The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แนวทางการส่งเสริม อนุรักษ์ และพัฒนา ซอบั้งชาวผู้ไท จังหวัดกาฬสินธุ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by balllysa, 2022-06-21 23:01:09

แนวทางการส่งเสริม อนุรักษ์ และพัฒนา ซอบั้งชาวผู้ไท จังหวัดกาฬสินธุ์

แนวทางการส่งเสริม อนุรักษ์ และพัฒนา ซอบั้งชาวผู้ไท จังหวัดกาฬสินธุ์

ชื่อโครงการวจิ ยั
แนวทางการส่งเสริม อนุรกั ษ์ และพัฒนา ซอบง้ั ชาวผไู้ ท จังหวดั กาฬสนิ ธ์ุ
Guidelines for Encourage, Conservation, and Development

the Saw-Bang of Phu-tai people, Kalasin Province

โดย
ผศ.ดร.พทิ ยวัฒน์ พันธะศรี

โครงการวจิ ยั นี้ได้รับทนุ อดุ หนุนการวิจัยจากกรมสง่ เสริมวฒั นธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
ประจาปงี บประมาณ ๒๕๕๘



บทคัดยอ่

ซอไมไ๎ ผหํ รอื ซอบ้งั เปน็ ซอทท่ี ําดว๎ ยไมไ๎ ผทํ ้งั ปล๎อง แตกตาํ งจากลกั ษณะโดยท่วั ไปกบั ซอของไทยใน

ภมู ิภาคอ่นื ๆ ท้ังการขนึ้ สายเทียบเสยี งและวธิ ีการบรรเลงมคี วามแตกตํางกบั ซอชนิดอื่นๆ โดยทวั่ ไป

สภาพการณ๑ป๓จจุบนั วฒั นธรรมการทําและบรรเลงซอบั้งอยใํู นขนั้ วกิ ฤติ เน่ืองจากไมํมีผ๎สู บื ทอดวัฒนธรรมการ

ดนตรแี ขนงนี้ จึงทําใหผ๎ ๎ทู เ่ี ห็นความสาํ คญั และต๎องการเรยี นรู๎เครอื่ งดนตรซี อบ้งั ไม๎ไผํแทบท่ีจะไมมํ ใี นปจ๓ จบุ ัน

การวิจยั คร้งั น้ีมวี ัตถปุ ระสงค๑การวิจัย ๒ ประการ คอื ๑. เพอื่ ศกึ ษาองคค๑ วามรูข๎ องซอบัง้ ชาวผู๎ไท จงั หวัด

กาฬสินธุ๑ ทเ่ี กีย่ วข๎องกับลักษณะทางกายภาพ ระบบเสยี ง บทเพลง บทบาทหนา๎ ท่ีในสังคมและวัฒนธรรม

๒. เพ่ือศึกษาแนวทางการสํงเสรมิ อนรุ ักษ๑ และพฒั นา ซอบ้งั ชาวผไู๎ ท จงั หวดั กาฬสินธ๑ุ โดยการเก็บ

รวบรวมขอ๎ มลู จากเอกสาร การสงั เกต การสัมภาษณ๑เชงิ ลกึ และการสนทนากลมํุ ต้งั แตํเดอื นตุลาคม

๒๕๕๗

ผลการวจิ ัยพบวํา องคค๑ วามรข๎ู องซอบ้งั ชาวผูไ๎ ท จงั หวดั กาฬสินธุ๑ ดา๎ นลักษณะทางกายภาพพบ

ความแตกตํางกนั อยํู ๒ ลักษณะ คือ ลักษณะที่ ๑ เปน็ ซอบ้งั ไมไ๎ ผํเจาะรขู ยายเสียงทางด๎านหลงั ลักษณะท่ี

๒ เปน็ ซอบ้ังไมไ๎ ผํเจาะรูขยายเสียงทางด๎านหน๎าซอ มลี กั ษณะทําทางการบรรเลงสามลกั ษณะ คือ การน่ัง

บรรเลงแบบธรรมดาท่ีวางตวั ซอบนหน๎าขา การนั่งบรรเลงแบบใชเ๎ ทา๎ ประกบตัวซอ และการยืนบรรเลง มี

วิธกี ารบรรเลงสองลกั ษณะ คอื รปู แบบโบราณคอื ซอบง้ั ไมไ๎ ผมํ สี องสายและปรับตั้งเสยี งของสายซอใหม๎ รี ะดบั

เสียงเดียวกันแตมํ ีหน๎าทีท่ ่ีแตกตาํ งกนั โดยสายทหี่ น่ึงหรอื สายเอกทําหน๎าที่เปน็ “สายบรรเลงทาํ นอง” สวํ น

สายที่สองหรอื สายรองทําหนา๎ ท่ีเป็น “สายเสยี งประสานยืน” (Drone) และรปู แบบทว่ั ไปคอื จะใช๎สายหลัก
สองสายปรบั ตงั้ เสยี งใหม๎ รี ะดับที่แตกตาํ งกนั โดยให๎มีระดับเสียงหํางกนั เป็นคสูํ ี่ (4th Perfect) ซึง่ ใน

การศึกษาระบบเสียงของซอบัง้ ไม๎ไผคํ รงั้ น้ีพบระบบเสียงทแ่ี ตกตํางกัน ๓ ระบบ คอื ระบบสองสายเสยี ง

เทาํ กนั ระบบสองสายเสยี งไมํเทํากนั และระบบสามสาย

บทเพลงท่ีพบได๎แกํ ลายฟูอนเก้ยี วหางนกยูง ลายลํองของ ลายลาํ ให๎พร ดา๎ นบทบาทหน๎าท่ใี น

สังคมและวฒั นธรรมของซอบ้งั ไม๎ไผขํ องชาวภูไทนั้นในอดตี จําแนกได๎เป็นสองบทบาท คอื บทบาทของซอบงั้

ในบรบิ ทเฉพาะกลมุํ บคุ คล และบทบาทของซอบ้ังในบริบทเชงิ พธิ ีกรรม

แนวทางการสงํ เสรมิ ซอบ้งั ชาวผู๎ไท จงั หวัดกาฬสินธุ๑ คือ ๑. สํงเสริมให๎มกี ารบรรเลงซอบงั้ ไม๎ไผชํ าว

ผู๎ไททุกรปู แบบท่คี วรจัดใหม๎ ไี ด๎ ๒. สงํ เสรมิ ให๎คนในชุมชนไดเ๎ รียนรแ๎ู ละตระหนักถงึ ความสําคัญของซอบ้ัง ให๎

ผูช๎ มได๎รับความร๎คู วามเข๎าใจในการชมและฟง๓ การบรรเลงดนตรขี องชาวผ๎ูไท ๓. สงํ เสริมให๎มกี าร

ประชาสมั พันธ๑เผยแพรวํ ฒั นธรรมดนตรีผูไ๎ ทให๎แพรํหลายท้ังในประเทศและตํางประเทศ ๔. สงํ เสรมิ ใหม๎ กี าร

ผลิตเครือ่ งดนตรีให๎มากและหลากหลายขนาดตามความเหมาะสมของผู๎บรรเลง

แนวทางการอนุรักษซ๑ อบงั้ ชาวผไ๎ู ท จงั หวัดกาฬสนิ ธุ๑ คอื ๑. จัดศูนยแ๑ สดงเครื่องดนตรีเพอ่ื อนุรักษ๑

และใหค๎ วามร๎แู กํบคุ คลทวั่ ไปในรูปแบบพพิ ธิ ภัณฑ๑และกจิ กรรมสงํ เสริมคณุ คาํ ทางเอกลักษณ๑ ๒. อนุรักษ๑

ผลงานของปราชญ๑ศลิ ปนิ ชาวบ๎าน บทเพลงผไ๎ู ท และอนรุ ักษก๑ ารละเลนํ ตํางๆ ทีใ่ ชด๎ นตรีประกอบ ๓.

ปลูกฝ๓งคํานยิ มทดี่ ใี ห๎แกํกลมํุ เยาวชน ถํายทอดองค๑ความรู๎สเูํ ยาวชนรนุํ ใหมํสรา๎ งสายสมั พนั ธ๑อันดรี ะหวาํ งครูกับศษิ ย๑

แนวทางการพฒั นาซอบง้ั ชาวผ๎ูไท จงั หวดั กาฬสินธุ๑ คือ ๑. ปรับปรุงรปู แบบการบรรเลงให๎

ทันสมยั และผสมผสานวัฒนธรรมดัง้ เดิมกบั วฒั นธรรมเพลงสมยั ใหมํ ๒. การประยกุ ต๑ใชอ๎ ุปกรณส๑ มยั ใหมํ

๓. พัฒนาเคร่อื งดนตรใี ห๎เป็นผลิตภณั ฑเ๑ ชงิ พาณชิ ย๑ ๔. ใชอ๎ ุปกรณ๑ทนั สมัยชํวยในการเรียนการฝกึ



Abstract

“Saw Mai Phai or Saw Bang”, Isan bamboo fiddle,is a type of Isan music instrument
made from Bamboo wood. The instrument has specific characteristics both in terms of
production and play which are different from local fiddles in other parts of Thailand. In the
current situation, the Isan Bamboo fiddle is in the critical period because artists who still
produce and play the instrument are hardly found. The purposes of the current study were
to investigate 1) knowledge of Isan Bamboo fiddles of Phu Thai, a race in Northeastern
Thailand, in Kalasin Province, Thailand in terms of sound system, songs, and role in society
and culture and 2) promoting model to conserve and develop the Isan bamboo fiddles of
Phu Thai people in the area. The data were collected by document analysis, observation, in-
depth interview, and focus group discussion in October 2014.

The results of the study showed that in investigation of Phu Thais’ bamboo fiddle
knowledge, two physical characteristics were found. The first type was the bamboo fiddles
put holes in the back and the second type was the instruments put hole in the front. It was
also found that there were three sitting positions of play including traditional setting position
placing the instrument on the legs of artists, setting position placing the instrument between
the feet of the artists, and the standing position. In terms of playing method, two main
methods were found including the ancient play having two stringstuned to have the similar
sound with different functions. The first string functioned as melodic player, and the second
string functioned as the main chorus (Drone). Another playing method was found in general
playing style. The artists tuned two string in different levels of 4th perfect. Three different
styles of tuning were also found which were same level tuning, different level tuning, and
three string instruments.

In terms of songs used in the plays of the Isan fiddle, “FonKeaw Hang Nook Yoong”
(Peacock tail), “Long Khong” (Flowing Mekong River), and “Lum Hai Bhorn” (Blessing dance)
were found.

In terms of social and cultural roles, it was found that the instrument played 2
different roles including role on individuals and role inceremony.

In case of promoting model, Kalasin province proposed ๔ main principles to promote
Isan bamboo fiddle including 1) promoting playing of Bamboo Saw to Phuthai people by
every method possible, 2) implementing the importance of the instrument and contributing
of Isan bamboo fiddle knowledge to the people in the area, 3) promoting Phu Thai culture
which included the plays of Isan Bamboo fiddles in both domestic and international levels,
and 4) contributing the producing of the instrument having various characteristics according
to the needs of artists.

In terms of the model to conserve Isan Bamboo fiddles, Kalasin province proposed
three main methods which were 1) establishing of Isan music museum to conserve and



educate people the knowledge of the instrument, 2) preserving of the local philosophers’
products: Songs and playing methods, and 3) implanting social values to conserve tradition
of playing the instrument to youths and transfer the knowledge of Isan bamboo fiddles to
the next generation of teachers and pupils.

Finally, three developing methods were found including 1) improving playing styles
to fit the needs of modern markets and the combination of traditional cultures and modern
music cultures, 2) integrating of modern instruments, 3) commercial developing of the
instruments, and 4) using of modern instruments in training of the instrument.



กติ ติกรรมประกาศ

งานวิจยั ฉบบั น้ีสาํ เรจ็ ไดด๎ ว๎ ยความอนุเคราะหอ๑ ยาํ งดยี ่งิ จากรองศาสตราจารย๑ ดร.มานพ วิสทุ ธแิ พทย๑
รองศาสตราจารย๑ ดร.ณรงคช๑ ัย ปิฎกรชั ต๑ และผช๎ู วํ ยศาสตราจารย๑ ดร.เจริญชยั ชนไพโรจน๑ ทีใ่ ห๎
คําปรกึ ษาในการทําวิจัยครัง้ น้ี

ขอขอบคุณพระครูเมตตาคณุ าภรณ๑ เจ๎าคณะอําเภอกุฉินารายณ๑ ดร.พระครูศรีธรรมโกศล
รองเจา๎ คณะอําเภอกฉุ นิ ารายณ๑ นายไสว ภผู าศรี นายสที ัด อุทโท นายบุญเลิศ ภวู เิ ลิศ นายบญุ เลก
พันพู นายหมวน โฆษิต รวมทง้ั ผูท๎ ี่เข๎ารํวมประชุมกลมุํ ให๎ข๎อมูลและให๎ความชํวยเหลือในการเกบ็ รวบรวม
ขอ๎ มลู ทกุ ทํานที่สละเวลาตลอดจนให๎ความรํวมมอื ในการติดตํอประสานงานและการตอ๎ นรบั อยํางดยี ง่ิ

ขอขอบคุณกรมสงํ เสรมิ วฒั นธรรม กระทรวงวฒั นธรรม ที่ได๎ใหก๎ ารสนับสนนุ งบประมาณในการ
ทาํ งานวจิ ัยฉบับนี้

คณุ คําและประโยชนจ๑ ากงานวิจยั ฉบบั น้ี ผู๎วิจัยขอมอบเปน็ เครื่องบชู าปราชญศ๑ ลิ ปนิ ภูมิป๓ญญาท๎องถ่ิน
ทกุ ทํานที่สรรคส๑ รา๎ งและสบื ทอดมรดกทางภมู ปิ ญ๓ ญาให๎ตกทอดแกลํ กู หลาน และผ๎ูวิจยั หวงั เป็นอยํางยง่ิ วํา
งานวจิ ยั ฉบบั นจ้ี ะเป็นประโยชนต๑ ํอการสบื ทอดศิลปะการดนตรปี ระจาํ ถน่ิ อสี านแขนงน้สี บื ตอํ ไป

พทิ ยวัฒน๑ พันธะศรี
กรกฎาคม ๒๕๕๙



สารบัญ หน๎า

บทคัดยอํ ภาษาไทย.............................................................................................................................. ค
บทคดั ยอํ ภาษาองั กฤษ......................................................................................................................... จ
กติ ติกรรมประกาศ............................................................................................................................... ฉฉ
สารบัญ............................................................................................................................................... . ซ
สารบัญภาพ......................................................................................................................................... ฏ
สารบัญตาราง......................................................................................................................................

บทท่ี ๑ บทนา............................................................................................................................ ๑
หลักการและความเปน็ มา...................................................................................................... ๑
วตั ถุประสงคข๑ องการวจิ ัย..................................................................................................... ๓
คําถามหลักในการวจิ ัย......................................................................................................... ๔
ประโยชน๑ที่คาดวาํ จะไดร๎ บั ................................................................................................... ๔
นิยามศพั ท.๑ ........................................................................................................................... ๔
กรอบแนวคิดการวจิ ยั ........................................................................................................... ๔

บทที่ ๒ เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง ..................................................................................... ๖
เอกสารท่ีเก่ยี วข๎องกับดนตรีพ้ืนบา๎ นอีสาน............................................................................ ๖
เอกสารทีเ่ ก่ยี วกบั การละเลนํ พ้ืนบา๎ นอีสาน………………………………………………………………….. ๑๑
เอกสารท่เี กี่ยวขอ๎ งกบั ผ๎ูไท…………………………………………….……………………………………………. ๑๒
บริบทพ้นื ที่…………………………………………………………………………..………………………………….. ๑๗
ทฤษฏที ใ่ี ชใ๎ นการวิจยั ……………………………………………………………………..…………………………. ๒๐
งานวิจัยท่เี ก่ียวข๎อง……………………………………………………………………………………………………. ๒๒

บทที่ ๓ วิธีดาเนนิ การศึกษา ....................................................................................................... ๓๒
พืน้ ทท่ี ีท่ าํ การศึกษาวิจยั ……………………………………………………….…………….…………………….. ๓๒
ประชากรและกลมุํ ตัวอยาํ ง………………………………….……………………….……….………………….. ๓๒
เครือ่ งมอื ทใี่ ชใ๎ นการวจิ ัย……………………………………………………………….…………………………… ๓๓
วธิ กี ารเกบ็ รวบรวมข๎อมลู ………………………………………………………….……………………………….. ๓๓
การจดั กระทําและวเิ คราะห๑ข๎อมูล…………………………………………………………….………………… ๓๔
การนาํ เสนอผลการวิเคราะหข๑ ๎อมลู …………………………………………….…………….…………………. ๓๕

บทท่ี ๔ ผลการศกึ ษาขอ้ มูล…………………………………………………..……………..……………………………… ๓๖
องค์ความรู้ของซอบัง้ ชาวผ้ไู ท จงั หวัดกาฬสินธุ์.......…………….…………………………………… ๓๖
ลักษณะทางกายภาพ............................................................................................... ๓๖
ลักษณะการบรรเลง................................................................................................. ๖๙
วธิ ีการบรรเลง....................................................................................................... ๗๒



สารบัญ (ตอ่ )

ระบบเสียง............................................................................................................. ๗๕
บทเพลง.................................................................................................................
บทบาทหนา๎ ท่ใี นสังคมและวฒั นธรรม.................................................................... ๘๓
แนวทางการส่งเสรมิ อนุรกั ษ์ และพัฒนา ซอบง้ั ชาวผ้ไู ท จังหวัดกาฬสินธ์ุ............... ๘๘
แนวทางการสงํ เสริมซอบง้ั ชาวผไ๎ู ท จงั หวดั กาฬสนิ ธ๑ุ............................................. ๙๕
แนวทางอนรุ กั ษซ๑ อบง้ั ชาวผู๎ไท จงั หวดั กาฬสนิ ธ๑ุ.................................................... ๙๕
แนวทางการพฒั นาซอบ้งั ชาวผ๎ูไท จังหวดั กาฬสนิ ธุ๑............................................... ๑๐๑
๑๑๒

บทท่ี ๕ สรปุ ผลการวจิ ยั อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ............................................................... ๑๒๐
สรปุ ผลการวิจยั .................................................................................................................. ๑๒๐
อภปิ รายผล........................................................................................................................ ๑๓๐
ข๎อเสนอแนะในการนาํ ผลการวจิ ัยไปใช๎............................................................................... ๑๓๔
ขอ๎ เสนอแนะในการทาํ วจิ ัยครง้ั ตํอไป................................................................................... ๑๓๕

บรรณานุกรม....................................................................................................................................... ๑๓๖

ภาคผนวก..................................................................................................................................... ๑๔๐

ประวัติผวู้ ิจยั ....................................................................................................................................... ๑๔๓



สารบัญภาพ

ภาพท่ี หน๎า
๑.๑ กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั .............................................................................................. ๕
๒.๑ แผนทจี่ งั หวดั กาฬสินธุ๑................................................................................................. ๑๗
๒.๒ แผนที่แสดงอาํ เภอกุฉนิ ารายณ๑ อาํ เภอเขาวง อําเภอนาคู อาํ เภอสหัสขนั ธ๑ และ

อาํ เภอคํามํวง............................................................................................................... ๑๙
๔.๑ นายสีทัด อทุ โท.......................................................................................................... ๓๗
๔.๒ บตั รประชาชนนายสีทดั อทุ โท................................................................................... ๓๗
๔.๓ บ๎านพกั อาศยั ของนายสีทดั อุทโท.............................................................................. ๓๗
๔.๔ ประตทู างเขา๎ หมบูํ ๎านหนองห๎าง................................................................................... ๓๘
๔.๕ ลกั ษณะทางกายภาพของซอบงั้ ไม๎ไผํ............................................................................ ๓๙
๔.๖ สวํ นหวั ซอ.................................................................................................................... ๓๙
๔.๗ ด๎านในกระบอกไมไ๎ ผํสํวนหัวซอบ้ังไม๎ไผํ....................................................................... ๔๐
๔.๘ การเจาะรลู ูกบดิ ใหม๎ ีลักษณะการไขว๎กัน...................................................................... ๔๐
๔.๙ ลูกบิดสายซอบัง้ ไมไ๎ ผํ................................................................................................... ๔๑
๔.๑๐ สายซอบัง้ ไม๎ไผํ............................................................................................................. ๔๒
๔.๑๑ รดั อกสายซอ................................................................................................................ ๔๒
๔.๑๒ หยอํ งสายซอ................................................................................................................ ๔๓
๔.๑๓ ชอํ งขยายเสียงซอบั้งไมไ๎ ผํ............................................................................................ ๔๓
๔.๑๔ ความกวา๎ งของชํองขยายเสยี งซอบ้งั ไมไ๎ ผํ.................................................................... ๔๔
๔.๑๕ สวํ นลํางซอบ้ังไม๎ไผํ...................................................................................................... ๔๔
๔.๑๖ คนั สีซอบัง้ ไมไ๎ ผํ............................................................................................................ ๔๕
๔.๑๗ การผูกสายเอ็นด๎านมือจับคนั สี.................................................................................... ๔๕
๔.๑๘ การผูกสายเอน็ ดา๎ ยปลายคนั สี..................................................................................... ๔๖
๔.๑๙ ยางไม๎ตน๎ ซาดใชถ๎ ูกบั คันสีซอบัง้ ไมไ๎ ผํของนายสีทดั อุทโท.......................................... ๔๖
๔.๒๐ บัตรประชาชนนายไสว ภผู าศรี.................................................................................. ๔๗
๔.๒๑ นายไสว ภผู าศรี......................................................................................................... ๔๗
๔.๒๒ บา๎ นพักนายไสว ภูผาศรี............................................................................................. ๔๘
๔.๒๓ ลักษณะทางกายภาพของซอบง้ั ไม๎ไผํของนายไสว ภผู าศรี.......................................... ๔๙
๔.๒๔ สํวนหัวซอของนายไสว ภผู าศรี................................................................................... ๕๐
๔.๒๕ ดา๎ นในกระบอกไมไ๎ ผํสวํ นหวั ซอบ้งั ไมไ๎ ผขํ องนายไสว ภูผาศรี...................................... ๕๐
๔.๒๖ การใสํลกู บดิ ซอบงั้ ไม๎ไผํของนายไสว ภูผาศรี.............................................................. ๕๑

๔.๒๗ ลกู บิดซอบง้ั ไม๎ไผํของนายไสว ภผู าศรี........................................................................ ๕๑

๔.๒๘ สายลวดเบรกรถจักรยานนาํ มาทําสายซอไม๎ไผขํ องนายไสว ภผู าศรี........................... ๕๒

๔.๒๙ สายซอบ้ังไมไ๎ ผํของนายไสว ภผู าศรี........................................................................... ๕๒

๔.๓๐ การผูกรัดอกซอบั้งไมไ๎ ผํของนายไสว ภูผาศรี.............................................................. ๕๓



สารบัญภาพ (ต่อ)

ภาพท่ี หน๎า
๔.๓๑ รดั อกสายซอบงั้ ไม๎ไผํของนายไสว ภูผาศรี............................................................................. ๕๓
๔.๓๒ หยอํ งสายซอบง้ั ไม๎ไผขํ องนายไสว ภผู าศรี............................................................................. ๕๔
๔.๓๓ ชํองขยายเสียงซอบง้ั ไมไ๎ ผํนายไสว ภูผาศรี............................................................................ ๕๕
๔.๓๔ ขนาดชํองขยายเสยี งซอบ้ังไม๎ไผํของนายไสว ภูผาศรี............................................................ ๕๕
๔.๓๕ สํวนลาํ งซอบ้งั ไม๎ไผขํ องนายไสว ภูผาศรี................................................................................ ๕๖
๔.๓๖ คนั สซี อบ้ังไม๎ไผํของนายไสว ภผู าศรี..................................................................................... ๕๖
๔.๓๗ การผกู สายเอ็นด๎านมือจับคนั สีซอบ้ังไม๎ไผํของนายไสว ภูผาศรี............................................. ๕๗
๔.๓๘ การผกู สายเอน็ ดา๎ ยปลายคันสซี อบัง้ ไมไ๎ ผํของนายไสว ภูผาศรี.............................................. ๕๗
๔.๓๙ ยางไม๎ตน๎ ซาดใช๎ถูกับคนั สีซอบง้ั ไมไ๎ ผํของนายไสว ภผู าศรี.................................................... ๕๘
๔.๔๐ บตั รประชาชนนายบุญเลข พันพู........................................................................................... ๕๘
๔.๔๑ นายบุญเลข พันพู.................................................................................................................. ๕๙
๔.๔๒ นายบุญเลศิ ภวู เิ ลิศ................................................................................................................ ๕๙
๔.๔๓ ลกั ษณะทางกายภาพของซอบัง้ ไมไ๎ ผํของนายบญุ เลข พันพู.......................................................... ๖๐
๔.๔๔ สวํ นหวั ซอของนายบญุ เลข พันพู........................................................................................................ ๖๑
๔.๔๕ ด๎านในกระบอกไมไ๎ ผํสวํ นหวั ซอบง้ั ไมไ๎ ผํของนายบญุ เลข พันพู.............................................. ๖๑
๔.๔๖ การใสํลกู บิดซอบ้ังไมไ๎ ผขํ องนายบญุ เลข พนั พู...................................................................... ๖๒
๔.๔๗ ลูกบดิ ซอบง้ั ไมไ๎ ผขํ องนายบญุ เลข พันพู................................................................................. ๖๒
๔.๔๘ สายลวดนํามาทําสายซอไมไ๎ ผขํ องนายบญุ เลข พันพู............................................................. ๖๓
๔.๔๙ สายซอบ้ังไมไ๎ ผํของนายบญุ เลข พันพู.................................................................................... ๖๓
๔.๕๐ การผูกรดั อกซอบัง้ ไมไ๎ ผํของนายบญุ เลข พันพู...................................................................... ๖๔
๔.๕๑ รัดอกสายซอบัง้ ไม๎ไผํของนายบุญเลข พันพู.......................................................................... ๖๔
๔.๕๒ หยอํ งสายซอบง้ั ไมไ๎ ผขํ องนายบุญเลข พันพู........................................................................... ๖๕
๔.๕๓ ชอํ งขยายเสยี งซอบง้ั ไม๎ไผํนายบญุ เลข พันพู.......................................................................... ๖๖
๔.๕๔ ขนาดชอํ งขยายเสยี งซอบั้งไม๎ไผํของนายบุญเลข พนั พู.......................................................... ๖๗
๔.๕๕ สํวนลาํ งซอบัง้ ไม๎ไผขํ องนายบุญเลข พันพู............................................................................. ๖๗
๔.๕๖ คนั สีซอบ้ังไมไ๎ ผํของนายบญุ เลข พันพู................................................................................... ๖๘
๔.๕๗ การผกู ด๎ายสายเบ็ดด๎านมอื จบั คนั สีซอบงั้ ไมไ๎ ผํของนายบุญเลข พนั พู.................................... ๖๘
๔.๕๘ การผูกดา๎ ยสายเบ็ดปลายคนั สีซอบ้งั ไมไ๎ ผํของนายบญุ เลข พันพู........................................... ๖๘

๔.๕๙ ยางไม๎ต๎นซาดใช๎ถกู บั คนั สีซอบัง้ ไมไ๎ ผํของนายบุญเลข พนั พู.................................................. ๖๙
๔.๖๐ ลักษณะการนง่ั บรรเลงแบบธรรมดา....................................................................................... ๗๐
๔.๖๑ ลกั ษณะการใช๎มือซ๎ายจบั ตัวซอ.............................................................................................. ๗๐
๔.๖๒ ลักษณะการใชม๎ อื ขวาจบั คันชกั .............................................................................................. ๗๐
๔.๖๓ ลกั ษณะการน่งั บรรเลงแบบใชเ๎ ท๎าประกบตัวซอ..................................................................... ๗๑
๔.๖๔ ลกั ษณะการใช๎เท๎าประกบตวั ซอ............................................................................................. ๗๑



สารบญั ภาพ (ตอ่ )

ภาพที่ หน๎า
๔.๖๕ ลกั ษณะทาํ ทางการยืนบรรเลง............................................................................................. ๗๒
๔.๖๖ สายบรรเลงทํานองและสายเสยี งประสานยืน (Drone)...................................................... ๗๓
๔.๖๗ ลักษณะการลากหางม๎าใหส๎ สี มั ผัสกับสายซอบ้ังไม๎ไผทํ ้งั สองสาย.......................................... ๗๔
๔.๖๘ การตั้งระดับเสียงระบบสามสายของนายสีทัด อทุ โท.......................................................... ๗๕
๔.๖๙ การตง้ั ระดับเสยี งระบบสองสายเสยี งเดยี วกนั ของนายสีทัด อทุ โท..................................... ๗๖
๔.๗๐ การตงั้ ระดับเสียงระบบสองสายเสียงเดยี วกันของนายไสว ภูผาศรี..................................... ๗๘
๔.๗๑ การตั้งระดับเสยี งระบบสามสายของนายสีทดั อุทโท.......................................................... ๘๑
๔.๗๒ โนต๎ เพลงลายลําเพลิน.......................................................................................................... ๘๓
๔.๗๓ โนต๎ เพลงลายฟูอนเกี้ยวหางนกยูง........................................................................................ ๘๔
๔.๗๔ โนต๎ เพลงลายลอํ งของ.......................................................................................................... ๘๔
๔.๗๕ โน๎ตเพลงลายลาํ ใหพ๎ ร.......................................................................................................... ๘๕
๔.๗๖ โน๎ตเพลงลายเดนิ ดง............................................................................................................. ๘๖

๔.๗๗ โนต๎ เพลงลายผไ๎ู ท นายสีทดั อทุ โท.................................................................................... ๘๗
๔.๗๘ โน๎ตเพลงลายเกี้ยวสาว.......................................................................................................... ๘๗
๔.๗๙ โนต๎ เพลงลายผไ๎ู ท นายไสว ภูผาศรี................................................................................... ๘๘
๔.๘๐ การบรรเลงซอบงั้ ไม๎ไผรํ วํ มกบั เครอ่ื งดนตรผี ไู๎ ท ในงานประชมุ กลุมํ ท่วี ัดสมิ นาโก

ตาํ บลนาโก อําเภอกุฉนิ ารายณ๑ จังหวดั กาฬสนิ ธ๑ุ วันที่ ๒๘ กมุ ภาพันธ๑ ๒๕๕๙............ ๙๖
๔.๘๑ การบรรเลงซอบง้ั ไม๎ไผํรวํ มกับเครอ่ื งดนตรผี ไ๎ู ท ในงานบญุ บายศรสี ูํขวญั ข๎าวคณู ลานสบื

ตํานานพระแมโํ พสพเฉลมิ พระเกียรตพิ ระบาทสมเดจ็ พระเจ๎าอยํหู ัวฯ ณ วัดเศวตวนั วนา
ราม หมทูํ ี่ ๑ ตําบลเหนือ อําเภอเมอื ง จงั หวัดกาฬสนิ ธ๑ุ ในวันที่ ๕ – ๘ กุมภาพันธ๑
๒๕๕๙................................................................................................................................... ๙๖
๔.๘๒ ภาพหมูํผ๎ูที่มารวํ มประชมุ กลํมุ ทว่ี ัดสมิ นาโก ตาํ บลนาโก อาํ เภอกุฉินารายณ๑
จังหวัดกาฬสนิ ธ๑ุ.................................................................................................................... ๙๗
๔.๘๓ การบรรเลงซอบั้งรวํ มกับเคร่อื งดนตรีผไู๎ ทประกอบการฟอู นรํา ของกลุํมแมํบ๎าน
บา๎ นนาโก ตาํ บลนาโก อําเภอกฉุ ินารายณ๑ จังหวัดกาฬสินธ๑ุ............................................. ๙๘
๔.๘๔ การฟูอนราํ ประกอบการบรรเลงดนตรผี ไ๎ู ท ของกลุมํ แมํบา๎ นบ๎านนาโก
ตาํ บลนาโก อาํ เภอกฉุ ินารายณ๑ จงั หวัดกาฬสนิ ธุ๑............................................................... ๙๘
๔.๘๕ ภาพหนา๎ เว็บไซดอ๑ ําเภอกุฉินารายณ๑ จังหวัดกาฬสินธุ๑......................................................... ๙๙
๔.๘๖ เว็บไซด๑ยูทบู ท่ีมีการนําเอาซอบง้ั ไมไ๎ ผํลงเผยแพรํ.................................................................. ๙๙
๔.๘๗ การเรยี นรู๎เครื่องดนตรีพ้นื บา๎ นชาวผู๎ไทของชาวบา๎ นนาโก ทว่ี ดั สิมนาโก บ๎านนาโก
ตาํ บลนาโก อําเภอกุฉนิ ารายณ๑ จังหวัดกาฬสนิ ธุ๑................................................................ ๑๐๐
๔.๘๘ พิพิธภณั ฑท๑ อ๎ งถน่ิ ผไู๎ ทวัดสิมนาโก อาํ เภอกุฉนิ ารายณ๑ จังหวัดกาฬสนิ ธุ๑............................. ๑๐๒
๔.๘๙ สวํ นจดั แสดงภายในพิพธิ ภณั ฑ๑ทอ๎ งถนิ่ ผ๎ไู ทวัดสมิ นาโก อําเภอกุฉนิ ารายณ๑
จงั หวดั กาฬสนิ ธ๑ุ.................................................................................................................... ๑๐๒



สารบญั ภาพ (ตอ่ )

ภาพที่ หนา๎
๔.๙๐ นายสที ดั อทุ โท ถวายซอบั้งไม๎ไผแํ กํดร.พระครูศรีธรรมโกศล
รองเจ๎าคณะอําเภอกฉุ ินารายณ๑............................................................................................ ๑๐๒
๔.๙๑ นายไสว ภูผาศรถี วายซอบงั้ ไม๎ไผแํ กํดร.พระครศู รีธรรมโกศล
รองเจา๎ คณะอําเภอกุฉินารายณ๑............................................................................................ ๑๐๓
๔.๙๒ นายบุญเลศิ ภวู เิ ลิศ ถวายซอบ้ังไมไ๎ ผแํ กํดร.พระครูศรีธรรมโกศล
รองเจ๎าคณะอําเภอกฉุ นิ ารายณ๑............................................................................................. ๑๐๓
๔.๙๓ การแสดงการฟูอนผไ๎ู ทของกลมุํ แมบํ ๎านบา๎ นนาโก ทว่ี ดั สิมนาโก บ๎านนาโก
ตําบลนาโก อําเภอกฉุ ินารายณ๑ จงั หวดั กาฬสินธุ๑ วนั ที่ ๒๘ กมุ ภาพนั ธ๑ ๒๕๕๙............. ๑๐๔
๔.๙๔ การแสดงขับลําผู๎ไทของกลมํุ แมํบ๎านบา๎ นนาโก ทีว่ ัดสมิ นาโก บ๎านนาโก ตําบลนาโก
อาํ เภอกุฉินารายณ๑ จงั หวัดกาฬสนิ ธุ๑ วนั ที่ ๒๘ กุมภาพนั ธ๑ ๒๕๕๙................................. ๑๐๔
๔.๙๕ ตวั อยํางแผนํ บนั ทึกเสยี งเพลงพน้ื บา๎ นอีสาน เซิง้ ผ๎ไู ท........................................................... ๑๐๕
๔.๙๖ นายสีทัด อทุ โท.................................................................................................................... ๑๐๖
๔.๙๗ นายพฒุ ิศักดิ์ ดลุ ชาติ............................................................................................................ ๑๐๖
๔.๙๘ นายนริ มติ คาํ มั่น.................................................................................................................................. ๑๐๗
๔.๙๙ นายสรุ ชัย โคตรพัฒน๑.......................................................................................................................... ๑๐๗
๔.๑๐๐ นายวษิ ณุ อุทโท.................................................................................................................................... ๑๐๘
๔.๑๐๑ นายวุฒชิ ัย สุระเสยี ง............................................................................................................ ๑๐๘
๔.๑๐๒ การบรรเลงดนตรีผู๎ไทบา๎ นหนองหา๎ ง งานบญุ เดอื นสามจังหวัดกาฬสินธุ๑............................. ๑๐๙
๔.๑๐๓ เยาวชนท่สี นใจการบรรเลงซอบ้งั ไม๎ไผํ................................................................................... ๑๐๙
๔.๑๐๔ หอพิพธิ ภณั ฑ๑ท๎องถิ่นผูไ๎ ท วัดสิมนาโก อําเภอกุฉนิ ารายณ๑ จงั หวัดกาฬสนิ ธ๑ุ...................... ๑๑๑
๔.๑๐๕ โปงลาง และกลองตุม๎ ในหอพิพิธภัณฑท๑ อ๎ งถ่ินผไ๎ู ท วดั สมิ นาโก
อําเภอกฉุ ินารายณ๑ จังหวัดกาฬสินธ๑ุ..................................................................................... ๑๑๑
๔.๑๐๖ กลองยาวและฉาบในหอพิพธิ ภัณฑท๑ ๎องถ่ินผูไ๎ ท วัดสิมนาโก อําเภอกุฉินารายณ๑
จงั หวดั กาฬสินธุ๑..................................................................................................................... ๑๑๑
๔.๑๐๗ ลักษณะการยนื บรรเลงซอบั้งไม๎ไผํ......................................................................................... ๑๑๓
๔.๑๐๘ ไมคโ๑ ครโฟนไรส๎ าย................................................................................................................. ๑๑๔
๔.๑๐๙ ป๊กิ อัพรับสญั ญานเสยี งของกตี ารไ๑ ฟฟาู .................................................................................. ๑๑๔
๔.๑๑๐ ตวั อยํางลักษณะซอไฟฟาู ตดิ ปกิ อพั ใสํในตวั ซอทมี่ ีจําหนํายในปจ๓ จบุ นั ................................... ๑๑๕
๔.๑๑๖ เคร่อื งจกั สานบ๎านหนองห๎าง ตําบลหนองห๎าง อาํ เภอกฉุ ินารายณ๑ จังหวดั กาฬสินธ๑ุ.............. ๑๑๖
๔.๑๑๒ ตวั อยํางแผนํ บนั ทึกภาพและเสียง (VCD) การสอนดดี พิณ.................................................. ๑๑๗
๔.๑๑๓ ตวั อยํางการสอนสซี ออู๎ผาํ นเวบ็ ไซดย๑ ทู ูบ............................................................................... ๑๑๗



