The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

Life and art of Van Gogh

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุทัตตา โพคัง, 2023-04-07 04:29:57

Van Gogh

Life and art of Van Gogh

LIFE AND ART Van Gogh ภาณุ บุญพิพัพิฒพันาพงศ์ เรื่องเล่าชีวิตปวดร้าวในงานศิลปะที่สดใสของ Vincent van Gogh theartstory.org/artist/van-gogh-vincent vincentvangogh.org wikipedia.org/wiki/Vincent_van_Gogh หนังสือ Van Gogh. Life and Art MODA Gallery ชั้นชั้ 2 River City Bangkok VINCENT VAN GOGH เรื่อรื่ง


คำ นำ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้ จัดทำ ขึ้นเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับ ผลงานศิลปะ ของศิลปินที่มีชื่อว่า Vincent van Gogh ที่จะพาทุกคนไปดื่มด่ำ กับผลงาน พร้อมสัมผัส ความคิด และ สภาพจิตใจ ตลอดชีวิตการทำ งานของ Vincent van Gogh หวังว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกคน และสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนได้ นางสาวสุทัตตา โพคัง


ส า ร บั ญ เรื่อง หน้า Highlights 1 Life and Art of Van Gogh 2 ผลงานชิ้นแรก 7 เรื่องราวของแวนโกะห์กับโกแกง 11 อาการป่วยทางจิตของแวนโกะห์ 13


H I G H L I G H T S Vincent van Gogh คือศิลปินชาวดัตช์แนวโพสต์-อิมเพ รสชั่นนิสม์ผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของโลก ถึงอย่างนั้น ในช่วงเวลาที่เขายังมีชีวิตอยู่ ชีวิตของแวน โกะห์ กลับทุกข์ระทมเพราะสไตล์อันโดดเด่นเปี่ยมพลังล้ำ หน้าศิลปินรุ่นเดียวกันทำ ให้ไม่มีใครเข้าใจเขา ตลอดชีวิต แวน โกะห์ จึงขายภาพได้แค่ภาพเดียว แถมยังทรมาน จากอาการป่วยทางจิต แวน โกะห์ เสียชีวิตในวัยเพียง 37 ปี หลังจากการเสีย ชีวิต ผลงานของเขากลับถูกศึกษาและเป็นที่รักของ ศิลปิน นักวิจารณ์ศิลปะ นักสะสม และผู้คนทั่วโลก กระทั่งมีงานศิลปะหลากแขนงที่ต่อยอดจากผลงานของ เขาหลายชิ้น


L I F E A N D A R T O F V A N G O G H Vincent Willem van Gogh (ภาษาดัตช์ออกเสียงว่า ‘ฟัน โคค’) เกิดที่หมู่บ้านเล็กๆ ในเมืองบราบันต์ ตำ บลซันเดิร์ต ประเทศ เนเธอร์แลนด์ในครอบครัวของบาทหลวง สมัยเด็กเขามีบุคลิกขี้ อาย อ่อนไหว เงอะงะ และเก็บตัว เมื่ออายุได้ 16 ปี เขาเริ่มต้น อาชีพการงานด้วยการเป็นลูกจ้างในแกลเลอรีค้างานศิลปะของ คุณลุง แต่ด้วยความซื่อและเถรตรง เขาจึงเบื่อหน่ายเมื่อแกล เลอรีมักจะเอางานชั้นเลวมาหลอกขายให้ลูกค้าที่ไม่รู้จักงานศิลปะ หลายต่อหลายครั้งเขาถึงกับบอกให้ลูกค้าไม่ซื้อภาพวาดเหล่านั้น จนทำ ให้ถูกไล่ออกจากงานในที่สุด จากนั้น เขาหันไปศึกษาศาสนาอย่างจริงจังและย้ายไปอาศัยใน เหมืองถ่านหินในเมืองกันดารเพื่อเทศนาสั่งสอนช่วยเหลือคน ทุกข์ยากในเหมืองโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ด้วยความตั้งใจใฝ่ฝัน ที่จะเป็นนักเทศน์ แต่ก็ประสบความล้มเหลว ในช่วงนี้เองที่เขาเริ่ม สเกตซ์และวาดภาพคนในเหมืองเอาไว้ metmuseum.org


