The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by highland.tak, 2022-08-08 08:23:10

เทคโนโลยีการผลิตอะโวคาโด





คำนำ

อะโวคาโด เป็นผลไม้เขตกึ่งร้อนอีกชนิดหนึ่งที่มีศักยภาพทางการตลาดสูงซึ่งทำรายได้ให้แก่เกษตรกร
ผู้ปลูกเปน็ อยา่ งดี จากขอ้ มูลของกรมศุลกากรระบวุ ่าในปี พ.ศ. 2563 ประเทศไทยนำเขา้ อะโวคาโดและผลิตภณั ฑ์
มีมูลค่า 321.55 ล้านบาท ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นเหตุให้เกษตรกรหันมานิยมปลูกกันอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยตลาด
มีความต้องการสูงและยังคงต้องการนำเข้าผลผลิตและผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ จึงเป็นโอกาสของเกษตรกรผู้
ปลูกที่สามารถปลูกทดแทนการนำเข้าได้ พื้นที่การผลิตอะโวคาโดที่สำคัญอยู่ในเขตภาคเหนือ โดยเฉพาะอย่างย่ิง
อำเภอพบพระ จงั หวดั ตาก ถอื เปน็ แหลง่ ปลูกขนาดใหญข่ องประเทศไทย

ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดตาก (เกษตรที่สูง) จึงได้จัดทำเอกสารคำแนะนำ
“เทคโนโลยีการผลิตอะโวคาโด” ขึ้น เพื่อใช้เป็นคู่มือและแนวทางในการใช้เทคโนโลยีผลิตอะโวคาโดอย่างถูกต้อง
และเหมาะสม และหวงั เปน็ อย่างย่ิงว่า เอกสารเล่มน้ีจะมีประโยชนท์ ้ังตอ่ นกั วิชาการ เจ้าหน้าที่ เกษตร และบุคคล
ผู้สนใจท่วั ไป ซง่ึ สามารถนำไปใชเ้ พอื่ เปน็ แนวทางในการปฏบิ ัติ และปรับใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ เพือ่ พฒั นาและตอ่ ยอด
การผลติ อะโวคาโดของประเทศไทยใหม้ ่นั คงและย่งั ยืนต่อไป

ศนู ย์สง่ เสริมและพัฒนาอาชพี การเกษตรจังหวดั ตาก (เกษตรท่สี ูง)

สารบญั ก

การปลกู อะโวคาโด หน้า
ระยะปลูกและการวางผงั ปลกู
การเตรียมแปลงปลูก 1
ฤดปู ลูก 1
การปลกู 1
2
การดแู ลรกั ษา
การใสป่ ุ๋ย 3
การใหน้ ำ้ 4
การป้องกันกำจัดวัชพชื 4
การป้องกนั แมลงศัตรูและโรค 5
การจดั ทรงตน้ และตัดแตง่ ก่ิง 6

โรคและแมลงศตั รู 7
โรคของอะโวคาโด 9
แมลงศัตรูอะโวคาโด
13
การเก็บเก่ยี ว 14
วธิ ีการสงั เกตการแกข่ องผลอะโวคาโด 16
ดชั นกี ารเก็บเกย่ี วอะโวคาโดพันธุ์ท่สี ำคัญ 17
วิธีการเก็บเก่ยี ว 18
การบ่มอะโวคาโด 19

การจัดช้ันมาตรฐาน
การจัดการหลังการเก็บเก่ยี ว



การปลูกอะโวคาโด

การปลูกอะโวคาโดเชงิ พาณิชย์จะตอ้ งมีการวางแผนทด่ี ี โดยมีข้อควรคำนึง 2 ประการคอื
ประการแรก ตอ้ งเลือกพันธุ์ทผี่ ลผลิตมคี ณุ ภาพดี เป็นที่ตอ้ งการของตลาด
ประการทีส่ อง ควรเลือกปลูกอะโวคาโดในพื้นที่เดียวกันมากกว่า 2 พันธุ์ เพื่อให้มีการบานของดอกต่าง
ประเภทกัน เพื่อช่วยให้การติดผลดีขึ้น เนื่องจากอะโวคาโดจะผสมข้ามต้นและข้ามพันธุ์กัน นอกจากนี้ยังเป็น
การทำใหม้ ผี ลผลติ จำหนา่ ยยาวนานขน้ึ เพราะแตล่ ะสายพนั ธุ์จะมีการสุกแก่ของผลท่ีแตกต่างกนั ต่างกนั

1. ระยะปลกู และการวางการผังปลกู
ระยะปลูกที่เหมาะสมของอะโวคาโดนั้นขึ้นอยู่กับพันธุ์ที่จะใช้ปลูก และความอุดมสมบูรณ์

ของดนิ เพราะเป็นปจั จยั ทที่ ำใหต้ ้นอะโวคาโด เจรญิ เติบโตได้ตา่ งกัน โดยอะโวคาโดบางพนั ธ์ุ เช่น พนั ธเุ์ บคอน,
พันธุ์โพลลอกและพันธุ์รูเฮิล จะมีต้นสูงโปร่งจึงอาจปลูกชิดได้มากกว่าพันธุ์ที่มีพุ่มแผ่กว้าง เช่น พันธุ์บูท 7
พันธุ์ฮอลล์ พันธุ์บัคคาเนียร์และพันธุ์โซเควท โดยทั่วไปการปลูกอะโวคาโดจะใช้ระยะปลูกระหว่างต้นและ
ระหว่างแถวประมาณ 8 - 12 เมตร ในการวางผังปลูกนั้นควรให้มีการสลับระหว่างพันธุ์ในประเภท ก. และ
ประเภท ข. เชน่ การปลกู พันธแ์ุ ฮสส์ ทีม่ ีดอกประเภท ก. รว่ มกับพันธ์ุบัคคาเนยี ร์ ท่ีมีดอกประเภท ข. เป็นต้น

2. การเตรียมแปลงปลกู
ควรจะเตรียมแปลงที่จะปลูกไว้ล่วงหน้าก่อนปลูกประมาณ 1 ปี สำหรับในพื้นที่สูงที่มี

ความลาดชันควรจัดทําระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ เช่น ทำนาขั้นบันไดดิน หรือปลูกหญ้าแฝกขวางความลาดเท
ของพื้นที่จากนั้นจึงวางผังปลูกโดยทําการไถพรวนแปลงที่จะใช้ปลูก ปักไม้ตามระยะหลุมระหว่างแถวและ
ระหว่างต้นตามต้องการ แล้วปลูกพืชคลุมดินในระหว่างแถวของหลุมที่เตรียม ปลูกไม้บังลมในแนวรอบสวน
หรอื ในแตล่ ะแนวแปลงยอ่ ย หลังจากนัน้ จึงเตรียมหลมุ ปลูกอะโวคาโด การเตรยี มหลมุ ปลกู คลา้ ยกบั ของไม้ผล
ทั่วๆ ไป หลุมควรมีความกว้างยาว 80 เซนติเมตร ลึกประมาณ 80 เซนติเมตร ผสมปุ๋ยคอก ประมาณ 1 - 2
บุ้งก๋ี คลุกเคล้ากับดินที่ขุดขึ้นมาแล้วใส่ลงไปในหลุม เตรียมไม้ปักผูกยึดต้นกันลมโยก เตรียมวัสดุคลุมผิวหน้า
ดนิ บรเิ วณหลุมปลกู ไว้ ซึง่ อาจใชฟ้ าง เศษหญ้าแหง้ แกลบ ขี้กบขเี้ ลื่อยหรือเปลอื กถ่วั ก็ได้