สารบัญตาราง

ตารางที่ หน๎า
๔.๑ การวัดระดับเสียงระบบสองสายเสยี งเดยี วกันของนายสีทัด อุทโท....................... ๗๖
๔.๒ เปรียบเทียบระบบเสียงแบํงเทํากับผลการวดั ระดบั เสยี งของซอบง้ั นายสีทดั อุทโท ๗๗
๔.๓ การวัดระดับเสียงระบบสองสายเสยี งเดยี วกนั ของนายไสว ภูผาศรี........................ ๗๘
๔.๔ เปรยี บเทียบระบบเสียงแบงํ เทํากบั ผลการวดั ระดับเสียงของซอบั้งนายไสว ภูผาศรี ๗๘
๔.๕ แสดงผลการวัดเสียงและหาคําเฉลี่ยของสายเปดิ ระบบสองสายเสียงไมํเทํากนั ....... ๗๙
๔.๖ เปรยี บเทียบระบบเสยี งแบงํ เทาํ กับผลการวดั ระดบั เสียงของซอบั้งนายสที ดั อทุ โท ๘๐
๔.๗ แสดงผลการวดั เสยี งและหาคาํ เฉลี่ยของสายเปดิ แบบโบราณ.................................. ๘๑

๔.๘ เปรยี บเทยี บระบบเสียงแบํงเทํากบั ผลการวดั ระดบั เสียงของซอบง้ั นายสที ัด อุทโท ๘๒

บทที่ ๑
บทนา

หลกั การและความเปน็ มา

อสี านเปน็ พน้ื ท่ีท่ีมีความเป็นดนตรีสงู สดุ ในประเทศไทย ความวิจติ รพสิ ดารซับซอ๎ นของทาํ นองเพลง
อีสานเป็นเคร่ืองแสดงออกถงึ ความเจรญิ ของสงั คมในอดีต ความเป็นชาวอสี านมีลกั ษณะเดํนกวําชาวพ้นื เมือง
ใดๆ ก็วําไดใ๎ นดินแดนชาวสยาม ทั้งนกี้ ็เพราะวําอสี านเปน็ แหลํงวฒั นธรรมท่ใี หญโํ ตมากํอนมผี ๎คู นจํานวนมาก
ทํานองเพลงอสี านมีความซับซอ๎ น ดนตรที ่บี รรเลงประกอบมีความวิจิตรพสิ ดารมากกวาํ ภาคใดๆ (สุกรี
เจรญิ สุข. ๒๕๓๘ : ๑๔๕) โดยในจํานวนกลุมํ ชนทีอ่ าศัยในภาคอสี านนี้กลํุมผ๎ูไท หรอื ภไู ท เปน็ กลมุํ ชนหนง่ึ
ทีม่ วี ฒั นธรรมการดนตรที น่ี ําสนใจเป็นอยาํ งยง่ิ ซ่ึงพจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน (๒๕๒๖ : ๕๕๓)
อธบิ ายวาํ ผู๎ไท เปน็ ชนชาตไิ ทยสาขาหนึ่งแถวสบิ สองจุไทย

ถวลิ จนั ลาวงศ๑ (๒๕๑๕ : ๒ - ๑๒) ได๎บรรยายประวัตผิ ๎ูไทยสรปุ ไดว๎ าํ เม่ือราวพทุ ธศกั ราช ๔๐๐ ไทย
ได๎เรมิ่ อพยพลงมาจากดนิ แดนจีนภาคใต๎ บรเิ วณมณฑลฮนุ หนํา กยุ จ๋วิ กวาแงลใสะกวางต๎งุ แยกกันออกเปน็ ๒
พวก ไปต้งั ภูมลิ าํ เนาอยูแํ ถบแมํน้ําสาละวินพวกหนึง่ เรียกกนั วําไทยใหญ(เงํ ีย้ ว) ตงั้ ตวั เป็นอิสระได๎เมือ่
พุทธศักราช ๘๐๐ มรี าชธานีอยทํู ่ีเมืองพง มีอาณาเขตกวา๎ งขวาง อีกพวกหนงึ่ อพยพตํอลงไปทางใตม๎ าอยูํท่ี
หนองแสหรอื นํานเจา๎ ระหวาํ งแมํนาํ้ ดํากบั แมนํ ํ้าแดงเป็นแหลํงที่มีความอุดมสมบูรณ๑ ปกครองกันเปน็ อาณาจกั ร
เรยี กวําอาณาจักรนํานเจ๎าหรอื อาณาจกั รหนองแคสาดวําประมาณพทุ ธศกั ราช ๑๒๕๐ และพวกนีไ้ ดอ๎ พยพแยก
ย๎ายกันออกไปอีกเปน็ ๔ สาย สายท่ี ๑ อพยพไปทางตะวันออก เข๎าอยูปํ ะปนกบั พวกกวางตุง๎ และไหหลาํ ท่ี
อพยพมาจากเสฉวน สายที่ ๒ อพยพไปตั้งถ่ินฐานตามลําแมนํ ํา้ แดงและเลยไปสมทบกับสายท่ี ๑ กม็ ี สาย
ที่ ๓ อพยพไปทางตะวันออกเฉยี งใต๎ถงึ เมอื งแสนหวี ตองอู หงษาวดี วกขึน้ ไปทางเมอื งยะไขํ จิตตะกอง
ของพมํา แถบแมํนาํ้ สาละวิน แมนํ ํ้าอริ วดี และมกี ลุํมยอํ ยอพยพไปทางมณฑลอัสสมั ของอินเดีย ตง้ั ถิ่น
ฐานอยํแู ถบแมํน้ําพรหมบตุ รเรยี กวํา ไทอาหม พวกทอ่ี ยํูข๎างเมอื งแสนหวไี ดอ๎ พยพตอํ มาอยํูที่เมอื งพงและวก
ลงมาอยํทู ่ีเชยี งใหมบํ า๎ ง ลําพูนบา๎ งตามแตหํ วั หนา๎ จะพามา สายที่ ๔ อพยพมาทางใตบ๎ ริเวณที่ลุมํ แมํนา้ํ โขง
มาต้งั อยูํทเ่ี มืองเสยี มมัว (ไทยประชมุ ) ระยะหน่งึ แลว๎ อพยพแยกยา๎ ยกนั ตอํ ไปอีกเปน็ ๒ สาย ดงั นี้
สายหนง่ึ ตรงลงมาทางใต๎ มาตั้งอยทํู ี่เมืองเชียงร๎ุง ตํอมาไดอ๎ พยพเคลือ่ นย๎ายไปยังเขมรัฐ นครเงิน
ยาง พะเยา นครเขลาง สโุ ขทัย พระบาง (นครสวรรค๑) และพวกท่ลี งมายงั เมอื งพระบางนตี้ อํ มากแ็ ยกย๎าย
เปน็ กลมุํ ยํอยๆ กระจายกันไปอยูํในเมืองตาํ งๆ ในภาคกลางและภาคใต๎ของประเทศไทย
อกี สายหน่งึ ตรงลงมาทางตะวนั ออกเฉียงใต๎ไปตั้งเมืองแถง (เดยี นเบยี นฟขู องเวียดนามในปจ๓ จุบนั )
พวกนีก้ ระจายกนั ออกเป็นกลมุํ ยํอยหลายกลํุม ตั้งมัน่ อยํูท่ีเดมิ ก็มี อพยพตํอไปกม็ ี กลุํมหนึง่ อพยพไปอยแูํ ถบ
เมอื งสอง ทุํงเชยี งคํา (ทางตะวนั ออกของเมืองหลวงพระบางของลาวในป๓จจุบนั ) และกลุมํ นเ้ี องตอํ มากไ็ ด๎
อพยพมาอยํใู นภาคอสี านของประเทศไทยแถบจงั หวัดอดุ รธานี หนองคาย ขอนแกนํ ร๎อยเอด็ กาฬสินธุ๑
มหาสารคามและทอ่ี นื่ ๆ

สอดคลอ๎ งกับเกรยี งไกร หวั บญุ ศาล (๒๕๕๔ : เวบ็ ไซด๑) ทไ่ี ด๎กลําวถึงการอพยพเข๎าสูปํ ระเทศไทย
ของคนเผําผไ๎ู ทได๎มผี ูแ๎ บงํ การอพยพออกเปน็ ๓ คร้ังใหญํๆ คือ

การอพยพคร้ังที่ ๑ การอพยพของคนเผาํ ผไ๎ู ทเข๎าสปู ระเทศไทย (สยาม) สมยั สมเด็จพระเจา๎ ตาก
สนิ แหํงกรงุ ธนบรุ ี ตรงกบั ประวัตศิ าสตรข๑ องไทย (สยาม) ในระหวําง พ.ศ. ๒๓๒๑ - พ.ศ.๒๓๒๒ สมเดจ็
พระเจา๎ ตากสนิ มหาราชแหงํ กรุงธนบุรี ทรงมรี บั ส่ังให๎คนผไ๎ู ทดําทอี่ พยพเขา๎ มากลมํุ นไ้ี ปตงั้ บ๎านเรือนอยํูทเ่ี มอื ง



เพชรบรุ ี แตํไทย(สยาม) เรียกคนผไ๎ู ทดําวํา “ลาวทรงดํา” เพราะคดิ วาํ เปน็ คนลาว เนือ่ งจากอาศัยอยํใู น
ประเทศลาว

การอพยพครงั้ ที่ ๒ การอพยพของคนเผําผไู๎ ทเข๎าสปู ระเทศไทย(สยาม)สมยั รัชกาลที่ ๑ แหํงกรุง
รตั นโกสินทร๑ โดยหลงั จากเมือหลวงพระบางถกู กองทพั เมอื งเวยี งจนั ทรต๑ ีแตกแลว๎ น้นั เมอื งแถนและเมืองพวน
ซึง่ เคยอยภูํ ายใตอ๎ ํานาจของเมอื งหลวงพระบาง ได๎พากนั แข็งขอ๎ ไมยํ อมขน้ึ ตรงตอํ เมืองเวียงจนั ทร๑ กองทัพเวียง
จนั ทร๑จงึ ยกทัพเขา๎ ตีเมืองแถนและเมอื งพวน จนกระท่ังเมืองท้งั สองแตก กองทัพเมืองเวยี งจันทร๑ไดก๎ วาดต๎อน
คนเผาํ ไทยดาํ ลาวพวน เปน็ เชลยสงํ กรุงเทพ สมเด็จพระพทุ ธยอดฟาู จฬุ าโลก รัชกาลท่ี๑ แหํงกรงุ
รตั นโกสนิ ทร๑ ทรงมรี บั สง่ั ให๎นําคนเผําผ๎ูไทดํากลมุํ น้ไี ปอยํทู ่เี พชรบุรเี หมือนคนเผาํ ไทดาํ กลุํมแรกท่ีเขา๎ มาประเทศ
ไทย คนผูไ๎ ทดาํ หรือที่คนไทยเรยี กวําลาวทรงดํา ทง้ั สองครั้งที่อพยพเข๎ามาดว๎ ยการถกู เกณฑ๑เข๎ามาทง้ั สองคร้งั
จึงมารวมตัวกนั อยใูํ นเมอื งเพชรบรุ ีเพยี งแหงํ เดยี ว

การอพยพครงั้ ท่ี ๓ การอพยพของคนเผําผู๎ไทเขา๎ สปู ระเทศไทย(สยาม)สมยั รชั กาลที่๓ แหํงกรงุ
รัตนโกสินทร๑ การอพยพของคนเผาํ ผไ๎ู ทเขา๎ สํูประเทศไทยในครงั้ ท่ี ๓ นี้ นับเป็นการอพยพครั้งใหญทํ สี่ ุด โดย
อพยพเข๎ามาในสมยั สมเดจ็ พระนั่งเกล๎าเจา๎ อยหํู ัว รัชกาลท่ี ๓ แหงํ กรงุ รตั นโกสินทร๑ นอกจากคนผู๎ไทแล๎วยังมี
คนเผําอื่นๆบรเิ วณฝง่๓ ซา๎ ยแมนํ าํ้ โขงอพยพเข๎ามาในฝ่ง๓ ขวาแมํนา้ํ โขงคือภาคอีสาน และมบี างสํวนทถี่ กู สงํ มาสูํ
ภาคกลางของประเทศไทย การอพยพเขา๎ มาสํปู ระเทศไทยของคนเผําภไุ ทครงั้ ที่ใหญํที่สดุ นี้ ยังได๎แบงํ การ
อพยพออกเป็นหลายกลุมํ ดงั นค้ี ือ

กลุํม ๑ เปน็ กลมํุ คนเผาํ ผูไ๎ ทท่อี พยพมาจากจากเมืองวังของประเทศลาว กลมํุ น้ีถูกกวาดต๎อนใหม๎ าต้งั
ถิน่ ฐานอยูตํ ามทตี่ าํ งๆ ในอําเภอคาํ มํวง อาํ เภอสหสั ขันธ๑ จงั หวดั กาฬสินธุ๑

กลุํม ๒ เปน็ กลมํุ คนเผําผู๎ไททอ่ี พยพมาจากเมอื งวังของประเทศลาวเชํนเดียวกนั กบั กลุํมท่ี ๑ โดยได๎
ถูกกวาดต๎อนมาต้ังถนิ่ ฐานอยูทํ ต่ี าํ งๆ อําเภอกฉุ ินารายณ๑ จงั หวัดกาฬสนิ ธ๑ุ

กลมุํ ๓ เปน็ กลุมํ ผูไ๎ ทท่อี พยพมาจากเมอื งวังประเทศลาวเชํนเดียวกัน โดยถกู กวาดต๎อนใหม๎ าตงั้ ถ่นิ
ฐานอยํูในท่ีตาํ งในอําเภอพรรณนานคิ ม อาํ เภอเมอื งสกลนคร อําเภอพังโคน อําเภอบา๎ นมวํ ง อําเภอวานร
นิวาส อําเภอกสุ ุมาลย๑ อําเภอสวาํ งแดนดิน อาํ เภอกุดบาก อําเภอวารชิ ภมู ิ จังหวดั สกลนคร

กลุมํ ๔ กลํมุ คนเผาํ ผ๎ไู ทกลํมุ นีอ้ พยพมาจากเมอื งวงั และเมอื งคําอ๎อ โดยไดไ๎ ปตงั้ ถน่ิ ฐานทีบ่ า๎ นหนอง
สูงและบา๎ นคําชะอี ในป๓จจบุ นั ขน้ึ อยกูํ ับ จงั หวดั มุกดาหาร

ทั้ง ๔ กลมํุ น้ถี กู กวาดต๎อนมาตง้ั ถ่นิ ฐานในประเทศไทยประมาณ พ.ศ. ๒๓๘๔-๒๓๘๗ ในรัชกาลท่ี ๓
กลุํม ๕ เป็นกลมํุ คนเผําผู๎ไททอ่ี พยพมาจากเมอื งวัง ประเทศลาว แตอํ พยพมากอํ นคนเผาํ ผไ๎ู ท ๔ กลํุม
แรก โดยไดอ๎ พยพมาตง้ั แตํ พ.ศ. ๒๓๗๓ ป๓จจบุ ันอาศยั ในอาํ เภอนาแก อําเภอเรณนู คร
อาํ เภอธาตุพนม อําเภอศรีสงคราม อําเภอเมอื ง จังหวดั นครพนม
กลุํม ๖ เป็นกลุํมคนเผําผู๎ไทที่อพยพมาจากเมืองตะโปน (เซโปน) มีประมาณ ๑,๘๔๗
ครอบครัว อพยพมาต้ังถิน่ ฐานอยูํท่บี า๎ นชอํ งนาง ตอํ มาไดย๎ กชอํ งนางเป็นเมืองเสนางคนคิ ม ปจ๓ จุบนั มีชาวผไ๎ู ท
อาศยั อยใูํ นอาํ เภอเสนางคนิยมและอําเภอชานุมาน จังหวดั อาํ นาจเจรญิ
กลํุม ๗ เป็นกลมุํ คนเผําผู๎ไทที่อพยพมาจากเมืองตะโปนเชนํ กันกบั กลํุมที่ ๖ โดยได๎อพยพมาต้งั ถิน่ ฐาน
อยูํทบี่ ๎านคําเมอื งแกว๎ ตอํ มายกข้นึ เป็นเมอื งคาํ เขื่อนแก๎ว จังหวดั ยโสธร
กลมํุ ๘ เป็นกลมํุ คนเผําผไ๎ู ทที่อพยพมาจากเมอื งกะปอง ประเทศลาว โดยมาตงั้ ถ่นิ ฐานอยูทํ ่บี ๎านปลา
เปาู ถกู ยกเป็นเมอื งเมอื งวารชิ ภูมิ คนผ๎ูไทในอาํ เภอวารชิ ภมู ิกลุมํ นเ้ี รยี กวํา “ผไ๎ู ทกระป๋อง” ซงึ่ คงจะแผลงมา
จากกะปอง



บุญยงค๑ เกศเทศ (๒๕๓๖ : ๑๑๓ - ๑๑๔) กลําววาํ ผ๎ูไทย เป็นชนเผาํ ท่ีมีอยูํประมาณ ๑ แสน

คนเศษ ต้งั ภมู ลิ าํ เนาอยูบํ ริเวณลมุํ แมนํ าํ้ โขงและแถบเทือกเขาภพู านและยงั มผี ู๎ไทยท่ีตัง้ ภมู ลิ ําเนาอยูํในจังหวดั

ราชบรุ ี และจงั หวัดเพชรบุรีอกี กลมุํ หนึง่ ซ่ึงเรียกวํา “ลาวโซงํ ” เมื่อกลํมุ ผไู๎ ทเข๎ามาต้งั ถน่ิ ฐาน ในประเทศไทย

ใหมๆํ จะอยูํโดดเดยี่ วและอิสระโดยมผี ูป๎ กครองตนเอง หลงั จากพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล๎าเจ๎าอยํหู วั ได๎

ทรงจดั ระบบการปกครองของภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ใหมใํ นปลายศตวรรษท่ี ๑๙ แล๎ว พวกผ๎ูไทยไดเ๎ ขา๎ มา

อยูใํ นครอบครองของไทยเป็นกลํุมชนเผาํ ท่ีมีหนา๎ เปน็ รูปไขํ ผิวขาว นวลเกลย้ี ง กิรยิ ามารยาทแชํมชอ๎ ย มี

อธั ยาศยั ไมตรีอันดี

ศิลปะการแสดงทโี่ ดดเดนํ ของชาวผ๎ูไท ได๎แกํ การฟูอนผไู๎ ท ซ่ึงเป็นการแสดงด๎วยทาํ ทางทน่ี มุํ นวล

ออํ นชอ๎ ย จากทําทางท่ีประดษิ ฐจ๑ ากความเชือ่ ธรรมชาติรอบตัวและวรรณกรรมท๎องถ่ิน ผสมผสานเข๎ากบั

ความงดงามของสาวผไ๎ู ทท่มี ธี รรมชาตผิ วิ พรรณขาวผดุ ผอํ งและกิริยามารยาททนี่ ํมุ นวลอํอนหวาน เปน็

นาฏศิลป์ที่ตดิ ตราตรงึ ใจแกผํ ู๎ไดช๎ ม สวํ นดนตรที ีเ่ ปน็ เอกลักษณะของชาวผไ๎ู ทอนั มี พณิ หรือ กระจบั ปี่ใน

ภาษาผู๎ไท แคนและปีผ่ ูไ๎ ท ภาษาผ๎ูไทเรียกใค๎ และซอบัง้ ไมไ๎ ผํ ลักษณะการบรรเลงลายมสี องทาํ นอง ได๎แกํ

ผู๎ไททางน๎อยและผู๎ไททางใหญํ ใช๎ในการประกอบการฟอู นและการขบั ลาํ ของชาวผู๎ไท เรยี กวาํ ลาํ ผู๎ไท (สุ

เทพ ไชยขันธุ๑. ๒๕๕๖ : ๓๐๔) ซึง่ สอดคล๎องกบั เจริญชยั ชนไพโรจน๑ (๒๕๒๙ : ๑๗) ได๎กลาํ วถึงเครอ่ื ง

ดนตรีของชาวผ๎ไู ทวาํ มีมากมายหลายอยําง ซ่ึงล๎วนแล๎วแตเํ ปน็ เครอื่ งดนตรีเกาํ แกทํ ้ังส้ิน เครื่องดนตรเี หลํานี้

หากจะแบงํ ประเภทตามลกั ษณะการแบํงเครื่องดนตรขี องไทยกจ็ ะแบํงได๎ดังน้ี

๑. เครื่องดดี ไดแ๎ กํกระจับปี่ และโกย

๒. เคร่ืองสี ได๎แกํซอ

๓. เครือ่ งตี ไดแ๎ กํหมากกลิ้งกลํอม ฆอ๎ ง พางฮาด กลองแตํ กลองตม๎ุ กลอง

กระเบอื้ ง กลองทาง หมากกับแก๎บ สง่ิ และแสํง

๔. เครื่องเปุา ไดแ๎ กปํ ่ี แคน และโหวด

เคร่อื งดนตรที ่ีนําสนใจท่ีสดุ ก็คอื เครื่องดนตรปี ระเภทสชี นิดหน่งึ ทเ่ี รยี กวาํ ซอไม๎ไผํหรอื ซอบงั้ หรอื

นกั วิชาบางแหํงก็เรยี กวําซอผ๎ไู ท เป็นซอที่ทําดว๎ ยไมไ๎ ผทํ ้ังปล๎อง แตกตํางจากลักษณะโดยทว่ั ไปกบั ซอของไทย

ในภมู ภิ าคอ่ืนๆ ท้ังการขึน้ สายเทยี บเสียงและวิธกี ารบรรเลงมคี วามแตกตาํ งกับซอชนิดอน่ื ๆ โดยท่ัวไป

สภาพการณป๑ จ๓ จุบันวัฒนธรรมการทาํ และบรรเลงซอบ้งั อยูใํ นขน้ั วิกฤติ เน่ืองจากไมํมีผสู๎ ืบทอดวฒั นธรรมการ

ดนตรีแขนงนี้ ดว๎ ยข้นั ตอนกรรมวธิ ีการประดษิ ฐ๑เคร่ืองดนตรีท่ตี อ๎ งใชค๎ วามเช่ยี วชาญ และวธิ ีการบรรเลงท่ี

ต๎องใชค๎ วามอดทนในการฝึกฝน จงึ ทําใหผ๎ ู๎ทเ่ี ห็นความสาํ คัญและต๎องการเรียนร๎ูเครอื่ งดนตรีซอบง้ั ไม๎ไผํแทบท่ี

จะไมมํ ีในป๓จจบุ ัน (สที ัด อุทโท. ๒๕๕๘ : สัมภาษณ๑) จากการศึกษาสํารวจเบื้องต๎นในพน้ื ท่อี าํ เภอกฉุ ิ

นารายณ๑ และอาํ เภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ๑ กพ็ บเพยี งผูส๎ ูงอายจุ ํานวนน๎อยเทาํ นัน้ ที่รูจ๎ กั และมปี ระสบการณ๑

เคยเห็นเคร่ืองดนตรีชนิดนี้ ซ่ึงกเ็ ปน็ สถานการณ๑ทร่ี อวนั วฒั นธรรมการดนตรีชนดิ น้จี ะหายไป ดังน้ันผวู๎ จิ ัยจงึ

สนใจทีจ่ ะศึกษาแนวทางการสํงเสรมิ อนรุ ักษ๑ และพัฒนา ซอบ้ังชาวผู๎ไท จังหวดั กาฬสนิ ธุ๑

วัตถุประสงค์
๑. เพื่อศกึ ษาองคค๑ วามรู๎ของซอบัง้ ชาวผ๎ไู ท จงั หวัดกาฬสินธุ๑ ที่เกยี่ วข๎องกบั ลกั ษณะทางกายภาพ
ระบบเสียง บทเพลง บทบาทหนา๎ ทใี่ นสงั คมและวฒั นธรรม
๒. เพือ่ ศึกษาแนวทางการสํงเสริม อนรุ ักษ๑ และพฒั นา ซอบงั้ ชาวผู๎ไท จังหวดั กาฬสนิ ธุ๑



คาถามหลกั ในการวิจยั
๑. องค๑ความรู๎ของซอบั้งชาวผ๎ูไทจงั หวดั กาฬสินธุ๑ท่เี ก่ียวขอ๎ งกับลักษณะทางกายภาพ

ระบบเสยี ง บทเพลง บทบาทหนา๎ ที่ในสงั คมและวฒั นธรรม เป็นอยาํ งไร
๒. จะมแี นวทางการสงํ เสริม อนรุ ักษ๑ และพัฒนา ซอบ้ังชาวผู๎ไท จังหวดั กาฬสนิ ธุ๑อยํางไร

ประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะได้รบั
การศึกษาแนวทางในการสงํ เสริม อนุรักษ๑ และพัฒนาซอบั้งชาวผ๎ูไท จงั หวัดกาฬสินธุ๑ เปน็ การ

สร๎างแนวทางในการอนุรกั ษ๑ และสํงเสรมิ วฒั นธรรมดัง้ เดิมของชนชาวอสี านเพือ่ ทีจ่ ะนําไปสูํการจัดทาํ โครงการ
ดา๎ นการอนรุ ักษ๑ และสงํ เสรมิ วฒั นธรรมทางดนตรีของทอ๎ งถ่ินอยาํ งเป็นระบบและสอดคล๎องประสานกนั ของ
หนวํ ยงานภาครฐั เอกชน และชุมชน ซง่ึ ประโยชน๑ แนวทาง และกลุํมเปาู หมายที่คาดวําจะไดร๎ บั ประโยชน๑
ดงั นี้
๑. ไดท๎ ราบถึงองคค๑ วามรู๎ของซอบัง้ ชาวผูไ๎ ท จังหวัดกาฬสินธ๑ุ ทเี่ ก่ยี วข๎องกบั ลักษณะทางกายภาพ
ระบบเสียง บทเพลง บทบาทหน๎าทใ่ี นสังคมและวัฒนธรรม
๒. ไดแ๎ นวทางการสํงเสริม อนรุ ักษ๑ และพฒั นา ซอบ้ังชาวผ๎ูไท จงั หวัดกาฬสนิ ธ๑ุ

นิยามศัพท์
ซอบ้ัง หมายถึง ซอทีท่ ําจากไมไ๎ ผทํ ัง้ ปล๎อง เหลาเนอื้ ไม๎ไผใํ ห๎บางและใช๎สายลวดสองสายขึงตาม
ความยาวของปล๎องไม๎ไผํ และสโี ดยใชค๎ นั ชกั ท่ที ําจากไม๎ไผํและเส๎นเอ็น

องคค๑ วามรขู๎ องซอบง้ั หมายถงึ การศึกษาลักษณะทางกายภาพ ระบบเสียง บทเพลง บทบาท
หน๎าทใ่ี นสังคมและวฒั นธรรมของซอบั้งชาวผ๎ูไท จังหวัดกาฬสนิ ธ๑ุ

การสํงเสรมิ หมายถงึ การชํวยเหลือสนับสนุนซอบัง้ ชาวผไ๎ู ทและวฒั นธรรมทีเ่ กย่ี วข๎องกบั
ซอบ้งั ชาวผไู๎ ทให๎ดีขน้ึ
การอนุรักษ๑ หมายถึง การรักษาระวังปูองกนั ไมใํ หซ๎ อบัง้ และวฒั นธรรมท่ีเก่ยี วข๎องกับซอบ้ังชาวผไู๎ ท
สูญหายไป
การพัฒนา หมายถงึ การปรบั ปรงุ เปล่ยี นแปลงซอบง้ั และวัฒนธรรมทเ่ี ก่ียวขอ๎ งกับซอบงั้ ชาวผูไ๎ ทให๎
เหมาะสมกับสภาพการณป๑ ๓จจบุ ัน
บทบาทความสําคญั หมายถึง การทเ่ี คร่ืองดนตรซี อบง้ั ชาวผูไ๎ ทได๎มสี วํ นรวํ มหรอื เปน็ องคป๑ ระกอบใน
กจิ กรรมอยํางใดอยาํ งหนึ่งในวัฒนธรรมวถิ ีชีวติ ของชาวผไ๎ู ท

กรอบแนวคดิ ของการวจิ ัย
การศึกษาคร้งั นี้เปน็ การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ในการเสนอกรอบแนวความคิดผ๎วู จิ ัยได๎เสนอแนวคดิ ทฤษฎี
ประกอบการวจิ ัยดังน้คี อื ทฤษฎปี ระวตั ิศาสตร๑ (Historical Theory) ทฤษฎีเชงิ ชาตพิ ันธว๑ุ รรณนา
(Ethnological Theory) ทฤษฎกี ารแพรํกระจายทางวฒั นธรรม (The Diffusion Theory of Culture)
และทฤษฎโี ครงสรา๎ งและหนา๎ ที่ (Structural–Functional Theory) เพ่อื เสนอกรอบแนวคิดดงั น้ี

๑. กรอบแนวคิดเกยี่ วกบั องค๑ความรข๎ู องซอบงั้ ชาวผู๎ไท จังหวัดกาฬสนิ ธ๑ุ
๒. กรอบแนวคิดเก่ยี วกับแนวทางการสํงเสรมิ อนรุ ักษ๑ และพัฒนา ซอบ้ังชาวผไ๎ู ท จงั หวัด
กาฬสนิ ธุ๑



1. การสงํ เสริม อนรุ กั ษ๑ และพัฒนา ซอบ้งั ชาวผไ๎ู ท จงั หวดั กาฬสินธ๑ุ
2.

3. - แนวทางการสํงเสริม อนุรักษ๑ และพฒั นา - ทฤษฎี
4. ซอบง้ั ชาวผไ๎ู ท จงั หวดั กาฬสินธ๑ุ โครงสร๎างและ
หน๎าที่

- ทฤษฎกี าร
แพรํกระจายทาง
วัฒนธรรม

-องคค๑ วามรูข๎ องซอบ้ังชาวผูไ๎ ท จังหวัดกาฬสนิ ธุ๑ - ทฤษฎีเชงิ ชาติ
ที่เก่ียวขอ๎ งกบั ลักษณะทางกายภาพ ระบบ พนั ธวุ๑ รรณนา
เสียง บทเพลง บทบาทหน๎าที่ในสงั คมและ
วัฒนธรรม - ทฤษฎี
ประวตั ศิ าสตร๑

ภาพประกอบ ๑ กรอบแนวคดิ ในการวิจัย

บทท่ี ๒
เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กยี่ วข้อง

การวิจยั เร่อื งแนวทางการสงํ เสริม อนรุ ักษ๑ และพัฒนา ซอบ้ังชาวผู๎ไท จงั หวัดกาฬสนิ ธุ๑ เป็นการ
วจิ ัยเชิงคณุ ภาพ ซงึ่ มวี ตั ถุประสงคก๑ ารวจิ ยั ๒ ประการ คอื ๑. เพอื่ ศกึ ษาองค๑ความรู๎ของซอบง้ั ชาวผ๎ไู ท
จงั หวดั กาฬสนิ ธ๑ุ ทเ่ี กยี่ วข๎องกับลักษณะทางกายภาพ ระบบเสยี ง บทเพลง บทบาทหนา๎ ท่ีในสังคมและ
วฒั นธรรม ๒. เพื่อศึกษาแนวทางการสํงเสริม อนุรักษ๑ และพฒั นา ซอบง้ั ชาวผไ๎ู ท จงั หวัดกาฬสนิ ธุ๑
ผ๎วู จิ ยั ได๎เกบ็ รวบรวมขอ๎ มลู จากเอกสารและงานวิจยั ตาํ งๆ ตามประเดน็

๑. เอกสารท่ีเก่ยี วขอ๎ งกับดนตรีพ้นื บา๎ นอีสาน
๒. เอกสารท่เี กยี่ วกับการละเลํนพ้ืนบ๎านอีสาน
๓. เอกสารที่เกี่ยวข๎องกบั ผ๎ไู ท
๔. บริบทพืน้ ที่
๔. ทฤษฏีทใ่ี ชใ๎ นการวจิ ัย
๖. งานวจิ ยั ทเ่ี กีย่ วข๎อง
โดยมีรายละเอยี ดดงั นี้

๑. เอกสารท่ีเกีย่ วข้องกับดนตรพี น้ื บ้านอสี าน
สํานักงานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหงํ ชาติ (๒๕๒๙ : ๕๒ – ๕๓) ไดก๎ ลาํ วถึงซอบัง้ หรอื ซอกระบอก

วําเป็นเครือ่ งสายใช๎สี ทาํ ดว๎ ยกระบอกไม๎ไผํ ขังขอ๎ ท้ัง ๒ ดา๎ น ปอกเปลือกและเหลาจนบาง ชํองเสียงอยูํ
ด๎านตรงขา๎ มกบั ด๎านที่ขึงสาย ด๎านบนของซอมีลูกบดิ ขงึ สาย ๒ อัน สายทาํ ดว๎ ยลวด ใชส๎ ีด๎วยคนั ชกั
ขนาดของซอประมาณ ๗ เซนตเิ มตร ยาวประมาณ ๔๕ เซนติเมตร คนั ชกั ทาํ ด๎วยไม๎เนอ้ื อํอนหรือไมไ๎ ผํ
ยาวประมาณ ๔๐ เซนติเมตร ขงึ หางมา๎ ไมทํ ราบวาํ มีมาแตคํ รง้ั ใด แตเํ ลนํ กนั มานานแลว๎ การเทยี บเสยี ง
โดยขึน้ เสียงเดยี วกนั ท้ัง ๒ สาย แตํใชก๎ ดเปน็ ทํานองเฉพาะสายเอก สํวนสายสองใชเ๎ ปน็ เสยี งเสพ (เสยี ง
Drone) นยิ มขึ้นเสยี งเปน็ คูํ ๑ คูํ ๔ หรือ คูํ ๕ ใชบ๎ รรเลงเอกเทศหรือประสมวงดนตรขี องชาวผไู๎ ท โดย
บรรเลงเพ่อื ความบันเทงิ ทั่วไป ประกอบการลํา การฟอู น (ผ๎ูไท)

