สามัคคเี ภทคาํ ฉนั ท
สารบัญ หนา
หวั ขอ ๑
๒
ประวัติผูแ้ ต่ง ๓
ความหมายและทมี าของเรือง ๔
วตั ถุประสงค์ ๕
ลกั ษณะคาํ ประพันธ์ ๖
เนอื เรืองยอ่ ๗
ข้อคดิ ทคี วรพิจารณา ๘
อปริหานยิ ธรรม ๗ ประการ ๙
คณุ ค่างานประพันธ์ ๑๐
บรรณานุกรม
ประวตั ิผูแ ตง ๑
นายชติ บุรทตั
เกดิ เมอื่ วนั ท่ี ๖ กนั ยายน พ.ศ ๒๔๓๕
เปนผทู ม่ี คี วามสามารถในการแตงคาํ ประพนั ธ
ประเภทรอยกรองโดยเฉพาะฉันท เปนนกั กวีที่มี
ช่อื เสียงในสมยั รัชกาลท่ี ๖
นายชติ บรุ ทตั เขา ศกึ ษาเบ้ืองตนท่โี รงเรียนวัดราชบพธิ และเขาศกึ ษาจนจบ
ชั้นมัธยมบริบรู ณท ่โี รงเรียนวดั สทุ ศั น เม่ืออายุ ๑๕ ป บิดาจึงใหบ วชเปนสามเณร
ณ วัดราชบพธิ สถติ มหาสมี าราม โดยมพี ระเจา วรวงศเ ธอ กรมหลวงชินวรสริ วิ ฒั น
สมเด็จพระสังฆราชเจา ในเวลานนั้ ทรงเปน อปุ ชฌาจารยบ วชไดไ มนานกล็ าสิกขา
นามปากกา
เจาเงาะ
เอกชน
แมวคราว
๒
ความหมาย และ ที่มาของเร่ือง
คําวาสามัคคีเภท เปนคาํ สมาสเภท มคี วามหมายวา
การแบง การแตกแยก การทําลาย สามัคคเี ภท มีความ
หมายวา การแตกความสามัคคี หรือ การทาํ ลายความ
สามัคคี
ในสมยั รชั กาลท่ี ๖ เกดิ วิกฤตการณท งั้ ภายในและภายนอกประเทศ
เชน เกดิ สงครามโลกครง้ั ที่ ๑ เกดิ กบฏ ร.ศ. ๑๓๐ ซงึ่ สงผลกระทบตอความ
มนั่ คงของบานเมอื ง นายชติ บุรทัต จงึ ไดแตง เรื่องสามคั คีเภทคาํ ฉันทข้ึน
ในป พ.ศ. ๒๔๕๗ เพ่อื มงุ ช้คี วามสาํ คญั ของการรวมกันเปนหมูคณะ
เร่ืองสามคั คเี ภทคําฉันทเ ปนนทิ านสุภาษิตในมหาปรินพิ พานสตู รและ
อรรถกถาสุมงั คลวิลาสินี ทฆี นกิ ายมหาวรรค ลงพิมพใ นหนงั สอื ธรรมจักษุ
ของมหามกฎุ ราชวทิ ยาลยั โดยเรยี บเรียงเปน ภาษาบาลี
๓
วตั ถุประสงค
เพื่อมงุ ชค้ี วามสําคัญของการรวมเปนหมูค ณะ เปน นา้ํ หนง่ึ ใจ
เดยี วกันเพื่อปอ งกันรักษาบา นเมอื งใหมคี วามเปน ปกแผน
สามัคคีเภทคาํ ฉนั ท เปน กวีนทิ านสุภาษติ วาดวย
“โทษแหง การแตกสามคั คี”
ภายหลังไดรบั การยกยอ งเปน ตําราเรียนวรรณกรรม
ไทยท่สี าํ คัญเลม หนงึ่ ทงั้ ในอดตี และปจจบุ นั
๔
ลกั ษณะคําประพันธ
คาํ ประพนั ธท ี่ใชแตง สามัคคเี ภทคําฉนั ทนน้ั ใชฉันทและกาพยสลบั กนั จงึ
