คำนำ
เอกสารประกอบการเรยี นหน่วยการเรยี นรู้การลาเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ E-book จัดทาขึ้น
เพอื่ ใชป้ ระกอบการเรยี นการสอนกล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี วชิ า ว30103 วิทยาศาสตร์
ชวี ภาพ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 และเปน็ คมู่ ือในการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองของนักเรียน ซึ่งมีเนื้อหา กิจกรรม
แบบทดสอบ รูปภาพประกอบ ช่วยสร้างความสนใจ ทาให้ผู้ศึกษาได้รับความสนุกสนาน เพลิดเพลินใน
การศึกษาหาความรู้ จากเอกสารประกอบการเรียนหน่วยการเรียนรู้การลาเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์
ผ้จู ัดทาไดจ้ ัดทาเอกสารประกอบการเรียน E-book เปน็ จานวน 1 เลม่ ดงั น้ี
1. เรอ่ื งการลาเลียงสารเขา้ และออกจากเซลล์ เวลา 5 คาบ
สาหรับเอกสารประกอบการเรียนเล่มนี้ ไดแ้ ก่ เรื่องการลาเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ มเี นอ้ื หา
ประกอบด้วย ประวัติการลาเลียงสารผ่านเยื่อหุ้มเซลล์แบบไม่ใช้พลังงาน ได้แก่ วิธีการแพร่(Diffussion)
ออสโมซิส (Osmosis) การแพร่แบบฟาซิลิเทต (Facilitated diffusion) และการลาเลียงสารโดยไม่ผ่าน
เยื่อหุ้มเซลล์ มี 2 ชนิด ได้แก่ เอนโดไซโทซิส (Endocytosis) เช่น พิโนไซโทซิส (Pinocytosis)
ฟาโกไซโตซิส (Phagocytosis) การนาเข้าสู่เซลล์โดยอาศัยตัวรับ (Recepter-mediated Endocytosis)
และเอกโซไซโทซสิ (Exocytosis) โดยมเี นอื้ หาไดม้ าจากการศึกษาคน้ คว้าและรวบรวมข้อมูลจากแหล่งความรู้
ตา่ งๆ จดั เนื้อหาให้เหมาะสมตรงตามหลกั สูตร เรียงลาดับให้มีความต่อเนื่อง มีกิจกรรมเสริมความรู้ที่กระตุ้น
ความคิดของนักเรียน นาไปสู่การค้นคว้าหาคาตอบจากเนื้อหาสาระส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจและสามารถ
นาไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ได้
ผรู้ ายงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารประกอบการเรียนเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนสาหรับใช้
ประกอบการเรียนและสามารถนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้
พชั รนิ ทร แก้วจนิ ดา
ครูชานาญการพิเศษ
สำรบญั
เรื่อง หนา้
คาช้แี จงในการใช้เอกสารประกอบการเรยี น………………………………………………………………………………………..1
ผลการเรยี นรู้…………………………………………………………………………………………………………………………………..2
แบบทดสอบก่อนเรียน……………………………………………………………………………………………………………………..3
กระดาษคาตอบแบบทดสอบกอ่ นเรยี น……………………………………………………………………………………………….8
ตอนท่ี 1 การแพร่ (Diffusion)…………………………………..……………………………………………………………………….9
กจิ กรรมเรื่องการแพร…่ ………………………………………………………………………………………………………10
ตอนท่ี 2 การออสโมซสิ (Osmosis)…………………………………………………………………………………………………..14
กจิ กรรมการออสโมซสิ ……………………………………………………………………………………………………….16
ตอนที่ 3 การแพร่แบบฟาลิซเิ ทต………………………………………………………………………………………………………18
กิจกรรมฟาลซิ เิ ทต……………………………………………………………………………………………………………..19
ตอนท่ี 4 แอคทฟี ทรานสปอร์ต…………………………………………………………………………………………………………20
กจิ กรรมแอคทฟี ทรานสปอรต์ …………………………………………………………………………………………….21
ตอนที่ 5 การลาเลยี งสารโดยไมผ่ ่านเยือ่ หมุ้ เซลล์…………………………………………………………………………………23
กิจกรรมการลาเลยี งสารโดยไมผ่ า่ นเย่อื หมุ้ เซลล์…………………………………………………………………….26
สรปุ เร่อื งการรักษาดุลยภาพของเซลล์……………………………………………………………………………………………….28
แบบทดสอบหลงั เรยี น……………………………………………………………………………………………………………………..29
กระดาษคาตอบแบบทดสอบหลงั เรียน………………………………………………………………………………………………34
บรรณานุกรม………………………………………………………………………………………………………………………………….35
ภาคผนวก………………………………………………………………………………………………………………………………………36