ธวัช ปณุ โณทก (๒๕๒๔ : ๑๑ - ๑๔) กลาํ ววําวฒั นธรรมดนตรีและการละเลํนในภาคอีสานมี ๒
ลักษณะ คือ การละเลนํ ดนตรพี ้ืนบา๎ นแบบไทยลาว และการละเลํนดนตรพี น้ื บ๎านแบบไทยเขมร โดย
วัฒนธรรมดนตรกี ลุํมอีสานเหนือ หรือวฒั นธรรมไทยลาว เปน็ วฒั นธรรมดนตรที อี่ ยูํบรเิ วณที่ราบสูงมีภเู ขา
ทางด๎านใตแ๎ ละทางดา๎ นตะวันตกไปจรดกบั ลํานาํ้ โขงตอนเหนือ และทางตะวันออกมเี ทอื กเขาภูพานกน้ั แบํง
บริเวณนีอ้ อกเปน็ ทีร่ าบตอนบนท่เี รยี กวํา แองํ สกลนคร ได๎แกํบรเิ วณ จงั หวดั กาฬสนิ ธุ๑ ขอนแกํน ชยั ภมู ิ
นครพนม หนองคาย อดุ รธานี มหาสารคาม ร๎อยเอด็ เลย มกุ ดาหาร ยโสธร และอบุ ลราชธานี สํวน
ภาษาท่ีใช๎สํวนใหญใํ ชภ๎ าษาไทยอสี านหรอื ภาษาลาว เพราะคนกลุมํ นีส้ บื ทอดวฒั นธรรมมาจากลุํมแมํนาํ้ โขง
โดยบรรพบุรุษจะอพยพมาจากดนิ แดนลา๎ นชา๎ ง ซ่งึ อยํูทางฝ๓่งซ๎ายของแมนํ ้ําโขงเข๎ามาต้ังภูมลิ าํ เนาในภาค
อสี านตัง้ แตสํ มัยรัตนโกสนิ ทร๑ กลํมุ ชนสวํ นใหญํในภาคอีสานนี้เรยี กทั่วไปวาํ กลํมุ ชนไทยลาว และยังมีกลํุมชน
บางสํวนอาศยั อยโูํ ดยทัว่ ไปได๎แกํ ผูไ๎ ท แสด ยอ๎ โส๎ โยย๎ ขาํ เป็นต๎น
สุกรี เจรญิ สุข (๒๕๓๘ : ๑๔๕) ได๎กลาํ วถึงเพลงพื้นบ๎านอีสานยังอยใูํ นจิตใจคนไทยทงั้ ชาติ เพราะ
เหตุผลวํา



๑. เพลงพืน้ บา๎ นอสี านไมํไดผ๎ กู ไวก๎ ับกาลเวลา เปน็ เพลงทใ่ี ชไ๎ ด๎ทุกฤดูกาล เมอ่ื กาลเวลาเปลี่ยนไป
ฤดูกาลเปลยี่ นไป เพลงอสี านกย็ ังเป็นทน่ี ิยมเลํนบรรเลง เพลงอีสานจงึ เป็นหลกั ฐานทางประวัติศาสตร๑แหํง
เสยี งของมนุษยชาตไิ ด๎อยํางดเี ย่ยี ม
๒. เพลงอสี านมีพฒั นาการทํานองเพลงและความเป็นดนตรสี งู ทาํ นองเพลงอีสานยังคงมีปรากฏใน
เพลงลกู ทงํุ ลกู กรุง ลูกเทศ
๓. เพลงอสี านเปน็ เพลงที่เต็มไปดว๎ ยวิญญาณ วญิ ญาณเปน็ เรื่องของชวี ติ การซึมซบั ชีวิตของ
ศิลปวฒั นธรรมในสงั คมตอ๎ งอาศยั ความเขา๎ ถึงซึง่ วญิ ญาณแหํงชีวิต เพลงอีสานเปน็ การถํายทอดชวี ิตของชาว
อสี าน ทัง้ ชวี ติ ความเปน็ อยูํ ความสวยงามในด๎านศลิ ปะ
๔. เพลงอสี านต๎องอาศัยความสามารถทเ่ี รยี กวาํ “ศลิ ปนิ ” ในการรอ๎ งและบรรเลง กลาํ วคือต๎อง
อาศยั ความสามารถเฉพาะในการแสดง ใชํวาํ จะเปน็ ใครก็ได๎เหมือนลักษณะของเพลงพ้นื บา๎ นทั่วไป
เพลงพ้ืนบ๎านอีสานจงึ เปน็ สนุ ทรียศาสตรส๑ ําหรบั ชีวติ ไทย ท่ฝี ๓งอยูํในสังคมอันยาวนาน ป๓ญหาของเพลง
พืน้ บา๎ นก็คือ ขาดการปรุงแตงํ ให๎ทนั กับยุคและสังคม ซ่ึงโดยลกั ษณะของเพลงชาวอสี านมลี ักษณะเดนํ ๖
ประการ คือ
๑. ใชบ๎ ันไดเสยี งระบบ ๕ เสยี ง ( Pentatonic Scale) ๑ ๒ ๓ ๕ ๖ เมื่อเทียบกบั บันไดเสียงดนตรี
ตะวันตก
๒. แนวเพลงสวํ นใหญํบรรเลงเป็นคูํ ๘ ( Octave) แลว๎ มีทํานองประกอบ เพอื่ ให๎จงั หวะและทํา
หนา๎ ทเี่ ป็นทํานองสอด (Counter Melody)

๓. ทวํ งทํานองเพลงสวํ นใหญํแฝงสาํ เนยี งเศรา๎ ราํ พึงราํ พัน
๔. เป็นทาํ นองสัน้ ๆ วกไปเวยี นมา การเล่อื นไหลของทาํ นองเป็นไปอยาํ งตอํ เนือ่ ง
๕. ความช๎าเรว็ ของจังหวะ ( Tempo) ปานกลางและคํอนขา๎ งเรว็ เรา๎ ใจ
๖. โครงสรา๎ งของเพลงประกอบด๎วยทาํ นอง ๓ สํวนดว๎ ยกนั คอื สวํ นแรกเป็นทาํ นองเกริ่นเพลง
(Introduction) สํวนท่สี องเป็นทํานองหลกั (Theme) และสวํ นทีส่ ามเป็นทาํ นองขยาย (Variation) นิยม
การดน๎ โดยอาศยั ทํานองหลกั เป็นแนว

สาํ เรจ็ คําโมง (๒๕๒๒ : ๑๐ - ๑๗) ได๎ศกึ ษาเกยี่ วกับดนตรีพน้ื บา๎ นอสี าน วงดนตรอี สี าน ลกั ษณะ
ของเคร่ืองดนตรอี ีสานชนดิ ตาํ งๆ เชํน ซงุ โหวด โปงลาง และหึน เปน็ ตน๎

เจริญชยั ชนไพโรจน๑ (๒๕๒๖ : ๑๙ - ๕๕) ได๎ศึกษาเก่ียวกบั เรอ่ื งดนตรแี ละการละเลํนพ้ืนบา๎ น
อีสาน ซงึ่ ไดก๎ ลําวถึงเครอ่ื งดนตรขี องชาวอสี านเหนือ และเคร่ืองดนตรขี องชาวอีสานใตอ๎ ีกดว๎ ย ดงั ตอํ ไปน้ี
ประเภทของเครือ่ งดนตรขี องชาวอสี านเหนอื แบํงเป็น๔ประเภท ดงั นี้
๑. เครอ่ื งดดี ได๎แกํ พิณ
๒. เครอ่ื งสี ได๎แกํ ซอปบ๊ิ หรือซอกระปอ๋ ง ซอบัง้ ไมไ๎ ผํ
๓. เครอ่ื งตี ไดแกํ โปงลาง กลองกงิ่ หมากก๊ับแก๏บ ผางฮาด กลองยาว สงิ่ (ฉ่ิง) และแสํง (ฉาบ)
๔. เคร่ืองเปุา ได๎แกํ แคน โหวด สะนู
ประเภทของเครอ่ื งดนตรอี สี านใต๎ แบํงออกเป็น ๔ประเภท ดงั นี้
๑. เครือ่ งดดี ได๎แกํ พณิ
๒. เครือ่ งสี ไดแ๎ กํ ซอดว๎ ง ซออู๎
๓. เครื่องตี ได๎แกํ ระนาด ฆ๎องวง ฆอ๎ งราง โทน รํามะนา ตะโพน ฉิง่ ฉาบ
๔. เคร่อื งเปุา ไดแ๎ กํ โหวด ปอี่ ๎อ



วณี า วีสเพญ็ (๒๕๒๖ : ๘) ได๎ศึกษาเก่ียวกบั วงกันตรมึ วาํ เป็นวงดนตรพี นื้ เมืองทีน่ ยิ มเลํนกันในเขต
อสี านใต๎ ไดแ๎ กํ จงั หวัดสุรินทร๑ บุรีรัมย๑ และศรีสะเกษมสี าระสาํ คญั ที่กลาํ วถึงประวตั กิ ารเลํนกนั ตรึม
จุดมํงุ หมายการเลนํ โอกาสทใี่ ช๎แสดง วิธแี สดงและเครอื่ งเซํนไหว๎ครูเกย่ี วกับความเชื่อหากในตอนทา๎ ย ได๎
อธบิ ายถึงบทเพลงและทํานองเพลงกันตรึม วํามจี าํ นวน ๒๘๘ทํานองเพลง
กมล เกตุศริ ิ (๒๕๒๘ : ๑๘๙ - ๒๐๗) ได๎ศึกษาเก่ียวกับเพลง ดนตรี และการละเลํนพืน้ บ๎านชาว
อสี านจงั หวดั สรุ ินทร๑ พบวํา ทาํ นองดนตรีท่ีใชป๎ ระกอบการราํ สากเมอื งสุรนิ ทรใ๑ นจังหวะทเ่ี รียกวํา จับปรี ๑
หมายถึง จังหวะท่ีผรู๎ าํ สากตอ๎ งก๎าวเทา๎ คํอนขา๎ งเรว็ และต๎องเหยียบเทา๎ ลงระหวาํ งสากตําข๎าวท้ังสองเทา๎ ตาม
ลลี าการรํายราํ ท่ไี ด๎ระบซุ ึง่ ไดร๎ บั อิทธพิ ลมาจากทํานองเพลงของภาคอสี านตอนเหนอื ให๎ใช๎แคนและพณิ
บรรเลง เชนํ ดนตรที ี่ใช๎ในงานศพของชาวสรุ ินทร๑ จะมีวงดนตรีตุม๎ โมงสาํ หรับบรรเลงประโคมศพ
ประกอบดว๎ ย ปส่ี ไล ๑เลา ฆอ๎ งหํยุ ๑ใบ กลองเพลขนาดใหญํ ๑ใบ และฆอ๎ งวงจํานวน ๙ใบ
วโิ รจน๑ เอี่ยมสุข (๒๕๒๗ : ๑๔๕ - ๑๖๔) ได๎ศึกษาเก่ยี วกับเคร่ืองดนตรีพื้นบ๎านอสี านใต๎วาํ เครือ่ ง
ดนตรีที่นยิ มกนั อยํางแพรํหลายมอี ยมูํ ากมายหลายอยําง จําแนกประเภทเคร่ืองดดี ได๎แกํ กระจบั ปี่ พิณน้ําเต๎า
ประเภทเครื่องสี ไดแ๎ กํ ซอ ประเภทเครื่องตี ไดแ๎ กํ กลองกันตรมึ และประเภทเครือ่ งเปาุ ไดแ๎ กํ ปอ่ี ๎อ ป่ี
เจรียง เป็นตน๎ นอกจากนีย้ ังกลาํ วถึงรายละเอียดรูปรํางลกั ษณะของเครอื่ งดนตรแี ตลํ ะชนดิ ตลอดจนประวัติ
ความเป็นมาและการเทยี บเสยี ง เป็นต๎น
สาํ นักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแหงํ ชาติ (๒๕๒๘ : ๒๗ - ๙๔) ไดศ๎ กึ ษาเก่ยี วกับเครอื่ งดนตรี
อสี าน รปู รําง ลักษณะ ประวัติ การเทยี บเสียง การประสมวง บรเิ วณที่นยิ มบรรเลงและโอกาสทบ่ี รรเลง
โดยกลําวไวด๎ ังตอํ ไปนี้
๑. ใชเ๎ พื่อการบนั เทงิ ท่วั ไป ท้งั ในยามปกตแิ ละเทศกาล งานมงคล ได๎แกํ พณิ ซอปีบ๊ ซอกระปอ๋ ง
ซอบง้ั ซอกระบอก โปงลางหรือขอลอ แคน ฉงิ่ แฉํง
๒. ไมใํ ชใ๎ นการประโคม ประสมวงหรอื งานใดๆ เปน็ การเลนํ แกเ๎ หงาเฉพาะบคุ คลได๎แกํ หนุ
๓. ใชต๎ ีเพ่ือการบันเทิง ประชันขนั แขงํ เอาชนะกัน มีกรรมการเป็นผ๎ูตดั สนิ ชี้ขาด มกั ตใี นงานบญุ
ตาํ งๆ โดยเฉพาะงานบุญบง้ั ไฟ ได๎แกํ กลองกิง่
๔. ใช๎สาํ หรับประกอบ “ลาํ ” ของหมอลํากับ๊ แกบ๎ ท่รี าํ ออกทําออกทาง ได๎แกํ หมากก๊ับแกบ๎ (กรับ)
๕. ในกระบวนแหํเนือ่ งในโอกาสงานบุญตํางๆ ได๎แกํ พางฮาด (ฆ๎องโบราณไมมํ ีปุม)
๖. ใช๎เก่ียวกับงานรนื้ เรงิ ท้งั หลาย เชนํ ขบวนแหกํ ฐิน ผ๎าปุา แหนํ าค แหํขันหมาก ไดแ๎ กํ กลองยาว
๗. ใชใ๎ นการเลํนหมอลํา การฟูอนและขบวนแหํ ได๎แกํ กลองตุม๎ และใชใ๎ นขบวน แหํงานบญุ โดย
เฉพาะงานบุญพระเวสฯ ได๎แกํ กลองตึ้ง (รํามะนาใหญํ)
๘. ใช๎เก่ียวกับงานร่ืนเรงิ ทกุ โอกาส ได๎แกํ พณิ ไห พิณน้ําเตา๎ ซอกระดองเตํา และซอเขาควาย
๙. ใช๎เก่ียวกับงานศพ ไดแ๎ กํ ป่ีไฉน ปี่แน เป็นต๎น
๑๐. ใช๎ในงานร่นื เริง การทรงเจ๎าเขา๎ ผี การรกั ษาโรค ได๎แกํ ปอ่ี อ๎ แคน
พนู พศิ อมาตยกุล (๒๕ ๒๘ : ๓๕ - ๖๒) ไดศ๎ กึ ษาเกย่ี วกับวงดนตรีพืน้ เมอื งอีสานบรรเลงเพลงไทย
ภาคกลาง และไดอ๎ ธิบายลักษณะของเครือ่ งดนตรอี ีสานทส่ี ําคัญแตลํ ะชนดิ เชํน พณิ โหวด โปงลาง กลอง
เป็นตน๎ บางชนิดจะมีรูปภาพแสดงเครอื่ งดนตรีประกอบเสียงด๎วย
ปรชี า พณิ ทอง (๒๕๓๒ : ๙๐๘) ไดศ๎ กึ ษาเก่ยี วกับดนตรโี ดยกลําวถึงชื่อเครอ่ื งดนตรี รวบรวมช่ือ
เครือ่ งดนตรีอสี าน และข๎อความที่มเี ครอื่ งดนตรที ี่ปรากฏอยใํู นวรรณกรรมอสี านแตลํ ะเร่อื ง
วิทยาลัยครูสกลนคร (๒๕๒๑ : ๑ - ๕๒) ไดร๎ วบรวมบทความทางวชิ าการเกยี่ วกบั วฒั นธรรม พิมพ๑
เผยแพรเํ นื่องในงานนิทรรศการมนู มังอีสาน ซึ่งไดก๎ ลาํ วถึงเรื่องตํางๆ ไว๎หลายเรือ่ ง เชํน เรอื่ งอารยธรรมอสี าน



โปงลาง : สญั ญาณการค๎าตํางแดน แคน : ดนตรสี ะทอ๎ นชีวติ อีสาน เรื่องดนตรอี ีสาน ไดก๎ ลาํ วเกี่ยวกับการแบงํ
ประเภทของเครอื่ งดนตรอี สี านวาํ แบํงประเภทของเคร่อื งดนตรีอีสานได๎ ๔ประเภทดังนี้

๑. เครือ่ งดนตรปี ระเภทใช๎ดดี ของอีสานแท๎ๆ นน้ั ไดแ๎ กํซึง หรือซุง (พณิ ) ทาํ ด๎วยไม๎ รปู รํางคลา๎ ย
กตี าร๑ แตฝํ มี ือไมปํ ระณีตนัก ซงึ หรือซงุ มสี าย ๓ – ๔ สาย เปน็ สายเอกสองสาย สายทมุ๎ สองสาย ทคี่ นั หรือ
ดา๎ ม มีนมคลา๎ ยนมจะเข๎ เพือ่ ใชน๎ ับเสยี งเวลาดีด ใหเ๎ ป็นเสียงสงู ตํา่ พณิ หรอื ซุงน้ถี ือเปน็ เครอื่ งดนตรพี นื้ เมือง
เวลาเลนํ กเ็ ลํนเป็นเพลง ซ่ึงเรยี กวํา ลาย โดยมากมักเลํนคกํู นั กับแคน
๒. เครื่องดนตรีประเภทที่ใชส๎ ี ไดแ๎ กํ ซอ ซอน้แี ทนทจ่ี ะทาํ ดว๎ ยไม๎กบั กะลามะพรา๎ ว กลบั ทําดว๎ ยไม๎
กบั ป๊ีบ โดยใช๎ป๊ีบหรือกระปอ๋ งแทนสวํ นทเี่ ปน็ กะลามะพร๎าว ซอน้มี สี องสาย คือ สายเอก และสายทมุ๎ สํวน
คนั ชกั น้นั ทาํ เชํนเดยี วกับคนั ชกั ของซอสามสาย เวลาสไี มํเหมือนกบั คนั ชกั ของซออหู๎ รือซอดว๎ ง ซึง่ หางมา๎ ของ
คันชกั อยูรํ ะหวาํ งสายท้งั สอง สวํ นซอทีท่ ําด๎วยปบ๊ี หรือกระปอ๋ งนี้คันชักอยขํู า๎ งนอก สเี ชํนเดยี วกับไวโอลนิ หรือ
ซอสามสาย การเลํนก็เลํนเป็นลายเชนํ เดียวกับซุง หรอื พิณ
๓. เครื่องดนตรีประเภทตี ไดแ๎ กํ สิ่งหรือฉง่ิ สาบ (ฉาบเลก็ ) ก๊บั แกบ๎ (กรบั ) กอง (กลอง) แสํง
(ฉาบใหญ)ํ และโปงลาง สาํ หรบั ฉิง่ ฉาบ ทําด๎วยโลหะตาํ งๆ เชํน ทองเหลอื ง ทองแดง และเครื่องลงหนิ
กรบั และโปงลางทาํ ด๎วยไม๎ สวํ นกลองนน้ั ทาํ ดว๎ ยไมก๎ ับหนังสัตว๑ เปน็ พวกเครือ่ งหนัง
๔. เครอ่ื งดนตรปี ระเภทใช๎เปุา ได๎แกํ แคน แคนเปน็ เคร่ืองดนตรที ี่เปุาประสานเสียงขับลํานําหรอื
ลาํ เพลงแคนมีหลายเพลง มหี ลายทาํ นองเรียกวาํ ลาย เชนํ ลายสุดสะแนน ลายโปูซ๎าย ลายสร๎อย ผู๎เปุา
แคน เรยี กวาํ หมอแคน เสยี งของแคนนี้ในตอนแรกใชเ๎ ปุาแทนเสียงโปงลางได๎ หรอื จะใช๎เปาุ แทนเสียงลาํ ก็ได๎
เสียงแคนท่ีเปาุ แทนน้ีเรยี กวํา ลาย เชนํ ลายแมงภํตู อมดอก หมายความวาํ แมลงภูกํ าํ ลังตอมเกสรดอกไม๎
ไพบูลย๑ ตรีเดซี (๒๕๓๒ : ๑๗) ไดศ๎ กึ ษาถงึ ดนตรีพนื้ บา๎ นอีสาน สรปุ ได๎วาํ ดนตรีพน้ื บา๎ นอีสาน คอื
ดนตรที ่เี กดิ ข้ึนจากการบรรเลงดว๎ ยเคร่อื งดนตรีของท๎องถน่ิ อีสาน และการรอ๎ งท่ีมสี ําเนยี งภาษาทํวงทาํ นอง
ลีลา กระแสเสียงทเี่ ป็นเอกลักษณเ๑ ฉพาะทอ๎ งถ่นิ อสี านซึง่ มกี ารสืบทอดตดิ ตอํ กันมา โดยอาศัยการจดจําเปน็
สําคญั และนอกจากนีย้ งั แบํงกลมํุ ดนตรีออกเปน็ ๓ กลมุํ ดังน้ี
๑. ดนตรีพนื้ บ๎านกลมุํ วฒั นธรรมโคราช มีลักษณะเดนํ คือ การเลํนเพลงโคราชซึ่งประกอบด๎วยบท
เพลงฝุายชาย และฝาุ ยหญิงสองคนรอ๎ งโต๎ตอบกัน โดยไมํมเี ครอื่ งดนตรบี รรเลงประกอบแตํอยาํ งใด
๒. ดนตรีพืน้ บา๎ นกลมํุ วฒั นธรรมกันตรึม เป็นดนตรขี องชาวสุรนิ ทร๑ บรุ ีรมั ย๑ ศรีสะเกษ ลักษณะเดํน
ของดนตรกี ลมํุ นมี้ ีดนตรีประเภทขบั รอ๎ งท่เี รียววํา เจรียงและดนตรีทบี่ รรเลงดว๎ ยเครือ่ งดนตรี ได๎แกํ วงกนั ตรมึ
วงปพี่ าทย๑ และวงมโหรี
๓. ดนตรพี ้นื บา๎ นกลุมํ วัฒนธรรมหมอลํา เปน็ กลุํมวฒั นธรรมกลุํมใหญทํ ่สี ดุ ของชาวอีสาน มีดนตรี
ประเภทขบั รอ๎ งที่เรียกวาํ ลํา โดยมเี ครื่องดนตรี คอื แคนเปุาประกอบคลอประสานเสียง เคร่อื งดนตรขี อง
กลมํุ วัฒนธรรมน้ี ไดแ๎ กํ แคน พิณ โปงลาง
ธดิ า โมสกิ รตั น๑ และคนอน่ื ๆ (๒๕๓๒ : ๒๖๐ - ๒๘๕) ไดศ๎ ึกษาเกี่ยวกับลกั ษณะของดนตรีพ้ืนบา๎ นท่ี
เก่ยี วข๎องกับกจิ กรรมอืน่ ๆ เชํน พธิ ีกรรม การทาํ งานเป็นต๎น นอกจากน้ี ดนตรยี ังเปน็ สํวนประกอบท่สี ําคญั ใน
พิธีกรรมและประเพณตี ํางๆ อีกด๎วย
พนู พิศ อมาตยกุล (๒๕๒๙ : ๓๕ - ๖๒) ไดศ๎ กึ ษาการใช๎วงดนตรพี น้ื เมืองอสี านบรรเลงเพลงไทย
ภาคกลาง ได๎อธิบายลกั ษณะของเครอื่ งดนตรีอสี านทีส่ าํ คญั แตลํ ะช้นิ เชนํ พิณ โหวด โปงลาง กลอง เป็นต๎น
ซ่งึ บางชนิดจะมีรูปภาพแสดงเครอ่ื งดนตรีประกอบเสียง
นภาลัย สวุ รรณธาดา และคนอื่นๆ (๒๕๓๑ : ๒๒๒ - ๒๒๔) ได๎ศกึ ษาเก่ยี วกับลกั ษณะของดนตรี
พ้ืนบา๎ น โดยการใหค๎ าํ นยิ ามท่วี ําด๎วยดนตรีพน้ื บา๎ น กลาํ วถงึ หน๎าท่ีของดนตรีพน้ื บา๎ น และยงั ได๎กลําวถงึ ดนตรี

๑๐

พน้ื บา๎ นวาํ เก่ยี วข๎องกับกิจกรรมอื่นๆ เชนํ พิธีกรรม การทํางาน เป็นต๎น นอกจากนยี้ ังได๎กลําวถงึ ดนตรีวาํ
เป็นสํวนประกอบสาํ คัญในพิธีกรรมและประเพณีตาํ งๆ อกี ดว๎ ย

แนวทางในการสํงเสริมและอนรุ ักษ๑ดนตรีไทยให๎คงอยํูสบื ไป ควรมแี นวทางสงํ เสริมดงั น้ี
๑ . สํงเสริมใหม๎ กี ารบรรเลงดนตรีไทยใหเ๎ ป็นทร่ี จ๎ู ักทุกรูปแบบทคี่ วรจัดใหม๎ ีได๎
๒ . สํงเสรมิ ให๎ประชาชนทอี่ ยใํู นจังหวัดหรือสถานทจี่ ดั งานนนั้ ไดม๎ โี อกาสเรยี นรเ๎ู ร่อื งดนตรีไทย
๓ . สํงเสรมิ ใหม๎ คี วามเขา๎ ใจในการดแู ละฟง๓ เพลงไทย
๔ . สงํ เสริมให๎ครูดนตรีไดม๎ ีโอกาสแสดงฝมี อื ให๎เป็นตัวอยําง
๕ . สํงเสรมิ ใหม๎ ีการแสดงดนตรีประกอบการละเลํนหรอื แสดงนาฏศิลปป์ ระกอบดนตรี
๖ . สงํ เสรมิ ใหผ๎ ๎มู าชมไดร๎ บั ความรู๎เก่ยี วกับดนตรไี ทยมใิ ชแํ ตกํ ารฟ๓งอยาํ งเดียว
งานอนุรักษไ๑ ด๎แกํ
๑ . ธาํ รงไว๎ซงึ่ ประเพณีในการดนตรขี องไทย เชํน พธิ ีไหว๎ครู
๒ . อนุรักษช๑ าํ งทําเครอ่ื งดนตรีไทย
๓ . อนุรกั ษก๑ ารละเลํนตํางๆ ทใี่ ชด๎ นตรปี ระกอบ
๔ . อนุรกั ษ๑เพลงเกํา หรือทางบรรเลงเกาํ ๆ ทกี่ าํ ลังสญู ไป หรอื ทีม่ ผี ูร๎ จ๎ู ักนอ๎ ย
๕ . อนรุ กั ษศ๑ ลิ ปินเพลงไทย โดยการเชิญมารํวมงาน มารวํ มการแสดง
๖ . ใหม๎ กี ารประกวดโสตทศั นวสั ดทุ น่ี ิสติ นกั ศึกษาจดั ทาํ ข้นึ หรอื ให๎นํามาเสนอ รวมทัง้ อนญุ าตใหผ๎ ู๎
ท่ีสนใจค๎นคว๎าเพลงเกาํ นาํ แถบบนั ทกึ เสยี ง แถบบันทึกภาพทีต่ นรวบรวมไว๎ หรือค๎นควา๎ มาได๎ มาแสดง
จาํ หนาํ ยจาํ ยแจก ตลอดจนการประกวดเครอ่ื งดนตรีตาํ งชนิด ท้ังของเกําและทําขนึ้ ใหมํ (พูนพศิ อมาตยกลุ .
๒๕๓๑ : ๑๐๘ - ๑๑๑) ซงึ่ สอดคล๎องกบั หลกั ในการสงํ เสรมิ การดนตรไี ทยให๎เจรญิ ขน้ึ นัน้ มหี ลกั สาํ คัญอยูํ ๔
ประการ คือ
๑ . จะต๎องมกี ารสะสมและสืบตอํ เนอ่ื งกันมาโดยไมํขาดระยะ
๒ . จะตอ๎ งไมปํ ลอํ ยใหศ๎ ลิ ปะประเภทนีม้ อี ยูอํ ยาํ งไรก็คงมอี ยํูอยาํ งนน้ั หรอื หายหกตกหลํนไปตาม
กาลเวลา แตํตรงกนั ข๎าม จะตอ๎ งพยายามคิดคน๎ ใหม๎ ีแปลงและใหมเํ พ่ิมเติมจากของเดมิ อยเูํ สมอ และต๎องให๎
เขา๎ กันดว๎ ยดีกลมกลืนกบั ของเกําดว๎ ย
๓ . จะตอ๎ งสํงเสริมเพือ่ ให๎แพรํหลายไปในหมชํู นชาตินัน้ เองและถ๎าสามรถทาํ ได๎ก็ใหเ๎ ผยแพรไํ ปถึงชาติ
อ่ืนๆ ท้ังใกลแ๎ ละไกล
๔ . จะต๎องรจู๎ กั ปรับปรงุ และแก๎ไขให๎เหมาะสมกบั สง่ิ แวดล๎อมเฉพาะหน๎าและสภาพของเหตกุ ารณ๑
ปจ๓ จุบนั (วิเชยี ร กุลตัณฑ๑. ๒๕๐๐ : ๑ - ๑๓)

ยทุ ธศาสตร๑ทง้ั ๔ ที่ดําเนินงานผํานมาและภารกิจสําคัญท่จี ะดาํ เนินการตํอไปของกระทรวง
วฒั นธรรม มดี ังนี้
๑ . รกั ษาสบื ทอดวฒั นธรรมของชาตแิ ละความหลากหลายของวฒั นธรรมทอ๎ งถิ่นใหค๎ งอยอํู ยาํ งมั่นคง
๒ . สรา๎ งคํานยิ มและจิตสาํ นกึ ภมู ปิ ๓ญญาไทย
๓ . นาํ ทนุ ทางวัฒนธรรมของประเทศมาสร๎างคณุ คําทางสังคมและเพมิ่ พนู ทางเศรษฐกจิ
๔ . บรหิ ารจัดการองคค๑ วามรู๎ ด๎านศาสนา ศลิ ปะ และวัฒนธรรม
(กระทรวงวฒั นธรรม. ๒๕๔๘ : ๑๑)

๑๑

๒. เอกสารทีเ่ กยี่ วกับการละเลน่ พ้ืนบ้านอีสาน
เครือจิต ศรบี ุญนาค (๒๕๓๔ : ๓๔) ได๎ศึกษาการฟอู นลําและการละเลํนพนื้ บ๎านอสี าน กลาํ ววาํ
ดนตรลี ะเพลงท่ใี ชป๎ ระกอบพิธกี รรมเรือมาม๎วดจะใช๎วงกันตรึมบรรเลงบทเพลงกันตรึม เป็นบทเพลงทม่ี ีความ
ไพเราะแสดงความศกั ด์ิสทิ ธิ์ ทวํ งทาํ นองสวํ นใหญํจะโหยหวน นอกจากจะบรรเลงเพลงครแู ลว๎ จะบรรจุคําร๎อง
ใหส๎ อดคลอ๎ งกบั เหตุการณ๑ในชํวงนัน้ เครอื่ งดนตรที ใ่ี ช๎บรรเลงประกอบพธิ กี รรมเรือมามว๎ ดประกอบด๎วยกลอง
กนั ตรึม ซอด๎วง ปส่ี ลยั ฉ่งิ กรับ โหมํง
จารบุ ตุ ร เรอื งสวุ รรณ (๒๕๒๐ : ๒๐ - ๓๘) ได๎ศึกษาเกย่ี วกับวิวัฒนาการของการละเลนํ พืน้ เมอื ง
อีสานในหนังสือของดอี ีสาน โดยมเี นอื้ หากลําวถงึ เรอื งววิ ฒั นาการละเลนํ พ้ืนเมอื งประเพณฮี ีตสิบสองคองสบิ สี่
ตลอดจนเครื่องดนตรีที่ประกอบกับการละเลนํ พืน้ เมืองและการแสดงพื้นเมอื งตาํ งๆ เชํน วงโปงลาง ประวตั ิ
ความเปน็ มาของโปงลาง และเพลงทบี่ รรเลง
จารุวรรณ ธรรมวัตร (ม.ป.ป. : ๑ - ๒๑๑) ไดศ๎ กึ ษาวจิ ยั บทบาทของหมอลําตอํ สังคมอีสานในชวํ งกงึ่
ศตวรรษ พบวํา หมอลาํ มีบทบาทตอํ สังคมอีสานในดา๎ นตํางๆตอํ ไปนี้
๑. บทบาทในพิธกี รรม ดา๎ นผํอนคลายความตึงเครยี ดควบคมุ พฤติกรรมทางสังคม สร๎างเอกภาพใน
สังคมพรอ๎ มเพรยี ง สงํ เสริมดนตรีพนื้ บา๎ นและการละเลนํ พนื้ บา๎ นเปน็ การลดชํองวํางวิถชี วี ิตแบบเกําและใหมํ
เพราะวถิ ชี วี ติ แบบเกาํ จะให๎ความสาํ คัญด๎านจิตใจมากกวําแบบใหมํ
๒. บทบาทในฐานะมหรสพในดา๎ นให๎ความบันเทงิ ให๎การศึกษาอบรมสงั่ สอนเผยแพรศํ าสนาและ
รกั ษาบรรทัดฐานของสังคม สรา๎ งเอกภาพทางการเมืองและความคดิ โดยการเสนอขอ๎ มูลทเี่ ป็นบรรทดั ฐานทาง
สงั คมฮีตสิบสองคองสิบสี่ และเป็นเคร่ืองสื่อสารชาวบ๎านเปน็ กรณพี ิเศษเพื่อใชใ๎ นพิธศี พโดยเฉพาะ ปรับปรุง
ลลี าของทํานองเพลงให๎กลมกลนื กับบรรยากาศแหงํ ความเศร๎า เชนํ เพลงมอญยาดเล๎ และเพลงมอญร๎องไห๎
เป็นต๎น เม่อื บดิ ามารดา และครูบาอาจารย๑ถึงแกํความตาย ลกู หลานและศิษย๑ต๎องไปรอ๎ งไหแ๎ สดงความ
กตญั ๒ู ซ่งึ เปน็ ประเพณที ีช่ าวมอญถือปฏิบตั มิ าช๎านาน

สกุ จิ พลประถม (๒๕๔๐ : ๑ - ๕) ได๎ศึกษาเกยี่ วกบั เชือ้ ชาติของชาวอสี านท่มี ตี ํอดนตรีพ้ืนบ๎านตาม
แบบของตนเอง เชนํ
๑. เผาํ มอญ ได๎แกํ พวกขมหุ รอื ผท๎ู ึง พวกซอง พวกโส๎ พวกแสก พวกกะลอง พวกขําพร๎าว
สวํ ยหรอื กยุ เขมร
๒. เผําไทย ไดแ๎ กํไทยโคราช ไทยอสี านหรอื ลาว
คนไทยทีอ่ ยํูในภาคอสี าน มเี ชอื้ ชาตเิ ปน็ คนหลายเผําพันธ๑ุ ซงึ่ แตลํ ะเผําจะมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง
และการเปลีย่ นแปลงพฒั นามาโดยลําดบั จนถึงป๓จจุบนั ทางดา๎ นดนตรีพืน้ บ๎านของเช้ือชาติตํางๆ ปจ๓ จบุ ันถูก
ผสมผสานจากวัฒนธรรมดนตรพี ้ืนบา๎ นอสี านไปเชํนเดยี วกนั การแสดง การละเลนํ ของเขาจงึ เป็นเพยี งการ
แสดงสาธติ ทางวฒั นธรรมเทาํ นั้น
สจุ ริต บวั พิมพ๑ (๒๕๓๘ : ๒๑) ไดศ๎ กึ ษาความเปน็ มาของดนตรพี ืน้ บา๎ นภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื วาํ
มีววิ ัฒนาการอยูํ ๓ ระยะ โดยใชเ๎ วลาวิวฒั นาการมาเปน็ เวลานบั พนั ปี ซ่งึ เร่ิมจากการเลียนแบบเสยี ง
ธรรมชาติ ปุาเขาลาํ เนาไพร เสยี งฝนตก ระยะตอํ มาใช๎วัสดพุ ้นื เมืองมาเปาุ เลยี นเสียงธรรมชาติ เชํน ใบไม๎
ต๎นหญ๎าปลอ๎ ง ไม๎ไผํ และระยะที่ ๓ ววิ ัฒนาการจากเคร่ืองหนงั สายหนัง จนเป็นววิ ฒั นาการขนั้ สูงสุดของ
ดนตรพี ้นื บา๎ น มคี วามละเอียด ความยาวของเสยี งเพม่ิ ขึ้น มกี ารผสมผสานจนเกิดเปน็ ดนตรีพ้ืนบา๎ น เชํน
กรบั โปง โปงลาง ระนาด ฆอ๎ ง กลอง โหวด ป่ี พิณ เป็นตน๎
วณี า วีสเพญ็ (๒๕๓๓ : ๒๐) ไดกลาํ วไว๎วําการรอ๎ งรําทําเพลงของชาวอสี านนนั้ จะแตกตํางกนั
ออกไปตามสภาพความเปน็ อยูํ ขนบธรรมเนยี มประเพณีและสภาพภมู ศิ าสตร๑ เน่อื งจากอสี านเปน็ ผืนแผนํ ดิน