3. ฤดปู ลกู
อะโวคาโดสามารถปลูกได้ทุกฤดูถ้ามีน้ำเพียงพอ ในประเทศไทยนิยมปลูกในช่วงต้นฤดูฝน

ซึ่งจะประหยัดค่าใช้จ่ายในการให้น้ำ เพราะมีฝนตกลงมาช่วย แต่ถ้าฝนตกชุกมากต้องระมัดระวังไม่ให้น้ำขัง
ต้นอะโวคาโด ถ้าปลูกในฤดูร้อนควรเตรียมป้องกันแสงแดดเผาส่วนของเปลือกลำต้นหรือกิ่งก้านอะโวคาโด
ดว้ ย ในตา่ งประเทศจะใชพ้ ลาสติกหมุ้ ป้องกันโคนต้นจากแสงแดดและสตั ว์กัดแทะเปลอื ก



4. การปลกู
ต้องจัดเตรียมต้นกล้าอะโวคาโดไว้ก่อนล่วงหน้า โดยคัดเลือกต้นกล้าที่แข็งแรงสมบูรณ์และ

ได้ขนาด เมื่อปลกู ใหน้ ำตน้ อะโวคาโดลงปลกู ในหลมุ ท่ีเตรียมไว้ ให้รอยต่อกง่ิ หรอื รอยแผลติดตาอยู่เหนือระดับ
ดิน กลบดินรอบๆ โคนต้นให้แน่น และรดน้ำให้ชุ่ม แล้วทำการคลุมผิวหน้าดินด้วยวัตถุคลุมดินที่เตรียมไว้
เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้น ป้องกันเมล็ดวัชพืชงอก และป้องกันความร้อนจากแสงแดด ปักไม้หลักผูกเชือก
ยึดต้นใหแ้ น่นป้องกันลมโยก รดน้ำให้สม่ำเสมอจนกวา่ ต้นจะตั้งตัวได้ ทั้งนี้อาจจะใหน้ ้ำคร้ังละ 20 - 40 ลิตร
ต่อต้นทุก 3 - 4 วันในระยะ 1 เดือนแรก และควรตรวจดูอยู่เสมอ ถ้าฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานานก็ควรให้น้ำแก่
ต้นอะโวคาโดอีก สำหรับในช่วงฤดูร้อนของปีแรกหลังจากหมดฤดูฝนแล้วควรให้น้ำแก่ต้นอะโวคาโดทุก
สปั ดาห์ๆ ละ 40 - 60 ลติ ร ต่อตน้ จนกวา่ ตน้ อะโวคาโดจะมีอายไุ ด้ 1 ปี หลังจากปลกู

หลังปลูกใหม่นอกจากจะคลุมผิวหน้าดินและให้น้ำช่วยแล้ว ถ้าพื้นที่ปลูกมีแสงแดดจัด
ควร ทำรม่ เงาป้องกนั ความรอ้ นจากแสงแดดและแรงลมดว้ ย



การดูแลรักษา

1. การใสป่ ยุ๋
หลังจากปลูกอะโวคาโดได้ 1 เดือน จะใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์เพิ่มให้กับต้นอะโวคาโด โดยใช้ไนโตรเจน
ฟอสฟอรัสและโพแตสเซียมอัตราส่วน 3 : 1 : 1 ทั้งนี้อาจให้โดยใช้ปุ๋ยสูตร 15 – 15 - 15 ผสมกับยูเรีย
(46 – 0 - 0) อัตราส่วน 1 : 1 คลุกเคล้ากันให้ดีแล้วใส่ต้นละ 200 กรัม โดยแบ่งใส่ประมาณ 3 คร้ัง
ทุก 3 เดือน ปีที่ 2 จะใส่ปุ๋ยผสมดังกล่าวข้างต้นในอัตรา 300 กรมั แบง่ ใสป่ ระมาณ 4 คร้ังต่อปี เมอ่ื ต้นอะโว
คาโดอายไุ ด้ 3 ปี จะเรม่ิ ให้ผลผลติ ปรมิ าณการใสป่ ยุ๋ ต่อต้นจะเพม่ิ ขึ้นตามการให้ผล และปุ๋ยท่ีใช้ควรเปล่ียนไป
ดังนี้ ในระยะต้นปีที่ 3 จะใส่ปุ๋ยเหมือนปีที่ 2 แต่ปริมาณปุ๋ยเพิ่มขึ้นเป็นต้นละ 400 กรัม ใส่ 2 ครั้ง ในช่วง
ต้นฤดูฝน และกลางฤดูฝนพอถึงปลายฤดูฝนราวๆ เดือนตุลาคม จะเปลี่ยนเป็นปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสหรือ
โพแทสเซียมสูง เช่น 8 – 24 - 24 หรือ 9 – 24 - 24 ในดินร่วนปนทรายหรือในดินทราย ส่วนดินร่วน
เหนียวควรใช้ปุ๋ยสูตร 12 – 24 - 12 อัตรา 500 กรัมต่อต้น เพื่อให้ต้นอะโวคาโดออกดอกดี และเมื่อติดผล
แล้วจึงใส่ปุ๋ยอัตราส่วน 3 : 1 : 1 ใหม่เพื่อให้ผลเจริญเติบโตและติดผลได้มากโดยอาจใส่ยูเรียผสมปุ๋ยสูตร
15 – 15 - 15 อัตราสว่ น 1 : 1 เพิ่มขึ้นอกี ต้นละ 500 กรัมในปีตอ่ ๆ ไปอาจใช้วิธีวดั ระยะจากโคนต้นไปยัง
ชายพุ่มเป็นเมตร ซึ่งจะเท่ากับจำนวนกิโลกรัมของปุ๋ยที่จะใส่ให้ในแต่ละปีก็ได้ ควรมีการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ให้กับ
ต้นอะโวคาโดทุกปี โดยใช้วิธีหว่านคลุมบริเวณโคนตน้ และปล่อยใหย้ อ่ ยสลายตัวเอง



2. การใหน้ ้ำ
ในระยะที่ปลูกอะโวคาโดใหม่ๆ ควรให้น้ำแก่ต้นอะโวคาโด เพื่อให้ต้นเจริญเติบโตและมีราก
แผ่กระจายลงทางลึกและทางกว้าง ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอให้ดินชุ่มแต่อย่าให้น้ำขัง เพราะจะทำให้รากเน่า
ตน้ ตายได้ การให้นำ้ ชลประทานไม่จำเป็นตอ้ งให้ทุกวัน ในระยะต้นเล็กควรให้ในบริเวณหลุมปลูกอาจทําวงขัง
น้ำในบริเวณที่รากจะแผ่ออกไปถึง ต้นอะโวคาโดปลูกใหม่ต้องการนำวันละประมาณ 15 ลิตรต่อต้น ถ้าให้
วันเว้นวันอาจใหค้ ร้งั ละ 30 ลิตรตอ่ ตน้ เม่ือต้นใหญ่ข้ึนก็ต้องการปริมาณนำ้ มากข้ึน หรืออาจเลอื กวิธีการให้น้ำ
เป็นระบบน้ำหยดหรือมินิสปริงเกอร์บริเวณโคนต้นก็ได้ แล้วแต่พื้นที่ปลูกและเงินลงทุน เมื่อต้นอะโวคาโดถึง
ระยะที่จะออกดอกควรงดให้นำ้ แกอ่ ะโวคาโด แต่โดยปกตแิ ล้วเป็นช่วงที่ส้ินสุดฤดูฝนและเขา้ ฤดูหนาวแล้วและ
เมื่อเกิดตาดอกที่ยอดซึ่งจะสังเกตเห็นว่าตุ่มตาป้านกลม และช่อดอกจะเริ่มเจริญออกมาบ้างแล้วจึงเริ่มให้น้ำ
ใหม่
การใช้นำ้ อะโวคาโดต่อต้นต่อวนั คำนวณไดจ้ ากสตู ร คอื
การใชน้ ำ้ (ลิตรตอ่ ตันต่อวนั ) = K x Epan xAre9

