E-book
การซักประวัติสุขภาพ
(History taking)
คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เรื่อง การซักประวัติสุขภาพ เล่มนี้ จัด
ทำขึ้นเพื่อใช้ในการส่งเสริมการเรียนการสอนในรายวิชา BNS214
วิชาชีพการพยาบาล เเนวคิดทฤษฎีเเละกระบวนการพยาบาล
โดยหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 ใน
รายวิชานี้ เพื่อไปปรับใช้ในการขึ้นฝึกปฏิบัติ และยังสามารถใช้ใน
การทบทวนความรู้หลังจากที่เรียนจบรายวิชานี้ไปแล้วอีกด้วย
ขอขอบคุณอาจารย์ที่ปรึกษา รองศาสตราจารย์ อรพินท์
สีขาว ที่ให้การสนับสนุนและให้คำปรึกษาในการจัดทำหนังสือ
อิเล็กทรอนิกส์เรื่อง การซักประวัติสุขภาพ
คณะผู้จัดทำ
ก
สารบัญ
คำนำ ก
สารบัญ ข
วัตถุประสงค์ ค
ความสำคัญของการประเมินภาวะสุขภาพ 1
การซักประวัติสุขภาพ 2
ชนิดของข้อมูล 3
แหล่งข้อมูล 5
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 7
ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการซักประวัติ 9
หลักการซักประวัติ 11
การเตรียมตัวก่อนการซักประวัติ 12
เเบบฟอร์มเเบบประเมินสุขภาพเเรกรับ 13
ขั้นตอนการซักประวัติ 14
ประวัติสุขภาพ 21
22
- ข้อมูลส่วนบุคคล 23
- อาการสำคัญ 26
- ประวัติเจ็บป่วยปัจจุบัน 28
- ประวัติเจ็บป่วยในอดีต 29
- ประวัติเจ็บป่วยในครอบครัว 30
- ประวัติการแพ้และประวัติยาที่แพ้ 31
-ประวัติพฤติกรรมสุขภาพและสังคม
การสื่อสารในการซักประวัติ
ข
สารบัญรู ป
การเตรียมตัวก่อนการซักประวัติ 14
ขั้นตอนการซักประวัติ 15
รูปภาพตัวอย่างสถานที่จำลองในการซักประวัติ 16
สารบัญวีดิทัศน์
วิดีโอประกอบตอนที่1 18
วิดีโอประกอบตอนที่2 19
สารบัญQR code
ตอนที่ 1: แบบฝึกหัดระหว่างเรียน 10
ตอนที่ 2: แบบฝึกหัดระหว่างเรียน 20
ตอนที่ 3: แบบฝึกหัดระหว่างเรียน 37
วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์
เมื่อจบบทเรียนผูเรียนมีความรูค วามสามารถ ดังนี้
1.จำเเนกชนิดของข้อมูลได้ถูกต้อง
2.อธิบายลักษะของข้อมูลที่ดีได้ถูกต้อง
3.อธิบายความรู้เเละทักษะพื้นฐานที่ใช้ในการเก็บรวบรวม
ข้อมูลได้ถูกต้อง
4.อธิบายขั้นตอนการซักประวัติได้ถูกต้อง
ค
คำสำคัญในเนื้ อหา
คำศัพท์ ภาษาอังกฤษ ตัวย่อ
ข้อมูลส่วนบุคคล (Patient profile or
หรือประวัติส่วนตัว Personal history) C.C
Chief complaints P.I.
อาการสําคัญ Present illness P.H.
F.H.
ประวัติเจ็บป่วยปัจจุบัน Past history
ประวัติเจ็บป่วยในอดีต Family history
ประวัติเจ็บป่วยใน Personal and
ครอบครัว social history
ประวัติพฤติกรรม
สุขภาพ
และสังคม
ความสํ าคัญการประเมิน
ภาวะสุขภาพ
การประเมินสุขภาพเปนขั้นตอนแรกของกระบวนการ
พยาบาลที่สําคัญมาก เนื่องจากการประเมินสุขภาพนั้นเปนกระ
บวนการที่เกิดขึ้นอยา งตอเนื่องและเปนระบบ เพื่อใหไ ด้ขอมูลที่มี
ความสมบูรณแ ละเปนองครวมทั้งดานรางกาย จิตใจ สังคม และ
จิตวิญญาณของผูใช้บริการซึ่งจะชว ยใหวิเคราะหข อมูลและแปล
ผลตามปัญหาที่เกิดขึ้นจริงไดอ ย่างถูกตอง เพื่อนำไปสูก ารวินิจฉัย
การพยาบาลและวางแผนการพยาบาลที่พยาบาลสามารถปฏิบัติ
ไดอยา งอิสระ หากการประเมินสุขภาพไมค รอบคลุมหรือถูกตอง
จะนําไปสูการวางแผนการพยาบาลที่ไมส อดคลองกับปญหาหรือ
ความตอ งการของผูใช้บริการอยา งแทจ ริง การซักประวัติสุขภาพ
เป็นขั้นตอนแรกของการประเมินสุขภาพ กล่าวได้ว่าการซัก
ประวัติที่ดีจะช่วยให้ทราบว่าผู้ใช้บริการเป็นโรคอะไรได้มากกว่า
ร้อยละ 60 ดังนั้นการพูดคุยหรือซักถามข้อมูลจากผู้ใช้บริการจึง
ต้องละเอียดถูกต้องชัดเจนเเละครอบคลุม เพื่อให้สามารถระบุถึง
ปัญหาของความเจ็บป่วยเเละนำข้อมูลที่ได้ไปวางเเผนในการตรวจ
วินิจฉัยโรค เพื่อใช้วินิจฉัยเเยกโรค ให้การรักษาและการพยาบาล
ผู้รับบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพเเละประสิทธิผล
1
การซักประวัติสุขภาพ
(Health history taking)
การซักประวัติสุขภาพ(Health history taking) หรือการ
สัมภาษณ (interview) คือ กระบวนการสื่อสาระหวางผูใ หบริการ
และผใู ช้บริการในการซักประวัติสุขภาพนั้นที่สําคัญคือ ทักษะกา
รสรา งสัมพันธภาพและความไววางใจระหวา งผูใ ช้บริการกับ
