The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เนื้อหา ประวัติดนตรีสากล ความเป็นมาและลักษณะของดนตรีตะวันตกยุคสมัยต่างๆ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุพร สุริยะวงค์, 2024-05-12 23:09:53

Music History ประวัติดนตรีสากล

เนื้อหา ประวัติดนตรีสากล ความเป็นมาและลักษณะของดนตรีตะวันตกยุคสมัยต่างๆ

Keywords: ดนตรีสากล

วิเคราะห์รูปแบบของดนตรีไทยและดนตรีสากลในยุคสมัยต่างๆ


ยุคสมัยดนตรีสากล Middle Ages ค.ศ.500-1400 Renaissance ค.ศ.1400-1600 Baroque ค.ศ.1600-1750 Classical ค.ศ.1775-1830 Romantic ค.ศ.1830-1900 Contemporary ค.ศ.1900-2000 Impressionism ค.ศ.1850-1930


ย ุ คสมย ั ดนตร ี สากล The Middle Ages ค.ศ.500-1400 The Renaissance ค.ศ.1400-1600 The Baroque ค.ศ.1600-1750 The Romantic ค.ศ.1830-1900 The Impressionism ค.ศ.1850-1930 The Contemporary ค.ศ.1900-2000 The Classical ค.ศ.1775-1830


1. ยุคกลาง (Middle Age) ค.ศ.500-1400 บทเพลงส่วนใหญ่เป็นเพลงร้องที่ใช้ในโบสถ์เพื่อสรรเสริญ พระเจ้า เช่นเพลง Mass , Motet ส่วนใหญ่เป็นภาษาละติน ในระยะแรก เพลงสวดจะเป็นการร้องแนวเดียว ไม่มีดนตรี ประกอบ ใช้เสียงเอื้อนในการท าท านอง ไม่มีอัตราจังหวะ และกฎเกณฑ์ตายตัว ระยะหลังพัฒนาให้มีแนวร้องประสาน 2 แนวขึ้นไป เรียกว่า ออร์กานูม (Organum) และมีอัตรา จังหวะที่แน่นอน


เครื่องดนตรีประเภท Lute หรือ ซอ บรรเลงคลอตามเสียงร้อง เริ่มมีการบันทึกโน้ตดนตรีในระบบสากล โดย Guido d’ Arezzo นักบวชชาวอิตาลี


2. ยุคเรอเนสซองซ์หรือยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ค.ศ.1400-1600 บทเพลงในยุคนี้เริ่มมีการผสมผสานระหว่างเพลง พื้นบ้านกับเพลงที่ใช้ในโบสถ์โดยการน าเอาเทคนิค การประพันธ์เพลงพื้นบ้านมาประยุกต์ใช้กับเพลง สวด ท าให้เกิดการน าเอาเครื่องดนตรีบางชนิดเข้า มาประกอบในเพลงสวดที่ใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ นิยมการขับร้องประสานเสียงที่แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มโซปราโน กลุ่มอัลโต กลุ่มเทเนอร์และกลุ่มเบส (Polyphony) เพลงที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา เรียกว่า แมดริกัล (Madrigal) มีเนื้อร้องเกี่ยวกับความรักและ สรรเสริญบุคคลส าคัญ


เครื่องดนตรีนิยม เครื่องสายที่บรรเลงด้วยคันชัก เช่น ซอวิโอล ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ แตรทรัมเป็ต หรือ ทรอมโบนโบราณ สังคีตกวีที่ส าคัญ คือ ปาเลสตรินา(Palestrina) ชาวอิตาเลียน


3. ยุคบาโรก (Baroque) ค.ศ.1600-1750 รูปแบบดนตรี แสดงถึงความโออ่า หรูหรา ฟุ่มเฟือย เริ่มมีการใช้บันไดเสียงเมเจอร์และไมเนอร์ ก าหนดอัตราความเร็ว- ช้า ความดัง-เบา ในบทเพลง นิยมการสอดประสานท านอง (Counterpoint) พัฒนาการบันทึกโน้ต (ตัวหยุด ตัวโน้ต สัญลักษณ์ เครื่องหมาย) เริ่มมีการผสมวงออร์เคสตรา เพื่อใช้ ประกอบการแสดง ละครเพลงหรือโอเปรา (Opera) แต่ลักษณะการผสมวงของเครื่อง ดนตรียังไม่มีการก าหนดที่แน่นอน


เครื่องดนตรีได้รับการพัฒนาจึงท าให้นักดนตรีมีความสามารถในการ บรรเลงอย่างมาก จึงท าให้ยุคนี้มีประเภทการบรรเลงดนตรีที่หลากหลาย มากขึ้น เช่น โซนาตา คอนแชร์โต โอเปรา เป็นต้น นอกจากนี้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายยังได้รับการพัฒนาอย่างมาก • ออร์แกนเป็นเครื่องดนตรีตะวันตกที่มีต้นก ำเนิดมำจำกลม หนึ่งเครื่องสำมำรถ ท ำเสียงต่ำงๆได้เท่ำกับเครื่องดนตรีหลำยชิ้นมำรวมกัน ถือเป็นเครื่องดนตรีที่มี ประสิทธิภำพสูงสุดในบรรดำเครื่องดนตรีในสมัยนั้น นักประพันธ์เพลงที่มีชื่อเสียงของยุค ได้แก่ J.S.Bach, Vivaldi, Händel ฯลฯ