K = สมั ประสทิ ธก์ ารใช้นำ้ ของอะโวคาโด = 0.55
Epan = ค่าการระเหยของนำ้ เฉล่ียตอ่ วัน (มิลลเิ มตรต่อวนั )
Are9 = พ้นื ทท่ี รงพ่มุ (ตารางเมตร)

3. การป้องกันกำจัดวัชพชื
ในขณะที่ต้นอะโวคาโดยังเล็กอยู่ ควรคลุมผิวหน้าดินบริเวณหลุมปลูกด้วยเศษหญ้าแห้ง
ฟาง เปลือกถั่ว ถ่านแกลบ ขี้เลื่อย ขี้กบ หิน หรือพลาสติกสีดำ ซึ่งนอกจากจะช่วยเก็บรักษาความชุ่มช้ืน
ให้แก่ต้นอะโวคาโดแล้ว ยังช่วยป้องกันเมล็ดวัชพืชงอก หรืองอกได้ก็เพียงเล็กน้อย ทำให้สามารถกำจัดโดย
การถอนหรอื ตายออกได้ง่าย ในต้นอะโวคาโดท่ีมอี ายุเกิน 1 ปี ถ้ามีวัชพืชงอกอยู่ควรใช้วิธีการตัดใหส้ ัน้ แต่ถ้า
จําเป็นอาจใช้สารเคมีสำหรับใช้กำจัดวัชพืชใบแคบทั้งที่มีเหง้าหรือลำต้นใต้ดินและที่ออกจากเมล็ด เช่น ถ้าใช้
ดาลาพอนต้องใช้ในอัตรา 200 กรัมผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ถูกใบของวัชพืชและต้องฉีดพ่นครั้งที่ 2
หลังจากพ่นครั้งแรก 1 สัปดาห์ หลังฉีดต้องมีแสงแดดอย่างน้อย 4 ชั่วโมงจึงจะได้ผลสารเคมอี ีกชนิดหนึ่งท่ใี ช้
กำจัดวัชพชื ฤดเู ดียวท้ังใบกว้างและใบแคบโดยใช้กับอะโวคาโดตน้ โตที่เปลือกเปน็ สีน้ำตาลแลว้ คอื กลโู ฟซิเนต -
แอมโมเนียม ใช้อัตรา 100 - 200 ซี. ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ถูกวัชพืชท่ัวทั้งตน้ ถ้าสารเคมีตกลงดินจะ
หมดฤทธิ์ ข้อปฏิบัติของการใช้สารเคมีชนิดนี้ต้องฉีดในขณะที่ลมไม่แรง และต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกใบหรือ
กิ่งอ่อนของอะโวคาโด ฉีดในขณะที่มีแสงแดดและหลังฉีดควรมีแห่งแดดอย่างน้อย 4 ชั่วโมงและน้ำที่ใช้ผสม
ตอ้ งไมข่ นุ่ หรอื มีตะกอนดนิ
สารเคมีที่ใช้คุมหญ้าไม่ให้งอกนั้นสามารถใช้ไซมาซิน 80 เปอร์เซ็นต์ หรือไดยูรอนอัตรา
150 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดยาคลุมพื้นดินบริเวณโคนต้นรอบชายพุ่ม จะคุมเมล็ดวัชพืชใบกว้างและใบ
แคบไม่ให้งอกนานได้ 3 - 4 เดือน การใช้สารเคมีคุมเมล็ดวัชพืชนั้นต้องฉีดพ่นยาให้คลุมลงบนพื้นที่อย่าง
สม่ำเสมอ และหลงั ฉดี ควรใหน้ ำ้ ตามเพ่อื ใหส้ ารเคมีซมึ ลงไปในดนิ ระดับ 2 - 3 นิว้ จะได้ผลดียิง่ ข้ึนหรือถ้าไม่มี
น้ำชลประทานต้องมีฝนตกหลังฉีดพ่นยาภายใน 5 วันจึงจะได้ผล หรือฉีดในขณะที่ดินยังชื้นอยู่แต่วัชพืชยังไม่



งอก ยาท้ัง 2 ชนิดไมส่ ามารถควบคุมวชั พชื ทขี่ ยายพันธ์ุโดยไหล เหงา้ หรือหวั ได้ ดงั นนั้ ก่อนฉีดจงึ ต้องเอาเศษ
วชั พชื ออกให้หมดจากบริเวณท่ีจะฉดี สารเคมี

การปลูกพืชคลุมดินพวกตระกูลถั่ว เช่น เพยราเรีย เซ็นโตรชิม่า หรือไมยราบไม่มีหนาม
เพ่ือช่วยคุมวัชพชื และบำรงุ ดินไมใ่ หเ้ สยี ความอุดมสมบรู ณ์ หรือเกิดการชะล้างหน้าดนิ ต้องระวงั ไม่ให้พืชคลุม
ดินขน้ึ สูงพ้นต้นอะโวคาโดที่ปลกู อยู่

ข้อควรระวังในการกำจัดวัชพืช คือ หลีกเลี่ยงการถากหญ้าบริเวณเขตราก เพราะจะทําให้
รากเกิดบาดแผล เปน็ ช่องทางใหโ้ รครากเน่าเขา้ ทาํ ลายได้

4. การปอ้ งกันแมลงศัตรแู ละโรค
ในระยะแตกกิ่งใหม่จนถึงเป็นใบแก่ ต้นอะโวคาโดจะมีแมลงและโรคบางชนิดรบกวน ได้แก่

หนอนผีเสื้อเจาะกิ่งอ่อน เพลี้ยไฟดูดกินน้ำเลี้ยงใบอ่อน ด้วงปีกแข็งกัดกินใบอ่อน หนอนผีเสื้อกัดกินใบ
โรคแอนแทรคโนส ในระยะแตกกิ่งใหม่จนเป็นใบแก่จึงควรฉีดพ่นสารเคมีป้องกันแมลงประเภทดูดซึม เช่น
โมโนโครโตฟอสผสมกับยาป้องกันโรคแอนแทรคโนส พวกแมนโคเซบ หรือคารเ์ มนดาซิม หรือเบโนมิลอยา่ งใด
อย่างหนึ่งประมาณ 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อแตกกิ่งใหม่ยาว 2-3 เซนติเมตร หลังจากนั้นพ่นทุก 15 วัน
จะป้องกันแมลงศัตรูเหล่านี้ได้ และจะได้ใบใหม่ กิ่งใหม่ที่สมบูรณ์แข็งแรง อะโวคาโดต้นเล็กแตกยอดใหม่
ปีละหลายครัง้ จึงตอ้ งพ่นสารเคมีป้องกันกาํ จัดแมลงและโรคหลายครงั้ ด้วย

