศญ่ีปุ่น กลุ่ม
ข้าราชการ และประชาชนท่ีได้รับการศึกษาหรือได้ไปศึกษาดูงานวิทยาการแบบตะวันตก จึงกราบบังคมทูล
พระบาทสมเด็จพระจุลตอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอรัฐธรรมนูญซ่ึงเป็นกฎหมายปกครองประเทศ นอกจากข้อเสนอ
คากราบบงั คมทูลของกลุ่มเจ้านาย ข้าราชการ ใน ร.ศ. 103 แล้ว ยังมีนักหนังสือพิมพ์คือ เทียนวรรณ ได้เสนอ
ความคิดและอุดมการณ์ประชาธิปไตย ในหน้าหนังสือพิมพ์ เห็นว่าควรมีรัฐสภา พระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดาริเห็นด้วยกับการท่ีจะมีการปกครองแบบรัฐสภา และมีรัฐธรรมนูญแต่
ต้องค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจเรื่องรัฐสภาและรัฐธรรมนูญ แม้แต่ข้าราชการขของ
พระองคบ์ างกลุ่มกย็ งั ไมไ่ ดแ้ สดงว่าเข้าใจในระบอบการปกครองประชาธิปไตยนั้น ถึงแม้ว่าพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจาอยู่หัว ยังทรงปกครองพระเทศชาติด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็ได้ทรงปรับปรุง
เปล่ยี นแปลงการบริหารราชการแผ่นดินสอดคล้องกบั การบริหาราชการแผน่ ดนิ ของประเทศในยโุ รป
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีแนวพระราชดาริในเรื่องการปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตย เหมือนกับสมเด็จพระบรมชนกนาถ จึงเป็นเหตุให้กลุ่มนายทหารบกช้ันผู้น้อยทาการปฏิวัติการ
ปกครอง แต่ไม่สาเร็จ จึงได้รับสมญานามว่า กบฎ ร.ศ. 103 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมี
พระบรมราโชบายเน้นหนักทางลทั ธิชาตินยิ ม ใหร้ กั ชาติ มคี วามสามัคคี โดยเฉพาะเน้นในเร่ืองการจงรักภักดีต่อ
องคพ์ ระมหากษตั ริย์
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงแม้ว่าพระองค์จะยังไม่ทรงเห็นด้วยที่จะให้
ประชาชนมีการปกครองตนเองตามระบอบรัฐธรรมนูญ แต่พระองค์ทรงทราบในพระราชหฤทัยดีว่า ถึงเวลาท่ี
จะต้องพระราชทานรฐั ธรรมนูญเพ่ืเป็นการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยขึ้น หนังสือพิมพ์ใช้ถ้วยคารุนแรง
เมอ่ื พูดถึงเจ้าซึง่ มฐี านะเหนอื ประชาชนธรรมดาพระองค์จึงทรงเตรียมการให้ผู้ท่ีมีความสามารถต่างรัฐธรรมนูญ
และทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าจะพระราชทานรัฐธรรมนูญแต่ประชาชนชาวไทยในวันท่ี 6 เมษายน พ.ศ. 2475
ซ่งึ เป็นวนั ครบรอบ150 ปี ของการสถาปนากรงุ รัตนโกสนิ ทร์เป็นราชธานี จากการท่ีคณะอภิรัฐมนตรีเห็นว่าควร
ยืดระยะเวลาการพระราชทานรัฐธรรมนูญออกไปอีก เพราะประชาชนยังไม่พร้อมท่ีจะอยู่ในการปกครอง
ระบอบรัฐธรรมนูญ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงยับยั้งการพระราชทานรัฐธรรมนูญไว้ การท่ี
พระองค์ทรงลังเลพระราชหฤทัย จึงทาให้คณะราษฎรซึ่งได้เตรียมการไว้แล้วปฏิวัติยึดอานาจปกครองในวันที่
24 เมษายน พ.ศ. 2475
สถานการณ์ทางการเมืองนับแต่หลังจากการเปล่ียนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นจึงเป็นการเมือง
ในระบบตัวแทน (Representative) การเข้าอสู่อานาจทางการเมืองส่วนใหญ่มาจากการรัฐประหารปกครอง
ด้วยทหาร แม้จานวนทหารจะเป็นผู้ปกครองน้อยกว่าพลเรือน แต่มีระยะเวลาครองอานาจยาวนานกว่าฝ่าย
พลเรือน การต่อสู้ทางการเมืองเพ่ือให้ได้มาความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อและ
ชีวิต นับแต่การเรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญ เรียกร้องให้มีนายกรัฐมนตรีมาจากผู้แทนราษฎร และให้ส่วนท่ีเป็น
การเมืองมีความยึดโยงกับประชาชน แต่หลังจากการมีการยึดอานาจเม่ือ 19 กันยายน 2549 แนวคิดทาง
การเมืองของคนบางกลุ่มกลับเรียกร้องให้มีรูปแบบการปกครองที่ได้มีการยึดโยงจากประชาชน จะเห็นได้จาก
รฐั ธรรมนญู ฉบบั 2550 ได้ออกแบบโครงสร้างทางการเมืองแบบการแต่งต้ังหรือการสรรหา และในปัจจุบันก็ได้
มกี ารเรียกรอ้ งใหม้ กี ารปฏริ ูปการเมอื ง จนนาไปส่คู วามว่นุ วายทางการเมอื งอยา่ งไมส่ ามารถที่จะปรองดองกันได้
เพราะตา่ งคนต่างคดิ และตา่ งคนต่างทา โดยไมส่ นใจกับหลักการทแ่ี ทจ้ รงิ แมแ้ ตน่ ักวิชากาก็พยายามอธิบายตาม
ความรสู้ ึกส่วนตัวทเ่ี ลอื กขา้ ง
สรุปได้ว่าพัฒนาการทางการเมืองการปกครองไทยยังไม่มีการพัฒนาในสิ่งที่ควรจะเป็นไปตามครรลอง
ของระบอบประชาธิปไตย เพราะพรรคการเมืองยังไม่ได้ทาหน้าท่ีผู้แทนปวงชนที่แท้จริง เป็นแต่เพียงข้ออ้างว่า
เปน็ ผู้แทนประชาชน
- 77 -
โครงสร้างสถาบันและกระบวนการทางการเมอื งการปกครองไทย
ระบอบการเมอื งทกุ รูปแบบจะตอ้ งประกอบด้วยสถาบันหรอื โครงสร้างทางการเมืองการปกครอง โดยมี
รัฐธรรมนญู เป็นกฎหมายสูงสุดระบทุ มี่ าของอานาจ การใชอ้ านาจ และความสัมพันธ์ของอานาจ นอกจากนั้นยัง
ได้กาหนดสิทธิและหน้าที่ของประชาชน กาหนดโครงสร้างทางการเมือง กาหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและ
ทอ้ งถนิ่ รวมท้ังการตรวจสอบการใชอ้ านาจ
โครงสร้างทางการเมืองของไทย ได้แก่ การปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยนั่นเอง ความหมายของ
ระบอบประชาธิปไตย คือ คือแนวคิดท่ีเชื่อว่าประชาชนมีสิทธิท่ีจะปกครองตนเอง การปกครองที่ประชาชนมี
ส่วนร่วมกาหนดนโยบายเพอื่ ผลประโยชนข์ องประชาชนในรฐั ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการออกเสียงเพื่อแลก
ผู้แทนของตนมาทาหน้าท่ีดารงตาแหน่งในสภา โครงสร้างทางการเมืองของไทยในปัจจุบัน อาทิเช่น ปัจจุบัน
เรามี ระบอบกษัตริย์เป็น สถาบันสูงสุด เป็นสถาบันท่ีประชาชน ทุกคนให้ความเคารพนับถือ มีความเข้มแข็ง
กว่าสถาบันอ่ืนๆ ต่อมาเรามี นายกรัฐมนตรี เป็นผู้นาประเทศ คอยบริหารประเทศโดย มี การถ่วงดุล อานาจ
ท้ังฝา่ ย บรหิ ารของรัฐบาล ทาหนา้ ท่บี ริหารราชการของประเทศ ฝ่าย นิติบัญญัติที่คอย ร่างกฎหมาย และฝ่าย
ตุลาการท่ีคอยทาหน้าท่ีตัดสินคดีความ หรือ ความขัดแย้งท่ีเกิดข้ึน ระหว่าง เอกชนกับเอกชน หรือรัฐ กับ
เอกชน เปน็ ต้น ทั้ง สาม สถาบนั คอยทาหน้าทถ่ี ว่ งดุลกนั เพอื่ ไม่ให้อานาจใดอานาจหนงึ่ มีอานาจ เกินเลยความ
จาเป็นของฝา่ ยใดฝ่ายหน่ึง ซึ่งจะเป็นปัญหาความขัดแยง้ ในภายหลัง ไทยมีโครงสร้างการปกครองแบบ รัฐสภา
นั่นเอง นับต้ังแต่ปีพุทธศักราช 2475 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มี
พระมหากษัตรยิ ์เปน็ ประมขุ โดยมรี ัฐธรรมนญู เป็นกฎหมายสงู สุดในการปกครองประเทศและเป็นหลักในการจัด
ระเบียบแห่งอานาจสูงสุดของรัฐและกาหนดความสัมพันธ์ระหว่างอานาจอธิปไตยภายใต้รูปแบบการปกครอง
เป็นระบบรัฐสภาโดยมีหลักสาคัญว่า "อานาจอธิปไตย มาจากปวงชนชาวไทย" และ"พระมหากษัตริย์ผู้เป็น
ประมขุ " ทรงใชอ้ านาจนิติบัญญตั ิทางรฐั สภาตามบทบญั ญัติแหง่ รัฐธรรมนญู
รัฐธรรมนญู ทุกฉบับจะบญั ญตั ไิ ว้ตรงกนั ใหร้ ัฐสภามอี านาจหน้าทใี่ นการตรากฎหมายควบคุมการบริหาร
ราชการแผ่นดินและการให้ความเห็นชอบในภารกิจสาคัญของประเทศ ส่วนรัฐสภาจะมีสภาเดียว คือสภา
ผู้แทนราษฎร หรือมีสองสภา คือมีวุฒิสภาเพิ่มข้ึนมาอีกสภาหนึ่งและแต่ละสภาจะมีอานาจหน้าท่ีและ
สัมพันธภาพระหว่างกันมากน้อยและแตกต่างกันเพียงใดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความสอดคล้องของ
ภาวการณ์บ้านเมอื งทผี่ นั แปรเปลย่ี นไปในแตล่ ะยุคสมยั
รัฐธรรมนูญของไทยเกือบทุกฉบับบัญญัติให้รัฐสภาประกอบไปด้วย 2 สภา คือวุฒิสภา และสภา
ผแู้ ทนราษฎร ประเทศไทยได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรข้ึนเป็นคร้ังแรก เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน
พุทธศักราช 2476 และดาเนินต่อมาเป็นระยะๆ จนถึงปัจจุบัน ส่วนวุฒิสภาของไทยมีขึ้นเป็นครั้งแรกตาม
บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับช่ัวคราว) พุทธศักราช 2490 โดยบัญญัติว่ารัฐสภา
ประกอบดว้ ยวฒุ ิสภาและสภาผแู้ ทนวุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกทพ่ี ระมหากษัตริย์ทรงเลือกตั้งมีจานวนเท่ากับ
สมาชกิ สภาผู้แทน เป็นตน้ ทั้งหมดน้ีเป็นโครงสรา้ งการปกครองอย่างคร่าวๆของประเทศไทย
ปัจจุบัน โครงสร้างทางการเมืองของไทยน้ัน จะเห็นได้ว่า มีบางอย่างไม่สอดคล้องกับความเป็น
ประชาธปิ ไตยของไทยอย่างแท้จรงิ ยกตวั อยา่ ง อาทิ เชน่ ระบบอถุ มั ภ์ ท่ีมีมาอย่างยาวนานในสังคมไทยท่ีเป็น
ปญั หา เป็นเนื้อร้ายไม่สามารถทาให้หมดไป จากสังคมประชาธิปไตยไทยได้ซักที มันเป็นความขัดแย้ง ระหว่าง
โครงสร้างของสังคมไทย กับความเป็นประชาธิปไตยที่ถูกนาเข้ามา อย่างแท้จริง เมื่อ บุคคลตามหลัก
ประชาธปิ ไตยแลว้ มีสิทธหิ นา้ ท่ี มคี วามเท่าเทียมกัน เม่ือ อยู่ในสถานะท่ีจะเข้าไปทางานในภาครัฐ ท่ี ต้องมีการ
ทดสอบคัดเลือกอย่างจริงจัง และถูกต้อง แต่ในความเท่าเทียมกันของบุคคลทั้งสองนั้น กลับมีหน่ึงคนที่มีความ
เป็นอภิสิทธิ์ เหนือกวา่ โดย ระบบอุปถมั ภ์ในสังคมไทยนน่ั เอง ทาให้คนท้งั สอง ทมี่ ีความเทา่ เทียมกันเกิดความ
ไม่เท่าเทียมภายใต้ระบอบประชาธิปไตยด้วยกันเอง เป็นต้น ซ่ึง จุดนี้เป็นเงาสะท้อน ว่า ระบอบประชาธิปไตย
ของไทยเองสว่ นหนง่ึ ไม่มีความสอดกบั โครงสรา้ งของสังคมไทยอย่างเต็มท่ีร้อยเปอร์เซ็นต์ สาเหตุ อาจไม่ได้เกิด
- 78 -
จาก วาสนา บุญบารมีของ ใคร แต่อาจเป็นเพราะว่า ระบอบประชาธิปไตยที่มีอยู่นี้ ส่วนหน่ึงอาจเข้ากับ
โครงสร้างของสังคมไทย ที่มีความเป็นไทยอย่างแท้จริงไม่ได้น่ันเอง เพราะประชาธิปไตยท่ีมีในขณะน้ีน้ันไม่
ได้มาจาก จารีต ประเพณีของไทยอย่างเต็มท่ีร้อย เปอร์เซ็นต์ แต่กลับมีความเป็นประชาธิปไตยของตะวันตก
แอบแฝง อยู่ด้วยนั่นเอง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเราก็ไม่สามารถโทษ ประชาธิปไตยที่มีความเป็นตะวันตก ซ่อน
เร้นอยู่ได้เพียงอย่างเดียว เพราะทุกวันนี้ โครงสร้างทางสังคมของไทยก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกันเพราะการ
เปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางสังคมน้ี เป็นผล ให้เกิดผลกระทบต่อ โครงสร้างทางการเมืองด้วยเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น การเข้ามาของโลกาภิวัตน์ ท่ีมีการเติบโตอย่างรวดเร็วจนคาดไม่ถึง เกิดความเป็นแปลงต่อ
สงั คมไทยอยา่ งมากเลยทเี ดยี ว อาทเิ ช่น แฟช่นั นาสมัยจากตะวันตก สินค้าเบรนเนม มากมายท่ีถูกนาเข้ามา รถ
สปอร์ตสุดหรู อาหาร ฟาสฟูด หรือ ความสะดวกสบายท่ีถูกนาเข้ามา โดยกาลเวลาที่ไม่เคยหยุดหมุนเลยนั้น
ทาให้เกดิ การเปล่ียน แปลงทาง วถิ กี ารดารงชีวิตของคนในประเทศไทยต้ังแต่ อดีต จนถึง ปัจจุบัน เมื่อ วิถีชีวิต
ของไทยดังเดิมเปล่ียนไป ความซับซ้อน ก็ย่ิงทวีคูณ มากขึ้นกว่าเดิม ปัจจัยการดารงชีวิตหายาก กว่าเดิม
ความเห็นแกต่ ัว ความคดโกงก็เพมิ่ ข้นึ มากเชน่ กัน นโยบายทางการเมืองที่ททสงภาครัฐต้องจัดส่งมาสู่ประชาชน
น้ันคงต้องมีความสอดคล้องตามความเปล่ียนแปลงของสังคมไทยเองด้วย ดังน้ันไม่แปลกเลย ท่ีโครงสร้างทาง
การเมอื ง กบั ระบอบประชาธิปไตยที่ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ของไทย จะไปด้วยกันไม่ได้จริงๆ เม่ือท้ังสองจะดูไม่
สมเหตสุ มผลกันอยา่ งมาก
รัฐธรรมนูญกบั การเมืองการปกครองไทย
ในทางวชิ าการกฎหมายนัน้ แนวคดิ ประชาธปิ ไตยตะวันตกได้ถ่ายทอดอยู่ในรูปแบบของทฤษฎีกฎหมาย
ท่ีเรียกว่า ทฤษฎีรัฐธรรมนูญนิยม(constitutionalism) ซ่ึงต้ังอยู่บนหลักการสามประการ คือ การรับรองสิทธิ
เสรภี าพให้กับประชาชน การตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ และการเสริมสร้างเสถียรภาพและประสิทธิภาพให้กับ
รัฐบาล รัฐธรรมนญู ไทยหลายๆฉบบั ได้ยอมรับแนวคิดดังกลา่ วและนามาเป็นเจตนารมณแ์ หง่ รัฐ ธรรมนูญในการ
กาหนดกรอบในการตราบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหลายๆฉบับของไทย เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร
ไทย พุทธศักราช 2517 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เป็นต้น โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้บัญญัติอย่างชัดแจ้งถึงหลักการดังกล่าวในคาปรารภของ
รฐั ธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นกฎหมายลาดับศักด์ิสูงสุดแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมายอ่ืน
ใดจะขัดหรือแย้งตอ่ รัฐธรรมนูญไม่ได้ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบการปกครองของประเทศ
ซง่ึ ตง้ั แตป่ ีพ.ศ. 2475ประเทศไทยมีรฐั ธรรมนญู แล้วท้ังส้นิ 18 ฉบับ อันแสดงให้เห็นถึงความขาดเสถียรภาพทาง
การเมืองของประเทศ รฐั ธรรมนูญฉบบั ปจั จุบัน คอื รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช 2550
รัฐธรรมนูญไทยระบุว่าประเทศไทยมีรูปแบบรัฐเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และปกครองใน
ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (เขียนว่า ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) กาหนดให้มี
การแบ่งแยกอานาจระหว่างอานาจนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ ปัจจุบัน ประเทศไทยใช้ระบบสอง
สภา แตกต่างจากในอดตี ทใี่ ช้ระบบสภาเดี่ยว รัฐธรรมนูญแตล่ ะฉบับกาหนดใหผ้ ู้แทนราษฎรมาจากการเลือกต้ัง
และการแต่งตงั้ แตกตา่ งกันไป เช่นเดียวกบั พระราชอานาจของพระมหากษัตรยิ ์
ดังนั้นโดยสภาพแล้วรัฐธรรมนูญไทยหลายฉบับที่มีกรอบความคิดแบบตะวันตก ควรท่ีจะเกิดผลตาม
ครรลองประชาธปิ ไตยตะวันตกเหมือนอย่างประเทศตะวันตก แต่ในเลอื กตง้ั ทางตรงกันข้ามส่ิงท่ีเกิดขึ้นในระบบ
การเมืองไทยดูเหมือนได้สวนทางกับ ระบบการเมืองของตะวันตก ซ่ึงต้องยอมรับว่า รัฐธรรมนูญเป็นเพียง
กฎหมายลายลักษณ์อักษรสูงสุดของรัฐ ประเทศไทยมีการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญบ่อยครั้ง ซึ่งขัดกับแนวคิดทาง
นิตศิ าสตร์ที่ว่า รฐั ธรรมนญู เป็นกฎหมายสงู สดุ ของรฐั ซงึ่ ควรมีความศักด์ิสทิ ธแ์ิ ละคงทนถาวร
- 79 -
สาหรับประเทศไทย ในส่วนท่ีเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญนั้นนับต้ังแต่มีการเปล่ียนแปลงการปกครอง จาก