เรียกวา คาํ ฉันท โดยมฉี นั ทถงึ ๒๐ ชนดิ ดวยกัน นบั วาเปนวรรณคดีคําฉันท
เลมหน่ึงที่อนชุ นรุนหลังยกยอ งและนบั ถอื เปน แบบเร่อื ยมา โดยเนน จังหวะ
ลหุ คือเสยี งเบาอยา งเครง ครดั กําหนดเปน สระเสยี งสนั้ ไมมีตัวสะกดเสมอ
ชนดิ ของฉนั ททีใ่ ชแตง
กมลฉนั ท, กาพยฉบัง, จิตรปทาฉนั ท, , โตฏกฉันท, ภุชงคประยาตฉนั ท,
มาณวกฉันท, มาลินีฉนั ท, วสนั ตดลิ กฉนั ท, วังสัฏฐฉนั ท, วชิ ชมุ มาลาฉันท,
สทั ทลุ วกิ กีฬิตฉนั ท, สัทธราฉนั ท, สาลินีฉนั ท, สุรางคนางคฉนั ท,
อนิ ทรวเิ ชียรฉันท, อนิ ทรวงศฉ ันท, อีทิสงั ฉนั ท, อุปชาตฉิ นั ท, อปุ ฏฐติ าฉนั ท
และอุเปนทรวิเชยี รฉนั ท
แมจ ะใชก าพยฉ บัง แตก ็ยังจัดในหมวดของฉนั ทได ทง้ั น้กี าพยฉบังท่ใี ช
ในเรอื่ ง กําหนดเปน คาํ ครุทั้งหมด
๕
เนือ้ เรอ่ื งยอ
พระเจาอชาตศตั รูแหงกรงุ ราชคฤห แควนมคธ ทรงมวี ัสสการพราหมณผ ูฉลาด และ
รอบรูศลิ ปศาสตรเปน ทป่ี รึกษา มพี ระประสงคจะขยายอาณาจกั รไปยงั แควน วชั ชขี อง
เหลากษตั ริยล ิจฉวี ซึง่ ปกครองแควนโดยยดึ ม่นั ในอปรหิ านิยธรรมเนน สามคั คีธรรม เปน
หลกั การโจมตแี ควนนใ้ี หไ ดจ ะตอ งทาํ ลายความสามัคคีนีใ้ หไดเสียกอ น
วสั สการพราหมณปุโรหิตท่ปี รกึ ษาจึงอาสาเปน ไสศ ึกไปยแุ หยใหก ษัตริยลจิ ฉวีแตกความ
สามคั คี โดยทําเปนอบุ ายกราบทูลทดั ทานการไปตีแควน วชั ชี พระเจา อชาตศตั รูแสรง กรว้ิ
รับสง่ั ลงโทษใหเ ฆ่ยี นวัสสการ พราหมณ อยา งรุนแรงแลวเนรเทศไป
ขา วของวัสสการพราหมณไปถงึ นครเวสารี เมอื งหลวงของแควนวัชชี กษตั ริยล จิ ฉวี
รับสงั่ ใหวัสสการพราหมณเขา รับราชการกบั กษตั ริยลิจฉวี ดว ยเหตุท่เี ปนผูมสี ติปญญา มี
วาทศลิ ปด ี มีความรอบรใู นศิลปะวทิ ยาการ ทําใหก ษตั รยิ ล จิ ฉวรี ับไวในพระราชสาํ นัก ให
พิจารณาคดีความและสอนหนงั สอื พระโอรส วัสสการพราหมณไ ดท าํ หนาที่อยา งเตม็ ความ
รูความสามารถ จนกษตั ริยลิจฉวีไววางพระทัย กด็ าํ เนินอบุ ายข้ันตอไป คือสรา งความ
คลางแคลงใจในหมูพระโอรส แลวลกุ ลามไปถงึ พระบิดา ซงึ่ ตางก็เชอื่ พระโอรส ทําให