ในระยะแทงช่อดอกและดอกเจริญควรฉีดพ่นสารเคมีป้องกันแมลงและโรค 2 ครั้ง ก่อน
ดอกบาน เพื่อป้องกันหนอนเจาะช่อดอกและเพลี้ยไฟทําลายช่อดอก เมื่อดอกบานปล่อยให้แมลงผสมและ
เมอื่ ติดผลเลก็ ๆ ขนาดเท่าเมลด็ ถัว่ เขยี วควรฉีดพ่นสารเคมีป้องกนั แมลงและโรคอีก 2 ครงั้ หลังจากน้ันค่อยพ่น
สารเคมีป้องกันโรค หมั่นตรวจดูแมลงทั้งที่ลำต้น กิ่ง ใบ และผลอยู่เสมอๆ ถ้าพบต้องป้องกันกำจัดตาม
คาํ แนะนาํ ขา้ งต้น



5. การจดั ทรงต้นและตัดแตง่ กงิ่
อะโวคาโดไม่มีระบบการจัดทรงต้นและตัดแต่งกิ่งที่แน่นอน ต้นอะโวคาโดที่ปลูกใหม่จนถึง
ระยะก่อนออกดอกและติดผลจะตัดแต่งกิ่งเพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่ต้องตัดแต่งกิ่งเลย ยกเว้นตัดแต่งกิ่ง
เพื่อเปลี่ยนแปลงลักษณะพุ่มต้น เช่น อะโวคาโดพันธุ์ที่มีพุ่มสูงมักจะตัดยอดลงเพื่อให้แตกกิ่งใหม่เป็น
พุ่มแผ่กว้างออก โดยตัด 2 - 3 ครั้ง เลือกสิ่งที่เป็นมุมกว้างกับลำต้น เพื่อให้มีโครงสร้างที่แข็งแรง ในต้นที่ให้
ผลแล้วมักตัดแต่งกิง่ เพยี งเล็กน้อยเช่นกัน โดยเลือกตัดก่ิงแห้ง กิ่งที่ฉีกหักเสียหาย สิ่งที่อยู่เบียดกันมากๆ กิ่งท่ี
เจริญออกนอกชายพุ่มไม่ได้ กิ่งที่เป็นโรค กิ่งที่มีแมลงหรือกาฝาก และกิ่งที่อยู่ในระดับติดดินก็ต้องตัดออก
เชน่ กนั เพราะเมื่อติดผล นำ้ หนักผลจะถ่วงให้ผลถงึ ดนิ ทำให้โรคเข้าทำลายได้ ตน้ ทมี่ พี มุ่ คอ่ นข้างสูงควรตัดยอด
ออกหลายๆ ครงั้ ในขณะที่ตน้ ยงั ไม่ให้ผล เมอื่ ถึงอายอุ อกดอกติดผลจะทำให้พ่มุ ไมส่ งู นกั เก็บเกย่ี วผลง่าย



โรคและแมลงศัตรู

1. โรคของอะโวคาโด
โรคเปน็ ปัญหาที่สาํ คญั ในการผลติ อะโวคาโดในปัจจบุ ัน เพราะถงึ แมว้ า่ อะโวคาโดจะเปน็ ไม้ผล

ท่ีปลูกง่ายแต่ก็มีโรคที่พบทำลายอยู่ประจำคือโรครากเน่า ซึ่งยากต่อการป้องกันกำจัดพอสมควร ดังน้ัน
การปลูกจึงต้องมีการศึกษาลักษณะของโรค สาเหตุของโรค และวิธีการป้องกันกำจัด เพื่อช่วยให้การผลิต
อะโวคาโดประสบผลสําเรจ็ ได้ โรคของอะโวคาโดท่ีสําคัญ ได้แก่

1.1 โรครากเนา่ โคนเน่า
เป็นโรคที่สำคัญที่สุดของอะโวคาโดท่ีระบาดมากในต่างประเทศ และเป็นอุปสรรคท่ี

สำคัญของการปลูกอะโวคาโดในประเทศไทยเช่นกัน โดยพบว่าต้นอะโวคาโดที่กำลังให้ผลผลิตเต็มที่
อายุประมาณ 10 ปีแสดงอาการของโรคนี้อยู่เสมอ สาเหตุของโรคเกิดจากเชื้อราที่อยู่ในดิน ซึ่งเป็นเน้ือ
เดียวกับที่พบในต่างประเทศเชื้อนี้อาจติดมากับดินปลูก หรือต้นพันธุ์ที่เป็นโรค หรือเมล็ดที่เปื้อนดินที่เป็นโรค
แล้วนำเข้ามาปลูก และมักจะระบาดมากในดินที่ชื้นแฉะ มีการระบายน้ำไม่ดี เชื้อราสามารถเข้าทำลายได้ทาง
บาดแผลของรากท่ีเกิดจากการไถพรวนหรอื การใชจ้ อบขุดพรวนดนิ

อาการของต้นที่เป็นโรค ใบจะเล็กลงจากปกติ ใบสีเขียวอมเหลือง เหี่ยวเฉา และ
ร่วงหล่น กง่ิ จะแหง้ ตายจากยอดลงมายงั ราก ตน้ ท่เี ปน็ โรคจะมีสีดำเน่าแหง้ ผลผลิตลดลง ผลเล็ก

การแพร่กระจายของโรค เชอ้ื โรคจะแพรก่ ระจายไปได้โดยตดิ ไปกบั ดนิ ทผี่ สมลงในถงุ
เพาะต้นพนั ธุ์ เม่อื จาํ หนา่ ยไปไกลๆ ก็แพร่โรคไปด้วยในพ้นื ที่ลาดเอยี งน้ำจะพาดนิ จากที่มโี รคไปยังพ้ืนที่ต่ำหรือ
ในการไถพรวน เชื้ออาจติดมาจากเครื่องมือ หรือเครื่องทุ่นแรง หรือเชื้ออาจแพร่กระจายจากต้นหนึ่งไปยังอกี
ต้นหน่งึ