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น………………………………………………………………………………………………37
เฉลยกิจกรรมเรอื่ งการแพร…่ …………………………………………………………………………………………….39
เฉลยกจิ กรรมเรื่องการออสโมซสิ ………………………………………………………………………………………..41
เฉลยกจิ กรรมเรื่องฟาลซิ เิ ทต……………………………………………………………………………………………..43
เฉลยกจิ กรรมเรือ่ งแอคทฟี ทรานสปอรต์ ……………………………………………………………………………..44
เฉลยกิจกรรมเรอ่ื งการลาเลยี งสารโยไมผ่ ่านเยอ่ื หมุ้ เซลล์……………………………………………………….46
เฉลยแบบทดสอบหลงั เรียน………………………………………………………………………………………………48
สำรบัญภำพ
ภาพท่ี หน้า
1 -1 แสดงการแพร่………………………………………………………………………………………………………………………....1
1 -2 แสดงข้ันตอนการทาชดุ ทดลองออสโมซสิ อย่างง่าย……………………………………………………………………..14
1 -3 แสดงภาพสารละลายท่ีเป็น(ก) ไอโซโทนิก (ข) ไฮเพอรโ์ ทนกิ (ค) ไฮโพโทนิก………………………………….15
1 -4 แสดงการแพรแ่ บบฟาซิลเิ ทตท่ีต้องอาศัยตัวพาท่ีอยบู่ รเิ วณเยอ่ื หุ้มเซลล์………………………………………..16
1 -5 แสดงการแพร่แบบใชพ้ ลงั งานแอคทฟี ทรานสปอร์ต…………………………………………………………………….20
1 -6 แสดงวธิ ีการฟโิ นไซโทซิส………………………………………………………………………………………………………….23
1 -7 แสดงกระบวนการฟาโกไซโทซิส………………………………………………………………………………………………..24
1 -8 แสดงกระบวนการนาสารเข้าสเู่ ซลลโ์ ดยอาศัยตวั รับ…………………………………………………………………….24
1 -9 แสดงกระบวนการเอกโซไซโทซสิ ……………………………………………………………………………………………...25
1
คาชีแ้ จงในการใชเ้ อกสารประกอบการเรยี น E-book
เอกสารประกอบการเรียนวชิ าว30103 วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ หน่วยการเรียนรูเ้ ซลลข์ องส่ิงมีชีวิต E-book
เรอ่ื งการลาเลยี งสารเข้าและออกจากเซลล์ ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 4
จัดทาเพอ่ื ให้นักเรยี นไดค้ น้ คว้าหาความรู้ได้ดว้ ยตนเอง โดยกอ่ นศกึ ษารายละเอยี ดควรอา่ นคาแนะนา
การใช้และปฏบิ ัติตามขน้ั ตอนทีก่ าหนด ดังนี้
1. ศึกษาผลการเรียนรู้เพือ่ ให้ทราบวา่ เมื่อศึกษาเนือ้ หาจบแล้ว นกั เรยี นได้ความร้อู ะไรบ้าง
2. อา่ นคาแนะนาการใช้เอกสารประกอบการเรยี นให้เขา้ ใจตามข้นั ตอน
3. ทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน แล้วตรวจคาตอบทเ่ี ฉลยไว้ในภาคผนวกเพอื่ ใหร้ ู้ว่านักเรียนมพี น้ื ฐาน
เกี่ยวกับเรือ่ งทจ่ี ะศกึ ษามากนอ้ ยเพยี งใด
4. ศกึ ษาเน้อื หาทีละเร่อื งให้เข้าใจและเม่ือศึกษาเน้ือหาจบลงในแตล่ ะเนอ้ื หาแลว้ ให้นักเรียนตอบ
คาถามในกิจกรรมทกี่ าหนดให้ท้ายเน้ือหา ทกุ กจิ กรรม
5. เมอ่ื ทากิจกรรมเสรจ็ แลว้ ใหต้ รวจคาตอบของแต่ละกิจกรรมจากเฉลยกจิ กรรมในสว่ นของ
ภาคผนวก
6. ทาแบบทดสอบหลังเรยี น เพอื่ วัดความรคู้ วามเข้าใจอีกครง้ั หน่งึ และตรวจคาตอบในเฉลย
แบบทดสอบหลังเรียนในส่วนของภาคผนวก
7. นกั เรียนแตล่ ะคนตอ้ งมคี วามซอ่ื สตั ย์ต่อตนเอง ไมเ่ ปิดดเู อกสารเฉลยก่อนเรียน หลังเรียน แบบฝึก
กจิ กรรมทกุ กจิ กรรม
8. ถ้านกั เรียนและผสู้ นใจตอ้ งการเน้ือหาเพม่ิ เตมิ จากเอกสารประกอบการเรยี นสามารถค้นควา้ ได้
จากบรรณานุกรมท่ใี หไ้ วท้ า้ ยเล่ม
9. เอกสารฉบับนใ้ี ช้เวลาในการเรียนการสอนประมาณ 5 คาบ
2
ตัวช้วี ัด
วชิ าว30103 วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ หน่วยการเรยี นรู้การลาเลยี งสารเข้าและออกจากเซลล์
ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 เรอื่ ง การการลาเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ เวลาทีใ่ ช้ 5 คาบ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ตวั ช้วี ัด
1. อธบิ ายการลาเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์โดยผ่านเยอื่ หุ้มเซลล์และไมผ่ า่ นเย่ือหมุ้ เซลล์
2. อธิบายความหมายของการลาเลียงสารโดยใช้พลงั งาน และการลาเลยี งสารโดยไม่ใชพ้ ลงั งาน