ยุคโรโคโค (The Rococo) ค.ศ. 1750-1775 ยุคนี้เป็นยุคที่เน้นการประดับประดาให้หรูหรางดงามกับศิลปะ ทุกสาขา ดังนั้นดนตรีในยุคนี้จึงมีลักษณะเบา งดงาม และ บางครั้งอาจแทรกความตลกขบขันลงไปด้วย นักประพันธ์เพลงในยุคนี้จะต้องแต่งเพลงประกอบการแสดง ละครโอเปรา โซนาดา แคนตาตาและซิมโฟนี


4. ยุคคลาสสิก (The Classical) ค.ศ. 1775-1820 เครื่องดนตรีมีวิวัฒนาการมาจนสมบูรณ์ ที่สุด เริ่มมีการผสมวงที่ก าหนดแน่นอนว่า เป็นวงเล็กหรือใหญ่ เช่น วงแชมเบอร์มิวสิก และวงออร์เคสตรา ในการจัดวงออร์เคสตราใช้เครื่องดนตรี ครบทุกประเภท คือ เครื่องสาย เครื่องเป่า ลมไม้เครื่องเป่าลม ทองเหลือง และเครื่อง ตี วงออร์เคสตราในยุคนี้ถือได้ว่ามีรูปแบบ ที่ใช้เป็นแบบแผนมาจนถึงปัจจุบัน


มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องจังหวะและเสียงของเครื่องดนตรีอย่างชัดเจน ท านองมีความเร็วช้า สลับกัน ไม่นิยมการสอดประสานแบบ Counterpoint แต่นิยมท านองหลักท านองเดียว และใส่แนวเสียงประสานเพื่อเน้นท านองหลักให้ไพเราะขึ้น เปียโน ได้รับการพัฒนามากในยุคนี้ นักดนตรีที่มีชื่อเสียง Haydn, Mozart, Beethoven ฯลฯ


5. ยุคโรแมนติก (The Romantic) ค.ศ. 1820-1900 ในยุคนี้เปียโนเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับการพัฒนา รูปร่างจนสามารถบรรเลงด้วยวิธีการและเทคนิค ต่างๆที่หลากหลายได้เป็นอย่างดี นักดนตรี นักประพันธ์เพลงท างานเพื่อเจ้านายราช ส านักน้อยลง ผลงานเพลงเน้นการถ่ายทอดความรู้สึกและ อารมณ์ของผู้ประพันธ์เองอย่างเต็มที่ คีตกวีนิยมเขียนเพลงบรรยายธรรมชาติ นิยาย หรือความคิดฝันของตนเอง


มีการน าคอร์ดที่มีเสียงไม่กลมกลืนมาใช้ (Chromatic Chord) เน้นความหนัก เบาและเทคนิคที่ยากขึ้น มีการจัดแสดงเพื่อเก็บเงินค่าเข้าชม เรียกว่า Concert ในส่วนของการผสมวงออร์เคสตรา ยังคงใช้หลักการผสมตามยุคคลาสสิกและเพิ่มขนาดโดย การเพิ่มจ านวนเครื่องดนตรีให้มีความยิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อให้อารมณ์ของบทเพลง มีความ หลากหลายและสามารถสื่อถึงผู้ฟังได้อย่างเด่นชัด นักดนตรีที่มีชื่อเสียง Frederic Chopin, Peter Ilyich Tchaikovsky, Richard Wagner ฯลฯ


6. ยุคอิมเพรสชั่นนิสม์(The Impressionism) ค.ศ. 1850-1930 เป็นยุคที่มีการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ดัดแปลงรูปแบบดนตรีในสมัยโรแมนติกให้แปลก ออกไปตามจินตนาการของผู้แต่ง เปรียบเทียบได้กับการใช้สีสันในการเขียนรูปให้ ฉูดฉาดขึ้น ดนตรีก่อให้เกิดความประทับใจ เต็มไปด้วยจินตนาการ อารมณ์ล่องลอย มักเปลี่ยน บันไดเสียงตลอดเวลา มีอิสระในการใช้เสียงประสาน ไม่อิงกฏเกณฑ์ ในด้านดนตรีผู้ประพันธ์มักสรรหาเครื่องดนตรีแปลก ๆ มาผสม ท าให้การประสาน เสียงบางครั้งฟังไม่รื่นหูเหมือนสมัยก่อน หรือเอาท านองเพลงทางเอเชียมาผสมผสาน นักดนตรีที่มีชื่อเสียง Claude Achille Debussy, Igor Stravinsky ฯลฯ


7. Contemporary (ค.ศ.1900-2000) เกิดการทดลองสิ่งใหม่ๆ แสวงหาทฤษฎีใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อรองรับความคิดสร้างสรรค์กับสิ่งใหม่ๆ รูปแบบดนตรีมีการผสมผสานรูปแบบใหม่ขึ้น ซึ่งมีการน าเสียงจากเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เสียง สังเคราะห์มาใช้เป็นเครื่องดนตรี เริ่มมีวงดนตรีรูปแบบใหม่ ที่ผสมผสานระหว่าง แอฟริกา ตะวันตก อเมริกาและยุโรป และเกิด แนวเพลงใหม่ๆขึ้น และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่วนดนตรีในรูปแบบดนตรีคลาสสิกก็ยังคงใช้รูปแบบการผสมวงตามยุคคลาสสิก ซึ่งไม่มี การเปลี่ยนแปลงแต่จะเน้นที่รูปแบบการประพันธ์เพลงมากกว่า


Click to View FlipBook Version