L I F E A N D A R T O F V A N G O G H หลังจากกลับมาอยู่บ้านกับพ่อแม่ แวน โกะห์ หวนกลับมา วาดรูปอีกครั้ง เริ่มต้นจากการวาดภาพคนและทิวทัศน์ด้วย การศึกษาเทคนิคการวาดภาพจากหนังสือกายวิภาคและ ทัศนียภาพ รวมถึงหนังสือศิลปะต่างๆ เขาวาดภาพชาวนา และทิวทัศน์ในละแวกบ้านด้วยปากกาและสีน้ำ ในช่วงแรกเขา ได้แรงบันดาลใจจากศิลปินชั้นครูอย่าง Jean-François Millet, Honoré Daumie และ Rembrandt ซึ่งว่ากันว่าการเซ็น ชื่อศิลปินด้วยชื่อต้นอย่าง Vincent แทนที่จะเป็นชื่อสกุลก็ได้ แรงบันดาลใจมาจากเรมบรันดต์นั่นเอง ในช่วงปี 1881 เขาได้เข้าเรียนศิลปะกับ Anton Mauve จิตรกรเหมือนจริงชั้นครูแห่งสถาบัน Hague School ในกรุง เฮกที่ไม่เพียงสอนพื้นฐานการวาดภาพ การใช้สีน้ำ และสีน้ำ มัน หากแต่ยังขยายขอบเขตพื้นฐานการแสดงออกในฐานะศิลปิน ให้เขาด้วย ในช่วงนี้เองที่เขาวาดภาพหุ่นนิ่งรูปกะหล่ำ ปลีและ รองเท้าไม้ หรือ Still Life with Cabbage and Clogs (1881) ด้วยการใช้สีเอิร์ธโทนมืดหม่นสไตล์ดัตช์ ผสมผสานกับการใช้ แสงสว่างสดใสซึ่งกลายเป็นสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ตัวของเขาในภายหลัง Stil l Life with Cabbage and Clogs (1881) / commons.wikimedia.org


L I F E A N D A R T O F V A N G O G H ปี 1882 เขาวาดภาพทิวทัศน์สีน้ำ มันภาพแรกๆ ของตัวเอง อย่าง View of the Sea at Scheveningen (1882) นำ เสนอ ทิวทัศน์ท้องทะเลใกล้กับกรุงเฮกในรูปแบบเหมือนจริงผสม กับการใช้ฝีแปรงอันหนาหนักแบบ Impasto ซึ่งคล้ายคลึงกับ งานศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ที่กำ ลังเฟื่องฟูในยุคนั้น นอกจากนี้ เขายังได้รับการว่าจ้างให้วาดภาพลายเส้นทิวทัศน์เมืองของ กรุงเฮกจากลุงของเขาอีกด้วย View of the Sea at Scheveningen (1882) / en.wikipedia.org


L I F E A N D A R T O F V A N G O G H ในปี 1883 เขาวาดภาพ Bulb Fields (1883) ภาพทิวทัศน์ทุ่ง ดอกไม้สีขาว น้ำ เงิน ชมพู และเฉดสีทองของผืนดิน กับเนิน เขาสุดลูกหูลูกตาและท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆขาวโพลน ซึ่ง การใช้แสงสีอันสดใสในภาพนี้นี่แหละที่จะกลายเป็น เอกลักษณ์อันโดดเด่นในการทำ งานของเขาในภายหลัง Bulb Fields (1883) / amazon.com


L I F E A N D A R T O F V A N G O G H ถึงอย่างนั้น ชีวิตของแวน โกะห์ กลับไม่สดใสอย่างภาพ เพราะหลังจากนั้นเขาประสบกับมรสุมชีวิต ทั้งจากการเสีย ชีวิตของพ่อและความผิดหวังในความรัก ปลายปี 1883-1885 แวน โกะห์ ใช้เวลาอยู่ในหมู่บ้านทางเหนือของเมืองนูนเอิน และมุ่งเน้นบันทึกภาพชีวิตของชาวไร่ ชาวนา และช่างทอผ้า ในช่วงนี้นี่เองที่เขาวาด The Potato Eaters (1885) ที่นำ เสนอภาพชีวิตของครอบครัวชาวนาล้อมวงกินอาหารมื้อค่ำ อย่างสมถะ แสดงให้เห็นแสงเงาอันจัดจ้านที่เขาได้รับ อิทธิพลมาจากเรมบรันดต์ The Potato Eaters (1885) / commons.wikimedia.org