ขุนเคืองกนั ไปทวั่ เวลาผานไป ๓ ป เหลา กษตั ริยลิจฉวีก็แตกความสามคั คีกนั หมด
แมว สั สการพราหมณตีกลองนดั ประชมุ ก็ไมมีพระองคใดมารว มประชุมวัสสการพรา
หมณจงึ ลอบสงขา วไปยังพระเจาอชาตศัตรู ใหท รงยกทพั มาตแี ควนวชั ชีไดอ ยางงายดาย
๖
ขอ คิดทีค่ วรพิจารณา
๑. การขาดการพิจารณาไตรต รอง นําไปซึ่งความสูญเสยี ดงั เชน เหลา
กษัตริยล จิ ฉวี “ขาดการพจิ ารณาไตรต รอง” คือ ขาดความสามารถในการใช
ปญ ญาตรติ รองพิจารณาสอบสวน และใชเหตผุ ลท่ีถกู ตอง จึงหลงกลของ
วสั สการพราหมณ ถกู ยแุ หยใหแ ตกความสามคั คีจนเสียบา นเสยี เมอื ง
๒. แนวคดิ ของเรือ่ งสามคั คเี ภทคําฉันท สามัคคีเภทคําฉันท เปน นทิ าน
สุภาษติ สอนใจใหเ ห็นโทษของการแตกความสามคั คี และแสดงใหเ ห็น
ความสําคัญของการใชสติปญญาใหเกดิ ผลโดยไมต องใชก าํ ลัง
๓. ขอ คิดเห็นระหวางวสั สการพราหมณกบั กษัตรยิ ล จิ ฉวี บางคนอาจมี
ทรรศนะวา วัสสการพราหมณขาดคุณธรรม ใชอุบายลอลวงผอู ืน่ เพือ่ ประโยชน
ฝา ยตน แตมองอกี มุมหน่งึ กจ็ ะเหน็ วา วสั สการพราหมณนา ยกยองตรงท่มี คี วาม
จงรกั ภกั ดีตอพระเจาอชาตศัตรแู ละตอบานเมือง ยอมถูกลงโทษเฆยี่ นตี ยอม
ลาํ บาก จากบานเมืองตนไปเสยี่ งภยั ในหมศู ัตรู ตอ งใชค วามอดทน สตปิ ญญา
ความสามารถอยางสูงจึงจะสัมฤทธผิ ลตามแผนการท่วี างไว
ขอคดิ ทีค่ วรพจิ ารณา ๗
๔. เร่อื งสามัคคเี ภทคําฉันทใ หอะไรกับผอู าน ขอคิดสาํ คญั ทไ่ี ดจาก
เรอื่ ง คอื โทษของการแตกความสามคั คี สว นแนวคิดอนื่ ๆ มดี ังนี้
การใชปญญาเอาชนะศัตรโู ดยไมเสยี เลอื ดเนือ้
การเลอื กใชบ คุ คลใหเหมาะสมกับงานจะทําใหง านสาํ เรจ็ ไดด วยดี
การใชวิจารณญาณไตรตรองกอนทาํ การใด ๆ เปนสิง่ ที่ดี
การถอื ความคดิ ของตนเปนใหญและทะนงตนวา ดกี วาผอู นื่ ยอม
ทําใหเ กิดความเสยี หายแกส วนรวม
๕. ศลิ ปะการประพนั ธใ นสามคั คีเภทคาํ ฉันท นายชติ บุรทัตสามารถสราง
ตวั ละคร เชน วสั สการพราหมณ ใหมบี คุ ลกิ เดน ชดั และสามารถดาํ เนิน
เรอ่ื งใหช วนติดตาม นอกจากน้ี ยงั มคี วามเชยี่ วชาญในการแตง คาํ ประพนั ธ
ดัดแปลงฉันทบ างชนิดใหไพเราะยิ่งข้นึ