การป้องกันกำจัด ควรมีการระบายน้ำในแหล่งปลูก ไม่ให้มีน้ำขัง ป้องกันไม่ให้เกิด
การชะล้างหน้าดินจากกันเป็นโรคไปยังแหล่งอื่น ใช้ต้นตอที่ปราศจากโรคมาปลูก โดยฆ่าเชื้อที่ติดมากับเมล็ด
ด้วยการจุม่ นำ้ อุ่น อณุ หภมู ิ 60 องศาเซลเซียส นาน 20 นาที ก่อนทำการเพาะ และอบดิบดว้ ยความร้อนหรือ
ไอน้ำเดือดก่อนนำมาเป็นวัสดุเพาะ ส่วนมากทำกันในต่างประเทศ อีกวิธีหนึ่งคือใช้ต้นตอต้านทานโรครากเนา่
เชน่ ในแคลิฟอรเ์ นยี ใช้ต้นตอพันธ์ดุ ุ๊ก และ จี-6 แต่ในประเทศไทยยังไมม่ ีการใชใ้ นการปลกู เปน็ การค้า เม่ือพบ
ตน้ เป็นโรคแล้วตอ้ งควบคุมการให้น้ำ ระมัดระวงั ไมใ่ หด้ นิ จากต้นเป็นโรคเคล่อื นย้ายไปยงั ตน้ อน่ื และอยา่ ปลอ่ ย
ใหด้ ินช้ืนแฉะนานเกนิ ไป อบฆ่าเช้อื ในอะลมู ิเนียมฟอสไฟด์ หรือใชร้ โิ ดมลิ ผสมน้ำรด ในแหล่งท่ีเป็นโรคการปลูก
พืชอื่นที่ไม่ใช่พืชอาศัยของเชื้อราชนิดนี้ เช่นปลูกผักเป็นพืชหมุนเวียนเพื่อให้โรคนี้หมดไปได้แล้วยกลับมา
ปลูกอะโวคาโดใหม่ ทสี่ ำคัญในการปฏิบัติดูแลรักษาต่างๆเชน่ การกำจัดวชั พชื และการใส่ปยุ๋ ต้องระวังไม่ทำให้
รากเกดิ แผลเพราะจะทำให้เปน็ โรคได้งา่ ยและอาจจะใช้เช้ือราท่ีช่วยควบคุมโรคทางดินเช่น เช้อื ไตโคเดอมา่ ใสท่ ี่
โคนต้น



1.2 โรคจดุ ดำหรอื โรคแอนแทรคโนส
เกิดจากเชื้อรา โดยเชื้อจะเข้าทำลายตั้งแต่ผลยังมีขนาดเล็กจนกระทั่งผลเริ่มสุกใน

ผลดิบจะพบจดุ สนี ้ำตาล เชื้อจะเจริญเติบโตได้ดีในขณะท่ีความช้ืนสูง ถ้าเช้ือเจริญเข้าไปในเนื้อจะทำให้ผลร่วง
หล่นหรือเชื้ออาจไม่เจรญิ แต่จะไปแสดงอาการในตอนบม่ ก็ได้

การป้องกันกำจัด ในช่วงฤดูฝนควรฉีดพ่นสารเคมีป้องกันกำจัด โดยใช้โซเนปผสม
มาเนป ชื่อการค้า ได้แก่ เอซินแมก ไดเทนเอ็ม 45 หรือไตรแมนโซน หรืออาจจะใช้เบนเลทอัตรา 30 - 45
กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตรหรือ 2 - 3 ช้อนแกงต่อน้ำ 1 ปี๊บ ฉีดพ่นทุก 10 - 14 วัน โรคแอนแทรคโนสอาจเกิด
บนใบและกง่ิ ไดเ้ ชน่ เดียวกนั

1.3 โรคแคงเกอร์
เกิดจากเชื้อรา ที่ทําให้ผลเน่า นอกจากนี้ยังพบเชื้อที่เป็นกับกิ่งและปลายใบด้วย

อาการที่พบจะมีจุดสีน้ำตาลดำที่ผิวของผลที่บ่มหรือใบ จุดอาจขยายทั่วผิวของผล และมักพบว่าเป็นทางด้าน
กัน ผลมาก มผี ลทำให้เนอ้ื เน่า ผวิ เปลอื กบมุ๋

การป้องกนั กำจัด ใชส้ ารเคมีชนิดเดียวกบั โรคแอนแทรคโนส

1.4 โรคใบจดุ จากเช้ือสาหรา่ ย
โรคนี้พบมากในฤดูฝน ช่วงเดือนกรกฎาคม ถึง กันยายน โดยอาการของโรคจะพบ

จุดของสีนำ้ ตาลแดงรปู รา่ งค่อนขา้ งกลมนูนกระจายอยูท่ ่ัวไปบนผวิ ใบ ทำให้ประสิทธภิ าพในการปรงุ อาหารของ
ต้นอะดวคาโด

การป้องกันกำจัด ใชค้ อปเปอร์ซลั เฟต 3 - 5 ช้อนแกงต่อมา 5 ลติ ร ฉีดพ่นป้องกนั



2. แมลงศตั รูอะโวคาโด
อะโวคาโดมีแมลงที่เข้าทําลายหลายชนิด แต่ไม่เป็นปัญหาสำคัญนัก จึงเป็นไม้ผลที่มีการใช้สารเคมี
ป้องกนั กําจดั แมลงนอ้ ย แมลงพบทำลายอะโวคาโด ได้แก่

2.1. ดว้ งงวงกัดกนิ ใบ
ด้วงงวงกัดกินใบ หรือที่เรียกว่า แมลงค่อมทอง หรือแมลงสะแก ตัวเมียวางไข่ตาม

รอยแตกบนพื้นดินตามกองขยะหรืออินทรยี วัตถุ ไข่จะฟกั ออกเปน็ ตัวหนอนภายใน 10-11 วนั หนอนจะกัดกิน
รากพืชอยู่ 5-6 เดือนกเ็ ข้าดักแด้ ระยะดกั แด้ใช้เวลา 14-15 วันรวมชพี จักรจากระยะไขจ่ นถึงตวั เต็มวยั
ประมาณ 170-200 วนั ตวั เตม็ วัยมตี ัวสีดำ ปีกสเี ขียว สว่ นปากยาวยน่ื ออกมาเป็นงวง ตากลมเลก็ สีดำ ปีกคู่
หนา้ ดา้ นบนมีรอนบุ๋มเล้กๆ เรยี งเปน็ เสน้ ขนาดตามยาวของปกี ส่วนทา้ ยสดุ เรยี วแหลม ปกี คหู่ ลงั บางใส มีขนาด
ยาว 11-14 มิลลเิ มตร กวา้ ง 4-5 มลิ ลเิ มตร

ตวั เต็มวยั จะกดั กินใบอะโวคาโดจนแหว่งหรือเป็นพรุน ถา้ มเี ป็นจำนวนมากจะกัดกิน
ใบหมดเหลือแตก่ ง่ิ บางครง้ั พบว่าทำลายช่อดอกอะโวคาโดด้วย นอกจากนีย้ ังกินใบมะม่วง มะม่วงหิมมะพานต์
ลิน้ จี่ สม้ และน้อยหนา่ ด้วย

การป้องกันกำจัด ใชด้ ลี ครนิ 50% (W.P.) ความเข้มขน้ 0.1-0.5% ฉีดพน่ ตามใบ

2.2 หนอนผีเส้ือ
ตวั เต็มวัยมลี ักษณะเมอ่ื การจะกางปีกกว้างประมาณ 4-5 เซนตเิ มตรปีกและตัวมีขน

ปกคลุมยาวสสี ้มตัวเต็มวัยจะวางไขข่ าวใต้ใบอะโวคาโด ตัวละ 100-150 ฟอง หลงั จากน้ัน 2 - 3 วันไขจ่ ะฟกั
เป็นตัวหนอนตัวหนอนจะมีอายุ 5 วันเช่นเดียวกับหนอนไหม แล้วเข้าดักแด้ โดยชักใยสีเหลืองหุ้มหั กแท้
หัวท้ายแหลม ระยะดักแด้ใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ก็เป็นตัวเต็มวัย มักพบระบาดมากในช่วง
เดอื นกรกฎาคมถงึ ธนั วาคมตน้ ทถี่ ูกกดั กินใบมากจะทำให้ไมอ่ อกดอก เน่ืองจากเสียอาหารสะสมไป