ผ ล ง า น ชิ้ น แ ร ก ภาพนี้นับเป็นผลงานชิ้นเอกชิ้นแรกของเขาเลยก็ว่าได้ ช่วงปี 1886 แวน โกะห์ เข้าเรียนในสถาบัน Antwerp Academy เป็นช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะย้ายไปอยู่อาศัยในปารีสกับ Theo น้องชายของเขาซึ่งเป็นนายหน้าค้างานศิลปะผู้มีชื่อเสียง ที่นั่น ธีโอแนะนำ ให้เขารู้จักกับผลงานของศิลปินอิมเพรสชั่นนิ สม์ชื่อดังในยุคนั้นอย่าง Claude Monet, Pierre-Auguste Renoir และ Georges Seurat ซึ่งส่งอิทธิพลต่อการทำ งานของ เขาอย่างมาก แวน โกะห์ ได้ทำ ความรู้จักและสนิทสนมกับ ศิลปินหนุ่มอีกคนอย่าง Paul Gauguin ในช่วงเวลาด้วย ช่วงปี 1887 แวน โกะห์ เริ่มทดลองใช้เทคนิคการแต้มจุดสี (pointill ist) ที่ได้รับอิทธิพลจากเซอราในการวาดใบหน้าของ ตัวเองหลายภาพ อาทิ ภาพ Self-Portrait with Grey Felt Hat (1887) ที่ใช้ปื้นสีเล็กๆ จำ นวนนับไม่ถ้วนผสานตัวกันเป็น รูปเป็นร่างเมื่อมองในระยะไกล และเพื่อสร้างอารมณ์ความ รู้สึกของความเคลื่อนไหวแห่งสีสันในภาพ Self-Portrait with Grey Felt Hat (1887) / vincentvangogh.org


ในช่วงนั้นเองที่แวน โกะห์ เริ่มสนใจงาน ศิลปะญี่ปุ่นที่เรียกว่า Ukiyo-e อันเต็มไปด้วย สีสันสดใสฉูดฉาดบาดตา เขาและศิลปินในยุค สมัยนั้นอย่าง โมเนต์ และ Edgar Degas ต่าง สะสมภาพเหล่านี้และได้รับอิทธิพลของการใช้ องค์ประกอบและสีสันมากันถ้วนหน้า เป็น ส่วนหนึ่งของกระแสความนิยมที่เรียกขานว่า Japonisme นั่นเอง ด้วยอิทธิพลนี้ แวน โกะห์ คัดลอกและ ดัดแปลงภาพนางโลมของศิลปินอุกิโยเอะ ชาวญี่ปุ่น Keisai Eisen ออกมาเป็นแบบฉบับ ของเขาเองในภาพ Courtesan after Eisen (1887) แต่เปลี่ยนฉากหลังจากดอกซากุระใน ภาพต้นฉบับให้เป็นดอกบัวในสระแทน Courtesan after Eisen (1887) / artvangogh.com


ปี 1888 แวน โกะห์ ย้ายออกจากบ้านของธีโอในปารีสไปอยู่ในเมือ งอาร์ลส์ ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส โดยไปเช่าบ้านที่มีชื่อเรียกว่า ‘บ้านสีเหลือง’ และวาดภาพทิวทัศน์ท้องทุ่งดอกไม้ ท้องทะเล ทิวทัศน์ เมือง และบุคคล ไม่ว่าจะเป็นภาพ The Yellow House (The street) (1888), The Bedroom (1888) และผลงานที่เพิ่งถูกค้นพบล่าสุดเมื่อปี 2013 อย่าง Sunset at Montmajour (1888) The Yellow House (The street) (1888) / art-vangogh.com The Bedroom (1888) / vangoghmuseum.nl


ที่นี่ เขายังทำ งานต่อเนื่องจากช่วง ที่อยู่กับน้องชายที่ปารีส เป็นชุด ภาพวาดดอกทานตะวันดอกใหญ่สี เหลืองอร่ามท่ามกลางฉากหลาก สไตล์ ภาพอันสดใสชุดนี้กลายเป็น ที่รักของบรรดาผู้เชี่ยวชาญ นัก วิจารณ์ และคนรักศิลปะทั่วโลกจาก การใช้ค่าสีเหลืองหลากหลายเฉด กับฝีแปรงหนาหนักจนกลีบและ เกสรดอกไม้มีความนูนดูเป็นสาม มิติ ผสมผสานความเรียบง่าย ซื่อตรงเข้ากับรายละเอียดอันรุ่ม รวยเปี่ยมอารมณ์ ตามแบบฉบับ เฉพาะตัว Sunflower / en.wikipedia.org