ผูใหบ ริการ และการเก็บรวบรวมขอมูลภาวะสุขภาพของผูใ ช้บริการ
ควรครอบคลุมดานพัฒนาการ รางกาย จิตใจ สังคม วัฒนธรรม
ความเช่ื่อและจิตวิญญาณ เพื่อนําขอ มูลดังกลาวไปวิเคราะหป ญหา
ภาวะเบี่ยงเบนทางสุขภาพและชว ยใหส ามารถวินิจฉัยปญหา
วางแผนการพยาบาลรวมกัน ระหวา งผูใ ช้บริการกับผูใ หบ ริการและ
กําหนดกิจกรรมการพยาบาลไดอยา งเหมาะสม
2
ชนิ ดของข้อมูล
(Type of data)
สามารถจำแนกได้ตามแหล่งที่มาของข้อมูล กล่าวคือ
1. ข้อมูลอัตนัย (Subjective data)
เป็นข้อมูลที่ได้จากการซักประวัติ การสัมภาษณ์ และการบอก
เล่าของผู้ใช้บริการหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น สามีภรรยา พ่อแม่
ผู้ปกครอง ลูก ผู้ดูแล ญาติของผู้ป่วย หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่นำตัวผู้
ป่วยส่งโรงพยาบาล ที่เรียกว่า อาการหรือความรู้สึกที่ผู้รับบริการ
บอกกล่าว (symptoms) การที่จะได้ข้อมูลอัตนัยถูกต้องครอบคลุม
ต้องอาศัยทักษะในการสังเกต การซักประวัติ และการฟังให้เข้าใจใน
สิ่งที่ผู้ใช้บริการบอกข้อมูล ส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการรับรู้
ภาวะสุขภาพ วิถีการดำเนินชีวิต ความคิดเห็น ความรู้สึกนึกคิด อัต
มโนทัศน์ ค่านิยม ประเพณี วัฒนธรรม และความเชื่อต่างๆ
ตัวอย่างข้อมูลอัตนัย
เป็นข้อมูลที่ผู้ใช้บริการบอกว่า
- รู้สึกเวียนศีรษะมาก
- คลื่นไส้ เบื่ออาหาร เจ็บคอ
- เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นแรง
- ปัสสาวะลำบากแสบขัด
3
ชนิ ดของข้อมูล
(Type of data)
2. ข้อมูลปรนัย (Objective data)
เป็นข้อมูลที่ได้จากการที่พยาบาลสังเกต ตรวจร่างกาย หรือ
ตรวจวัดผู้ใช้บริการด้วยเครื่องมือต่างๆ เช่น การวัดอุณหภูมิร่างกาย
การจับชีพจร การวัดความดันโลหิต การตรวจการทำงานของลำไส้
โดยใช้หูฟัง (stethoscope) เป็นต้น สิ่งที่ตรวจพบเรียกว่า อาการ
แสดง (signs) นอกจากนั้นข้อมูลปรนัยยังรวมทั้งข้อมูลจากผลการ
ตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษต่างๆ
ตัวอย่างข้อมูลปรนัย
- เอามือกุมท้อง นอนงอตัวนิ่ง ไม่ยอมเคลื่อนไหวร่างกาย
- อุณหภูมิร่างกาย 38° C , ความดันโลหิต 120/70 mmHg
- มีผื่นคันตามแขน ขา และลำตัว
- มีแผลกดทับบริเวณก้นกบกว้าง 2 นิ้ว ยาว 4 นิ้ว ลึก 1 นิ้ว
- ตรวจท้องพบ Bowel sound 10-12 ครั้งต่อนาที
- ผลเอ็กซเรย์ปอดพบว่ามีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดทั้งสองข้าง ท้อง
โตตึง เท้าบวมกดปุ่มทั้งสองข้าง
- หน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดเวลา สีหน้าเศร้า เงียบเฉย
4
แหล่งของข้อมูล
(source of data)
แหล่งข้อมูล คือ ที่มาของข้อมูลของที่ได้จากการซักประวัติ แบ่ง
ตามผู้ให้ข้อมูลคือ
1. ข้อมูลปฐมภูมิ
เป็นข้อมูลที่พยาบาลรวบรวมได้จากการสังเกต การสัมภาษณ์
หรือการซักประวัติสุขภาพจากผู้ใช้บริการโดยตรง อาจจะเป็นคำบอก
เล่าเกี่ยวกับอาการต่างๆ ความรู้สึก ความเชื่อ ทัศนคติ ความเข้าใจ
เกี่ยวกับความเจ็บป่วย หรือคำบอกเล่าเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง
ข้อมูลจากการตรวจร่างกาย และการวัดประเมินด้วยเครื่องมือชนิด
ต่างๆ ของผู้รับบริการ ข้อมูลปฐมภูมิจึงถือว่าเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้มาก
ที่สุด
2. ข้อมูลทุติยภูมิ
เป็นข้อมูลที่พยาบาลเก็บรวบรวมได้จากแหล่งอื่นๆ นอกเหนือจาก
ผู้ใช้บริการ ได้แก่ ข้อมูลจากบุคคลในครอบครัว ญาติ ผู้ใกล้ชิด ผู้
พบเห็นเหตุการณ์ ทีมสุขภาพ ข้อมูลจากรายงานหรือเวชระเบียนของ
ผู้ใช้บริการ ข้อมูลจากการบันทึกของแพทย์ การบันทึกทางการ
พยาบาล และการบันทึกของบุคลากรในทีมสุขภาพอื่นๆ
5
แหล่งของข้อมูล
(source of data)
เช่น นักกายภาพบำบัด โภชนากร เภสัชกร เป็นต้น รวมทั้ง
ข้อมูลจากรายงาน ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจ
พิเศษต่างๆ ข้อมูลทุติยภูมิจะช่วยสนับสนุนความแม่นตรง ของข้อมูลที่
ได้รับจากผู้ใช้บริการโดยตรง และจะช่วยให้สามารถประเมินปัญหา
หรือภาวะสุขภาพของผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพและ
ครอบคลุมปัญหายิ่งขึ้น แต่มีข้อควรระวังคือการเก็บรวบรวมข้อมูล
จากข้อมูลทุติยภูมินั้นต้องพิจารณาถึงความถูกต้องและน่าเชื่อถือของ
ผู้รับบริการด้วย
6
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
(Method of data collection)
1. การสังเกต
เป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการใช้ประสาทสัมผัส
ทั้ง 5 คือ การดู การฟัง การดมกลิ่น การลิ้มรส และการสัมผัส
ด้วยมือ การสังเกตที่ดีจะช่วยให้พยาบาลรับรู้ปัญหาและความ
ต้องการของผู้รับบริการได้ถูกต้อง ช่วยให้สามารถวางแผนการ
พยาบาลเพื่อช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้ผู้ใช้บริการได้เหมาะสม
กับปัญหา สิ่งที่ควรสังเกตมีดังนี้
(1) ลักษณะทั่วไปของผู้ใช้บริการ เช่น ความรู้สึกตัว
ท่าทาง การเดิน การทรงตัว ผอม สูง เป็นต้น
(2) สีหน้า น้ำเสียง และการพูดคุย การแสดงสีหน้า ระดับ
เสียง และลักษณะการพูดต่างๆ จะสะท้อนถึงความรู้สึกหรือ
ปัญหาของผู้พูด เช่น การขมวดคิ้วอาจแสดงถึงความสงสัยหรือ
ความเจ็บปวด การพูดช้ากว่าปกติ เสียงเบาลงอาจแสดงถึง
ความเหนื่อยหน่าย เป็นต้น
(3) พฤติกรรมที่ผู้ใช้บริการแสดงออก เช่น พฤติกรรมกระ
สับกระส่าย ก้าวร้าว อาจแสดงถึงภาวะเครียด การกำมือ
กัดฟัน อาจแสดงถึง ความโกรธ เป็นต้น
7
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
(Method of data collection)
(4) กิจกรรมต่างๆ หรือกิจวัตรประจำวันที่ผู้รับบริการ
ปฏิบัติ เช่น การรับประทาน อาหาร การทำความสะอาด
ร่างกาย การขับถ่าย การพักผ่อนนอนหลับ เป็นต้น
(5) อาการแสดง (Signs) ต่างๆ ของผู้ป่วย การสังเกต
อาการแสดงต่างๆ ของผู้ป่วยจะช่วยให้ประเมินปัญหาของผู้
ป่วยได้ถูกต้องมากขึ้น เช่น อาการซีด อ่อนเพลีย เหนื่อยหอบ
เขียวคล้ำ ปลายมือปลายเท้าบวม เป็นต้น
2.การซักประวัติ
เป็นการสนทนาพูดคุยกับผู้ใช้บริการ ญาติ หรือผู้ที่
เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากการสังเกต
8
ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อ
การซักประวัติสุขภาพ
(1) สภาพของผู้ใช้บริการ
ผู้ใช้บริการที่อยู่ในภาวะเจ็บป่วย หรือมีความไม่สุขสบาย เช่น
อยู่ในภาวะหิว เจ็บแผล ปวดท้อง หอบเหนื่อย เป็นต้น จะทำให้ผู้ใช้
บริการไม่พร้อมในการให้ข้อมูล
(2) บุคลิกลักษณะของพยาบาล
พยาบาลที่มีบุคลิกภาพเงียบพูดน้อย หรือพูดมากเกินไป
ล้วนมีผลต่อการเก็บรวบรวมข้อมูล การใช้ความเงียบที่ไม่เหมาะสม
จะทำให้ไม่ได้ข้อมูลจากผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะ ถ้าผู้ใช้บริการเป็นคน
พูดน้อย สำหรับพยาบาลที่พูดมากเกินไปจะทำให้ไม่ได้ฟังข้อมูลหรือ
ความคิดเห็น ความรู้สึกของผู้ใช้บริการ เพราะแย่งผู้ใช้บริการพูด
เสียงเป็นส่วนใหญ่
(3) สภาพแวดล้อมในการสัมภาษณ์
ถ้าสับสน วุ่นวาย มีเสียงดัง คนเดินพลุกพล่าน จะทำให้ทั้ง
พยาบาลและผู้ใช้บริการไม่มีสมาธิในการพูดคุยหรือสื่อสารกัน และ
ถ้าเป็นข้อมูลที่ผู้ใช้บริการไม่อยากให้บุคคลภายนอกได้ยิน เมื่อสภาพ
แวดล้อมไม่มีความเป็นส่วนตัวผู้ใช้บริการอาจไม่สะดวกในการให้
ข้อมูล
9
เเบบฝึกหัดระหว่างเรียน ตอนที่ 1
10
หลักการซักประวัติ
1) ผู้ซักประวัติ
ควรแต่งกายสะอาดเรียบร้อย มีบุคลิกที่ดีน่าเชื่อถือ ใช้น้ำเสียง
อ่อนโยน ไม่พูดเร็วหรือช้าเกินไป เพื่อให้ผู้ใช้บริการเกิดความรู้สึกไว้
วางใจในการให้ข้อมูล
2) จัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับการซักประวัติ
โดยสถานที่ซักประวัติควรเงียบสงบปราศจากเสียงรบกวน
เป็นสัดส่วน เพื่อให้ผู้ใช้บริการและพยาบาลมีสมาธิในการสัมภาษณ์
และบางครั้งอาจมีเรื่องที่ผู้ใช้บริการไม่อยากเปิดเผยให้คนอื่นๆ
ได้รับทราบ
3) จัดให้ผู้ใช้บริการอยู่ในท่าที่สบาย
ปราศจากความเจ็บปวดหรืออาการไม่สุขสบายเพื่อให้ผู้ใช้
บริการมีความพร้อมที่จะให้ข้อมูล
4) ควรกำหนดวัตถุประสงค์ของการซักประวัติไว้ล่วงหน้า
เพราะบางครั้งผู้ใช้บริการอาจพูดนอกเรื่อง พูดวากวน
พยาบาลจะได้นำการสนทนากลับเข้าสู่ประเด็นของการซักประวัติได้
ง่าย
5) ควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคล
ภาวะสุขภาพภาวะเจ็บป่วยต่างๆ รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ที่
เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีความเข้าใจผู้ใช้บริการ และมีแนวทางในการซัก
ประวัติให้ได้รายละเอียดตรงตามที่ต้องการ
11
การเตรียมตัวก่อนการซักประวัติ
1. ศึกษาข้อมูลผู้ใช้บริการ
ถ้าพยาบาลสามารถศึกษาข้อมูลผู้ใช้บริการได้ก่อนเริ่มการซัก
ประวัติ จะช่วยให้รู้จักผู้ใช้บริการบางส่วน รวมทั้งทราบปัญหาเเละ
ประวัติบางอย่าง ทำให้ไม่จำเป็นต้องซักถามจากผู้รับบริการ จึงช่วยลด
ระยะเวลาในการซักประวัติเเละไม่รบกวนผู้ใช้บริการมากเกินไป
2. ศึกษาแบบฟอร์มซักประวัติ
ก่อนการซักประวัติควรศึกษาเเบบฟอร์มหรือกรอบเเนวคิดที่ใช้
ในการซักประวัติให้เข้าใจเพื่อจะได้เป็นเเนวทางในการซักประวัติให้ได้
ข้อมูลที่ครบถ้วน ไม่ซักถามวกวน สับสน หรือใช้เวลานานเกินไป
3. วางเเผนในการซักประวัติ
เมื่อได้ศึกษาข้อมูลของผู้ใช้บริการเเละศึกษาเเบบฟอร์มหรือกร
อบเเนวคิดในการซักประวัติ ให้วางเเผนการซักประวัติว่าจะซักประวัติ
อะไรบ้าง จะเริ่มเรื่องใดก่อน เเละเเต่ละเรื่องมีขอบเขตเนื้อหามากน้อย
เพียงใด จะใช้คำถามอย่างไรเพื่อที่จะได้ข้อมูลจากผู้รับบริการตาม
ต้องการ โดยให้เหมาะสมกับระยะเวลาเเละสภาวะของผู้ใช้บริการ
12
ตัวอย่างแบบประเมิน
ข้อมูลสุขภาพแรกรับ
13
ขั้นตอนการซักประวัติ
1. ขั้นก่อนซักประวัติ
เป็นขั้นตอนที่พยาบาลสร้างความคุ้นเคยสร้างสัมพันธภาพที่ดี
ระหว่างพยาบาลกับผู้ใช้บริการ โดยการกล่าวทักทายกับผู้ใช้
บริการ แนะนำตัวเอง และบอกวัตถุประสงค์ของการซักประวัติให้
ผู้ใช้บริการเข้าใจ การเตรียมตัวก่อนซักประวัติ
1) ศึกษาข้อมูลของผู้ใช้บริการ
2) ศึกษาแบบฟอร์มหรือกรอบแนวคิดในการซักประวัติควร
ศึกษาตามแบบฟอร์ม หรือกรอบแนวคิดที่ใช้ในการซักประวัติให้
เข้าใจเพื่อจะได้เป็นแนวทางในการซักประวัติให้ได้ข้อมูลครบถ้วน
3) วางแผนการซักประวัติเมื่อได้ศึกษาข้อมูลของผู้ใช้บริการ
และศึกษาแบบฟอร์มหรือกรอบแนวคิดในการซักประวัติแล้ว ให้
วางแผนการชักประวัติว่าจะชักประวัติอะไรบ้าง จะเริ่มจากเรื่อง
ใดก่อน แต่ละเรื่องมีขอบเขตมากน้อยเพียงใดจะใช้คำถามอย่างไร
เพื่อที่จะให้ได้ข้อมูลจากผู้ใช้บริการตามต้องการ
14
ขั้นตอนการซักประวัติ
2. ขั้นขณะซักประวัติ
พยาบาลผู้ซักประวัติ / ผู้สัมภาษณ์ต้องทบทวนข้อมูลที่ให้ ผู้ใช้
บริการกล่าวถึง ค้นหาสาเหตุของการมารับการรักษา การเจ็บป่วย
ปัจจุบัน ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว
การทบทวนอาการตามระบบ แบบแผนการดําเนินชีวิต และการ
จัดการทาง สุขภาพพยาบาล ผู้ซักประวัติ / ผู้สัมภาษณ์ต้องตั้งใจฟัง
และสังเกตอาการแสดงออกในขณะสัมภาษณ์ และไม่ ควรใช้ศัพท์
ทางการแพทย์ การตัดบทขณะที่ผู้ใช้บริการยังสนทนาไม่จบ การใช้คํา
ถามว่า “ทําไม” มากเกินไป เป็นต้น
2.1 ขั้นตอนเริ่มต้นการสนทนา
1) ผู้ตรวจแนะนำตัวให้ผู้ใช้บริการทราบก่อนทำการซัก
ประวัติ
2) ตรวจสอบชื่อสกุลของผู้ใช้บริการ
3) แจ้งวัตถุประสงค์ของการซักประวัติ ให้ผู้ใช้บริการทราบ
2.2 ขั้นตอนสนทนาเนื้อหา
พยาบาลขออนุญาตทราบชื่อสกุล และสอบถามข้อมูลที่
เกี่ยวข้อง เช่น อายุ วันเดือนปีเกิด เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา
สถานภาพสมรส อาชีพ ภูมิลำเนา ที่อยู่อาศัย เป็นต้น
15
รู ปภาพตัวอย่างสถานที่
จำลองในการซักประวัติ
16
ขั้นตอนการซักประวัติ
3. ขั้นสรุปผลและยุติ
พยาบาลผู้สัมภาษณ์จะมีการสรุปข้อมูลและตรวจสอบความเที่ยง
ตรงของข้อมูลร่วมด้วยเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ สาเหตุ ก่อนยุติการซัก
ประสัติ และแสดงความขอบคุณผู้ใช้บริการที่ความร่วมมือในการให้
ข้อมูลด้วยดี
1) พยาบาล/ดิฉัน ขออนุญาต ทบทวนข้อมูลที่ คุณ….. ได้เล่าให้
ฟังนะคะ.....ถ้ามีข้อมูลส่วนไหนไม่ถูกต้อง หรือมีข้อมูลใดจะเพิ่มเติม
แจ้งพยาบาลได้เลยนะคะ
2) เริ่มทบทวนประวัติทั้งหมดอย่างสั้นๆแต่ครบประเด็นสำคัญ
3) พยาบาล ขอบคุณคุณ………
4) กรุณารอสักครู่………..
5) ขั้นตอนต่อไปพยาบาลจะขอวัดสัญญาณชีพ เพื่อ.….