๑๒

กวา๎ งใหญํ และการแสดงตํางๆจะมีลักษณะใกลเ๎ คียงกนั ตามกลมุํ จังหวัด การร๎องราํ ทําเพลงน้ันมกั ปรากฏใน
เทศกาลหรืองานประเพณีในเดอื นตํางๆของภาคอสี าน
ชัชวาล วงษ๑ประเสรฐิ (๒๕๓๕ : ๒ - ๓) ไดศ๎ ึกษาเกี่ยวกบั การแสดงพน้ื บ๎านวาํ เปน็ การแสดงท่ี
สะท๎อนวัฒนธรรมของกลํุมชนชาวอสี านเหนือและอีสานใต๎ ทําให๎มคี วามหลากหลายของการแสดง และมี
สีสนั เพ่มิ ขึ้น การแสดงของชาวอีสานแบงํ เป็น ๓ประเภท คือ เพลงพ้นื บ๎าน ละครพ้ืนบา๎ น และการฟูอน
พนื้ บ๎าน
ลัดดา พนสั นอก (ม.ป.ป : ๑๐๕ - ๑๑๗) ไดก๎ ลําวถึงกลุมํ อสี านเหนอื หรือกลมุํ วัฒนธรรมหมอลาํ
หมอแคน ซง่ึ ไดส๎ ืบทอดวฒั นธรรมมาจากลมํุ แมํนํา้ โขง ชาวอีสานเหนือถือวาํ ดนตรีเป็นสวํ นหน่ึงของชวี ติ โดย
การถาํ ยทอดสืบตอํ กนั มาชวั่ ลูกชั่วหลาน นับวาํ ชาวอีสานมีความรา่ํ รวยในด๎านศิลปการดนตรี เพลง และการ
ขับร๎อง รวมทัง้ การละเลํน ซ่งึ แสดงให๎เห็นถึงชีวติ และเอกลกั ษณป๑ ระจาํ ถ่ินอยํางไมํซํา้ แบบใคร

๓. เอกสารท่ีเกีย่ วข้องกบั ผูไ้ ท

พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน (๒๕๒๖ : ๕๕๓) อธบิ ายวาํ ผ๎ูไท เปน็ ชนชาติไทยสาขาหนงึ่ แถว

สิบสองจุไทย และ ส.พลายนอ๎ ย (๒๕๑๗ : ๒๔๖) ได๎อธบิ ายคําวาํ ผไ๎ู ทไวด๎ งั น้ี

“... ผ๎ูไทเป็นช่อื คนไทพวกหนึง่ ซึ่งยงั แบํงออกเปน็ ไทยขาว ไทยดํา บ๎างกว็ ํามไี ทยแดงอีกพวกหนึ่ง ที่

แยกกนั ไปก็เพยี งช่อื เทาํ นัน้ คืออาศยั ความผิดแผกของสีเครื่องนํุงหมํ เทําน้ัน ขนบประเพณขี องพวกผูไ๎ ทวาํ

สร๎างบา๎ นเรอื นทีอ่ ยูกํ ็เปน็ แบบเดยี วกับไทยอน่ื ๆ แปลกแตํพวกญาตพิ ่นี อ๎ งมักรวมกันอยใํู นเรอื นหลังเดยี วกนั ไมํ

กน้ั ห๎องหบั ใหม๎ ิดชิด คงมแี ตกํ างมง๎ุ เปน็ หลงั ๆ ไปเป็นแถวเทํานนั้ ที่เรียกวําผ๎ูไทดําหรอื ผูไ๎ ทขาวเกดิ จาก

ขนบธรรมเนยี มการทําศพ เพราะผู๎ไทขาวไมํเผา นุํงขาวหํมขาวทาํ การเซํนไหวแ๎ ละมีฮวงซยุ๎ เชํนเดียวกับจนี แตํ

พวกผไู๎ ทดาํ ใช๎ธรรมเนยี มเผา นํุงหํมดาํ ถ๎าจําเป็นฝ๓งก็มีบ๎าง อยาํ งไทยภาคกลาง...” ถวิล จนั ลาวงศ๑ (๒๕๑๕ :

๒ - ๑๒) ไดบ๎ รรยายประวตั ผิ ไู๎ ท สรุปได๎วํา เม่อื ราว พทุ ธศกั ราช ๔๐๐ ไทยได๎เร่มิ อพยพลงมาจากดินแดนจนี

ภาคใต๎ บรเิ วณมณฑลฮนุ หนาํ กุยจ๋วิ กวางใส และกวางต๎งุ แยกกันออกเป็น ๒ พวก ไปต้งั ภูมลิ าํ เนาอยูแํ ถบ

แมํนา้ํ สาละวนิ พวกหนึง่ เรยี กกันวําไทยใหญ(ํเง้ยี ว) ตงั้ ตัวเปน็ อิสระได๎เม่อื พทุ ธศักราช ๘๐๐ มีราชธานีอยูทํ ่ี

เมืองพง มีอาณาเขตกวา๎ งขวาง อีกพวกหนง่ึ อพยพตอํ ลงไปทางใต๎มาอยํูท่หี นองแสหรือนาํ นเจา๎ ระหวําง

แมํนํ้าดํากบั แมนํ ํา้ แดง เป็นแหลงํ ทมี่ คี วามอุดมสมบรู ณ๑ ปกครองกันเป็นอาณาจักรเรยี กวาํ อาณาจกั รนํานเจ๎าหรือ

อาณาจักรหนองแส คาดวาํ ประมาณ พทุ ธศกั ราช ๑๒๕๐ และพวกน้ีไดอ๎ พยพแยกยา๎ ยกนั ออกไปอีกเปน็ ๔

สาย สายที่ ๑ อพยพไปทางตะวนั ออก เข๎าอยํูปะปนกบั พวกกวางต๎ุงและไหหลาํ ท่ีอพยพมาจากเสฉวน สายท่ี

๒ อพยพไปตั้งถน่ิ ฐานตามลําแมํนํ้าแดงและเลยไปสมทบกับสายที่ ๑ กม็ ี สายที่ ๓ อพยพไปทางตะวนั ออก

เฉียงไต๎ ถงึ เมอื งแสนหวี ตองอู หงษาวดี วกข้ึนไปทางเมอื งยะไขํ จติ ตะกอง ของพมํา แถบแมํน้ําสาละวนิ

แมนํ า้ํ อริ วดี และมกี ลํุมยํอยอพยพไปทางมณฑลอสั สัมของอนิ เดีย ตัง้ ถิน่ ฐานอยํูแถบแมํนาํ้ พรหมบตุ ร

เรียกวาํ ไทอาหม พวกท่อี ยูขํ า๎ งเมืองแสนหวีไดอ๎ พยพตอํ มาอยูํท่เี มืองพงและวกลงมาอยํทู ีเ่ ชียงใหมํบา๎ ง ลาํ พนู

บา๎ งตามแตํหวั หนา๎ จะพามา สายท่ี ๔ อพยพมาทางใตบ๎ ริเวณท่ีลมํุ แมํนํา้ โขง มาตั้งอยํทู เ่ี มอื งเสยี มมัว (ไทย

ประชมุ ) ระยะหนง่ึ แลว๎ อพยพแยกย๎ายกนั ตํอไปอกี เป็น ๒ สาย ดังน้ี

สายหน่ึงตรงลงมาทางใต๎ มาต้งั อยูทํ ีเ่ มืองเชียงรง๎ุ ตํอมาไดอ๎ พยพเคลอ่ื นยา๎ ยไปยังเขมรฐั นครเงนิ

ยาง พะเยา นครเขลาง สุโขทยั พระบาง (นครสวรรค๑) และพวกท่ีลงมายังเมอื งพระบางน้ีตํอมาก็แยกยา๎ ย

เปน็ กลํมุ ยํอยๆ กระจายกันไปอยใํู นเมอื งตํางๆ ในภาคกลางและภาคใต๎ของประเทศไทย

อกี สายหนึง่ ตรงลงมาทางตะวันออกเฉยี งใต๎ไปต้งั เมืองแถง (เดยี นเบยี นฟู ของเวียดนามในปจ๓ จบุ ัน)

พวกน้ี กระจายกนั ออกเปน็ กลํุมยํอยหลายกลมํุ ตงั้ ม่ันอยทูํ เี่ ดิมก็ อพยพตํอไปก็มี กลุมํ หนง่ึ อพยพไปอยํแู ถบ

๑๓

เมืองสอง ทุํงเชียงคาํ (ทางตะวันออกของเมืองหลวงพระบางของลาวในป๓จจบุ ัน) และกลํุมนเ้ี องตอํ มาก็ได

อพยพมาอยูํในภาคอีสานของประเทศไทยแถบจังหวัดอดุ รธานี หนองคาย ขอนแกนํ ร๎อยเอด็ กาฬสนิ ธุ๑

มหาสารคามและท่อี ื่นๆ อีก พงศาวดารเมืองไลกลําววาํ ชาวผ๎ูไทมี ๓ พวก คือ

ผไ๎ู ทขาวที่อยํเู มอื งไล เมอื งเจยี น เมืองมุน และเมืองยาง รวม ๔ เมอื ง พวกนี้มผี ิวขาวกวํา ผู๎ไท

กลมํุ อืน่ ในงานพิธีตาํ งๆ เชํนงานศพนยิ มนุํงหํมขาวมหี มบํู ๎านตาํ งๆ (เรียกวาํ เมอื ง) ถึง ๑๑ หมูํบ๎าน นอกจาก

ปก๓ หลักต้ังถิน่ ฐานอยํูใน ๔ เมืองดงั กลําวแล๎ว บางกลุมํ กเ็ คลื่อนยา๎ ยไปอยูํท่เี มอื งพงสาลี หลวงพระบาง

และแขวงหวั พัน (ซาํ เหนือ) ของประเทศลาวในปจ๓ จบุ นั

ผไู๎ ทดํา มีอยูทํ ่ีเมืองแถง เมอื งควาย เมอื งดงุ เมอื งมวํ ย เมืองลา เมอื งโมะ เมืองหวัด และเมือง

ซาง รวม ๘ เมือง พวกน้มี ผี วิ ขาวเชํนกัน แตนํ ยิ มนุงํ หํมดํา ใชผ๎ ๎าทอดว๎ ยฝาู ยพน้ื เมอื งย๎อมสีครามหรอื สดี ํา

มีหมํบู ๎านตาํ งๆ ถงึ ๑๑ หมํูบ๎านเชนํ กนั นอกจากจะอยูํทเ่ี มอื งตํางๆ ดงั กลําวแล๎ว บางกลํุมก็อพยพมาอยํูใน

แขวงหัวพนั (ซําเหนือ) เชียงขวาง เวยี งจันทน๑ คํามํวน สุวรรณเขต ของประเทศลาวในป๓จจบุ นั บางกลํมุ ก็

อพยพตอํ มาอยํใู นประเทศไทย

ผู๎ไทแดง พวกนม้ี ีเปน็ จํานวนน๎อยอยแูํ ถบลํมุ แมนํ ้ําแดง ทางตอนเหนอื ของประเทศเวยี ดนามและมี

บ๎างทางแขวงหวั พัน (ซําเหนอื ) ของประเทศลาว การแตํงกายของพวกนีช้ อบใช๎ผา๎ สแี ดงหรอื ขลบิ ตามริมเสื้อ

ด๎วยไหมสีแดง

โดยทเี่ มอื งหลกั ของผไู๎ ทขาว มี ๔ เมือง ของผ๎ูไทดํามี ๘ เมือง สํวนไทยแดงมีเลก็ นอ๎ ย ไมมํ ีหลัก

เมอื งจงึ รวมเมอื งหลักได๎เป็น ๑๒ เมือง จงึ เรยี กกันวํา “สิบสองผไู๎ ทหรือสบิ สองจไุ ท” และบางแหํงก็เรยี ก

เป็นสบิ สองเจา๎ ไท

ผูไ๎ ททีเ่ ขา๎ มาอยใํู นประเทศไทยนนั้ ถูกกวาดต๎อนมาก็มแี ละทอ่ี พยพเขา๎ มาเองเพราะทราบวํามีแหลํง

ทาํ มาหากนิ ท่ีดกี ม็ ี ทม่ี าจากแขวงตาํ งๆ ของประเทศลาวน้นั สํวนใหญถํ กู กวาดตอ๎ นมาด๎วยเหตุผลทาง

การเมือง การสงครามในอดีต ประกอบกับประเทศไทยสมยั นน้ั มีพลเมืองนอ๎ ยจงึ ตอ๎ งการผ๎ูคนมาชํวยสร๎าง

บ๎านเมอื ง เมอื่ พทุ ธศักราช ๒๓๗๗ ไทยทาํ สงครามกบั ญวนเพ่ือแยงํ ประเทศเขมร ระหวํางนัน้ พระมหา

สงครามรองแมํทัพคนหน่งึ พร๎อมดว๎ ยอปุ ฮาดเมืองเวียงจนั ทน๑ (ทไ่ี ทยจับได)๎

ราชบุตรเมอื งกาฬสินธุ๑ และพระพิชยั อดุ มเดชเจา๎ เมืองภแู ลนํ ชา๎ ง ไดย๎ กกองทัพไปกวาดต๎อนราษฎรจากเมือง

วังแขวงเวียงจนั ทน๑ เมอื งเซโปน เมืองพิณ เมอื งพอง แขวงสุวรรณเขต ประเทศลาวเขา๎ มาอยูใํ นประเทศ

ไทยเป็นจาํ นวนมาก เมือ่ พุทธศกั ราช ๒๓๗๙ เจา๎ นครจําปาศกั ด์ิ (นาค) ได๎รบั คําสัง่ จาก

พระยาเดชานชุ ิตซึ่งมาต้ังขดั ตาทัพอยูทํ ่ีเมืองอดุ มมชี ัย กัมพชู า ใหเ๎ ปน็ กองสํงเสบยี งและลาดตระเวนรักษา

ดํานทางแดนญวณ และจัดใหท๎ า๎ วพระยาคุมพลออกลาดตระเวนและเกลีย้ กลอํ มพวกผู๎ไทและพวกขําในเมอื ง

วัง เมอื งเซโปน เมอื งพิณ และเมอื งพอง ไดม๎ าอีกมาก โดยใหม๎ าตั้งภูมิลําเนาอยูํในภาคอีสาน แตมํ บี างกลุํม

หลังจากสงครามสงบแล๎วไดอ๎ พยพกลับ

สอดคล๎องกับเกรียงไกร หวั บุญศาล (๒๕๕๔ : เว็บไซด๑) ไดก๎ ลําวถึงการอพยพเข๎าสูํประเทศไทยของ

คนเผาํ ผไ๎ู ทไดม๎ ผี ูแ๎ บํงการอพยพออกเปน็ ๓ คร้ังใหญํๆ คือ

การอพยพครัง้ ท่ี ๑ การอพยพของคนเผาํ ผู๎ไทเข๎าสปู ระเทศไทย (สยาม) สมัยสมเดจ็ พระเจา๎ ตาก

สนิ แหงํ กรงุ ธนบรุ ี การอพยพของคนเผาํ ผ๎ูไทครงั้ ที่ ๑ น้เี กดิ ขน้ึ ในสมยั สมเด็จพระเจ๎าตากสินแหงํ กรงุ

ธนบุรี ตรงกับประวัตศิ าสตรข๑ องไทย(สยาม) คือ ในระหวําง พ.ศ. ๒๓๒๑ - พ.ศ.๒๓๒๒ โดยในครั้งนนั้ กองทพั

ไทย (สยาม) นาํ โดยเจา๎ พระยามหากษัตริย๑ศึก (รัชกาลท่ี ๑ ในเวลาตอํ มา) กบั เจา๎ พระยา

สุรสีห๑ (บุญมา) ได๎ยกกองทัพท่ีมีทหารสองหมน่ื คนเข๎าไปตีหัวเมอื งลาว ตงั้ แตเํ มืองจาํ ปาศกั ดิ์ถึงเมอื ง

เวียงจันทน๑

๑๔

ในขณะทกี่ องทพั ไทยกาํ ลังล๎อมเมอื งเวียงจนั ทนอ๑ ยํนู นั้ เมอื งหลวงพระบางซงึ่ เปน็ อริกบั เมือง
เวียงจันทนไ๑ ดส๎ ํงกองทพั มาชวํ ยไทยตีเมืองเวยี งจันทนด๑ ๎วย กองทพั ไทยและกองทัพเมอื งหลวงพระบางล๎อม
เมอื งเวียงจันทนอ๑ ยนํู านถึง ๔ เดือนเศษก็สามารถตเี มอื งเวียงจันทน๑แตก กองทพั ไทยจึงได๎ถือโอกาสผนวกลาว
ทง้ั หมดรวมทง้ั เมืองหลวงพระบางซงึ่ มาชํวยไทยตเี มอื งเวียงจันทน๑เข๎าเป็นเมอื งขน้ึ หรือประเทศราชต้งั แตํน้ัน
เป็นต๎นมา

หลงั จากเมืองเวียงจนั ทนแ๑ ตกใน พ.ศ. ๒๓๒๒ ฝุายไทยได๎ใหก๎ องทัพเมอื งหลวงพระบางยกทัพไปตีหัว
เมืองทางตะวนั ออกของเมืองหลวงพระบาง ประกอบด๎วยเมืองทนั ต๑ (ญวนเรยี กวาํ ซือหวี) เมอื งมวํ ย สองเมือง
ดังกลําวนี้เปน็ เมืองของคนเผําผไ๎ู ทดํา ซงึ่ อยํรู มิ เขตพรมแดนของญวน เมือ่ ตไี ดเ๎ มอื งทนั ต๑ เมอื งมํวยแล๎ว ได๎กวาด
ต๎อนเอาครอบครวั ผไู๎ ทดาํ เปน็ จํานวนมากขา๎ มแมํน้ําโขงจากฝ๓ง่ ซ๎ายแมนํ า้ํ โขงคือประเทศลาว มาสํูฝ่ง๓ ขวาแมํน้าํ
โขงคือฝง่๓ ประเทศไทย โดยในชวํ งของการกวาดต๎อนผ๎ูไทดาํ จากเมอื งทนั ตน๑ นั้ เมอื งทันตย๑ งั อยํใู นเขตประเทศ
ลาว แตํในป๓จจุบันเมืองทันตอ๑ ยใูํ นเขตเวียดนามเหนือ สวํ นเมืองมวํ ย ในปจ๓ จบุ นั อยํูในเขตประเทศลาว

สมเดจ็ พระเจา๎ ตากสินมหาราชแหํงกรงุ ธนบุรี ทรงมรี ับสัง่ ใหค๎ นผ๎ไู ทดํากลมํุ น้ไี ปต้งั บ๎านเรือนอยทํู ่เี มอื ง
เพชรบรุ ี แตํไทย(สยาม)เรยี กคนผไู๎ ทดาํ วํา “ลาวทรงดํา” เพราะคิดวาํ เปน็ คนลาว เน่อื งจากอาศัยอยูํในประเทศ
ลาว

ในประวตั ศิ าสตร๑ชํวงน้นั ผ๎ูไทขาวสํวนใหญยํ งั คงอาศยั อยํทู ีเ่ มอื งแถน (เมืองแถง) ไมํไดถ๎ ูกกวาดต๎อน
มาดว๎ ย คนเผําผ๎ไู ทดาํ เมอื งทนั ต๑ เมอื งมํวย สองเมืองน้ีนับเป็นผไู๎ ทระลอกแรกท่ถี กู อพยพเข๎ามาอยใํู นประเทศ
ไทย โดยอาศยั อยทํู ่เี มืองเพชรบุรเี ปน็ แหํงแรก

การอพยพครง้ั ท่ี ๒ การอพยพของคนเผาํ ผไ๎ู ทเขา๎ สปู ระเทศไทย (สยาม) สมยั รชั กาลท่ี ๑ แหํงกรงุ
รตั นโกสินทร๑ คนเผําผ๎ูไทไดอ๎ พยพเข๎ามาในสมยั รัชกาลที่ ๑ ประมาณ พ.ศ.๒๓๓๕-๒๓๓๘ แตํกอํ นทค่ี นเผาํ ผ๎ู
ไทจะอพยพเข๎ามาสูํประเทศไทยในคร้งั นี้ ได๎เกิดเหตกุ ารณ๑หน่งึ ข้นึ กลาํ วคือ กองทพั เมอื งเวยี งจันทน๑ไดย๎ กทัพไป
ตเี มอื งหลวงพระบาง หลังจากทก่ี องทพั เมอื งเวียงจันทนต๑ ีเมอื งหลาวงพระบางแตกแล๎ว เมืองเวียงจันทนไ๑ ดจ๎ บั
กษตั รยิ ข๑ องเมอื งหลวงพระบางสํงกรุงเทพฯ

หลงั จากเมอื หลวงพระบางถกู กองทัพเมืองเวยี งจนั ทน๑ตแี ตกแลว๎ นน้ั เมืองแถนและเมืองพวน
ซ่ึงเคยอยภํู ายใต๎อาํ นาจของเมอื งหลวงพระบาง ไดพ๎ ากันแข็งขอ๎ ไมยํ อมข้นึ ตรงตํอเมอื งเวยี งจันทน๑
กองทัพเวียงจนั ทนจ๑ งึ ยกทพั เขา๎ ตีเมอื งแถนและเมืองพวนจนกระท่งั เมอื งท้งั สองแตก กองทพั เมอื งเวียงจนั ทน๑
ได๎กวาดต๎อนคนเผําไทยดํา ลาวพวน เป็นเชลยสงํ กรงุ เทพฯ สมเด็จพระพุทธยอดฟาู จุฬาโลกฯ รชั กาลท่ี ๑
แหงํ กรุงรตั นโกสินทร๑ ทรงมรี ับสงั่ ใหน๎ าํ คนเผําผไู๎ ทดํากลํมุ น้ไี ปอยทูํ ีเ่ พชรบุรีเหมือนคนเผาํ ไทดํากลุมํ แรกทเ่ี ข๎า
มาประเทศไทย คนผไู๎ ทดําหรอื ทค่ี นไทยเรยี กวาํ ลาวทรงดํา ท้งั สองครงั้ ที่อพยพเขา๎ มาดว๎ ยการถูกเกณฑ๑เขา๎ มา
ท้งั สองครัง้ จึงมารวมตัวกันอยํใู นเมอื งเพชรบรุ ีเพียงแหํงเดียว

การอพยพครงั้ ที่ ๓ การอพยพของคนเผําผู๎ไทเข๎าสูประเทศไทย (สยาม) สมัยรชั กาลท่ี ๓ แหํงกรงุ
รัตนโกสินทร๑ การอพยพของคนเผําผู๎ไทเขา๎ สํปู ระเทศไทยในครง้ั ท่ี ๓ นี้ นบั เป็นการอพยพครง้ั ใหญทํ ี่สุด โดย
อพยพเขา๎ มาในสมยั สมเด็จพระนงั่ เกล๎าเจ๎าอยูํหวั รัชกาลที่ ๓ แหํงกรงุ รัตนโกสนิ ทร๑ นอกจากคนผู๎ไทแลว๎ ยังมี
คนเผําอ่นื ๆบรเิ วณฝง่๓ ซ๎ายแมํนาํ้ โขงอพยพเขา๎ มาในฝง่๓ ขวาแมํนาํ้ โขงคอื ภาคอีสาน และมีบางสวํ นทถ่ี ูกสงํ มาสํู
ภาคกลางของประเทศไทย

สาเหตขุ องการอพยพของคนเผําผ๎ไู ทครง้ั ใหญนํ เ้ี กิดจากความขดั แย๎งทางการเมอื งระหวํางไทยกบั ญวน
กลําวคอื รฐั บาลไทยในสมยั รัชกาลที่ ๓ เกดิ ความขดั แย๎งอยํางรนุ แรงกบั รัฐบาลญวน เน่ืองจากญวนพยายามท่ี
จะขยายอิทธพิ ลเขา๎ มาครอบครองลาวและเขมร ซง่ึ ทง้ั ลาวและเขมรในขณะนน้ั ตํางก็เป็นประเทศราชของ
ประเทศไทย ความขดั แย๎งท่ีเกดิ ข้นึ นีม้ ีความรนุ แรงจนกระทัง่ นาํ ไปสสูํ งครามระหวาํ งไทยกับญวน โดย

๑๕

สงครามระหวาํ งไทยกบั ญวนเกิดข้ึนตงั้ แตํ พ.ศ. ๒๓๗๖ – พ.ศ. ๒๓๙๐ สมรภูมิในการรบสวํ นใหญํอยใูํ น
ประเทศเขมร สงครามท่เี กิดข้ึนทาํ ใหฝ๎ าุ ยไทยและฝาุ ยญวนตอ๎ งใช๎สรรพกําลังและทรพั ยากรไปอยาํ งมากมาย

ทางฝาุ ยประเทศไทยไดเ๎ กณฑเ๑ อาราษฎรจากทางภาคอสี านของไทยเปน็ จาํ นวนมากไปเป็นทหาร การ
ทาํ สงครามกันท้งั ฝาุ ยไทยและฝุายญวนตํางกแ็ ยงํ ชงิ ความได๎เปรียบทางสงครามโดยตาํ งฝาุ ยตาํ งกส็ งํ กองทพั เขา๎
กวาดตอ๎ นเอาผูค๎ นจากลาวฝ่๓งซา๎ ยแมํน้ําโขงไปตัง้ ถิ่นฐานอยูํในชยั ภมู ทิ ฝ่ี ุายตนสามารถจะควบคนผ๎คู นเหลําน้ัน
ได๎ เพือ่ ใหค๎ นเหลาํ นเ้ี ป็นกําลงั พลของตนเอง การอพยพเข๎ามาสํปู ระเทศไทยของคนเผําภุไทครั้งทใี่ หญทํ สี่ ุดนี้
ยังไดแ๎ บงํ การอพยพออกเปน็ หลายกลมํุ ซึง่ ขอแบํงและเรยี งลาํ ดบั ออกเปน็ ๘ กลุมํ (สุวทิ ย๑ ธรี ศาศวตั และ
ณรงค๑ อปุ ญ๓ ญ๑ อ๎างถึงใน เกรยี งไกร หวั บญุ ศาล. ๒๕๕๔ : เว็บไซด๑) ดงั นค้ี อื

กลมํุ ๑ เปน็ กลมุํ คนเผําผไู๎ ททีอ่ พยพมาจากจากเมอื งวงั ของประเทศลาว กลํมุ นถ้ี ูกกวาดต๎อนใหม๎ า
ตัง้ ถ่นิ ฐานอยูํตามที่ตาํ งๆ ได๎แกํ

อาํ เภอสหัสขนั ธ๑ จังหวัดกาฬสินธุ๑ มปี ระมาณ ๓๐๐ หลังคาเรอื น หรือมปี ระชากรรวมกนั ประมาณ
๑,๒๐๐ คน โดยตัง้ ถิน่ ฐานอยูํตามหมบํู ๎านตาํ งๆ มจี าํ นวน ๔ หมูํบ๎าน อันไดแ๎ กํ บ๎านโพน
บ๎านหนองยางเหนือ บ๎านหนองยางใต๎ ตําบลโพน

ตําบลทํุงครอง มีจํานวน ๔ หมบูํ า๎ น ไดแ๎ กํ บา๎ นทุงํ ครอง บา๎ นเกําเดื่อ บา๎ นคํามํวงและ
บา๎ นหนองสะพงั

ตาํ บลสําราญ มจี าํ นวน ๕ หมํบู ๎าน ได๎แกํ บา๎ นหนองแซง บา๎ นค๎อ บ๎านจาน บา๎ นหนองชา๎ ง บ๎าน
หนองแซง บา๎ นทาํ ปจ๓ จบุ นั บา๎ นเหลาํ นขี้ นึ้ กบั อาํ เภอคาํ มํวงและข้นึ อยํูกบั อาํ เภอสหัสขันธม๑ ีจาํ นวน ๒ หมํบู า๎ น
ซ่ึงอยูใํ นตําบลโนนศลิ า มีจํานวน ๒ หมูํบ๎าน คอื บ๎านตงไรํ และบา๎ นคอนผงึ้

กลุํม ๒ เป็นกลํมุ คนเผําผไ๎ู ทที่อพยพมาจากเมืองวงั ของประเทศลาวเชนํ เดียวกนั กบั กลมุํ ที่ ๑ โดยได๎
ถกู กวาดต๎อนมาตงั้ ถน่ิ ฐานอยํูที่ตํางๆ ดงั น้ี

อาํ เภอกฉุ ินารายณ๑ จงั หวดั กาฬสนิ ธ๑ุ คนเผาํ ผูไ๎ ทกลุมํ นี้เป็นกลุํมใหญมํ ีประชากรรวมกนั ประมาณ
๑๔,๕๒๑ คน

ตาํ บลบวั ขาว มจี ํานวน ๕ หมูบํ า๎ น
ตําบลแจนแลน มจี ํานวน ๔ หมูํบ๎าน
ตําบลแลนํ ชา๎ ง มีจํานวน ๕ หมํบู ๎าน
ตําบลสงเปอื ง มีจาํ นวน ๖ หมํูบ๎าน
ทตี่ าํ บลคม๎ุ เกาํ มจี ํานวน ๑๑ หมบํู า๎ น
กลมุํ ๓ เปน็ กลมํุ ผู๎ไททีอ่ พยพมาจากเมืองวังประเทศลาวเชํนเดยี วกนั โดยถูกกวาดต๎อนใหม๎ าตัง้ ถนิ่
ฐานอยูใํ นท่ีตํางได๎แกํ
เมืองพรรณนานคิ ม (อาํ เภอพรรณนานคิ ม จังหวดั สกลนคร) ซึง่ ในสมัยนนั้ เรยี กวาํ บ๎านพงั พร๎าว (จาก
การสาํ รวจในปี พ.ศ. ๒๕๑๓) พบวาํ ในอาํ เภอพรรณนานิคม ตอนนน้ั มี ๗ ตาํ บล มีคนเผําผไ๎ู ททั้ง ๗ ตาํ บล มี
คนผ๎ูไท จาํ นวน ๑๑ หมบูํ า๎ น ตาํ บลสวาํ ง มีจาํ นวน ๑๗ หมบูํ ๎าน ตําบลนาใน มจี ํานวน ๑๐ หมํูบ๎าน ตําบลหวั
บอํ มีจาํ นวน ๑๐ หมูํบา๎ น ตาํ บลไรํ มจี าํ นวน ๙ หมํูบ๎าน ตาํ บลพอกน๎อย มีจํานวน ๗ หมํบู ๎าน และ ตําบลวงั
ยาง มีจาํ นวน ๑ หมูํบา๎ น รวมกนั มจี ํานวน ๖๕ หมูํบ๎าน
อาํ เภอเมืองสกลนคร ๑๓ ตาํ บล ๔๘ หมํูบ๎าน
อาํ เภอพงั โคน จาํ นวน ๔ ตาํ บล มจี าํ นวน ๒๓ หมูํบา๎ น
อําเภอบา๎ นมวํ ง มจี าํ นวน ๓ ตาํ บล มีจํานวน ๑๖ หมูํบา๎ น
อําเภอวานรนิวาส มีจํานวน ๔ ตําบล ในจํานวน ๘ หมํบู ๎าน

๑๖

อําเภอกสุ ุมาลย๑ มจี ํานวน ๒ ตาํ บล ใน ๔ หมบํู ๎าน

อาํ เภอสวาํ งแดนดิน มีจํานวน ๒ ตาํ บล ในจํานวน ๓ หมํบู า๎ น

อําเภอกดุ บาก มีจาํ นวน ๑ ตาํ บล ในจาํ นวน ๓ หมบูํ ๎าน อาํ เภอวารชิ ภูมิ มีจาํ นวน ๔ ตาํ บล ใน

จํานวน ๔ หมูํบา๎ น

กลุมํ ๔ กลํมุ คนเผาํ ผไ๎ู ทกลุํมน้ีอพยพมาจากเมอื งวงั และเมอื งคําอ๎อ โดยได๎ไปตงั้ ถนิ่ ฐานทีบ่ า๎ นหนองสูง

และบา๎ นคําชะอี ในป๓จจุบนั ขึ้นอยํูกบั จังหวดั มุกดาหาร

ท้ัง ๔ กลํุมนี้ ถูกกวาดต๎อนมาตงั้ ถ่ินฐานในประเทศไทยประมาณ พ.ศ. ๒๓๘๔-๒๓๘๗ ในรชั กาลที่ ๓

กลมํุ ๕ เปน็ กลํุมคนเผําผไู๎ ททอี่ พยพมาจากเมอื งวัง ประเทศลาว แตอํ พยพมากํอนคนเผาํ ผ๎ไู ท ๔

กลํมุ แรก โดยได๎อพยพมาต้ังแตํ พ.ศ. ๒๓๗๓ มาต้งั ถน่ิ ฐานอยทูํ ่บี ๎านหว๎ ยหัวขวั บา๎ นบอํ จันทร๑ และบา๎ นดง

หวาย ทางการได๎ยกบ๎านดงหวายเปน็ เมืองเรณูนคร ในครง้ั นน้ั มปี ระชากรประมาณ ๒,๖๔๘ คน (การสาํ รวจ

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓) มีคนผูไ๎ ทอาศัยอยํูใน จงั หวดั นครพนม ๑๓๑ หมูํบ๎าน ในจํานวน ๕ อาํ เภอ ได๎แกํ อําเภอนา

แก มีจาํ นวน ๗๘ หมํบู ๎าน อาํ เภอเรณนู คร มจี าํ นวน ๒๘ หมบูํ ๎าน อาํ เภอธาตุพนม มจี าํ นวน ๑๔ หมูบํ า๎ น

อําเภอศรีสงคราม มีจํานวน ๗ หมบํู ๎าน อําเภอเมอื ง มจี าํ นวน ๔ หมูํบา๎ น

กลมํุ ๖ เปน็ กลุํมคนเผาํ ผ๎ไู ทท่ีอพยพมาจากเมืองตะโปน (เซโปน) มปี ระมาณ ๑,๘๔๗

ครอบครัว อพยพมาต้ังถิ่นฐานอยทํู บี่ า๎ นชํองนาง ตํอมาได๎ยกชํองนางเปน็ เมืองเสนางคนิคม ปจ๓ จบุ ันข้นึ กับ

จงั หวดั อาํ นาจเจริญ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ มคี นผ๎ูไทอาศัยอยจูํ าํ นวน ๕ หมํบู า๎ น ในจํานวน ๒ อําเภอ ไดแ๎ กํ อาํ เภอ

เสนางคนิยมและอาํ เภอชานมุ าน

กลุมํ ๗ เปน็ กลุํมคนเผําผูไ๎ ททอ่ี พยพมาจากเมืองตะโปนเชํนกันกับกลุํมที่ ๖ โดยได๎อพยพมาตงั้ ถ่นิ ฐาน

อยํูทีบ่ ๎านคาํ เมอื งแกว๎ ตํอมายกขน้ึ เป็นเมอื งคําเขื่อนแกว๎ ในปี พ.ศ. ๒๓๘๘

กลมํุ ๘ เป็นกลุมํ คนเผาํ ผ๎ไู ททอี่ พยพมาจากเมอื งกะปอง ประเทสลาว โดยมาต้ังถนิ่ ฐานอยูทํ บ่ี า๎ นปลา

เปาู ถูกยกเป็นเมืองในปลายสมัยรชั กาลที่ ๔ พ.ศ.๒๔๑๐ เปน็ เมืองวาริชภมู ิ คนผ๎ูไทในอาํ เภอวาริชภมู ิมีจาํ นวน

๔ ตาํ บล ได๎แกํ ตําบลวารชิ ภมู ิ มีจาํ นวน ๑หมํบู ๎าน อยใูํ นตาํ บลคาํ บอํ ๑๒ หมํูบ๎าน อยํใู นตาํ บลปลาโหล

จาํ นวน ๙ หมูํบา๎ น และในตาํ บลเมืองลาด มจี าํ นวน ๗ หมบูํ ๎าน คนผู๎ไทกลุํมนเ้ี รยี กวํา “ผูไ๎ ทกระปอ๋ ง” ซงึ่ คง

จะแผลงมาจากกะปอง

บุญยงค๑ เกศเทศ (๒๕๓๖ : ๑๑๓-๑๑๔) กลาํ ววํา ผไู๎ ท เปน็ ชนเผาํ ทมี่ ีอยูปํ ระมาณ ๑ แสนคนเศษ จะ

ตง้ั ภมู ลิ ําเนาอยํูบริเวณลํุมแมนํ ้าํ โขงและแถบเทือกเขาภูพานเชํนจังหวัดนครพนม มใี นอําเภอคาํ ชะอี ธาตพุ นม

อาํ เภอเมือง และนาแก จังหวัดมกุ ดาหาร มีอยํทู ่ี ก่ิงอาํ เภอหนองสงู หนาแนํนที่สดุ ในทุกตาํ บลและหมบํู า๎ น

ในจงั หวดั สกลนคร มีอาํ เภอวารชิ ภูมิ จงั หวัดกาฬสินธ๑ุ มีในอําเภอกฉุ ินารายณ๑ สหสั ขันธ๑ เขาวง ยงั มีผูไ๎ ท