การป้องกนั กำจดั
1) ฉีดพ่นสารเคมีหลายหนอน โดยใช้บาคาร์บาริล 85 เช่น เอส - 85 หรือ
เซฟวิน - 85 อตั รา 30 - 45 กรมั ผสมน้ำ 20 ลิตรควรจดั ในระยะวยั ตน้ ๆ ของหนอนจะได้ผลดี
2) จับ เก็บ เผาไฟ หรอื จับตวั แกท่ ำลาย

อ้างองิ จาก https://alchetron.com/Cricula-trifenestrata

๑๐

2.3. เพลยี้ ไฟ
เพลี้ยไฟมักพบระบาดในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นระยะแห่งช่อช่อดอกหรือดอกบาน โดย

จะดดู กินนำ้ เลีย้ งจากชอ่ ดอกหาใหช้ อ่ ดอกสัน้ ลงไม่ยืด หรือเขา้ ทําลายในระยะดอกบานจะทำให้ดอกหดแห้งรา่ ง
บางครั้งทําลายขณะตดิ ผลออ่ นทาํ ใหผ้ ลเปลีย่ นเป็นสนี ำ้ ตาลมีตำหนิ

การปอ้ งกนั กำจัด ใช้สารเคมีปอ้ งกันกาํ จดั แมลงชนิดดดู ซึมฉดี พ่นเมือ่ เริ่มแทงช่อดอก
เชน่ โมโนโครโตฟอสอัตรา 30 ซ.ี ซ.ี ผสมนำ้ 20 ลิตร

2.4. เพลยี้ แป้งดูดกนิ นำ้ เลยี้ งจากกง่ิ
เพลี้ยแป้งจะดดู กนิ นำ้ เล้ียงทีก่ ิ่งและใบ ทำให้กิ่งและใบไม่เจรญิ เติบโต บางครัง้ ทำให้

มีราดำจับตามกิ่งและใบ เนื่องจากมูลของเพลี้ยที่ถ่ายออกมานั้นเหมาะสำหรับการเจริญของราดำ ดังนั้นถ้า
กำจัดเพลียให้หมดไปราดาก็จะหมดไปดว้ ย

การป้องกันกำจัด ถ้าเป็นน้อยให้ตัดกิ่งเผาไฟ ถ้าเป็นมากให้ใช้สารเคมีชนิดดูดซึม
ผสมไวท์ออยล์ (white oil) ฉดี พน่

2.5.เพลี้ยหอย
เพลี้ยหอยมีหลายชนิดที่ทำลายยอดอ่อนและใบของอะโวคาโด เพลี้ยพวกนี้มเี ปลือก

หุม้ ลำตวั แขง็ อาการท่พี บในใบคอื ดา้ นล่างของใบจะถูกดดู กินนำ้ เลยี้ งทำให้ด้านบนของใบท่ีเพลย้ี หอยจับอยู่มีสี
ซดี เหลือง ถ้าเป็นท่กี ง่ิ ออ่ นจะทำใหก้ ่งิ เห่ยี วแห้ง

๑๑

2.6. หนอนเจาะกง่ิ
เป็นหนอนผีเสื้อกลางคืน มีลำตัวยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร เมื่อปีกออกกว้าง

4.8 เซนติเมตร ตามปีกจะมีจุดสีชมพูปนตำทั่วลำตัว หนอนโตเต็มที่ยาว 5-7 เซนติเมตร ดักแด้สีน้ำตาลปน
แดง ตามลำตัวมีหนามงอเรียงเป็นแถบ ผีเสื้อตัวเมียจะวางไข่ตามรอยแตกของเปลือก เมื่อไข่ฟักเป็นตัวหนอน
หนอนจะเขา้ ไปในสว่ นของลำต้นและก่ิง ทำโพรงอาศัยและกัดกินทำให้ใบของกิง่ แห้งเห่ียวตวั เมียตัวหนึ่งวางไข่
ไดป้ ระมาณ 600 ฟองโดยวางไขไ่ ว้เดยี่ ว ๆ ไข่จะฟักเป็นตวั ภายใน 7-8 วัน หนอนจะเจริญเตบิ โตในกง่ิ และต้น
ใช้เวลา 20 เดือน และเขา้ ดักแด้กินเวลา 3-7 สัปดาห์ ตวั เต็มวัยอายุ 2 สปั ดาห์

การป้องกนั กำจดั
1) ตัดก่ิงทีห่ นอนทําลายนำไปเผาไฟทิ้ง
2) ใชล้ วดตะขอดึงเอาตัวหนอนจากโพลงทเี่ จาะ
3) ฉีดสารเคมีเข้ารูที่เจาะด้วยคาร์บอนไดซัลไฟด์หรือน้ำมันเบนซินรูละ2-5 ซี.ซี.
แล้วใชด้ นิ เหนียวอุดไว้
4) ใช้แมลงศตั รูธรรมชาตพิ วกแตนเบยี นควบคมุ
นอกจากน้ยี งั มศี ตั รอู ืน่ ๆ ท่ีทำลายอะโวคาโด เช่นหนอนแทะเปลือกผล มวนเจาะผลทำให้เกดิ เนือ้ ผลเป็นไตและ
สัตวฟ์ ันแทะต่างๆ เปน็ ต้น

2.7 หนอนแทะเปลือกลำตน้
เป็นหนอนผีเสื้อหากินในเวลากลางคืน เข้าทำลายโดยการกัดกินเปลือก แล้วนำมูล

กับเศษไม้มาทำอุโมงค์ทางเดิน ในเวลากลางวันหนอนมักจะซ่อนตัวอยู่ในรอยแผลที่เป็นจุดเริ่มต้นของอุโมงค์
ซึ่งทำใหย้ ากตอ่ การกำจดั

การป้องกันกำจัด หนอนจะเริ่มหากนิ ในชว่ งเวลาพลบค่ำ ซึ่งในช่วงเวลากลางคนื นั้น
สามารถกำจัดหนอนด้วยวิธีกล อย่างการทำลายทางเดินที่หนอนสร้างขึ้น จากนั้นจับตัวหนอนไปทำลาย
สำหรับตวั เตม็ วยั น้ัน สามารถกำจดั ได้โดยฉดี พ่นซูมไิ ธออนให้ท่ัวแปลง

๑๒

2.8 แมลงกินนู
แมลงกินูนหรือแมงอีนุน เป็นแมลงปีกแข็ง ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Melolontha Melolontha
อยู่ในวงศ์ Scarabaeidae มักมีการระบาดในช่วงฤดูฝน เข้าทำลายโดยการกัดกินใบ หากมีการระบาดหนัก
อาจกัดกินใบจนเหลือแต่แกนใบ นอกจากอะโวคาโดแล้ว แมลงกินูนยังมีในพืชอาหารอีกหลายชนิด เช่น
มะขามเทศ มะขาม ออ้ ย มัน เปน็ ตน้
การป้องกันกำจัด สามารถทำการกำจัดได้ด้วยวิธีกล เช่นกับดักน้ำ กับดักแสงไฟ หรือ
การเขย่าต้น เป็นต้น หากมกี ารระบาด รุนแรงให้ฉดี พน่ ด้วยคาร์บาริล