(ส่วนใหญ่หลังการซักประวัติสุขภาพเรียบร้อยก็จะประเมิน
สัญญาณชีพต่อ)
17
วีดิโอซักประวัติตอนที่ 1
18
วีดิโอซักประวัติตอนที่ 2
19
เเบบฝึกหัดระหว่างเรียน ตอนที่ 2
20
ประวัติสุขภาพ
1. ข้อมูลส่วนบุคคล
1.1 ข้อมูลส่วนบุคคลหรือประวัติส่วนตัว (Patient
profile or Personal history) ห มายถึง ข้อมูลเบื้องต้นที่
ช่วยทำให้พยาบาลรู้จักผู้ใช้บริการมากขึ้นป้องกันความผิดพลาด
ในการให้การบริการ สามารถติดต่อผู้ใช้บริการได้ในกรณีที่
ต้องการ
ตัวอย่างข้อมลส่วนบุคคลที่ต้องซักประวัติ
- เพศ (ใช้การสังเกต)
- อายุ
- น้ำหนัก
- ส่วนสูง
- วันเดือนปีเกิด
- เชื้อชาติ
- สัญชาติ ศาสนา
- สถานภาพสมรส
- อาชีพ
- ภูมิลำเนา ที่อยู่อาศัย
21
ประวัติสุขภาพ
2. อาการสำคัญ (Chief complaints ตัวย่อ CC)
หมายถึง การถามอาการสําคัญหรืออาการหลักที่ทําให้ให้ผู้ใช้
บริการมาโรงพยาบาลในครั้งนี้มากที่สุด อาการสําคัญนั้นอาจมี 1-3
อาการ1-6 และรวมถึงต้องระบุระยะเวลาตั้งแต่เริ่มมีอาการสําคัญจนถึง
เวลาที่ มาถึงโรงพยาบาล
ตัวอย่างคำถามในการซักประวัติ
- คุณมีปัญหาอะไรจึงมาโรงพยาบาล
- ไม่สบายเป็นอะไรมาคะ
- อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณต้องมาพบแพทย์
- คุณเริ่มมีอาการตั้งแต่เมื่อไหร่คะ
- ระยะเวลานานแค่ไหน ที่ทำให้คุณตัดสินใจมาโรงพยาบาลคะ
ตัวอย่างการเขียนอาการสำคัญ
CC: มีไข้ ปวดท้องน้อยด้านขวามากจนตัวงอ ปวดเมื่อยร่างกาย 3
ชั่วโมงก่อนมารพ.
CC: ปวดท้องมาก ถ่ายเป็นน้ำ 5 ครั้งไม่ม่ีมูกเลือดปน รู้สักเพลีย
ไม่มีแรง 4 ชั่วโมงก่อนมารพ.
CC: บวม แดงบริเวณเอ็นร้อยหวายที่เท้าข้างขวา ปวดมาก 2
ชั่วโมงก่อนมารพ.
22
ประวัติสุขภาพ
3. ประวัติเจ็บป่วยปัจจุบัน (Present illness ตัวย่อ PI)
หมายถึง รายละเอียดของการเจ็บป่วยที่มาในครั้งนี้
ตั้งแต่เริ่มต้นของการเจ็บป่วยในครั้งนี้จนถึงระยะของการเกิด
อาการสำคัญที่ทำให้มาโรงเรียนตามลำดับเวลา ซึ่งเริ่มตั้งแต่มี
อาการอาการแสดงของการเจ็บป่วยและอาการนั้นอาจดำเนิน
ต่อเนื่องหรืออาจร้อนช่วงเวลาการเกิดอาการ
ตัวอย่างคำถามในการซักประวัติ
1) อาการเจ็บป่วยครั้งนี้เริ่มเป็นตั้งแต่เมื่อใด
2) อาการนั้นเกิดขึ้นทันทีหรือค่อยๆ เป็นคะ
3) อาการที่เป็นมีลักษณะอย่างไร เช่น ปวดศีรษะจี๊ดๆ
เหมือนเข็มแทง ปวดหนักๆ เหมือนถูกบีบรัดปวดร้าวไปที่ท้ายทอย
ค่ะ เป็นต้น
4) ตำแหน่งที่เป็นอยู่ตรงไหน เช่น ปวดท้องน้อยข้างขวา
ปวดเข่าทั้ง 2 ข้างค่ะ เป็นต้น
23
ประวัติสุขภาพ
5) อาการที่เกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร
มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยหรือไม่คะ ?
6) สิ่งที่ทำให้มีอาการมากขึ้นหรือทุเลาลง เช่น ปวดศีรษะ
มากเวลาเครียดหรือโกรธ เมื่อพักสายตาอาการปวดศีรษะจะดีขึ้นค่ะ
เป็นต้น
7) เมื่อมีอาการได้ปฏิบัติตัวอย่างไร เช่น ซื้อยากินเอง ไปพบ
แพทย์ที่คลินิก ไปโรงพยาบาล ปล่อยให้หายเอง รวมทั้งผลการ
ปฏิบัติตัวเป็นอย่างไรคะ เป็นต้น
24
ประวัติสุขภาพ
ตัวอย่างการเขียนประวัติเจ็บป่วยปัจจุบัน
PI: 2 วันก่อนมารพ. รู้สึกคลื่นไส้ ท้องอืด เบื่ออาหาร
ปวดท้องตื้อๆรอบสะดือตลอดเวลา เลยรับประทานยาธาตุ
น้ำขาว จึงรู้สึกดีขึ้น
1 วันก่อนมารพ. มีไข้ต่ำ ปวดเมื่อยตามร่างกาย จึง
รับประทานยา Paracetamol
1 เม็ด อาการไข้และปวดเมื่อยลดลง แต่เริ่มรู้สึกปวดท้องน้อย
ด้านขวามากขึ้น ปวดบีบและคลายเป็นพักๆ คลื่นไส้และ
อาเจียนเป็นน้ำสีขาวจำนวนไม่มาก 2-3 ครั้ง รู้สักมวนท้อง
และถ่ายอุจจาระลักษณะ
กึ่งแข็งกึ่งเหลว 1 ครั้ง
3 ชั่วโมงก่อนมารพ. ยังคงมีไข้ ปวดเมื่อยร่างกาย
ปวดท้องน้อยด้านขวามากต้องงอตัว
จึงจะปวดน้อยลงปวดมากขึ้นเมื่อขยับตัว จึงตัดสินใจมาโรง
พยาบาล
25
ประวัติสุขภาพ
4. ประวัติเจ็บป่วยในอดีต (Past history ตัวย่อ PH)
หมายถึง การถามประวัติการเจ็บป่วยที่ผ่านมาและการ
ตรวจรักษาที่เคยได้รับตั้งแต่เกิดจนถึงครั้งสุดท้ายก่อนการเจ็บป่วย
