กฎหมายอาญา 2
ภาคความผิด
ความผิดต่อ จั ด เ ต รี ย ม โ ด ย
เสรีภาพและ
ชื่อเสียง นายภคิน บรรเจิดฤทธิ์
รหัสนิสิต 641081246
หมวด 1 ความผิดต่อเสรีภาพ
คณะ นิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยทักษิณ
คำนำ
วิชากฎหมายอาญา2 ภาคความผิด เป็นการศึกษาเนื้อหาภาคความ
ผิดในหมวดหมู่เฉพาะ ซึ่งเนื้อหาที่จัดทำนี้เป็นเนื้อหาภาคความผิด
ลักษณะ11 ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง หมวด1 ความ
ผิดต่อเสรีภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักเรียน
นักศึกษา ที่กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิด
พลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้ อมรับไว้และขออภัยมา
ณ ที่นี้ด้วย
ผู้จัดทำ
นายภคิน บรรเจิดฤทธิ์
นิสิตคณะนิติศาสตร์
สารบัญ หน้ าที่
เนื้ อหา 1
4
ความผิดต่อเสรีภาพ มาตรา 309 5
ความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกังขัง มาตรา 310 6
ความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังโดยประมาท มาตรา 311 9
ความผิดฐานเอาคนลงเป็นทาส มาตรา 312 13
ความผิดฐานเรียกค่าไถ่ มาตรา 313 15
ความผิดฐานผู้สนับสนุนในการเรียกค่าไถ่ มาตรา 314 17
ความผิดฐานพรากเด็ก มาตรา 317 18
ความผิดฐานพรากผู้เยาว์โดยไม่เต็มใจไปด้วย มาตรา 318 20
ความผิดฐานพรากผู้เยาว์โดยเต็มใจไปด้วย มาตรา 319 22
ความผิดฐานพาคนไปนอกราชอาณาจักร มาตรา 320
อ้างอิง
1
สาระสำคัญ
ตามประมวลกฎหมายอาญาลักษณะ 11
หมวด 1 ความผิดต่อเสรีภาพและชื่อเสียง
ความผิดต่อเสรีภาพ มาตรา 309-321
ความผิดต่อเสรีภาพ มาตรา 309
ความผิดต่อเสรีภาพตาม ม.309 เป็นความผิดต่อเสรีภาพกว้าง ๆ ที่บุคคลนั้นมีสิทธิจะ
กระทำได้โดยที่ไม่อาจถูกขัดขวาง แต่ความผิดต่อเสรีภาพใน ม.310 เป็นความผิดต่อ
เสรีภาพในการเคลื่อนไหวร่างกาย นอกจากความแตกต่างในลักษณะของเสรีภาพแล้ว
ความผิดตาม ม. 309 ยังเป็นเป็นการกระทำที่กว้าง ๆ ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องกระทำ
แบบใด เพราะกฎหมายใช้คำว่า “ขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือ
จำยอมต่อสิ่งใด” แต่ความผิดตาม ม.310 จำกัดไว้เฉพาะการกระทำที่เป็นการหน่วง
เหนี่ยวหรือกักขังเท่านั้น ดังนั้นความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังตาม ม.310 จึงถือ
เป็นบทเฉพาะ และความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่นเป็นความผิดบททั่วไป
ความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่น
มาตรา 309 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด
โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้
ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย จนผู้ถูกข่มขืนใจต้อง
กระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
องค์ประกอบความผิด
1. ผู้ใด
2. ข่มขืนใจ
3. โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของ
ผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น
4. จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น
องค์ประกอบภายใน เจตนา
2
เหตุเพิ่มโทษ ตามมาตรา 309 วรรคสอง
ถ้าความผิดตามวรรคแรกได้กระทำโดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกัน
ตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป หรือได้กระทำเพื่อให้ผู้ถูกข่มขืนใจทำ ถอน ทำให้เสียหาย หรือ
ทำลายเอกสารสิทธิอย่างใดผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน
หนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ได้กระทำโดยมีอาวุธ อาวุธ คืออะไร พิจารณาตามบทนิยาม ตาม ม.1 (5) "อาวุธ"
หมายความรวมถึงสิ่งซึ่งไม่เป็นอาวุธโดยสภาพแต่ซึ่งได้ ใช้หรือเจตนาจะใช้
ประทุษร้ายร่างกายถึงอันตรายสาหัสอย่างอาวุธ
โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป คำว่าร่วมกัน หมายถึง เป็นตัวการ
ร่วมกัน ตาม ม.83
หรือกระทำความผิดเพราะมีเหตุจูงใจในการกระทำผิด คือ กระทำเพื่อให้ผู้ถูกข่มขืน
ใจทำ ถอน ทำให้เสียหาย หรือทำลายเอกสารสิทธิอย่างใดส่วนคำว่าเอกสารสิทธิ
หมายความว่าอย่างไรพิจารณาตาม ม.1 (9)
เหตุเพิ่มโทษ ตามมาตรา 309 วรรคสาม
ถ้ากระทำโดยอ้างอำนาจอั้งยี่หรือซ่องโจร ไม่ว่าอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้นจะ มีอยู่หรือไม่
ผู้กระทำต้องระวา
งโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปีและปรับ ตั้งแต่สองพันบาทถึง
หนึ่ งหมื่ นสี่พันบาท
ถ้ากระทำโดยอ้างอำนาจอั้งยี่ พิจารณาตาม ม.209 หรือซ่องโจร พิจารณาตาม
ม.210 ทั้งนี้ไม่ว่าอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้นจะมีอยู่จริงหรือไม่ ผู้ที่กระทำความผิดฐาน
ข่มขืนใจผู้อื่นตามวรรคแรกก็ต้องรับโทษหนักขึ้นตามวรรคสาม
3
คำพิพากษาฎีกาที่ 2013/2536 ผู้เสียหายทั้งสี่เข้าไปเที่ยวในบาร์ซึ่งมีการแสดง
ให้ชมและได้ สั่งเครื่องดื่มรวม4แก้ว ต่อมาจำเลยซึ่งเป็นพนักงานเก็บเงินของ
บาร์ได้นำใบเสร็จรับเงินมาเรียกเก็บเงิน 1,000 บาท โดยคิดเป็นค่าเครื่องดื่ม
200 บาท ค่าชมการแสดง 800 บาท ตามอัตราที่ถูกต้องของบาร์ผู้เสียหายทั้งสี่
ขอชำระแต่ค่าเครื่องดื่ม ส่วนค่าชมการแสดงไม่ชำระเพราะได้รับคำบอกเล่า
จากผู้ที่ชักชวนเข้าไปเที่ยวว่าไม่ต้องชำระจำเลยไม่ยอมและพูดว่าถ้าไม่ชำระ
จะไม่ยอมให้ออกจากบาร์และสั่งคนปิดประตูบาร์กับเรียกพนักงานชาย 5-6 คน
มายืนคุมเชิงรอบโต๊ะข้างหลังผู้เสียหายทั้งสี่แล้วจำเลยพูดว่าจะชำระหรือไม่ ถ้า
ไม่ชำระมีเรื่องแน่ ผู้เสียหายทั้งสี่กลัวถูกทำร้ายจึงยอมชำระเงิน 1,000 บาท
ให้จำเลยถือได้ว่าเป็ นการข่มขืนใจผู้เสียหายทั้งสี่ให้ยอมให้เจ้าของบาร์ได้
ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตราย ต่อร่างกาย
หรือเสรีภาพของผู้เสียหายทั้งสี่ จนผู้เสียหายทั้งสี่ซึ่งถูกข่มขืนใจ
ยอมให้เงินค่าชมการแสดง ดังนี้แม้ว่าการกระทำของจำเลยจะสืบเนื่องมาจาก
การทวงค่าชมการแสดงที่ผู้เสียหายทั้งสี่ได้รับการบริการไปแล้วก็ตาม แต่จำเลย
ก็ไม่มีอำนาจบังคับให้ผู้เสียหายทั้งสี่ชำระเงินโดยไม่ชอบด้วยการขู่เข็ญ ว่าจะทำ
อันตรายต่อผู้เสียหายทั้งสี่เช่นนั้นจำเลยจึงมีความผิดฐานกรรโชก
คำพิพากษาฎีกานี้ศาลตัดสินว่าการกระทำของจำเลยเป็ นการกระทำอันเป็ นการ
ขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อร่างกายและเสรีภาพของผู้อื่น ซึ่งพอจะเทียบเคียงได้
กับความผิดตาม ม.309
4
คำพิพากษาฎีกา 616/2520 ฟ้ องขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์ ได้ความว่าจำเลย
ใช้ปืนขู่ให้ผู้เสียหายซึ่งขี่รถจักรยานยนต์หยุดรถ ผู้เสียหายลดความเร็วลง
เตรียมจะจอด พอดีรถจำเลยเสียหลักผู้เสียหายเร่งรถหนีไปได้ ไม่พอฟังว่ามี
เจตนาปล้น เป็นความผิดตาม ป.อ. ม.309 ซึ่งบรรยายมาในฟ้ อง เป็นส่วนหนึ่ง
ของการปล้นที่ฟ้ อง ศาลลงโทษตาม ม.309 ได้
คำพิพากษานี้ตัดสินวางหลักไว้ว่า การที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ที่ถูกข่มขืนใจนั้นยอม
กระทำตามที่ถูกข่มขู่ แม้จะเพียงบางส่วน (ลดความเร็วลงเตรียมจอด) ก็ถือว่า
ความผิดสำเร็จแล้ว ไม่ใช่เพียงขั้นพยายาม
ความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกังขัง มาตรา 310
มาตรา 310 ผู้ใดหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่น
ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกิน
หกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ความผิดตามมาตรานี้กฎหมายมุ่งให้ความคุ้มครองเสรีภาพของบุคคลในการ
เคลื่อนไหวร่างกาย ไม่ใช่เสรีภาพทั่ว ๆ ไป เหมือนกับมาตรา 309 ดังนั้นการ
จำกัดเสรีภาพโดยการไม่ให้เขาไปในที่ซึ่งเขาอยากไปจึงเป็ นการหน่วงเหนี่ยว
และให้เขาอยู่ในที่ซึ่งเขาไม่อยากอยู่เป็ นการกักขัง
การหน่วงเหนี่ยว คือ การไม่ให้เข้าไปในที่ใดที่หนึ่งโดยอาจรั้งไว้หรือขวางไว้ เช่น
การเอาคนไปปิดล้อมไม่ให้เขาเข้าไปเป็นหน่วงเหนี่ยว หรือใส่กุญแจปิดโรงงานไว้
ทำให้เข้าไปทำงานไม่ได้ เอามีดไล่ฟันโดยเจตนาฆ่าจนเขาต้องวิ่งหนี เป็นการทำให้
เสียเสรีภาพในการเคลื่อนไหวร่างกาย ไม่ให้ไปในในที่ซึ่งอยากไป
การกักขัง คือ การตัดเสรีภาพ ไม่ให้ออกไปไหน หรือให้เขาอยู่ในที่กำหนดโดยมี
ขอบเขตจำกัดโดยที่เขาไม่สมัครใจ เช่น เอาคนไปปิดล้อมตึกไว้ไม่ให้คนออก เอา
เด็กใส่ลังแล้วตอกตะปูปิดฝาลัง ปิดประตูขังไว้ในห้องใส่กุญแจหรือให้คนเฝ้ าไว้
5
คำพิพากษาฎีกา 2010/2528 จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนขู่เข็ญและใช้กำลังฉุด
ผู้เสียหายจากในซอยให้ขึ้นรถยนต์แล้วพาไปถึงโรงแรม แต่ผู้เสียหายหนีออกมาได้
การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียววาระเดียว โดยมีเจตนาเพียงอย่างเดียวคือ
การพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารเท่านั้น แต่โดยลักษณะของการกระทำ คือ การ
บังคับพาเอาตัวผู้เสียหายจากที่แห่งหนึ่ งไปยังที่อีกแห่งหนึ่ งเช่นนี้ย่อมเป็ นความผิด
ตาม ม.309 และ ม.310 อยู่ในตัวการกระทำผิดของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นกรรม
เดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลย
ตาม ป.อ. ม.90 คือ ม.248
การแจ้งให้เจ้าพนักงานจับ ถ้าเจ้าพนักงานจับเองหรือมีเหตุจับได้โดยชอบด้วย
กฎหมาย การกักขังโดยไม่ชอบก็ไม่มี ผู้แจ้งไม่มีความผิด
แต่ถ้าผู้แจ้งทำให้เจ้าพนักงานจับโดยสำคัญผิด คำพิพากษาฎีกา 2060/2521 ผู้ที่จะ
ต้องถูกจับตามหมายจับมอบตัวต่อศาลมีประกันไป เหตุที่จะจับหมดไปแล้วจำเลย
เอาสำเนาหมายจับนั้นมาให้ตำรวจจับผู้นั้นอีก เป็นความผิดตาม ป.อ. ม.310, 84
ความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังโดยประมาท
มาตรา 311 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุ ให้ผู้อื่นถูกหน่วง
เหนี่ยว ถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
หนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
6
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว ถูกกักขังหรือ
ต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย หรือ รับอันตรายสาหัส ผู้
คกวระามทำผิตด้อฐงารนะหวนา่งวโงทเหษนีด่ัยงวที่กบัักญขัญงัโติดไยว้ปในระมมา
าตทราแต29ก1ต่าหงรจือากมคาวตารมาผิ3ด0ม0าตรา 310 ใน
เรื่องขององค์ประกอบภายในที่ผู้กระทำไม่ได้กระทำโดยมีเจตนาจะหน่วงเหนี่ยว
หรือกังขัง แต่กระทำโดยปราศจากความระ
มัดระวัง อันเป็นการกระทำโดยประมาท
เช่น พนักงานสอบสวนขังผู้ต้องหาเกินกำหนดเพราะลืมส่งสำนวนขอฝากขังต่อ หรือ
ภารโรงปิดประตูห้องเรียนโดยไม่สำรวจว่ามีเด็กหลงเหลืออยู่ในห้อง ปิดตึกโดยไม่ดู
ให้ดีว่ามีใครเหลืออยู่บ้าง
ความผิดอันยอมความได้
มาตรา 321 ความผิดตาม มาตรา 309 วรรคแรก มาตรา 310 วรรคแรก และ
มาตรา 311 วรรคแรก เป็นความผิดอันยอมความได้
ความผิดฐานเอาคนลงเป็ นทาส
มาตรา 312 ผู้ใดเพื่อจะเอ
าคนลงเป็นทาส หรือให้มีฐานะคล้ายทาส นำเข้าในหรือส่ง
ออกไปนอกราชอาณาจักร พามาจากที่ใด ซื้อ ขาย จำหน่าย รับ หรือหน่วงเหนี่ยวซึ่ง
บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน เจ็ดปีและปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พัน
บาท
1) องค์ประกอบภายนอก
- นำเข้าหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พามาจากที่ใด ซื้อ ขาย จำหน่าย รับ
หรือหน่วง เหนี่ยว
- ซึ่งบุคคลหนึ่งบุคคลใด
2) องค์ประกอบภายใน
- เจตนาธรรมดา
- มูลเหตุชักจูงใจอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
เพื่ อเอาคนลงเป็ นทาส
เพื่อให้มีฐานะคล้ายทาส
7
การเอาคนลงเป็นทาส หมายถึง การที่ผู้กระทำผิดปฏิบัติต่อบุคคลอีกคนหนึ่งอย่าง
ทาส คือมีอำนาจเหนือโดยเด็ดขาดในการจ
ำกัดเสรีภาพในร่างกายของผู้นั้นไม่ว่าใน
ทางใดๆ โดยมิได้มีกฎหมายหรือจารีตประเพณียอมให้ทำเช่นนั้นได้ ดังนั้นการจ้าง
แรงงานที่เอาเปรียบลูกจ้างย่อมไม่ใช่การเอาลงคนเป็นทาสตามมาตรานี้ รวมถึง
การกระทำของผู้คุมกับนักโทษในเรือนจำที่ต้องทำหน้ าที่ตามกฎหมายในการ
ควบคุมตัวนักโทษให้อยู่ในเรือนจำจนกว่าจะพ้นโทษก็ไม่ใช่การเอาคนลงเป็ นทาส
เช่นกัน
มีประเด็นที่น่าพิจารณาเกี่ยวกับการยกลูกให้เป็นบุตรบุญธรรมคนอื่น โดยผู้มา
ขอลูกไปเป็นบุตรบุญธรรมนั้นได้จ่างค่าตอบแทนจำนวนหนึ่ง (ขายลูก) เช่นนี้จะ
เป็นความผิดฐานเอาคนลงเป็นทาสตามมาตรานี้หรือไม่ ซึ่งในประเด็นนี้แม้จะเข้า
ลักษณะเป็นการซื้อขายคน แต่คนที่ขายกันนั้นไม่ได้มีมูลเหตุชักจูงใจ คือ เพื่อเอา
คนลงเป็นทาสหรือเพื่อให้มีฐานะคล้ายทาส เช่นเดียวกับการยกลูกสาวให้เป็นภริยา
คนอื่นในลักษณะของการคลุมถุงชน
เหตุเพิ่มโทษ
8
มาตรา 312ทวิ ถ้าการกระทำความผิดตาม มาตรา 310ทวิ หรือ มาตรา 312
เป็นการกระทำต่อเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สาม
ปีถึงสิบปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก หรือ มาตรา 310ทวิ หรือ มาตรา 312
เป็ นเหตุให้ผู้ถูกกระทำ
(1) รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึง
สิบห้าปี และปรับไม่เกินสามหมื่นบาท
(2) รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุก
ตั้งแต่สิบเจ็ดปี ถึงยี่สิบปี