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่
ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเม่ือวันท่ี 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้มีการประกาศใช้
รัฐธรรมนญู อนั เปน็ กฎหมายแม่บทสงู สดุ ในการปกครองที่ประเทศหลายฉบับรัฐธรรมนูญดังกล่าว ปรากฏใน 2
ลักษณะคือ ลักษณะหนึ่งเป็นรัฐธรรมนูญ มุ่งจะใช้บังคับเป็นการถาวรโดยท่ีมีการยกร่างกันอย่างเป็นระบบกับ
อีกลักษณะ คอื รฐั ธรรมนญู ทม่ี ุง่ จะใช้บังคับเป็นการชัว่ คราวซง่ึ มกั จะเรยี กวา่ ธรรมนญู การปกครองน่นั เอง
รัฐธรรมนูญฉบับช่ัวคราวบางฉบับใช้บังคับเป็นเวลานาน เช่น ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร
พุทธศักราช 2502 ซ่ึงเกิดข้ึนโดยการทารัฐประหารของจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ใช้บังคับเป็นเวลา 9 ปีเศษ แต่
รัฐธรรมนูญฉบับถาวรหลายฉบับใช้บังคับในระยะเวลาสั้นๆ เพราะเป็น รัฐธรรมนูญที่มีหลักการสอดคล้องกับ
การปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่ไม่สอดคล้องกับโครงสร้างอานาจทางการเมืองซึ่งไม่ได้อยู่ในมือของ
ประชาชนอย่างแท้จริง ทว่าตกอยู่ในมือของกลุ่มข้าราชการประจา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะนายทหารระดับสูง
ดว้ ยเหตนุ ี้รัฐธรรมนญู ทม่ี ่งุ จะใชบ้ ังคบั เปน็ การถาวรจึงมักจะถูกยกเลิก โดยการทารัฐประหาร โดยคณะผู้นาทาง
ทหาร เมื่อคณะรัฐประหาร ซ่ึงมีช่ือเรียกแตกต่างกันไป เช่น คณะปฏิวัติ คณะปฏิรูป หรือคณะรักษาความสงบ
เรียบร้อย ยึดอานาจได้สาเร็จก็จะประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับช่ัวคราวแล้วจึงร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร และ
เม่ือประกาศใช้รัฐธรรมนูญท่ีมุ่งจะใช้บังคับเป็นการถาวรแล้วก็จะมีการเลือกตั้ง และตามด้วยการจัดตั้งรัฐบาล
ใหม่ ตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แต่เมื่อรัฐบาลดังกล่าวบริหารประเทศไปได้สักระยะหนึ่งก็จะถูกทา
การรฐั ประหาร และประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แล้วก็ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับช่ัวคราว พร้อมท้ัง
จัดให้การร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรใหม่อีก หมุนเวียนเป็นวงจรการเมืองของรัฐไทยมาอย่างต่อเนื่องเป็น
เวลานานนบั หลายสิบปี นับตง้ั แต่เปล่ียนแปลงการปกครองเมอื่ พ.ศ. 2475 เป็นตน้ มา
แมจ้ ะเกดิ กรณี 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ประชาชนเข้าร่วมเรียกร้องรัฐธรรมนูญที่เป็น
ประชาธิปไตยมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากจอมพลถนอม กิตติขจรทารัฐประหารรัฐบาลของตนเอง
เพราะขณะทารัฐประหารยึดอานาจการปกครองนั้น จอมพลถนอม ดารงตาแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีตาม
รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2511 และเม่อื มกี ารประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับช่ัวคราว พรอ้ มกบั เตรยี มรา่ งรัฐธรรมนูญฉบับ
ถาวรตามวงจร การเมืองของไทยที่เคยเปน็ มา กเ็ กิดกระบวนการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ จนนาไปสู่เหตุการณ์นอง
เลอื ดเมอื่ วันท่ี 14 ตลุ าคม พ.ศ. 2516 จนทาให้จอมพลถนอม กติ ติขจร ต้องลาออกจากตาแหน่งนายกรัฐมนตรี
และเดินทางออกนอกประเทศไทย และแม้ต่อมาจะมีการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ท่ีเป็นรัฐธรรมนูญซึ่งมี
หลักการท่ีเป็นประชาธิปไตยมากฉบับหนึ่ง แต่ในที่สุดก็มีการทารัฐประหารอีก และก็เกิดเหตุการณ์นองเลือด
เม่ือวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ทาให้วงจรการเมืองไทยหมุนกลับไปสู่วงจรเดิม คือ รัฐประหาร ประกาศใช้
รฐั ธรรมนูญฉบบั ช่ัวคราว ร่างรฐั ธรรมนูญฉบับถาวร จดั ให้มีการเลอื กต้งั จัดตัง้ รัฐบาลตามรัฐธรรมนูญฉบับถาวร
และทารัฐประหารยกเลกิ รฐั ธรรมนูญฉบบั ถาวร ซ้าซากไมจ่ บสิ้น เฉล่ยี แลว้ รัฐธรรมนูญไทยเปลี่ยนแปลงทุกๆ 4
ปี ต่างจากกรณีของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีรัฐธรรมนูญเพียงฉบับเดียว ซึ่งนับตั้งแต่ประกาศใช้ จานวน 7
มาตรา 55 อนุมาตรา ใน พ.ศ. 2332 จนถึงปัจจุบันสองร้อยกว่าปีนั้น ก็มีแต่การแก้ไขให้ทันสมัยเท่านั้น ยังหา
ไดม้ ีการยกเลกิ ทงั้ ฉบับเฉกเช่นกรณขี องประเทศไทยแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี มใิ ช่ว่ารัฐธรรมนูญท่ดี ี จะไมอ่ าจแก้ไขไดเ้ ลย เพราะในความเป็นจริงยอ่ มไม่มีกฎหมายฉบับใด
ที่เหมาะสมกับทุกเวลาสถานการณ์ได้ ดังน้ัน รัฐธรรมนูญก็อาจแก้ไขได้ ตามเวลาและสถานการณ์ที่เปล่ียนไป
แต่ต้องเป็นไปตามความจาเป็นเท่าน้ัน อาทิเช่น กรณีของสหรัฐอเมริกา ที่กล่าวมาข้างต้น ปัจจุบันยังไม่เคย
เปล่ียนรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร ยังคงใช้ฉบับเดิมมาแต่แรก มีเพียงการแก้ไขปรับปรุงส่วนท่ีจาเป็นเท่าน้ัน
ดังนั้น การจะทาให้กลไกหรือมาตรการต่างๆ ในรัฐธรรมนูญย่ังยืนถาวรได้นั้น จึงอยู่ท่ีทุกคนในสังคมที่จะ
กาหนดวัฒนธรรมทางการเมืองของสังคมว่าจะมีส่วนเข้าใจและเข้าถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรร มนูญแบบ
- 80 -
ประชาธิปไตยได้เพียงใดอานาจอธิปไตย (อังกฤษ: sovereignty) หมายถึง อานาจสูงสุดในการปกครอง
รัฐ ดังนั้น สงิ่ อนื่ ใดจะมอี านาจย่ิงกวา่ หรอื ขัดต่ออานาจอธปิ ไตยหาไดไ้ ม่
การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษตั ริยท์ รงเปน็ ประมุข
สังคมทุกสังคมจะเจริญก้าวหน้าเป็นปึกแผ่นได้ ย่อมต้องมีระเบียบวินัยและผู้นาของสังคมเป็นหลักใน
การปกครอง ผู้นาของสังคมระดับประเทศโดยเฉพาะระบอบประชาธิปไตยส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของ
ประธานาธิบดีหรือพระมหากษัตริย์ สาหรับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น
ประมุขน้ัน พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่การใช้พระราชอานาจด้านนิติบัญญัติ บริหาร ตุลา
การ ทรงมิได้ใช้พระราชอานาจเหล่านั้นด้วยพระองค์เอง แต่มีองค์การหรือหน่วยงานท่ีรับผิดชอบต่างๆ กันไป
พระราชอานาจทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นฐานะประมุขของรัฐ หรือในฐานะอ่ืน ได้ถูกกาหนดไว้โดยชัดแจ้งใน
รัฐธรรมนูญ
1. ประมุขของรัฐ
2. พระราชอานาจของพระมหากษัตริย์
3. อานาจอธปิ ไตย - ความสมั พันธ์ระหวา่ งอานาจนติ ิบญั ญัติ อานาจบริหาร และอานาจตลุ าการ
ประมขุ ของรัฐ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับกาหนดรูปแบบการปกครองและประมุขแห่งรัฐไว้ว่า
ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการเทิดทูน
พระมหากษัตริย์ คือ ทรงดารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ และรัฐธรรมนูญยัง
กาหนดพระราชอานาจของพระมหากษัตริย์ โดยให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ใช้อานาจอธิปไตยซ่ึงเป็นของ
ประชาชน โดยใช้อานาจนิติบัญญัติผ่านทางรัฐสภา อานาจบริหารผ่านทางคณะรัฐมนตรี และอานาจตุลาการ
ผ่านทางศาล การกาหนดเช่นนี้หมายความว่าอานาจต่าง ๆ จะใช้ในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ ซ่ึงใน
ความเป็นจริงอานาจเหล่าน้ีมีองค์กรเป็นผู้ใช้ ฉะนั้นการที่บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ทรงใช้อานาจนิติบัญญัติ
อานาจบริหาร และอานาจตลุ าการผ่านทางองค์กรต่าง ๆ นั้น จึงเป็นการเทิดพระเกียรติ แต่อานาจที่แท้จริงอยู่
ท่ีองค์กรท่ีเป็นผู้พิจารณานาขึ้นทูลเกล้าถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ใน
ระบอบรัฐธรรมนูญของไทยแม้จะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมืองและกาหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราช
โองการในการปฏิบัติทางการปกครองทกุ อย่าง แตพ่ ระมหากษตั รยิ ์ก็ทรงมอี านาจบางประการท่ีได้รับการรับรอง
โดยรัฐธรรมนูญ และเป็นพระราชอานาจท่ีทรงใช้ได้ตามพระราชอัธยาศัยจริง ๆ ได้แก่ การแต่งต้ังคณะ
องคมนตรี การแต่งต้ังข้าราชการในพระองค์ และสมุหราชองครักษ์ การแก้ไขเพิ่มเติมกฏมณเทียรบาลว่าด้วย
การสืบราชสันตติวงศ์ การพระราชทางเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์ เป็นต้นพระราชอานาจท่ีส่งผลกระทบต่อ
การเมืองการปกครองอย่างแท้จริง คือ พระราชอานาจในการยับยั้งร่างพระราชบัญญัติ ในกรณีท่ี
พระมหากษัตรยิ ท์ รงไม่เหน็ ดว้ ยกับรา่ งพระราชบัญญัติที่ผ่านการเห็นชอบของรัฐสภามาแล้วและนายกรัฐมนตรี
นาข้ึนทูลเกล้าฯถวายเพ่ือพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้ แต่พระองค์อาจใช้พระราชอานาจ
ยับย้ังได้ เช่น กรณีพระราชบัญญัติข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งรัฐสภาจะต้องนาร่าง
พระราชบัญญัติทถ่ี กู ยับย้งั นนั้ ไปพิจารณาใหม่
พระราชสถานะและพระราชอานาจท่บี ัญญตั ไิ วใ้ นรฐั ธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบัยืนยันความเป็นประมุขสูงสุดของพระมหากษัตริย์ โดย
บญั ญัติว่า องคพ์ ระมหากษัตริย์ทรงดารงอยู่ในฐานะอันเป็นท่ีเคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหา
หรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้ หมายความว่า ผู้ใดจะหมิ่นพระบรบมเดชานุภาพ
- 81 -
พระมหากษัตริย์ไม่ได้ ผู้ละเมิดต่อพระมหากษัตริย์ถือว่าเป็นการกระทาความผิดอย่างร้ายแรง รัฐธรรมนูญบาง
ฉบับถึงกับไม่ยอมให้มีการนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทาการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์การปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยของไทย รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง และ
กาหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการดาเนินการทางการเมืองการปกครอง รัฐธรรมนูญได้กาหนด
พระราชอานาจของพระมหากษตั ริย์ ดงั น้ี
1. ทรงใช้อานาจอธิปไตย พระมหากษัตริย์ใช้อานาจอธิปไตย เช่น อานาจนิติบัญญัติ อานาจบริหาร
และอานาจตลุ าการ ดังนี้ ทรงใช้อานาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา หมายความว่า พระมหากษัตริย์ทางใช้อานาจใน
การออกกฎหมาย คาแนะนา และยินยอมของรัฐสภา เม่ือรัฐสภาร่างกฎหมายขึ้นแล้วจะทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อ
ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นกฎหมายตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญทรง ใช้อานาจบริหารทาง
คณะรัฐมนตรี หมายความวา่ การบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ ซึ่งนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีดาเนินการ
ไปน้ัน ถือว่ากระทาไปในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้เพราะบรรดาพระราชบัญญัติพระราชกาหนด
พระราชกฤษฎีกา พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการอันเก่ียวกับราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีเป็น
ผปู้ ฏบิ ัตแิ ละรับผิดชอบทง้ั สิ้น โดยนายกรฐั มนตรีจะตอ้ งกราบบังคมทลู และลงนามรบั สนองพระบรมราชโองการ
พระราชอานาจทางด้านบริหารของพระมหากษัตริย์ดังกล่าวได้แก่ การตราพระราชกฤษฎีกาไม่ขัดต่อกฎหมาย
การประกาศใช้และยกเลิกใช้กฎอัยการศึก การประกาศสงคราม เม่ือได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา การทา
สัญญาสนั ติภาพ สัญญาสงบศึก หรือสนธิสัญญาอน่ื กบั นานาประเทศ หรือกับองค์การระหว่างประเทศ และการ
พระราชทานอภัยโทษทรงใช้อานาจตุลาการทางศาล หมายถึง ศาลเป็นผู้พิจารณาพิพากษาอรรถคดีต่างๆ ให้
เปน็ ไปตามรัฐธรรมนญู และตามกฎหมายในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซ่ึงพระราช
อานาจในการแต่งตั้งและการพ้นจาก ตาแหน่งของผู้พิพากษาและตุลาการก่อนเข้ารับหน้าท่ี ผู้พิพากษาและ
ตลุ าการจะต้องถวายสัตย์ปฏิญาณตอ่ พระมหากษตั รยิ ์
2. ทรงดารงอยูใ่ นฐานะอันเปน็ ท่ีเคารพสกั การะผู้ใดจะละเมิดมิได้ หมายความว่า พระมหากษัตริย์ไทย
ทรงอยู่ภายใต้กฎหมายก็เพียงเฉพาะกฎหมายรัฐธรรมนูญเท่าน้ัน แต่ทรงอยู่เหนือกฎหมายอื่น ๆ ผู้ใดจะ
กล่าวหาหรือฟ้องร้องตามกฎหมายใด ๆ มิได้ ท้ังนี้ก็เพราะต้องการเทิดทูนองค์พระประมุขของชาติ
พระมหากษัตริย์ไม่ทรงกระทาผิด (The King can do no wrong)หมายความว่า พระมหากษัตริย์ไม่ต้อง
รับผิดชอบในพระบรมราชโองการหรือการกระทาในพระปรมาภิไธยของพระองค์ในกรณีที่มีความเสียหาย
บกพร่องเกิดข้ึน ผู้ลงนามรับสนองพระราชโองการจะต้องรับผิดชอบ เพราะในทางปฏิบัตินั้น พระมหากษัตริย์
มิได้ทรงริเร่ิม หรือดาเนินข้อราชการต่าง ๆ ด้วยพระองค์เอง จะต้องมีเจ้าหน้าที่หรืองค์กรหนึ่งองค์กรใดเป็น
ฝ่ายดาเนินการและกราบทูลขึน้ มา จะไปละเมดิ กลา่ วโทษพระมหากษตั ริย์มิได้
3. ทรงเป็นพุทธมามกะและทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก น่ันก็คือทรงเป็นผู้ทรงศรัทธาเล่ือมใสใน
พระพุทธศาสนาขณะเดียวกนั ก็ทรงเป็นอัครศาสนปู ถัมภก คอื ทรงทานบุ ารงุ อปุ ถัมภ์ศาสนาท้ังปวงในขอบขันธ-
สมี าด้วย โดยไมเ่ ลือกแบง่ แยกว่าเป็นศาสนาใด สถาบันพระมหากษัตริย์กับศาสนาจึงเป็นสัญลักษณ์พิเศษอย่าง
หน่ึงของชาติไทย รัฐธรรมนูญบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นพุทธมามกะและเป็นองค์อุปถัมภ์ค้า ชู
ศาสนาอืน่ ๆ อย่างเสมอหนา้ กัน
4. ทรงดารงตาแหน่งจอมทัพไทย คาว่า พระมหากษัตริย์ หมายถึง นักรบผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุน้ี
พระมหากษัตริย์ในอดีตจึงต้องทรงนาทัพออกศึกด้วยพระองค์เอง ปัจจุบันแม้การรบจะไม่เกิดมีข้ึนแล้วก็ตาม
แต่พระมหากษัตริย์ก็ยังทรงเป็นมั่งขวัญของเหล่าทหารหาญ และเหนือส่ิงอ่ืนใดทรงดารงตาแหน่งจอมทัพไทย
ต า ม ที่ รั ฐ ธ ร ร ม นู ญ ไ ด้ ถ ว า ย พ ร ะ เ กี ย ร ติ ย ศ ไ ว้ เ ป็ น ค ร้ั ง แ ร ก ใ น รั ฐ ธ ร ร ม นู ญ แ ห่ ง ร า ช อ า ณ า จั ก ร ส ย า ม