๑๓

การเกบ็ เกี่ยว

อะโวคาโดเปน็ ผลไมท้ ี่มีลักษณะการสกุ แก่ท่มี ีลกั ษณะพิเศษ คือผลทแ่ี ก่แลว้ ยงั สามารถแขวนอยู่บนต้น
ได้ระยะเวลาหนึ่งโดยยังไม่สุกถ้าไม่เก็บเกี่ยวมาบ่ม แต่ผลจะแขวนอยู่ได้นานเท่าใดขึ้นอยูก่ ับพนั ธุ์โดยบางพันธุ์
สามารถอยู่ได้นานถึง 3 เดือนซึ่งเป็นข้อดีทางการตลาด นอกจากนี้บางพันธุ์จะไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ
ภายนอกของผลให้เห็นชัดเจนนัก เมื่อผลแก่และสุก เช่นสีของผลไม่เปลี่ยนไป จึงยากต่อการสังเกตของผู้ที่
ไม่ชำนาญนอกจากนี้ในอะโวคาโดแต่ละพันธ์ุ ยังมีฤดูที่ผลแก่เก็บเกี่ยวได้ไม่พร้อมกัน ถึงแม้ว่าพันธุ์เดียวกัน
แต่ถ้าปลกู ในสภาพแวดลอ้ มทแี่ ตกตา่ งจะทำใหม้ กี ารสกุ แกท่ ่แี ตกต่างกัน ชา้ หรือเร็วกวา่ กันได้ถงึ 1 - 3 สัปดาห์

วธิ สี ังเกตและทดสอบว่าผลอะโวคาโดแก่ มหี ลายวิธี คือ
1. วิธกี ารสงั เกตการแก่ของผลอะโวคาโด
1.1. สงั เกตจากลักษณะภายนอกของผล
ผลอะโวคาโดแก่นั้น พบว่าลักษณะภายนอกของผลเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนกันบาง

พันธุ์ผลแก่จะมีนวลที่ลบออกได้ บางพันธุ์ผิวผลเปลี่ยนสีจากเขียวเป็นเขียวปนเหลือง เช่น พันธุ์แฮสส์
โพพลล๊อค ปากช่อง 3-3 และปากช่อง 2-8 เปน็ ตน้ บางพนั ธ์ุเม่อื แกผ่ ิวผลยงั คงเปน็ สีเขยี วอยู่ แตข่ ้ัวผลเปล่ียน
จากเขียวเปน็ เหลอื ง หรอื ผลมีจดุ สีนำ้ ตาล เช่นพันธุ์ กัมปง, บูช 7, ออลล์ และ ลูล่า เป็นต้น

๑๔

1.2. สงั เกตจากฤดเู ก็บเก่ียวและลกั ษณะภายในของผล
อะโวคาโดแต่ละพันธุ์มีฤดูเก็บเกี่ยวที่ค่อนข้างแน่นอนเมื่อเริ่มเข้าฤดูเก็บเกี่ยว

สามารถทดสอบได้โดยเก็บผลมาผ่าเยื่อหุ้มเมล็ดถ้าเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีน้ำตาลแสดงว่าผลแก่เก็บเกี่ยวได้
หรือทดลองเก็บผลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมาบ่มทุกๆ สัปดาห์ๆ ละ 5-10 ผล เพื่อทดสอบความแก่ของผล ถ้าผล
แก่จะบ่มได้สุก ผิวผลที่สุกไม่เหี่ยวย่นหรือแห้งรสชาติดี เนื้อไม่เหนียวหรือแข็ง และไม่มีรสขม แสดงว่าผลท่ี
เหลือที่ตน้ สามารถเก็บไดแ้ ล้ว

นอกจากนี้ยังสามารถทดสอบความแก่ของผลอะโวคาโดโดยวัดเปอร์เซ็นต์ไขมันในผล เปอร์เซ็นต์
น้ำหนักแห้ง วัดความถ่วงจำเพาะ วัดเปอร์เซ็นต์น้ำตาลในระยะผลแก่ เป็นต้น แต่เป็นวิธีการที่ยุ่งยากและ
ซับซอ้ นไมส่ ะดวกในการใช้

2. ดัชนกี ารเก็บเกย่ี วอะโวคาโดพนั ธทุ์ ่สี ำคัญ
2.1. พันธุ์ปีเตอร์สัน (Peterson) เก็บเกี่ยวได้ประมาณเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน

โดยผลและขั้วผลเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นเขียวปนเหลือง เกิดจุดประสีน้ำตาลบนผล เยื่อหุ้มเมล็ดจะเปลี่ยนจาก
สขี าวหรือครมี เป็นสนี ำ้ ตาลและรอ่ นออกจากเมลด็ ไดง้ า่ ย

2.2. พันธุ์รูเฮิล (Reuhle) เก็บเกี่ยวได้ประมาณเดือนกรกฎาคมเดือนกันยายน โดยผลและขั้วผล
เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นเขียวปนเหลืองเกิดจุดประสีน้ำตาลบนผล เยื่อหุ้มเมล็ดจะเปลี่ยนจากสีขาวหรือเหลือง
ครมี เป็นสนี ้ำตาลและรอ่ นออกจากเมลด็ ไดง้ า่ ย

๑๕
2.3. พันธุ์บัคคาเนียร์ (Buccanear) เก็บเกี่ยวประมาณกลางเดือนกันยายนกลางเดือนพฤศจิกายน
ลักษณะผลที่แก่เก็บเกี่ยวได้ จะมีนวลลบออกได้ สีของผลเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเล็กน้อยเกิดจุดประสีน้ำตาล
บนผลและเยอ่ื หมุ้ เมลด็ เปล่ยี นเปน็ สีน้ำตาล

2.4. พันธุ์บูท 7 (Booth 7) เก็บเกี่ยวได้ประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนธันวาคม ลักษณะ
ผลแก่เก็บเกี่ยวได้จะมีนวล ลบออกได้ผิวผลสีเขียว เกิดจุดประสีน้ำตาลบนผลและเยื่อหุ้มเมล็ดเปลี่ยนเป็น
สีน้ำตาล

2.5. พันธุ์บูท 8 (Booth 8) เก็บเกี่ยวได้ประมาณต้นเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนธันวาคม ลักษณะผล
แก่เก็บเกยี่ วได้ จะมนี วลลบออกไดผ้ ิวผสเี ขยี วเกดิ จดุ ประสีนำ้ ตาลบนผล และเย่อื หมุ้ เมลด็ เปล่ยี นเปน็ สนี ้ำตาล

2.6. พันธุ์เฟอร์ออเท่ (Fuette) เก็บเกี่ยวได้ประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน ลักษณะผลท่ี
แกเ่ กบ็ เก่ียวได้ สีของผลจะไม่คอ่ ยมีการเปลี่ยนแปลง ตอ้ งพิจารณาจากเย่อื หมุ้ เมลด็ โดยเปลย่ี นเป็นสีน้ำตาล

๑๖

2.7. พันธุ์ฮอลล์ (Hall) เก็บเกี่ยวได้ประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม ลักษณะผลที่แก่
เก็บเกี่ยวได้ ผิวผลสีเขียวขั้วผลเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นเขียวปนเหลือง เกิดจุดประสีน้ำตาลบนผล เยื่อหุ้มเมล็ด
เปล่ียนจากสีขาวหรอื เหลอื งครีมเปน็ สีน้ำตาล และร่อนออกจากเมล็ดไดง้ ่าย