(3) ถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต
หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปี ถึงยี่สิบปี
ข้อสังเกต เหตุเพิ่มโทษตามวรรคแรกเป็นเพราะผู้กระทำได้กระทำต่อเด็ก
อายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งข้อเท็จจริงที่เด็กอายุไม่เกิน 15 ปีนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ทำให้ผู้
กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น ผู้กระทำจึงต้องรู้นั้นด้วย ตามมาตรา 62 วรรคท้าย
ส่วนเหตุเพิ่มโทษตามวรรคสองนั้น เป็นเพราะผลของการกระทำเป็นเหตุ
ให้ผู้ถูกกระทำต้องได้รับบาดเจ็บหรือตาย เมื่อผลของการกระทำหนักขึ้นผู้กระทำ
ต้องรับโทษหนักขึ้นตามไปด้วย แต่ทั้งนี้ผลที่หนักขึ้นต้องเป็นผลธรรมดาตาม
มาตรา 63 ด้วย
9
ความผิดฐานค้าเด็ก
มาตรา 312
ตรี ผู้ใดโดยทุจริตรับไว้ จำหน่าย เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปซึ่ง
บุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม ต้องระวาง
โทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรกเป็ นการกระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่ งหมื่ นสี่พันบาทหรือทั้ง
จำทั้งปรับ
องค์ประกอบความผิดภายนอก
- รับไว้ จำหน่าย เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไป
- บุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี (15-18)
- แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม
องค์ประกอบความผิดภายใน
- เจตนาธรรมดา
- มูลเหตุชักจูงใจโดยทุจริต
ความผิดฐานเรียกค่าไถ่
มาตรา 313 ผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่
(1) เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป
(2) เอาตัวบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีไป โดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลัง
ประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจ ด้วยประการอื่นใด
หรือ
(3) หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามหมื่น บาท ถึงสี่หมื่น
บาท หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต
องค์ประกอบความผิด
10
องค์ประกอบความผิดภายนอก
-เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไป
-เอาตัวบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีไป โดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย
ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด
- หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด
องค์ประกอบความผิดภายภายใน
- เจตนาธรรมดา
- มูลเหตุชักจูงใจ เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่
คำพิพากษาฎีกา 1278/2503 จำเลยเขียนจดหมายไปขู่เข็นผู้เสียหายให้ส่งเงิน
3,000 บาท ไปให้จำเลย มิฉะนั้นบุตรผู้เสียหายจะเป็นอันตรายถึงชีวิต แม้จะได้
ความว่า บุตรของผู้เสียหายเองเป็นคนบอกให้จำเลยเขียนจดหมายไปขู่เข็ญบิดา
เพื่อหลอกลวงให้บิดาส่งเงินมาให้ก็ยังถือว่าเสียหายถูกข่มขืนใจ จำเลยมีความ
ผิดฐานกรรโชกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337(ไม่เป็นความผิดฐาน
เรียกค่าไถ่ ตามม.313)
คำพิพากษาฎีกา 1061/2504 จำเลยถูกสลากกินรวบแล้วไปเอาเงินที่ผู้เสียหาย
ซึ่งเป็นเจ้ามือ แต่ผู้เสียหายไม่ให้ จำเลยกับพวกตามไปพบผู้เสียหายแล้วพาผู้
เสียหายขึ้นรถไปด้วยกัน จำเลยได้ให้ผู้เสียหายเขียนหนังสือถึงภริยาให้จ่าย
เงินแก่ผู้ถือและได้ให้ผู้เสียหายทำสัญญากู้เงินจำเลย ตามจำนวนที่ถูกสลากกิน
รวบไว้แล้วให้ผู้เสียหายไป ดังนี้ เจตนาของจำเลยเป็นเพียงแต่ทวงเอาเงินซึ่ง
จำเลยเชื่อว่าควรจะได้ เงินประเภทนี้จึงไม่ใช่สินไถ่หรือค่าไถ่ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 313 การกระทำของจำเลยขาดเจตนาเพื่อค่าไถ่อันเป็น
องค์ความผิดประการสำคัญ ตามมาตรา 313 จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานจับคน
เพื่อค่าไถ่ตามมาตรา 313
11
คำพิพากษาฎีกาที่ 2025/2520 ป.อ. มาตรา 313 ความผิดฐานพาเอาตัวเด็กไปเพื่อ
ให้ได้มาซึ่งค่าไถ่นั้น ไม่จำต้องมีการได้มาซึ่งค่าไถ่หรือได้มีการเรียกค่าไถ่ เพียงแต่
จำเลยมีเจตนากระทำผิดและมีเจตนาเพื่อให้ได้มา ซึ่งค่าไถ่ในการพาเอาตัวเด็กไปก็
เป็ นความผิดสำเร็จแล้ว
หากมีการขู่ว่าหากไม่ให้เงินจะเอาตัวไปกักขังหน่วงเหนี่ยวเรียกค่าไถ่??
