ค่มู อื การตรวจสอบความปลอดภัยของยานยนต์ไฟฟา้
The Safety Inspection Guide of Electric Vehicle
สารบญั หนา้
สารบญั 1
บทที่ 1 บทนำ 2
3
1.1 ทม่ี าและความสำคัญ 4
บทท่ี 2 โครงสรา้ งหลกั การทำงานและสว่ นประกอบของยานยนต์ไฟฟา้ 4
5
2.1.1 โครงสร้างและระบบการทำงานรถยนต์ไฟฟ้า 6
2.1.2 แบตเตอรี่ 10
2.1.3 มอเตอรส์ ำหรับยานยนตไ์ ฟฟา้ 11
2.1.4 ชดุ ความคุม 14
บทท่ี 3 หลกั การตรวจสอบความปลอดภยั ทางไฟฟ้าของยานยนต์ไฟฟ้า 16
3.1 หลกั การตรวจสอบแบตเตอรลี่ ิเธียม 17
3.2 หลักการตรวจสอบมอเตอร์ 18
3.3 หลกั การตรวจสอบ Vehicle Control Unit 19
3.4 หลักการตรวจสอบ อินเวอร์เตอร์ (Inverter) 20
3.5 หลกั การตรวจสอบ DC-DC Converter 21
3.6 หลกั การตรวจสอบ ระบบจดั การแบตเตอร่ี (Battery Management System) 22
3.7 หลักการตรวจสอบ อปุ กรณค์ วบคุมการชารจ์ ประจไุ ฟฟ้า (On Board Charger) 23
บทที่ 4 มาตรฐานปลอดภัยทางไฟฟ้าสำหรบั ยานยนตไ์ ฟฟ้า 23
4.1 เต้าเสียบและเตา้ รบั ของยานยนต์ไฟฟ้า 24
4.2 ระบบการประจุไฟฟ้าของยานยนตไ์ ฟฟ้า 24
4.3 ระบบสอ่ื สารของยานยนต์ไฟฟ้า 24
4.4 ความเขา้ กนั ไดท้ างแม่เหลก็ ไฟฟา้ (EMC) 25
4.5 ความปลอดภยั ในยานยนต์ไฟฟ้า
4.6 ดา้ นสมรรถนะ
4.7 แบตเตอรส่ี ำหรับยานยนตไ์ ฟฟา้
ท่มี าและความสำคญั
2
1.1 ทีม่ าและความสำคัญ
ในปัจจุบันรถที่ใช้เชื้อเพลิงในการเผาไหม้อย่างเครื่องยนต์ดีเซล ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศอย่าง PM
2.5 ที่ประเทศไทย และอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญ และเริ่มตระหนักถึงปัญหานี้ แต่ละประเทศจึง
พยายามผลักดันนโยบายให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าซึ่งจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ อีกทั้งยังทำให้ค่า
การปล่อยมลพิษทางอากาศเป็นศูนย์ เรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยลดการใช้พลังงาน
เชื้อเพลิงของโลกลง โดยทางภาครัฐได้มีการดำเนินงานขับเคลื่อนส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ประเทศไทย
ก้าวสู่การเปน็ ฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคญั ของโลกจงึ ได้เร่งให้เกิดการผลิตยานยนตไ์ ฟฟ้าใน
ประเทศไทย โดยเป้าหมายการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ารวมทุกประเภทในปี 2568 รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,055,000 คัน
แบ่งเป็นรถยนต์/รถปิกอัพ 402,000 คัน รถจักรยานยนต์ 622,000 คัน และรถบัส/รถบรรทุก 31,000 คัน
และในปี 2578 ให้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนรวม 15,580,000 คัน แบ่งเป็นรถยนต์/รถปิกอัพ 6,400,000 คัน
รถจักรยานยนต์ 8,750,000 คัน และรถบัส/รถบรรทุก 430,000 คัน โดยที่ประชุมยังได้วางนโยบายส่งเสริม
การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต โดยรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน จัดเก็บในอัตรา 8% ส่วนรถยนต์ไฟฟ้า ได้รับ
การส่งเสริมจาก BOI (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสรมิ การลงทนุ ) จดั เกบ็ อตั รา 2% และในชว่ ง 1 ม.ค.2564 –
31 ธ.ค.2565 จะจัดเก็บในอัตรา 0% โดยอิงกับอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หากปล่อยในอัตราที่
ตำ่ จะเสยี ภาษตี ำ่ กวา่ รถท่ปี ล่อยสูงกวา่ เพ่อื ดึงดูดใหค้ นมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขนึ้
เนื่องจากยานยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันมีผู้ที่สนใจเป็นอย่างมากไม่ว่าจะทางด้านการผลิตหรือการพัฒนา
ทางด้านเทคโนโลยีแต่ประเด็นด้านความปลอดภัยด้านไฟฟ้ายังเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสนใจ โดยเมื่อวันที่ 17
เมษายน 2564 ได้มีการเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ไฟฟ้าTesla Model S ที่ขับด้วยความเร็วสูงก่อนจะพุ่งชนต้นไม้
ข้างทางจนเสียหายเกือบทั้งคันทำให้เกิดไฟลุกไหม้เพราะระบบของรถยนต์ไฟฟ้า เช่นการรั่วของกระแสไฟใน
ระบบซึ่ง ทำให้การให้ความช่วยเหลือทำได้ยากลำบาก โดยทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปนำร่างคนขับที่ติดอยู่ภายใน
รถ แต่ถูกไฟฟ้าดูดเนื่องจาก Tesla ติดตั้งแบตเตอรี่อยู่บริเวณพื้นของห้องโดยสาร ที่เกิดการลัดวงจรจึงทำให้
นักดับเพลิงเข้าไปช่วยเหลือได้ยากยิ่งขึ้น จึงต้องแจ้งช่างเทคนิคจาก Tesla Motor ประจำประเทศ
เนเธอร์แลนด์ เข้ามาช่วยเหลือจนกู้ร่างผู้เสียชีวิตออกจากซากรถคันดังกล่างโดยไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดได้รับ
บาดเจ็บเนื่องด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวนี้อาจ รวมไปถึงกรณีเกิดอุบัติเหตุจากการชน,กระแทก,น้ำท่วม หรือไฟ
ไหมท้ ี่ผู้ซ่อมบำรงุ หรอื ผู้ใชต้ ้องทราบถึงวิธีปฏบิ ัติทปี่ ลอดภยั
จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นคณะผู้จัดทำจึงมีความประสงค์ที่จะจัดทำโครงงานเกี่ยวกับคู่มือการ
ตรวจสอบความปลอดภยั ของยานยนต์ไฟฟา้ ดา้ นระบบไฟฟา้
โครงสรา้ งหลักการทำงานและสว่ นประกอบของยานยนต์ไฟฟา้
4
2.1 โครงสร้างหลักการทำงานและสว่ นประกอบของยานยนตไ์ ฟฟา้