พุทธศักราช 2475 ว่า พระมหากษัตริย์ ทรงดารงตาแหน่งจอมทัพสยาม และนับแต่วาระน้ันเป็นต้นมา
รัฐธรรมนูญทีต่ ราข้ึนภายหลังก็ไดม้ ีบทบัญญตั ทิ านองเดยี วกันนี้ปรากฏอยู่ทุกฉบับ พระราชสถานะ จอมทัพไทย
ตามรฐั ธรรมนญู น้ีได้จาหลักลงในสานกึ ของทหารไทยทกุ คนเริ่มต้ังแต่ธงไชยเฉลิมพลประจากองทหารน้ัน ก็เป็น
- 82 -
มงคลสูงสุดสาหรับหน่วย ด้วยเหตุว่าเป็นของท่ีได้รับพระราชทานและได้บรรจุเส้นพระเจ้า(เส้นผม) ไว้ในพร ะ
กรัณฑ์(ตลับ) บนยอดปลายสุดของธง ดังนั้นเม่ือ กองทหารและธงไชยเฉลิมพลไปปรากฏอยู่ ณ ที่ใด ก็เสมือน
หน่ึงว่าพระมหากษัตริย์ได้เสด็จพระราชดาเนินร่วมไปด้วยในกองทัพนั้น ทหารไทยจึงมีขวัญมั่นคงเพราะต่าง
ทราบดวี า่ ตนปฏิบัติหนา้ ทเ่ี สี่ยงภยั เพื่อประโยชน์สงู สุดของชาตเิ ช่นเดยี วกับพระประมขุ ของตนน่นั เอง
5. ทรงไว้ซ่ึงพระราชอานาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักด์ิและพระราชทานเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์
พระมหากษัตรยิ ท์ รงเปน็ พระประมุขของชาติ ทรงไว้ซึ่งพระราชอานาจที่จะพระราชทานเกียรติยศแก่ชนทุกชั้น
ไม่ว่าจะเป็นฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ สมณศักด์ิ (ฐานันดรศักด์ิของพระภิกษุสงฆ์) และบรรดาศักด์ิ
(ฐานันดรศักด์ิของขุนนาง ข้าราชการ) และทรงไว้ซึ่งพระราชอานาจที่จะพระราชทานและเรียกคืน
เคร่ืองราชอิสริยาภรณ์ทุกตระกูลทุกลาดับชั้นด้วย การท่ีจะทรงสถาปนาฐานันดรศักด์ิหรือพระราชทาน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น ในสมัยราชาธิปไตยพระราชอานาจเหล่าน้ีเป็นไปตามพระราชอัธยาศัยสุดแต่จะทรง
พระกรณุ าโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่เม่ือเปล่ียนแปลงการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตยตามบทบัญญัติ
ของรัฐธรรมนูญแล้ว การสถาปนาและถอดถอนฐานันดรศักดิ์ การพระราชทานและเรียกคืน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ต้องมีนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีรับสนองพระบรมราชโองการอย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน
ยังคงมีธรรมเนียมท่ีจะทรงสถาปนาฐานันดรศักด์ิแห่งพระราชวงศ์และพระราชทานสมณศักด์ิอยู่ แต่สาหรับ
บรรดาศักด์ขิ นุ นางหรือข้าราชการนัน้ ปจั จบุ นั ไดย้ กเลกิ ไปแลว้
6. ทรงเลือกและแต่งต้ังองคมนตรี คณะองคมนตรี คือ คณะท่ีปรึกษาของพระมหากษัตริย์ มีหน้าท่ี
ถวายความเห็นต่อองค์พระมหากษัตริย์ในพระราชกรณียกิจท้ังปวงที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษา องคมนตรี
ประกอบด้วยผู้มทรงคณุ วุฒติ ่าง ๆ โดยมปี ระธานองคมนตรคี นหน่ึงกับองคมนตรีอ่ืนอีกไม่เกิน 18 คน การเลือก
การแต่งตั้ง และการให้องคมนตรีพ้นจากตาแหน่งให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย เพียงแต่ประธานรัฐสภาลง
นามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งต้ังหรือพ้นจากตาแหน่งขององค์มนตรีอื่นๆ ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลง
นามรับสนองพระบรมราชโองการทัง้ ส้ิน
7. ทรงแต่งตั้งผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ ผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ หมายถึง ผู้ปฏิบัติหน้าที่
แทน พระมหากษัตรยิ ์ เมือ่ พระมหากษตั รยิ จ์ ะไมป่ ระทับอยู่ในราชอาณาจกั รหรือทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้
เชน่ ประชวร ทรงผนวช ยงั ไมท่ รงบรรลุนิติภาวะ หรือเมื่อราชบัลลังก์ว่างลง ปกติแล้วเม่ือพระมหากษัตริย์ทรง
แต่งตั้งผู้ใดด้วยความเห็นชอบของรัฐสภา ผู้นั้นก็เป็นผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ถ้ามิได้ทรงแต่งตั้งไว้ ให้
คณะองคมนตรีเสนอช่ือผู้ใดผู้หนงึ่ ทีส่ มควรต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบและในบางกรณีเช่น เมื่อราชบัลลังก์
ว่างลง หรือระหว่างที่ยังไม่มีผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สาเร็จราชการแทน
พระองค์ไปพลางก่อนได้ในรัชกาลปัจจุบันมีการแต่งต้ังผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์หลายคราว เช่น เม่ือเสด็จ
ไปทรงศึกษาในต่างประเทศช่วงต้นรัชกาล เม่ือทรงผนวช หรือเมื่อเสด็จฯ ไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจใน
ต่างประเทศ
8. ทรงแก้ไขกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ กฎมณเฑียรบาลหมายถึง กฎหมายที่
พระมหากษัตริย์ทรงตราข้ึนใช้บังคับในกิจการส่วนพระองค์ เช่น พระราชพิธีต่าง ๆ กิจการท่ีเกี่ยวกับสมาชิก
แห่งพระราชวงศ์ หรือกิจการที่เกี่ยวกับราชสานักหรือภายในเขตพระราชฐาน โดยไม่เกี่ยวกับราษฎรอ่ืน ๆ
การสืบราชสมบัติ หมายถึง การข้ึนเป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งนับต่อเนื่องจากพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนมิให้
ขาดตอนกัน อันเป็นธรรมเนียมนานาประเทศการแก้ไขเพ่ิมเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์
เป็นพระราชอานาจของพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะ เม่ือมีพระราชดาริประการใดให้คณะองคมนตรีจัดทาร่าง
กฎมณเฑียรบาลแก้ไขเพ่ิมเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อมีพระบรมราชวินิจฉัย เมื่อทรงเห็นชอบและ
ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว ให้ประธานองคมนตรีแจง้ ประธานรฐั สภาเพ่อื ใหป้ ระธานรัฐสภาแจง้ ให้รฐั สภาทราบ
9. ทรงทาหนังสือสัญญา ทรงไว้ซึ่งพระราชอานาจในการทาหนังสือสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก
และสัญญาอื่นๆ กับนานาประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ นอกจากนี้หนังสือสัญญาได้มีบทเปล่ียนแปลง
- 83 -
อาณาเขตไทยหรือเขตอานาจแห่งรัฐ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้เป็นไปตามสัญญา ต้องได้รับความ
เหน็ ชอบจากรัฐสภา
10. ทรงแตง่ ตัง้ นายกรัฐมนตรี รฐั มนตรี ผพู้ ิพากษา ขา้ ราชการในพระองค์ และข้าราชการระดบั สูง
11. พระราชทานอภยั โทษ พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอานาจท่ีจะอภัยโทษแก่ผู้ต้องโทษโดยมีผู้รับ
สนองพระบรมราชโองการ
พระราชสถานะและพระราชอานาจที่ไม่ไดบ้ ญั ญตั ิไว้ในรัฐธรรมนญู
พระราชอานาจตามประเพณีของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยของไทย ซึ่งไม่มีบทบัญญัติ
แห่งรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์อาจทรงใช้พระราชอานาจต่อไปน้ี เพ่ือประโยชน์ของประเทศชาติและ
ประชาชน
1. พระราชอานาจท่ีจะทรงได้รับรู้เร่ืองราวต่าง ๆ ในฐานที่ทรงดารงตาแหน่งประมุขของประเทศ เป็น
สิทธขิ องพระมหากษัตริย์ท่จี ะทรงได้รับการถวายรายงานใหท้ รงทราบถึงสถานการณ์หรือเร่ืองราวของบ้านเมือง
เสมอ การที่พระองค์จาเป็นต้องทรงทราบถึงเร่ืองราวสาคัญก็เพ่ือที่จะทรงให้คาแนะนา ตักเตือน เพ่ื อ
ประกอบการพิจารณาของรัฐบาลหรือผทู้ ราบรบั ผิดชอบเรื่องนนั้ ๆ
2. พระราชอานาจที่จะพระราชทานคาปรึกษาหารือ ในกรณีท่ีคณะรัฐมนตรีมีปัญหาเกี่ยวกับการ
บริหารราชการแผน่ ดิน อาจนาปัญหาขึน้ ทลู เกล้าฯ เพอื่ ขอพระราชทานพระบรมราชวินจิ ฉัยได้
3. พระราชอานาจท่ีจะพระราชทานคาแนะนาตักเตือน พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งสิทธิท่ีจะให้
คาแนะนา ตักเตอื นในบางเรอ่ื ง บางกรณแี ก่รฐั สภา รฐั บาลและศาล หรือองค์กรอนื่ ๆ ที่ทรงเห็นว่าถ้ากระทาไป
แลว้ จะเกิดผลเสียหายแกบ่ า้ นเมอื ง
4. พระราชอานาจที่จะพระราชทานการสนับสนุน พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซ่ึงสิทธิท่ีจะพระราชทาน
หรอื ให้การสนบั สนุนการกระทา หรอื กิจการใดๆ ของรัฐหรือเอกชนได้ เช่น โครงการหมู่บ้านสหกรณ์ โครงการ
ฝน-หลวง โครงการอีสานเขียว โครงการสร้างเข่ือน การท่ีพระองค์ทรงมีพระราชดาริและให้การสนับสนุน
โครงการต่าง ๆ ยอ่ มเปน็ ขวญั และกาลังใจสาหรบั ผทู้ ด่ี าเนินการน้ัน ๆ
พระราชสถานะทางสงั คม
สังคมไทยยกย่องเทิดทูนพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันคู่บ้านคู่เมือง เป็นสัญลักษณ์ของชาติ ทรงได้รับ
การเชิดชจู ากสงั คมไทย ดังน้ี
1. ทรงเป็นศูนยร์ วมจติ ใจของประชาชน พระมหากษัตริย์ทรงทาให้เกดิ ความสานึกในความเป็นอันหนึ่ง
อันเดียวกัน ทาให้ทุกสถาบันมีจุดรวมจากแหล่งเดียวกัน แม้จะมีความแตกต่างกันในด้านเช้ือชาติ เผ่าพันธ์ุ
ศาสนา ก็มีความสมานสามัคคีกลมเกลียวกันในหมู่ชนเหล่านั้น ทรงรักใคร่ห่วงใยประชาชน ทรงมีเมตตาต่อ
ประชาชนทุกหมู่เหล่า พระองค์ทรงเสด็จพระราชดาเนินไปทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นถ่ินทุรกันดารหรือมีอันตราย
เพียงใด เพ่ือทรงทราบถึงทุกข์สุขของประชาชน ประชาชนก็มีความผูกกันกับพระมหากษัตริย์อย่างลึกซ้ึง และ
แนน่ แฟน้ มน่ั คง จนยากท่จี ะทาใหส้ น่ั คลอนหรอื แตกแยกได้
2. ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งความต่อเนื่องของชาติ พระมหากษัตรีย์ทรงเป็นประมุขของชาติไทยสืบต่อ
กันมาโดยไม่ขาดสายต้ังแต่อาณาจักรไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนไปก่ียุคสมัยก็ตาม ทาให้
ระบบการเมอื งและชาตไิ ทยมคี วามสมานฉนั ทแ์ ละต่อเน่ืองตลอดเวลา
3. ทรงเป็นพลังในการสร้างขวัญและกาลังใจของประชาชน พระมหากษัตริย์ทรงเป็นท่ีมาของแหล่ง
เกยี รติยศท้ังปวง กอ่ ให้เกดิ ความภาคภมู ิ ปีติยนิ ดี และเกดิ กาลงั ใจในหมูป่ ระชาชนทว่ั ไปทีจ่ ะรักษาคุณงามความ
ดีและพยายามกระทาความดี เพื่อใหพ้ ระมหากษัตรยิ ส์ บายพระทัย
- 84 -
4. ทรงมีส่วนสาคัญในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชน พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นครองราชย์ด้วย
ความเห็นชอบยอมรับของประชาชน และทรงใช้อานาจอธิปไตยแทนประชาชนในการรักษาผลประโยชน์ของ
ประชาชนและบ้านเมืองเป็นสาคัญ ซ่ึงอาจต่างจากประมุขของประเทศอื่นที่ข้ึนดารงตาแหน่งโดยการเลือกตั้ง
จงึ ตอ้ งยึดนโยบายของกลุ่มหรอื พรรคการเมืองทตี่ นสงั กดั เปน็ หลกั
5. ทรงแกไ้ ขวิกฤตการณ์ สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นกลไกสาคัญในการยับยั้งและแก้ไขวิกฤตการณ์ที่
ร้ายแรงภายในประเทศได้ ในบางคร้ังประเทศไทยเกิดการขัดแย้งกันเองตามระบอบประชาธิปไตย
พระมหากษัตริย์ ก็สามารถยุติได้ด้วยพระบารมีของพระองค์ เช่น เหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยเมืองเดือน
ตุลาคม 2516 และเหตกุ ารณค์ วามขดั แยง้ ทางการเมืองเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 เปน็ ต้น
6. ทรงส่งเสริมความมั่นคงของประเทศ พระมหากษัตริย์เป็นท่ียอมรับของทุกฝ่าย ทั้งประชาชน
รัฐบาล หน่วยราชการ กองทัพ นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน หรือกลุ่มต่างๆ แม้กระท่ังชนกลุ่มน้อยในประเทศ
เช่น ชาวไทยภูเขา ชาวไทยมุสลิม เป็นต้น ทาให้ทุกฝ่ายมีความมุ่งมั่นและมีความพรักพร้อมที่จะรักษาความ
มั่นคงและเอกราชของชาติไว้
7. ทรงมีส่วนเสริมสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ พระมหากษัตริย์ไทยในอดีตได้ทรงดาเนิน
วิเทโศบายได้อย่างดีจนสามารถรักษาเอกราชไว้ได้ โดยเฉพาะสมัยการ ล่าเมืองขึ้นของชาติตะวันตก
พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จประพาสยุโรปถึง 2 ครั้ง เพ่ือเจริญสัมพันธไมตรี
กับประเทศมหาอานาจในยุโรป สาหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ก็ทรงดาเนินการให้เกิด
ความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศต่าง ๆ กับประเทศไทย โดยเสด็จพระราชดาเนินเยี่ยมเยือนประเทศต่าง ๆ
ไมน่ อ้ ยกว่า 31 ประเทศ ทาให้ความสัมพันธร์ ะหว่างไทยกบั ต่างประเทศดาเนนิ ไปได้อย่างสะดวกและราบร่นื
8. ทรงเป็นผู้นาในการพัฒนาและปฏิรูปด้านต่าง ๆ การพัฒนาและการปฏิรูปที่สาคัญ ๆ ของชาติส่วน
ใหญ่ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นา ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงปูพ้ืนฐานการปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตย โดยจัดต้ังกระทรวงต่าง ๆ ทรงส่งเสริมการศึกษาและเลิกทาส กระท่ังถึงรัชกาลปัจจุบันได้ทรง
เกื้อหนุนวิทยาการสาขาต่าง ๆ ทรงสนับสนุนการศึกษาและศิลปวัฒนธรรม ทรงริเร่ิมกิจการอันเป็นก าร
แก้ปัญหาหลัก ทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยเฉพาะแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ผ่าน
โครงการพระราชดาริ มุ่งเน้นการแก้ปัญหาให้แก่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ได้แก่ ชาวนา ชาวไร่ และ
ประชาชนผู้ด้อยโอกาส เช่น โครงการพัฒนาท่ีดิน โครงการสหกรณ์ โครงการพัฒนาชาวเขา การเกษตรทฤษฎี
ใหม่เป็นต้น
9. ทรงมีส่วนเก้ือหนุนระบอบประชาธิปไตย สถาบันพระมหากษัตริย์มีส่วนสาคัญในการส่งเสริม
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยให้มีความเข้มแข็งและม่ันคง เพราะการท่ีประชาชนเกิดความจงรักภักดี
และเชื่อมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ ทาให้ประชาชนเกิดความศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย อันมี
พระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วย เน่ืองจากเห็นว่าเป็นระบอบการปกครองท่ีเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์อัน
เป็นท่ีเคารพสกั การะของประชนน่ันเอง
อานาจอธิปไตย
อานาจอธิปไตย หมายถึง อานาจสงู สดุ ในการปกครองประเทศ ซ่ึงถือว่าเป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญของ
การปกครองของรฐั ทมี่ อี ิสระ เสรภี าพ และมคี วามเป็นเอกราช มอี านาจในการบริหารราชการ ท้ังกิจการภายใน
และนอกประเทศไดอ้ ย่างเต็มท่ี โดยท่ัวไปอานาจอธปิ ไตยแยกใชเ้ ป็น 3 ลักษณะ คือ อานาจนิติบัญญัติ อานาจ
บริหาร และ อานาจตุลาการรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ระบุว่า อานาจอธิปไตย