ท่ีตั้งภูมิลาํ เนาอยํูในจังหวัดราชบุรี และจงั หวัดเพชรบุรอี กี กลมุํ หน่งึ ซงึ่ เรยี กวาํ “ลาวโซงํ ” เม่ือกลมํุ ผไ๎ู ทเข๎ามา

ตง้ั ถน่ิ ฐาน ในประเทศไทยใหมๆํ จะอยโํู ดดเดย่ี วและอิสระ โดยมีผป๎ู กครองตนเอง หลังจากพระบาทสมเดจ็

พระจุลจอมเกลา๎ เจ๎าอยหูํ วั ได๎ทรงจดั ระบบการปกครองของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ใหมํในปลายศตวรรษที่

๑๙ แลว๎ พวกผ๎ูไทได๎เข๎ามาอยํูในครอบครองของไทยเปน็ กลมุํ ชนเผาํ ท่ีมหี นา๎ เปน็ รปู ไขํ ผวิ ขาว นวลเกลีย้ ง

กิริยามารยาทแชมํ ชอ๎ ย มีอัธยาศยั ไมตรอี ันดี

ทองคณู หงสพ๑ นั ธุ๑ (๒๕๒๒ : ๖) ได๎กลาํ ววาํ นอกจากมีผ๎ูไทขาว ผไ๎ู ทดาํ และยังมีผไู๎ ทแดง และผู๎ไท

ลายอีกด๎วย คงจะเรียกชอ่ื เพ่อื สอดคลอ๎ งกบั สีของเสือ้ ผ๎าทส่ี วมใสํ ช่อื ผ๎ไู ทสาขาตํางๆ นย้ี ังสะท๎อนใหเ๎ หน็ ถงึ ความ

แตกแยกทางประวัติศาสตรแ๑ ละการเมืองของผู๎ไทดว๎ ยกันเอง ชือ่ ท่ีตํางกนั เหลํานอี้ าจจะไมมํ ีความหมายสําคัญ

นกั เพราะในระยะหลังได๎รบั วัฒนธรรมไทย – ลาวเข๎าไปปะปนมาก จากการสํารวจเม่อื ปี พุทธศักราช ๒๕๐๕

พบวําทรงผมด้งั เดมิ ของพวกผ๎ไู ท และการใสตํ ํางหเู งินขนาดใหญํ อนั เปน็ ลักษณะเดิมประจาํ ของพวกผไ๎ู ทน้นั

๑๗

พบทบ่ี า๎ นกดุ มอด อาํ เภอกุฉนิ ารายณ๑ และ บา๎ นโพนทอง อาํ เภอเรณูนคร โดยใชก๎ ันเฉพาะในกลมุํ ผ๎ูสูงอายุ

เทาํ นัน้

เจรญิ ชัย ชนไพโรจน๑ (๒๕๒๙ : ๓) ได๎กลําววาํ ชาวผู๎ไทมีชวี ิตความเป็นอยูอํ ยาํ งเดียวกนั กบั ชาว

ชนบททว่ั ๆ ไปของอีสาน คอื มอี าชีพทาํ นา ทาํ ไรํ ทําสวน เลย้ี งสตั ว๑ ปลกู ฝาู ย ปลูกหมอํ น เลี้ยงไหม ทอผา๎ ทํา

เครื่องนงํุ หมํ และเครือ่ งใชส๎ อยในครวั เรือนเอง เชนํ กระบอกนํา้ เต๎า กลอํ งขา๎ ว ตะกร๎า เชี่ยนหมากกระหยงั

กระบอกเหลก็ ไฟ และฝ๓กมดี เปน็ ต๎น นอกจากนยี้ ังมีเคร่อื งดนตรีมากมายหลายอยําง ซงึ่ ลว๎ นแล๎วแตํเปน็

เคร่ืองดนตรเี กาํ แกทํ ั้งสิ้น เครือ่ งดนตรเี หลํานห้ี ากจะแบํงประเภทตามลกั ษณะการแบงํ เครื่องดนตรขี องไทยก็

จะแบงํ ไดด๎ ังน้ี

๑. เครื่องดดี ได๎แกกํ ระจับปี่ และโกย

๒. เคร่อื งสี ไดแ๎ กํซอ

๓. เคร่ืองตี ได๎แกํหมากกลิง้ กลอํ ม ฆอ๎ ง พางฮาด กลองแตํ กลองตุม๎ กลองกระเบื้อง กลอง

ทาง หมากกบั แกบ๎ ส่ิง และแสงํ

๔. เคร่อื งเปาุ ไดแ๎ กปํ ี่ แคน และโหวด

๔. บรบิ ทพนื้ ที่

ภาพประกอบ ๒.๑ แผนทจี่ ังหวดั กาฬสนิ ธ๑ุ ท่ีมา (www.folktravel.com : สบื ค๎นวนั ท่ี ๓ ธนั วาคม
๒๕๕๗)

ประวัติความเป็นของจงั หวัดกาฬสนิ ธนุ๑ ัน้ สมัย สุทธิธรรม (๒๕๔๑ : ๕-๑๕) ได๎สรุปไวว๎ าํ เมื่อ
ประมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๑๗ ดนิ แดนแหํงเมอื งกาฬสนิ ธน๑ุ ีไ้ ดม๎ กี ลํุมชนเผาํ มอญ ละว๎าเขา๎ มาอาศยั อยํูแตํ
ดั้งเดิมกํอนแล๎ว ดงั ปรากฏหลกั ฐานทางประวัติศาสตร๑และโบราณคดเี ป็นซากปรกั หกั พงั ของเมืองเกาํ อยหูํ ลาย
แหํง เชํนเมอื งฟูาแดดสูงยาง เมืองเชียงโสม เมอื งเชยี งสา และเมอื งเชยี งนอ๎ ย เป็นต๎น เมอื งเหลาํ น้ีจดั อยํู

๑๘

ในสมยั ทวารวดี แตไํ ด๎รา๎ งไป ในปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๑๗ หรอื ประมาณ ๙๐๐ – ๑,๐๐๐ ปีท่ีผํานมา ใน
สมยั ขอมเรอื งอาํ นาจเมอื งฟูาแดดสูงยางเป็นเมอื งทใ่ี หญํโตและงดงามมาก ตามตาํ นานกลาํ ววํามปี ราสาทราช
วัง ประกอบดว๎ ยแกว๎ สตั นิล ลานถนนปูด๎วยกระเบอื้ งและกรวดเพชรสวยงาม ซง่ึ สิง่ กอํ สร๎างเหลาํ น้ีไดร๎ ๎างและ
จมลงดินคงเหลือไว๎แตซํ ากอิฐและศิลาดังปรากฏในปจ๓ จบุ นั นีเ้ ทํานนั้

ประวัติเมอื งกาฬสินธ๑ปุ รากฏชัดเจนขึน้ ในต๎นกรุงรัตนโกสินทร๑เมือ่ ประมาณปีพทุ ธศักราช ๒๓๒๐
เจา๎ ผา๎ ขาว ซึ่งเปน็ พวกเดยี วกันกับเจา๎ พระตาและเจา๎ พระวอ ได๎เกดิ ผดิ ใจกับผคู๎ รองนคร
เวียงจนั ทร๑ โดยโอรสของพระเจ๎ากรุงศรีสัตนาคหตุ เวยี งจันทร๑ได๎ทาํ ผดิ ประเวณใี นหลานสาวของเจา๎
ผา๎ ขาว ในขณะน้นั ประกอบกบั พระเจ๎าสริ ิบญุ สารกับเจ๎าพระตา เจ๎าพระวอ ไดเ๎ กดิ ระแวงตอํ กัน จงึ พากนั
อพยพครอบครัวข๎ามแมนํ ้ําโขงมาฝง๓่ ขวา คอื ฝ๓่งไทย เข๎ามาต้ังหลกั แหลงํ อยํทู ี่บ๎านหินโงม เขตเมอื งหนองบวั
ลํุมภูพวกหนงึ่ และท่ีบ๎านกะลมื เมอื งพาน (ตาํ บลพาน อําเภอบา๎ นผอื จังหวดั อดุ รธานี) อกี พวกหน่ึง
ครนั้ พระเจา๎ สิรบิ ุญสารเหน็ เหตกุ ารณ๑เปน็ เชนํ น้นั กค็ ดิ วําเจ๎าพระตาและเจา๎ พระวอจะเปน็ กบฏ จึงจัด
กองทพั เวียงจันทรต๑ ามมาตเี มืองหนองบวั ลมํุ ภู ฝุายเจา๎ พระตาและเจา๎ พระวอเมือ่ ร๎ูขําวเจา๎ กรุงเวยี งจันทรจ๑ ะ
ยกทัพมาตีจงึ ได๎เตรยี มตัวต้งั รบั สรา๎ งปูอมคปู ระตูหอรบใหม๎ ่นั คงแข็งแรง แล๎วขนานนามเมอื งใหมํวํา “นคร
เข่ือนขนั ธก๑ าบแกว๎ บวั บาน”
กองทพั เวยี งจันทร๑ถกู กองทพั ฝุายเจ๎าพระตาและเจ๎าพระวอ ตีแตกพาํ ยกลับไปหลายครั้ง สู๎รบกันอยํู
ถงึ ๓ ปี เจ๎าพระตาและเจ๎าพระวอซ่งึ กาํ ลงั น๎อยกวาํ จึงได๎แตงํ เครอ่ื งบรรณาการออํ นน๎อมขอกาํ ลงั พมาํ มา
ชํวย แตํพมาํ กลับเข๎าข๎างกองทัพเวียงจันทรต๑ ีขนาบกองทัพเจ๎าพระตาและเจา๎ พระวอจนแตกพาํ ย เจา๎ พระตา
สน้ิ ชีพในสนามรบ ครน้ั กองทพั แตกพํายก็แยกยา๎ ยกนั ไปตง้ั ถิ่นฐานในทีต่ าํ งๆ ซง่ึ เหน็ วําปลอดภัยและสะดวกใน
การทํามาหากิน เจา๎ พระวอพาพรรคพวกและครอบครัวหนีไปต้งั ถน่ิ ฐานอยทํู างแถบลมุํ แมนํ ํ้ามูล บริเวณดอน
มดแดง อาณาเขตจงั หวดั อบุ ลราชธานีในป๓จจุบนั สํวนเจ๎าผ๎าขาวไดพ๎ าหลานสาวและไพรพํ ลอพยพลงไปทาง
ใต๎ มาตงั้ ถ่นิ ฐานอยํูที่บา๎ นพรรณา บา๎ นผ๎าขาว จนกระทั่งหลานสาวได๎คลอดบุตรชายให๎ช่อื วาํ เจา๎ โสมพะ
มิตร เม่ือเจ๎าผ๎าขาวถึงแกกํ รรมลง เจา๎ โสมพะมติ รจึงไดป๎ กครองบําวไพรจํ ํานวน ๕,๐๐๐ คน สบื ตอํ มา
ตอํ มาเมื่อเหน็ วําอยูํทบ่ี า๎ นผ๎าขาว บา๎ นพรรณาจะไมปํ ลอดภยั จงึ พาครอบครวั และบําวไพรํเดินทาง
ข๎ามเทอื กเขาภูพานลงไปตง้ั ถิน่ ฐานอยํบู ริเวณลมํุ นา้ํ กํา่ และลํุมน้าํ ลาํ ปาว ซง่ึ ตํอมาเรียกบา๎ นกลางหมน่ื ได๎
ย๎ายลงไปต้ังบ๎านเรอื นบริเวณแกํงสําโรง ชายดงสงเปือย ซ่ึงมแี หลงํ นาํ้ และดนิ อนั อุดมสมบูรณ๑ ตํอมาเจา๎ เมอื ง
ร๎อยเอด็ ไดน๎ ําเจ๎าโสมพะมิตรเข๎าทูลเกล๎าฯ ถวายเคร่อื งราชบรรณาการแกํพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟูาจุฬา
โลก รชั กาลที่ ๑ แหงํ กรงุ รัตนโกสินทร๑ พรอ๎ มกบั กราบบงั คมทลู พระกรุณาขอตงั้ บา๎ นแกงํ สําโรง ชายสง
เปอื ย ขึน้ เป็นเมืองในปพี ทุ ธศักราช ๒๓๓๖
พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟาู จฬุ าโลกทรงพระกรณุ าโปรดเกล๎าฯ ใหย๎ กบ๎านแกํงสาํ โรงขน้ึ เป็นเมอื ง
ด๎วยเหตุทบี่ า๎ นแกํงสาํ โรงอยใูํ นบรเิ วณลุํมน้ํากาํ่ ซ่งึ ภาษาอสี านหมายถึงสดี าํ จงึ ได๎พระราชทานนามเมืองใหมนํ ้ี
วาํ เมืองกาฬสินธ๑ุ ซึ่งแปลวํา นาํ้ ดาํ หรือน้าํ ก่ํานั่นเอง และทรงพระกรุณาโปรดเกล๎าฯ พระราชทานบรรณดา
ศกั ดิใ์ หเ๎ จา๎ โสมพะมิตร เปน็ พระยาไชยสุนทรเจ๎าผูค๎ รองเมอื งกาฬสินธคุ๑ นแรก และใหท๎ ๎าวคาํ หวาเป็นอุปฮาด
ทําราชการขึน้ ตอํ กรงุ เทพฯ นบั แตนํ ั้นมา

ประวัติความเป็นมาของชาวผ๎ไู ทในจังหวดั กาฬสนิ ธ๑ุน้ัน สวุ ิทย๑ ธรี ศาศวัต และ ณรงค๑ อุปญ๓ ญ๑ อา๎ งถึง
ใน เกรียงไกร หัวบญุ ศาล. (๒๕๕๔ : เวบ็ ไซด๑) ได๎กลาํ วถึงชาวผู๎ไททีอ่ พยพเข๎ามาอาศยั ในเขตพนื้ ทจ่ี งั หวดั
กาฬสนิ ธว๑ุ ํามี ๒ กลมํุ คอื

กลมํุ ๑ เปน็ กลุํมคนเผาํ ผูไ๎ ทท่ีอพยพมาจากจากเมืองวงั ของประเทศลาว กลํมุ นถี้ ูกกวาดตอ๎ นใหม๎ าตง้ั
ถิน่ ฐานอยตํู ามทีต่ ํางๆ ไดแ๎ กํ

๑๙

อําเภอสหัสขันธ๑ จังหวดั กาฬสนิ ธุ๑ มปี ระมาณ ๓๐๐ หลังคาเรอื น หรอื มปี ระชากรรวมกันประมาณ
๑,๒๐๐ คน โดยตัง้ ถ่นิ ฐานอยตํู ามหมูบํ า๎ นตํางๆ มีจาํ นวน ๔ หมูํบ๎าน อันได๎แกํ บา๎ นโพน
บา๎ นหนองยางเหนอื บ๎านหนองยางใต๎ ตําบลโพน

ตาํ บลทุํงครอง มจี ํานวน ๔ หมบํู า๎ น ได๎แกํ บ๎านทุงํ ครอง บา๎ นเกําเดอื่ บ๎านคํามวํ งและ
บ๎านหนองสะพัง

ตําบลสําราญ มจี าํ นวน ๕ หมูบํ ๎าน ไดแ๎ กํ บ๎านหนองแซง บา๎ นค๎อ บา๎ นจาน บ๎านหนองช๎าง บา๎ น
หนองแซง บา๎ นทาํ ป๓จจุบันบา๎ นเหลํานข้ี ้นึ กับอาํ เภอคํามวํ ง จงั หวดั กาฬสินธุ๑ สวํ นข้ึนอยกูํ ับอาํ เภอสหัสขันธม๑ ี
จํานวน ๒ หมํบู ๎าน ซ่ึงอยใูํ นตาํ บลโนนศลิ า คอื บา๎ นตงไรํ และบา๎ นคอนผึ้ง

กลุมํ ๒ เปน็ กลมํุ คนเผาํ ผไ๎ู ททีอ่ พยพมาจากเมืองวงั ของประเทศลาวเชนํ เดียวกันกบั กลมํุ ท่ี ๑ โดยได๎
ถกู กวาดต๎อนมาตงั้ ถ่ินฐานอยทํู ต่ี าํ งๆ ดงั นี้

อําเภอกฉุ นิ ารายณ๑ จงั หวดั กาฬสนิ ธ๑ุ คนเผําผไู๎ ทกลมํุ นเ้ี ป็นกลํมุ ใหญมํ ปี ระชากรรวมกันประมาณ
๑๔,๕๒๑ คน

ตาํ บลบวั ขาว มีจํานวน ๕ หมูบํ ๎าน
ตําบลแจนแลน มจี ํานวน ๔ หมูํบา๎ น
ตําบลแลนํ ช๎าง มีจํานวน ๕ หมํูบ๎าน
ตําบลสงเปอื ง มจี ํานวน ๖ หมูบํ ๎าน
ทต่ี าํ บลคม๎ุ เกาํ มีจาํ นวน ๑๑ หมูํบ๎าน
ผ๎ไู ททงั้ ๒ กลํมุ นี้ ถกู กวาดตอ๎ นมาตงั้ ถิน่ ฐานในประเทศไทยประมาณ พ.ศ. ๒๓๘๔-๒๓๘๗ ในชํวง
รัชกาลท่ี ๓ แหํงกรงุ รัตนโกสินทร๑
ซ่ึงจากข๎อมลู ดงั กลาํ วทําให๎ทราบวาํ ปจ๓ จุบันกลํมุ ชาวผไู๎ ททง้ั ๒ กลํุมนอี้ าศัยอยูํในพน้ื ท่ี ๕ อาํ เภอใน
จงั หวดั กาฬสินธุ๑ คือ อาํ เภอกุฉินารายณ๑ อาํ เภอเขาวง อาํ เภอนาคู อําเภอสหสั ขนั ธ๑ และอําเภอคาํ มวํ ง

ภาพประกอบที่ ๒.๒ แผนทแี่ สดงอาํ เภอกฉุ นิ ารายณ๑ อําเภอเขาวง อาํ เภอนาคู
อําเภอสหสั ขนั ธ๑ และอําเภอคํามํวง ทม่ี า

(https://kalasinsity.files.wordpress.com/๒๐๑๑/๐๙/klsmap
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๒๒๒๒๒๒๒๒.jpg : สืบคน๎ วนั ท่ี ๓ ธันวาคม ๒๕๕๗)

๒๐

๕. ทฤษฏีท่ีใช้ในการวิจยั
การศกึ ษาครัง้ นเี้ ปน็ การวจิ ยั เชงิ คุณภาพ ผ๎ูวจิ ัยไดใ๎ ช๎ทฤษฎีทางมานษุ ยวิทยามาประกอบในการวิจยั
โดยใช๎ทฤษฎปี ระวตั ศิ าสตร๑ ทฤษฎีเชงิ ชาตพิ ันธุ๑วรรณนา ทฤษฎีการแพรกํ ระจายทางวัฒนธรรม และทฤษฎี
โครงสร๎างและหน๎าที่ โดยมีรายละเอียดดังนี้

๕.๑. ทฤษฎีประวัตศิ าสตร๑ (Historical Theory) เปน็ ทฤษฎที ีจ่ ะนาํ ไปสกํู ารศกึ ษาเก่ยี วกับมนุษย๑
วิทยาและวฒั นธรรม ทฤษฎีน้เี กดิ ขน้ึ เม่อื กลางศตวรรษท่ี ๑๙และสืบเน่ืองมาจนถงึ ศตวรรษท่ี ๒๐ทฤษฎีน้ีได๎
กลําวถึงลักษณะของการแพรํกระจายทางวัฒนธรรมและการผสมกลมกลนื ทางประวตั ิศาสตร๑ ผู๎ให๎แนวคดิ
ทฤษฎีนคี้ อื ฟรานซ๑ โบแอส (Franz Boas) และลูกศิษย๑ของเขาหลายคน ทฤษฎนี ไ้ี ด๎มพี ฒั นาการในเบ้อื งต๎น
โดยการอธิบายถงึ การแพรํกระจายและการเปลีย่ นแปลงทางวัฒนธรรมและสังคมและยงั ไดใ๎ ห๎คําอธบิ าย
เพม่ิ เติมเก่ยี วกบั การเปล่ียนแปลงทางวฒั นธรรมแกํนกั ปฏวิ ตั วิ ฒั นธรรม ซ่ึงนักปฏวิ ัตวิ ัฒนธรรมมคี วามเห็นวํา
ผค๎ู นในสงั คมหนง่ึ ๆ มีบทบาทและความคิดเหมือนๆ กัน การพฒั นาทางวฒั นธรรมและสงั คมจะตอ๎ งเป็นไป
พรอ๎ มๆ กนั ทงั้ หมดและไมํมสี ํวนรวํ มเกยี่ วข๎องกบั สงั คมอน่ื แตสํ งั คมขา๎ งเคยี งจะตอ๎ งมคี วามยอมรับซ่งึ กันและ
กัน สงั คมทีม่ ีการพัฒนาตา่ํ ก็จะมแี นวคดิ ความอาํ นตา่ํ กวาํ สังคมทมี่ ีการพฒั นาการสูง เมอ่ื นกั ปฏิวัตทิ างสงั คมมี
ความคิดเหน็ เชํนน้ี จงึ เป็นการยากทจ่ี ะอธบิ ายความกระจํางชดั ของกระบวนการและอิทธพิ ลใดๆ ในการ
พัฒนาเปลย่ี นแปลงของสังคม ดังนั้นเพือ่ ความกระจาํ งชัด นกั ทฤษฎีตาํ งๆ จงึ แสดงบทบาทโดยการใช๎วธิ ีการ
ทางประวัติศาสตร๑เข๎ามาศึกษาถงึ ความเปล่ยี นแปลงทางวัฒนธรรมและการพัฒนาสงั คมตลอดจนสาเหตุและ
กระบวนการท้งั หมด สรุปสาระสาํ คญั ของทฤษฎีไดว๎ าํ
๑) วฒั นธรรมแตลํ ะสังคมได๎รบั อิทธิพลจากเอกลักษณข๑ องประวตั ิศาสตรว๑ ัฒนธรรมเฉพาะสงั คม
จากองคป๑ ระกอบหลายดา๎ นมากมาย รวมทงั้ เปน็ พ้นื ฐานเฉพาะวฒั นธรรมน้ัน
๒) วฒั นธรรมมนษุ ยท๑ ีค่ ล๎ายคลงึ กนั เกดิ จากการประดิษฐ๑คิดค๎นอยํางอสิ ระ มากกวําเกดิ จากการ
แพรกํ ระจายวัฒนธรรม สําหรบั การแพรํกระจายวัฒนธรรมก็คอื การแพรํกระจายองค๑ประกอบวฒั นธรรมที่
ซบั ซอ๎ นจากมนุษย๑กลุมํ หนงึ่ ไปยังอีกกลํมุ หน่ึง
๓) อธิบายแนวความคิดเก่ียวกับเขตวัฒนธรรม ( Culture Areas) กลาํ วคอื พืน้ ทซี่ ่งึ วัฒนธรรมของ
มนษุ ย๑ภายในพืน้ ทเี่ ดียวกันมลี กั ษณะคล๎ายคลึงกันมากกวําวฒั นธรรมอนื่ ๆ (สมศกั ด์ิ ศรสี นั ติสขุ . ๒๕๔๔ : ๙๔
- ๙๕) ทฤษฎนี ้ใี ชศ๎ ึกษาประวตั ิความเปน็ มา และความเปล่ยี นแปลงทางวฒั นธรรมของพ้นื ที่ท่ีทาํ การศกึ ษา

๕.๒. ทฤษฎีเชงิ ชาตพิ ันธ๑วุ รรณนา (Ethnological Theory) เป็นทฤษฎีทน่ี ํามาใช๎เป็นแนวทาง
การศกึ ษาการเปล่ียนแปลงทางสงั คมและวฒั นธรรม ประกอบด๎วยทฤษฎีววิ ัฒนาการทางสังคมและวฒั นธรรม
ทฤษฎคี วามลา๎ หลงั ทางวัฒนธรรม ทฤษฎีความก๎าวหนา๎ ทางวัฒนธรรม บคุ คลสาํ คัญทถ่ี อื วาํ เป็นบดิ าของ
ทฤษฎีนีค้ ือ ออกสุ ท๑ คอมทใ๑ นการศกึ ษาวิจัยครง้ั น้จี ะใชท๎ ฤษฎีวิวัฒนาการทางสงั คมและวัฒนธรรมของ ออ
กุสท๑ คอมท๑ เปน็ หลัก
ทฤษฎวี ิวฒั นาการทางสังคมและวฒั นธรรมออกสุ ท๑ คอมท๑ (ค.ศ. ๑๗๘๙ – ๑๘๕๗)
นักสังคมวิทยาชาวฝร่งั เศสเปน็ คนแรกที่นําทฤษฎีวิวัฒนาการมาใช๎อธิบายการเปล่ียนแปลงทางสังคม
โดยเช่อื วาํ สังคมมโี ครงสร๎างท่ีสาํ คญั ๒ สวํ น คือสวํ นทีไ่ มเํ ปล่ียนแปลงหรือสถิต (Social Statics)
กบั สวํ นทีเ่ ปลย่ี นแปลงหรอื พลวัต ( Social Dynamics) สํวนที่เปลย่ี นแปลงน้ีเองทําให๎สังคมต๎อง
เปลย่ี นแปลงอยํตู ลอดเวลา สังคมได๎วิวัฒนาการจากการมโี ครงสรา๎ งงาํ ยๆ ไปสูํโครงสร๎างท่เี พ่ิมความ
สลับซบั ซอ๎ นขนึ้ เสมอเปน็ การเปล่ียนแปลงแบบราบเรียบตํอเนอื่ งกนั อยาํ งเปน็ ระบบ จากครอบครัวขยายเปน็
ชุมชนและสังคม ซงึ่ มคี วามซบั ซอ๎ นมากขน้ึ เปน็ ลําดบั สังคมมนษุ ย๑มีการเปลี่ยนแปลงมาแล๎ว ๓ ยุคสมัย คือ

๒๑

ยุคแหํงเทววทิ ยา ( Theological Stage) เกดิ ขนึ้ ต้ังแตแํ รกมีสังคมมนษุ ยจ๑ นถงึ ค.ศ. ๑๓๐๐อันเปน็
ยุคแรกสุดของมนษุ ย๑ทีใ่ ชค๎ วามเชอื่ ในอํานาจเหนือธรรมชาติ เชํน เทพเจา๎ ตาํ งๆ และผทู๎ มี่ ีพละกําลังเข๎มแขง็
เปน็ ผป๎ู กครองสงั คม หรือเปน็ ยุคแหงํ อํานาจทหาร และความเชือ่ ในเทพเจา๎ น่ันเอง
ยุคแหงํ อภิปรัชญา ( Metaphysical Stage) เกดิ ขนึ้ ในระหวําง ค.ศ. ๑๓๐๐ – ๑๘๐๐ เปน็ ยุคสมัย
ทีม่ นุษย๑เชือ่ ในพลงั ของส่งิ ตํางๆ ที่เป็นนามธรรม เชํน ธรรมชาติ มากกวําเทพเจา๎ ซง่ึ เป็นบุคคลเปน็ ยุคแหํง
ปรัชญาและกระบวนการทางกฎหมาย มนุษย๑เริ่มรูจ๎ ักใช๎ป๓ญญาและมีเหตุผลมากขึน้ ไมํเช่ือในพละกําลงั และ
อาํ นาจเหนอื ธรรมชาติวําเหนือกวํามนุษย๑
ยคุ แหงํ วทิ ยาศาสตรแ๑ ละอุตสาหกรรม ( Science and Industry Stage) เกิดข้ึนตงั้ แตํปี ค.ศ.
๑๘๐๐ เป็นตน๎ มา เป็นยคุ สมัยทมี่ นษุ ยน๑ ําวธิ กี ารทางวิทยาศาสตร๑มาใช๎ ทําให๎เกดิ ความเจรญิ ก๎าวหนา๎ ทาง
วิทยาการตาํ งๆ และระบบอุตสาหกรรมขนึ้ สงั คมยคุ นี้แตกตํางออกไปจากยคุ ที่ผาํ นมาโดยส้ินเชิง เชํน เกิด
อาชพี ใหมํๆ มากข้นึ มีสถาบนั ใหมๆํ มากขนึ้ มีการจัดชํวงช้นั ทางสงั คมชัดเจนขึน้ มีป๓ญหาและความขัดแย๎ง
มากขึ้น เป็นตน๎ (สุเทพ สุนทรเภสัช. ๒๕๑๒ : ๑๘๑-๑๘๖)
สาระสําคัญของทฤษฎีสรปุ ได๎วาํ สังคมมีการเปลี่ยนแปลงอยูตํ ลอดเวลาจากโครงสรา๎ งงาํ ยๆ สูํ
โครงสร๎างทส่ี ลับซบั ซอ๎ นขนึ้ และตัวแปรท่ีมอี ิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงคอื ความเจรญิ ทางวทิ ยาศาสตรแ๑ ละ
วชิ าการใหมํๆ ที่เข๎ามายังสังคมตามยคุ ตามสมยั
ทฤษฎวี ิวัฒนาการทางสังคมและวฒั นธรรมใช๎ประกอบในการศึกษาประวตั คิ วามเปน็ มาของสงั คมและ
วฒั นธรรมในชมุ ชน อธบิ ายถงึ การเปลี่ยนแปลงของชมุ ชนต้ังแตอํ ดีตจนถึงปจ๓ จบุ นั ศกึ ษาปจ๓ จัยสําคญั ทีท่ าํ ให๎
เกดิ การเปล่ยี นแปลงทางสังคมและวฒั นธรรม ปจ๓ จัยสําคญั ท่ที ําใหส๎ งั คมและวฒั นธรรมดํารงอยไูํ ด๎ทําใหท๎ ราบ
วําการเปล่ียนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมตอ๎ งเกิดขึ้นในโครงสร๎างหรอื ระบบของสังคมและวัฒนธรรมอยาํ ง
กว๎างขวาง มีข้นั ตอนของการเปลย่ี นแปลงและใช๎เวลายาวนาน

๕.๓. ทฤษฎีการแพรกํ ระจายทางวฒั นธรรม ( The Diffusion Theory of Culture) เจ๎าของ
ทฤษฎีคอื ราลฟ๑ ลนิ ตัน (Ralph Linton ค.ศ. ๑๘๙๓ – ๑๙๕๓) นกั มานุษยวทิ ยาชาวอเมริกัน มเี นื้อหาวําการ
เปลีย่ นแปลง ทางสังคมเกิดจากการแพรํกระจายทางวฒั นธรรม โดยเกดิ จาการติดตอํ สือ่ สารกันระหวํางสังคม
ทีต่ ํางวฒั นธรรมรวํ มกนั และตํางแพรกํ ระจายวฒั นธรรมไปสูกํ นั และกัน เมือ่ เกิดการแพรกํ ระจาย วฒั นธรรมขนึ้
แล๎ว สงั คมทเี่ จรญิ กวาํ อาจจะรับวฒั นธรรมบางอยาํ งของสังคมท่ีด๎อยกวําก็ได๎ และในทาํ นองเดียวกันสังคมที่
ด๎อยกวาํ อาจจะไมํรบั วัฒนธรรมของสังคมทเ่ี จรญิ กวํากไ็ ด๎ การ เปลยี่ นแปลงทางสังคมสวํ นใหญํแลว๎ เกดิ จาก
การแพรํกระจายของวฒั นธรรมจากภายนอกเข๎ามา มากกวําเกดิ จากการประดิษฐ๑คดิ ค๎นใหมขํ น้ึ เองในสังคม
หรือถ๎ามีก็มักจะเกิดจากการนาํ สิง่ ใหมํ ๆ จากภายนอกเข๎ามาผสมผสานกบั ของทีม่ ีอยํูกอํ นแลว๎ เปน็ ของใหมํ ท่ี
ไมเํ คยมมี ากํอน จะเห็นได๎ จากในสงั คมอเมริกัน ซึง่ มศี กั ยภาพในดา๎ นการประดษิ ฐค๑ ดิ คน๎ สงู แตกํ าร
เปลย่ี นแปลงทางสังคมเกิดขน้ึ จากการแพรกํ ระจายถึงร๎อยละ ๙๐เกิดจากการประดิษฐค๑ ดิ คน๎ ในสังคมเพียง
ร๎อยละ ๑๐เทําน้ัน (สัญญา สญั ญาววิ ัฒน๑. ๒๕๔๒: ๓๗) สรุปสาระสําคัญของทฤษฎีไดว๎ าํ การแพรํกระจาย
ทางวฒั นธรรมเกดิ จากความสมั พนั ธ๑เชอ่ื มโยงกันระหวาํ งสงั คมและมกี ารรบั วัฒนธรรมซงึ่ กันและกนั ทฤษฎี
นําไปใช๎ศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงทางสงั คมและวฒั นธรรมวาํ มีสาเหตุมาจากการแพรํกระจายจากวฒั นธรรม
จากภายนอกชุมชน การส่ือสารสัมพนั ธ๑ระหวํางชุมชนจะทําใหเ๎ กดิ การแลกเปล่ยี นเรียนรู๎รวํ มกัน ชมุ ชนท่ดี ๎อย
กวาํ อาจจะรบั วัฒนธรรมของชุมชนที่เจริญกวาํ หรอื ชุมชนท่ีเจริญกวาํ อาจจะรบั วัฒนธรรมของชุมชนที่ดอ๎ ย
กวําก็ได๎

๕.๔. ทฤษฎโี ครงสรา๎ งและหนา๎ ท่ี (Structural–Functional Theory) เปน็ ทฤษฎที เ่ี น๎นความสาํ คญั
ในการศกึ ษาวัฒนธรรมด๎านทีเ่ ป็นระบบบรู ณาการ (An Integrated System) ในแตํละระบบ องคป๑ ระกอบ

๒๒

วัฒนธรรมทําหน๎าท่ีชวํ ยเหลอื สนับสนนุ เช่อื มโยงระหวํางกนั ทัง้ ระบบ และในทฤษฎีนไี้ ดเ๎ น๎นการเกบ็ ข๎อมูล
ภาคสนามอยํางละเอียด นักทฤษฎนี ีม้ หี ลายคน แตผํ วู๎ ิจยั ขอเสนอทฤษฎีโครงสร๎างและหน๎าทข่ี อง แรดคลฟิ ฟ์
บราวน๑ (A.R. Radcliffe Brown ๑๘๘๔-๑๙๕๕) เปน็ ตวั อยาํ งดงั นี้
ทฤษฎโี ครงสรา๎ งและหน๎าทีข่ อง แรดคลฟิ ฟ์ บราวน๑ อธบิ ายวาํ ระบบสังคมโดยสํวนรวมจะดํารงอยไํู ด๎
ต๎องศกึ ษาความแตกตาํ งความพงึ พอใจท่บี คุ คลต๎องการ และสังคมต๎องการ โดยประเพณหี รือสถาบนั ตํางๆ ใน
สงั คมมหี น๎าทเ่ี ชือ่ มโยงเก้อื หนนุ ระหวาํ งกัน นอกจากนก้ี ย็ งั มคี วามจาํ เปน็ ในการศกึ ษาปจ๓ จยั ที่ทําใหโ๎ ครงสรา๎ ง
ทางสงั คมคงอยํูได๎ และเห็นวาํ หน๎าท่ขี องสงั คมกเ็ หมอื นกับระบบธรรมชาติอนื่ ๆ ต๎องมีกฎหมายควบคุม ซึ่ง
สามารถสรปุ แนวคิดในกรอบทฤษฎีไดด๎ ังน้ี
๑. สงั คมต๎องมโี ครงสรา๎ งทีด่ เี พอื่ การปฏิบตั งิ านอยาํ งมีเอกภาพ
๒ . องคป๑ ระกอบตาํ งๆ ในโครงสร๎างตอ๎ งเอ้อื อาํ นวยระหวาํ งกนั ตามวิถีที่ควรจะเปน็ เพ่อื รกั ษาดลุ ย
ภาพของระบบสวํ นรวม
๓ . ดังนน้ั ขนบธรรมเนยี มประเพณแี ละสถาบนั ตํางๆ ควรมหี น๎าท่สี นับสนุนระหวํางกนั อยาํ งตํอเนื่อง
๔ . ระบบสังคมและวฒั นธรรมควรมีหน๎าท่เี ป็นส่อื กลางใหส๎ มาชิกในสังคมสามารถปรับตัวจนเข๎ากับ
สภาพแวดลอ๎ มได๎
๕ . สังคมและวัฒนธรรมควรทาํ หน๎าที่เป็นเครอื่ งมอื เช่อื มโยงสมาชิกในสังคมให๎เข๎ามารํวมทาํ งาน ทาํ
กจิ กรรมทางสงั คมอยาํ งมเี สถียรภาพ (สมศักดิ์ ศรสี นั ตสิ ขุ . ๒๕๔๔ : ๙๗-๙๙) ทฤษฎนี ้ใี ช๎ในการศกึ ษา
โครงสรา๎ ง ความสมั พนั ธ๑ และบทบาทของวัฒนธรรมตาํ งๆ ในพื้นทีท่ ศี่ กึ ษา