วธิ กี ารทำงานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบ 100% นั้น ไมไ่ ด้มีความซับซ้อนเหมอื นรถยนตท์ ี่ใช้น้ำมัน
เชื้อเพลิง โดยรถยนต์ไฟฟ้ามีองค์ประกอบหลักในการขับเคลื่อนเพียง 3 ส่วนเท่านั้นทั้งสามส่วนนี้ ได้แก่
แบตเตอร่ี ชุดควบคุมการทำงานและมอเตอร์ไฟฟา้ (บริษัท นสิ สัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จาํ กดั , 2561)
2.1.1 โครงสรา้ งและระบบการทำงานรถยนต์ไฟฟ้า
ส่วนประกอบที่สำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า ดังรูปที่ 2.1 ที่มีความแตกต่างจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป
มากที่สุดคือระบบขับเคลื่อน โดยรถยนต์ไฟฟ้าประกอบไปด้วยชิ้นส่วนหลักได้แก่ มอเตอร์ขับเคลื่อน, ชุดเกียร์
ชดุ ควบคมุ , ระบบกกั เกบ็ หรือแบตเตอร่ี และอุปกรณค์ วบคมุ การชาร์จประจุไฟฟา้
รปู ท่ี 2.1 โครงสรา้ งและสว่ นประกอบของยานยนตไ์ ฟฟา้
ทีม่ า : https://www.jae.com/en/connector-special/ev_phev_batterysystem
2.1.2 แบตเตอรี่
แบตเตอรีท่ ่ีนิยมใช้ในรถยนต์มที ง้ั ส้ิน 3 ประเภท คือ แบตเตอร่ีตะก่วั แบตเตอรน่ี กิ เกิล และ แบตเตอรี่
ลิเธียม โดยแบตเตอรี่ลิเธียม มีคุณสมบัติที่เหมาะกับการนำมาใช้งานในยานยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดเนื่องจาก
คุณสมบัติด้าน ความหนาแน่นพลังงานที่สูงดังนั้น พลังงานไฟฟ้าที่ชาร์จเข้ามา จะถูกเก็บไว้ที่แบตเตอรี่
ซึ่งปัจจุบันนี้แบตเตอรี่ที่นิยมใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าคือแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ดังรูปที่ 2.2 ซึ่งเก็บพลังงานไฟฟ้า
ได้มากและใชง้ านไดท้ นทานขน้ึ (สถาบนั ยานยนต,์ 2560)
รูปท่ี 2.2 แบตเตอร่ีลเิ ธียมสำหรบั รถยนต์ไฟฟ้า
ท่ีมา : https://arstechnica.com/science/2019/02/electric-car-batteries
5
2.1.3 มอเตอรส์ ำหรบั ยานยนต์ไฟฟ้า
ประเภทของมอเตอร์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า พบว่า มีการใช้งานมอเตอร์ใน 2 รูปแบบ คือ มอเตอร์
กระแสตรง (DC Motor) และมอเตอร์กระแสสลับ (AC Motor) แต่ที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน จะเป็น มอเตอร์
ไฟฟ้าแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnet Synchronous Motor), มอเตอร์ประเภทมอเตอร์เหนี่ยวนำ
(Induction Motor-IM) และมอเตอรก์ ระแสตรงแบบไรแ้ ปรงถา่ น (Brushless DC Motor)
1) มอเตอรแ์ บบPermanent Magnet Synchronous Motor ดงั รปู ท่ี 2.3
ไม่ได้มีการสร้างสนามแม่เหล็ก จากขดลวดบนสเตเตอร์แต่จะอาศัยสนามแม่เหล็กที่เกิดจากแม่เหล็ก
ถาวรแทน ในการปฏิสมั พันธก์ ับสนามแมเ่ หล็กของโรเตอรเ์ พ่ือสร้างแรงบิด
รูปท่ี 2.3 Permanent Magnet Synchronous Motor
ท่ีมา : https://www.thaiauto.or.th/2012/th/services/ev.pdf
2) มอเตอร์ประเภทมอเตอรเ์ หน่ียวนำ (Induction Motor-IM) ดงั รปู ที่ 2.4
พลังงานจะถูกโอนไปยังโรเตอร์โดยการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า เหมือนการระทำของหม้อแปลงไฟฟ้า
มอเตอร์เหนี่ยวนำมีลักษณะคล้ายกับหม้อแปลงที่กำลังหมุน โดยที่สเตเตอร์เป็นขดปฐมภูมิและโรเตอร์เป็น
ขดทตุ ยิ ภมู ิ
รูปที่ 2.4 Induction Motor
ท่มี า : https://www.thaiauto.or.th/2012/th/services/ev.pdf
ในส่วนของการใช้งาน มอเตอร์ไฟฟ้าเหนี่ยวนำเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าที่ นิยมใช้มากที่สุดใน
ภาคอุตสาหกรรม อันเนื่องมาจากความคงทนถาวร ไม่เสียง่าย จำนวนชิ้นส่วนภายในของมอเตอร์น้อย ทำให้
ง่าย ต่อการบำรุงรักษา ในส่วนภาครถยนต์ไฟฟ้า ได้มีบริษัทรถยนต์หลายบริษัทเลือกใช้มอเตอร์ไฟฟ้าประเภท
น้ี เชน่ Tesla (บริษทั สิขร จำกัด, 2561)
6
3) มอเตอร์กระแสตรงแบบไร้แปรงถ่าน (Brushless DC Motor) ดังรูปท่ี 2.5
มอเตอร์กระแสตรงแบบไร้แปรงถ่านมีโครงสร้างสลับกับมอเตอร์กระแสตรงแบบมีแปรง ถ่าน โดยมี
แกนหมุน (Rotor) เป็นแม่เหล็กถาวร และมีขดลวดเหนี่ยวนำอยู่ที่สเตเตอร์ โดยขดลวดเหนี่ยวนำมี จำนวนไม่
น้อยกวา่ สามชดุ มอเตอร์ชนิดนีจ้ งึ สามารถทำงานไดโ้ ดยการจ่ายไฟฟ้าไปยังขดลวดแตล่ ะชดุ เปน็ เฟส สลบั กนั ไป
เรื่อย ๆ เพื่อให้เกิดสนามแม่เหล็กดึงและผลักแกนหมุนอย่างต่อเนื่อง โดยมีการตรวจจับตำแหน่งเพื่อเร่ิม
ทำงานโดยใช้อุปกรณ์ตรวจจับสนามแม่เหล็ก (Hall Sensor) ดังรูปที่ 2.5 มอเตอร์ชนิดนี้สามารถปรับ แรงบิด
ได้โดยปรับการจ่ายกระแสไฟฟ้า และปรับความเร็วรอบได้โดยการปรับความถี่ในการสลับกระแสไฟฟ้าของ
ขดลวด ซึ่งสามารถเรียกการท างานของมอเตอร์ที่มีความเร็วในการหมุนตรงกับความเร็วของการหมุนของ
สนามแม่เหลก็ วา่ เปน็ การทำงานแบบ Synchronous น่ันเอง ถึงแม้ว่ามอเตอรก์ ระแสตรงแบบไร้แปรงถ่านจะมี
ข้อดีคือมีประสิทธิภาพที่สูง และไม่ต้องมีแปรงถ่านซึ่งจะสึกหรอเมื่อใช้งานเป็นเวลานาน แต่อย่างไรก็มีข้อเสีย
คือ ต้องมีชุดควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อน สามารถทำงานในสภาวะการใช้งานต่างๆ ของยานยนต์ได้ เ ช่น
สามารถ กันนำ้ ทนต่อการส่นั สะเทือนและความร้อนได้ เปน็ ต้น