ในบ้านสีเหลืองแห่งนี้เอง แวน โกะห์ ตระเตรียมห้องหับเพื่อต้อนรับเพื่อน ศิลปินอย่างโกแกงที่วางแผนมาเยี่ยม เยือนเขาในอาร์ลส์ แต่ถึงแม้แวน โกะห์ จะวาดหวังไว้อย่างสวยงามว่าทั้งคู่จะได้ ร่วมกันทำ งานและสร้างชุมชนศิลปะขึ้น ในบ้านแห่งนี้ความฝันของเขากลับพัง ทลายอย่างไม่เป็นท่า นั่นเพราะแม้ทั้งคู่จะสนุกกับการทำ งาน ในช่วงแรกและต่างวาดภาพที่เป็น ตัวแทนของกันและกันหลายต่อหลาย ภาพ แต่ด้วยทัศนคติในการทำ งานที่ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แวน โกะห์ ชอบทำ งานกลางแจ้งที่ได้ปะทะตอบโต้ กับดินฟ้าอากาศรอบตัวอย่างตรงไป ตรงมาและถ่ายทอดลงบนผืนผ้าใบ อย่างฉับพลันทันใดในขณะที่โกแกงนั้น ตรงกันข้ามอย่างสุดขั้ว เมื่อความ ตึงเครียดระหว่างทั้งคู่พุ่งถึงขีดสุด พวกเขามีปากมีเสียงและลงไม้ลงมือกัน แวน โกะห์ สติขาดผึงจนฉวยมีดโกน หมายจะทำ ร้ายโกแกง แต่ท้ายที่สุดเขาก็ ใช้มีดโกนเฉือนส่วนหนึ่งของใบหูตัวเอง ออกแทน ถือเป็นจุดตัดขาดมิตรภาพ ของศิลปินทั้งคู่ Self-Portrait with Bandaged Ear (1889) / vangoghmuseum.nl


Starry Night Over the Rhône (1888) / commons.wikimedia.org หลังจากเหตุการณ์นี้ แวน โกะห์ เผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมานจาก อาการเจ็บป่วยทางจิต เขาเข้ารักษาตัวที่ในโรงพยาบาลจิตเวช Saint Paul ในเมืองแซ็ง-เรมี-เดอ-พรอว็องส์ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เขาก็ยัง สร้างสรรค์ผลงานออกมาอย่างต่อเนื่องเป็นจำ นวนมากทั้งภาพทิวทัศน์ รอบโรงพยาบาลที่แวดล้อมด้วยต้นมะกอกและต้นสนไซเปรส ภาพวาด ดอกไอริสในสวน ภาพวาด Starry Night Over the Rhône (1888) และ ภาพวาด The Starry Night (1889) อันเป็นที่รักและน่าจดจำ มากที่สุด ในประวัติศาสตร์ศิลปะโลกตะวันตก The Starry Night (1889) / en.wikipedia.org