ในครั้งนี้รวมทั้งประวัติอื่นๆที่มีความเกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยหรือไม่
เกี่ยวข้องกับ
การเจ็บป่วยในครั้งนี้
ตัวอย่างการซักประวัติเจ็บป่วยในอดีต
1) การเป็นโรคติดต่อ เช่น การติดเชื้อวัณโรค โรคตับอักเสบ
จากเชื้อไวรัสกามโรคการติดเชื้อ
เอชไอวี เป็นต้น
2) ประวัติการได้รับภูมิคุ้มกันโรค เช่น ภูมิคุ้มกัน โรคหัด
คางทูม ไอกรน ไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสตับอักเสบบี อีสุกอีใส
บาดทะยัก เป็นต้น
26
ประวัติสุขภาพ
3) ประวัติการผ่าตัด จะช่วยให้ทราบข้อมูลหรือ ประเมิน
ปัญหาผู้รับบริการได้ถูกต้อง เช่น
ถ้าผู้ป่วยมาด้วยอาการปวดท้องน้อยด้านขวาและมีประวัติการผ่าตัด
ไส้ติ่งทำให้ตัดปัญหาเรื่องไส้ติ่งอักเสบออก จะหาสาเหตุอื่นๆได้ของ
อาการปวดท้อง
4) กลุ่มโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ (NCD) เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ
โรคความดัน โรคถุงลมโป่งพอง โรคไขมันในเลือดสูง โรคเบหวาน โรค
มะเร็ง เป็นต้น
5) กรรมพันธุ์ เช่น ธาลัสซีเมีย ภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD ดา
วน์ซินโดรม ฮีโมฟีเลีย
เมตาบอลิก เป็นต้น
6) โรคติดต่อ เช่น อหิวาตกโรค ไข้หวัดใหญ่ ซิฟิลิส คอตีบ ไอ
กรน โรคฝีดาษ เป็นต้น
ตัวอย่างการเขียนประวัติเจ็บป่วยในอดีต
PH: ไม่เคยมีประวัติผ่าตัดในช่องท้องหรืออุ้งเชิงกรานมาก่อน
PH: 5 ปีก่อนมารพ. มีประวัติเป็นภูมิแพ้ จะรับประทานยาแก้
แพ้ เมื่อมีอาการ
27
ประวัติสุขภาพ
5. ประวัติเจ็บป่วยในครอบครัว (Family history ตัวย่อ FH)
หมายถึง ประวัติการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตของสมาชิกในครอบครัว
เช่น ปู ย่า ตายาย ลูกหลานและญาติพี่น้อง เป็นต้น ในการซักประวัติการ
เจ็บป่วยในครอบครัวควรสอบถามสาเหตุ การเจ็บป่วย
การเสียชีวิตของสมาชิกในครอบครัว
ตัวอย่างคำถามในการซักประวัติ
1) พี่น้องท้องเดียวกันมีใครเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิต
สูง / โรคเลือด หอบหืด ไทรอยด์ / โรคจิตประสาท หรือไม่คะ
2) ในครอบครัวของคุณ เช่น ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ พี่น้องท้องเดียวกันมี
ใครเป็นโรคที่สามารถ ติดต่อกันได้หรือไม่คะ
(ควรบันทึกระยะเวลาที่เป็นมานานเท่าไรแล้ว / ระยะเวลาที่ได้รับการ
รักษา)
28
ประวัติสุขภาพ
6. ประวัติการแพ้ (History of Allergy) และประวัติยาที่แพ้ยา
(Drugs Allergy)
6.1 ประวัติการแพ้ต่างๆ
- ประเภทชนิดของอาหารที่แพ้ เช่น ถั่ว นม และอาหารทะเล
- ประเภทของสารเคมีที่เเพ้ เช่น ปรอท กำมะถัน ตะกั่ว
- ประเภทของยาที่เเพ้ เช่น ยาปฏิชีวนะ(Penicilin) NSAIDs
6.2 ประวัติการใช้ยาทั้งในอดีตและประวัติการใช้ยาใน
ปัจจุบัน
ประวัติการแพ้ยาเคยแพ้ยาอะไรบ้างมีอาการแพ้อย่างไร เช่น ผื่น
แดงคัน ลมพิษ บวม แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ใจสั่น เป็นลม ช็อค
เป็นต้น
ตัวอย่างคำถามในการซักประวัติ
1) คุณมีประวัติแพ้ยาอะไรบ้าง มีอาการอย่างไร
2) คุณมีประวัติแพ้อาหารอาหารทะเลอะไรบ้าง มีอาการ
อย่างไร 3) คุณมีประวัติแพ้สารเคมีอะไรบ้าง มีอาการอย่างไร
29
ประวัติสุขภาพ
7. ประวัติพฤติกรรมสุขภาพและสังคม (Personal and
social history ตัวย่อ SH)
หมายถึง เป็นการสำรวจบุคลิกภาพของผู้ใช้บริการ ความ
สนใจส่วนตัวทักษะในการเผชิญกับปัญหาความเข้มแข็งของจิตใจ
และความกลัว อาจรวมถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับชีวิตในโรงเรียน
สภาพทางบ้าน วิถีการใช้ชีวิตประจำวัน ความเครียด กิจกรรมที่ช่วย
ผ่อนคลายความเครียด พฤติกรรมสุขภาพ
ตัวอย่างคำถามในการซักประวัติ
1) คุณมีวิธีการจัดการความเครียดยังไงบ้างคะ?
2) คุณมีวิธีการเผชิญปัญหาเฉพาะหน้ายังไงบ้างคะ?
3) สัมพันธภาพกับคนในครอบครัวเป็นอย่างไรบ้างคะ?
4) คุณทำงานอะไรอยู่คะ?
5) เวลารู้สึกป่วย คุณทำอย่างไรคะ?
6) ปกติอยู่บ้านคุณออกกำลังกายบ้างไหมคะ?