รูปที่ 2.5 โครงสรา้ งภายในของมอเตอรไ์ ฟฟา้ กระแสตรงแบบไร้แปรงถา่ น
ท่ีมา : https://www.thaiauto.or.th/2012/th/services/ev/pdf/research/2017
2.1.4 ชุดความคุม
ชุดควบคุม เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ต้องทำงานผสานกับชุดมอเตอร์หรือแบตเตอรี่เพื่อทำหน้าที่ปรบั
สภาวะของกระแสไฟฟ้าและแรงดนั ไฟฟา้ จากแบตเตอร่ีใหเ้ หมาะสมกับการขับเคลอ่ื นของมอเตอร์
รูปที่ 2.6 ระบบชุดควบคุม
ท่มี า : https://www.thaiauto.or.th/2012/th/services/ev/pdf/ev-Intro.pdf
7
ชุดควบคุมไฟฟ้ากำลัง (Power Control Unit หรือ PCU) นอกจากมอเตอร์ที่เป็นอุปกรณ์หลักในการ
ขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้าแล้ว ชุดควบคุมไฟฟ้ากำลังถือเป็นอีก หนึ่งส่วนประกอบสำคัญที่ต้องทำงานผสานกับ
ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน โดยชุดควบคุมไฟฟ้ากำลังจะทำหน้าที่ปรับ สภาวะของกระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้า
จากแบตเตอรี่ให้เหมาะสมกับการขับเคล่อื นของมอเตอร์ ดังนนั้ จะเหน็ ไดว้ ่าชุดควบคุมไฟฟ้ากำลงั เปน็ อปุ กรณ์ท่ี
ทำงานระหว่างมอเตอร์ขับเคลื่อน และแบตเตอรี่ ซึ่งการทำงานของชุดควบคุมไฟฟ้ากำลังจำเป็นต้องมีอุปกรณ์
ยอ่ ยต่างๆดังรูปที่ 2.6 ประกอบไปด้วย
1) Vehicle Control Unit (VCU)
เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในระบบ PCU เนื่องจากทำหน้าที่ในการควบคุมและตรวจสอบการทำงานของ
หน่วยควบคุมส่วนอื่นๆทั้งหมดของตัวรถ อาทิเช่น หน่วยควบคุมของมอเตอร์ไฟฟ้า, ระบบ Regenerative
Braking รวมถึงระบบ Power Supply ของอปุ กรณ์อิเลก็ ทรอนกิ ส์ ซ่ึง VCU ดังรปู ท่ี 2.7 นนั้ เปรยี บเทียบไดก้ ับ
ECU ในรถยนต์เครื่องยนตส์ นั ดาป
รูปท่ี 2.7 Vehicle Control Unit
ทม่ี า : https://www.bosch-mobility-solutions.com/en/solutions/vehicle-computer
2) อนิ เวอร์เตอร์ (Inverter)
อินเวอร์เตอร์ (Inverter) ดังรูปที่ 2.8 เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการแปลงกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่
ซึ่งเป็นไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ให้เป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) เพื่อส่งต่อให้กับมอเตอร์ไฟฟ้า อีกทั้งยังควบคุม
ความเรว็ ในการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าในขณะทรี่ ถมอี ตั ราเรง่ หรอื หนว่ งจากผ้ขู ับข่ี
รปู ที่ 2.8 อนิ เวอรเ์ ตอร์ (Inverter)
ท่ีมา : https://thai.alibaba.com/product-detail
8
3) DC-DC Converter
อุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าคือ DC-DC Converter ดังรูปที่ 2.9 ซึ่งเป็น
อุปกรณ์ปรับแรงดันของไฟฟ้าให้สูงขึ้นหรือต่ำลงโดยอุปกรณ์ดังกล่าว ในยานยนต์ไฟฟ้าจะใช้เพื่อปรับค่า
แรงดันไฟฟ้าจาก แบตเตอรี่ที่มีค่าต่ำให้มีค่าแรงดันไฟฟ้าสูงขึ้นก่อนส่งต่อไปยังชุดควบคุมมอเตอร์ ซ่ึง
Converter ที่ปรับแรงดันไฟฟา้ ให้สงู ข้ึนเรียกวา่ Boost Converter ในขณะที่ Converter ที่ปรบั แรงดันไฟฟา้
ให้ต่ำ ลงเรียกว่า Step Down Converter หรือ Buck Converter (คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั , 2560)
รปู ท่ี 2.9 DC-DC Converter
ท่ีมา : https://store.neweagle.net/product/ev-6-6kwobc-1-kw-dc-dc-converter
4) ระบบจดั การแบตเตอร่ี (Battery Management System)
ระบบการจัดการแบตเตอรี่ ดังรูปที่ 2.10 ทำหน้าที่หลักๆในการ Maintain balance cell battery
เพื่ออัดไฟให้เต็มมากที่สุด และยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ โดยการวัดสถานะการชาร์จ , สถานะสุขภาพของ
เซลล์ รวมถึงการตรวจสอบเซ็นเซอร์ตา่ งๆ BMS จะควบคุมกระแสไฟฟ้าท่ีไหลเขา้ หรือออกจากแบตเตอรี่ เพ่ือ
ทําให้ดันของแบตเตอรี่แต่ละก้อนเท่ากันอยู่เสมอ เมื่อแรงดันของแบตเตอรี่เท่ากัน หมายความว่าปริมาณของ
กระแสไฟฟา้ ที่เหลืออยู่จะเทา่ กนั ดว้ ย BMS จะทำการตรวจสอบข้นั พ้นื ฐาน คือ การตรวจสอบแรงดนั ไฟฟ้าของ
แต่ละเซลล์ อุณหภูมิของเซลล์ การวัดกระแสความต้านทานต่อเซลล์ เพื่อแก้ไขปัญหาหรือการจัดการให้
สามารถทำงานได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ (บรษิ ัท จที ีเอม็ จำกัด, 2563)
รูปท่ี 2.10 Battery Management System
ท่มี า : https://circuitdigest.com/article/battery-management-system
9
5) อปุ กรณค์ วบคุมการชารจ์ ประจุไฟฟ้า (On Board Charger) ดงั รปู ที่ 2.11
On Board Charger เป็นอุปกรณ์ที่จะถูกติดตั้งอยู่ภายในระบบชาร์จแบตเตอรี่ในตัวรถยนต์ EV โดย
อุปกรณ์นี้จะทำหน้าที่แปลงไฟบ้านจากกระแสสลับ AC เป็นไฟฟ้ากระแสตรง DC โดยจะมีระบบควบคุมและ
จำกัดปริมาณการไหลของกระแสไฟไม่ให้เกนิ ค่าสงู สุดของสายชาร์จ หรอื ไม่ใหเ้ กินค่าทีร่ ะบบชาร์จจะรับได้ทั้งน้ี
ขนาดของ On Board Charger จะขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของรถยนต์ EV มีผลต่อระยะเวลาในการประจุชาร์จ
ไฟใหแ้ บตเตอรี่ (บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด, 2564)
รปู ท่ี 2.11 On Board Charger
ท่มี า : https://www.ovartech.com/product/12kw-on-board-charger-high-power-obc