เลอื กสรรฉนั ทช นิดตาง ๆ มาใชสลับกันอยางเหมาะสมกบั เน้ือเรอื่ ง
เลนสมั ผัสในทง้ั สมั ผัสสระและสัมผสั อักษรอยางไพเราะ
ใชคํางาย ๆ ในการเลา เรื่อง ทําใหด าํ เนนิ เรื่องไดรวดเรว็ และผอู าน
เขา ใจเรอื่ งไดทนั ที
๘
อปรหิ านิยธรรม ๗ ประการ
๑. หม่ันประชมุ กนั เนืองนติ ย
๒. พรอมเพรียงกนั ประชุม พรอ มเพรยี งกนั เลิกประชุม พรอ มเพรียงกันทํา
กิจทพี่ งึ ทาํ
๓. ไมบ ญั ญัติสิ่งท่ีมไิ ดบัญญตั เิ อาไว ไมลมลางสิง่ ท่ีบญั ญตั ิไว ถอื ปฏบิ ัติตาม
วชั ชีธรรมตามทว่ี างไวเดิม
๔. ทานเหลาใดเปน ผูใหญในชนชาววัชชี ก็ควรเคารพนับถือทานเหลา นัน้
เห็นถอยคาํ ของทานวา เปน ส่ิงอันควรรับฟง
๕. บรรดากุลสตรแี ละกลุ กุมารที ง้ั หลายใหอ ยูด ี โดยมถิ กู ขม เหงหรือฉุดครา
ขืนใจ
๖. เคารพสกั การบูชาเจดยี ข องวัชชที ั้งหลายท้ังภายในและภายนอก ไมปลอ ย
ใหธรรมิกพลีท่ีเคยใหเคยทาํ แกเ จดียเหลา น้ันเสอ่ื มทรามไป
๗. จัดใหความอารกั ขา คมุ ครอง และปอ งกนั อนั ชอบธรรมแกพระอรหันตท ั้ง
หลายทง้ั ทยี่ งั มไิ ดมาพงึ มาสแู วนแควน และทมี่ าแลว พึงอยใู นแวน แควน โดย
ผาสุก
คุณคางานประพนั ธ ๙
๑.ดา นวรรณศลิ ป
ใชฉันทลักษณไดอยา งงดงามเหมาะสม โดยเลือกฉนั ทชนิดตาง ๆ มา
ใชส ลับกนั ตามความเหมาะสมกับเน้อื เรอื่ ง จงึ เกิดความไพเราะสละ
สลวย
ใชภาษาท่เี ขา ใจงาย เหน็ ภาพชัดเจน
๒. ดานสงั คม
เนน โทษของการแตกความสามคั คใี นหมคู ณะ
ดา นจรยิ ธรรม เนน ถงึ หลักธรรม อปรหิ านิยธรรม ซง่ึ เปน ธรรมอนั ไมเปน ท่ี
ต้งั แหงความเสื่อม
เนน ถึงความสําคญั ของการใชสตปิ ญ ญาตรติ รอง และแกไขปญ หาตา ง ๆ
โดยไมต องใชก าํ ลงั
บรรณานกุ รม ๑๐
ธัญญเรศ ศรเดช. (๒๕๕๑). ศึกษาวรรณคดี สามัคคเี ภทคาํ ฉันท. สบื คน ๘ มิถุนายน ๒๕๖๔,
จาก https://sites.google.com/site/faiitanradee19/samakhkhi-pheth-kha-chanth
ภัททิกานันท. (๒๕๕๑). สามัคคเี ภทคาํ ฉนั ท. สืบคน ๘ มถิ ุนายน ๒๕๖๔,
จาก https://pattikanan.wordpress.com/สามัคคเี ภทคําฉนั ท/
จัดทาํ โดย
นางสาวบณุ ฑรกิ สุขใจมติ ร
ชนั มัธยมศึกษาปที ๖/๒ เลขที ๓๐
เสนอ
คณุ ครสู ุชาดา เสือแพร