๖. งานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วขอ้ ง
วาสนา ซึ่งรัมย๑ (๒๕๕๒ : ๘๐ – ๑๑๒) ไดศ๎ ึกษาดนตรผี ู๎ไทบ๎านโพนสวาง อาํ เภอเขาวง จงั หวดั

กาฬสินธุ๑ พบวําวัฒนธรรมดนตรีผ๎ไู ทเป็นการสืบตํอกนั มาตงั้ แตบํ รรพบุรุษจนถงึ ปจ๓ จบุ ัน ดนตรผี ไู๎ ทแบงํ ออกได๎
เป็น ๓ ระยะ ระยะแรก ดนตรผี ู๎ไทมี แคน พณิ ซอ และป่ี โดยดําเนนิ การเลํนในพธิ ีกรรม ระยะทสี่ อง ดนตรีผ๎ู
ไท เริม่ มี ฉงิ่ ฉาบ มาประกอบจงั หวะ และเกดิ การเรยี นรูน๎ ํากลุมํ ลําแคนมาสร๎างเป็นทํานองกลอนลํา และ
จังหวะเริ่มมีการสร๎างความไพเราะ และชัดเจนมากยงิ่ ข้นึ มกี ารประยุกตท๑ าํ นองดนตรี ระยะทส่ี าม ปจ๓ จุบัน
ดนตรผี ไู๎ ท มกี ารประยุกต๑ และต้งั เปน็ วงดนตรี เป็นอาชีพ นาํ เสนอรูปแบบการแสดงที่หลากหลายมากยิ่งขน้ึ
ประยกุ ตว๑ ฒั นธรรมอื่นเข๎ามาผสมผสาน รปู แบบการเรียนรูด๎ นตรผี ไู๎ ท ไมํมกี ฎเกณฑ๑ตายตัว และไมมํ ีสถานท่ี
การสอนทชี่ ดั เจน ขึน้ อยูกํ บั การถํายทอดของผูอ๎ าวโุ สในหมบูํ ๎าน และความสนใจ ความถนัด ความสามารถใน
การเลนํ ดนตรีของผ๎เู ลํนเปน็ สาํ คัญ การประดิษฐเ๑ ครือ่ งดนตรีจะใชว๎ ัสดุ อปุ กรณท๑ ม่ี ีในท๎องถน่ิ เปน็ หลกั สาํ คัญ
ตามหลกั ภูมิศาสตร๑ ในปจ๓ จุบัน เครอ่ื งดนตรีบางชนิด ไมไํ ด๎ประดษิ ฐ๑เอง แตเํ ป็นการซือ้ จากท่ีอื่น หรือเปน็ การ
ดดั แปลง ชมุ ชนชาวผู๎ไทท่ียงั คงอนุรกั ษ๑วัฒนธรรมไวไ๎ ด๎เปน็ อยาํ งดีซง่ึ เป็นวถิ ีชวี ิตขนบธรรมเนยี มประเพณีท่ี
เกาํ แกํสืบทอดมาแตโํ บราณ ตามความเชอื่ ของชาวผไ๎ู ทนัน้ จะมีเรอื่ งของผีบรรพบุรษุ เข๎ามาเกี่ยวขอ๎ งในดา๎ นพิธี
กรรมการเลย้ี งผีบรรพบรุ ุษของชาวผไ๎ู ท ซงึ่ ในป๓จจบุ นั การอนรุ กั ษว๑ ัฒนธรรมดนตรผี ู๎ไท มเี พยี งกลํมุ ผ๎สู นใจ
ประกอบด๎วย ผสู๎ ูงอายแุ ละคนรุนํ ใหมเํ ขา๎ มาเพยี งเลก็ นอ๎ ยเทําน้นั โดยเฉพาะอยาํ งยิง่ กลมํุ ชาวผไู๎ ททเี่ ปน็ คนรุํน
ใหมทํ ใี่ ห๎ความสําคญั กับดนตรผี ูไ๎ ทลดลง ตลอดจนความนิยมลดลง ทําให๎มีแนวโนม๎ วําจะสญู หายไปตามคนรนํุ
เกําบทเพลงดนตรผี ๎ไู ทแบงํ ออกเปน็ ๒ ประเภท คอื ประเภทเพลงบรรเลง และประเภทเพลงรอ๎ งหรือลํา เพลง
บรรเลงเปน็ บทเพลงทีส่ บื ทอดตํอกันมาต้ังแตํสมยั โบราณ ซึ่งไมปํ รากฏนามผป๎ู ระพนั ธ๑ บทเพลงมีทํวงทาํ นอง
และลีลาที่ไมมํ คี วามแตกตํางกนั มากนกั เป็นการบรรเลงในลกั ษณะการซา้ํ ทวนทํานอง และวนไปวนมาเรอื่ ย ๆ
ในบางครั้งอาจจะบรรเลงติดตํอกนั เปน็ เวลานาน ๆ หรอื บรรเลงเป็นชํวง ๆ ทั้งน้ีข้นึ อยํูกบั นักดนตรเี ปน็ สาํ คญั

๒๓

ดนตรผี ๎ไู ทมเี ครอ่ื งดนตรีหลายชนิดซง่ึ ล๎วนแล๎วแตํเปน็ เคร่อื งดนตรีท่ีเกาํ แกํทชี่ าวผ๎ูไทใชบ๎ รรเลงในโอกาสตําง ๆ
เชํน บรรเลงเพ่อื ความสนุกสนานรนื่ เรงิ หรอื บรรเลงเพื่อใชป๎ ระกอบพิธีกรรม เครอ่ื งดนตรชี าวผไ๎ู ทแบงํ ออกได๎ ๔
ประเภทคือ ดดี สี ตี เปุา เคร่อื งดนตรีประเภทดาํ เนนิ ทาํ นอง ทใ่ี ชม๎ ีเครื่องดนตรีอยสูํ ี่ชนิดดว๎ ยกนั คือ แคน ปี่ผ๎ู
ไท กระจบั ป่ี และซอ โดยทํานองของแคนจะเปน็ ทาํ นองหลกั ปีผ่ ไู๎ ท กระจับปี่ และซอจะคอยสอดประสาน
ทาํ นองของแคน เพลงร๎องหรือลาํ เป็นศิลปะการร๎องของชาวผไ๎ู ทซง่ึ เปน็ กลุมํ ชน ทอ่ี าศยั อยูํในแถบภาคอีสาน
โดยไดอ๎ พยพมาจากดินแดนฝ๓ง่ ซ๎ายของแมํนํา้ โขง และได๎นาํ เอาศิลปวัฒนธรรมดงั กลําวมาดว๎ ย โดยลําผ๎ูไทนั้นมี
ความสัมพันธก๑ บั ชุมชนในด๎านตาํ งๆ ท้ังที่เปน็ เอกลกั ษณป๑ ระจาํ กลํมุ ชนและเกยี่ วขอ๎ งกับการดําเนนิ ชวี ติ สาํ หรับ
รปู แบบของการลําผู๎ไทนน้ั พบวํา มีรูปแบบทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณ๑เฉพาะทางดนตรเี ป็นของตัวเอง ได๎แกํ มีภาษาและ
คาํ ประพันธ๑ท่ีเปน็ รูปแบบเฉพาะ ๒ กลํมุ เสียง คือลายใหญํ สาํ หรบั การลําของฝุายชาย และลายนอ๎ ย สาํ หรบั
การลําของฝุายหญงิ ข้นั ตอนในการลําผไ๎ู ทประกอบด๎วยการลําเกรน่ิ ขนึ้ ต๎นและ การลาํ ดําเนินเรอื่ ง

ชยา ภาคภูมิ (๒๕๕๒ : ๙๒ – ๑๙๔) ไดศ๎ กึ ษาทศั นคตขิ องเยาวชนตอํ ประเพณแี ตํงงานของชาตพิ ันธุ๑
ผไู๎ ทและญอ๎ พบวําชาตพิ ันธผุ๑ ูไ๎ ท และญอ๎ มรี ูปแบบของข้ันตอนและองคป๑ ระกอบของพธิ กี ารแตํงงานที่
เปล่ียนแปลงไป ดงั นี้ การเลอื กคํคู รอง การสูขํ อและการหมั้น การแตํงกายของบําวสาว คาํ สินสอด พธิ กี าร
แตํงงาน และเครอื่ งสมมาปยุู ํา เนื่องจากมีการเปล่ียนแปลงไปตามยคุ สมยั การเปลี่ยนแปลงของสภาพ
เศรษฐกจิ และสังคม และการผสมกลมกลืนของวัฒนธรรมอื่น ๆ แตรํ ูปแบบท่เี ปล่ียนแปลงไปน้กี ็ยงั คงไวซ๎ งึ่
ความหมายที่ดีงามซ่ึงสอดแทรกตามขัน้ ตอนและองคป๑ ระกอบของการแตงํ งาน เชํนความเช่อื การไหว๎ผบี รรพ
บุรษุ การทาํ บายศรีสํขู วญั การเตรียมเรอื นหอหรือหอ๎ งหอทบ่ี ๎านเจ๎าสาวหรอื แม๎แตกํ ารใช๎อุปกรณ๑หรือวสั ดุตาํ ง


๒. เยาวชนในแตํละกลุมํ ชาตพิ ันธท๑ุ ีม่ เี พศแตกตาํ งกันมที ศั นคติตํอประเพณแี ตงํ งานไมํแตกตาํ งกัน แตํ
เยาวชนที่มีระดบั การศึกษาแตกตํางกนั สวํ นใหญมํ ที ศั นคติแตกตํางกนั ซึง่ เหน็ ด๎วยกับองคป๑ ระกอบของประเพณี
แตงํ งานทเี่ ปล่ียนแปลงในปจ๓ จบุ นั

พระมหาชาญยทุ ธ สทุ พิ ย๑ (๒๕๕๒ : ๘๒ – ๑๓๓) ไดศ๎ ึกษาการสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณขี อง
ชาวผูไ๎ ท เพอื่ การเสริมสรา๎ งความเข๎มแขง็ ของชมุ ชน ในจงั หวัดกาฬสินธ๑ุ พบวาํ เดมิ ชาวผไ๎ู ทต้ังรากฐานอยใํู น
แควน๎ สิบสองจุไทย ตอนใตข๎ องประเทศจนี หรือตามเมืองตําง ๆ ตํอมาชาวผไ๎ู ทได๎อพยพมาอยํูท่เี มืองวงั
แขวงสวนั นะเขต ประเทศลาวและอพยพเข๎ามาในอยูํภาคอสี านของประเทศไทยท่ีหมูํบ๎านกดุ หว๎า จงั หวดั
กาฬสินธุ๑ ในป๓จจุบันวิถีชวี ติ ของชาวผู๎ไทหมบํู า๎ นกุดหวา๎ มคี วามเป็นอยูํอยํางเรยี บงาํ ย มกี ารทํานาทาํ ไรํ ทาํ สวน
เลย้ี งสัตวท๑ อผา๎ และทาํ เคร่ืองนํุงหํม เพอื่ ใช๎สอยในครวั เรือน ชาวผู๎ไทมีความขยันขันแข็งในการทาํ งานมคี วาม
สามัคคใี นหมูํบา๎ นและมีความเช่ือฟ๓งผู๎นาํ เปน็ อยาํ งดี และมวี ฒั นธรรมภาษาพูด การแตํงกายเปน็ เอกลักษณ๑โดด
เดํน คอื ผหู๎ ญิงแตงํ กายนงุํ ผ๎าซ่นิ ลายมดั หมยี่ ๎อมดว๎ ยครามหรือสดี าํ ผ๎ูชายจะสวมเสื้อหมอ๎ ฮอํ มสคี รามหรอื สดี ํา
ชาวผูไ๎ ทบ๎านกุดหวา๎ มกี ารสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณขี องชาวผ๎ูไทเพื่อการเสรมิ สร๎างความเข๎มแขง็ ของ
ชุมชนตลอดปี คือ ประเพณี ๑๒ เดือน เชนํ บญุ เข๎ากรรม เดอื น ๑ บุญคูณลาน เดือน ๒ บุญขา๎ วจ่ี เดอื น ๓ บุญ
ผะเหวด เดอื น ๔ บุญสงกรานต เ ดอื น ๕ บญุ บั้งไฟเดอื น ๖ บญุ ชาํ ฮะหรอื ชําระ เดือน ๗ บุญเข๎าพรรษา เดือน
๘ บุญข๎าวประดับดินเดอื น ๙ บุญขา๎ วสาก เดอื น ๑๐ บญุ ออกพรรษา เดอื น ๑๑ บุญกฐิน เดือน ๑๒
นอกจากน้ชี าวผไู๎ ทบ๎านกดุ หว๎ายงั มพี ิธกี รรมเฉพาะคือเหยา พธิ ีเหยาไมอํ ยูํในประเพณที ั้ง ๑๒ เดือนเหยา มีช่อื
เรยี กอีกอยํางหนง่ึ วําหมอเหยา คอื เป็นหมอพนื้ บ๎าน ท่ีรักษาคนท่เี จบ็ ปุวยโดยการลาํ และฟอู นรําในทําตําง ๆ ท่ี
ส่ือถงึ การรักษา เชนํ การถางไรํ ลําสตั ว๑ จบั ปลา ออกศึก หรือการคล๎องช๎าง เปน็ ต๎น

สภาพป๓ญหาของการสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวผไ๎ู ท คือ ขาดเงนิ ทนุ สนบั สนนุ การจดั
กิจกรรมการสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวผูไ๎ ท ขาดการโฆษณาประชาสัมพนั ธ๑ ขาดบุคลากรท่มี ี

๒๔

ความร๎ู และขาดคนรํนุ ใหมทํ จี่ ะสบื สานประเพณขี องชาวผไู๎ ทแนวทางแกไ๎ ขเพื่อนําไปสูกํ ารสบื สาน
ขนบธรรมเนยี มประเพณีอันดงี ามของชาวผ๎ูไท ไดแ๎ กกํ ารจัดหาคนรุํนใหมทํ มี่ คี วามสนใจในเร่อื งประเพณขี อง
ชาวผไู๎ ท จัดหาบุคลากรที่มีความคิดท่หี ลากหลาย และจัดหาเงินกองทุนในการสนบั สนุนกจิ กรรมและส่อื
โฆษณาประชาสัมพนั ธ๑ เชนํ ปาู ย สื่อใบปลวิ ส่ือวิทยชุ มุ ชน เป็นต๎น เพอื่ ตอ๎ งการให๎รูจ๎ กั โดยแพรหํ ลายการสืบ
สานขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวผ๎ไู ทเพือ่ การเสรมิ สร๎างความเข๎มแข็งของชุมชนชาวผูไ๎ ทน้ัน ผ๎นู ําชมุ ชน
ตอ๎ งมบี ทบาทในการจดั สรรหางบประมาณและประสานงานกบั หนํวยงานตําง ๆ ของรัฐและเอกชน โดยชมุ ชน
ไดม๎ สี วํ นรํวมในการสบื สานประเพณที ๎องถ่นิ ท่ีไดจ๎ ดั ทําขนึ้ และอาศยั หลกั ในการพฒั นาอาชพี ของชุมชน เชํน
กลุํมทอผา๎ สีธรรมชาติ การปลูกหนํอไม๎ฝรง่ั ปลอดสารพษิ ปลกู สมนุ ไพรขนั ติธรรม ผา๎ ย๎อมสธี รรมชาติ แปรรูป
ผลผลติ ทางการเกษตร กลุมํ สตรผี ๎ูไทพฒั นา กลุํมสถาบนั การเงิน เป็นต๎น เพ่ือเป็นการสํงเสริมการสืบสาน
ขนบธรรมเนียมประเพณขี องชาวผไู๎ ทในการเสริมสร๎างความเข๎มแขง็ ของชุมชนในหมูบํ ๎าน

โดยสรุป การสบื สานขนบธรรมเนยี มประเพณขี องชาวผไู๎ ท เพ่อื การเสรมิ สร๎างความเขม๎ แขง็ ของชุมชน
ในจังหวดั กาฬสนิ ธุน๑ ัน้ ผ๎ูนําชุมชนตอ๎ งมีบทบาทในการจดั สรรหางบประมาณและประสานงานกบั หนํวยงานตําง
ๆ ของรฐั และเอกชน โดยกําหนดให๎ชุมชนไดม๎ ีสํวนรวํ มในการสืบสานประเพณที อ๎ งถน่ิ ที่ได๎จดั ทําข้นึ จะสามารถ
ชวํ ยสบื สานขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวผ๎ูไทสืบตอํ ไป

ศริ วิ รรณ แก๎วเพง็ กรอ (๒๕๕๑ : ๑๕๐ – ๒๑๗) ไดศ๎ กึ ษาภมู ปิ ๓ญญาพนื้ บ๎านเพ่อื สืบสานและพัฒนา
รปู แบบการแสดงดนตรีของชาวผ๎ไู ท พบวาํ ชาวผูไ๎ ทจังหวดั กาฬสินธุ๑มเี คร่อื งดนตรที ้ังประเภทดดี สี ตี เปุา
ระบบเสยี งใช๎เทียบกับ “ลายแคน” หรือ “ทาง” ของแคน คอื “ทางผ๎ูไทนอ๎ ย” และ “ทางผไ๎ู ทใหญํ” ในอดีต
ชาวผ๎ไู ทคดิ ประดษิ ฐ๑เครอื่ งดนตรีขึน้ เองโดยมีรูปแบบงาํ ย ๆ มีเสยี งตามธรรมชาติและมีเสยี งเบาประกอบกบั ลํา
ผ๎ูไทซึ่งเรียกวํา “วงป่ีแคน” การบรรเลงผสมวงไมมํ ีกฏเกณฑต๑ ายตัวขน้ึ อยํกู ับความพอใจของผู๎บรรเลง บรรเลง
ดว๎ ยลายดั้งเดิมท่มี มี าแตโํ บราณ เม่อื มคี วามเจรญิ แทรกซึมเข๎ามา ชาวผู๎ไทตดิ ตอํ สมั พนั ธก๑ ับชาวอีสานจึงนาํ เอา
เคร่อื งดนตรที ี่ใชบ๎ รรเลงในวงดนตรีพืน้ บ๎านอสี านหรอื วงโปงลางและวงกลองยาวมารํวมบรรเลง สงํ ผลใหก๎ ารลาํ
การฟอู น เคร่อื งแตงํ กาย การฝึกซ๎อม ลาํ ดับการแสดงมแี บบแผนมากขน้ึ โดยโอกาสในการแสดงสํวนใหญเํ ป็น
งานบญุ ประเพณแี ละในวาระสําคญั รวมไปถึงเวลามแี ขกมาเยือนในหมํูบ๎านป๓จจบุ ันการตั้งระบบเสียงหรอื เทียบ
เสียงดนตรเี ป็นแบบแผนและมหี ลกั เกณฑน๑ อกจากชาวผู๎ไทจะไดน๎ ําเอาโน๎ตดนตรีสากลเขา๎ มาใช๎แลว๎ ยงั ได๎
นาํ เอาอปุ กรณต๑ ง้ั เสียงสมยั ใหมํมาใชใ๎ นการตง้ั ระบบเสียงดนตรี รวมทง้ั ได๎ใหผ๎ ู๎มีความรด๎ู ๎านดนตรีและระบบ
เสียงเขา๎ มาชวํ ยควบคุมและดแู ล ตลอดจนมอี ุปกรณเ๑ ครอื่ งเสยี งทที่ ันสมยั เข๎ามาชํวยเพอ่ื ใหเ๎ สยี งดนตรี
ผสมผสานกนั ไดไ๎ พเราะ แตํเครือ่ งดนตรยี ังคงต้งั ระบบเสียงกบั “ลายแคน” หรอื “ทาง” ของเพลงแคน
เป็นหลกั การนาํ เอาเครือ่ งดนตรเี ขา๎ มาบรรเลงผสมวงเพ่ิมมากขึ้น ซึ่งมที ัง้ เคร่ืองดนตรที ค่ี ดิ ประดิษฐด๑ ดั แปลง
สร๎างสรรคข๑ ึ้นเอง เคร่อื งดนตรีท่ใี ชบ๎ รรเลงในวงดนตรีพ้ืนบ๎านอสี านหรือวงโปงลางและวงกลองยาว ทาํ ให๎เกดิ
ความหลากหลายในการบรรเลง การฝกึ ซ๎อมการแสดงดนตรเี ป็นการแยกฝกึ ซอ๎ มระหวํางนักดนตรีและผ๎ูแสดง
กับการฝึกซ๎อมรวํ มกนั ระหวํางนกั ดนตรีและผ๎ูแสดง กาํ หนดลําดับการแสดงเรม่ิ จากการไหว๎ครูตามขนบใน
อดตี แตมํ กี ารวางแผนรํวมกนั ระหวํางผูค๎ วบคุม นักดนตรแี ละผแู๎ สดง ป๓จจุบนั ในการบรรเลงวงดนตรีพนื้ บ๎าน
เปน็ การรวมเอาเครือ่ งดนตรีหลากหลายมาผสมผสานใช๎บรรเลงในงานเทศกาลงานบุญประจาํ ปี เทศกาลปใี หมํ
เทศกาลสงกรานต๑ ตอ๎ นรบั นกั ทอํ งเที่ยวที่มาเยอื นที่หมบํู ๎านและผ๎ูทมี่ าศึกษาดูงาน รบั จ๎างแสดงตามทมี่ ีผวู๎ ําจ๎าง
รวมทงั้ บรรเลงเนื่องในโอกาสพเิ ศษตามคําส่งั การของจังหวัดหรืออําเภอการพฒั นารปู แบบการแสดงดนตรใี น
อนาคตอาจทาํ ได๎ ๒ รปู แบบ คือ รูปแบบแรกเป็นการคงรูปแบบการแสดงดนตรแี บบเดมิ เอาไว๎และเผยแพรํใน
สอ่ื ตําง ๆ อยํางหลากหลายโดยใชร๎ ะบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ เชนํ การเผยแพรํทางสอ่ื อิเลก็ ทรอนิกส๑ รวมท้ัง
ทางดา๎ นสือ่ สงิ่ พมิ พ๑ ภาพและเสยี ง ตลอดจนมีการบันทึกต๎นแบบเอาไวเ๎ พอ่ื ใหส๎ ามารถเปน็ หลกั ฐานอ๎างอิงได๎

๒๕

สวํ นรูปแบบทส่ี องเป็นการพัฒนาการแสดงดนตรีให๎สอดคลอ๎ งเขา๎ กับสถานการณ๑ป๓จจบุ ัน เพ่ือใชเ๎ ป็นส่อื ในการ
เผยแพรํและประชาสมั พนั ธก๑ จิ กรรมตําง ๆ ของหนํวยงานท้ังภาครัฐและเอกชนรวมท้งั จดั ทําเป็นฐานข๎อมลู
ทอ๎ งถ่ินเพ่ือการศึกษาและวจิ ยั

พระมหาทองจนั ทร๑ ทิพยวฒั น๑ (๒๕๕๓ : ๑๐๙ - ๒๗๔) ได๎ศกึ ษาสขุ ภาวะองคร๑ วม : การอนรุ ักษ๑
ฟื้นฟู และพฒั นาภมู ปิ ๓ญญาหมอพื้นบ๎านในการรักษาโรคกระดกู จากอบุ ตั ิเหตุของกลมุํ ชาตพิ ันธ๑ไุ ทย-ลาว และผ๎ู
ไทในภาคอีสาน พบวาํ องคค๑ วามรูก๎ ารรักษาผปู๎ วุ ยโรคกระดกู ท่เี กดิ จากอบุ ตั เิ หตุของหมอพ้ืนบ๎านในกลมํุ ชาติ
พนั ธ๑ุ ไทย–ลาวและผไู๎ ท ในภาคอีสาน หมอพื้นบ๎านมที ง้ั ชายและหญงิ มอี ายตุ ัง้ แตํ ๓๔ – ๘๘ ปี การใชภ๎ ูมิ
ปญ๓ ญาของหมอพ้ืนบ๎านในการรักษาผป๎ู วุ ยโรคกระดูกใหม๎ สี ขุ ภาวะองค๑รวมมี ๔ ประการ ดังนี้ ๑) องค๑ประกอบ
ในการรักษา ไดแ๎ กํ หมอพื้นบา๎ น ผป๎ู วุ ย ระยะเวลา สถานทแ่ี ละอุปกรณ๑ในการรกั ษา ๒) พธิ ีกรรมในการรักษา
ได๎แกํ พิธกี รรมไหวค๎ รูและพธิ ีกรรมทําน้าํ มนตน๑ ้าํ มันงา ๓) ขน้ั ตอนในการรักษา มี ๕ ขัน้ ตอน ไดแ๎ กํ ขนั้ ตอนท่ี
๑ การซักประวตั แิ ละวินจิ ฉยั โรคผปู๎ ุวย ขั้นตอนที่ ๒ พิธีกรรมการไหว๎ครูหรอื ยกครู เปน็ การสร๎างความเช่ือ
ศรัทธา โดยวิธที างไสยศาสตร๑ ขั้นตอนที่ ๓ การรักษาโรคของหมอนํา้ มนตแ๑ ละหมอนา้ํ มนั งา โดยบริกรรมเวท
มนตร๑คาถาเสกเปุาน้ํามนต๑ นํา้ มันงา และจดั กระดกู ให๎เข๎าท่ี ข้ันตอนที่ ๔ การติดตามผลการรักษา
หมอพื้นบ๎านจะรกั ษาผ๎ปู ุวยอยาํ งตํอเน่ืองตามเวลากําหนดจนหายปกติ และขนั้ ตอนท่ี ๕ การสมนาคณุ
หรือปลงคาย และ ๔) ขอ๎ ปฏิบัตแิ ละข๎อหา๎ ม (คะลาํ ) ของ หมอพนื้ บ๎านและผปู๎ ุวย

แนวทางการอนุรักษ๑ ฟ้นื ฟูและพฒั นาภูมปิ ญ๓ ญาหมอพ้ืนบ๎าน กลมํุ ตวั อยาํ งเสนอแนวทางวาํ การ
อนุรักษอ๑ งคค๑ วามรู๎โดยหมอพื้นบา๎ น ควรมกี ารถาํ ยทอดใหก๎ บั ลกู ศิษยท๑ ส่ี นใจโดยไมจํ ํากดั วําจะต๎องเปน็ เครอื
ญาติ และเช่ือมโยงไปสสูํ ุขภาวะทางสังคม โดยองค๑กรทอ๎ งถิ่นควรการจดั อบรมหมอพืน้ บา๎ น ขึ้นทะเบียนรายช่อื
รบั รองผํานการอบรมจากหนํวยงานสาธารณสขุ แนวทางการฟ้นื ฟู องคก๑ รในชุมชนควรจัด ให๎มปี าู ย
ประชาสัมพนั ธ๑ความสามารถหมอพ้นื บา๎ นในการรกั ษาโรค จดั ทาํ เอกสารเผยแพรํความรู๎ ในการรกั ษาโรคของ
หมอพืน้ บ๎าน จัดตง้ั ชมรมหรอื เครอื ขาํ ยหมอพน้ื บา๎ นเพ่ือแลกเปล่ียนองคค๑ วามรแู๎ ละแนวทางการพฒั นา หมอ
พ้ืนบ๎านควรศึกษาความรเู๎ ก่ยี วกบั วธิ กี ารรักษาโรคกระดูกท่ถี กู ต๎องและเหมาะสมเพอ่ื ใหโ๎ ครงสร๎างกระดูกที่
ไดร๎ บั อุบตั เิ หตุคงรูปเดิม ประยุกต๑ใช๎ยาสมุนไพรควบคกูํ บั การรักษาด๎วยยาแผนปจ๓ จบุ นั และการนวดแผนโบราณ
เป็นการดแู ลรกั ษาสภาวะทางรํางกายควบคกูํ บั ทางจติ ใจ อนั สงํ ผลให๎ผป๎ู วุ ยโรคกระดกู สามารถดําเนิน
ชวี ิตอยํูในสงั คมไดอ๎ ยํางสมดลุ

มานะชาติ คลอํ งดี (๒๕๕๒ : ๑๐๐ – ๒๑๕) ไดศ๎ กึ ษาการศกึ ษารูปแบบการสรา๎ งเครือขํายความ
เข๎มแขง็ ทางสังคม ด๎วยพิธกี รรมเหยาของชาวผ๎ไู ท จังหวัดมกุ ดาหาร พบวําความเชอ่ื ชาวผู๎ไทในจงั หวัด
มกุ ดาหาร นอกจากจะมคี วามเช่อื ในเรอ่ื งผีแล๎วยงั มีความเช่ือในเรอ่ื งอ่ืนอีก คือ ความเชอ่ื เก่ียวพระพุทธศาสนา
แบบชาวบ๎าน ความเชอื่ เกีย่ วกบั การเสีย่ งทาย ความเชอ่ื เกย่ี วกบั ขวญั ความเช่ือเกี่ยวกับฤกษย๑ าม ความเชอื่
เกี่ยวกบั การสะเดาะเคราะห๑ ความเชื่อเก่ียวกบั คาถาหรือเคร่ืองรางของขลงั และความเชือ่ เกีย่ วกับวตั ถสุ ิ่งของ
ซึ่งความเชื่อเหลําน้ี จะปรากฏในพธิ ีกรรม วิธีการ และสัญลกั ษณท๑ แี่ สดงออกในรปู แบบทีแ่ ตกตาํ งกันออกไป
ท้ังนแี้ บํงไดเ๎ ป็น ๔ ประเภทคือ ความเช่ือระหวาํ งบคุ คลกับบคุ ล บคุ คลกับสงั คม บคุ คลกับธรรมชาติ และบคุ คล
กบั สงิ่ เหนอื ธรรมชาติ สํวนขัน้ ตอนในการการประกอบพิธกี รรมเหยาได๎จําแนกออกเป็น ๔ ประเภท คอื
พิธีกรรมเหยาเพือ่ รักษาคนเจบ็ ปุวย พธิ ีกรรมเหยาคุมผีออก พิธีกรรมเหยาเลี้ยงผี และพธิ กี รรมเหยาเอาฮูป ใน
การประกอบพิธกี รรมเหยา เป็นการกระทําทีถ่ าํ ยทอด และยดึ ถือเปน็ แนวปฏิบตั ิมาต้งั แตํอดตี ทชี่ ุมชนรวํ มกัน
สืบสานกนั มาโดยไดร๎ ับการถํายทอด จากผู๎ผู๎อาวุโสโดยยังคงยึดรปู แบบ วธิ ีการในการกระทาํ พธิ ีกรรมเหยาตาม
แบบเดิมที่เคยปฏบิ ตั ิมาต้ังแตอํ ดีตและหนา๎ ท่ีหลกั ของ พิธกี รรมเหยา คือ เป็นท่ีพงึ่ ทางใจในการรักษาคน
เจ็บปวุ ย การชวํ ยเหลอื เกือ้ กูลกันระหวํางครอบครัวและชุมชน ทาํ ให๎เกิดความสมัครสมานสามัคคี ในชุมชน

๒๖

รปู แบบการสรา๎ งเครอื ขํายความเข๎มแขง็ ทางสังคมดว๎ ยพิธีกรรมเหยา ของของชาวผ๎ูไทในจงั หวัดมกุ ดาหาร เป็น
รูปแบบทีเ่ กดิ ขน้ึ เองโดยธรรมชาตไิ มํมีหนวํ ยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เขา๎ ไปบริหารจดั การ เครือขํายโดยความ
ความเชือ่ และความสมคั รใจของสมาชิก โดยสรุป พธิ กี รรมเหยาเป็นสื่อพนื้ บา๎ นด๎านวัฒนธรรมความเช่ือ ทม่ี ี
สวํ นทําให๎ชมุ ชนเข็มแขง็ สามารถพง่ึ พาตนเองได๎ อีกท้งั เป็นเครือ่ งมือเช่อื มโยงบุคคลหลายฝาุ ยท่ีตาํ งเพศ ตาํ ง
วยั ในชมุ ชนมคี วามรกั ความสามคั คี ในชมุ ชน ซึ่งถอื ได๎วาํ พธิ กี รรมเหยาเปน็ พิธกี รรมทีท่ รงคณุ คําของชาวผไ๎ู ท
ในจังหวดั มุกดาหาร สมควรทจี่ ะมีการสงํ เสริมและสบื ทอดอยาํ งตอํ เนอื่ งสบื ไป

เอนก อาจวชิ ัย (๒๕๕๑ : ๙๒ – ๑๔๕) ได๎ศึกษาแนวทางการฟน้ื ฟปู ระเพณีบญุ ผะเหวดของชาวผูไ๎ ท
จังหวดั มุกดาหารเพอื่ สํงเสริมอัตลักษณท๑ ๎องถ่ิน พบวาํ ประเพณีบญุ ผะเหวดของชาวผไ๎ู ทจังหวัดมกุ ดาหารมี
ประวัตคิ วามเปน็ มาจากการทช่ี าวผ๎ูไทถอื วําการทาํ บญุ ผะเหวดนั้น มาจากความเชอื่ ในคมั ภีรพ๑ ระมาลยั หมนื่
มาลัยแสน ทกี่ ลาํ วไวว๎ าํ ถ๎าผ๎ูใดไดฟ๎ ๓งเทศนม๑ หาชาตใิ ห๎จบภายในวนั เดยี วแล๎วจะได๎เกดิ ในศาสนาพระศรีอารยิ
เมตไตรย การทําบุญสํวนใหญํจะทําตํอเน่อื งกนั ๓ ปี เมื่อทาํ ครบ ๓ ปแี ลว๎ อาจเว๎นชํวงทําบุญในปถี ัดไปได๎
การทําบญุ ผะเหวดน้นั นยิ มทํากันในชํวงเดือนสีห่ รอื เดือนหา๎ ขัน้ ตอนการทําบุญผะเหวดของชาวผ๎ูไทเริม่ ต้ังแตํ
การจดั เตรียมงานกํอนจะทําบญุ เปน็ เวลานานพอสมควรมกี ารประชมุ ชาวบ๎านเพ่อื กาํ หนดวันทําบญุ
การทําหนงั สอื บอกบญุ ไปยังวดั หรือหมํูบ๎านอ่ืนมีการนมิ นตพ๑ ระภิกษสุ งฆ๑มารวํ มเทศน๑มหาชาติ และเมื่อใกล๎จะ
ถงึ วนั ทําบญุ ชาวบ๎านจะรํวมลงไปจดั เตรยี มสถานท่ใี นวัด จดั หาวัสดุอุปกรณ๑ที่จาํ เป็นต๎องใช๎เพอื่ สร๎างเครอ่ื ง
ผะเหวดไดแ๎ กํดอกไมแ๎ ละธงใหค๎ รบพนั ช้นิ มีการตกแตงํ บริเวณธรรมาสท่จี ะใชเ๎ ทศนด๑ ๎วยราชวตั ร ฉัตร ธง
เกศกษัตริยพ๑ รอ๎ มด๎วยเครอ่ื งบชู า รวมถงึ การตกแตํงบริเวณศาลาหรือสถานทีต่ ้ังธรรมาสใหส๎ วยงามการฟ้ืนฟู
ประเพณีบุญผะเหวดของชาวผู๎ไท ปจ๓ จุบนั ชาวผู๎ไทจังหวดั มกุ ดาหารทง้ั ๖ หมูํบ๎าน มีการปรับปรุงหรอื การ
ปรับเปล่ยี นแนวทางการจดั งานบญุ ผะเหวด การดาํ เนินงานไดร๎ ับการสนับสนนุ สงํ เสรมิ จากชุมชน วดั
โรงเรียน หนํวยงานราชการหรือองคก๑ รเอกชนท่อี ยใูํ กล๎เคียงมากข้ึน เชํน การสรา๎ งความดงึ ดดู ใจโดยการจดั
ปูายประชาสัมพันธ๑ การจดั งานประเพณีบุญผะเหวดและการประชาสมั พันธก๑ ารจัดงานทางหอกระจายขําว
และวิทยุชุมชน การจดั ขบวนแหํพระเวสเขา๎ เมือง ในวันจดั งานให๎ยงิ่ ใหญํมีการประกวดขบวนแหํโดยเฉพาะใน
ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ มีคณะผ๎าปาุ สามคั คมี าทอดถวายท่วี ัดบา๎ นหนองโอ วัดบา๎ นหนองสงู และวัดบ๎านคาํ ชะอี
ทําใหก๎ ารจดั งานประเพณบี ญุ ผะเหวดครึกครน้ื มากยิ่งข้นึ และเพ่อื เป็นแนวทางใหเ๎ ยาวชนรุํนหลังได๎ปฏิบัติ
ตอํ ไป ตลอดจนเป็นการสงํ เสรมิ อัตลักษณท๑ อ๎ งถ่ินดว๎ ยการปรบั ปรุงกิจกรรม และกระตุน๎ ใหเ๎ กิดการ
เปลีย่ นแปลงพฒั นาการจดั ขบวนแหพํ ระเวสเขา๎ เมอื ง มีการฟื้นฟกู ารละเลนํ เหยาเอาฮูปเอาฮอยหรือเหยาผีปุา
หรอื พธิ กี รรมเหยาเอาฮปู เอาฮอย และการลําเลาะตบู ของชาวผู๎ไท