หลกั การตรวจสอบความปลอดภัยทางไฟฟา้ ของยานยนต์ไฟฟา้
11
3.1 หลักการตรวจสอบแบตเตอรล่ี ิเธยี ม
1) การตรวจสอบโดยการวัดอณุ หภมู ิ
โดยทั่วไปช่วงอุณหภูมิการทำงานที่เหมาะสมที่ ยอมรับได้ควรไม่เกิน 20 – 40 องศาเซลเซียส
เนื่องจากช่วงอุณหภูมินี้มีความใกล้เคียงกับความจุกระแสไฟฟ้าสูงสุด และส่งผลกระทบกับการย่อยสลายหรือ
เสื่อมสภาพ ดังรปู ท่ี 3.12 และรปู ท่ี 3.13 ดงั นัน้ ถ้าเซลลแ์ บตเตอรี่ ทน่ี ำมาประกอบหรอื ทำการแพ็คแบตเตอร่ีมี
คุณภาพท่ีต่างกัน จะส่งผลใหส้ มรรถนะและอายกุ ารใชง้ านของแตล่ ะ แบตเตอรไ่ี มเ่ ทา่ กัน นอกจากน้ันถ้าระบบ
การระบายความร้อนให้กับแพ็คแบตเตอรี่ ยังต้องคำนึงเรื่องการกระจาย ตัวของอุณหภูมิที่เกิดขึ้นแต่ละเซลล์
โดยความความแตกตา่ งของอุณหภมู ิในแต่ละเซลลท์ ี่ยอมรับได้ควรไมเ่ กิน 5 องศาเซลเซียส
หากแบตเตอรี่มีอุณหภูมิภายในถึง 60 องศาเซลเซียส จะเริ่มมีความร้อนสูงข้ึนที่ขั้วลบและสารละลาย
อิเล็ก โทรไลต์มีปฏิกิริยาข้างเคียงทำให้เกิดผลิตภัณฑ์เป็นแก๊สต่างๆ ที่อาจติดไฟได้ และเกิดความร้อนขึ้นด้วย
ส่งผลให้ เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อเนื่อง จนในที่สุดอาจเกิดไฟลุกไหม้ หรือระเบิดได้ เรียกว่าการเกิดความ ร้อน
ต่อเนื่องแบบกไู่ ม่กลับ (Thermal Runaway) ในบางกรณอี ณุ หภมู ิอาจเพม่ิ สงู ถงึ 900 องศาเซลเซียส
Thermal runaway ได้ กล่าวคือ สภาวะการทำงานที่ไม่เหมาะสมก่อให้เกิดความร้อนมากกว่าปกติ
แล้วความร้อนนั้นนำไปสู่กระบวนการทางเคมีระหว่างเซลล์แบตเตอรี่ ที่นำไปสู่ความร้อนที่เพิ่มข้ึน จนในที่สุด
ปริมาณความร้อนมีมากจนเกิดการลุกติดไฟได้ในชุดแบตเตอรี่ เพื่อป้องกันการติดไฟลุกไหม้ กล่องบรรจุชุด
แบตเตอรจี่ ะมกี ารออกแบบระบบหล่อเยน็ เพือ่ ปอ้ งกันการ Thermal runaway (สถาบันยานยนต,์ 2561)
รปู ที่ 3.12 การเปรียบเทยี บระหวา่ งกำลงั ไฟฟา้ กับอณุ หภูมมขิ องแบตเตอรี่
ที่มา : https://www.thaiauto.or.th/2012/th/services/ev/pdf/research/2018
รูปท่ี 3.13 อายกุ ารใชง้ านแบตเตอร่ีส้ันลงท่ีอุณหภมู ิสงู ขน้ึ
ท่ีมา : https://www.thaiauto.or.th/2012/th/services/ev/pdf/research/2018
12
1.1) ขัน้ ตอนการตรวจสอบอุณหภมู ิแบตเตอรด่ี ้วยกลอ้ งถา่ ยภาพความร้อน
1.1.1) สตารท์ เคร่อื งเพ่อื ทจ่ี ะได้เห็นจุดทม่ี ีความร้อนจากการท่ีแบตเตอรีท่ ำงาน
1.1.2) เตรียมกล้องถา่ ยภาพความรอ้ น
1.1.3) ใส่ Mini SD Card ลงไปในกล้องถ่ายภาพความรอ้ น
1.1.4) กดป่มุ เปดิ ใช้งาน และทำการเลง็ กลอ้ งไปยงั ตัวแบตเตอร่ี
1.1.5) กดปุ่มบันทกึ ภาพ เพ่ือทำการเก็บภาพที่ตอ้ งการและกดปุม่ ปดิ ใชง้ านทเี่ สร็จ
1.1.6) นำ SD Card จากกล้องถ่ายภาพความร้อนไปลงคอมเพือ่ ทำการวิเคราะห์
อณุ หภูมิทไี่ ด้วา่ อยู่ตามเกณฑ์หรอื ไม่
2) การตรวจสอบแบตเตอร่โี ดยใชม้ ลั ติมเิ ตอร์
การวัดแรงดันแบตเตอรี่ต้องมีการป้องกันความปลอดภัยโดยการใส่ถุงมือยางเพื่อป้องกันไฟฟ้าแรงสูง
ดูดโดยที่ตัวแบตเตอรี่แรงสูงนั้นก็จะมีตัว service plug ดังรูปที่ 3.17 เป็นตัวเชื่อมต่อไฟของแบตเตอรี่ดังน้ัน
สามารถวัดแรงดันของแบตเตอรที่ ี่ขว้ั ไฟออกไดว้ า่ แบตเตอร่ีมีแรงดันเทา่ ไหรตามสเปคของแตล่ ะรุ่น
รูปท่ี 3.17 service plug
ทม่ี า : https://www.toyota.co.th/technology
2.1) ขั้นตอนการตรวจสอบแรงดันแบตเตอร่ดี ว้ ยมัลติมิเตอร์
2.1.1) ทำการดบั เครอื่ งยนต์
2.1.2) ถอดฝาครอบข้ัวแบตเตอร่ีออกแลว้ ตรวจสอบและทำความสะอาด
2.1.3) ต่อข้วั บวกและข้ัวลบของมลั ติมิเตอรเ์ ข้ากบั ข้ัวบวกและขว้ั ลบของแบตเตอรี่
โดยทวั่ ไปขว้ั บวกของโวลต์มเิ ตอรจ์ ะมสี แี ดง
2.1.4) ตรวจดคู ่าบนมัลติมิเตอร์ว่าไดค้ า่ แรงดนั ไฟฟ้าของแบตเตอรตี่ ามสเปคหรือไม่
3) การตรวจสอบสภาพท่ัวไป
การตรวจสอบแบตเตอร่ีรถยนต์ไฟฟา้ โดยการตรวจสอบสภาพท่ัวไปคือ
3.1) ตรวจสอบการป้องกันนำ้
3.2) ตรวจสอบสภาพสายไฟ
3.3) ตรวจสอบสภาพขวั้ หรอื จดุ ต่อไฟ
3.4) ตรวจสอบจดุ ยึดตา่ งๆ
4) เชค็ ลสิ ต์รายละเอียดการตรวจสอบแบตเตอรี่ ดังตารางที่ 3.1 13
ตารางที่ 3.1 รายละเอยี ดการตรวจสอบแบตเตอรี่ คำแนะนำ
ลำดบั รายการตรวจสอบ ปกติ ควรปรับปรุง ต้องแก้ไข
1 ตรวจสอบสภาพทัว่ ไป
1.1 ตรวจสภาพแบตเตอรี่
1.2 ตรวจสงิ่ สกปรก
1.3 ตรวจสอบขัว้ แบตเตอรี่
1.4 ตรวจสอบการตดิ ต้งั
1.5 ตรวจสภาพสายไฟ
1.6 การปอ้ งกนั น้ำเข้า
2 ตรวจสอบโดยการวัดแรงดนั
2.1 แรงดนั ของแบตเตอรี่
3 ตรวจสอบโดยการวดั อุณหภูมิ
3.1 อุณหภมู ิของแบตเตอร่ี
14
3.2 หลักการตรวจสอบมอเตอร์
1) การตรวจสอบโดยการวดั อณุ หภูมิ
การใช้งานมอเตอร์ที่มีความร้อนสูงเป็นเวลานาน ทำให้อายุการใช้งานของมอเตอร์ลดลง ซึ่งขึ้นอยู่กับ
อุณหภูมิ ที่ยอมรับได้ของฉนวนขดลวดและอุณหภูมิของแบริ่ง เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นมาผลต่ออายุการใช้
งานของฉนวนลดลงและ ยังส่งผลกับความหนืด ของสารหล่อลื่นในแบริ่ง อาจทำให้แบริ่งเสียหายจากการขาด
สารหล่อลืน่ ไดเ้ ร็วขึ้น โดยอณุ หภูมิทยี่ อมรับได้ของฉนวนขดลวดขึ้นอย่กู ับ Classของฉนวน ดังตารางที่ 3.2
ตารางท่ี 3.2 ระดับชน้ั ฉนวน
ระดบั ชนั้ นฉนวน อณุ หภมู ทิ ่ฉี นวนทนได้ (C) อณุ หภมู ิท่เี พ่ิมขนึ้ (C)