เปน็ ของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตรยิ ์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อานาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล
ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญน้ี ซึ่งหมายความว่า ในทางการเมืองประชาชนมีอานาจสูงสุด แต่การใช้อานาจ
ทางกฎหมายต้องใช้ผ่านสถาบันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาลที่พิพากษา อรรถคดีตามกฎหมายท่ีบัญญัติไว้
- 85 -
แล้วในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ และตามขอบเขตท่ีรัฐธรรมนูญกาหนดไว้เท่าน้ัน ดังนั้น
องค์ประกอบของผ้ใู ชอ้ านาจก็คอื ต้องมีสถาบันพระมหากษตั รยิ ์ สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันบริหาร และสถาบัน
ตุลาการ อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่าอานาจอธิปไตยตามกฎหมายไม่ได้อยู่ท่ีรัฐสภาเท่านั้น แต่แยกกันอยู่ใน 3
สถาบันหลกั ดงั กล่าว ซ่งึ รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุว่าอานาจใดใหญ่ที่สุดหรือสาคัญกว่ากันการกาหนดให้แยกการใช้
อานาจอธิปไตยออกเป็น 3 ส่วน และให้มีองค์กร 3 ฝ่าย เป็นผู้รับผิดชอบไปแต่ละส่วนนี้ เป็นไปตามหลักการ
ประชาธิปไตยท่ีไม่ต้องการให้มีการรวมอานาจ แต่ต้องการให้มีการถ่วงดุลอานาจซึ่งกันและกัน เพราะถ้าให้
องคก์ รใดเป็นผใู้ ช้อานาจมากกว่าหนง่ึ ส่วนแล้ว อาจเป็นชอ่ งวา่ งให้เกิดการใช้อานาจแบบเผดจ็ การได้
ความสมั พันธ์ระหว่างอานาจนติ ิบญั ญตั ิ อานาจบริหาร และอานาจตุลาการ มดี ังนี้
1. อานาจนิติบัญญัติ หรือ สถาบันนิติบัญญัติ หมายถึง สถาบันที่ทาหน้าท่ีออกกฎหมาย คือรัฐสภา
ซง่ึ มรี ูปแบบเปน็ สภาคู่ หรือ 2 สภา ประกอบด้วย
1.1 สภาผู้แทนราษฎร สมาชิกมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต จานวน 400 คน และการเลือกต้ัง
แบบสัดส่วน จานวน 80 คน รวม 480 คน มอี านาจหน้าทใ่ี นการออกกฎหมาย
1.2 วุฒิสภา สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนและการสรรหา มีจานวน
150 คน มีหน้าท่ใี นการพิจารณากล่ันกรองพระราชบัญญัติโดยถี่ถ้วนไม่ต้องผูกพันกับฝ่ายรัฐบาล นอกจากน้ียัง
มีอานาจหน้าท่ีในการแต่งต้ังและถอดถอนผู้ดารงตาแหน่งสาคัญของบ้านเมือง เช่น นายกรัฐมนตรี
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครอง
อยั การสงู สุด เปน็ ต้น
2. อานาจบริหาร หรือ สถาบันบริหาร หมายถึงบุคคล คณะบุคคล กลุ่มบุคคล หรือองค์กรท่ีนา
นโยบายของรัฐไปดาเนินการและนาไปปฏิบัติ สถาบันบริหารน้ันนอกจากจะเป็นสถาบันสร้างกฎหมายแล้ว ยัง
เป็นสถาบันสร้างนโยบายบริหารประเทศด้วย สถาบันบริหารจะนานโยบาย และกฎหมายที่ผ่านความเป็นชอบ
ของรฐั สภาแลว้ ไปดาเนนิ หรือไปปฏบิ ตั ิ องคป์ ระกอบของสถาบันบริหารประกอบดว้ ย
2.1 ข้าราชการการเมือง คือข้าราชการซึ่งได้รับการเลือกต้ังจากประชาชนให้มาทาหน้าที่เป็น
นายกรัฐมนตรี คณะรฐั มนตรี เพ่ือบรหิ ารบ้านเมือง
2.2 ข้าราชการประจา คือ บุคลากรซ่ึงเป็นกลไกหรือเคร่ืองมือในการนานโยบายและกฎหมายไป
ปฏิบัติ ซึ่งต้องปฏิบัติงานอย่างตรงไปตรงมา มีประสิทธิภาพสูง มีความรอบรู้ในหลักวิชาการ มีประสบการณ์
และมีระเบียบประเพณีการประพฤติปฏิบัติที่เป็นแบบอย่าง มีสายการบังคับบัญชาของข้าราชการประจาอย่าง
ชดั เจน มกี ารแบ่งงานกนั ทาเฉพาะอย่างตามความชานาญ
3. อานาจตุลาการ หรือ สถาบันตุลาการ หมายถึง ศาลและผู้พิพากษาท่ีปฏิบัติหน้าท่ีในนามของรัฐ
หรือในพระปรมาภิไธยของพระมหากษตั ริย์ ตามบทบญั ญตั ิของรัฐธรรมนูญมีสาระสาคญั 2 ประการดงั น้ี
3.1 อานาจตุลาการในระบอบประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญของไทยในอดีตได้แยกอานาจระหว่าง
อานาจตลุ าการและอานาจนติ บิ ัญญัติไว้อยา่ งชัดเจน โดยจดั อานาจตุลาการให้มีความอิสระจากฝ่ายบริหารและ
นติ บิ ัญญัติ รฐั สภาจะก้าวกา่ ยอานาจของศาลไม่ได้
3.2 ศาล รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้วางหลักทั่วไปเกี่ยวกับหลักการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีว่า
เป็นอานาจศาล ซงึ่ ศาลในทนี่ ีห้ มายถึง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลทหาร ศาลยตุ ธิ รรม และศาลอ่ืนๆ
สถาบนั นติ ิบญั ญตั ิ
ราชบัณฑิตยสถานให้คานิยามว่า สถาบันนิติบัญญัติ คือ สถานท่ีของคนท่ีมาร่วมก้นออกกฎเกณฑ์
กฎหมายข้ึนมาเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่การดารงอยู่ของคนส่วนมากในสังคมหรือสถาบันที่ทาหน้าท่ีท่ีเรียกว่า
“รัฐสภา”
- 86 -
รัฐสภา (Parliament) มีรากศัพท์มาจากภาษาฝรั่งเศสว่า “Parler” แปลว่า “การพูด” รัฐสภาของ
ฝรัง่ เศสใชค้ าวา่ “Parlerment” มคี วามหมายในข้ันต้นว่าเป็น “สถานที่ท่ีใช้พูดเจรจา หรือการถกเถียงกันเพ่ือ
ต่อรองผลประโยชน์หรือลักษณะการใช้อานาจในรัฐสภา” ดังนั้น รัฐสภาจึงมีความหมายในลักษณะที่เป็น
สถานที่ พูด เจรจา ตกลงผลประโยชน์ของผู้ที่อยู่ในองค์กรดังกล่าวโดยมีวัตถุประสงค์ของส่วนร่วมเป็นสาคัญ50
ระบบของรัฐสภา แบง่ ได้ 2 ประเภท ได้แก่
1. ระบบสภาเดียว (Unicameral System) เป็นระบบท่ีมีสภานิติบัญญัติเพียงสภาเดียว เช่น
สภาประชาชนของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีหลกั การที่ว่าจะทาให้การปฏิบัติงานด้านนิติบัญญัติมี
ความรวดเร็วและลดความขัดแบ่งในการใช้อานาจนิติบัญญัติ ซึ่งจะได้รับความนิยมน้อยในระดับชาติ แต่จะมี
การนิยมใช้ระดับการปกครองท้องถิ่น เช่น ในสหรัฐอเมริกา ท่ีมีการปกครองระดับแขวง (Country Board)
และระดับนคร (City) ส่วนระดับมลรัฐ (State) มีเพียงแห่งเดียว คือ เนแบรสกา (Nebraska) เป็นต้น
นอกจากน้นั ยงั มรี ัฐตา่ งๆในแคนาดา ในยุโรปมีประเทศสวเี ดน และนอรเ์ วย์ (Norway) เปน็ ตน้
2. ระบบสภาคู่ หรือสองสภา (Bicameral System) คือ การมี 2 สภาทาหน้าที่ควบคู่กันไป
เช่น รัฐสภาไทยมีทง้ั สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา โดยหลักการท่ีเช่ือว่าระบบสภาคู่จะทาให้มีความรอบคอบ
ในการปฏิบัติงานด้านนิติบัญญัติมากขึ้น ซ่ึงถือว่าเป็นการคานอานาจ (Check and Balance) เป็นการ
แกป้ ญั หาเผด็จการรัฐสภาไดด้ ้วย
ความเปน็ มาของรฐั สภาไทย
รัฐสภาของประเทศไทยกาเนิดข้ึนเม่ือวันที่ 28 มิถุนายน 2475 หลังการประกาศใช้ธรรมนูญช่ัวคราว
ฉบบั แรก เม่ือผู้แทนราษฎรจานวน 70 คนซ่ึงไดร้ ับการแตง่ ตง้ั จากผรู้ กั ษาพระนครฝ่ายทหาร ได้เปิดประชุมสภา
ข้ึนเป็นคร้ังแรก ณ พระท่ีนั่งอนันตสมาคม และเมื่อการเลือกต้ังผู้แทนราษฎรทั่วประเทศได้สาเร็จลง
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้พระราชทานพระท่ีน่ังอนันตสมาคมแก่ผู้แทนราษฎรเพ่ือใช้เป็นท่ี
ประชุมสืบต่อมา เม่ือจานวนสมาชิกรัฐสภาต้องเพิ่มมากข้ึนตามอัตราส่วนของจานวนประชากรท่ี เพ่ิมข้ึน จึง
เกิดความจาเป็นที่จะต้องจัดสร้างอาคารรัฐสภาท่ีมีขนาดใหญ่กว่า เพ่ือให้มีที่ประชุมเพียงพอกับจานวนสมาชิก
และมที ี่ให้ขา้ ราชการสานักงานเลขาธิการรัฐสภาใช้เป็นท่ีทางาน จึงได้มีการวางแผนการจัดสร้างอาคารรัฐสภา
ขน้ึ ใหม่ถงึ 4 คร้งั ด้วยกัน แต่ก็ต้องระงับไปถึง 3 คร้ัง เพราะคณะรัฐมนตรีผู้ดาริต้องพ้นจากตาแหน่งไปเสียก่อน
ในคร้ังท่ี 4 แผนการจัดสร้างรัฐสภาใหม่ได้ประสบผลสาเร็จ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระ
เจา้ อยู่หวั ภมู พิ ลอดุลยเดช ทรงยืนยนั พระราชประสงคเ์ ดิมที่จะให้ใช้พระที่น่ังอนันตสมาคมและบริเวณเป็นท่ีทา
การของรัฐสภาต่อไป และยังได้พระราชทานที่ดินบริเวณทิศเหนือของพระท่ีน่ังอนันตสมาคม ให้เป็นที่จัดสร้าง
สานักงานเลขาธิการรฐั สภาข้ึนใหม่ด้วย
โครงสรา้ งรฐั สภาไทย
นับแต่ พ.ศ.2475เปล่ียนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบ
ประชาธปิ ไตยในระบบรฐั สภาอนั มพี ระมหากษตั ริยเ์ ปน็ ประมขุ มรี ฐั ธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครอง
ประเทศ รฐั ธรรมนญู ได้กาหนดโครงสร้างรปู แบบของการปกครองประเทศ มีหลักการสาคัญคือระบุว่า “อานาจ
อธปิ ไตยเปน็ ของปวงชนชาวไทย” พระมหากษัตริย์ทรงใช้อานาจผ่านทางรฐั สภา คณะรฐั มนตรแี ละศาล
จากหลักการสาคัญดังกล่าวจึงเป็นที่มาของการแบ่งอานาจอธิปไตยซ่ึงเป็นอานาจสูงสุดในการ
ปกครองประเทศ 3 ฝ่าย ประกอบดว้ ย
1) ฝา่ ยนิติบญั ญตั ิ มหี นา้ ท่ใี นการออกฎหมายเพ่ือใช้บงั คบั รัฐสภาเป็นผู้ใชอ้ านาจนี้
2) ฝา่ ยบริหาร มีหนา้ ท่ใี นการบังคบั ใชก้ ฎหมาย คณะรฐั มนตรเี ปน็ ผใู้ ชอ้ านาจน้ี
50 สุรพล สยุ ะพรหม.เรือ่ งเดมิ .หนา้ 90-91.
- 87 -
3) ฝา่ ยตลุ าการ มีหนา้ ทใี่ นการพจิ ารณาอรรถคดีตา่ งๆ ศาลเปน็ ผใู้ ช้อานาจนี้
โดยทงั้ สามอานาจจะมคี วามสัมพันธ์กัน โดยมีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเป็นตัวกาหนดในแต่ละ
ยุคและสมัยของบรบิ ททางการเมือง จากประวัติศาสตร์การเมืองไทยปรากฏกว่ารัฐสภาของไทยสามารถแบ่งได้
4 ประเภท ประกอบด้วย
1) สภาเดียว มีสมาชิกมาจากการแตง่ ตง้ั ทั้งหมด เปน็ ไปตามบทบัญญัติของธรรมนูญปกครองถึง
5 ฉบับ ไดแ้ ก่ ธรรมนูญการปกครองแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2475,2502,2515,2520,2534 และ 2549
2) สภาเดียว มีสมาชิกประเภทแต่งต้ังและเลือกตั้ง เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ.2575 และ พ.ศ.2495 โดยสมาชกิ ทั้ง 2 ประเภทมสี ิทธหิ น้าทเี่ ทา่ กัน
3) สภาคู่ มีสมาชิกส่วนหนึ่งมาจากการแต่งตั้งเรียกว่า “วุฒิสภา” และอีกส่วนหนึ่งมาจากการ
เลือกต้ังเรียกว่า “สภาผู้แทนราษฎร” เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.
248,2490,2492,2511,2517,2521 และ2534
4) สภาคู่ สมาชิกมาจากการเลือกตั้งท้ัง 2 สภา เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 โดยสมาชิกทั้งสองสภามาจากการเลือกต้ังโดยตรงของประชาชน ซ่ึงนับเป็นคร้ัง
แรกในประวตั ิศาสตร์การเมอื งไทยท่ีวุฒิสภามาจากการเลือกต้ังโดยตรง
5) สภาคู่ สมาชิกรัฐสภามี 2 ประเภท ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกต้ัง
โดยตรงจากประชาชน ส่วนสภาบนคือวุฒิสภามาจากการแต่งตั้งหรือคัดสรรส่วนหนึ่งและมาจากการเลือกตั้ง
ส่วนหนึ่ง นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยท่ีสมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้งและการเลือกตั้ง
เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 โดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
กาหนดให้ท้ังสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรและสมาชกิ วฒุ ิสภา “เปน็ ผู้แทนปวงชนชาวไทย”
โครงสร้างรัฐสภาไทยตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ.2550
ปัจจุบันประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ในระบบรัฐสภา (Parliament System) ซึ่ง
เป็นระบบสภาคู่ (Bicameral System) โดยรฐั สภาประกอบด้วยสมาชกิ รฐั สภาและวฒุ สิ ภา รวม 630 คน
1. สภาผู้แทนราษฎรไทย ประกอบด้วยสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงทั้งหมด 480 คน
มาจากการเลือกต้ังแบบแบ่งเขต 40 คน และมาจากเลือกตั้งแบบสัดส่วน จานวน 80 คน และแบ่งการได้มา
ออกเป็น รูปแบบการแบ่งเขตเลือกต้ังในแต่ละจังหวัด จานวน 375 คน และรูปแบบบัญชีรายชื่อของพรรค
การเมือง โดยให้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง จานวน 125 คน ซึ่งหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกต้ัง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรูปแบบน้ี เป็นไปตามการแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่าด้วยการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ทั้งนี้ อายุของสภาผู้แทนราษฎร
มกี าหนดคราวละ 4 ปี นบั แต่วันเลอื กตงั้
2. วุฒสิ มาชกิ มี 2 ประเภท จานวน 150 คน ประเภทแรก สมาชิกวุฒิสภาท่ีมาจากการเลือกตั้ง
ในแต่ละจังหวัดจังหวัดละ 1 คน ฉะนั้นเม่ือมีจังหวัด 76 จังหวัด จึงมีสมาชิกวุฒิสภาประเภทนี้รวมจานวน 76
คนประเภทที่สอง สมาชิกวุฒสิ ภาท่ีมาจากการสรรหา จานวน 74 คน ทั้งน้ีโดยให้คณะกรรมการสรรหาสมาชิก
วุฒิสภา ดาเนินการสรรหาและคัดเลือกจากบัญชีรายช่ือท่ีคณะกรรมการการเลือกต้ังรวบรวม มาจากการเสนอ
ช่ือขององค์กรในภาควิชาการ ภาครัฐภาคเอกชน ภาควิชาชีพ และภาคอื่นท่ีเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติการ
ตามอานาจหน้าท่ีของวุฒิสภา ซ่ึงต้องดาเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับบัญชีรายชื่อจาก
คณะกรรมการการเลือกต้ังทั้งน้ี คณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา ประกอบด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญ
ประธานกรรมการการเลอื กตงั้ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
แห่งชาติประธานกรรมการ
- 88 -
ตารางประวตั ิรฐั สภาไทย
ชดุ ที่ รูปแบบ ประเภท จานวน ท่ีมา เร่มิ ตน้ สนิ้ สดุ สาเหตุ
9 ธ.ค.79 มีการเลอื กตัง้
1 สภาเดียว สภาผู้แทนราษฎร 70 แต่งตั้ง 28 มิ.ย.75 ทัว่ ไป
9 ธ.ค.80 ส้นิ สุดตามวาระ
2 สภาเดียว สมาชิกประเภทที่ 1 78 เลอื กตง้ั 15 พ.ย.76
- อยู่ตอ่ ในชุดที่ 3
(ส.ส.) (ทางอ้อม) 11 ก.ย.81 ยบุ สภา
สมาชิกประเภทที่ 2 78 แตง่ ตง้ั 9 ธ.ค.76 - อยตู่ อ่ ในชุดท่ี 4
15 ต.ค.88 ยุบสภา
3 สภาเดียว สมาชกิ ประเภทท่ี 1 91 เลือกตง้ั 7 พ.ย.80
- อยู่ต่อในชุดท่ี 5
(ส.ส.) (โดยตรง) - อยตู่ อ่ ในชุดที่ 6
สมาชิกประเภทที่ 2 91 แต่งตงั้ แตง่ ตัง้ เพมิ่ 10 พ.ค.89 ใช้ รธน.ใหม่
8 พ.ย.90 รัฐประหาร
4 สภาเดยี ว สมาชกิ ประเภทท่ี 1 91 เลือกตง้ั 12 พ.ย.81
8 พ.ย.90 รัฐประหาร
(ส.ส.) (โดยตรง) 29 พ.ย.94
29 พ.ย.94 ส้ินสดุ ตามวาระ
สมาชิกประเภทที่ 2 91 แต่งต้งั (ชุดเดมิ ) 29 พ.ย.94
25 ก.พ.500 อยู่ตอ่ ในชดุ ที่ 9
5 สภาเดยี ว สมาชิกประเภทที่ 1 96 เลือกตั้ง 6 ม.ค.89 รฐั ประหาร
-
(ส.ส.) (โดยตรง) 16 ก.ย.2500 ปฏิวตั ิ
สมาชิกประเภทท่ี 2 96 แต่งตัง้ แตง่ ต้งั เพม่ิ 16 ก.ย.2500 ประกาศใช้ รธน.