โดยสรปุ แนวทางการฟ้ืนฟปู ระเพณีบญุ ผะเหวดของชาวผู๎ไท จังหวัดมกุ ดาหารเพื่อสํงเสริมอัตลักษณ๑
ทอ๎ งถิน่ เป็นการจัดการปรับปรงุ และปรบั เปล่ียนแนวทางการจดั งานประเพณบี ุญผะเหวด โดยไดร๎ ับความ
รวํ มมือจากหนวํ ยงานภาครฐั องค๑กรเอกชน เชํน องคก๑ ารบริหารสํวนตาํ บลเทศบาลตาํ บล โรงเรยี น และ
วดั รวมทง้ั ชุมชนชาวผ๎ไู ทจงั หวดั มกุ ดาหาร ท้ัง ๖ หมูํบา๎ นจงึ เกิดเป็นองค๑ความร๎ูใหมํ และได๎แนวทางในการ
พัฒนาประเพณีบญุ ผะเหวดของชาวผไ๎ู ทกํอให๎เกิดความภาคภูมใิ จในเอกลกั ษณ๑และเป็นการสํงเสริมอตั ลกั ษณ๑
ทอ๎ งถ่ินให๎สืบทอดตอํ ไป
สรุ ศักด์ิ พิมพเ๑ สน (๒๕๓๒ : ๕-๖) ได๎วิจยั เอกสารเกีย่ วกบั เร่ืองแคน ยังไดก๎ ลาํ วถึงโอกาสในการใช๎
เครอ่ื งดนตรีอีสาน เชํน ใช๎ในงานเทศกาล โดยเฉพาะด๎านบญุ กศุ ลตํางๆ ซึ่งมีในขบวนแหํ ใช๎ในด๎านพธิ ีกรรม
และใช๎ในดา๎ นมหรสพตํางๆ เปน็ ต๎น

วาํ ที่ ร.ต. ธวชั ววิ ัฒนปฐพี (๒๕๓๘ : ๑๒๖ – ๑๓๕) ไดศ๎ กึ ษาเร่ือง มโหรพี นื้ บา๎ นอสี าน อําเภอ
ปทุมรตั ต๑ จงั หวดั ร๎อยเอ็ด พบวําองคป๑ ระกอบของมโหรีพน้ื บา๎ นอสี านดา๎ นเคร่ืองดนตรสี ํวนใหญปํ ระกอบด๎วย

๒๗

เคร่อื งดนตรีประเภทเครอื่ งเปาุ เครอื่ งสีและเคร่อื งตีเป็นหลักแตํละคณะหรอื วงมโหรพี นื้ บา๎ นจะมีป่ีนอ๎ ย ป่ี

ใหญํ ซอน๎อย ซอใหญํ กลองมโหรี ๑ใบ ฉงิ่ ๑คํู ฉาบ ๑คํู ด๎านการประสมวงมี ๓แบบคือ แบบนัง่

บรรเลง แบบเดนิ บรรเลง และแบบประยุกตก๑ ับเคร่ืองดนตรีอืน่ ๆเขา๎ ประสมวง เชํน โหวด ระนาด แซก

โซโฟน เปน็ ต๎น การประสมวงมจี ํานวนเคร่ืองดนตรไี มํจาํ กัดเพราะขนึ้ อยกํู บั ความสามารถของผ๎บู รรเลง สํวน

วธิ ีการบรรเลงพบวาํ มีการบรรเลงเปน็ กลมํุ หรอื คณะเทํานน้ั ไมมํ กี ารบรรเลงเด่ียว ในด๎านบทเพลงเปน็ ทาํ นอง

เพลงทั้งหมดไมมํ ีการขับรอ๎ ง แตํละคณะมโหรพี ื้นบา๎ นมีการบรรเลงเพลงทีม่ ีรปู แบบของบทเพลงเปน็ ทาํ นอง

ทอํ นเดยี วเกอื บทุกเพลง บรรเลงซ้าํ ๆกันหลายๆเทีย่ ว ความสมั พนั ธ๑ระหวํางมโหรีพนื้ บ๎านกบั วิถชี วี ติ ของ

ชาวบ๎าน ทางด๎านสงั คมเป็นการสร๎างความสามัคคขี องคนในกลมํุ ทางดา๎ นเศรษฐกจิ เป็นการเสรมิ รายได๎

ให๎กบั ครอบครัว และในทกุ หมูํบ๎านนยิ มใช๎มโหรีพ้นื บ๎านประกอบพธิ ีกรรม และงานบญุ ตามประเพณตี ํางๆ

พิมพร ชัยจิตรส๑ กลุ (๒๕๔๕ : ๑๗๖ - ๑๘๒) ไดศ๎ ึกษาเร่ือง การสืบทอดวฒั นธรรมดนตรีไทย :

กรณีศกึ ษา ชมุ ชนอัมพวา จงั หวดั สมุทรสงคราม โดยมีวัตถุประสงคเ๑ พอื่ ศกึ ษาสภาพ บทบาท และ

กระบวนการสบื ทอดวัฒนธรรมดนตรีไทยในชุมชนอมั พวา ผลการศกึ ษาพบวาํ

๑. บทบาทของดนตรไี ทยในชมุ ชนอมั พวา ปจ๓ จบุ ันจัดเปน็ ๓ กลุมํ คอื

๑.๑ บทบาทที่เกย่ี วข๎องสัมพนั ธ๑กบั ศาสนา อนั ไดแ๎ กํ การทําบุญเลย้ี งพระ ทอดกฐิน และ

เทศน๑มหาชาติ

๑.๒ บทบาทในพิธีกรรมเก่ยี วกับวิถีชีวติ อันได๎แกํ พิธอี ุปสมบท พิธีแตงํ งาน และพิธศี พ

๑.๓ การบรรเลงประกอบการแสดงและมหรสพ เชนํ ละครชาตรี โขน ลเิ ก และหุนํ กระบอก

๒. วธิ ีการอนรุ ักษว๑ ฒั นธรรมดนตรไี ทยของชมุ ชนอมั พวามอี ยํูมากมายหลายวิธี แกํ

๒.๑ ปลกู ฝง๓ ดนตรีไทยให๎แกํกลํมุ เด็กเยาวชน

๒.๒ สรา๎ งสายสมั พันธ๑อนั ดรี ะหวํางครกู ับศษิ ย๑

๒.๓ ใชอ๎ ปุ กรณ๑ทันสมยั ชวํ ยในการเรียนการฝึก

๒.๔ ปรบั ปรุงผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดมิ กับวฒั นธรรมเพลงสมยั ใหมํ

๒.๕ มีการประเมินผลผเ๎ู รียนเป็นขน้ั ตอน

๓. การบรหิ ารและการจดั การวง

๓.๑ การบริหารดา๎ นธรุ กิจ มกี ารจัดการแบบสมัยใหมํ รับคาํ จา๎ งเปน็ เงิน มีตารางกาํ หนดเวลา

ที่แนํนอน มกี ารติดตํอส่ือสารระหวํางวงดนตรีกับเจ๎าภาพงานด๎วยเครอื่ งมอื ส่ือสารท่ที ันสมยั

๓.๒ การบรหิ ารงานบุคคล ใชท๎ ง้ั ระบบบรหิ ารแบบประเพณีดง้ั เดิม “ไหวค๎ รดู นตรีไทย”

ระยะหาํ งทางสังคมระหวาํ งหัวหนา๎ วงกบั นกั ดนตรจี ะกระชับใกลช๎ ิด และใชก๎ ารบรหิ ารจัดการแบบใหมํ โดยมี

ระเบียบกฎเกณฑท๑ ่ีลกู วงต๎องถือปฏบิ ัติ

วสนั ตช๑ าย อ่ิมโอษฐ๑ (๒๕๔๓ : ๓๑ – ๑๐๙) ไดศ๎ กึ ษาเคงํ : เครอ่ื งดนตรีของชนเผาํ มง๎ โดยมี

วัตถุประสงคเ๑ พอ่ื ศกึ ษาบทบาทของเคงํ ตอํ ความเชื่อและพธิ ีกรรมของชาวมง๎ ลกั ษณะทางกายภาพและ

วิเคราะห๑ระบบเสยี งของเคํง ผลการศกึ ษาพบวาํ ชาวมง๎ ถือวําเคํงเปน็ เครอื่ งดนตรที ี่สาํ คญั ท่สี ุด โดยเชื่อวํา

สามารถส่ือสารกับวญิ ญาณได๎ ใช๎เปุาในพธิ ีกรรมทางความเช่อื ได๎แกํ ความเช่ือเรอื่ งชวี ิตหลงั ความตาย จงึ มีพธิ ี

ศพถือวาํ เปน็ พิธีสาํ คัญท่สี ดุ ความเชื่อในเร่ืองการปกปูองรกั ษา จึงมพี ิธซี อื้ ความเชือ่ เรอ่ื งการเกดิ ใหมํจงึ มพี ธิ ี

“ตจอผล่ี” ความเชือ่ เรื่องลางบอกเหตุร๎าย จึงมีพิธที าํ บุญฆําวัวให๎วิญญาณผู๎ตาย มีเพลงเปุาในเวลาเชา๎ เทยี่ ง

และเย็น หา๎ มเปาุ ปนกนั หรอื เปุาเลํน ห๎ามสตรเี ปาุ เคงํ ในงานศพ ใช๎เคงํ เปุาเพ่ือความบันเทิง การเกยี้ วพาราสี

เปน็ เพือ่ นขณะเดนิ ทางและในวาระพิเศษตาํ ง ๆ ได๎มง๎ ถอื วําพระแมํเจ๎าคอื บรมครทู างวิชาเปาุ เคํง เคํงเปน็

เครื่องดนตรตี ระกลู เครือ่ งลม (Aerophones) ลน้ิ เดยี ว (Single Reed) ระบบเสียงของเคงํ มี ๖ เสยี ง จาก

๒๘

การวิเคราะห๑ระบบเสียงเคํงทง้ั ๑๒ ขนาด พบวํา คําความยาวโดยเปรียบเทียบเสียงแตลํ ะทํอนของเคํงท้งั ๑๒

ขนาด มคี วามยืดหยนุํ ไมํคงท่ี เสยี งเคงํ ทั้งหมดมี ๖ เสียง มลี กั ษณะคล๎ายกับบนั ไดเสียงสากลแบบ ๕ เสยี ง

(Pentatonic) โดยมเี สียงที่ ๑ กับเสยี งที่ ๖ หาํ งกนั ๑ ชํวงเสียง (Octave) ปจ๓ จุบนั เคงํ เปน็ เครื่องดนตรีที่

ยงั คงรักษาระบบเสยี งแบบดั้งเดมิ ไวไ๎ มเํ ปล่ยี นแปลง ถึงแม๎วาํ ชวี ิตประจาํ วันของนายเลาํ ตา๐ แซเํ ฒาํ จะคลุกคลี

กับสังคมโลกสมยั ใหมทํ ีม่ ีการตัง้ เสียงดนตรีอยํางสากล แบบ Equal Temperament ก็ตาม

ทวี ถาวโร (๒๕๔๐ : ๔๒ – ๗๓) ไดศ๎ กึ ษาวิถีชีวิตชนกลํุมนอ๎ ยในเขตพ้ืนทีภ่ าคอสี าน ผลการวจิ ัย

พบวาํ ชาวผไ๎ู ท บา๎ นหนองชา๎ งและบา๎ นหนองแกนํ ทราย ชาวผู๎ไทกลํุมนเี้ ป็นกลํมุ ทแ่ี ยกมาจากผู๎ไทกลมํุ ทให่ีอญาํ เํภอ

กฉุ ินารายณ๑ จังหวัดกาฬสนิ ธุ๑ เมือ่ ประมาณ พุทธศกั ราช ๒๔๔๐ หรือกอํ นนั้นเล็กนอ๎ ย เรอื นชาวผูไ๎ ทเปน็ เรอื น

ไมจ๎ ริง กน้ั ฝาและปพู นื้ ดว๎ ยไม๎กระดาน หลงั คาจ่วั มงุ หญา๎ คาหรอื แปนู ไม๎ ใตถ๎ นุ สงู เสาไม๎ซงุ กลมหรอื แตํง

เหลย่ี มก็ได๎ ชาวผู๎ไทแตํงกายโดยนุํงกางเกงหรู ูด ขาสน้ั ผา๎ ฝูาย ยอ๎ มดาํ ทไี่ มยํ อ๎ มมเี ป็นสวํ นน๎อยเรียกกางเกงผ๎า

ดอํ น ถา๎ ไปงานประเพณีหรอื พิธกี ารนงํุ ผา๎ หาง ใชผ๎ ๎าไหมเข็น คลา๎ ยนงุํ โจงกระเบนเป็นผ๎าพนื้ สเี ดยี ว เสื้อเป็น

เส้อื ผ๎าฝาู ย แบบเสื้อมํอฮอํ ม ผําอกตลอด ติดกระดุม ๔-๗ เม็ด สดี ําหรอื สี ครามเขม๎ ชดุ ลําลอง อยกํู บั บ๎าน

นํุงผา๎ ขาวมา๎ หรือโสรงํ กไ็ ด๎ สวมเส้ือหรอื ไมกํ ไ็ ด๎ ตามอธั ยาศยั และนิยมสักลาย ตามรํางกาย ในระยะเวลา

ประมาณ ๔๐ ปีมานี้ คนหนุมํ สาวและเดก็ ๆ เปลย่ี นมาแตํงกาย เหมอื นคนไทยทั่วๆ ไป แตํในกลมํุ ผู๎ใหญํ

อายุ ๕๐ ปขี ้ึนไป ยังคงแตงํ กายตามวัฒนธรรมด้ังเดิมของกลมุํ อยเูํ ป็นสวํ นมาก ชาวผ๎ไู ทรับประทานอาหารวัน

ละ ๓ เวลา คือ เช๎า - เท่ียง - เยน็ กนิ ขา๎ วเหนียวเปน็ หลกั กบั ขา๎ วมีทงั้ ประเภทเนอื้ สัตวแ๑ ละพืชผกั ผลไม๎ ไมํ

แตกตาํ งจากอาหารพน้ื บา๎ นอสี าน การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ตามแบบสงั คมสมัยใหมยํ ังไมํปรากฏในชมุ ชนชาวผไู๎ ท

ทีน่ ี่ เป็นเพราะวถิ ชี ีวติ ในอดีตและความเปน็ อใยนํู ป๓จจุบันกอ็ ยูํดีมสี ุขกันตามควรแกฐํ านานรุ ปู ของแตํละ

ครอบครัว อยแํู ลว๎ อีกทงั้ ชาวผไ๎ู ทมีนิสยั ออํ นน๎อมถํอมตวั สขุ มุ ใจเยน็ และพึงพอใจในส่ิงทีม่ ีอยํู ไมํ

ฟุูงเฟอู มักมากอยากได๎อนั ใดจนเกิดเหตุ อกี ดว๎ ย ชวี ติ ตามแบบสงั คมยคุ ใหมํจึงยงั หาํ งไกลจากทน่ี ี่

รตั นนนั ท๑ ยงยนั ต๑ (๒๕๔๘ : ๙๐-๙๓) ไดศ๎ กึ ษาการลาํ ผู๎ไทในจังหวดั กาฬสินธุ๑ จากการศึกษา พบวํา

ลําผู๎ไทเป็นศิลปะการรอ๎ งของชาวผไ๎ู ทซ่งึ เป็นกลุมํ ชน ทอี่ าศยั อยูํแถบภาคอีสาน โดยได๎อพยพมาจากดนิ แดนฝ่๓ง

ซ๎ายของแมํน้าํ โขง และได๎นําเอาศลิ ปวฒั นธรรมดังกลําว มาดว๎ ย โดยลาํ ผไ๎ู ทนั้นมีความสมั พันธ๑กบั ชุมชนในดา๎ น

ตาํ งๆ ท้ังที่เปน็ เอกลกั ษณ๑ประจํากลมํุ ชน และเก่ียวข๎องกับการดาํ เนนิ ชีวิตสาํ หรบั รูปแบบของการลาํ ผไ๎ู ทนน้ั

พบวํา มีรปู แบบท่เี ปน็ เอกลกั ษณเ๑ ฉพาะทางดนตรเี ป็นของตัวเอง ไดแ๎ กํ มีภาษาและคาํ ประพันธท๑ เี่ ปน็ รูปแบบ

เฉพาะ มกี ลุํมสมั พันธใ๑ ช๎เฉพาะ ๒ กลํมุ เสียง คือ ลายใหญํ สําหรบั การลําของฝาุ ยชาย และลายน๎อยสาํ หรับการ

ลาํ ของฝาุ ยหญิง ขนั้ ตอนในการลําผ๎ไู ทประกอบด๎วย๓ ชวํ ง คอื การลาํ เกริน่ ขึน้ ต๎น การลําดาํ เนินเรือ่ ง การ

ลําลงจบ

พรรณราย คําโสภา (๒๕๔๒ : ๒๒๑-๒๒๖) ไดท๎ าํ การวิจัยเรอ่ื ง การวิเคราะหเ๑ พลงพน้ื บ๎านกนั ตรึม

ของหมูํบ๎านดงมัน จังหวัดสุรทิ ร๑ ซึง่ กันตรึมเปน็ การแสดงอยาํ งหน่งึ ของชาวอีสานใต๎ ผลการวจิ ัยพบวํา

กนั ตรึม คือช่ือเรยี กตามเสยี งกลอง ทีใ่ ช๎บรรเลงกับทาํ จงั หวะทม่ี ีเสยี งดงั โจ๏ะ ตรมึ ตรมึ โจะ๏ ครมึ ครึม จากคํา

วํา ตรมึ ตรมึ หรอื ครึม ครึม เพีย้ นมาเปน็ กนั ตรึม และใชเ๎ ปน็ ช่ือเรยี กดนตรปี ระเภทน้ตี ลอดมา กันตรึมมีต๎น

กาํ เนิดมาเม่อื ไหรํไมํมีใครทราบ เพยี งแตมํ กี ารสนั นิษฐานคาดเดาวํา ไดร๎ ับแบบอยํางมาจากเขมรบา๎ ง เกิดจาก

พธิ ีกรรมบ๎าง สรปุ แลว๎ ดนตรกี ันตรมึ เปน็ เพลงพน้ื บา๎ นอยาํ งหนง่ึ ทีม่ กี ารละเลํน มาชา๎ นานจนมาถงึ ปจ๓ จบุ ัน

กันตรมึ นยิ มใช๎บรรเลงในงานมงคลและงานอวมงคล แตํเดิมใชป๎ ระกอบกาบรวงสรวงเทพเจา๎ ทรงเจ๎าเขา๎ ผี และ

บรรเลงเพือ่ ความสนกุ สนานเพลดิ เพลินตามประสาชาวบา๎ น ตํอมามีผ๎บู รรเลงมากขึน้ มีการแขงํ ขันปรบั ปรุง

พฒั นารูปแบบการแสดง ใหน๎ าํ ดนู ําชมและสนุกสนานมากขนึ้ เพื่อให๎เป็นที่นําพอใจแกผํ วู๎ าํ จา๎ ง

๒๙

อังคณา ใจเหิม (๒๕๓๘ : ๗๑ – ๑๕๔) ได๎ทาํ วิจยั เรอื่ ง การวเิ คราะหด๑ นตรพี ื้นเมืองภาคเหนอื

ผลการวจิ ัย พบวาํ ดนตรีพนื้ เมอื งภาคเหนอื นั้นแตํเดมิ มีจุดประสงคใ๑ นการบรรเลงเพือ่ ประเทอื งอารมณ๑

และมีเคร่อื งดนตรเี ปน็ อปุ กรณใ๑ นการไปแอํวสาว (การไปเกีย้ วผ๎ูหญงิ ) ตาํ งหมํบู า๎ น หรอื ในหมูํบา๎ นตนเองของ

บรรดาหนุํมๆ หรอื เพือ่ เอาเสยี งเปน็ เพ่ือน ในยามเดนิ ทางกลับเคหะสถานของตนในตอนเช๎ามืด ดังน้ันกฎเกณฑ๑

วิธกี าร และทาํ นองเพลงจงึ มิใชสํ ง่ิ สาํ คัญ ไมํจําเป็นตอ๎ งพิถพี ถิ ันเหมือนวงดนตรีในภาคกลาง และส่ิงสาํ คัญทสี่ ุด

กค็ ือผบู๎ รรเลงทุกคนมไิ ดต๎ ้ังใจยดึ เป็นอาชพี จะเลนํ หรือบรรเลงในชวํ งท่ีเป็นหนมํุ อยูเํ ทาํ นั้น พอแตงํ งานมี

ครอบครวั ไปก็ละทิง้ จนหมดสิน้ แตํปจ๓ จบุ นั นีว้ งดนตรีพื้นเมอื งเริม่ จะมแี บบแผนกฎเกณฑ๑มากขน้ึ จงึ ทําให๎เกดิ

องคป๑ ระกอบท่ีสาํ คญั ขนึ้ อีกหลายประการ ในบทเพลงพน้ื เมืองเหนอื รวมทงั้ ทาํ ให๎เกดิ ความหลากหลายขึ้น

ในการดาํ เนินทํานองของเพลงพื้นเมืองเหนือ

จรัญ กาญจนประดิษฐ๑ (๒๕๔๗ : ๑๒๗-๑๓๗) ไดท๎ าํ การวิจัยเรอ่ื ง การศึกษาดนตรีและวัฒนธรรม

ของชาวกะเหรย่ี ง ผลการศึกษาพบวาํ ในพ้ืนที่วจิ ยั มเี ครอื่ งดนตรีตาํ งๆ ปรากฏในพืน้ ที่ คอื ดนตรีด้งั เดมิ ของ

ชาวกะเหรี่ยง และดนตรที ไ่ี ดร๎ ับอทิ ธิพลมาจากมอญและพมํา โดยแบํงเป็นประเภทตํางๆ ดังนี้ ๑) เครอื่ งดีด

ได๎แกํ นาเดํย (พณิ กะเหร่ยี ง) และเมตารี่ (แมนโดรนิ ) ๒) เคร่ืองตี ได๎แกํปาตาลาํ (ระนาดเหล็ก) โหมงํ หวาย

(ฆอ๎ งราง) ตะโพล๎ว(ตะโพนใหญํ) ตาค๎ูว โปูว (เปงิ ๔ใบ) เวเหลาํ เคะจี (เกราะไม)๎ เจํงจี (ฉาบใหญ)ํ กอ๏ ง

(กังสดาล) โคร๏ะ (เกราะไม๎ขนาดใหญํ) ๓) เคร่ืองเปุา ไดแ๎ กํ ฆวํ ย (ปี่เขาควาย) ขะนวํ ย(ปี)่ และปบี่ า

(แคน) สําหรบั เพลงรอ๎ งของกะเหรยี่ ง (ถะค)ู น้ัน เปน็ เพลงดง้ั เดิมท่สี ืบทอดมาตั้งแตอํ ดีต

สมชัย สวุ รรณไตร (๒๕๓๙ : ๖๒-๙๗) ไดศ๎ ึกษาดนตรีของชาวโส๎ อาํ เภอกุสมุ าลย๑ จังหวัดสกลนคร

โดยมจี ดุ ประสงค๑เพอื่ ศึกษาประเภทและองค๑ประกอบทางดนตรขี องชาวโส๎และศึกษาความสมั พนั ธร๑ ะหวาํ ง

ดนตรกี บั วิถีชวี ิตของชาวโส๎ ผลการศกึ ษาพบวําดนตรขี องชาวโสม๎ ี ๔ ประเภทคือ ดดี สี ตี เปุา

องค๑ประกอบทางดนตรีประกอบด๎วย ทํานอง จังหวะ การประสานเสียง การประสานทํานอง คีตลักษณ๑

และคําร๎อง ความสมั พนั ธ๑ระหวํางดนตรีกบั วถิ ีชีวติ ชาวโสจ๎ ะนาํ เอาดนตรีเขา๎ มาเก่ียวขอ๎ งกับวิถีชวี ิตต้ังแตํเกิด

จนตาย และมีการละเลนํ ตํางๆท่ีชาวโสน๎ าํ เอาดนตรเี ขา๎ ไปเก่ยี วขอ๎ ง นอกจากนชี้ าวโสก๎ ็ยงั มปี ระเพณพี ธิ กี รรม

ตามฮตี ๑๒ ครอง ๑๔

ม่งิ ขวญั ชนไพโรจน๑ (๒๕๕๑ : ๙๘-๓๔๓) ได๎ศึกษาเร่ืองแนวทางการอนรุ กั ษ๑ ฟื้นฟแู ละพฒั นา

เอกลักษณ๑ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ของกลมํุ ชาตพิ ันธก๑ุ ลุ าในภาคอสี านโดยมีความมํงุ หมายเพ่ือศกึ ษาและ

หาแนวทางอนุรกั ษ๑ ฟนื้ ฟู และพัฒนา เอกลกั ษณแ๑ ละขนบธรรมเนยี มประเพณี ของกลมุํ ชาติพันธุก๑ ุลาในภาค

อีสาน ผลการศึกษาพบวาํ เอกลกั ษณ๑ของกลุมํ ชาติพนั ธ๑กุ ลุ า มหี ลายดา๎ น คอื ด๎านภาษา มกี ารนําภาษาพูด ที่มี

สาํ เนยี งคลา๎ ยสําเนียงชาวเหนอื ของไทย เขา๎ มาใช๎สื่อสารและนาํ ภาษาเขียนเข๎ามาใช๎ท่บี ๎านโนนใหญํ ด๎านการ

แตํงกาย เดิมทเี ดียวมกี ารแตงํ กายตามท๎องถนิ่ เดิมของแตํละเชื้อชาติ แตํเม่ือไดเ๎ ขา๎ มาอาศัยอยใูํ นชุมชนอสี าน

นานเข๎า กม็ กี ารปรบั เปลี่ยนการแตํงกายตามอยาํ งท๎องถิน่ ด๎านอาหารมีการนาํ อาหารกลุ า คือ แกงฮงั เล เขา๎ มา

และยงั คงมีการสืบทอดอยํูทีบ่ า๎ นโนนใหญํ ด๎านยารักษาโรค มีการใชส๎ มุนไพรตามแบบกลุ า ด๎านการสรา๎ ง

บา๎ นเรือนของกุลา มกี ารสร๎างบ๎านหลงั สงู ใหญํ เพอ่ื ใช๎ผกู ชา๎ งไวใ๎ ต๎ถุนบา๎ น ดา๎ นศลิ ปกรรมและสถาปต๓ ยกรรม มี

การสรา๎ งวดั สร๎างถาวรวัตถุแบบไต ท่ีบ๎านโนนใหญํ ซง่ึ ยังคงมีหลกั ฐานอยํูในปจ๓ จบุ นั นอกจากนี้ยังมกี ารนาํ เอา

ศิลปะการดนตรีและการฟูอนรํา “มองเซงิ ” มาท่ีบา๎ นโนนใหญแํ ละบา๎ นบงึ แก และยงั คงสืบทอดอยทูํ บ่ี ๎านโนน

ใหญํ ด๎านภูมปิ ๓ญญาด๎านการปูองกันภัยกลุ าใช๎ดาบเปน็ อาวธุ สําคัญ ควบคูํกับการใชเ๎ วทยม๑ นต๑ คาถาอาคม

และเครื่องรางของขลัง สํวนดา๎ นภูมปิ ญ๓ ญาในการประกอบอาชพี น้ัน กุลามีความชํานาญในการค๎าขายแบบ

เรรํ อํ น ไมมํ ีการตง้ั รา๎ นคา๎ ดาํ เนนิ การคา๎ ขายจนกระทงั่ มอี ายุยํางเขา๎ สวํู ัยชราจงึ จะหยุด สําหรบั ดา๎ น

๓๐

ขนบธรรมเนยี มประเพณี พบวํา ท่บี า๎ นโนนใหญํ ยงั คงมีการสบื ทอดขนบธรรมเนยี มประเพณแี บบกุลา หลาย
อยาํ ง คอื บุญออกพรรษา บุญข๎าวสาก ประเพณเี ล้ยี งบอื บา๎ น และประเพณีเลี้ยง ผีปูตุ า จนป๓จจุบัน
แนวทางในการอนรุ ักษ๑ ฟ้นื ฟู และพัฒนา เอกลักษณ๑ และขนบธรรมเนยี มประเพณมี ีแนวทาง
ปฏบิ ัตไิ ด๎หลายแนวทาง และเปน็ กระบวนการเก่ยี วเนอื่ งสัมพนั ธซ๑ ึง่ กนั และกนั กลําวคือ
แนวทางการอนุรกั ษ๑ การอนรุ ักษ๑ เอกลักษณ๑ มีแนวทางปฏบิ ตั โิ ดยการจัดทําพพิ ิธภัณฑก๑ ลุ าใน
รปู แบบพิพิธภัณฑ๑แบบรวมและแบบกระจาย และกิจกรรมสํงเสริมคณุ คาํ ทางเอกลกั ษณไ๑ ดแ๎ กกํ ารดแู ลรกั ษา
ซํอมแซม จดั ระเบียบ และเผยแพรกํ ิจกรรมทางเอกลกั ษณ๑ การอนรุ กั ษ๑ ขนบธรรมเนียม ประเพณมี ี
แนวทางปฏิบตั โิ ดยการเสรมิ คณุ คําได๎แกกํ ารยอมรบั นับถือ ทํานุบํารงุ สงํ เสริม ยกยอํ งใหเ๎ กียรต์ิ แกํ
ขนบธรรมเนียมประเพณี และผ๎ูปฎบิ ตั ิ
แนวทางการฟ้ืนฟู แนวทางการฟืน้ ฟเู อกลักษณ๑ มีแนวทางปฏิบัติโดยการร้อื ฟ้นื สร๎างใหมํ จําลอง
เลยี นแบบ และการผลติ เพม่ิ การฟน้ื ฟูขนบธรรมเนยี มประเพณไี ด๎แกํ การจดั กองทนุ สํงเสรมิ กิจกรรมทาง
ขนบธรรมเนยี มประเพณี สนบั สนุนการรื้อฟื้น ปรับปรุง นาํ ขนบธรรมเนียมประเพณีทีส่ ูญหายไปกลับมา
ปฏบิ ัติ และมกี ารประชาสมั พนั ธเ๑ ผยแพรขํ ําวสารเกีย่ วกบั กิจกรรมทางขนบธรรมเนียมประเพณีของชมุ ชนกลุ า
แนวทางพัฒนา มีแนวทางปฏิบัตสิ ืบเน่อื งมาจากการอนุรกั ษ๑และฟ้นื ฟู โดยการพัฒนาเอกลักษณ๑
และขนบธรรมเนยี มประเพณีทผ่ี ํานกระบวนการอนุรักษ๑ และฟนื้ ฟแู ล๎ว เขา๎ สูํกระบวนการพฒั นาให๎เปน็
หมบํู ๎านวัฒนธรรมและหมํูบา๎ นทอํ งเทีย่ วเชิงนเิ วศวัฒนธรรมตามลาํ ดับซงึ่ จากการวิจัยจงึ มคี วามเป็นไปไดใ๎ นการ
พัฒนา พบมีเพียงหมบูํ า๎ นเดียวทีส่ ามารถจะพฒั นาเปน็ หมูบํ า๎ นวัฒนธรรมและหมํูบ๎านทํองเทย่ี วเชิงนเิ วศ
วัฒนธรรมคือ บ๎านโนนใหญํ ทง้ั น้เี พราะมีองค๑ประกอบทเี่ ป็นปจ๓ จัยเกือ้ หนนุ ซงึ่ กันและกันหลายดา๎ นคอื ด๎าน
บุคลากร ดา๎ นทรพั ยากรธรรมชาติ ทรพั ยากรทางวัฒนธรรม และทนุ ทรพั ย๑
ผลการวจิ ัยครง้ั น้ี ช้ีใหเ๎ ห็นวาํ เอกลกั ษณแ๑ ละขนบธรรมเนียมประเพณขี องกลุมํ ชาติพนั ธก๑ุ ลุ า บางอยาํ ง
และบางหมูํบ๎านยงั มีทางอนุรกั ษ๑ ฟื้นฟู และพฒั นา ได๎ คอื ทบ่ี า๎ นโนนใหญํ ทงั้ นีเ้ พราะมีเอกลกั ษณ๑ดา๎ น
โบราณวตั ถุ โบราณสถาน ศิลปกรรม รวมทง้ั ขนบธรรมเนยี มประเพณี ทย่ี งั คงถือปฏิบัติอยูํหลายอยําง
ประกอบกบั ความสามัคคีพร๎อมเพรียงของสมาชิกในชุมชน ซ่งึ มีความตระหนักถงึ ความสําคญั ของมรดกทาง
วัฒนธรรมของบรรพบรุ ุษของตน ได๎มกี ารจัดทาํ แผนในการอนรุ ักษ๑ ฟนื้ ฟู และพฒั นาชมุ ชนของตนเอง โดยการ
จัดตง้ั เปน็ หมํูบา๎ นวัฒนธรรมและหมํบู ๎านการทอํ งเทีย่ วเชงิ วัฒนธรรม ตามลาํ ดับ ซ่ึงจะเป็นการพฒั นาที่ย่งั ยืน

สิทธศิ ักดิ์ จาํ ปาแดง และคณะ (๒๕๕๑ : ๖๔-๙๕) ได๎ศึกษาเร่อื งแนวทางการอนรุ กั ษแ๑ ละสืบทอด
วงป่พี าทย๑บา๎ นหมอ๎ ตาํ บลเขวา อําเภอเมอื ง จังหวัดมหาสารคาม โดยมีวัตถปุ ระสงคเ๑ พ่ือศึกษาบริบท
วฒั นธรรมของปี่พาทย๑บ๎านหมอ๎ ท่ีมคี วามสมั พนั ธก๑ ับชุมชน และศึกษาแนวทางการอนุรักษ๑และสบื ทอด
วงปี่พาทย๑บา๎ นหมอ๎ ผลการศึกษาพบวําแนวทางการอนรุ กั ษแ๑ ละสืบทอดวงปพ่ี าทย๑บ๎านหมอ๎ มี ๒ แนวทาง
คอื การจดั ตงั้ ชมรมอนุรกั ษ๑วงปีพ่ าทย๑ โดยเปน็ ความรวํ มมอื ของบุคคลภายในหมูบํ า๎ นตลอดจนผ๎ูทสี่ นใจ
ภายนอกชุมชนให๎การชวํ ยเหลือประสานงาน และแนวทางการทําหลกั สูตรทอ๎ งถ่ิน โดยหลักสตู รเน๎นผ๎ูเรยี น
เปน็ ศูนยก๑ ลาง ตามแนวนโยบายของทางราชการ
พงคธ๑ ร พันธ๑ุผาด (๒๕๕๔ : ๔๑ – ๗๑) ได๎ทําการศกึ ษาเรอื่ ง ปี่ภไู ท (ผไ๎ู ทย) บา๎ นกดุ หวา๎ ตําบล
กดุ หว๎า อําเภอกฉุ นิ ารายณ๑ จงั หวัดกาฬสนิ ธ๑ุ โดยศึกษาประวัติความเป็นมาของการทาํ ปี่ วิธีการบรรเลง
บทเพลงทีบ่ รรเลง และศึกษาภาพสะท๎อนทางสงั คมวัฒนธรรมของชาวภูไทท่มี องผํานป่ีภไู ท ผลการศกึ ษา
พบวําปภ่ี ูไทเป็นเครอ่ื งดนตรตี ระกูลเครอ่ื งลม ทําด๎วยไมไ๎ ผเํ ฮย้ี มี ๖ รนู บั เสยี ง มีบันไดเสียง ๗ เสยี ง คือ
ซ ล ท ด ร ม ฟ แตนํ ิยมเลํนเพียง ๕ เสียง คอื ซ ล ด ร ม สํวนประกอบของปี่มี ๕ สวํ นคอื
ตัวปี่ ลน้ิ ปี่ รเู ย่ือ รูนับเสยี ง และหางป่ี สวํ นบทเพลงของปภี่ ูไทเปน็ เพลงทมี่ ีทาํ นองชา๎ ๆ เนบิ ๆ ชาวภูไทนิยม