A 105 55
E 120 65
B 130 80
F 155 105
H 180 125
N 200 -
โดยทัว่ ไปในปัจจุบันนว้ี ัสดขุ องฉนวนท่ีใช้สว่ นใหญ่จะสามารถทนอณุ หภูมไิ ด้ตามการมาตรฐาน IEC 85
ฉนวนไฟฟ้า Class F ซึ่งจะสามารถทนอุณหภูมไิ ด้สงู สุด 155 C หรือมอเตอรบ์ างรุ่นอาจจะใช้ ฉนวนไฟฟ้าตาม
มาตรฐาน Class H ซง่ึ สามารถทนอณุ หภมู ิได้สูงสดุ ถงึ 180 C
สาเหตุหลักของความร้อนสูงเกิน เกิดจากการใช้งานเกินพิกัด แบริ่งยึดติด นอกจากนี้ความผิดปกติ
อื่นๆที่อาจก่อให้เกิดความร้อนสูงเกินได้คือการระบายความร้อนที่จำกัด อุณหภูมิบรรยากาศโดยรอบสูง อัตรา
การใช้งานที่มากเกนิ ไป และแหล่งจา่ ยไฟผิดปกติ เช่น แรงดนั ตก เกินหรอื ไมส่ มดุล
ตำแหน่งวัดอุณหภมู ติ ่างๆทีแ่ นะนำ มีอยู่ด้วยกันคือ 3 จุดบริเวณผวิ ด้านข้างของมอเตอร์ บริเวณแบริ่ง
บริเวณสาย โดยตำแหน่งต่างๆในการวัดอุณหภูมิของมอเตอร์ นั้นการวัดอุณหภูมยิ ังมีปัจจัยต่างๆที่มีผลกับการ
วิเคราะห์ เช่นโหลด อุณหภูมิห้อง ความร้อนจากรังสีจากดวงอาทิตย์ และตำแหน่งที่วัด เพื่อหลีกเลี่ยงหรือลด
ผลกระทบดังกลา่ ว การวัดอณุ หภูมผิ ิว ควรวัดในตำแหนง่ ทไี่ ม่โดนแสงแดด (บรษิ ัท ที เอ็น เมตลั เวริ ์ค จำกดั )
1) ขน้ั ตอนการตรวจสอบอณุ หภมู ิแบตเตอรดี่ ว้ ยกล้องถ่ายภาพความร้อน
1.1.1) สตาร์ทเคร่อื งเพื่อทจี่ ะไดเ้ ห็นจุดทีม่ คี วามร้อนจากการทีแ่ บตเตอรีท่ ำงาน
1.1.2) เตรียมกลอ้ งถา่ ยภาพความรอ้ น
1.1.3) ใส่ Mini SD Card ลงไปในกลอ้ งถา่ ยภาพความรอ้ น
1.1.4) กดปุ่มเปดิ ใช้งาน และทำการเล็งกลอ้ งไปยังตัวแบตเตอรี่
1.1.5) กดป่มุ บนั ทกึ ภาพ เพือ่ ทำการเก็บภาพทีต่ อ้ งการและกดปมุ่ ปดิ ใช้งานท่ีเสรจ็
1.1.6) นำ SD Card จากกล้องถ่ายภาพความร้อนไปลงคอมเพอ่ื ทำการวิเคราะห์อณุ หภูมิทีไ่ ด้
วา่ อยตู่ ามเกณฑห์ รือไม่
15
2) การตรวจสอบสภาพท่ัวไป
2.1) การฟงั เสยี งการทำงานว่าเสียงผิดปกตหิ รือไม่
การหล่อลื่นมอเตอร์ไฟฟ้า การหล่อลืน่ ชิน้ ส่วนเคล่ือนที่ของมอเตอร์ เช่น เพลา และตลบั ลูกปนื
โดยทำการซ่อมบำรุง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแรงเสียดทานในการหมุน และเกิดเสียง ดังในขณะมอเตอร์ทำงาน
การหล่อลื่นตลับลูกปืนด้วยจาระบี หากมากเกินไป จะส่งผลเสียมากกว่าผลดี เพราะจาระบีที่อัดแน่นมาก
เกินไปจะทำใหต้ ลับลูกปืนแตกเสียหาย นอกจากนี้การเลือกใชจ้ าระบีให้เหมาะสมกับงานก็เป็นเรื่องสำคัญ เช่น
จาระบีแต่ละชนิด ทนทานต่ออุณหภูมิที่ต่างกัน หากเลือกใช้จาระบีอุณหภูมิต่ำเกินไปจะทำให้จาระบีละลาย
และลดประสิทธิภาพการทำงานลงไป
2.2) การทำความสะอาดด้วยการปัด แปรง ดูดฝุ่นออก หรือใช้ลมแรงเป่าฝุ่นออก ทำความ
สะอาดตัวมอเตอร์ได้ทั้งส่วนภายนอกและภายใน ฝุ่นสกปรกที่เข้าติดภายในตัวจะทำให้อุณหภูมิสะสมในตัว
มอเตอร์สงู และเม่อื อุณหภูมิสูงกจ็ ะส่งผลต่ออายุการใชง้ านของฉนวนตา่ งๆและลดอายุการทำงานของมอเตอร์
2.3) ตรวจสอบการกัดกร่อน ให้สังเกตที่สภาพตัวมอเตอร์ รวมทั้งชิ้นส่วนภายในมอเตอร์ว่าถูก
กัดกร่อนได้รับความเสียหายบ้างหรอื ไม่
2.4) ตรวจสภาพอุปกรณ์ชิ้นส่วนตามระยะเวลาและเปลี่ยนชิ้นส่วนเมื่อเสื่อมสภาพการใช้งาน
2.5) ตรวจเช็คความสะอาดของมอเตอร์ หรอื สว่ นประกอบตา่ งๆของตวั เคร่ืองเพื่อปอ้ งกันสนิม
2.6) ตรวจเช็คความแน่นของขั้วไฟฟ้าตามจุดต่างๆ หากขั้วไฟฟ้าหลวมไม่แน่นพอเมื่อใช้งานไป
จะทำให้ เกิดความร้อนขึ้นได้ที่จุดต่อ และอาจส่งผลให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานที่ระดับแรงดันต่ำกว่าพิกดั จึงทำให้
เกิดความ ร้อนในตัวมอเตอร์หากจุดต่อเกิดการแตกหักและหลวม จนทำให้เฟสของแรงดันไม่ครบอาจส่งผลทำ
ให้มอเตอร์ ไฟฟ้าเสียหายได้
2.7) ตรวจเช็คตลับลกู ปืน โดยการเปลยี่ นจาระบีเพื่อช่วยให้การหลอ่ ลื่นดขี ึ้น ซ่ึงสามารถชว่ ยลด
ความ เสียหายทอ่ี าจเกิดกบั เพลาของมอเตอร์และช้นิ สว่ นอ่ืนๆได้
3) เช็คลิสตร์ ายละเอยี ดการตรวจสอบมอเตอร์ ดังตารางที่ 3.3
ตารางท่ี 3.3 รายละเอยี ดการตรวจสอบมอเตอร์
ลำดับ รายการตรวจสอบ ปกติ ควรปรบั ปรงุ ต้องแกไ้ ข คำแนะนำ
1 ตรวจสอบสภาพทวั่ ไป
1.1 ตรวจสภาพมอเตอร์
1.2 ตรวจส่งิ สกปรก
1.3 ตรวจสอบขั้วหรอื จดุ ต่อไฟมอเตอร์
1.4 ตรวจสอบการติดต้ัง
1.5 ตรวจสภาพสายไฟ
1.6 การปอ้ งกนั นำ้ เขา้
1.7 ตรวจสอบลกู ปนื
1.8 ตรวจสอบการกัดกรอ่ น
2 ตรวจสอบโดยการฟังเสียงการงทำงาน
2.1 เสยี งการทำงานมอเตอร์
3 ตรวจสอบโดยการวดั อณุ หภูมิ
3.1 อุณหภมู ิของมอเตอร์
16
3.3 หลกั การตรวจสอบ Vehicle Control Unit
1) การตรวจสอบโดยการวดั อณุ หภมู ิ
โดยการตรวจสอบนี้อา้ งองิ จากการวดั อณุ หภูมขิ องแบตเตอร่ที ที่ ำงานรว่ มกับระบบจดั การแบตเตอรี่
(Battery Management System) เพราะการทำงานของ BMS โดยการวัดอณุ หภูมิเพื่อป้องกันอณุ หภมู เิ กิน
คา่ มาตราฐานของแบตเตอรี่ ถา้ เกนิ จะส่งั หยดุ การทำงานทันที เมอ่ื อณุ หภมู ลิ ดลงกจ็ ะเปดิ วงจรอกี คร้งั ดังนัน้ ถา้
อุณหภูมิเกนิ คา่ จะทำให้ตวั VCU หยดุ ทำงานด้วย
1.1) ขนั้ ตอนการตรวจสอบอุณหภูมิแบตเตอรีด่ ว้ ยกล้องถา่ ยภาพความร้อน
1.1.1) สตารท์ เครอ่ื งเพือ่ ที่จะไดเ้ ห็นจดุ ท่มี คี วามรอ้ นจากการทแ่ี บตเตอร่ที ำงาน