3
แบบทดสอบก่อนเรยี น วิชาว30103 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4
เร่ืองการลาเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์
จานวน 20 ข้อ เวลา 20 นาที 20 คะแนน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
คาชแ้ี จง ใหน้ กั เรยี นทาเคร่อื งหมาย x ลงในกระดาษคาตอบตรงขอ้ ทีถ่ กู ตอ้ งท่ีสดุ เพียงข้อเดียว
1 . เซลลเ์ ม็ดเลือดแดงของคนจะมแี รงดันเต่งสูงขนึ้ เรอื่ ยๆ เม่อื อยูใ่ นสารละลายในข้อใด
ก. นา้ กล่ัน
ข. นา้ เกลือ 0.85 %
ค. น้าเช่อื ม 5 %
ง. นา้ เกลอื 10 %
2. กระบวนการลาเลยี งสารออกนอกเซลลโ์ ดยมีถุงลาเลียงสารเล็กๆ เคลือ่ นทไี่ ปเช่อื มกบั เยอ่ื หุม้ เซลล์เรียกว่า
กระบวนการใด
ก. ฟโิ นไทซสิ
ข. เอกโซไซทสิ
ค. เอนโดไซโทซิส
ง. ฟาโกไซโทซิส
3. กา๊ ซออกซิเจนเขา้ ไปในถงุ ลมไดอ้ าศัยวธิ ีการใด
ก. ออสโมซิส
ข. แอคทีฟทรานสปอรต์
ค. การแพร่
ง. ฟาซิลเิ ทต
4. ข้อใดไมเ่ กิดกระบวนการพลาสโมไลซสิ
ก. เย่อื หอมในน้ากลั่น
ข. เซลล์เยอ่ื หอมในน้าตาลกลูโคส
ค. เซลล์ว่านกาบหอยในนา้ เกลอื
ง. เซลล์วา่ นกาบหอยในนา้ ตาลกลูโคส
5. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ปจั จยั ที่ควบคมุ การแพรข่ องสาร
ก. ความเขม้ ข้นของสาร
ข. สถานะของสาร
ค. อณุ หภมู ิ
ง. ความชนื้
4
6. เมอ่ื ถงึ จุดสมดุลการแพร่จะเป็นอย่างไร
ก. ไมม่ ีการแพร่ตอ่ ไปอกี
ข. มกี ารแพร่จากภายในสู่ภายนอกเซลล์มากกว่าภายนอกสูภ่ ายในเซลล์
ค.มกี ารแพรจ่ ากภายนอกส่ภู ายในเซลล์มากกว่าภายในส่ภู ายนอกเซลล์
ง. มีการแพร่จากภายนอกสูภ่ ายในเซลลเ์ ท่ากับภายในส่ภู ายนอกเซลล์
7. ความเขม้ ขน้ ของสารละลายภายนอกเซลล์มากกว่าภายในเซลลท์ ี่เรยี กว่าอะไร
ก. ไฮโซโทนกิ
ข. ไฮเพอรโ์ ทนิก
ค. ไฮโพโทนกิ
ง. เอกโซโทนกิ
8. กระบวนการลาเลียงสารผา่ นเขา้ และออกจากเซลลต์ ้องอาศยั ตัวพา ตัวพา คือ สารใด
ก. ไขมนั
ข. โปรตนี
ค. RNA
ง. DNA
9. เซลล์จะไมอ่ ันตรายเมื่ออยใู่ นสภาพแวดล้อมที่มคี วามเข้มขน้ อยา่ งไร
ก. เท่ากับสารภายในเซลล์
ข. นอ้ ยกวา่ สารภายในเซลล์
ค. มากกว่าสารภายในเซลล์
ง. ท้ังขอ้ ก และ ขอ้ ข
10. วิธกี ารนาสารเข้าสู่เซลล์ โดยการทาให้เยอื่ หุ้มเซลลเ์ วา้ เขา้ ไปในไซโทพลาซมึ จนกลายเป็นถุงอย่ใู นเซลล์
น้ัน จะพบวธิ กี ารนไ้ี ดใ้ นเซลลช์ นดิ ใด
ก. อะมีบา
ข. หนว่ ยไต
ค. เม็ดเลือดแดง
ง. เมด็ เลือดขาว
11. แรธ่ าตุเข้าสูร่ ากพชื โดยวิธใี ด
ก. ออสโมซิส
ข. การแพร่
ค. แอกทีฟทรานสปอรต์
ง. เกิดแรงดงึ เนอ่ื งจากการคายน้าท่ีใบ
5
12. ถา้ ใส่ปยุ๋ ลงในดินมากจะเกดิ ผลอย่างไร
ก. พืชจะเจริญเตบิ โตไดร้ วดเร็ว และใบจะอวบ
ข. ตน้ พชื จะอวบและใบจะเต่งเพราะแรธ่ าตุแพรผ่ า่ นรากเข้าไปได้มาก
ค. ไม่เกิดการเปลีย่ นแปลงถ้าอัตราการคายนา้ ไม่เปลี่ยนแปลง
ง. ตน้ พืชและใบจะเห่ยี วเพราะนา้ ในตน้ พชื จะแพร่ออกทางราก
13. การแพรข่ องสารนั้นเกิดจากสิ่งใด
ก. ความแตกตา่ งของความหนาแนน่ ของโมเลกุลของสาร
ข. ความแตกต่างของปริมาณของสาร
ค. ความแตกต่างของอุณหภมู ิของสาร
ง. ความแตกต่างของความเป็นกรดและด่างของสาร
14. การนาสารเขา้ สู่เซลลโ์ ดยอาศัยตัวรับมสี ารใดเป็นตวั รับ
ก. ไขมัน
ข. ไขมนั – โปรตีน
ค. เอทีพี
ง. โปรตีน
15. พารามเี ซียมมีอวยั วะใดสาหรับกาจัดน้าจดื ทเ่ี กินความตอ้ งการ
ก. คอนแทรกไทด์ แวควิ โอล (contractile vacuole)
ข. ฟดู แวคิวโอล (foog vacuole)
ค. แซป แวควิ โอล (sap vacuole)
ง. เอนโด แวคิวโอล (endo vacuole)
16. เม่อื นามนั ฝรงั่ สดๆ ช้นิ หนง่ึ ใส่ลงไปในสารละลายของนา้ ตาล มนั ฝรัง่ ช้ินนีเ้ ปน็ อยา่ งไร
ก. ขนาดจะใหญข่ ึน้ และนา้ หนักเพม่ิ ขึ้น
ข. ขนาดจะยาวขึน้ และน้าหนกั น้อยลง
ค. ขนาดเลก็ ลงและน้าหนักนอ้ ยลง
ง. ยังคงมีลกั ษณะเหมือนเดมิ
17. การลาเลยี งสารแบบใชพ้ ลงั งานเป็นการเคลอื่ นที่ของสารจากบริเวณท่มี ีความเข้มข้นนอ้ ยไปสู่ความเขม้ ข้น