คำพิพากษาฎีกา 2848/2527 จำเลยปล้นทรัพย์และคุมตัวผู้เสียหาย อ. ภริยาผู้เสีย
หายและ ว.ไปด้วย แล้วจึงปล่อยตัว อ.กับ
ว. โดยสั่งให้นำเงินไปไถ่ตัวผู้เสียหายพอ
ทราบว่าตำรวจกำลังออกติดตาม จำเลยก็ปล่อยตัวผู้เสียหาย ดังนี้ แม้จะยังไม่ทัน
ได้มาซึ่งเงินค่าไถ่ ก็เป็นความผิดฐานเอาตัวผู้เสียหายไป เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่อัน
เป็นความผิดสำเร็จแล้ว และถือได้ว่าจำเลยได้จัดให้ผู้เสียหายได้รับเสรีภาพก่อน
ศาลชั้นต้นพิพากษา ซึ่งกฎหมายให้ลงโทษน้ อยกว่าที่กำหนดไว้แต่ไม่น้ อยกว่ากึ่ง
หนึ่งตามนัย ป.อ.ม.316 ศาลล่างกำหนดโทษมาโดยมิได้พิเคราะห์ประกอบกับ
ม.316 นี้ ศาลฎีกากำหนดโทษเสียใหม่ และการลดโทษตาม ม.316 เป็นเหตุใน
ลักษณะคดี ศาลฎีกาพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่มิได้ฎีกาด้วย
เหตุเพิ่มโทษตามวรรค 2
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว
หรือผู้ถูกกักขังนั้นรับอันตรายสาหัสหรือเป็ นการกระทำโดยทรมานหรือโดยทารุณ
โหดร้าย จนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำนั้นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้อง
ระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
12
คำพิพากษาฎีกาที่ 3891/2548 จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีและพาอาวุธปืน
เครื่องกระสุนปืนไปที่ที่พักอาศัยของโจทก์ร่วม แล้วใช้อาวุธปืนนั้นขู่บังคับโจทก์ร่วม
กับรื้อค้นเอาเงินจำนวน 3,000 บาท และนาฬิกาข้อมือราคา 150,000 บาท ไป จาก
นั้นจำเลยทั้งสองเอาเสื้อคลุมศีรษะโจทก์ร่วมบังคับให้ขึ้นรถยนต์นำโจทก์ร่วมไป
กักขังไว้บนชั้นที่ 3 ของตึกแถวที่จำเลยที่ 1 เช่าจากผู้อื่น แล้วส่งจดหมายเรียกค่าไถ่
ไปยังภริยาและบุตรของโจทก์ร่วมซึ่งอยู่ที่ประเทศไต้หวัน จนภริยาของโจทก์ร่วม
ตกลงจ่ายค่าไถ่ให้จำเลยทั้งสอง ในระหว่างที่โจทก์ร่วมถูกกักขัง จำเลยทั้งสองได้มัด
โจทก์ร่วมด้วยโซ่ที่มือและเท้าทั้งสองข้างและใส่กุญแจ และควบคุมตัวโจทก์ร่วมอยู่
ตลอดเวลา โจทก์ร่วมถูกกักขังอยู่เป็นเวลา 133 วัน หมดอิสระในการเคลื่อนไหว
ร่างกายไปที่อื่น และไม่สามารถประกอบกิจวัต
รประจำวันด้วยตนเองได้ เป็นเหตุให้
โจทก์ร่วมไม่ได้รับประทานยาแก้โรคเบาหวาน ทำให้อาการกำเริบ มีเลือดปนออกมา
กับอุจจาระและปัสสาวะ อันเป็นการกระทำที่เลวร้ายยิ่งกว่าการปฏิบัติต่อนักโทษที่ถูก
จำคุกอยู่ในเรือนจำเสียอีกจึงเป็ นการกระทำโดยทรมานจนเป็ นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับ
อันตรายแก่กายหรือจิตใจแล้ว เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313
วรรคสอง
เหตุเพิ่มโทษตามวรรคท้าย
ถ้าการกระทำความผิดนั้นเป็ นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไปผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขัง
นั้นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต
13
ความผิดฐานผู้สนับสนุนในการเรียกค่าไถ่
มาตรา 314 ผู้ใดเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตาม มาตรา 313 ต้อง
ระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น
บคำ. พจิำพเาลกยษรัาบศตาัวลฎฮีก.ขาังทีไ่ ว1้ 5แ
0ม8้จ/2ะ5ไม2่1ได้ฮเร.ียบก. คถ่
ูากไจถั่บจตาักวไฮป.แกล็เะป็คนนกร้าารยสเนรัียบกสคนุ่านไใถห่้จาบก.