1.1.2) เตรยี มกลอ้ งถา่ ยภาพความรอ้ น
1.1.3) ใส่ Mini SD Card ลงไปในกล้องถา่ ยภาพความรอ้ น
1.1.4) กดปมุ่ เปิดใช้งาน และทำการเลง็ กล้องไปยงั ตวั แบตเตอร่ี
1.1.5) กดปุ่มบนั ทึกภาพ เพอื่ ทำการเก็บภาพท่ตี ้องการและกดปุม่ ปดิ ใช้งานท่เี สร็จ
1.1.6) นำ SD Card จากกล้องถ่ายภาพความร้อนไปลงคอมเพื่อทำการวิเคราะห์
อุณหภูมทิ ไ่ี ด้วา่ อย่ตู ามเกณฑห์ รอื ไม่
2) การตรวจสอบสภาพทั่วไป
การตรวจสอบ Vehicle Control Unit รถยนตไ์ ฟฟ้าโดยการตรวจสอบสภาพท่วั ไปคอื
2.1) ตรวจสอบการปอ้ งกนั น้ำ
2.2) ตรวจสอบสภาพสายไฟ
2.3) ตรวจสอบสภาพข้ัวหรือจุดตอ่ ไฟ
2.4) ตรวจสอบจุดยึดตา่ งๆ
2.5) ตรวจสอบสภาพตัว Vehicle Control Unit
3) เชค็ ลสิ ตร์ ายละเอยี ดการตรวจสอบ Vehicle Control Unit ดงั ตารางที่ 3.4
ตารางที่ 3.4 รายละเอยี ดการตรวจสอบ Vehicle Control Unit
ลำดับ รายการตรวจสอบ ปกติ ควร ตอ้ งแกไ้ ข คำแนะนำ
ปรบั ปรุง
1 ตรวจสอบสภาพทว่ั ไป
1.1 ตรวจสภาพ Vehicle Control Unit
1.2 ตรวจสง่ิ สกปรก
1.3 ตรวจสอบข้วั หรอื จดุ ตอ่ ไฟมอเตอร์
1.4 ตรวจสอบการตดิ ต้ัง
1.5 ตรวจสภาพสายไฟ
1.6 การปอ้ งกันนำ้ เขา้
1.8 ตรวจสอบการกัดกร่อน
2 ตรวจสอบโดยการวดั อณุ หภูมิ
2.1 อณุ หภูมขิ อง Vehicle Control Unit
17
3.4 หลักการตรวจสอบ อินเวอร์เตอร์ (Inverter)
1) การตรวจสอบสภาพท่วั ไป
การตรวจสอบ อินเวอรเ์ ตอร์ (Inverter) รถยนต์ไฟฟา้ โดยการตรวจสอบสภาพท่ัวไปคอื
1.1) ตรวจสอบการปอ้ งกันน้ำ
1.2) ตรวจสอบสภาพสายไฟ
1.3) ตรวจสอบสภาพขัว้ หรอื จดุ ต่อไฟ
1.4) ตรวจสอบจุดยดึ ตา่ งๆ
1.5) ตรวจสอบสภาพตัว อนิ เวอรเ์ ตอร์ (Inverter)
1.6) ตรวจสอบความสะอาด
2) เชค็ ลิสตร์ ายละเอียดการตรวจสอบ อนิ เวอรเ์ ตอร์ (Inverter)ดงั ตารางที่ 3.5
ตารางท่ี 3.5 รายละเอียดการตรวจสอบ อินเวอรเ์ ตอร์ (Inverter)
ลำดบั รายการตรวจสอบ ปกติ ควรปรบั ปรุง ตอ้ งแกไ้ ข คำแนะนำ
1 ตรวจสอบสภาพท่ัวไป
1.1 ตรวจสภาพ อินเวอร์เตอร์ (Inverter)
1.2 ตรวจสิ่งสกปรก
1.3 ตรวจสอบข้ัวหรือจดุ ต่อไฟ
1.4 ตรวจสอบการติดตง้ั
1.5 ตรวจสภาพสายไฟ
1.6 การป้องกนั นำ้ เขา้
1.8 ตรวจสอบการกดั กรอ่ น
18
3.5 หลักการตรวจสอบ DC-DC Converter
1) การตรวจสอบ DC-DC Converter โดยใชม้ ัลติมเิ ตอร์
DC-DC Converter ในยานยนต์ไฟฟ้านั้น จะทำหน้าที่แปลงแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงแรงดันสูงเป็น
ไฟฟา้ กระแสตรงแรงดันตำ่ ทำหนา้ ท่ีเหมือนกบั ไดร์ชารจ์ ของรถยนต์สนั ดาป แตว่ ธิ ีการของ DC-DC Converter
คือการนำไฟฟา้ จากแบตเตอรีแ่ รงสูงมาผา่ นตัว DC-DC Converter แปลงไฟลดลงมา 14 โวลต์เพ่ือชาร์จเข้าไป
ในแบตเตอรี่ 12 โวลต์ที่ใช้ภายในรถสามารถทำการตรวจสอบได้ดังน้ี
ใช้มัลติมิเตอร์เช็คที่แบตเตอรี่ 12 โวลต์ว่าไฟนั้นยังคงเต็มหรือไม่เพราะตัว DC-DC
Converter ที่แปลงไฟจากแรงสูงลดลงมา 14 โวลต์เพื่อชาร์จเข้าไปในแบตเตอรี่ 12 โวลต์ดังนั้นแรงดันใน
แบตเตอรจ่ี ะตอ้ งวัดได้ 12 โวลต์
1.1) ขน้ั ตอนการตรวจสอบแรงดนั แบตเตอรี่ 12 โวลตด์ ว้ ยมัลติมเิ ตอร์
1.1.1) ทำการดับเคร่ืองยนต์
1.1.2) ถอดฝาครอบข้วั แบตเตอร1ี่ 2โวลตอ์ อกแล้วตรวจสอบและทำความสะอาด
1.1.3) ต่อขั้วบวกและขั้วลบของมัลติมิเตอร์เข้ากับขั้วบวกและขั้วลบของแบตเตอรี่
12 โวลต์ โดยทว่ั ไปข้วั บวกของโวลตม์ ิเตอรจ์ ะมสี แี ดง
1.1.4) ตรวจดคู า่ บนมลั ติมิเตอรว์ า่ ไดค้ ่าแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอร่ี 12 โวลต์หรือไม่
2) การตรวจสอบสภาพทว่ั ไป
การตรวจสอบ DC-DC Converter รถยนต์ไฟฟ้าโดยการตรวจสอบสภาพท่ัวไปคือ
1.1) ตรวจสอบการป้องกนั นำ้
1.2) ตรวจสอบสภาพสายไฟ
1.3) ตรวจสอบสภาพขั้วหรอื จุดต่อไฟ
1.4) ตรวจสอบจดุ ยดึ ตา่ งๆ
1.5) ตรวจสอบสภาพตวั DC-DC Converter
1.6) ตรวจสอบความสะอาด
3) เช็คลิสตร์ ายละเอยี ดการตรวจสอบ DC-DC Converter) ดังตารางท่ี 3.6
ตารางที่ 3.6 รายละเอียดการตรวจสอบ DC-DC Converter
ลำดบั รายการตรวจสอบ ปกติ ควรปรับปรุง ตอ้ งแกไ้ ข คำแนะนำ
1 ตรวจสอบสภาพทว่ั ไป
1.1 ตรวจสภาพ DC-DC Converter
1.2 ตรวจสิ่งสกปรก
1.3 ตรวจสอบขั้วหรือจดุ ตอ่ ไฟ
1.4 ตรวจสอบการติดตั้ง
1.5 ตรวจสภาพสายไฟ
1.6 การปอ้ งกันนำ้ เข้า
1.8 ตรวจสอบการกัดกร่อน
2 ตรวจสอบโดยการวดั แรงดนั
2.1 แรงดันของแบตเตอรี่ 12 โวลต์
19
3.6 หลักการตรวจสอบ ระบบจัดการแบตเตอรี่ (Battery Management System)
1) การตรวจสอบโดยการวัดอุณหภูมิ
โดยการตรวจสอบนี้อ้างอิงจากการวัดอุณหภมู ขิ องแบตเตอร่ีท่ีทำงานร่วมกับระบบจดั การแบตเตอรี่
(Battery Management System) เพราะการทำงานของ BMS โดยการวัดอุณหภมู ิเพ่อื ป้องกนั อณุ หภูมเิ กนิ
ค่ามาตราฐานของแบตเตอร่ี ถ้าเกินจะสงั่ หยดุ การทำงานทันที เมอ่ื อณุ หภูมลิ ดลงกจ็ ะเปิดวงจรอีกครั้งเพราะ
ฉนน้ั ถา้ อณุ หภูมเิ กนิ คา่ จะทำให้ (Battery Management System) หยดุ ทำงาน
1.1) ข้นั ตอนการตรวจสอบอณุ หภมู ิแบตเตอรีด่ ว้ ยกล้องถา่ ยภาพความร้อน
1.1.1) สตาร์ทเคร่ืองเพอ่ื ท่ีจะได้เหน็ จุดทม่ี คี วามร้อนจากการท่ีแบตเตอร่ที ำงาน
1.1.2) เตรยี มกล้องถ่ายภาพความร้อน
1.1.3) ใส่ Mini SD Card ลงไปในกล้องถ่ายภาพความร้อน