อ า ก า ร ป่ว ย ท า ง จิ ต ข อ ง แ ว น โ ก ะ ห์ ในที่สุด ปี 1890 เขาออกจากโรงพยาบาลมาอยู่ใกล้ๆ กับน้อง ชายในเมืองเล็กๆ ใกล้กรุงปารีสชื่อ Auvers-sur-Oise ในช่วงนั้น แวน โกะห์ สนิทสนมกับ Dr. Paul Gachet นายแพทย์และจิตรกร สมัครเล่นผู้เข้ามาช่วยดูแลอาการ กลายเป็นมิตรสหายที่ดีของ เขา แถมยังเป็นนายแบบให้เขาวาดภาพออกมาอีกหลายภาพ อาการป่วยทางจิตของเขาเริ่มย่ำ แย่ลงเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน แวน โกะห์ ยังคงสร้างสรรค์ผลงานอย่างไม่หยุดหย่อน เขาสร้าง ผลงานออกมากว่า 80 ชิ้นที่ล้วนแล้วแต่ใช้สีสันสดใสเจิดจ้า เดือนสุดท้ายของชีวิตเขาหันมาใช้โทนสีเขียว น้ำ เงิน เส้นโค้งเป็น ลอนลูกคลื่นบิดเบือนวัตถุและรูปทรงต่างๆ อย่างต้นไม้ ก้อนเมฆ ทุ่งหญ้า และท้องฟ้า สร้างความเคลื่อนไหวอันเปี่ยมอารมณ์ ความรู้สึกในภาพ ลักษณะการทำ งานเช่นนี้ของเขาก้าวล้ำ ไปไกล กว่าศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ในยุคก่อนหน้า กลายเป็นหนึ่งใน รากฐานของงานศิลปะโพสต์-อิมเพรสชั่นนิสม์ในที่สุด หลังจากวาดภาพ Wheatfield with Crows (1890) ที่เชื่อกันว่า เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายในชีวิตของเขา ในวันที่ 27 กรกฎาคม 1890 มีคนพบแวน โกะห์ ถูกยิงที่หน้าอกอาการบาดเจ็บสาหัส ก่อนเสียชีวิตในอีกสองวันต่อมาด้วยอาการติดเชื้อในกระแส เลือดในวัยเพียง 37 ปี รายงานอย่างเป็นทางการระบุว่าเขาฆ่าตัว ตายแต่ล่าสุดมีการตั้งข้อสันนิษฐานว่าเขาน่าจะเสียชีวิตจาก อุบัติเหตุในยามที่มีปากเสียงกับเด็กหนุ่มผู้คึกคะนองในละแวก นั้นมากกว่า Wheatfield with Crows (1890) / en.wikipedia.org


ในช่วงเวลาแค่เพียงสิบกว่าปีของอาชีพการงาน แวน โกะห์ สร้างสรรค์ ผลงานศิลปะราว 2,100 ชิ้น เป็นภาพวาดสีน้ำ มันกว่า 900 ชิ้น และภาพ วาดลายเส้น 1,100 ชิ้น ส่วนใหญ่ทำ ขึ้นในช่วงเวลาสองปีสุดท้ายในชีวิตเขา ถึงแม้ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ แวน โกะห์ จะประสบความล้มเหลวด้านรายได้ ในอาชีพศิลปินด้วยความที่ผลงานของเขานั้นแปลกใหม่ล้ำ หน้ามาก่อนกาล ตลอดชีวิตเขาจึงขายภาพวาดได้เพียงภาพเดียวเท่านั้นและมีชีวิตอยู่ด้วย ความลำ บากยากจน แต่ภายหลังจากที่เขาเสียชีวิต ภาพวาดของแวน โกะห์ กลับกลายเป็นที่ นิยมขึ้นมาอย่างมากจากการผลักดันของ Johanna van Gogh-Bonger ภรรยาหม้ายของธีโอ น้องชายของเขา ทำ ให้ในปัจจุบัน ผลงานที่ไม่มีใคร แยแสตอนที่เขายังมีชีวิตกลับกลายเป็นของล้ำ ค่า ราคาพุ่งพรวด บางภาพ กลายเป็นภาพวาดที่มีราคาแพงที่สุดในโลก บางภาพมีราคาสูงกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีข้อวิเคราะห์ว่าแรงบันดาลใจจากความทุกข์ยากในชีวิตและความไม่ มั่นคงทางจิตใจนี่แหละที่ส่งผลให้ภาพวาดของเขาลึกซึ้งและทรงพลัง อย่างยิ่ง ทั้งบุคลิกภาพทางอารมณ์อันคลุ้มคลั่งของเขาก็กลายเป็นภาพ ลักษณ์โรแมนติกของศิลปินผู้เผาผลาญตัวเองเป็นเชื้อไฟแห่งศิลปะ อัน เป็นภาพสะท้อนของชีวิตเหล่าบรรดาศิลปินแห่งศตวรรษที่ 20 ทั้งหลาย นอกจากนี้ยังมีหลักฐานงานวิจัยว่าอันที่จริงแล้วแวน โกะห์ อาจจะเป็น ศิลปินผู้มีความรู้และทักษะพื้นฐานในการทำ งานศิลปะสูง ทั้งการใช้องค์ ประกอบและสีสันและการวางแผนการทำ งานอย่างรอบคอบมากกว่าจะทำ ไปตามสัญชาตญาณแต่เพียงอย่างเดียว ล้มล้างความเชื่อที่ว่าเขาเป็นแค่ ศิลปินอารมณ์รุนแรงที่ปาดป้ายสีสันลงบนผ้าใบไปตามความรู้สึกเท่านั้น


Click to View FlipBook Version