20 ต.ค.01 ปฏิวตั ิ(รัฐประหาร)
6 สองสภา สภาผแู้ ทน 178 เลือกตั้ง 5 ส.ค.89 20 ต.ค.01
20 ม.ิ ย.11 ยุบสภา
(โดยตรง) 17 พ.ย.14
รธน.ใหม่
พฤฒสภา 80 แตง่ ตงั้ 17 พ.ย.14 ยุบสภา
16 ธ.ค.16 อยู่ตอ่ ในชุด 16
7 สองสภา สภาผ้แู ทน (เลือก 99 เลอื กตง้ั 29 ม.ค.91 รฐั ประหาร
25 ม.ค.18
เพ่มิ 21+99 คน) 120 5 มิ.ย.92 12 ม.ค.19 สมาชิกสภาปฏริ ูป
รัฐประหาร
วุฒสิ ภา 100 แตง่ ตั้ง 18 พ.ย.90 - ใช้ รธน.ใหม่
6 ต.ค.19
8 สภาเดยี ว สมาชกิ ประเภทที่ 1 123 เลอื กตง้ั 26 ก.พ.95 6 ต.ค.19
20 พ.ย.19
(ส.ส.) 20 ต.ค.20
21 เม.ย.22
สมาชิกประเภทท่ี 2 123 แตง่ ตง้ั 30 พ.ย.94
9 สภาเดยี ว สมาชกิ ประเภทท่ี 1 160 เลือกตั้ง 26 ก.พ.2500
(ส.ส.) (ชดุ เดิม)
สมาชิกประเภทท่ี 2 123 แตง่ ตั้ง
10 สภาเดยี ว สมาชกิ ประเภทท่ี 1 160 เลือกต้งั 15 ธ.ค.2500
(ส.ส.) สมาชกิ ประเภทที่ 2 121 แต่งตั้ง
11 สภาเดยี ว สภาร่าง รฐั ธรรมนญู 140 แต่งต้ัง 3 ก.พ.01
12 สองสภา สภาผู้แทน 219 เลอื กตั้ง 10 ก.พ.12
วุฒิสภา (120+44) 164 แตง่ ตง้ั 4 ก.ค.11,25
ก.พ.12
13 สภาเดยี ว สภานิตบิ ญั ญตั ิ 299 แต่งตัง้ 16 ธ.ค.15
แห่งชาติ
14 สภาเดียว “ 299 “ 23 ธ.ค.16
15 สองสภา สภาผแู้ ทน ฯ (ส.ส.) 269 เลอื กตง้ั 26 ม.ค.18
วฒุ ิสภา 100 แตง่ ตง้ั 26 ม.ค.18
16 สองสภา สภาผ้แู ทนฯ (ส.ส.) 279 เลอื กตั้ง 4 เม.ย.19
วุฒสิ ภา 100 แตง่ ต้งั (ชุดเดมิ )
17 สภาเดียว สภาทป่ี รึกษา นรม. 24 แตง่ ต้ัง 22 ต.ค.19
18 สภาเดยี ว สภาปฏริ ปู ฯ 340 แตง่ ตั้ง 20 พ.ย.19
19 สภาเดียว สภานิตบิ ญั ญตั ิ ฯ 360 แต่งตั้ง 19 พ.ย.20
- 89 -
20 สองสภา สภาผู้แทนฯ(ส.ส.) 301 เลือกต้งั 22 เม.ย.22 19 ม.ี ค.26 ยุบสภา
วฒุ ิสภา 225 แต่งตง้ั 22 เม.ย.22 - อยตู่ ่อในชุด 21
324 เลือกตง้ั 18 เม.ย.26 ยุบสภา
21 สองสภา สภาผแู้ ทนฯ(ส.ส.) 243 แตง่ ตง้ั 22 เม.ย.26 1 พ.ค.29 อยูต่ ่อในชดุ 22
วฒุ สิ ภา (เพ่ิม 17) 347 เลือกตั้ง 27 ก.ค.29 - ยุบสภา
260 แตง่ ตง้ั 28 ก.ค.29 อยู่ต่อในชดุ 23
22 สองสภา สภาผู้แทนฯ(ส.ส.) 357 เลอื กตั้ง 24 ก.ค.31 29 เม.ย.31 รสช.ยึดอานาจ
วุฒสิ ภา (เพ่มิ 17) 267 แต่งตง้ั 25 ก.ค.31 -
292 แต่งตงั้ 15 มี.ค.34 ใช้ รธน.ใหม่
23 สองสภา สภาผู้แทนฯ(ส.ส.) 360 เลอื กตั้ง 22 มี.ค.35 23 ก.พ.34 ยุบสภา
วุฒิสภา (เพิ่ม 7) 270 แต่งต้ัง 22 มี.ค.35 23 ก.พ.34 อย่ตู ่อในชดุ 26
360 เลอื กตั้ง 13 ก.ย.35 21 ม.ี ค.35 ยบุ สภา
24 สภาเดียว สภานติ บิ ัญญตั ิฯ 270 แต่งตงั้ (ชดุ เดมิ ) 30 ม.ิ ย.35 อยู่ตอ่ ในชดุ 27
360 เลือกต้ัง 2 ก.ค.38 ยุบสภา
25 สองสภา สภาผู้แทนฯ(ส.ส.) 270 แต่งตง้ั (ชดุ เดิม) - สนิ้ สดุ ตามวาระ
วุฒิสภา 260 แต่งตง้ั 19 พ.ค.38 อยู่ตอ่ ในชุดที่ 28
393 เลือกตั้ง 17 พ.ย.39 ยุบสภา
26 สองสภา สภาผู้แทนฯ(ส.ส.) 262 แต่งตงั้ (ชดุ เดมิ ) - ตามวาระ 4 ปี
วุฒสิ ภา 500 เลอื กตง้ั 6 ม.ค.44 27 ก.ย.39 ครบวาระ 4 ปี
27 สองสภา สภาผู้แทนฯ(ส.ส.) 200 เลอื กต้งั 22 มี.ค.4351 9 พ.ย.43
วฒุ ิสภา 500 เลอื กตง้ั 6 ก.พ.48 21 มี.ค.43
5 ม.ค.48
28 สองสภา สภาผู้แทนฯ(ส.ส.) 200 ชุดเดิม
29 สองสภา วุฒิสภา 19 ก.ย.49 - อยูต่ อ่ ชดุ 30
24 ก.พ.49
30 สองสภา สภาผแู้ ทนฯ (ส.ส.) 250 11 ต.ค.49 ยุบสภา เกดิ ความ
-บัญชรี ายชือ่ 100, 480 เลือกตัง้ 29 ม.ค.51 21 มี.ค.49 ไม่สงบทาง
ส.ส.เขต 400 150 เลอื กตงั้ + 2 มี.ค.54+12 การเมือง
วุฒสิ ภา 22 ธ.ค.50
แตง่ ตั้ง เม.ย.54 9 พ.ค.54 รัฐประหาร
สภาผแู้ ทนฯ(ส.ส.) “ 23 ส.ค.54
มกี ารเลอื กต้ัง
วฒุ ิสภา
31 สภาเดียว สภานิตบิ ญั ญตั ฯิ ยุบสภา
32 สองสภา สภาผูแ้ ทนฯ (ส.ส.)
33 สองสภา สภาผแู้ ทนฯ(ส.ส.)
วุฒิสมาชิก
34 สองสภา “ - ชุดเดมิ
9 ธ.ค.56 ยบุ สภา
อานาจหน้าท่ขี องรฐั สภา
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กาหนดให้รัฐสภาประกอบด้วย สภา
ผู้แทนราษฎรมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจานวน 500 คน และวุฒิสภา มีสมาชิกวุฒิสภา จานวน 150 คน
สาหรับบทบาทของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นประกอบด้วยบทบาทภายในสภา ซ่ึงได้แก่ อานาจในการตรา
กฎหมาย อานาจในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน และอานาจในการให้ความเห็นชอบ เป็นต้น
นอกจากน้ัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังต้องสร้างบทบาทภายนอกสภาผู้แทนราษฎรในการช่วยเหลือแก้ไข
ปัญหาต่าง ๆ ของประชาชน และในด้านเวทีต่างประเทศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีบทบาทสาคัญยิ่งในการ
เสรมิ สร้างความสมั พนั ธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกบั ต่างประเทศอกี ด้วย
51 บทเฉพาะกาลรฐั ธรรมนูญ พ.ศ.2540 บัญญัติให้ ส.ว.ที่มาจากการแต่งต้ังตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2534 ทาหน้าท่ีจนครบ 4 ปี
คอื วันท่ี 21 ม.ี ค.43 โดย ส.ว. มาจากการเลือกตั้งเม่ือ 4 มี.ค.43 เร่มิ นับวาระตัง้ แต่ 22 มี.ค.43 จนครบ 6 ปี ใน 21 มี.ค.49
- 90 -
1. สภาผแู้ ทนราษฎร หรือสภาล่าง มบี ทบาทหน้าท่ีหลกั 4 ด้าน
1) ดา้ นนิตบิ ัญญัติ หรือการตรากฎหมาย
2) การควบคุมฝ่ายบริหาร ได้แก่ การตั้งกระทู้ถาม การอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีหรือ
รัฐมนตรี
3) การเป็นผแู้ ทนของปวงชนชาวไทย โดยไม่ตกอยู่ในอาณัติ มอบหมาย หรือความครอบงาใดๆ
มคี วามเปน็ อิสระปราศจากการครอบงา
4) พิจารณาให้ความเห็นชอบเร่ืองต่างๆ เช่น การประกาศสงคราม (ระหว่างยุบสภาให้
วุฒิสมาชิกทาหน้าที่) การทาสญั ญากบั นานาประเทศ เป็นต้น
2. วุฒสิ ภา มฐี านะเปน็ สภาบน หรือสภาสูง มีอานาจหน้าทห่ี ลกั 7 ด้าน ประกอบด้วย
1) ดา้ นนติ ิบัญญตั ิ เช่น การกล่นั กรองกฎหมาย พจิ ารณาอนมุ ตั พิ ระราชกาหนด เปน็ ตน้
2) ด้านการตรวจสอบการบรหิ ารราชการแผน่ ดิน เช่น การตั้งกระทู้ถาม การอภิปรายทั่วไปโดย
ไม่ลงมติ การตง้ั คณะกรรมาธกิ าร เปน็ ตน้
3) ด้านการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เช่น เข้าช่ือเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อ
วินิจฉัยข้อบังคับการประชุมขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ ภายหลังที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ก่อน
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
4) ด้านการเลือกหรือให้ความเห็นชอบบุคคลดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระและศาล เช่น การ
เลอื กตลุ าการศาลยุตธิ รรม กรรมการตุลาการศาลปกครอง การแต่งตั้งและให้อัยการสูงสุดพ้นตาแหน่งหลังจาก
คณะกรรมการอยั การมีมติ
5) ด้านการถอดถอนบุคคลออกจากตาแหน่ง เช่น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎร สมาชิกวฒุ ตสิ ภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด
ตลุ าการศาลรฐั ธรรมนูญ กรรมการการเลือกต้ัง ผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้พิพากษาตุลาการ พนักงานอัยการ หรือผู้
ทดี่ ารงระดับสูงทีส่ อ่ กระทาผิดตอ่ ตาแหนง่ หน้าที่ราชการ ฯ เปน็ ตน้
6) ดา้ นการเปน็ ผูแ้ ทนปวงชนชาวไทย เช่นเดยี วกับสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร
7) ด้านการพิจารณาให้ความเห็นชอบเรื่องต่างๆ เช่นเดียวกับบทบาทอานาจหน้าที่ของสภา
ผู้แทนราษฎร และในกรณที ี่มกี ารยุบสภาผู้แทนราษฎรให้วุฒสิ ภาทาหนา้ ทีแ่ ทนในส่วนที่กฎหมายบัญญัติ
จะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนญู กาหนดบทบาทและอานาจหนา้ ที่ให้วุฒิสภาเป็นสภากล่ันกรองกฎหมาย
ที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว นอกจากทาหน้าท่ีเป็นสภากลั่นกรองแล้วยังมีบทบาทในการ
เปน็ สภาตรวจสอบ และควบคมุ การใชอ้ านาจรัฐอกี ด้วย
โครงการสถาบันตลุ าการ
อานาจตุลาการของไทย เป็น 1 ใน 3 เสาหลักของอานาจอธิปไตย เคียงคู่ ดุล และคาน กับอานาจ
อธิปไตยด้านการบริหารและนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของรัฐชาติประชาธิปไตยอันเป็นท่ียอมรับใน
สากล ในประวัติศาสตร์ไทย อานาจตุลาการมีความเป็นมาสืบเนื่องมาอย่างยาวนานและต่อเนื่องนับร้อยปีและ
ได้วิวัฒนาการมาอย่างไม่มีการสะดุดหยุดยั้ง จากระบบกฎหมายแบบประเพณี มาสู่การสร้างระบบกฎหมาย
แบบประมวล ท่ีมีความทันสมัยและได้มาตรฐานทัดเทียมนานาอารยประเทศ ขณะที่อานาจอธิปไตยในด้านนิติ
บัญญตั แิ ละดา้ นบรหิ ารอาจมกี ารเปล่ยี นแปลงหรอื การชะงกั งันในประวัตศิ าสตร์การเมืองของไทย แต่ระบบตุลา
การมีความมั่นคง ต่อเน่ือง และเป็นท่ียอมรับของทุกฝ่ายในสังคมไทยเสมอมา โดยไม่ได้รับผลกระทบจากการ
เปล่ียนแปลงทางการเมืองท่ีเกิดข้ึน กระบวนการคัดสรรบุคลากรผู้มาเป็นตุลาการ ได้รับการยอมรับนับถือจาก
สงั คมไทยว่ามีความเป็นวชิ าชพี สูงมีจรรยาบรรณ และเป็นกระบวนการคัดสรรท่ีเป็นประชาธิปไตยภายในระบบ
ตุลาการเองที่มีความเข้มงวด ปลอดจากการแทรกแซงภายนอก และเป็นอิสระ ประชาชนในชาติถือเป็นท่ีพ่ึง
- 91 -
เสมอมา กลา่ วได้ว่า สังคมไทยเช่ือมั่นในความบริสุทธิ์และยุติธรรมของอานาจตุลาการตลอดมา ระบบตุลาการ
ไทยมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับกับสภาพการณ์ของสังคมที่มีวิวัฒนาการ เพ่ือสามารถจรรโลงความ
ยุติธรรมใหแ้ กส่ ังคมไดอ้ ย่างทันสมัย เช่น ได้มีการจัดตั้งองค์การทางตุลาการเพ่ิมข้ึนจากศาลยุติธรรมท่ีมีอยู่เดิม
เช่น ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนญู รวมทงั้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง เป็นต้น ซ่ึง
เป็นโครงสร้างตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี 2540 และฉบับปัจจุบันคือฉบับปี 2550
โครงสร้างใหม่เหล่านี้จึงอยู่คู่กับฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติอย่างต่อเน่ืองมากว่า 10 ปี แล้วโดยไม่มีความ
กังขาใดๆ ศาลท้ังหลายต้องพิพากษาอรรถคดีและทาหน้าท่ีของตนด้วยความยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญ ตาม
กฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ และพระมหากษัตริย์ทรงมีพระบรมราชโองการแต่งต้ังผู้
พิพากษา อีกทั้งรฐั ธรรมนญู ยังกาหนดให้ผ้พู ิพากษาถวายสัตย์ปฏญิ าณต่อพระมหากษัตรยิ ์ก่อนเข้ารับหน้าที่ด้วย
แต่ก็ถือเป็นบทบาทในเชิงสัญลักษณ์ เพราะการแต่งต้ังผู้พิพากษานั้นเป็นไปตามกระบวนการและขั้นตอนการ
คัดสรรของระบบตุลาการเอง ซ่ึงบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยในกรณีน้ี ก็ไม่แตกต่างจาก
ประเพณีปฏิบัติในประเทศที่มีระบอบการปกครองเช่นเดียวกับไทยคือสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ภ ายใต้
รัฐธรรมนญู อาทิ สหราชอาณาจักร เปน็ ตน้
สถาบันตุลาการของไทย แม้จะประกอบด้วยศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ แต่
ในทางวิชาการแล้ว ระบบศาลของไทยเป็น ”ระบบศาลคู่” เนื่องจากเป็นระบบท่ีกาหนดให้ศาลยุติธรรมมี
อานาจหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดคดีแพ่งและคดีอาญา หรือคดีพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนโดยท่ัวไป ส่วนการ
วินิจฉัยชี้ขาดคดีปกครองหรือคดีที่เอกชนพิพาทกับฝ่ายปกครองเกี่ยวกับการใช้อานาจทางปกครองน้ัน อยู่ใน
อานาจหน้าที่ของศาลปกครอง ซึ่งมีระบบศาลและระบบผู้พิพากษาแยกต่างหากจากระบบศาลและระบบผู้
พิพากษาของศาลยุตธิ รรม
ศาลยุติธรรมมีเขตอานาจพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดอรรถคดีต่างๆ โดยรัฐธรรมนูญกาหนดให้มีอานาจใน
การพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแตค่ ดีท่รี ฐั ธรรมนูญหรอื กฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอานาจของศาลอ่ืน ทาให้
ศาลยตุ ธิ รรมมีบทบาทเปน็ ศาลหลักซึ่งมีเขตอานาจเป็นการท่ัวไปที่ต้องรับคดีท่ีไม่อยู่ในเขตอานาจของศาลอ่ืนๆ