1.1.4) กดปุ่มเปิดใช้งาน และทำการเลง็ กลอ้ งไปยงั ตวั แบตเตอรี่
1.1.5) กดปุ่มบนั ทกึ ภาพ เพ่อื ทำการเก็บภาพทต่ี ้องการและกดป่มุ ปิดใชง้ านทเ่ี สรจ็
1.1.6) นำ SD Card จากกล้องถ่ายภาพความร้อนไปลงคอมเพื่อทำการวิเคราะห์
อณุ หภูมิที่ไดว้ ่าอยู่ตามเกณฑห์ รือไม่
2) การตรวจสอบสภาพท่ัวไป
การตรวจสอบ ระบบจดั การแบตเตอร่ี รถยนตไ์ ฟฟ้าโดยการตรวจสอบสภาพทัว่ ไปคือ
2.1) ตรวจสอบการป้องกันนำ้
2.2) ตรวจสอบสภาพสายไฟ
2.3) ตรวจสอบสภาพขว้ั หรือจดุ ตอ่ ไฟ
2.4) ตรวจสอบจดุ ยึดตา่ งๆ
2.5) ตรวจสอบสภาพตัว Battery Management System
2.6) ตรวจสอบความสะอาด
3) เช็คลสิ ตร์ ายละเอยี ดการตรวจสอบ Battery Management System ดังตารางที่ 3.7
ตารางท่ี 3.7 รายละเอียดการตรวจสอบ Battery Management System
ลำดบั รายการตรวจสอบ ปกติ ควรปรบั ปรงุ ตอ้ งแกไ้ ข คำแนะนำ
1 ตรวจสอบสภาพทัว่ ไป
1.1 ตรวจสภาพ Battery Management System
1.2 ตรวจสง่ิ สกปรก
1.3 ตรวจสอบข้ัวหรือจุดต่อไฟมอเตอร์
1.4 ตรวจสอบการติดตง้ั
1.5 ตรวจสภาพสายไฟ
1.6 การป้องกนั นำ้ เขา้
1.8 ตรวจสอบการกดั กร่อน
2 ตรวจสอบโดยการวดั อุณหภูมิ
2.1 อณุ หภูมขิ อง Battery Management System
20
3.7 หลกั การตรวจสอบ อปุ กรณ์ควบคมุ การชารจ์ ประจไุ ฟฟ้า (On Board Charger)
1) ตรวจสอบการชาร์จโดยใช้แคลมปม์ เิ ตอร์วดั กระแส
On Board Charger เป็นอุปกรณ์ที่จะถูกติดตั้งอยู่ภายในระบบชาร์จแบตเตอรี่ในตัวรถยนต์ EV โดย
อุปกรณ์นี้จะทำหน้าที่แปลงไฟกระแสสลับ AC เป็นไฟฟ้ากระแสตรง DC โดยจะมีระบบควบคุมและจำกัด
ปริมาณการไหลของกระแสไฟไม่ให้เกินค่าสูงสุดของสายชาร์จ หรอื ไม่ใหเ้ กินค่าทร่ี ะบบชาร์จจะรบั ได้
โดยอุปกรณ์ On Board Charger ที่อยู่ภายในรถไฟฟ้าและเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนใหญ่
มากกว่า 96% จะมีขนาด 3.7 kW ซึ่งจะใช้กระแสไฟฟ้า 1 เฟส 16 A ซึ่งมีขนาดมากกว่าการใช้งานในบ้านที่
ขอมิเตอร์จากการ ไฟฟ้า 5-15 A ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป อุปกรณ์ On Board Charger อยู่ภายในรถไฟฟ้า
ส่วนใหญ่จะมีขนาดเป็น 7.4 kW ซึ่งจะใช้กระแสไฟฟ้า 1 เฟส 32 A ซึ่งมากกว่าเดิมถึง 2 เท่า และมีขนาด
มากกวา่ ครึ่งของบ้านท่ีขอมิเตอร์จากการไฟฟา้ 15-45 A
1.1) ข้ันตอนการตรวจสอบค่ากระแสโดยใชแ้ คลมปม์ เิ ตอร์
1.1.1) ทำการชาร์จแบตเตอรี่รถยนตไ์ ฟฟา้
1.1.2) ใช้แคลมปม์ ิเตอร์คลอ้ งวัดกระแสจากสายชารจ์ ท่ีเคร่อื งชาร์จรถยนตไ์ ฟฟ้า
1.1.3) ตรวจดูค่ากระแสบนแคลมป์มิเตอร์วา่ ไดค้ ่ากระแสตามคา่ ท่ีกำหนดหรือไม่
2) การตรวจสอบสภาพท่วั ไป
การตรวจสอบ On Board Charger รถยนต์ไฟฟ้าโดยการตรวจสอบสภาพทั่วไปคอื
2.1) ตรวจสอบการปอ้ งกนั น้ำ
2.2) ตรวจสอบสภาพสายไฟ
2.3) ตรวจสอบสภาพข้วั หรือจดุ ต่อไฟ
2.4) ตรวจสอบจดุ ยึดตา่ งๆ
2.5) ตรวจสอบสภาพตัว On Board Charger
2.6) ตรวจสอบความสะอาด
3) เชค็ ลสิ ตร์ ายละเอียดการตรวจสอบ On Board Charger ดงั ตารางท่ี 3.8
ตารางท่ี 3.8 รายละเอียดการตรวจสอบ On Board Charger
ลำดับ รายการตรวจสอบ ปกติ ควรปรบั ปรงุ ตอ้ งแกไ้ ข คำแนะนำ
1 ตรวจสอบสภาพทั่วไป
1.1 ตรวจสภาพ On Board Charger
1.2 ตรวจสิง่ สกปรก
1.3 ตรวจสอบขั้วหรอื จุดตอ่ ไฟต่างๆ
1.4 ตรวจสอบการติดตงั้
1.5 ตรวจสภาพสายไฟ
1.6 การปอ้ งกันนำ้ เขา้
1.8 ตรวจสอบการกดั กรอ่ น
2 ตรวจสอบโดยการวดั กระแส
2.1 คา่ กระแสมคี า่ ตามกำหนด
มาตรฐานปลอดภยั ทางไฟฟ้าสำหรับยานยนตไ์ ฟฟา้
22
มาตรฐานยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ซึ่งเป็น
หน่วยงานที่กำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรม ภายในประเทศ ได้มีแผนการกำหนดมาตรฐานยานยนต์ไฟฟ้าของ
ประเทศไทยใน 7 ด้าน ได้แก่ 4.1) เต้าเสียบและเต้ารับของยานยนต์ไฟฟ้า 4.2) ระบบการประจุไฟฟ้าของยาน
ยนต์ไฟฟ้า 4.3) ระบบสื่อสารของยานยนต์ไฟฟ้า 4.4) ความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า (EMC) 4.5) ความ
ปลอดภัยในยานยนต์ไฟฟ้า 4.6) ดา้ นสมรรถนะ 4.7) แบตเตอรสี่ ำหรบั ยานยนต์ไฟฟ้า
4.1) เตา้ เสยี บและเต้ารบั ของยานยนต์ไฟฟ้า
อนุกรมมาตรฐาน IEC 62196: Plugs, socket-outlets, vehicle connectors and vehicle inlets
- Conductive charging of electric vehicles ระบุข้อกําหนดและขนาดเชิงมิติสำหรับเต้าเสียบและเต้ารับท่ี
ใช้ในการอัดประจุไฟฟ้าผ่านตัวนําสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า คือ Plug, Socket-outlet, Vehicle Connector
และ Vehicle Inlet ปจั จุบันอนกุ รมมาตรฐาน IEC 62196 มที ้ังหมด 4 Part ดงั ตารางที่ 4.1
ตารางที่ 4.1 อนุกรมมาตรฐาน IEC 62196 เตา้ เสยี บและเตา้ รับของยานยนตไ์ ฟฟา้
23
4.2) ระบบการประจุไฟฟา้ ของยานยนต์ไฟฟ้า
อนกุ รมมาตรฐาน IEC 61851: Electric vehicle conductive charging system เปน็ มาตรฐานด้าน
ระบบอัดประจุไฟฟ้าผ่านตัวนําสําหรับยานยนต์ไฟฟ้า ครอบคลุมทั้งระบบอัดประจุไฟฟ้ากระแสสลับและ
กระแสตรง ปัจจบุ นั อนกุ รมมาตรฐาน IEC 61851 มที ง้ั หมด 5 part ดังตารางท่ี 2.5
ตารางท่ี 2.5 อนุกรมมาตรฐาน IEC 61851 ระบบการประจไุ ฟฟา้ ผ่านตัวนําสําหรับยานยนตไ์ ฟฟา้