จัดหาค่าไถ่เร็วขึ้น จำเลยมีความผิดฐานสนับสนุนการเรียกค่าไถ่
ความผิดฐานเป็ นคนกลางเรียกค่าไถ่
มาตรา 315 ผู้ใดกระทำการเป็นคนกลาง โดยเรียก รับหรือยอมจะรับ ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อย่างใดที่มิควรได้ จากผู้กระ
ทำความผิดตาม มาตรา 313 หรือจาก
ผู้ที่จะให้ค่าไถ่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปี ถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่สาม
หมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต
องค์ประกอบความผิดภายนอก
- กระทำการเป็นคนกลาง
- โดยเรียก รับหรือยอมจะรับ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างใดที่มิควรได้
- จากผู้กระทำความผิดตาม มาตรา 313 หรือจากผู้ที่จะให้ค่าไถ่
องค์ประกอบความผิดภายใน
- เจตนา
14
กระทำการเป็นคนกลาง คือ ผู้ที่ติดต่อระหว่างผู้จับคนไปเรียกค่าไถ่กับฝ่ายผู้ให้
ค่าไถ่ โดยเรียกเงิน รับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างใดที่มิควรได้
คือ หาประโยชน์จากที่ผู้ที่เรียกค่าไถ่หรือผู้
จะให้ค่าไถ่ มีความหมายเช่นเดียวกับ
การเป็ นคนกลางเรียกรับสินบนที่เป็ นผู้ติดต่อระหว่างผู้ให้สินบนกับเจ้าพนักงาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 465/2527 คนร้ายจับผู้เสียหายไปเรียกค่าไถ่ พี่ผู้เสียหาย
ออกตามพบจำเลยซึ่งเรียกให้รถหยุดแล้วจำเลยเป็นผู้ต่อรองค่าไถ่ด้วยตนเอง ลด
จำนวนค่าไถ่ลง เมื่อได้ค่าไถ่แล้ว จำเลยก็สามารถจัดการให้คนร้ายปล่อยผู้เสีย
หาย แสดงว่าจำเลยมีความสัมพันธ์กับคนร้ายเป็นอย่างดี เข้าลักษณะกระทำการ
เป็นคนกลางเรียกทรัพย์สินมิควรได้จากผู้ที่จะให้ค่าไถ่ อันเป็นความผิดตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 315
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2529 จำเลยที่ 1 กับจำเลยคนอื่นร่วมกันจับตัวผู้เสีย
หายไปเพื่อเรียกค่าไถ่ขณะที่บุตรชายของผู้เสียหายนำเงินค่าไถ่ไปให้จำเลยที่ 1
มีจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นภรรยาของจำเลยที่ 1 กับพวกอีก 3 คนอยู่ใน
ที่นั้นด้วยจำเลยที่ 4 พูดกับบุตรชายของผู้เสียหายว่า 'เขาเอาเท่าไหร่ก็ให้เขาไป
เสียจะได้หมดเวรหมดกรรมกัน‘ พฤติการณ์ของจำเลยที่ 4 เป็นการช่วยพูดให้
บุตรชายผู้เสียหายหาเงินค่าไถ่มาให้ตามที่พวกจำเลยเรียกร้องเข้าลักษณะความ
ผิดฐานกระทำการเป็ นคนกลางเรียกทรัพย์สินจากผู้ที่จะให้ค่าไถ่มิใช่เป็ นเพียงผู้
สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวเท่านั้น
15
มาตรา 316 ผู้ใดกระทำความผิดตาม มาตรา 313 มาตรา 314 หรือ มาตรา 315
จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังได้รับ เสรีภาพก่อนศาลชั้น
ต้นพิพากษา โดยผู้นั้นมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็น
อันตรายต่อชีวิต มให.้3ล1ง6โทเปษ็ นน้ เอหยตกุลวั่กาษที่ณกฎะหค
ดมี าเยพกรำาหะเนป็ดนเไหว้ตุแทีต่่มไีผม่ลน้ตอ่อยผกู้ทวี่่าเกกีึ่่ยงหวขนึ่องง
เป็ นลดโทษตาม
ในการกระทำความผิดทุกคนทั้งตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน หากมีเหตุตาม ม.316 ขึ้น
ก็ลดโทษให้ทุกคน
เหตุใดกฎหมายจึงลดโทษให้ เนื่องมาจากคำนึงถึงผลดีที่ผู้ที่ถูกเอาตัวไปหรือผู้ที่ถูก
หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังจะได้รับ เพราะการลดโทษให้เป็นเสมือนเป็นรางวัลให้ผู้
กระทำคิดปล่อยตัวผู้เสียหายดีกว่าจะหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังต่อไป รวมถึงให้ผู้
กระทำผิดได้คิดถึงผลดีผลเสียว่าหากปล่อยตัวผู้เสียหายโดยปลอดภัยแล้วศาลจะ
ลดโทษให้นั้นเอง โดยการจะได้ลดโทษตามมตรานี้มีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
- จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังได้รับเสรีภาพ
- ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา
- โดยผู้นั้นมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต
ความผิดฐานพรากเด็ก
มาตรา 317 ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกิน สิบห้าปี
ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่สามปี
ถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงสามหมื่นบาท
1) องค์ประกอบความผิดภายนอก
- พรากไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล
- เด็กอายุยังไม่เกิน สิบห้าปีไป
2) องค์ประกอบความผิดภายใน
- เจตนาธรรมดา
16
การพราก คืออะไร
คำพิพากษาฎีกา 2673/2546 ความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก คำว่า "พราก" หมายความว่า พา
ไปหรือแยกออกจากความปกครองดูแล จะกระทำโดยวิธีใดก็ได้ ไม่มีข้อจำกัด ไม่
ต้องใช้กำลังหรืออุบาย ดังนั้นไม่ว่าการพาไปเพื่อร่วมประเวณีจะอยู่ในเส้นทาง
หรือนอกเส้นทางรับส่งผู้เสียหายไปกลับจากโรงเรียนก็ย่อมเป็ นความผิดฐาน
พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารแล้ว
ถ้าเด็กยอมไปด้วยความสมัครใจจะมีความผิดฐานพรากหรือไม่
คำพิพากษาฎีกา 261/2534 การที่จำเลยที่ 1 กับพวกพาผู้เสียหายออกจากบ้านไปโดย
ไม่ ให้คนในบ้านรู้(สมัครใจ) แล้วพาไปชำเรา
ในป่ายางข้างทาง ทั้งที่ผู้เสียหายอายุเพียง
14 ปี กับอีก 1 เดือนเศษ ยังเป็นนักเรียน จำเลยที่ 1 เองก็ยังเรียนอยู่ชั้น มัธยมปีที่ 6
หลังจากตนเองได้ร่วมประเวณีแล้วยังมอบผู้เสียหายให้ไปกับจำเลยที่ 2 ปล่อยให้จำเลย
ปที่ร2าศร่จวามกปเหระตุเอวันณีสผูม้เคสีวยรหาตยอาีมกหปล.อาย.มคืานตรถืาอ3ได1้
7ว่าเป็ นการพรากผู้เสียหายไปโดย
คำพิพากษาฎีกา 1087/2520 เด็กผู้เยาว์ออกจากบ้านไปรับจ้างอยู่กับผู้อื่น แล้วมีผู้
ล่อลวงเด็กไปหากำไรและอนาจาร จำเลยรับเด
็กไว้ ยังมีความผิดตาม ม.319 วรรค
2เป็นกรรมเดียวกับ ม.282 วรรค 3
เหตุเพิ่มโทษตามวรรคท้าย
ถ้าความผิดตามมาตรานี้ ได้กระทำเพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจาร ผู้นั้น
กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่น
บาทถึงสี่หมื่นบาท
เพื่อหากำไร หาประโยชน์ในทางทรัพย์สิน
เพื่อการอนาจาร การกระทำอันไม่สมควรทางเพศ
17
ความผิดฐานพรากผู้เยาว์โดยไม่เต็มใจไปด้วย
มาตรา 318 ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปี ไปเสียจาก
บิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไป ด้วยต้องระวาง
โทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่พันบาท ถึงสองหมื่นบาท
ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือรับตัวผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามวรรค
แรก ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พรากนั้น
ถ้าความผิดตาม มาตรานี้ ได้กระทำเพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจาร
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุก
ตั้งแต่สามปี ถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกพันบาท
ถึงสามหมื่นบาท
องค์ประกอบความผิดภายนอก
- พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสีย
- จากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล
- โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วย
องค์ประกอบความผิดภายใน
- เจตนา
ข้อสังเกต
- ความผิดตามมาตรานี้เป็นการพราก ผู้เยาว์ ไม่ใช่การพรากเด็ก เพราะเป็นการ
กระทำต่อบุคคลที่มีอายุอายุ
กว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี
- หากพรากบุคคลที่อายุ 17 ปี แต่สมรสแล้วจะมีความผิดตามมาตรานี้หรือไม่
- ความผิดตาม ม.318 ผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย แต่ ม.319 ผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย
- การพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร ตาม ม.318 วรรค 3 เป็นเหตุเพิ่มโทษ แต่การ
พรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร ตาม ม.319 เป็นมูลเหตุชักจูงใจ (องค์ประกอบ
ภายใน)
18
โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไป คำพิพากษาฎีกา 210/2541 การที่จำเลยหลอกลวง
ผู้เสียหายว่าจะพาผู้เสียหายไปทำงานในร้านอาหารแต่กลับพาไปขายให้แก่ บ.