มาก
ก. ฟาซิลเิ ทต
ข. แอคทีฟทรานสปอร์ต
ค. ออสโมซิส
ง. ฟาโกไซโทซสิ
6
18. การนาสารละลายเขา้ สเู่ ซลลโ์ ดยการคอดเว้าเป็นถงุ กลายเป็นเวสิเคิลอย่ใู นไซโทพลาสซมึ เปน็ วิธีการแบบใด
ก. เอนโดไซโทซสิ
ข. ฟาโกไซโทซิส
ค. ฟิโนไซโทซสิ
ง. นาสารเข้าส่เู ซลลแ์ ตอ่ าศัยตัวรบั
19. กระบวนการฟาโกไซโทซิส และฟโิ นไซโทซิส เหมือนกนั ในเรอ่ื งใด
ก. สร้างซูโดโพเดยี มเหมือนกัน
ข. สภาพของสารท่เี ข้าในเซลล์
ค. สารไมผ่ ่านเย่ือหมุ้ เซลลโ์ ดยตรง
ง. ไม่ต้องใช้พลังงานของเซลล์
20. หากนาเมด็ เลอื ดแดงของคนมาหยดลงในนา้ กล่นั พบวา่ เม็ดเลอื ดแดงจะค่อยๆ พองขึ้นจนกระทัง่ เมด็ เลือด
แดงแตก เปน็ เพราะเหตใุ ด
ก. น้าจากน้ากล่นั มีมากกว่าน้าในเมด็ เลือดแดงจงึ แพร่เขา้ เมด็ เลือดแดง
ข. น้าจากเมด็ เลือดแดงมีมากกว่านา้ ในนา้ กลั่น นา้ จงึ แพร่ออก
ค. น้ามปี ระจไุ ฟฟา้ ตรงขา้ มกับเม็ดเลือด เมด็ เลอื ดจึงดดู น้าไดม้ าก
ง. เกิดการแพรข่ องน้าจากเลอื ดไปยังน้ากล่ัน
………………………………………………………………
7
กระดาษคาตอบแบบทดสอบก่อนเรียน
วิชาว30103 วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4
เร่ือง การลาเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์
ชื่อ………………………………………………………………………………………………………….ชนั้ ………………..เลขที่…………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
คาชีแ้ จง จงเลือกคาตอบ ก ข ค ง ทถี่ กู ตอ้ งท่ีสุดเพยี งข้อเดยี ว แลว้ กากบาท x ลงในชอ่ ง
ในกระดาษคาตอบ
ข้อ ก ข ค ง
1
2
3
4
5
6
7 คะแนนที่ได้
8
9
10
11 20
12
13
14
15
16
17
18
19
20
8
การลาเลียงสารเขา้ และออกจากเซลล์
การเคลอื่ นทีข่ องสารผา่ นเซลล์
เซลล์จะดารงอยู่ไดจ้ ะตอ้ งประกอบด้วยองคป์ ระกอบและออรก์ าเนลล์ต่างๆ ทที่ าหน้าทีแ่ ตกต่างกัน
นอกจากนแ้ี ล้วเซลลจ์ ะดารงชวี ิตอยู่ไดย้ งั ขนึ้ อยกู่ ับสภาวะแวดล้อมของเซลล์ทีเ่ หมาะสมอกี ดว้ ย ตลอดเวลาที่
เซลล์ยงั มีชีวติ อยูจ่ ะมีการลาเลยี งสารเขา้ ออกจากเซลล์ตลอดเวลาแตเ่ นอื่ งจากเยอ่ื ห้มุ เซลลม์ ีสมบตั ใิ นการเลอื ก
ที่จะใหส้ ารบางชนิดเคล่อื นผ่าน สมบตั ิดังกล่าวทาใหเ้ ย่ือหุม้ เซลลม์ ีบทบาทสาคญั ในการควบคมุ องค์ประกอบ
ทางเคมี หรือสภาวะแวดล้อมภายในเซลล์เยื่อบางๆ หรอื membrane จาแนกได้ 3 ชนดิ คือ
1. Permeable membrane (เพอรเ์ มยี เบลิ เมมเบรน) เปน็ เยือ่ หมุ้ ทย่ี อมให้สารเกือบทกุ ชนดิ ผ่าน
ไปได้สะดวก เช่น ผนังเซลล์ทม่ี ีเซลลูโลสเป็นองคป์ ระกอบ
2. Impermeable membrane (อิมเพอรเ์ มยี เบลิ เมมเบรน) เปน็ เย่อื หุ้มทไ่ี มย่ อมให้สารทกุ ชนิด
ผา่ นไปไดเ้ ลย เชน่ ผนังเซลล์ท่ีมีควิ ทินเคลอื บอยู่
3. Semipermeable membrane (เซมเิ พอร์เมียบิล เมมเบรน) เปน็ เย่ือห้มุ ทีย่ อมให้สารบางชนิด
ผา่ นได้ เชน่ นา้ ออกซเิ จน กรดอะมโิ น กรดไขมัน บางอย่างผา่ นไม่ไดเ้ ลย เชน่ โปรตีน คารโ์ บไฮเดรต
ไดแ้ ก่ เยื่อหุ้มเซลล์ เย่อื หมุ้ นิวเคลยี ส
การลาเลยี งสารเขา้ ออกเซลล์มี 2 วิธี
1. การลาเลยี งสารผา่ นเยอ่ื ห้มุ เซลลแ์ บบไมใ่ ชพ้ ลังงาน ไดแ้ ก่ วิธกี ารแพร่ (Diffusion) , ออสโมซิส
(Osmosis) , การแพร่แบบฟาซิลิเทต (Facilitated diffusion) , การลาเลยี งสารผ่านเย่ือหมุ้ เซลล์แบบใช้
พลังงาน ได้แก่ วธิ ีแอคทีฟทรานซ์สปอร์ต (Active transport)
2. การลาเลยี งสารโดยไม่ผ่านเยอื่ หุ้มเซลล์ มี 2 ชนดิ ได้แก่ เอนโดไซโทซิส (Endocytosis) เชน่
พโิ นไซโทซสิ (Pinocytosis) , ฟาโกไซโตซิส (Phagoycytosis) , การนาเขา้ สู่เซลลโ์ ดยอาศยั ตัวรับ (Recepter-
mediated Endocytosis) และเอกโซไซโทซิส (Exocytosis)
9
ตอนที่ 1 การแพร่ (Diffusion)
การแพร่ (Diffusion) หมายถึง การเคลอื่ นท่ีของอนุภาคของสารจากท่มี ีความเขม้ ขน้ ของสารนัน้ สูง
ไปสทู่ มี่ คี วามเข้มข้นของสารนัน้ ต่า สารท่ีแพรไ่ ดน้ นั้ ตอ้ งอยู่ในสภาวะท่อี นภุ าคสามารถเคลือ่ นที่ไดง้ ่าย เช่น