ท่ีเป็นศาลเฉพาะไว้พิจารณาพิพากษา แต่โดยท่ัวไปแล้ว ศาลยุติธรรม มีอานาจหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษา
คดแี พง่ และคดีอาญาเปน็ หลกั
อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาซึ่งนับว่าเป็นศาลสูงสุดในระบบศาลยุติธรรมได้จัดโครงสร้างให้มีแผนกต่างๆ
เพ่ือรับผิดชอบคดีเฉพาะด้าน เช่น แผนกคดีผู้บริโภค แผนกคดีส่ิงแวดล้อม แผนกคดีล้มละลาย แผนกคดี
เลือกตั้ง หรือแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง ซึ่งในยุคแห่งการปฏิรูปการเมือง ศาลยุติธรรม
โดยเฉพาะศาลฎีกาแผนกคดเี ลือกตัง้ และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองถูกจัดต้ังขึ้น
เพอ่ื ให้มบี ทบาทอานาจหนา้ ทใ่ี นการแกไ้ ขปญั หาของสงั คมไทย หรอื อกี นยั หนงึ่ คือการปฏิรูปการเมือง ดังจะเห็น
ไดจ้ ากบทบญั ญัตริ ฐั ธรรมนูญและกฎหมายดงั น้ี
- ศาลฎีกามอี านาจหน้าที่วินิจฉัยคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และการเพิกถอนสิทธิเลือกต้ังในการเลือกตั้ง
สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรและการไดม้ าซ่ึงสมาชกิ วุฒสิ ภา
- ศาลอุทธรณ์มีอานาจหน้าที่วินิจฉัยคดีเก่ียวกับการเลือกตั้ง และการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งในการ
เลอื กต้ังสมาชิกสภาทอ้ งถนิ่ และผ้บู รหิ ารทอ้ งถ่นิ
- ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองมีอานาจหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดกรณี ผู้ดารง
ตาแหน่งทางการเมืองมีทรัพย์สินเพิ่มข้ึนผิดปกติ และการย่ืนบัญชีทรัพย์สินหน้ีสินของผู้ดารงตาแหน่งทาง
การเมอื ง
- ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผดู้ ารงตาแหน่งทางการเมืองมีอานาจหน้าท่ีพิจารณาพิพากษา คดีอาญา
ผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง กรณีถูกกล่าวหาว่าร่ารวยผิดปกติ กระทาความผิดต่อตาแหน่งหน้าท่ีราชการตาม
ประมวลกฎหมายอาญา หรอื กระทาความผิดตอ่ ตาแหนง่ หนา้ ท่ี หรือทจุ รติ ต่อหน้าท่ีตามกฎหมายอืน่
- 92 -
ศาลปกครอง มีอานาจหน้าท่ีหลักคือวินิจฉัยคดีช้ีขาดคดีในทางกฎหมายมหาชน ที่เรียกว่า “คดี
ปกครอง” รวมถึงการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของกฎ ระเบียบ คาสั่ง หรือการกระทาทาง
ปกครอง สัญญาทางปกครองหรอื นิติกรรมทางปกครองตา่ งๆ
ศาลรัฐธรรมนูญ มีอานาจหน้าท่ีหลักคือวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือข้อพิพาทเก่ียวกับรัฐธรรมนูญ การ
ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย การวินิจฉัยช้ีขาดอานาจหน้าท่ีระหว่างองค์กรต่างๆ การ
วินิจฉัยช้ีขาดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการการเลือกต้ัง การวินิจฉัยช้ีขาดสมาชิกภาพของ
รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา รวมไปถึงการควบคุมตรวจสอบพรรคการเมืองให้เป็น
ประชาธิปไตย
กล่าวโดยสรุป สถาบันตุลาการไทยถูกกาหนด (โดยกฎหมายสูงสุดคือรัฐธรรมนูญ) ให้เป็นสถาบันที่มี
บทบาทอานาจหน้าท่ีในการปฏิรูปการเมือง ท้ังในยุคท่ี 1 และยุคท่ี 2 โดยที่นอกจากบทบาทอานาจหน้าท่ี
โดยท่ัวไป ท่ีต้องพิจารณาพิพากษาอรรถคดีต่างๆ ท่ีอยู่ภายในเขตอานาจแล้ว (ซึ่งต้องเป็นไปโดยยุติธรรมตาม
รัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภไิ ธยพระมหากษตั รยิ ์) ยงั กาหนดใหส้ ถาบนั ตุลาการมีเขตอานาจใน
คดีทางการเมืองหรือคดีที่เก่ียวพันกับการเมือง ซ่ึงเป็นบทบาทใหม่ที่ท้าทายมาก ว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมาย
ได้หรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น กาหนดให้สถาบันตุลาการเข้าไปมีบทบาทอานาจหน้าที่ในกระบวนการสรรหาและ
แต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา รวมทั้งบุคคลดารงตาแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้องค์กรเหล่าน้ีไปใช้อานาจ
หน้าท่ีในการควบคุมตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ และเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรนิติบัญญัติของไทยในอีกแง่หนึ่ง
“การตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย” โดยศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองน้ัน เป็น
บทบาทอานาจหน้าท่ีซึ่งสอดคล้องกับ “หลักนิติธรรม” ที่กาหนดให้การออกกฎหมายของรัฐสภามีระบบการ
ตรวจสอบความถูกต้อง ชอบธรรมของกระบวนการพิจารณาให้ความเห็นชอบ และการตรวจสอบเน้ือหาสาระ
ของกฎหมาย รวมทั้งระบบการตรวจสอบการบังคับใช้กฎหมาย กฎ คาส่ัง หรือการกระทาของเจ้าหน้าท่ีรัฐ
ต่างๆ ว่าเปน็ ไปด้วยความถูกต้อง ชอบธรรม ภายใต้ขอบเขตอานาจทกี่ ฎหมายกาหนดไวห้ รือไม่ อย่างไร
ระบบการเลอื กตงั้
การเลือกต้ัง (Election) หมายถึง กิจกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ด้วยการ
เลือกตง้ั ผู้แทนของตน เพ่ือทาหน้าทีใ่ นรัฐสภาและในรฐั บาล เปน็ กิจกรรม ท่ีประชาชนแสวงหาทางเลือก และ
ตอบสนองความต้องการของตนเอง
การเลือกตั้ง (Election) เป็นกระบวนการทางประช าธิปไตยแบบทางอ้อม ( indirect
democracy) ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เลือกตัวแทนของตนเข้ามาดารงตาแหน่งต่างๆ โดยส่วนใหญ่จะ
หมายถึง ตาแหน่งทางการเมือง และการเลือกตั้งเป็นกระบวนการสรรหาตัวผู้ปกครองกระบวนการหน่ึง ในรัฐ
เสรีประชาธิปไตย การเลือกต้ังถือเป็นกระบวนการแต่งตั้งผู้ซึ่งจะเข้าไปดารงตาแหน่งทางการเมือง โดยผู้มี
สิทธิออกเสียงลงคะแนน ซึ่งถือว่าเป็นองค์กรผู้แต่งตั้งแสดงเจตนาออกเสียงลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครรับ
เลอื กต้ัง คะแนนเสยี งดงั กลา่ วจะได้รบั การนับและนามาคานวณเพ่ือให้ได้ผลว่าบุคคลใด จะเป็นผู้ได้รับแต่งต้ัง
ใหด้ ารงตาแหน่งทางการเมือง การเลอื กต้งั เปน็ วิธีการหน่ึงในหลายวิธีการในการที่จะให้ประชาชนเข้ามามีส่วน
ร่วมในกระบวนการตัดสินใจทางการเมืองเคียงคู่ไปกับวิธีการอ่ืนๆ เช่น การให้ประชาชนมาออกเสียงแสดง
ประชามติในการตัดสนิ ใจทางการเมอื งที่สาคญั เปน็ ตน้
นอกจากการเลือกต้ังจะเป็นเคร่ืองแสดงออกซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างหลักเสียงข้างมากกับหลักการ
คุ้มครองเสียงข้างน้อยแล้ว การเลือกต้ังยังเป็นเครื่องแสดงออกซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบมี
ผ้แู ทนซง่ึ เปน็ การปกครองที่ได้รับความยินยอมจากประชาชนอกี ดว้ ย ทวี่ ่าเปน็ การปกครองท่ไี ด้รับความยินยอม
จากประชาชน ก็เน่ืองจากประชาชนไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการใช้อานาจรัฐโดยตรง แต่ประชาชนซ่ึงเป็นผู้
- 93 -
ทรงอานาจแห่งรัฐให้ความยินยอมผู้แทนของตนใช้อานาจรัฐได้ตามระยะเวลา หรือตามวาระที่กาหนดไว้
ล่วงหน้าในรัฐธรรมนูญ การเลือกต้ังในรัฐเสรีประชาธิปไตยมีข้ึนเพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์ เช่นเพ่ือให้มีการ
แข่งขันกันในทางนโยบายระหว่างกลุ่มหรือพรรคการเมืองเพ่ือให้ได้มาซ่ึงผู้แทนทางการเมืองที่ดี เพื่อให้มีการ
โอนความเช่อื ถอื ไวว้ างใจของประชาชนไปยังบุคคลผู้ได้รับเลอื กตัง้ และพรรคการเมืองต่าง ๆ เป็นต้น
ความสาคัญของการเลือกตั้ง สรปุ ได้ 3 ประการ
1.เป็นกระบวนการเลือกสรรและสรา้ งความ
ชอบธรรม แกผ่ ู้ทจ่ี ะมาปกครอง ชว่ ยให้การสบื ตอ่ อานาจการปกครอง เปน็ ไปอยา่ งสนั ติวิธี
2. เปน็ มาตรการหนึ่งที่จะควบคมุ กากับ และตรวจสอบการทางานของผปู้ กครอง
3.เปน็ การแสดงออกซงึ่ การเป็นเจา้ ของอานาจอธิปไตยของประชาชน ให้โอกาสประชาชนจานวนมาก
ได้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง
แนวความคิดเก่ียวกับการเลอื กต้งั
1. การเลือกตัง้ เปน็ องคป์ ระกอบท่สี าคัญท่สี ดุ ของระบบการเมอื งในการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย
1) เปน็ การตดั สนิ ใจของประชาชนผ้เู ป็นเจา้ ของอานาจอธิปไตย
2) เป็นการแสดงออกซึง่ เจตนารมณท์ ่ัวไปของประชาชนสว่ นใหญต่ ้องการอะไร
2. ทฤษฎเี กี่ยวกบั แนวความคิดในการเลือกต้งั แบ่งออกเปน็ 2 แนวความคดิ คือ
1) การเลือกตงั้ เป็นเร่ืองของสิทธิ กลา่ วคอื ประชาชนซ่ึงเป็นเจ้าของอานาจอธปิ ไตยมสี ิทธิในการ
เลอื กต้งั สิทธดิ งั กล่าวเป็นสิทธิเฉพาะตวั ไม่มีผใู้ ดเพิกถอนสิทธนิ ้ไี ด้ ดงั นัน้ การไปใชส้ ทิ ธลิ งคะแนนเสยี งเลือกต้ัง
หรอื ไม่ จงึ เป็นเรื่องของแตล่ ะบคุ คล
2) การเลอื กตงั้ ตั้งเปน็ เร่ืองของหน้าที่ กล่าวคอื อานาจอธปิ ไตยเป็นของปวงชนโดยสว่ นรวม ซึ่ง
หมายถงึ ชาติ ฉะน้ัน ผูท้ ่ีมสี ว่ นร่วมในการใช้อานาจอธปิ ไตยจงึ ต้องมหี น้าที่
3. ประเทศตา่ งๆ สว่ นใหญก่ าหนดเกณฑ์อายุผู้มสี ิทธลิ งคะแนนเสยี งเลือกต้ัง 18 ปีบรบิ รู ณแ์ ล้ว
ประเทศไทยเคยกาหนดไวท้ ่ี 20 ปบี รบิ ูรณ์ ปัจจุบนั เปล่ียนเป็น 18 ปบี ริบรู ณ์
4. ประเทศทว่ั ๆ ไปนยิ มกาหนดเขตเลอื กตงั้ เปน็ เขตพื้นที่ย่อยๆ เพ่อื ความสะดวกในการเลือกตั้ง
สาหรับข้อควรคานึงถึงในการกาหนดเขตเลือกตั้งนั้นมี 3 ประการ ดังนี้
1) คานึงถงึ ผมู้ ีสิทธิออกเสียง โดยแบ่งใหเ้ ทา่ ๆ กัน หรอื ใกล้เคยี งกัน
2) คานึงถงึ เขตพ้นื ทที่ ี่กาหนดโดยธรรมชาติ หรือโดยทางภูมิศาสตร์
3) ควรมีการทบทวนการแบ่งเขตเลือกตัง้ อยู่เสมอ
5. การกาหนดเขตเลือกตั้ง อาจทาได้ 2 วธิ ี คือ
1) แบบแบ่งเขต หมายถึง การแบ่งเขตพ้ืนทท่ี างการปกครองออกเปน็ เขตๆ แตล่ ะเขตจะมผี ู้แทน
ได้ 1 คน โดยถือเกณฑป์ ระชาชน 150,000 – 200,000 คน ต่อผแู้ ทนราษฎร 1 คน ประชาชนในแตล่ ะเขตมี
สทิ ธิเลือกผู้แทนไดเ้ พียงคนเดียว (One Man One Vote)
2) แบบรวมเขต หมายถึง การถือเขตพื้นท่ีทางการปกครองเป็นเขตเลือกต้ังเขตหน่ึง ประชาชน
ในเขตเลือกต้งั นนั้ มสี ิทธเิ ลือกผแู้ ทนของตนตามจานวนผู้แทนทีจ่ ะมไี ด้ในเขตนน้ั (One Man Several Vote)
6. สถานภาพของผู้ได้รับการเลือกต้ังเป็นผู้แทนราษฎรนั้น ในปัจจุบันทุกประเทศถือว่า ผู้ได้รับการ
เลือกตงั้ เป็นผู้แทนของปวงชนทง้ั ประเทศ
วธิ ีและระบบการเลอื กต้ัง
1. วิธีการเลือกตง้ั แบ่งออกเป็น 2 วธิ ี คือ
- 94 -
1) การเลอื กต้งั โดยตรง (Direct Election) เป็นวิธกี ารเลอื กตงั้ ทใ่ี หป้ ระชาชนได้ออกเสยี ง
ลงคะแนนผสู้ มัครรบั เลือกตั้งโดยตรง
2) การเลอื กตั้งโดยอ้อม (Indirect Election) เปน็ การเลือกตั้งโดยประชาชนผ้อู อกเสยี ง
ลงคะแนนเสียงเพื่อเลอื กคณะบุคคลข้นึ คณะหนึ่ง แลว้ บคุ คลคณะนี้จะไปเลือกตั้งผแู้ ทนราษฎรอกี ต่อหนงึ่
2. ระบบการเลอื กตั้ง แบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ
1) การเลือกตั้งแบบคะแนนเสียงข้างมาก (Majority Electoral System) โดยถือว่าผู้ได้รับ
คะแนนเสยี งสงู สดุ เปน็ ผูไ้ ด้รบั การเลือกต้ัง ซ่ึงระบบนี้แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คือ
- ระบบการเลือกต้ังแบบคะแนนเสียงข้างมากรอบเดียว โดยถือว่าผู้ได้คะแนนเสียงสูงสุดเป็น
ผชู้ นะการเลอื กตง้ั ระบบนใี้ ชอ้ ยใู่ นประเทศองั กฤษ และประเทศในเครือจักรภพ
- การเลือกต้ังแบบคะแนนเสียงข้างมากสองรอบ โดยถือว่าผลการเลือกตั้งรอบแรก ถ้าผู้ใดได้
คะแนนเสยี งเกนิ ก่งึ หนง่ึ ของคะแนนเสียงทั้งหมด ผู้น้ันจะได้รับเลือกตั้งเลย แต่หากคะแนน เสียงรอบแรกไม่มีผู้
ไดเ้ กนิ กึ่งหนึง่ กต็ ้องมีการลงคะแนนเสียงรอบทสี่ อง ผู้ใดไดค้ ะแนนเสียง สูงสดุ ผนู้ ้นั ชนะการเลือกต้ัง ระบบนี้ใช้
อย่ใู นฝรง่ั เศส
2) ระบบการเลือกตั้งแบบมีตัวแทนตามสัดสว่ นของคะแนนเสียง ปจั จบุ ันประเทศตา่ งๆ ในแถบ
ยโุ รปตะวนั ตกใชร้ ะบบการเลือกต้งั นี้ ซึ่งการคดิ สัดสว่ นของคะแนนเสยี งระบบนม้ี สี ตู รและวิธีคิดท่แี ตกตา่ งกัน
จงึ ยากที่จะรวบรวมมาเป็นหลักเกณฑไ์ ด้
3. ระบบการเลือกตั้งในประเทศญป่ี นุ่ น้นั แตกต่างไปจากระบบการเลือกต้ังทง้ั สองระบบ กล่าวคือ