4.3) ระบบสอ่ื สารของยานยนต์ไฟฟา้
ในการอัดประจุไฟฟ้ายานยนต์ไฟฟ้า จําเป็นต้องมีการสื่อสารระหว่างสถานีอดั ประจุไฟฟ้ากบั ยานยนต์
ไฟฟ้า เพื่อควบคุมการทํางานและตรวจสอบความปลอดภัยในการอัดประจุไฟฟ้า มาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับ
ระบบส่ือสารระหว่างสถานอี ดั ประจุไฟฟา้ กบั ยานยนตไ์ ฟฟ้าทอ่ี ยรู่ ะหวา่ งการพจิ ารณาของ สมอ. มดี งั น้ี
1) ISO 15118-1:2013 Ed 1.0 Road vehicles -- Vehicle to grid communication interface -
- Part 1: General information and use-case definition
2) ISO 15118-2:2014 Ed 1.0 Road vehicles -- Vehicle-to-Grid Communication Interface -
- Part 2: Network and application protocol requirements
3) ISO 15118-3:2015 Ed 1.0 Road vehicles -- Vehicle to grid communication interface -
- Part 3: Physical and data link layer requirements
24
4.4) ความเข้ากนั ไดท้ างแม่เหล็กไฟฟา้ (EMC)
เน่ืองจากส่วนประกอบหลักของสถานีอัดประจุไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กําลัง (Power
Electronics) อีกท้ังสถานีอัดประจุไฟฟ้ายังมีระบบส่ือสารทั้งที่เป็นการสื่อสารกับยานยนต์ไฟฟ้า และการ
สื่อสารกับเครือข่ายสารสนเทศภายนอก ดังนั้นสถานีอัดประจุไฟฟ้าจึงอยู่ในกลุ่มอุปกรณ์ที่ต้องมีการทดสอบ
ความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Compatibility) เพื่อยืนยันว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิด
จากสถานีอัดประจุไฟฟ้าจะไม่ไปรบกวนการทํางานของอุปกรณ์ชนิดอื่น มาตรฐานที่เก่ียวข้องกับความเข้ากัน
ไดท้ างแม่เหลก็ ไฟฟา้ ของสถานอี ัดประจไุ ฟฟา้ ที่อยู่ระหวา่ งการพจิ ารณาของ สมอ. มีดงั นี้
1) CISPR 12:2007+AMD 1:2009 CSV Ed 6.1 Vehicles, boats and internal combustion
engines - Radio disturbance characteristics - Limits and methods of measurement for the
protection of off-board receivers
2) CISPR 25:2008 Ed 3.0 Vehicles, boats and internal combustion engines - Radio
disturbance characteristics - Limits and methods of measurement for the protection of on-
board receivers
4.5) ความปลอดภัยในยานยนต์ไฟฟ้า
มาตรฐานด้านความปลอดภัยในการอัดประจุไฟฟ้ามีระบุไว้แล้วบางส่วนในอนุกรมมาตรฐาน IEC
62196 เต้าเสียบและเต้ารับของยานยนต์ไฟฟ้า และอนุกรมมาตรฐาน IEC 61851 ระบบอัดประจุไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม มาตรฐานข้างต้นระบุข้อกําหนดด้านความปลอดภัยในการอัดประจุไฟฟ้าเท่านั้น นอกจากนี้ยังมี
มาตรฐานด้านความปลอดภัยด้านอ่ืนที่จําเป็นต้องพิจารณาเพิ่มเติมอีก มาตรฐานด้านปลอดภัยของยานยนต์
ไฟฟ้าท่ี อยรู่ ะหว่างการพจิ ารณาของ สมอ. มีดังน้ี
1) ISO 13063:2012 Electrically propelled mopeds and motorcycles -- Safety
specifications
2) ISO 6469-1:2009 Electrically propelled road vehicles -- Safety specifications -- Part
1: On-board rechargeable energy storage system (RESS)
3) ISO 6469-2:2009 Electrically propelled road vehicles -- Safety specifications -- Part
2: Vehicle operational safety means and protection against failures
4) ISO 6469-3:2011 Electrically propelled road vehicles -- Safety specifications -- Part
3: Protection of persons against electric shock
5) ISO 6469-4:2015 Electrically propelled road vehicles -- Safety specifications -- Part
4: Post crash electrical safety
4.6) ดา้ นสมรรถนะ
มาตรฐานดา้ นสมรรถนะของยานยนต์ไฟฟา้ ที่อย่รู ะหว่างการพิจารณาของ สมอ. มดี งั น้ี
1) ISO 13064-1:2012 Battery-electric mopeds and motorcycles -- Performance -- Part 1:
Reference energy consumption and range
2) ISO 13064-2:2012 Battery-electric mopeds and motorcycles -- Performance -- Part 2:
Road operating characteristics
3) ISO 8715:2001 Electric road vehicles -- Road operating characteristics
25
4.7) แบตเตอรส่ี ำหรบั ยานยนต์ไฟฟา้
1) IEC 61982:2012 Secondary batteries (except lithium) for the propulsion of electric
road vehicles - Performance and endurance tests
2) IEC 61982-4:2015 Secondary batteries (except lithium) for the propulsion of electric
road vehicles - Part 4: Safety requirements of nickel-metal hydride cells and modules
3) IEC 62660 -1 Secondary lithium-ion cells for the propulsion of electric road vehicles
- Part 1: Performance testing
4) IEC 62660 - 2 Secondary lithium-ion cells for the propulsion of electric road vehicles
- Part 2: Reliability and abuse testing
5) IEC 62660 - 3 Secondary lithium-ion cells for the propulsion of electric road vehicles
- Part 3: Safety requirements ( ก า ร ไ ฟ ฟ ้ า ผ ่ า ย ผ ล ิ ต แ ห ่ ง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย , ก า ร ไ ฟ ฟ ้ า น ค ร ห ล ว ง
และการไฟฟา้ ส่วนภมู ิภาค, 2559)