สารในสภาวะทเี่ ป็นของเหลวหรือเป็นก๊าซ หรืออาจเป็นอนุภาคของของแขง็ แตข่ องแข็งนัน้ จะต้องแขวนลอย
อยู่ในตัวกลางทีเ่ ป็นของเหลว
ถา้ อนภุ าคของสารในที่สองแหง่ มคี วามเขม้ ข้นไมเ่ ท่ากัน การแพร่จะเกิดจากบริเวณท่ีมีความเขม้ ขน้
ไมเ่ ทา่ กัน การแพร่จะเกิดจากบริเวณท่มี คี วามเข้มข้นสูงไปสู่บรเิ วณท่มี ีความเขม้ ข้นต่าเสมอ ทาให้จานวน
อนภุ าคในท่ีมคี วามเขม้ ขน้ นอ้ ยจะเพิม่ ขึ้น จนในทีส่ ุดบริเวณที่ทง้ั สองจะมีความเขม้ ขน้ เท่ากัน ณ จุดนเ้ี รียกวา่
จุดสมดุลของการแพร่ (Dynamic equilibrium) จดุ สมดุลการแพรน่ ้อี ัตราการแพร่ไปและกลบั จะมคี ่าเท่ากัน
ภาพท่ี 1-1 แสดงการแพร่ของสาร
ที่มา : ประดษิ ฐ์ เหลา่ เนตร, ณฐั ภัสสร เหล่าเนตร และภักดี รชั ตวิภาสนันท์, 2554, หน้า 137
การแพร่ของสารน้ันเป็นการเคลอ่ื นทอ่ี ย่างไม่มที ศิ ทางแนน่ อน เพราะทศิ ทางทีแ่ ตล่ ะโมเลกุลจะ
เคล่อื นทีข่ ้นึ กับโอกาสทจ่ี ะกระทบกบั โมเลกุลของอนุภาคอ่ืนๆ ตัวอยา่ งการแพร่ของสาร ได้แก่
1. การแพร่ในของแข็ง เชน่ เกล็ดดา่ งทบั ทมิ เกล็ดเมธลี ีนบลู และเกล็ดโปรตัสเซยี มไดโครเมต
แพรใ่ นวุน้
2. การแพร่ในของเหลว เชน่ โมเลกุลของนา้ ตาล อิออนของเกลอื แพรใ่ นนา้
3. การแพร่ในก๊าซ เชน่ การแพรข่ องโมเลกุลน้าหอมในอากาศ การแพรข่ องกา๊ ซหรือควนั ไฟใน
อากาศ
10
ปัจจยั ที่ควบคมุ การแพร่
1. ความเข้มขน้ ของสารท่ีจะแพร่ สารชนดิ เดียวกนั แต่มีความเขม้ ขน้ ต่างกัน กลมุ่ ที่มคี วามเข้มข้น
มากกวา่ จะมีความสามารถในการแพรม่ ากกวา่
2. อุณหภูมิ การเพิ่มระดับอณุ หภมู ิเปน็ การเพ่ิมพลังงานจลน์ให้กบั สาร จะทาให้เกิดการแพรไ่ ด้
เรว็ ขึ้น
3. ความดัน การเพ่มิ ความดันให้กบั สาร จะมผี ลทาใหส้ ามารเคลื่อนทีไ่ ดเ้ รว็ ขึน้
4. ส่งิ เจอื ปน หรอื ตวั กลาง สง่ิ เจอื ปนในสารตวั กลางท่ีจะแพรผ่ า่ น เชน่ การแพร่ของก๊าซออกซเิ จน
ในตวั กลางท่เี ป็นอากาศเร็วกวา่ ตวั กลางที่เป็นนา้ เนอ่ื งจากโมเลกุลน้าอยู่อย่างหนาแน่น และมแี รงยดึ เหน่ยี ว
กันสูง ทาให้การแพรใ่ นนา้ ช้าลง
5. สถานะของสารท่จี ะแพร่ สารชนิดเดยี วกนั แตอ่ ย่ตู า่ งสถานะกัน ความเรว็ ในการแพร่จะไม่
เท่ากัน เช่น ไอนา้ จะแพรไ่ ด้เร็วกว่าน้า เพราะไอนา้ เปน็ กา๊ ซ มีแรงยดึ เหนยี่ วนอ้ ย และมีพลังงานจลน์สงู
ส่วนน้ามแี รงยดึ เหน่ยี วสูงกว่าและมพี ลังงานจลน์ตา่ กว่า
ในส่งิ มชี ีวิตก็มีตวั อยา่ งของการแพรเ่ หมอื นกนั เช่น การหายใจ การสงั เคราะหแ์ สงของพชื
การหายใจของสัตว์ การแพร่ของกา๊ ซออกซิเจนจากอากาศผ่านเขา้ ไปสู่ทางเดินของลมหายใจจนกระท่งั ถงึ
ถุงลมซึง่ อยูภ่ ายในปอดบริเวณนน้ั ความเขม้ ข้นของออกซเิ จนสงู กว่าความเขม้ ข้นของออกซเิ จนในเส้นเลือดฝอย
ออกซิเจนจึงแพรจ่ ากถุงลมเขา้ สู่เส้นเลอื ดฝอย ในทานองเดยี วกันคารบ์ อนไดออกไซด์จะแพรจ่ าก
เสน้ เลือดฝอยเข้าสถู่ งุ ลมหรือในสัตว์ชั้นต่าพวกไสเ้ ดือนดนิ พยาธติ วั แบน ผนงั ลาตวั ของมันเปียกช้ืนอยูเ่ สมอ
เพอ่ื สะดวกในการแพรก่ า๊ ซออกซิเจนเขา้ และคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา
11
กจิ กรรม
เรอ่ื ง การแพร่
ผลการเรียนรู้ 1. บอกความหมายของการแพร่และวิธกี ารแพร่
คาชแ้ี จง จงเตมิ คาในชอ่ งว่างให้สมบูรณ์
1. การแพร่ คอื อะไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
2. ให้นักเรียนยกตัวอย่างการแพรใ่ นชวี ติ ประจาวนั
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
3. เพอร์เมยี บิล เมมเบรน (Permeable membrane) เป็นเย่ือห้มุ เซลลช์ นดิ ใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
4. ปจั จยั ที่ควบคมุ การแพร่มีอะไรบา้ ง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
5. จุดสมดุลของการแพร่ หมายถงึ อะไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