1) ญปี่ ุ่นกาหนดเขตเลือกต้งั ใหผ้ ู้แทนราษฎรได้หลายคนในแต่ละเขตเลอื กต้งั
2) การออกเสียงเลือกต้ังน้นั ผอู้ อกเสยี งเลอื กตั้งจะเลือกผู้สมัครรับเลอื กต้ังไดเ้ พยี งคนเดียว
3) ผู้ทไ่ี ด้รับคะแนนสูงสุดจะเป็นผ้ไู ดร้ บั เลอื กตงั้
4. ขอ้ สังเกตเกีย่ วกับระบบการเลือกตั้ง สง่ ต่อการพฒั นาการเมอื ง
1) ระบบการเลือกตั้งแบบคะแนนเสียงขา้ งมาก เอ้ือใหเ้ กิดระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรค
2) ระบบการเลือกตั้งแบบมีตัวแทนตามสัดส่วนของคะแนนเสียง เอ้ืออานวยให้เกิดระบบพรรค
การเมือง แบบหลายพรรค
อัษฎางค์ ปาณิกบุตร52 อธิบายว่า ประเทศท่ีเป็นประชาธิปไตยต้องมีการเลือกตั้ง ในประเทศเผด็จ
การคอมมิวนิสต์ก็ยังมีการเลือกตั้งแต่รูปแบบและวิธีการย่อมแตกต่างกันออกไป ข้ึนอยู่กับสภาพแวดล้อม
ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของแต่ละประเทศ
ประเทศท่ีด้อยพัฒนาหรือกาลังพัฒนาก็จะเอาตัวอย่างหรือวิธีการเลือกต้ัง มาจากประเทศท่ีพัฒนา
แล้วแทบท้งั สิน้ ขึน้ อยูก่ ับว่าวิธกี ารใดจะเหมาะสมกับประเทศของตน
สาหรับประเทศไทยมีการเลือกต้ังมา 20 กว่าคร้ัง ลองผิดลองถูกมาหลายแบบ ตั้งแต่การเลือกตั้งครั้ง
แรกเม่ือ 15 พฤศจิกายน 2476 ซ่ึงเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกของประเทศไทย ภายหลังการเปล่ียนแปลงการ
ปกครองสมบรู ณาญาสิทธริ าช (Absolut Monarchy) มาเป็นประชาธิปไตย (Democracy)
เป็นการเลือกตั้งท่ีเรียกว่า เลือกต้ังโดยวิธีอ้อม ซ่ึงเป็นครั้งเดียวของประเทศไทย นอกนั้นเป็นการ
เลือกตัง้ โดยตรงท้ังหมด มีทงั้ แบ่งเขต รวมเขต แบบผสมรวมเขตกบั แบ่งเขต
การกาหนดจานวน ส.ส. หรือผู้แทนราษฎรใช้จานวนประชากรเป็นตัวคานวณ ซ่ึงบางประเทศใช้หลัก
ของเขตแดนเป็นตวั คานวณ
52 อษั ฎางค์ ปณกิ บุตร.” ระบบการเลือกตั้ง”มตชิ นวนั จนั ทร์ ท่ี 7 ตุลาคม 2539. หนา้ 21
- 95 -
ในทางทฤษฎีน้ันผู้แทนควรมาจากเขตท่ีแน่นอนจะมีความเหมาะสมกว่าเช่นเขตของอาเภอเป็นต้นถ้าใช้
จานวนประชากรทาให้เปน็ ปัญหาในการแบ่งเขต เพราะต้องไปตัดเอาพ้ืนท่ีของอีกอาเภอหน่ึงมาปะกับอาเภอที่
มีประชากรไม่ครบจานวนทกี่ าหนดไว้ ทาให้ประชาชนมีความร้สู กึ สับสน
แต่ผู้มีอานาจในการแบ่งเขตของประเทศไทยก็ไม่ให้ความใส่ใจในประเด็นน้ี เช่นอาเภอ ท่าศาลา ของ
นครศรีธรรมราชถูกตัดออกเป็น 3 ส่วน ทาให้ประชาชนไม่มีโอกาสเลือกผู้แทนท่ีตนต้องการ เพราะต้องไปรวม
กบั เขตอ่นื ทาให้ตอ้ งไปเลอื กคนท้องถนิ่ อ่นื เปน็ ผ้แู ทนของตน
ยังไม่มีการศึกษาวิจัยท่ีชัดเจนว่าวิธีการเลือกตั้งท่ีไทยนามาใช้นั้น แบบไหนดีท่ีสุดและเหมาะสมกับ
ประเทศของเรา แต่นักวชิ าการกไ็ ด้มีการศึกษาแบบใหม่มากพอสมควรและนามาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2540
เรียกว่าการเลือกตั้งระบบสัดส่วนและเขตละ 1 คน (Proportional Representation and Single Member
Constituency หรอื The first past the post)
คณะกรรมการวสิ ามัญศึกษาแนวทางแกไ้ ขรัฐธรรมนูญเปน็ ผูท้ าการศึกษารฐั ธรรมนูญไทยว่ามีจุดอ่อน
และข้อบกพร่องอะไรบ้าง ก่อนที่จะขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2534 ทั้งหมด 25 ประเด็นแต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจของ
สมาชิกรัฐสภา จงึ ไดเ้ กิดคณะกรรมการปฏิรูปการเมืองขึน้ ในปี 2538 เพ่ือศึกษาหาวิธีการในการร่างรัฐธรรมนูญ
ใหม่ มีการเปล่ียนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้น ทาให้เกิดสภาร่างรัฐธรรมนูญในปี 2539 และได้ดาเนินการร่าง
รัฐธรรมนญู ในปี 2540 เสร็จและประกาศใช้เมอ่ื ตุลาคม 2540
ระบบการเลอื กต้ังท่ีได้ศึกษาไว้ต้ังแต่ปี 2536 ได้ถูกนามาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2540 แต่ขาดการ
ประชาสัมพันธ์ในหลักการและรายละเอียดของระบบน้ีให้นักการเมืองและประชาชนเข้าใจให้ลึกซึ้งพอ จึงถูก
นาไปใช้ในทางทีเ่ หน็ แกต่ วั ทาให้สังคมเข้าใจผิดในหลักการและสาระสาคัญ และคิดไปในทานองที่ว่าระบบการ
เลอื กตัง้ นีไ้ ม่ดี แมแ้ ต่สมาชกิ สภารา่ งรัฐธรรมนูญปัจจุบันก็มีความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป ยังไม่ทราบว่าจะลง
เอยในรูปแบบใด
ระบบเลือกต้ังนี้เชื่อว่าเยอรมันเป็นผู้คิดข้ึน และประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกได้นาไปดัดแปลงใช้
เพื่อให้เหมาะสมกับประเทศของตน ในทวีปเอเชียน้ันญ่ีปุ่นได้นามาใช้ก่อน สัดส่วนระหว่างผู้แทนฯ จากระบบ
บัญชีรายช่อื กับผแู้ ทนเขตเลือกตั้งเปน็ 2:3
ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ใช้อัตราส่วน 1:4 โดยไม่มีเหตุผลทางวิชาการรองรับ แต่ต้นตาหรับ
เขาใช้ครึ่งต่อครึ่งของจานวน ส.ส. ท้ังหมด (มีข้อปลีกย่อยหลายอย่างของเยอรมันที่อาจทาให้จานวน ส.ส.จาก
บัญชีรายช่ือไมเ่ ทา่ กบั ส.ส.ทีม่ าจากการเลือกตั้งแตจ่ านวนท่ีแตกต่างไมม่ ากนัก)
ทาไม? ประเทศตา่ งๆ ทั่วโลกได้นาระบบเลอื กต้ังนี้ไปใช้ โดยเฉพาะในยุโรปและเอเชีย ทุกระบบมีท้ัง
ข้อดแี ละขอ้ เสยี แต่โดยสว่ นตวั เห็นว่ามขี อ้ ดีมากกวา่ จงึ เสนอใหท้ า่ นผ้อู ่านไดพ้ จิ ารณา
1. ประเทศประชาธิปไตยส่วนใหญ่ จะใช้วิธีการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนด้วยการแบ่งเป็นเขต
ละ 1 คน ซ่ึงแต่ละเขตจะมีสภาพแวดล้อมไม่เหมือนกันโดยเฉพาะสภาพทางภูมิศาสตร์ ทรัพยากร เศรษฐกิจ
วัฒนธรรม ประเพณี ฯลฯ ทาให้ผู้แทนราษฎรแตล่ ะเขตพยายามปกป้องและดูแลผลประโยชน์ของประชาชนใน
เขตตน ในสภาผู้แทนราษฎรจึงเกิดบรรยากาศของการปกป้องผลประโยชน์ของท้องถ่ิน จนในบางคร้ังลืมหรือ
ละเลยผลประโยชน์ของชาติไป จึงเกดิ ส.ส. หรอื ผูแ้ ทนในระบบบญั ชรี ายชือ่ ข้นึ เพอื่ ใหเ้ ป็นผแู้ ทนของชาติ เข้าไป
ทาหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหาร จะได้ไปละลายความคิดของผู้แทนเขตให้ลดดีกรีลงไปเพราะ
ผลประโยชนข์ องชาติตอ้ งมาก่อนสิง่ อ่ืนใด
2. ระบบน้ีมุ่งสนับสนุนความเข้มแข็งของพรรคการเมือง โดยพรรคการเมืองต้องคัดสรรบุคคลท่ีมี
ความรู้ความสามารถในวิชาชีพต่างๆมาเสนอให้ประชาชนพิจารณา เรียกว่าพรรคเลือกคน ประชาชนเลือก
พรรค จงึ มคี วามจาเปน็ ทีน่ กั การเมอื งตอ้ งไปเสาะหาคนทมี่ ชี ่ือเสยี งเป็นท่ียอมรับของสังคม มาประชาสัมพันธ์ให้
ประชาชนทราบกอ่ นการเลือกตั้ง ประกอบกบั นโยบายของพรรคที่มตี ่อประชาชน เพ่ือแสดงให้ประชาชนเห็นถึง
ความเป็นไปไดข้ องนโยบาย เพราะมีการเตรียมการในด้านบคุ ลากรไว้อย่างพร้อมเพรยี ง
- 96 -
3. ระบบการเลือกตั้งนี้ได้รับรองสิทธิของประชาชนในการเลือกต้ัง เพราะทาให้คะแนนเสียงมี
ความหมายทุกคะแนน เพราะถ้ามีแต่ ส.ส. ระบบเขต ผู้ชนะการเลือกตั้งเท่าน้ันที่ได้เป็นผู้แทนราษฎร คะแนน
ของผทู้ ไี่ ด้ ท่ี 2 ท่ี 3 ท่ี 4 ไม่มีความหมายถูกทิง้ ไปทัง้ หมด
แต่ในระบบน้ี เปดิ โอกาสให้ประชาชนเลือกไดท้ ง้ั ส.ส. เขตและ ส.ส. บัญชีรายช่ือของพรรค คะแนน
ของผูม้ สี ิทธ์ิเลือกต้ังจึงไม่สญู เปลา่ มีความหมายทกุ คะแนน เพราะเอาไปคานวณรวมกนั ในระดับประเทศ
4. ระบบเลือกตั้งแบบนี้ สามารถผลักคนดีเข้าสู่วงการเมืองได้ง่ายข้ึน ต้องยอมรับว่าการเลือกต้ังใน
อดตี ของไทย คอ่ นขา้ งสกปรกใช้อิทธพิ ลทกุ รูปแบบเพอื่ ให้ได้ชยั ชนะโดยไม่คานึงวา่ จะผิดกฎหมายหรือไม่ เราจึง
ได้ผู้แทนราษฎรที่แสวงหาประโยชน์ส่วนตนไม่คานึงถึงหน้าท่ีและความรับผิดชอบท่ีประชาชนมอบความ
ไวว้ างใจ การเปิดโอกาสให้มกี ารเลอื กต้ังจากบัญชีรายชื่อจึงน่าเชื่อว่าจะได้คนดี มีความสามารถ เสียสละ และ
ซื่อสัตย์ เข้าสู่วงจรการเมืองได้จานวนหน่ึง ข้ึนอยู่กับพรรคการเมืองจะมีแนวคิดและวิจารณญาณญาณอย่างไร
ในการคดั สรรคนทีม่ คี วามสามารถคนท่ีมคี วามสามารถมาช่วยสร้างประเทศ
5. เป็นการช่วยสนับสนุนการทางานของฝ่ายนิติบัญญัติให้เข้มแข็ง และเป็นประโยชน์ต่อประชาชน
มากข้ึนการทไี่ ด้ ส.ส.จานวนหน่งึ จากระบบบัญชรี ายชอ่ื ซึง่ มคี วามรู้ความสามารถในวิชาชีพสาขาต่างๆมาทางาน
ในสภา จาทาใหก้ ารพิจารณากฎหมายต่างๆ มีความรอบคอบมากขึ้น โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพ
ต่างๆ แต่เดิมสภาฯ ก็ฟังข้อมูลจากข้าราชการ ซ่ึงเป็นการฟังความข้างเดียวเมื่อมีผู้เช่ียวชาญอยู่ในฝ่ายนิติ
บัญญตั ิ ก็จะทาใหส้ มาชิกสภาไดฟ้ ังขอ้ มูลเพ่ือประกอบการตดั สินใจไดม้ ากข้นึ
ยงั มเี หตผุ ลทม่ี ีความสาคัญในการใชร้ ะบบเลือกต้งั น้ีอีกหลายประการ แตข่ อเสนอเหตุผลหลักไว้เพียง
เท่าน้ี และขอเรียนเพิม่ เตมิ จากการนาไปใชโ้ ดยเขา้ ใจผดิ และศกึ ษาอย่างละเอียดทาให้เกิดผลเสียต่อระบบนี้คือ
ประเด็นแรก พรรคการเมอื งได้นาบคุ คลซ่ึงจะเป็นรัฐมนตรีไปใส่ไว้ในบัญชีรายช่ือ ท้ังๆท่ีรัฐธรรมนูญ
40 ได้กาหนดไว้ชัดเจนว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นรัฐมนตรีต้องลาออก เป็นระบบการแบ่งแยกอานาจ
เด็ดขาดระหวา่ งฝ่ายบรหิ ารและฝ่ายนิติบัญญัติ เพียงแต่ยังอนุญาตให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไปเป็นท่ีปรึกษา
และเลขานุการรฐั มนตรไี ดเ้ ท่านน้ั
ประเด็นท่ีสอง รัฐธรรมนูญกาหนดให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกต้ังเพราะกลัวทหาร แต่ให้
นายกรัฐมนตรีเตรียมทีมคณะรัฐมนตรีไว้ให้พร้อม เพื่อโฆษณาหาเสียงไปพร้อมกับการเสนอนโยบายที่เรียกว่า
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อนั้น ต้องการให้ไปสร้างความเข้มแข็งให้แก่ฝ่ายนิติบัญญัติ พรรค
การเมืองต้องไปคัดสรรบคุ คลให้สาขาวิชาชีพต่างๆ ซึ่งมีช่ือเสียงและประชาชนยอมรับ โดยหวังผลให้พรรคของ
ตนได้รบั คะแนนเสียงมากทีส่ ดุ
ประเดน็ ท่สี าม พรรคการเมืองทง้ั หมดท่เี รามียังติดต่ออยู่กับระบบอุปถัมภ์ เอาคนท่ีเล่นการพนัน ผู้มี
อิทธิพล คนท่ีมีประวัติไม่ดีมาใส่ไว้ในบัญชีรายช่ือ ทาให้หลักการท่ีสาคัญของระบบน้ีเสียหายเพราะเจตนารมณ์
ต้องการให้คนดี มีความสามารถ (ซง่ึ ไปไม่ไดก้ ับวิธีการเลือกต้งั ของไทย) มโี อกาสมารบั ใชป้ ระเทศชาติ
ประเด็นท่ีส่ี ผู้อาวุโสและมีอิทธิพลในพรรคการเมืองต่างๆ เร่ิมใช้อิทธิพลผลักดันลูกหลาน ญาติของ
ตนเองขน้ึ มาแทนตน โดยผันตนเองข้ึนไปอยู่ในบัญชีรายชื่อ ท่ีกล้าทาในลักษณะน้ีเพราะเป็นสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎร ผกู ขาดในเขตตน เป็นการเบยี ดบังทน่ี ่ังของคนทมี่ คี วามรคู้ วามสามารถ เพราะโอกาสที่พรรคจะเลือกคน
อนื่ มากกว่าพรรคพวกเกดิ ไดย้ าก
ประเด็นท่ีห้า พรรคการเมอื งทม่ี อี ยใู่ นสงั คมไทยขาดการพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นมาตรฐาน ทั้งๆที่
ได้รับเงินอุดหนุนจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยท่ีคณะกรรมการการเลือกต้ังเองก็ขาดการติดตาม
ประเมินผล การใช้เงินของพรรคว่าเหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างไร ต้องไม่ลืมว่า เงินอุดหนุน
ของคณะกรรมการการเลอื กตั้งเป็นภาษขี องประชาชน
- 97 -
อยากให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญเปิดใจให้กว้าง พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ นึกถึงผลประโยชน์ที่
ประชาชนควรได้รับมากที่สุด เขียนรัฐธรรมให้ดีอย่างไรก็แก้กิเลสคนไม่ได้ ทาได้ดีท่ีสุดคือ สร้างกลไกที่
เหมาะสมขึน้ มา
ขอเรยี นว่ารูปแบบใดก็ไม่สามารถแก้ปัญหาการใช้เงินซื้อเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ ผู้เขียนคิดว่า
ขึน้ อยกู่ บั วิธกี ารจัดการการเลือกตงั้ ทีม่ ีประสิทธภิ าพจะช่วยได้มากทส่ี ดุ
ต้องสร้างระบบอื่นๆไม่ให้คนเลวได้มีอานาจ ขณะนี้วิธีการจัดการการเลือกต้ังที่มีอยู่ยังมีจุดอ่อนและ
ขอ้ บกพร่อง ผทู้ ่มี ีหน้าที่และความรับผิดชอบต้องอุดช่องโหว่นี้ เพ่ือให้การเลือกต้ังบริสุทธ์ิยุติธรรมที่สุดหรือเลว
น้อยท่สี ุด !