2.8. พันธแ์ุ ฮสส์ (Hass) เก็บเกยี่ วไดป้ ระมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกมุ ภาพนั ธุ์ผลท่ีแก่เก็บเก่ียวได้
ผิวผลจะเปลย่ี นจากสเี ขียวเขม้ เปน็ สมี ่วงปนเขียว และเยือ่ หุ้มเมล็ดเปลยี่ น

3. วิธกี ารเกบ็ เก่ยี ว
ก่อนเก็บเกี่ยวอะโวคาโดต้องตรวจสอบว่าผลแก่เก็บเกี่ยวได้แล้วหรือไม่ โดยพิจารณาถึงระยะเวลาที่
เก็บเกี่ยวของอะโวคาโดพันธุ์นั้น ๆ จากนั้นทดลองเก็บผลบนต้นในระดับต่างๆประมาณ 6 - 8 ผลเพื่อผ่าดู
เยื่อหุ้มเมล็ด หากเยื่อหุ้มเมล็ดเป็นสีน้ำตาลทั้งหมดก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ นอกจากนี้ควรพิจารณาลักษณะ
ภายนอกของผลเพ่อื ให้ม่ันใจวา่ ผลแก่แลว้ เน่ืองจากบางครง้ั ในตน้ เดียวกันอาจมีการออกดอก 2 ชดุ ทำให้อายุ
ของผลไม่เท่ากนั
ในการเก็บเกี่ยวตอ้ งใหม้ ีขั้วผลตดิ อยู่กับผล หากขั้วผลหลุดออกจากผลจะทำให้ผลเสียหายได้ง่ายขณะ
บ่มให้สุก วิธีการเก็บเกี่ยวทําได้โดยการเด็ดหรือใช้กรรไกรตัดให้ขั้วผมหลุดออกจากกิ่ง อาจใช้บันไดปีนขึ้นไป
เก็บหรือใชต้ ะกร้อท่ีมีใบมีดตัดขั้ว สอยให้ติดขั้ว หรือใช้กรรไกรตามยาวทีม่ ีทีห่ นีบขั้วผลไว้ ไม่ให้ผลตกเสียหาย
ควรระวังไม่ให้ผิวผลเสียหาย เมื่อเก็บแล้วให้ใส่ลงในภาชนะที่รองด้วยกระดาษหรือฟองน้ำที่ป้องกันความ
เสียหายได้นำไปคัดแยกเอาผลท่ีไม่ได้คุณภาพตามที่กำหนดออก ตัดขั้วผลใหส้ ั้นลงเหลอื เฉพาะสว่ นฐานของขั้ว
ท่ีตดิ กบั ผล

๑๗

4. การบม่ อะโวคาโด
ผลอะโวคาโดที่ยังดิบไม่สามารถนำไปรับประทานได้ เนื่องจากมีสารแทนนินสูง มีรสขม หากนำมา

รับประทานมากๆ จะทำให้ปวดศรีษะ จึงต้องบ่มให้สุกเสียก่อน วิธีการบ่มทำได้โดยวางไว้ในอุณหภูมิห้องหรือ
บ่มแบบบ่มมะม่วงก็ได้ ผลจะสุกภายใน 3-4 วันจนถึง 1 สัปดาห์หรือบางครั้งอาจมากกว่าหนึ่งสัปดาห์ขึ้นอยู่
กบั ความแก่ของผล อณุ หภูมิในทบ่ี ่มและพันธุ์

๑๘

การจดั ชนั้ มาตรฐาน

อะโวคาโด ใชม้ าตรฐานคณุ ภาพเหมือนกันทั้ง 8 พันธ์ุ คือลักษณะของผลตรงตามพันธ์ุ ผลแก่ทรงผลดี

ไม่บิดเบี้ยว ผิวผลดี ไม่มีอาการหรือเสียหายจากโรคแมลงหรือมีตำหนิที่เป็นแผลแห้งได้ไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์

ของพ้นื ที่ผิวของผล มนี ำ้ หนกั ผลของแตล่ ะพนั ธุ์ดังนี้

1. พันธ์ุปเี ตอร์สนั (Peterson) มีนำ้ หนักผลระหว่าง 200-300 กรัม

2. พนั ธุ์รเู ฮิล (Reule) มนี ้ำหนักผลระหว่าง 200-300 กรัม

3. พันบัคคาเนียร์ (Buccanear) มนี ํ้าหนกั ผลระหวา่ ง 250-400 กรมั

4. พันธบ์ุ ทู 7 (Booth 7) มีน้าํ หนกั ผลระหว่าง 300-500 กรัม

5. พนั ธบ์ุ ูท 8 (Booth 8) มีน้ำหนกั ผลระหวา่ ง 240-400 กรัม

6. พันธเุ์ ฟอรอ์ อเท่ (Fuerte) มีน้ำหนกั ผลระหวา่ ง 200-350 กรมั

7. พันธุ์ฮอลล์ (Hall) มีนำ้ หนักผลระหวา่ ง 400-500 กรมั

8. พันธ์แุ ฮสส์ (Hass) มีช้ันมาตรฐานคุณภาพดงั นี้

ขนั้ มาตรฐานคุณภาพ พิเศษ (เกรดพเิ ศษ) มีน้ำหนักผลมากกว่า 250 กรัมขึน้ ไปขน้ึ

มาตรฐานคณุ ภาพ 1 (เกรด A) มีนำ้ หนักผลระหวา่ ง 201-249 กรมั ขัน้

มาตรฐานคณุ ภาพ 2 (เกรด B) มนี ้ำหนกั ผลระหว่าง 100-200 กรมั

๑๙

การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว

การบรรจหุ บี หอ่ และการเก็บรกั ษา
การบรรจุหีบห่ออะโวคาโด เพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพดีนั้น โดยเมื่อเกษตรกรเก็บผลผลิตจากสวนและ

ทําการคัดคุณภาพแล้วจะใส่ตาข่ายโฟมหุ้มแต่ละผล นำวางเรียงลงในลังที่รองด้วยฟองหรือกระดาษ แยกตาม
พันธุ์ จากนั้นจะส่งจําหน่ายต่อไป ทั้งนี้ห้ามเก็บรักษาผลอะโวคาโดในห้องเย็นขณะผลดิบ เพราะจะทําให้เกิด
อาการผดิ ปกตเิ ม่ือผลสกุ

ในการจำหน่ายมีการบรรจุผลด้วยตาข่ายโฟมเพื่อป้องกันความเสียหาย จำโดยหน่ายเป็นผลตาม
นำ้ หนกั ใหห้ ลีกเลยี่ งการบรรจลุ งในภาชนะทร่ี ะบายความชื้นไมไ่ ด้ เพราะจะทำให้ผลเนา่ ไดง้ ่าย

๒๐

ศูนยส์ ง่ เสริมและพฒั นาอาชีพการเกษตรจังหวดั ตาก
(เกษตรทสี่ งู )

124 หมู่ 11 ตำบลรวมไทยพฒั นา อำเภอพบพระ จงั หวดั ตาก
โทรศพั ท์ 055 - 806249

E-mail : [email protected], [email protected]


Click to View FlipBook Version