6. การแพร่ของก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ระหวา่ ง ถุงลมกบั เส้นเลือดฝอยแพรจ่ ากท่ีใดไปสู่ที่ใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
7. จงเปรียบเทยี บการหายใจของพชื และการสงั เคราะหแ์ สงของพืช การแพร่ของก๊าซออกซิเจน
ตา่ งกันอยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
8. การทดลองในชว่ งแรก เทแอมโมเนีย 1 ชอ้ น ใส่จานวางไวใ้ นห้องท่ปี ดิ สนทิ ในไม่ช้า หอ้ งน้ันก็จะ
ได้กลนิ่ แอมโมเนีย สว่ นการทดลองชว่ งที่ 2 เทแอมโมเนยี 1 ชอ้ น ใส่จานวางไวใ้ นหอ้ งทป่ี ิดสนิทแล้วใช้พัดลม
เปา่ ผ่าน จากนัน้ คนในห้องจะได้กล่ินแอมโมเนยี อยา่ งรวดเร็ว การแพรข่ องแอมโมเนียในทน่ี สี้ รุปไดว้ า่ อย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
12
9. จากการทดลองเก่ยี วกับด่างทับทิม (KMnO4) ดงั ภาพ จงอธบิ ายถงึ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
9.1 จงอธิบายกลไกทเ่ี กิดข้ึน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
9.2 ในภาพท่ี 2 เรียกสภาวะสารละลายนว้ี ่า อยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
13
ตอนที่ 2 การออสโมซสิ (Osmosis)
ออสโมซิส (Osmosis) หมายถึง การแพรข่ องของเหลวหรอื ตัวทาละลาย ซง่ึ ส่วนใหญ่ทางชวี วิทยา
จะหมายถงึ การแพร่ของน้าผ่านเยอ่ื ห้มุ เซลล์ ซง่ึ มีคุณสมบตั ยิ อมให้สารผ่านเขา้ ออกได้มากน้อยไมเ่ ทา่ กัน
จะยอมใหข้ องเหลวหรอื นา้ แพร่ผา่ นเข้าออกได้สะดวก แต่ไมย่ อมให้สารอืน่ ท่ีละลายปนอยู่กบั ของเหลวหรือ
นา้ ผ่านหรอื ยอมใหผ้ า่ นไดไ้ ม่สะดวก คุณสมบัติของเยื่อบางๆ น้ี เรยี กว่า เยอ่ื เลือกผ่าน (Differentially
permeable membrane)
การแพร่แบบออสโมซสิ มีหลกั การเชน่ เดียวกับการแพรท่ ่ัวๆ ไป คอื การแพร่จากบริเวณท่มี ี
อนุภาคของน้ามากไปสูบ่ รเิ วณท่ีมีความเข้มขน้ หรืออนุภาคของน้านอ้ ย โดยผา่ นเย่ือบางๆ จนถงึ จดุ สมดุล
เครอ่ื งมือท่ีใชแ้ สดงการเกดิ ออสโมซิส เรยี กว่า ออสโมมเิ ตอร์ (Osmometer) ซง่ึ ประกอบไปดว้ ย
ภาชนะที่ใสน่ า้ บริสุทธอิ์ ยู่ภายนอก กบั ภาชนะใส่สสารละลายทีป่ ระกอบไปด้วยเยือ่ บางๆ ซึ่งมีคุณสมบตั ิให้
น้าซึมผา่ นไดส้ ะดวก แตไ่ ม่ยอมใหต้ วั ถูกละลายผ่านหรอื ผา่ นไดย้ าก เม่อื เวลาผ่านไปน้าบรสิ ุทธิ์ทอ่ี ยู่ภายนอกจะ
มีปรมิ าณลดลง ส่วนในภาชนะทีใ่ ส่สารละลายจะมีปริมาตรเพิ่มขน้ึ แรงดันทส่ี ามารถดันน้าทอ่ี ยู่ในภาชนะที่ใส่
สารละลายให้เพมิ่ ขึ้น เรยี กแรงดันน้ีว่า แรงดันออสโมติด (Osmotic pressure)
ภาพท่ี 1-2 แสดงข้นั ตอนการทาชุดทดลองออสโมซิสอยา่ งงา่ ย
ที่มา : พจน์ แสงมณี และขวัญสุดา ประวะภโู ต,2554,หนา้ 229
14
สารละลายท่ีเก่ียวข้องกับการออสโมซิส
1. ไฮโซโทนิก โซลูชนั่ (Isotonic solution) หมายถึง สารละลายภายนอกเซลลท์ ี่มีความเขม้ ข้นเทา่ กับ
สารละลายภายในเซลล์ เซลลน์ ั้นจะมปี รมิ าตรคงท่ี รูปร่างเซลล์ไม่มกี ารเปลี่ยนแปลง เชน่ การนาเซลลเ์ มด็
เลอื ดแดงแช่ในสารละลายทีม่ ีความเข้มขน้ 0.85 เปอร์เซ็นต์ ซ่ึงมีความเขม้ ข้นเทา่ กบั ของเหลวภายในเซลล์เมด็
เลือดแดงพอดี จึงทาให้เซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดงอยใู่ นสภาพปกติ
2. ไฮเพอรโ์ ทนกิ โซลูชน่ั (Hypertonic solution) หมายถึง สารละลายภายนอกเซลลม์ ีแรงดัน
ออสโมติก มากกว่าสารละลายภายในเซลล์ สารละลายภายนอกเซลล์มีความเขม้ ขน้ ของตัวถูกละลายมากกว่า
ภายใน ทาให้นา้ แพร่ออกจากเซลล์สู่สารละลายภายนอกเซลล์ ทาให้เซลล์ลดขนาด เกดิ เหี่ยว (Flaccid)
เรยี กปรากฎการณน์ ีว้ า่ พลาสโมไลซิส (Plasmoiysis)
3. ไฮโพโทนิก โซลูชั่น (Hypotomic solution) หมายถงึ สารละลายภายนอกเซลล์มี
แรงดนั ออสโมตกิ น้อยกว่าสาระลายภายในเซลล์ สารละลายภายในเซลล์มีความเขม้ ขน้ ของตัวถูกละลาย
มากกว่าภายนอก ทาให้นา้ แพร่จากภายนอกเซลล์สสู่ ารละลายภายในเซลล์ ทาให้เซลล์พองหรือเซลล์แตง่