30
การสื่ อสาร
ในการซักประวัติ
1. การสื่อสารโดยใช้คำพูด (Verbalcommunication)
1.1 การใช้คำถาม
ใช้ได้ทั้งคำถามปลายปิดและปลายเปิด คำถามปลายปิดใช้
เมื่อต้องการคำตอบแบบเฉพาะเจาะจง
ส่วนคำถามปลายเปิดใช้เมื่อต้องการ คำอธิบายรายละเอียดของ
ข้อมูล หรือต้องการข้อมูลที่เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือความ
รู้สึกของผู้ใช้บริการ
คำถามปลายเปิด คำถามปลายปิด
การเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเป็น คุณเคยผ่าตัดหรือไม่
อย่างไร
คุณดูเเลตัวเองอย่างไรเมื่อไม่ เมื่อคืนคุณนอนหลับไหม
สบาย
เมื่อคุณรู้ว่าตั้งครรภ์คุณรับ ตอนนี้คุณรู้สึกตื่นเต้นใช่ไหม
ประทานอาหารอย่างไร
คุณรู้สึกอย่างไรที่ต้องหาหมอ คุณมีลูกกี่คน
บ่อยๆ
31
การสื่ อสาร
ในการซักประวัติ
1.2 การกล่าวนำ (General leads)
เป็นเทคนิคการนำทางในการสนทนาให้ดำเนินต่อไป ใช้ในกรณี
ที่ ผู้ใช้บริการกำลังสนทนาแล้วเกิดหยุดชะงัก คิดไม่ออกว่ากำลังพูดถึง
เรื่องอะไรอาจใช้ประโยคสั้นๆ เช่น แล้วยังไงต่อไปคะ เล่าต่ออีกนิดซิคะ
ช่วยเล่ารายละเอียดอีกนิดนะคะ มีอะไรจะบอกเพิ่มเดิมไหมคะ ฯลฯ
1.3 การสะท้อนความรู้สึก (Reflecting)
เป็นเทคนิคการสื่อสารที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถคิดทบทวน
ใน สิ่งที่ตนเองได้พูดถึงหรือสะท้อนความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองออกมา
ซึ่งพยาบาลอาจใช้การทวนคำถามหรือ การพูดซ้ำในเรื่องที่ผู้ใช้บริการได้
กล่าวถึง ตัวอย่างเช่น
ผู้ใช้บริการ: ฉันรู้สึก กลัวเมื่อหมอบอกว่าฉันเป็นโรคหัวใจ
พยาบาล: คุณรู้สึกกลัวมากหรือคะ
ผู้ใช้บริการ: ค่ะ ฉันกลัวจะเป็นมากจนเป็นอัมพาตไป
32
การสื่ อสาร
ในการซักประวัติ
1.4 การทำความกระจ่าง (Clarification)
เป็นการช่วยให้เข้าใจในสิ่งที่คลุมเครือไม่แน่ใจให้ชัดเจนขึ้น หรือ
เข้าใจได้ถูกต้องตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้บริการต้องการจะบอก อาจใช้คำถามให้ผู้
ใช้บริการอธิบายเพิ่มเติม หรือ ยกตัวอย่าง หรือเปรียบเทียบให้เข้าใจ
ชัดเจนมากขึ้น ตัวอย่างเช่น
ผู้ใช้บริการ: ผมรู้สึกสับสนวุ่นวายในชีวิตไปหมดไม่รู้จะทำยังไงดี
พยาบาล: คุณลองยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่ทำให้คุณรู้สึกอย่างนั้นซิคะ
1.5 การเน้น (Focusing)
ช่วยให้ผู้ใช้บริการที่มีภาวะสับสน พูดวกวน พูดมาก จับประเด็น
ของเนื้อกาสาระไม่ได้
ซึ่งพยาบาลควรเน้นเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาทางด้านผู้ใช้บริการ
กาลงสนทนาแล้วเกิดหยุดชะงัก
คิดไม่ออกว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอาจใช้ประโยคสั้นๆ เช่น แล้วยังไงต่อ
ไปคะ เล่าต่ออีกนิดซิคะ ช่วยเล่า
รายละเอียดอีกนิดนะคะ มีอะไรจะบอกเพิ่มเติมไหมคะ ฯลฯ
พยาบาล: คุณเล่าเรื่องปัญหาการดูแลตนเองที่บ้านให้ละเอียดสักนิด
พยาบาล: คุณช่วยบอกความรู้สึกที่ต้องกลับไปฉีดยาเบาหวานที่บ้าน
ให้ฟังหน่อยซิคะ
33
การสื่ อสาร
ในการซักประวัติ
1.6 การใช้ความเงียบ (The use of silence)
ช่วยให้ผู้ใช้บริการมีโอกาสได้คิดทบทวนสิ่งที่พูด ออกมาและ
สิ่งที่คิดจะพูดต่อไป ช่วยให้ผู้ใช้บริการมีโอกาสเผชิญกับอารมณ์
ความรู้สึกของตนเองโดยมี พยาบาลอยู่ใกล้ๆ ซึ่งพร้อมที่จะยอมรับ
และรับฟังผู้ใช้บริการระบายิ่งที่ไม่สบายใจโดยไม่มีการโต้แย้งหรือรุก
เร้า ให้มีความรู้สึกวิตกกังวลมากเกินไป
1.7 การสรุป (Summarizing)
เป็นการรวบรวมเนื้อหาที่สำคัญที่กระจัดกระจายรวมทั้ง
ความรู้สึกที่ ผู้ใช้บริการแสดงออกมา
ระหว่างการสนทนาแล้วถ่ายทอดกลับไปสู่ผู้รับบริการ เพื่อตรวจสอบ
การรับรู้ให้ ตรงกันระหว่างพยาบาลและผู้ใช้บริการก่อนที่จะเริ่มต้น
สนทนาประเด็นต่อไป ตัวอย่างเช่น
พยาบาล: เราคุยกันมามากมายสรุปได้ว่าปัญหาของคุณใน
ขณะนี้คือ
พยาบาล: คุณบอกว่าคุณกังวลเรื่องโน้นเรื่องนี้แต่สิ่งที่คุณ
รู้สึกวิตกกังวลที่สุดคือเรื่อง..