๓๑

ใชป๎ ่เี ปุาประกอบการลาํ ภไู ท และใชใ๎ นพิธีเหยาซึ่งเป็นพิธีกรรมรักษาโรค ชาวภไู ทถอื วาํ ปีเ่ ป็นเครือ่ งดนตรที ่ใี ห๎
ทง้ั ความสนกุ สนานและใช๎ในพิธกี รรมตํางๆ เป็นส่ิงทีค่ วบคกูํ บั วถิ ีชีวิตของชาวภูไทอยํางไมสํ ามารถแยกออกจาก
กนั ได๎ ด๎วยเหตุนีป้ ่ีภูไทจงึ สะท๎อนภาพสังคมวฒั นธรรมของชาวภูไทในดา๎ นตํางๆ คือ เป็นสิ่งสร๎างความบนั เทิง
และกํอใหเ๎ กดิ ความสามัคคีในชุมชน เปน็ ศลิ ปะและสุนทรยี ะดา๎ นดนตรีของชาวภูไท มีบทบาทสําคญั ดา๎ น
ความเช่ือและพธิ กี รรม สะท๎อนการดาํ รงชีวิตในสิง่ แวดล๎อมทเ่ี ป็นธรรมชาตแิ ละป่ภี ไู ทบอกอัตลกั ษณ๑หรือตวั ตน
ของชาวภไู ท
สกุณา พนั ธุระ (๒๕๕๔ : ๒๖ – ๙๓) ได๎ศึกษาดนตรีผู๎ไทย ตําบลหนองหา๎ ง อาํ เภอกฉุ นิ ารายณ๑
จังหวัดกาฬสนิ ธุ๑ โดยมีจุดมุงํ หมายในการศึกษาวัฒนธรรมทเี่ กยี่ วขอ๎ งกบั ดนตรีของชาวผ๎ูไทย และศึกษาดนตรี
ของชาวผู๎ไทยตาํ บลหนองห๎าง อาํ เภอกุฉินารายณ๑ จงั หวัดกาฬสินธ๑ุ ผลการศึกษาพบวํา ชาวผ๎ไู ทยบา๎ นหนอง
ห๎าง มีวถิ ชี ีวติ ความเป็นอยํูทเ่ี รียบงําย สํวนใหญํประกอบอาชพี เกษตรกรรม เคร่อื งดนตรีของชาวผูไ๎ ทยมี ๔
ประเภท ดังนี้ ๑. เคร่ืองดีด ได๎แกํ พณิ ๒. เครือ่ งสี ได๎แกํ ซอบัง้ ไม๎ไผํ ๓. เครื่องตี ได๎แกํ โปงลาง พงั
ฮาด กลองน๎อย กลองหาง ก๊ับแก๏บ ฉิง่ และฉาบ ๔. เครอื่ งเปาุ ได๎แกํ แคนและป่ี ดนตรีประกอบการ
แสดงทเ่ี ป็นเอกลักษณ๑สาํ คญั ของชาวผ๎ไู ทยบา๎ นหนองหา๎ งคอื ฟอู นผ๎ไู ทย ฟอู นพงั ฮาด และเซิ้งกระหยงั
ชาวบ๎านหนองห๎างได๎มีการรวมกลํมุ ตัง้ วงดนตรขี ึน้ มาเพือ่ แสดงในงานประเพณตี ํางๆ ชื่อวําวงดนตรอี อนซอน
สมาชิกในวงดนตรสี ํวนใหญเํ ป็นผสู๎ ูงอายุท่ีมีความสามารถในการเลนํ ดนตรีและฟอู นราํ ได๎ ดนตรีของชาวผูไ๎ ทย
จะบรรเลงประกอบพิธีกรรมตํางๆ ใน ๓ รูปแบบคอื ๑. ใช๎บรรเลงเพือ่ สร๎างความสนกุ สนานใหก๎ บั ผค๎ู นใน
ชมุ ชน ๒. ใชแ๎ สดงต๎อนรับแขกผูม๎ าเย่ยี มชมหมํูบ๎าน ๓. ใช๎เปน็ เคร่ืองบอกสัญญาณในการทาํ พธิ ีกรรมตาํ งๆ
การสบื ทอดดนตรีเปน็ การเรยี นและการถาํ ยทอดดว๎ ยปากเปลํา ไมมํ ีการจดบนั ทึกเปน็ ลายลกั ษณ๑อกั ษร ทาํ ให๎
คนรนํุ ใหมํไมเํ ขา๎ ใจในความลกึ ซ้งึ ของดนตรแี ละระบบการถาํ ยทอดดนตรีของนกั ดนตรอี าวุโส ด๎วยเหตนุ ด้ี นตรี
ผ๎ูไทยจึงอยูํในวงจํากัดกับนกั ดนตรีอาวโุ ส

บทที่ ๓
วิธดี าเนนิ การศึกษา

การวจิ ยั เรอื่ งแนวทางการสํงเสรมิ อนรุ กั ษ๑ และพฒั นา ซอบั้งชาวผ๎ูไท จงั หวัดกาฬสินธุ๑ เป็นการ
วจิ ยั เชิงคณุ ภาพ ซึง่ มีวัตถุประสงค๑การวจิ ัย ๒ ประการ คือ ๑. เพอื่ ศกึ ษาองค๑ความร๎ูของซอบ้งั ชาวผู๎ไท
จงั หวัดกาฬสนิ ธุ๑ ที่เกี่ยวขอ๎ งกับลกั ษณะทางกายภาพ ระบบเสยี ง บทเพลง บทบาทหนา๎ ทใี่ นสังคมและ
วฒั นธรรม ๒. เพ่อื ศึกษาแนวทางการสํงเสรมิ อนรุ ักษ๑ และพฒั นา ซอบั้งชาวผู๎ไท จังหวัดกาฬสนิ ธ๑ุ
ผ๎ูวจิ ัยไดก๎ ําหนดวิธีดาํ เนนิ การศกึ ษา ตามประเดน็

๑. พ้นื ที่ทีท่ าํ การศึกษาวิจยั
๒. ประชากรและกลุํมตวั อยาํ ง
๓. เครอื่ งมือทใ่ี ชใ๎ นการวจิ ยั
๔. วธิ ีการเก็บรวบรวมข๎อมลู
๕. การจัดกระทาํ และวิเคราะหข๑ ๎อมลู
๖. การนาํ เสนอผลการวิเคราะหข๑ ๎อมลู
โดยมีรายละเอยี ด ดังนี้

๑. พน้ื ทีท่ ี่ทาํ การศึกษาวจิ ยั
พืน้ ท่ที ท่ี ําการศึกษาวจิ ัย อาํ เภอกุฉินารายณ๑ อาํ เภอเขาวง อาํ เภอนาคู อําเภอสหสั ขันธ๑ และ

อําเภอคํามํวง จงั หวดั กาฬสนิ ธโุ๑ ดยผ๎วู ิจัยใชว๎ ิธีเลือกพื้นท่แี บบเจาะจง (Purposive Sampling) เพราะเปน็
พน้ื ทท่ี มี่ ีเอกสารระบุวาํ มชี าวผไ๎ู ทอาศัยอยํูมาเปน็ เวลานานและมีวัฒนธรรมการดนตรีทส่ี บื ทอดมาจนถงึ ป๓จจบุ นั
(บญุ ยงค๑ เกศเทศ. ๒๕๓๖ : ๑๑๓-๑๑๔)

๒. ประชากรและกลุมํ ตัวอยําง
ประชากรท่ีศกึ ษาไดแ๎ กชํ าวผ๎ูไททีอ่ าศยั ใน อําเภอกุฉนิ ารายณ๑ อาํ เภอเขาวง อาํ เภอนาคู

อําเภอสหสั ขนั ธ๑ และอําเภอคาํ มวํ ง จังหวัดกาฬสนิ ธ๑ุ ผวู๎ ิจยั ไดเ๎ ลอื กกลุมํ ตวั อยาํ งแบบเจาะจง (Purposive
Sampling) โดยจําแนกกลมุํ ตวั อยาํ งเพือ่ การศกึ ษาออกเปน็ ๒ ลกั ษณะ คือ ลักษณะท่ีเปน็ บุคคลและ
ลกั ษณะท่เี ป็นองคก๑ ร
กลมํุ ตัวอยาํ งในลักษณะที่เปน็ บคุ คล ประกอบด๎วยบุคคล ๓ กลํมุ คือ
๑. กลมํุ ผร๎ู ๎ู (Key Informants) เป็นกลํมุ บคุ คลท่ีใหข๎ อ๎ มูลในเชงิ ลึกและสําคัญเกยี่ วกับซอบั้งของชาว
ผไ๎ู ท จังหวดั กาฬสนิ ธุ๑ ไดแ๎ กํผ๎นู าํ ชุมชนหรอื ผู๎เชีย่ วชาญท่เี ป็นผูท๎ รงภมู ิ ในลักษณะปราชญช๑ าวบา๎ นเพอ่ื ให๎
ข๎อมลู ทเี่ ก่ียวกับประวตั คิ วามเปน็ มาและขนบธรรมเนียมของซอบ้งั จํานวน ๓ คน

๒. กลมุํ ผ๎ูปฎิบตั ิ (Casual Informants) เป็นผ๎ทู ่มี ปี ระสบการณใ๑ นการทําหรือการบรรเลงซอบ้ัง
จาํ นวน ๓ คน

๓. กลํมุ บคุ คลทัว่ ไป (General Informants) เป็นกลํมุ ประชาชนทวั่ ไป เดก็ และเยาวชนทีอ่ าศัยอยํู
ในชุมชน และมคี วามรค๎ู วามสนใจเก่ยี วกับซอบ้งั เป็นผูท๎ ่ใี หข๎ ๎อมูลเก่ยี วกับบทบาทความสําคัญของซอบ้ัง
จังหวดั กาฬสินธุ๑ จาํ นวน ๓ คน

๓๓

กลํุมตวั อยํางในลักษณะทเ่ี ป็นองคก๑ ร หมายถงึ เจา๎ หน๎าทผ่ี ูบ๎ ริหาร ผู๎รบั ผดิ ชอบในองค๑กร ท่ีจะต๎องมี
สํวนรวํ มสนับสนนุ กจิ กรรมการสํงเสริม อนรุ กั ษ๑ และพฒั นาซอบง้ั ชาวผไ๎ู ท จังหวดั กาฬสินธ๑ุ ประกอบด๎วย
องค๑กรดงั น้ี
๑. องค๑การบรหิ ารสวํ นตําบล เป็นองคก๑ รทจ่ี ะใหข๎ อ๎ มูลและอํานวยความสะดวกในการบรหิ ารจัดการ
กิจกรรมและยังเป็นองคก๑ รท่ีจะสํงเสรมิ สนับสนุนบทบาทและความสาํ คญั ของซอบ้ัง จํานวน ๓ คน
๒. สาํ นักงานวัฒนธรรมอาํ เภอบคุ ลากรในองค๑กรนจี้ ะสามารถให๎ขอ๎ มลู เก่ยี วกับวฒั นธรรมประเพณี
การสํงเสริม อนรุ กั ษ๑ และพัฒนา รวมถึงศิลปวัฒนธรรมดา๎ นอ่นื ๆ ดว๎ ย จาํ นวน ๓ คน
๓. สาํ นักงานวัฒนธรรมจงั หวัด บคุ ลากรในองค๑กรนี้จะสามารถให๎ข๎อมลู เกย่ี วกับวฒั นธรรมประเพณี
การสํงเสริม อนรุ ักษ๑ และพฒั นา รวมถงึ ศิลปวฒั นธรรมดา๎ นอ่ืนๆ ดว๎ ย จาํ นวน ๑ คน

๓. เครอ่ื งมือท่ใี ชใ๎ นการวิจัย
เคร่ืองมอื ทใ่ี ช๎ในการเกบ็ รวบรวมขอ๎ มลู ในการวิจยั คร้งั น้ี ประกอบดว๎ ย

๓.๑ แบบสาํ รวจ (Basic Survey) เพื่อการสํารวจข๎อมลู เบอ้ื งตน๎ เกย่ี วกับซอบั้งในพนื้ ท่ที ่ีทาํ การ
วิจัย

๓.๒ แบบสัมภาษณ๑
๓ .๒.๑ แบบสมั ภาษณท๑ มี่ โี ครงสรา๎ ง (Structured Interview) ใช๎สมั ภาษณก๑ ลุมํ
ตวั อยําง เกี่ยวกบั คณุ ลักษณะ บทบาทความสาํ คญั แนวทางการสํงเสริม การอนุรักษ๑ และพัฒนาซอบ้งั ชาว
ผู๎ไท จงั หวดั กาฬสินธุ๑
๓ .๒.๒ แนวทางการสมั ภาษณแ๑ บบเจาะลึก (In-depth Interview Guide) เป็นแบบ
สัมภาษณท๑ ีไ่ มมํ ีโครงสรา๎ ง (Unstructured Interview) เพอ่ื ใช๎สัมภาษณก๑ ลํมุ ผ๎ูรู๎ กลํุมผูป๎ ฏิบตั ิ ทม่ี ปี ระเด็น
คาํ ถามเกี่ยวกบั เก่ยี วกบั คุณลกั ษณะ บทบาทความสําคัญ แนวทางการสํงเสรมิ การอนรุ กั ษ๑ และพฒั นาซอ
บั้งชาวผ๎ไู ท จงั หวัดกาฬสนิ ธ๑ุ

๓.๓. แบบสงั เกต (Observation)ใช๎สาํ หรับสังเกตสภาพท่ัวไปภายในชมุ ชนวิถีชีวิตความเปน็ อยูํ
วัฒนธรรมการดําเนนิ กิจกรรมตาํ งๆ และเหตกุ ารณ๑ทว่ั ไปของชุมชนที่ศึกษา
๓ .๔. แนวทางการสนทนากลํุม (Focused Group Guideline) ใช๎สําหรบั จดั กลุํมการสนทนาทง้ั
กลมุํ ลกั ษณะทเ่ี ป็นบคุ คลและกลุมํ ลกั ษณะท่เี ปน็ องคก๑ รเกี่ยวกบั เก่ยี วกบั คุณลกั ษณะ บทบาทความสําคญั
แนวทางการสงํ เสริม การอนุรกั ษ๑ และพัฒนาซอบง้ั ชาวผ๎ูไท จังหวัดกาฬสินธุ๑

๔. วิธกี ารเก็บรวบรวมขอ๎ มูล
การศกึ ษาวิจัยในคร้งั น้ีเปน็ การศึกษาวิจัยเชงิ คณุ ภาพ (Qualitative Research) ทาํ การเกบ็ ขอ๎ มูล

ภาคสนามซึง่ การเกบ็ รวบรวมข๎อมูลยึดหลกั ขอ๎ มูลท่มี ลี กั ษณะสอดคล๎องกับความมงุํ หมายของการวิจยั
สามารถตอบคําถามของการวจิ ยั ได๎ตามทก่ี าํ หนดไว๎ ซึง่ มวี ิธีการเกบ็ ขอ๎ มูลเป็น ๒ ลกั ษณะคือ

๔.๑ การเกบ็ รวบรวมข๎อมูลจากเอกสาร เป็นข๎อมลู ท่เี กบ็ รวบรวมได๎จากเอกสาร งานวจิ ัย หรอื ทไ่ี ด๎
มีการศกึ ษาไวใ๎ นประเด็นทีเ่ ก่ยี วกับซอบง้ั ชาวผูไ๎ ท ซงึ่ ไดแ๎ กํ การทําซอบงั้ การบรรเลงซอบง้ั บทบาทและ
ความสาํ คญั ของซอบ้ังของชาวผ๎ไู ท ความรู๎เก่ียวกับวัฒนธรรม องค๑ความรูท๎ ี่เกีย่ วข๎องท้ังหมด แนวคิดทฤษฏี
ทางสุนทรยี ศาสตร๑ ทางด๎านสงั คมวทิ ยา มานุษยวทิ ยาและวฒั นธรรม หนังสอื ตาํ รา งานวจิ ยั ปรญิ ญา
นิพนธ๑ ภาคนิพนธ๑ การศึกษาคน๎ คว๎าจากวดี ีทศั น๑ อินเตอรเ๑ นต็ รวมทัง้ เนือ้ หาเก่ียวกบั พ้นื ท่ีทท่ี าํ การศกึ ษา
โดยคน๎ คว๎าเอกสารจากสถาบันการศึกษาภาครฐั และเอกชน หนวํ ยงานราชการ เปน็ ตน๎

๓๔

๔ .๒ การเก็บขอ๎ มลู จากภาคสนามแบบสาํ รวจ ใช๎เทคนิคการเก็บขอ๎ มูลโดยการสมั ภาษณ๑เชิงลึก (In-
depth interview)การสัมภาษณ๑ท่ีมโี ครงสรา๎ ง (Structured Interview) และไมํมโี ครงสรา๎ ง (Unstructured
Interview) การสังเกตแบบมสี ํวนรํวม (Participant Observation) และการสนทนากลุํม (Focus Group)
โดยผ๎วู ิจัยดําเนนิ การตามข้นั ตอนดังตํอไปนี้
๔ .๒.๑ ใช๎เทคนคิ การสมั ภาษณ๑แบบมโี ครงสร๎างกับกลุํมผูร๎ ๎ู กลํุมผ๎ปู ฏิบัติ และประชาชน
ทั่วไปเกี่ยวกับคณุ ลกั ษณะ บทบาทความสาํ คัญ แนวทางการสงํ เสรมิ การอนุรักษ๑ และพัฒนาซอบ้งั ชาวผูไ๎ ท
จังหวัดกาฬสินธุ๑
๔ .๒.๒ ใชเ๎ ทคนิคการสมั ภาษณเ๑ ชงิ ลกึ โดยใช๎ แบบสัมภาษณ๑ไมมํ โี ครงสรา๎ งกบั กลุํมผรู๎ ู๎ กลํมุ ผู๎
ปฏิบัติ ดว๎ ยวิธีสํุมแบบลูกบอลหิมะ (Snowball Sampling) โดยการถามจากผท๎ู มี่ คี วามร๎เู กย่ี วกับซอบ้งั
เพอ่ื ใหบ๎ อกช่ือบคุ คลตาํ งๆ ทร่ี ๎จู กั และมีความรูเ๎ กี่ยวกบั เรอื่ งที่เก่ียวข๎องกับการศึกษาเปน็ ทอดๆ เพือ่ ศกึ ษา
เก่ียวกบั คุณลกั ษณะ บทบาทความสําคญั แนวทางการสงํ เสริม การอนรุ ักษ๑ และพฒั นาซอบ้ังชาวผู๎ไท
จงั หวัดกาฬสนิ ธ๑ุ

๔ .๒.๓ ใชเ๎ ทคนิคการสงั เกตแบบมสี ํวนรํวม (Participant Observation) กับกลุํมประชาชน
ในชุมชนทม่ี กี ารบรรเลงซอบั้ง เปน็ การสังเกตท่วั ไปภายในชุมชน วิถีชวี ติ ความเป็นอยํู วัฒนธรรมและ
เหตกุ ารณท๑ ว่ั ไปของชุมชนทศ่ี ึกษา

๔ .๒.๔ ใช๎เทคนิคการสนทนากลมํุ ใชก๎ บั กลํมุ คนในชมุ ชน ไดแ๎ กํ กลุมํ ผ๎ูร๎ู กลํมุ ผูป๎ ฏบิ ัติ
และประชาชนทั่วไป โดยสนทนาตามแนวประเดน็ ทีศ่ ึกษาและบันทกึ ขอ๎ มูลการสนทนา บรรยากาศการ
สนทนา เพอ่ื ศึกษาเก่ยี วกับเก่ยี วกบั คุณลักษณะ บทบาทความสําคญั แนวทางการสงํ เสรมิ การอนรุ กั ษ๑
และพฒั นาซอบงั้ ชาวผู๎ไท จังหวดั กาฬสนิ ธ๑ุ

๕. การจดั กระทําและวเิ คราะห๑ขอ๎ มูล
การจัดกระทําขอ๎ มูลแบํงเปน็ ๓ข้ันตอนคือ
๕.๑ การจดั กระทาํ ข๎อมูลทเ่ี กบ็ รวบรวมไดด๎ งั น้คี ือ
๕.๑.๑ นาํ ขอ๎ มลู มาตรวจสอบความสมบูรณข๑ องข๎อมลู

๕ .๑.๒ นาํ ขอ๎ มูลมาตรวจสอบความถูกต๎องของข๎อมูล
๕.๑.๓ นาํ ขอ๎ มูลมาจดั หมวดหมูํให๎เรยี บรอ๎ ยเพ่ือให๎งํายและสะดวกตํอการวิเคราะหข๑ ๎อมลู
๕.๑.๔ สรปุ ขอ๎ มูลจากเคร่อื งมือแตลํ ะกลํมุ แยกไวเ๎ ปน็ หมวดหมํูหลงั จากมีการจดั กระทําขอ๎ มลู

เรียบร๎อยแลว๎ ผ๎วู จิ ัยไดน๎ ําข๎อมูลมาตรวจสอบแบบสามเสา๎ และหลังจากทั้งนน้ั จึงเขา๎ กระบวนการวเิ คราะห๑ในเชิง
คุณภาพตอํ ไป

๕.๒ การตรวจสอบข๎อมูลแบบสามเสา๎ (Triangulation) เพ่ือเป็นการตรวจพิสูจนค๑ วามถูกตอ๎ งความ
เท่ียงตรงของขอ๎ มลู ซึ่งจะมกี ารตรวจสอบ ๔ ด๎านคือดา๎ นข๎อมูล ด๎านผ๎วู จิ ยั ดา๎ นทฤษฎแี ละดา๎ นการเกบ็
รวบรวมข๎อมลู โดยอธบิ ายได๎ดังนี้คือ

๕.๒.๑ ด๎านข๎อมูล (Data Triangulation) คือการตรวจสอบขอ๎ มลู ดา๎ นสถานท่ี ดา๎ นเวลาและ
ดา๎ นบคุ คล

๕.๒.๑.๑ ด๎านสถานท่ีเพอ่ื ตรวจสอบวําขอ๎ มลู จากตาํ งสถานที่กันจะเหมอื นกันหรือไมํ
๕.๒.๑.๒ ด๎านบุคคลเพือ่ ตรวจสอบวาํ ถ๎าผู๎ใหข๎ อ๎ มูลเปลีย่ นไปข๎อมูลจะเหมอื นกนั หรอื ไมํ

๕.๒.๑.๓ ดา๎ นเวลาเพอื่ ตรวจสอบวาํ ถ๎าข๎อมูลตาํ งเวลากันจะเหมือนกนั หรอื ไมํ

๓๕

๕.๒.๒ ดา๎ นผูว๎ จิ ัย (Investigator Triangulation) คือการตรวจสอบวาํ ผว๎ู ิจยั แตลํ ะคนจะไดข๎ อ๎ มลู
ตาํ งกันอยํางไรโดยเปลยี่ นตัวผูเ๎ กบ็ ขอ๎ มลู และเป็นข๎อมลู เร่อื งเดียวกนั

๕.๒.๓ ดา๎ นทฤษฎี (Theory Triangulation) คือการตรวจสอบวําถา๎ ผู๎วิจัยใชแ๎ นวคดิ ทฤษฎที ตี่ ําง
ไปจากเดมิ จะทาํ ใหก๎ ารตีความข๎อมลู แตกตํางกันมากน๎อยเพียงใด

๕.๒.๔ ด๎านวธิ ีการเก็บรวบรวมขอ๎ มลู (Methodological Triangulation) คือการใช๎วิธเี กบ็
รวบรวมขอ๎ มลู ตาํ งกันในการเก็บข๎อมูลเรือ่ งเดียวกันเชนํ ใชว๎ ธิ สี ังเกตคกํู บั การสมั ภาษณ๑ (สุภางค๑
จันทวานชิ . ๒๕๔๗ : ๓๑–๓๓)

๕.๓ การวเิ คราะห๑ขอ๎ มลู
๕.๓.๑ การวเิ คราะห๑โดยการจาํ แนกประเภทข๎อมูล (Typological Analysis) คือการจําแนก

ขอ๎ มูลเปน็ ชนดิ ๆ (Typological) ตามเหตุการณท๑ ่ีเกดิ ข้ึนตํอเน่อื งกนั ไป และการตคี วามโดยใช๎แนวคดิ ทฤษฎีที่มี
อยเํู ป็นแนวทางในการวเิ คราะห๑ (สุภางค๑ จนั ทวานชิ . ๒๕๔๒: ๖๙ - ๘๘) ไดแ๎ กํทฤษฎีววิ ัฒนาการ ทฤษฎีเชงิ
ชาตพิ ันธว๑ุ รรณนา ทฤษฎีการแพรกํ ระจายทางวัฒนธรรม และทฤษฎโี ครงสร๎างและหนา๎ ที่ ใช๎ในการ
วิเคราะหอ๑ งคค๑ วามร๎เู กยี่ วกับซอบ้ังชาวผไู๎ ท

๕.๓.๒ การสร๎างข๎อสรปุ แบบอปุ นยั (Analytic Induction) คือ วธิ กี ารประมวลความคิดขน้ึ
จากขอ๎ มลู เชิงรูปธรรมแลว๎ ทาํ เปน็ ขอ๎ สรุปซงึ่ มลี กั ษณะเป็นนามธรรมตามวธิ ีการแบบอปุ นยั เชํน เมอื่ ผวู๎ จิ ัยได๎
ศึกษาและรวบรวมขอ๎ มลู ในประเด็นบทบาทและความสาํ คัญของซอบงั้ จากเหตุการณห๑ ลายๆ เหตกุ ารณแ๑ ล๎วจึง
วเิ คราะห๑ และสรา๎ งขอ๎ สรุป ถ๎าขอ๎ สรุปนั้นยังไมํไดร๎ ับการตรวจสอบยนื ยนั ก็ถอื เป็นสมมตุ ิฐานช่วั คราว
(Working Hypothesis) ถ๎าหากไดร๎ ับการยนื ยนั แลว๎ ก็ถือเปน็ ขอ๎ สรุป (สุภางค๑ จันทวานิช. ๒๕๔๒: ๑๐๖ -
๑๒๑)

โดยผูว๎ จิ ยั ไดใ๎ ช๎การวิเคราะหโ๑ ดยการจําแนกประเภทของขอ๎ มูลในระดับคําสาํ คัญหรือประโยคสาํ คัญ
(Domain Analysis) ตรวจสอบความถกู ตอ๎ งของข๎อมูล หลังจากน้นั จึงทําสาระบบที่สมั พันธก๑ บั คําหรอื
ประโยคท่ีสาํ คัญเหลําน้นั มาสร๎างเปน็ คําหลัก เพ่อื จาํ แนกประเภทของกลุํมคํานน้ั ๆ เมอ่ื ไดค๎ วามสมั พันธ๑
ระหวํางคําสําคัญและประโยคสําคญั กับคําหลกั แลว๎ จึงนาํ มาสร๎างเปน็ ขอ๎ สรุปหรอื สมมุติฐานชว่ั คราว จากนน้ั
จงึ ตรวจสอบความถูกตอ๎ งของสมมตุ ิฐานแบบสามเส๎าและจากแนวคิดทฤษฎจี งึ สร๎างเป็นสร๎างข๎อสรปุ

๖. การนาํ เสนอผลการวเิ คราะหข๑ อ๎ มูล
ในการนําเสนอผลการวิเคราะห๑ข๎อมูล ผูว๎ ิจยั นําเสนอผลวิเคราะหข๑ อ๎ มูลตามความมงํุ หมายของการวจิ ยั

ด๎วยวธิ ีการพรรณนาวิเคราะห๑ (Descriptive Analysis) ประกอบตาราง แผนที่ และภาพประกอบ และ
นาํ เสนอผลงานวิจยั ในการประชุมสมั มนาทางวิชาการระดบั ประเทศหรือตพี มิ พ๑ในวารสารฐานขอ๎ มูล TCI

บทที่ ๔
ผลการศึกษา

๔.๑ องค์ความรขู้ องซอบ้งั ชาวผู้ไท จงั หวัดกาฬสินธุ์

๔.๑.๑ ลักษณะทางกายภาพ

ซอบ้ังไมไ๎ ผทํ พี่ บในการศึกษาครั้งนม้ี ีของนายสีทัด อทุ โท นายไสว ภผู าศรี และนายบุญเลก พันพู

ซึ่งมลี ักษณะทางกายภาพที่แตกตาํ งกันอยูํ ๒ ลักษณะ คอื ลักษณะท่ี ๑ เป็นซอบั้งไม๎ไผเํ หลาให๎สํวน

ดา๎ นลํางบางกวาํ ด๎านบนและเจาะรขู ยายเสยี งทางดา๎ นหลงั (ด๎านตรงข๎ามกบั สายซอ) ลกั ษณะที่ ๒ เปน็ ซอบง้ั

ไม๎ไผํเหลาให๎บางทัง้ ตัวและเจาะรขู ยายเสียงทางด๎านหน๎าซอ (ด๎านสายซอ) โดยท้ังสองลกั ษณะมรี ายละเอียด

ดังน้ี

- ซอบัง้ ลกั ษณะที่ ๑ เป็นซอบ้ังที่ประดษิ ฐโ๑ ดยนายสีทดั อุทโท และนายไสว ภูผาศรี ซ่งึ มี

รายละเอียดดงั นี้

นายสที ัด อทุ โท บา๎ นหนองสระพงั บา๎ นเลขที่ ๑ หมูํที่ ๓ ตําบลหนองหา๎ ง อาํ เภอกุฉนิ ารายณ๑

จงั หวดั กาฬสินธ๑ุ นายสที ัด อทุ โทเป็นบตุ รของนายเนา นางซมํุ อุทโท มพี นี่ ๎องทัง้ หมด ๑๓ คน ดงั น้ี

๑. นายนารี อุทโท ถึงแกํกรรม

๒. นางศรภี า อุทโท ยังมีชีวติ อยํู

๓. นางนารอง อทุ โท ยงั มีชวี ิตอยูํ

๔. นางคํากอง อุทโท ยงั มีชวี ิตอยํู

๕. นางศรฟี อง อุทโท ยงั มีชวี ติ อยํู

๖. นายทองดี อุทโท ยงั มชี วี ติ อยํู

๗. นางศรียา อทุ โท ยังมีชวี ติ อยูํ

๘. นายคาํ ศรี อุทโท ยังมีชวี ติ อยํู

๙. นายศรีทอง อทุ โท ถึงแกํกรรม

๑๐. นายสีทดั อทุ โท ผู๎ให๎สมั ภาษณ๑

๑๑. นายหสั ดิน อุทโท ยังมชี วี ติ อยํู

๑๒. นายศลี ธรรม อทุ โท ถงึ แกํกรรม

๑๓. นางสวุ รรณะ อทุ โท ยงั มีชีวติ อยูํ

๓๗

ภาพประกอบที่ ๔.๑ นายสีทัด อุทโท
(ท่ีมา : พทิ ยวฒั น๑ พนั ธะศรี. ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๘)

ภาพประกอบท่ี ๔.๒ บตั รประชาชนนายสที ัด อทุ โท
(ทม่ี า : พิทยวฒั น๑ พนั ธะศรี. ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๘)

ภาพประกอบท่ี ๔.๓ บ๎านพักอาศยั ของนายสที ดั อทุ โท
(ที่มา : พทิ ยวัฒน๑ พันธะศรี. ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๘)

๓๘

นายสีทดั อุทโท พื้นเพเดิมเปน็ ชาวบา๎ นหนองห๎าง ตาํ บลหนองห๎าง อาํ เภอกุฉินารายณ๑ จงั หวดั
กาฬสนิ ธ๑ุ ซึ่งเปน็ หมํูบ๎านวฒั นธรรมผูไ๎ ทย เรม่ิ หดั เลนํ เครอื่ งดนตรตี อนอายุ ๑๔ ปี โดยไดเ๎ รยี นร๎ูจากนาย
นารี อทุ โท ผูเ๎ ปน็ พชี่ าย เคร่อื งดนตรที ่ีหดั ครั้งแรกคือซอบง้ั ไมไ๎ ผํ หลังจากน้นั ก็ได๎ฝกึ หดั เคร่อื งดนตรีอ่ืนๆ
เชํน แคน พิณ ซึ่งวิธีการฝกึ จะใชก๎ ารจดจาํ ทวํ งทาํ นองจากพ่ชี ายหรอื ครูเพลงทาํ นอน่ื และตนเองจงึ นํามา
ฝึกหดั ตาม

ภาพประกอบที่ ๔.๔ ประตูทางเขา๎ หมูํบา๎ นหนองหา๎ ง
(ทม่ี า : พิทยวฒั น๑ พนั ธะศรี. ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๘)

ซอบั้งไม๎ไผํ เปน็ ซอที่ประดษิ ฐ๑ขนึ้ โดยใชไ๎ ม๎ไผํทั้งปล๎อง ซึ่งไมไ๎ ผํท่ีนาํ มาประดษิ ฐ๑เป็นซอบัง้ ไม๎ไผนํ น้ั
ชาวบ๎านเรียกวาํ “ไม๎ไผํบ๎าน” เป็นไมไ๎ ผขํ นาดใหญํ ลําตน๎ มีเสน๎ ผํานศนู ย๑กลางประมาณ ๖ - ๑๕ เซนตเิ มตร
สงู ประมาณ ๑๕ - ๓๐ เมตร มปี ล๎องยาวประมาณ ๒๐ - ๕๐ เซนติเมตร มีสเี ขยี วเป็นมนั ผวิ ของลําเรยี บ
ลกั ษณะขึ้นเป็นกอแนํน ไมไ๎ ผํบา๎ นน้ชี าวบา๎ นปลกู ไวเ๎ พือ่ ใชป๎ ระโยชนต๑ าํ งๆ เชํนการทาํ เคร่อื งจักรสาน การทํา
เครือ่ งใชใ๎ นบา๎ น เชํน พัด หวด กะติบขา๎ วเหนียว รัว้ แครํ เป็นต๎น การเลือกไม๎ไผเํ พอื่ นาํ มาประดิษฐเ๑ ปน็
ซอบั้งไม๎ไผํน้นั จะเลือกไมไ๎ ผทํ ่มี ีอายุประมาณ ๒ ปี ขึน้ ไป ทัง้ ทีต้ ๎องไมใํ ชไ๎ มไ๎ ผํที่ออํ นหรอื แกเํ กนิ ไปเพราะจะ
สงํ ผลตํอเสยี งและลักษณะของซอบ้งั ไมไ๎ ผํ กลาํ วคือ ถา๎ หากเป็นไมท๎ ่ีอํอนเกินไปเน้ือไม๎จะไมํอยตํู ัวเมือ่ นําไปทาํ
ซอจะทาํ ใหต๎ ัวซอหรอื ปลอ๎ งของไมไ๎ ผํที่จะต๎องขดู ออกให๎มีลกั ษณะบางนัน้ ยบุ ตวั ลงหรือฉีกขาดได๎ สวํ นหากเป็น
ไม๎ไผํทแี่ กํเกนิ ไปจะให๎เสยี งท่ีไมํกงั วาล (สที ดั อทุ โท. ๒๕๕๘ : สัมภาษณ๑) การเลอื กไม๎ไผนํ ี้ชํางทาํ ซอจะใช๎
ความชํานาญในการคัดเลือกโดยพิจารณาจากความยาวของปลอ๎ งไม๎ไผํ ความหนาของเน้ือไม๎ เสน๎ ผาํ น
ศูนยก๑ ลางของกระบอกไมไ๎ ผํ และความตรงของลําไมไ๎ ผํ เมอื่ เลอื กได๎ไม๎ไผตํ ามทต่ี ๎องการชาํ งจะตัดไมไ๎ ผโํ ดยให๎
ปลอ๎ งไม๎ไผอํ ยํตู รงกึ่งกลางหน่ึงปลอ๎ ง ซ่ึงจะต๎องเหลือเน้อื ไมท๎ างดา๎ นตน๎ ของลาํ ไมไ๎ ผํให๎ยาวจากลําปล๎องไมไ๎ ผํ
ประมาณ ๑๕ เซนตเิ มตร สํวนลําตัวของซอบัง้ ไมไ๎ ผใํ ช๎ความยาวของปล๎องไมไ๎ ผํทัง้ ปล๎องประมาณ ๔๕
เซนตเิ มตร

ลกั ษณะทางกายภาพของซอบ้งั ไมไ๎ ผนํ ายสที ดั อุทโทมสี วํ นประกอบดงั นี้
๑. สํวนหัวซอ
๒. สํวนตวั ซอ
๓. สวํ นท๎ายซอ
๔. คันสี


Click to View FlipBook Version