(Turgid) เรียกปรากฏการณน์ ว้ี า่ พลาสมอบไทซิส (Plasmoptysis)
ในภาวะปกติ เซลล์ร่างกายถูกล้อมดว้ ยของเหลวภายนอกเซลล์อย่แู ล้ว การท่ีเซลล์ร่างกายสามารถรกั ษา
ภาวะสมดุลไวไ้ ด้ เนอื่ งจากภายในเซลล์มแี รงดนั ออสโมติกเท่ากับของเหลวภายนอกเซลล์ หรือเซลล์รา่ งกายจะ
อยูใ่ นสารละลายท่ีเป็นไอโซโทนิกนนั่ เอง
ภาพที่ 1-3 แสดงสภาพสารละลายท่เี ป็น (ก) ไอโซโทนิก (ข) ไฮเพอร์โทนกิ (ค) ไฮโพโทนิก
ทมี่ า : สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี,2552,หน้า 98
15
กิจกรรม
เรอื่ ง การออสโมซิส
ผลการเรียนรู้ 1. อธบิ ายการเคลื่อนที่ของน้าแบบออสโมซิสได้
2. บอกความแตกต่างของวธิ ีการออสโมซสิ แบบต่างๆ ได้
คาชี้แจง จงเตมิ คาในช่องวา่ งให้สมบูรณ์
1. ออสโมซิส หมายถงึ อะไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. สารละลายไอโซโทนิก หมายถึงอะไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
3. สารละลายไฮเพอรืโทนิก หมายถึงอะไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
4. แรงดันออสโมตกิ หมายถึงอะไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
5. ออสโมซสิ แตกตา่ งกบั การแพร่ อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
6. การทนี่ ้าเขา้ ไปในรากของพืช เข้าไปโดยวธิ ีใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
16
จากรูปแผนภาพการทดลองต่อไปน้ี (ใช้ตอบคาถาม ข้อ 7 -10)
7. ระดบั นา้ เชือ่ มในแกว้ เป็นอยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
8. การท่รี ะดบั น้าเช่ือมในหลอดแก้วสงู ขึน้ เพราะเหตุใด
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
9. อนภุ าคของน้าตาลแพรอ่ อกมานอกถุงไดห้ รอื ไม่
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
10. วธิ ที ดสอบวา่ ไมม่ ีอนุภาคของน้าตาลนอกถุงเซลโลเฟน คือ
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
17
ตอนที่ 3 การแพร่แบบฟาซลิ เิ ทต
(Facilitated diffusion)
การแพร่แบบฟาลซิ ิเทต (Facillitated diffusion) หมายถึง การลาเลียงสารจากบริเวณทมี่ ีความ
เขม้ ข้นของสารนน้ั สูงไปสบู่ รเิ วณทีม่ คี วามเข้มขน้ ของสารตา่ กว่า เหมอื นกับการแพร่ (Diffusion) เพียงแต่มี
กลไกพเิ ศษโดยอาศัยตวั พา (Carrier) ในการลาเลียงสาร ตวั พาจะอยบู่ ริเวณเยื่อหุ้มเซลล์ ซง่ึ เป็นสารพวก
โปรตีน ตวั พานี้ทาหน้าที่คลา้ ยกบั เป็นประตโู ดยรับ โมเลกุลของสารท่มี ขี นาดใหญ่กว่าโมเลกุลของนา้ เช่น
กลูโคส เม่ือรบั โมเลกุลของสาร ตวั พาจะเปลี่ยนรปู รา่ ง ทาให้ส่งสารเข้าไปในเซลลไ์ ด้ จากนน้ั ตวั พาจะคนื สู่
สภาพเดมิ พร้อมจะลาเลียงสารโมเลกุลใหม่ตอ่ ไป การแพรแ่ บบน้สี ารจะเข้าออกจากเซลล์ไดร้ วดเรว็ กวา่
การแพร่ธรรมดามาก พบไดใ้ นการลาเลียงสารท่เี ซลลต์ บั ท่เี ซลลบ์ ุผวิ ลาไส้เล็ก
ภาพท่ี 1-4 แสดงการแพรแ่ บบฟาซิลิเทต ทต่ี ้องอาศัยตวั พาท่ีอยบู่ ริเวณเยอื่ หมุ้ เซลล์
ท่มี า : สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย,ี หน้า2552,หน้า 100
18
กิจกรรม
เรอ่ื ง การแพรแ่ บบฟาซิลเทต
ผลการเรยี น อธิบายการเคลื่อนทข่ี องสารแบบฟาซลิ ิเทตได้
คาชีแ้ จง จงเตมิ คาในชอ่ งว่างให้สมบูรณ์
1. การแพรแ่ บบฟาซลิ ิเทต เปน็ การแพร่อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2. การแพรแ่ บบฟาซิลิเทต อาศัยส่ิงใดเป็นตวั พา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
3. การแพรแ่ บบฟาซิลเิ ทต พบมากบรเิ วณใดของร่างกาย
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
4. การแพรแ่ บบฟาซิลิเทต กับการแพร่แบบ (Diffusion) ตา่ งกันอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
5. สารทเ่ี ป็นตัวพา สามารถจะกลับคนื สู่สภาพเดมิ ไดห้ รือไม่
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