34
การสื่ อสาร
ในการซักประวัติ
2. การสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูด
(Non verbalcommunication)
การสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูดนอกจากจะช่วยให้ได้ข้อมูลหรือมี
ความเข้าใจข้อมูลที่กระจ่าง ชัดเจนมากขึ้นแล้วยังช่วยในการสื่อสาร
เพื่อการบำบัดได้อีกด้วย ตัวอย่างของการสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูด
ได้แก่ การใช้ภาษาทางกายโดยการแสดงกิริยาท่าทาง เช่น การ
โบกมือ การยิ้ม การพยักหน้า การส่ายหน้า การชี้ การดูนาฬิกาบอก
ถึงหมดเวลา การแสดงสีหน้าและการใช้สายตา หรือน้ำเสียงแสดง
ความโกรธ ความวิตกกังวล ความเข้าใจ เห็นใจ เป็นต้น
2.1 การฟัง
การฟังมีความสำคัญต่อการซักประวัติมาก การฟังอย่าง
ตั้งใจ นอกจากจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องจากผู้ใช้บริการแล้วยังเป็นการ
แสดงถึงการยอมรับและเห็นคุณค่าของผู้ใช้บริการอีกด้วย การฟัง
อย่าง ตั้งใจแสดงออกได้โดย ในขณะสนทนาพยาบาลมองหน้าและ
ประสานสายตากับผู้ใช้บริการมีการพยักหน้า
หรือใช้คำพูดที่บ่งบอกว่ารับรู้ และติดตามการสนทนาอยู่ตลอดเวลา
35
การสื่ อสาร
ในการซักประวัติ
2.2 การบันทึก
พยาบาลจำเป็นต้องมีการบันทึกข้อมูลที่ได้จากการซัก
ประวัติ ในแบบฟอร์มการซักประวัติให้ถูกต้องตามความเป็นจริง
การบันทึกควรใช้ภาษาที่ถูกต้อง ไม่แปลความหรือแทรกความรู้สึก
ความ คิดเห็นของผู้ซักประวัติในการบันทึกควรบันทึกด้วยปากกา
เขียนด้วยลายมืออ่านง่าย ชัดเจน ทั้งนี้อาจบันทึก ข้อมูลได้เป็นระ
ยะๆ ในขณะซักประวัติ แต่ไม่ควรก้มหน้าบันทึกตลอดเวลา ที่ซัก
ประวัติผู้ใช้บริการเมื่อสิ้นสุด
การซักประวัติให้ทบทวนข้อมูลทั้งหมดที่บันทึกไว้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อ
ให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องสมบูรณ์
36
เเบบฝึกหัดระหว่างเรียน ตอนที่ 3
37
Reference
จิตราภรณ์ ชั่งกริส,นพดล พรามณี. (2560). การพัฒนาสื่อวีดิทัศน์เพื่อการเรียนรู้ตามแนวคิด Flipped Classroom
เรื่อง การตรวจร่างกาย รายวิชาการประเมินภาวะสุขภาพ. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย, 7(3), 70-
80.
จินตนา สุวิทวัส. (2557).ผลของการเรียนรูแบบร่วมมือต่อความรู้และความสามารถของนักศึกษาพยาบาลในการประเมิน.
ภาวะสุขภาพโดยใช้แบบแผนการทําหนาที่ด้านสุขภาพ. วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยขอนแก่น, 1(3), 448-494.
ชัยยงค์ พรหมวงศ์. (2520).การทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน. วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย, 1(5).135-
143.
นวรัตน์ โกมลวิภาต. (2563). การประเมินภาวะสุขภาพ(Health Assessment) การเก็บรวบรวมข้อมูล(Data
Collection) การซักประวัติสุขภาพ(Health History Taking). เอกสารประกอบการสอนวิิชาBNS 214
วิชาชีพการพยาบาล แนวคิด ทฤษฎีและกระบวนการพยาบาล, ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยรังสิต.
พรศิริ พันธสี. (2555). บทที่2 การประเมินภาวะสุขภาพ. กระบวนการพยาบาล & แบบแผนสุขภาพ : การประยุกต์ใช้
ทางคลินิก. พิมพ์ครั้งที่ 11. กรุงเทพฯ: พิมพ์อักษร.
เพ็ญจันทร์ แสนประสาน, วรณิช พัวไพโรจน์ และนพดล พรามณี. (2558). ผลการใช้แนวคิดการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
ในการเรียนการสอนรายวิชา กระบวนการพยาบาลและการประเมินภาวะสุขภาพ. วารสารพยาบาลโรคหัวใจและ
ทรวงอก, 26(1), 70-80.
ฟิสิกส์ ณอณบัวกนก.(2558). การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมทักษะและความเข้าใจของอาสามสัครในการดูแลสุขภาพ
ผู้
สูงอายุในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดลำปาง. วารสารวิจัยเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่, (4),72-89.
มนตรี คำรังษี, สุพรรณิการ์ ปิยะรักษ์, ทิพย์ ลือชัย, เขมิกา สิริโรจน์พร เเละชยธิดา ไชยวงษ์. (2562). การซักประวัติ
อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ:กรณีศึกษาระบบนรีเวช. วารสารการพยาบาล, 25(1), 71-73.
ชุลีกร ดานยุทธศิลป.(2552). หลักการประเมินสุขภาพ. โครงการตำราคณะพยาบาลศาสตร มหาวิทยาลัยนเรศวร.
38
อ้างอิง
Chu,T.L.,Wang,J.,Lin,H.L.,Lee,H.F.,Lin,C.T.,Chieh,L.Y.,Sung,Y.C., & Lin,Y.E.(2019). Multimedia-assisted
instruction on painassessment learning of new nurses: a quasi-experimental study. Chu et al.
BMC Medical Education,1(5),1-7.
Ismail, L. M. N. (2018). Effect of instructional multimedia methods on learning outcomes among
nursing students in selected topic of health assessment. International Academic Journal of
Health.Medicine and Nursing, 1(2), 11-29.
Keifenheim, E., Teufel, M., Ip, J., Speiser, N., Leehr, E., Zipfel, S., & Werner, A. (2015). Teaching
history taking to medical students: a systematic review. Research article, 15(159), 2- 11.
Vagg, T., Balta J. Y., Bolger A., & Lone M. (2020). Multimedia in Education. Department of
Computer Science. University College Cork, 1(6), 225-333.
Wu,R.R., Sultana,R., Bylstra,Y., Jamuar,S., Davila,S., Lim,K.W., Ginsburg,S.G., Orlando,A.L., Yeo,K.K.,
Cook,A.S., & Tan,P. (2020). Evaluation of family health history collection methodsimpact
on data and risk assessment outcomes. Preventive Medicine Reports,18,1-4.
39
ค ณ ะ ผู้ จั ด ทำ
นางสาวศรัณยา กาเผือกงาม รหัสนักศึกษา 6202825
นางสาววนัญญา จ่าราช รหัสนักศึกษา 6203504
นางสาวศิริพร ประเสริฐศรี รหัสนักศึกษา 6203464
นางสาวกัณจนา แสงวิภาค รหัสนักศึกษา 6203471
นางสาวชมภูนุช อวดอ่อน รหัสนักศึกษา 6204601
นางสาวชุติกาญจน์ อาษาสร้อย รหัสนักศึกษา 6204614
นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 4
ที่ปรึกษา : รศ.อรพินท์ สีขาว
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565
40