การเลือกตั้งตามระบบรัฐธรรมนูญ 2550
นับตั้งแต่มีการเปล่ียนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบ
ประชาธิปไตยเมื่อ พ.ศ.2475 เป็นต้นมาประเทศไทยได้จัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบเสียง
ข้างมากสัมพัทธ์มาโดยตลอด จะแตกต่างกันไปในแต่ละครั้งก็เพียงการกาหนดจานวนเขตเลือกตั้ง หรือจานวน
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะมีได้ในแต่ละเขตเลือกต้ังเท่าน้ัน การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและ
สมาชกิ วฒุ สิ ภาตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ.2550 ไดก้ าหนดเกีย่ วกบั การเลือกตง้ั ไว้ ดงั นี้
สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจานวนสี่ร้อยแปดสิบคน โดยเป็นสมาชิกซ่ึงมาจากการ
เลือกตงั้ แบบแบ่งเขตเลือกตัง้ จานวนส่รี อ้ ยคน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วนจานวนแปดสิบคน
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ โดยให้ใช้ บัตรเลือกต้ัง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบละหนง่ึ ใบ (มาตรา 93)
การเลือกต้ังสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรแบบแบง่ เขตเลือกตงั้ ให้ผู้มีสทิ ธิเลอื กตงั้ ในเขตเลอื กต้งั ใดมีสิทธิ
ออกเสียงลงคะแนนเลือกต้ังผู้สมคั รรับเลือกตัง้ ได้เทา่ จานวนสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรท่มี ีไดใ้ นเขตเลอื กตัง้ น้ัน
การคานวณจานวนสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรทจี่ ะพงึ มีได้ในแต่ละเขตเลือกต้ังและการกาหนดเขตเลอื กตั้ง
(มาตรา 94)
การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตาม
บัญชีรายช่ือที่พรรคการเมืองจัดทาขึ้น โดยให้ผู้มีสิทธิเลือกต้ังในเขตเลือกต้ังใดมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือก
พรรคการเมืองที่จัดทาบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นได้หนึ่งเสียงพรรคการเมืองหนึ่งจะส่ง
ผู้สมคั รรบั เลอื กตั้งแบบสัดส่วนทุกเขตเลอื กตง้ั หรือจะสง่ เพียงบางเขตเลือกตง้ั ก็ได้ (มาตรา 95)
สว่ นวุฒิสภาประกอบดว้ ยสมาชกิ จานวนรวมหนึง่ รอ้ ยหา้ สิบคน ซึง่ มาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด
จังหวัดละหนึ่งคน และมาจากการสรรหาเท่ากับจานวนรวมข้างต้นหักด้วยจานวนสมาชิกวุฒิสภาท่ีมาจากการ
เลือกตั้งในกรณีที่มีการเพ่ิมหรือลดจังหวัดในระหว่างวาระของสมาชิกวุฒิสภาท่ีมาจากการเลือกต้ังให้วุฒิ สภา
ประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่มีอยู่ในกรณีท่ีตาแหน่งสมาชิกวุฒิสภาว่างลงไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ และยังมิได้มีการ
เลือกต้ังหรือสรรหาขึ้นแทนตาแหน่งที่ว่าง แล้วแต่กรณี ให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกวุฒิสภาเท่าที่มีอยู่
(มาตรา 111) การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในแต่ละจังหวัด ให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งและให้มีสมาชิก
วุฒิสภาจงั หวดั ละหนึ่งคน โดยให้ผู้มสี ทิ ธิเลือกตงั้ ออกเสียงลงคะแนนเลือกตัง้ ผสู้ มัครรับเลือกต้ังได้หนึ่งเสียงและ
ให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับเพื่อประโยชน์ในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้ง
สามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ก็แต่เฉพาะท่ีเก่ียวกับการปฏิบัติงานในหน้าท่ีของวุฒิสภาหลักเกณฑ์ วิธีการ และ
เง่ือนไขในการเลือกตั้งและการหาเสียงเลือกตั้งของสมาชิกวุฒิสภาให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบ
รฐั ธรรมนญู วา่ ด้วยการเลอื กต้ังสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรและการได้มาซ่ึงสมาชิกวุฒิสภา (มาตรา 112) โดยให้มี
คณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาคณะหนึ่ง ประกอบด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการการ
เลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประธาน
- 98 -
กรรมการตรวจเงนิ แผ่นดิน ผพู้ พิ ากษาในศาลฎีกาซึ่งดารงตาแหน่งไม่ต่ากว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ท่ีประชุมใหญ่
ศาลฎีกามอบหมายจานวนหนึ่งคนและตุลาการในศาลปกครองสูงสุดที่ท่ีประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครอง
สูงสุดมอบหมายจานวนหนึ่งคนเป็นกรรมการ ทาหน้าที่สรรหาบุคคล (มาตรา 113) และให้คณะกรรมการสรร
หาสมาชิกวุฒิสภาดาเนินการสรรหาบุคคลท่ีมีความเหมาะสมจากผู้ได้รับการเสนอช่ือจากองค์กรต่าง ๆ ใน
ภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาชีพและภาคอ่ืนท่ีเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติการตามอานาจหน้าที่
ของวฒุ สิ ภาเป็นสมาชกิ วุฒสิ ภา (มาตรา 114)
กระบวนการเลือกต้ังในแต่ละคร้ังนั้นได้มีคณะกรรมการการเลือกต้ัง (กกต.) เป็นองค์กรอิสระตาม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มีหน้าที่หลักในการควบคุมและจัดให้มีการเลือกต้ัง
สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประกอบด้วย ประธานกรรมการคน
หนึ่งและกรรมการอื่นอีกส่ีคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคาแนะนาของวุฒิสภา จากผู้ซึ่งมีความเป็น
กลางทางการเมอื งและมีความซอื่ สัตย์สจุ ริตเปน็ ท่ีประจักษ์ (มาตรา 229)
การเลือกต้ังของไทยในปัจจุบันใช้เงินในการเลือกต้ังสูง ทั้งนี้ไม่เฉพาะเพียงแต่เงินท่ีใช้ในกิจกรรมการ
ประชาสัมพันธ์ผู้สมัครรับเลือกตั้ง เช่น จัดแถลงนโยบาย โฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ หรือจัดพิมพ์
เอกสารหาเสียงเท่าน้ันผู้สมัครบางคนนา เงินไปใช้ในกิจการอื่น ๆ ก่อนการเลือกตั้ง เช่น การซื้อเสียง หรือการ
แอบจัดงานเลี้ยง แม้แต่การซื้อของนา ไปแจกให้กับประชาชนในช่วงใกล้การประกาศเลือกต้ัง เป็นต้น ซ่ึง
กระบวนการทุจริตการเลือกตั้งในปัจจุบันมาความซับซ้อนมากขึ้นโดยการหลีกเลี่ยงช่องโหว่ของกฎหมายการ
เลือกต้ังและมีการทุจริตท่ีแนบเนียนมากขึ้นยากต่อการท่ีคณะกรรมการการเลือกต้ังจะตรวจสอบได้ ดังน้ัน
แนวทางท่ีดีท่ีสุดคือกระบวนการให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการเลือกตั้ งเพื่อให้การ
เลือกตั้งมีความสุจริตและเที่ยงธรรม ได้ผู้แทนที่เป็นผู้เสียสละและอาสาทางานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและ
ประเทศชาติเป็นสาคัญ และทาอย่างไรจะรณรงค์เสริมสร้างความรู้ให้กับประชาชนให้มีจิตสานึกทางการเมือง
อยา่ งแทจ้ ริงไมใ่ ชเ่ ปน็ เพียงแตเ่ ขา้ มามีส่วนร่วมเพียงผู้เลือกตง้ั เท่านั้น
ประชาชนมีหนา้ ทีเ่ ลือกตั้ง
มาตรา 68 ของรัฐธรรมนญู กาหนดใหก้ ารไปใชส้ ทิ ธิเลือกตัง้ เปน็ หนา้ ที่ของบุคคลเหมอื นกับ หน้าที่การเสีย
ภาษี ดังน้ันบุคคลท่ีมีสัญญาติไทยโดยการเกิด หรือได้รับสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติมาไม่น้อยกว่า 5 ปี
และมีอายุ 18 ปบี ริบรู ณ์ในวันที่ 1 มกราคมของปที ่ีมีการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในเขตเลือกตั้ง หรือนอกเขต
เลือกตั้ง หรอื แม้แต่พานกั อยูใ่ นต่างประเทศ ทกุ คนมีหนา้ ท่ไี ปใชส้ ทิ ธเิ ลือกต้งั
บุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลอื กตัง้
1. วกิ ลจรติ หรอื จิตฟ่นั เฟือน ไม่สมประกอบ
2. เป็นภกิ ษุ สามเณร นกั พรต หรอื นักบวช
3. ตอ้ งคุมขงั อยโู่ ดยหมายของศาล หรอื โดยคาสั่งทช่ี อบดว้ ยกฎหมาย
4. อยูใ่ นระหว่างเพิกถอนสทิ ธิเลือกตง้ั
การใชส้ ิทธิเลือกต้ัง
1. ผู้ที่มสี ญั ชาตไิ ทย ถ้าแปลงสญั ชาติตอ้ งไดส้ ัญชาตไิ ทยมาไมน่ อ้ ยกว่า 5 ปี
2. มอี ายุ 18 ปีบรบิ ูรณใ์ นวันที่ 1 มกราคมของปีท่ีมกี ารเลือกตง้ั
3. มชี ื่ออยใู่ นทะเบียนบา้ นไม่นอ้ ยกว่า 90 วนั นบั ถึงวนั เลอื กต้ัง
การตรวจดูรายช่ือผู้มีสทิ ธิเลอื กตั้ง
1. ทว่ี า่ การอาเภอทกุ อาเภอ
2. สานักงานคณะกรรมการการเลอื กต้ังประจาจังหวัด
- 99 -
3. ประชาชนสามารถไปตรวจดูรายช่อื และขอแก้ไขเปล่ียนแปลงได้ตลอดท้งั ปี
บัตรเลือกตั้ง มี 2 แบบ
1. บัตรเลือกต้งั แบบแบ่งเขต
2. บตั รเลือกตั้งแบบบัญชรี ายชอ่ื
ลักษณะของบัตรเลือกต้ังมีสตี ่างกัน และมตี น้ ข้ัวบัตรเลอื กต้ังสาหรับพมิ พล์ ายนิว้ มอื หัวแม่มือขวา
ทมี่ มุ บนดา้ นขวาของบัตรเลอื กตั้งทั้ง 2 แบบ
วิธกี ารใชส้ ิทธิลงคะแนนเลือกตง้ั
1. แสดงบตั รประจาประชาชนต่อเจ้าหนา้ ท่ีท่หี นว่ ยเลือกต้ัง
2. รับบัตรเลือกตง้ั ท้ัง 2 แบบ(บัตรเลอื กตงั้ แบบแบง่ เขต 1 ใบ และแบบบญั ชีรายชือ่ 1 ใบ)
3. พมิ พล์ ายนิ้วมือหวั แมม่ ือขวาทีต่ ้นข้วั บตั รเลอื กตง้ั ท้งั 2 ใบ เพ่ือเป็นหลักฐานวา่ ได้รับบัตร
เลอื กตัง้ แล้ว (ถ้ามีการร้องเรียนว่าท่ีหนว่ ยเลือกตงั้ นั้นมีการทุจรติ การเลือกต้งั ต้นขั้วน้จี ะเปน็ หลกั ฐานสาคัญใน
การตรวจสอบ)
4. เข้าคูหา ทาเคร่ืองหมายกากบาทในบัตรเลือกต้ัง
- กากบาทเลอื กผ้สู มคั รรบั เลือกตง้ั เพยี งหมายเลขเดียว ทบี่ ัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขต
- กากบาทเลอื กพรรคการเมืองเพียงหมายเลขเดียว ท่ีบัตรเลอื กตงั้ แบบบัญชีรายชือ่
- ถ้าไมต่ ้องการลงคะแนนใหใ้ คร หรือพรรคการเมืองใด กากบาทท่ชี ่องไมล่ งคะแนน
5. หยอ่ นบตั รเลอื กต้ังด้วยตนเองทลี ะใบ ตอ่ หน้ากรรมการประจาหนว่ ยเลือกตั้ง
ปจั จุบันการเลือกตั้งมี 2 แบบ คอื
1. การเลือกตงั้ แบบแบ่งเขต
2. การเลอื กตงั แบบบญั ชีรายชอ่ื
สรุปสาระสาคญ ส.ส.น้ัน ประกอบด้วยสมาชิกจานวน 480 คน โดยมาจากการเลือกต้ังแบบแบ่งเขต
เลือกต้ังจานวน 400 คน และมาจากการเลือกต้ังแบบสัดส่วนจานวน 80 คน ส่วน ส.ว. ประกอบด้วยสมาชิก
จานวน 150 คน โดยมาจากการเลอื กต้งั 76 คนและมาจากการสรรหาจากภาคส่วนต่างๆจานวน 74 คน
ทีม่ าของ ส.ส.
รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย แกไ้ ขเพิ่มเตมิ (ฉบบั ท่ี 1) พทุ ธศักราช 2554 กาหนดให้มี ส.ส. มี
จานวน 500 คน มาจากการเลือกตง้ั 2 แบบ ได้แก่ ส.ส.แบบแบง่ เขต จานวน 375 คน และ ส.ส.แบบบญั ชี
รายชือ่ จานวน 125 คน
ส.ส. แบบแบง่ เขต คือ ส.ส. ทมี่ าจากเขตเลือกต้ังโดยการแบ่งเขตเลือกตง้ั ประเทศออกเปน็ 375 เขต
เกดิ จากการ คานวณราษฎรทง้ั ประเทศตามหลักฐานทะเบียนราษฎร ทปี่ ระกาศปสี ุดท้ายก่อนปีท่ีมกี ารเลือกต้ัง
เฉล่ยี ด้วยจานวน ส.ส. 375 คน เชน่ ราษฎรทัง้ ประเทศ จานวน 63,878,267 ล้านคน หารดว้ ย 375 กจ็ ะได้
ค่าเฉลย่ี ราษฎร 170,342 คน ตอ่ ส.ส. 1 คน หลักการนี้มาจากเหตุผลท่ีว่า แต่ละเขตเลือกตัง้ ควรมี ส.ส.
จานวนเท่าเทยี มกนั โดยประชาชนหนึง่ คนมหี นงึ่ เสยี งเทา่ กนั มีความ เสมอภาคกัน ไมว่ า่ จะมภี มู ิลาเนาอยู่ใน
พื้นทใ่ี ด หรือจะยากดีมจี น เป็นชาวไร่ ชาวนา หรือเศรษฐีก็มสี ิทธิท่เี ทา่ เทียมกนั การลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.
แบบแบง่ เขตให้ทาเครื่องหมาย x กากบาทเลอื กได้เพยี งหมายเลขเดียวหรือเบอรเ์ ดยี ว ดังทีเ่ รยี กว่า “เขตเดียว
เบอร์เดียว”
ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ มจี านวน 125 คน คือ ส.ส. ทมี่ าจากการเลือกตงั้ ในแบบบัญชีรายชอื่ โดย
พรรคการเมืองที่สง่ ผสู้ มคั ร ส.ส.แบบบญั ชีรายชือ่ จะจดั ทาบัญชรี ายช่อื ผสู้ มัครไวเ้ พียงบญั ชีเดียว เรียงลาดับ
- 100 -
จานวนไม่เกิน 125 รายชื่อ รายชอ่ื ใครจะอย่ลู าดบั ใดนั้น ข้นึ อยู่กับแต่ละพรรคจะดาเนินการ การเลอื กตั้งแบบน้ี
ถือประเทศเปน็ เขตเลือกตั้ง หมายถึงทั้งประเทศ จะมีผู้สมคั รแบบบญั ชรี ายช่ือชุดเดยี วกนั
การลงคะแนนเลือกต้ัง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ให้ทาเครื่องหมาย x กากบาท เลือกพรรคการเมืองใด
พรรคการเมืองหนึ่งเพียงพรรคเดียว ได้เพียงหมายเลขเดียว หรือเบอร์เดียว น่ันก็หมายถึงผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งได้
ตัดสินใจ ส.ส.แบบบัญชีรายช่ือในสังกัดของพรรคการเมืองที่ชื่นชอบน่ันเอง ส่วนท่ีว่าพรรคใดจะได้ ส.ส.แบบ
บัญชีรายช่ือจานวนเท่าใดก็ข้ึนกับว่าพรรคนั้นๆ จะได้รับคะแนนเป็นจานวนมากน้อยเท่าใด โดยผู้ท่ีจะได้รับ
เลือกตั้งต้องมาจากบัญชีรายช่ือเรียงตามลาดับจนกว่าจะครบจานวน ส.ส.แบบบัญชีรายช่ือท่ีพรรคการเมือง
ไดร้ บั โดยมวี ิธีการคานวณ ดงั น้ี
วธิ คี านวณจานวน ส.ส.แบบบญั ชีรายชื่อท่ีไดร้ บั เลือกต้งั
1. นาจานวนคะแนน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อท่ผี ้มู ีสทิ ธเิ ลือกต้ังลงคะแนน ให้แก่พรรคการเมืองทกุ พรรคมา
รวมกัน
2. ผลลพั ธต์ ามขอ้ 1 หารด้วยจานวนส.ส.แบบบญั ชรี ายช่ือ 125 คน
3. ผลลัพธต์ ามขอ้ 2 ไปหารคะแนน ส.ส.แบบบัญชรี ายชอ่ื ของแต่ละพรรคการเมอื ง กจ็ ะได้จานวน ส.ส.
แบบบัญชรี ายชื่อของแต่ละพรรค
4. ตามข้อ 3 ถ้ายงั ไม่ได้ครบ 125 คนให้ดวู ่าพรรคการเมืองใดมีเศษเหลือมากทีส่ ดุ ไล่ไปพรรคการเมืองท่ีมี
เศษรองลงไปเรื่อยๆจนครบ 125 คน
ตัวอยา่ ง : มีพรรคการเมอื งส่งผูส้ มคั รแบบบัญชรี ายชอ่ื รวม 8 พรรค มีคะแนนรวมทัง้ ประเทศ ดังนี้
ที่ พรรคการเมอื ง ไดค้ ะแนน จานวน ส.ส. จากการ เหลือเศษ จานวน ส.ส. ท่ไี ดเ้ พิ่ม ส.ส.แบบบญั ชรี ายช่ือ
คานวณคร้งั แรก จากการคานวณ ทงั้ สิ้น
1 พรรค ก. 12,600,000 51 0.980 1 52
2 พรรค ข. 8,450,000 34 0.859 1 35
3 พรรค ค. 2,900,000 11 0.963 1 12
4 พรรค ง. 2,800,000 11 0.551 1 12
5 พรรค จ. 1,550,000 6 0.394 - 6
6 พรรค ฉ. 1,550,000 6 0.394 - 6
7 พรรค ช. 1 0.237 - 1
8 พรรค ซ. 300,000 - 0.618 1 1
150,000
รวม 120 - 5 125
ที่มา : http://www2.ect.go.th/about.php?Province=mp54&SiteMenuID=7623
หมายเหตุ ผลการคานวณครั้งแรกได้ ส.ส. 120 คน ดังนน้ั จานวน ส.ส. อกี 5 คนทเี่ หลือ จะมาจาก 5 พรรค
การเมืองท่ีได้คะแนนเหลอื เศษมากทีส่ ดุ พรรคละ 1 คน ไล่เรียงตามลาดับคือ พรรค ก. พรรค ค. พรรค ข.
พรรค ซ และ พรรค ง. โดยมีวิธีการคานวณ ดงั น้ี
1. รวมคะแนนทกุ พรรค 30,300,000 คะแนน