เพื่อให้ค้าประเวณีจะนับว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยไม่ได้เพราะผู้เสียหายไม่ได้
เต็มใจไปค้าประเวณีมาแต่ต้น แต่ไปกับจำเลยเพราะจำเลยหลอกลวงว่าจะพา
ไปทำงานที่ร้านขายอาหารของน้ องสาวจำเลยและการที่จำเลยหลอกลวงผู้เสีย
หายแล้วพาผู้เสียหายไปขายให้แก่บ. เพื่อให้ค้าประเวณี ก็เป็นที่เห็นได้ว่า
จำเลยมีเจตนาที่จะล่อผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและเพื่อสำเร็จความใคร่ของ
ผู้อื่น โดยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคสอง และมาตรา 318 วรรคสาม
ความผิดฐานพรากผู้เยาว์โดยเต็มใจไปด้วย
มาตรา 319 ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจาก
บิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์
นั้นเต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และ ปรับตั้งแต่สี่
พันบาทถึงสองหมื่นบาท
ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือรับตัวผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามวรรคแรก
ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พรากนั้น
องค์ประกอบความผิดภายนอก
- พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไป
- จากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล
- โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย
องค์ประกอบความผิดภายใน
- โดยเจตนา
- โดยมีมูลเหตุชักจูงใจเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร (ภายใน)
19
คำพิพากษาฎีกา 1038/2534 จำเลยและผู้เสียหายรักใคร่ชอบพอกันฉันชู้สาว
ผู้เสียหายเต็มใจให้จำเลยร่วมประเวณีโดยสมัครใจ หลังจากนั้นประมาณ 20 วัน
จำเลยสึกจากพระภิกษุ โดยจำเลยและผู้เสียหายอยู่กินฉันสามีภรรยาตลอดมาจน
มีบุตรด้วยกันคนหนึ่ง โดยจำเลยแต่ผู้เดียวเป็นผู้ทำงานหาเลี้ยงผู้เสียหาย
พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า จำเลยมีเจตนาพาผู้เสียหายไปและร่วมประเวณีกับผู้
เสียหายด้วยประสงค์จะเลี้ยงดูผู้เสียหายเป็
นภริยา แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยอยู่ใน
สมณเพศ แต่ต่อมาภายหลังจำเลยก็สึกจากสมณเพศโดยสมัครใจและอยู่กิน
เลี้ยงดูผู้เสียหายตลอดมาจนเกิดบุตรด้วยกัน การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็น
ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร
คำพิพากษาฎีกา 4587/2532 ผู้เสียหายเต็มใจไปกับจำเลย หลังจากที่จำเลย
พาผู้เสียหายไปแล้ว ญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงจัดงานพิธีให้ผู้เสีย
หายและจำเลยแต่งงานกัน และมีการมอบค่าสินสอดของหมั้นให้ญาติผู้ใหญ่
ฝ่ายผู้เสียหายรับไปแล้วบางส่วนเมื่อจำเลยพาผู้เสียหายกลับมาถึงบ้าน ฝ่าย
ญาติผู้ใหญ่ของผู้เสียหายได้จัดพิธีบอกผีเรือนตามประเพณีก่อนให้ผู้เสียหาย
เข้าบ้าน พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่า ที่จำเลยพาผู้เสียหายไปนั้นมีเจตนาที่จะ
พาไปเป็นภรรยาตั้งแต่แรก เพราะไม่ได้ความว่าจำเลยมีภรรยาอยู่ก่อนแล้ว
ดังนี้ การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อเป็นภรรยา แม้ผู้เสียหายจะยังเป็นผู้
เยาว์อยู่ก็ไม่เป็นการละเมิดต่ออำนาจปกครองของมารดา และแม้จำเลยจะ
ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายระหว่างที่พักอยู่ด้วยกันก็ถือได้ว่าเป็ นการพาผู้เสีย
หายไปเพื่อการอนาจาร การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้
เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร
20
ความผิดฐานพาคนไปนอกราชอาณาจักร
มาตรา 320 ผู้ใดใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำ
ผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด พาหรือส่งคนออกไปนอก
ราชอาณาจักร ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปี ถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สี่พันบาท
ถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
องค์ประกอบความผิดภายนอก
- ใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม
หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด
- พาหรือส่งคนออกไปนอกราชอาณาจักร
องค์ประกอบความผิดภายใน
- เจตนา
คำพิพากษาฎีกา 5235/2530 การกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 320 วรรคแรกนั้น ผู้กระทำความเพียงใช้อุบายหลอกลวงหรือขู่เข็ญหรือ
ใช้กำลังประทุษร้าย หรือใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมหรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วย
ประการอื่นใด อย่างหนึ่งอย่างใดดังกล่าวมา พาหรือส่งคนออกไปนอกราช
อาณาจักรก็ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 320
วรรคแรกแล้ว หาจำต้องกระทำการทุกอย่างพร้อมกันในคราวเดียวกันไม่
การที่จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่า มีงานให้ทำที่ประเทศสิงคโปร์และ
ส่งผู้เสียหายออกไปนอกราชอาณาจักรการกระทำของจำเลยย่อมเป็ นความผิด
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 320 วรรคแรกแล้ว
21
เหตุเพิ่มโทษ
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก ได้กระทำเพื่อให้ผู้ถูกพาหรือ ส่งไปนั้นตกอยู่
ในอำนาจของผู้อื่นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือเพื่อละทิ้งให้เป็นคนอนาถา ผู้
กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึง
สามหมื่นบาท
มูลเหตุชักจูงใจ
- เพื่อให้ผู้ถูกพาหรือส่งไปนั้นตกอยู่ในอำนาจของผู้อื่นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
- เพื่อละทิ้งให้เป็นคนอนาถา
22
อ้างอิง
woody law blog: ความผิดต่อเสรีภาพและชื่อเสียง
(chalermwutsa.blogspot.com)
สำนักกฎหมาย woody law - ความผิดต่อเสรีภาพ (google.com)
หนังสืออาญา หลักและคำพิพากษาของ สหรัฐ กิติศุภการ