19
ตอนท่ี 4 แอคทฟี ทรานสปอรต์
(Active transport)
แอคทีฟทรานสปอร์ต (Active transport) หมายถงึ การลาเลยี งของสารแบบใชพ้ ลงั งาน
เปน็ การลาเลยี งของสารจากบริเวณทมี่ คี วามเข้มข้นของสารต่าไปสบู่ รเิ วณที่มีความเขม้ ข้นของสารนน้ั สงู
ในการเคลือ่ นท่แี บบน้ีเกิดไดโ้ ดยอาศยั พลงั งานจากสารเคมชี นดิ หนง่ึ ในเซลลท์ ่ี เรียกวา่ อะดโี นซีนไตรฟอสเฟต
(Adenosine triphosphate) เรียกย่อว่า ATP การเคลื่อนท่ีของอนภุ าคของสารแบบนี้ เรยี กวา่
แอคทฟี ทรานสปอรต์ (Active transport)
การเคลอื่ นท่ีของสารโดยใชพ้ ลังงานเข้าช่วย เกิดขึ้นเฉพาะในเซลล์ที่ยงั มชี ีวิตอยู่เท่านัน้
เปน็ การลาเลียงสารจากบริเวณทมี่ คี วามเขม้ ขน้ นอ้ ยไปสู่ความเขม้ ข้นมาก การขนสง่ ลักษณะนี้เซลล์ตอ้ งนา
พลังงานที่ได้จากการสลายสารอาหารมาใช้
ภาพท่ี 1-5 แสดงการการลาเลยี งของสารแบบใช้พลงั งาน (Active transport)
ท่มี า : สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย,ี หนา้ 2552,หน้า 101
การลาเลยี งแบบใช้พลังงาน อาศยั โปรตนี ท่ีแทรกอยใู่ นเย่ือหุ้มเซลล์ ทาหนา้ ทีเ่ ปน็ ตวั ลาเลียงโดย
เซลลต์ อ้ งใชพ้ ลังงานทไี่ ด้จากการสลายพันธะของสารทมี่ พี ลังงานสูงบางชนดิ เชน่ ATP เพ่อื เป็นแรงผลกั ดัน
ในการลาเลยี ง ซง่ึ มีทิศทางตรงกนั ข้ามกับการแพร่ ตวั อย่างการเคลือ่ นท่ขี องสารโดยใช้พลงั งาน ไดแ้ ก่
โซเดียมโพแทสปมั๊ (sodium potassium pump) การดูดซึมอาหาร การดดู กลบั ของสารท่ีหลอดไต
การดูดซมึ และสะสมแร่ธาตตุ ่างๆ ของเซลลร์ ากพืช
20
กิจกรรม
เร่ือง การเคลอ่ื นที่แบบแอคทฟี ทรานสปอร์ต
ผลการเรียนรู้ อธบิ ายการเคลื่อนทีข่ องสาร โดยกระบวนการแอคทฟี ทรานสปอร์ต
คาช้แี จง จงเตมิ คาในช่องว่างให้สมบูรณ์
1. อธิบายการเคล่อื นแบบแอคทฟี ทรานสปอรต์
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
2. การเคลื่อนทแี่ บบแอคทีฟทรานสปอร์ตใชพ้ ลังงานจาก สารใด
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
3. การเคล่ือนแบบแอคทีฟทรานสปอรต์ ใช้สิ่งใดเป็นตัวพา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
4. ATP มีชอ่ื เต็มวา่ อะไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
5. การเคลื่อนที่แบบแอคทีฟทรานสปอร์ต เกิดขน้ึ ในสง่ิ มีชวี ติ หรือไม่มีชวี ิต
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
6. จงเปรียบเทยี บความแตกต่างของการลาลียงสารเขา้ สู่เซลล์โดยวิธกี ารแพร่แบบฟาซลิ ิเทต และ
แบบแอคทฟี ทรานสปอรต์
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
7. การลาเลยี งสารแบบแอคทีฟทรานสปอรต์ เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวติ หรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
8. การลาเลยี งสารแบบแอคทฟี ทรานสปอร์ตเกดิ ขึน้ ทใ่ี ดบ้าง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
21
9. ส่ิงท่มี ผี ลต่อการดดู สารเข่าสเู่ ซลล์แบบแอคทีฟทรานสปอรต์
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
10. การลาเลียงแบบแอคทีฟทรานสปอร์ต เทยี บได้กับอะไรบ้าง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
22
ตอนที่ 5
การลาเลียงสารโดยไมผ่ า่ นเย่ือหุ้มเซลล์
การลาเลียงสารโดยไม่ผา่ นเยอื่ หมุ้ เซลล์
เป็นวธิ กี ารท่ีสารถกู นาเข้าหรอื ออกจากเซลล์โดยที่เย่อื หุ้มเซลล์จะหอ่ หุม้ หรือโอบล้อมเอาสารน้ันเขา้ ถงุ
หลังจากนัน้ เย่ือห้มุ เซลล์สว่ นท่ีเปน็ ถงุ กจ็ ะหลดุ ออกจากเยื่อหุ้มเซลลส์ ่วนอน่ื ๆ กลายเป็นถงุ เล็กๆ (Vesicle)
เคลื่อนทีเ่ ขา้ สู่ภายในเซลล์ หรือเคล่ือนทีอ่ อกจากเซลล์การที่เซลลต์ อ้ งนาสารเขา้ หรือออกโดยวธิ ีนเ้ี นื่องจาก
สารมโี มเลกุลใหญห่ รอื ด้วยสาเหตุอนื่ ใดก็ตามท่ีทาใหไ้ มส่ ามารถเคล่อื นที่ผ่านเยือ่ หุ้มเซลลไ์ ด้โดยตรงการลาเลยี ง
สารโดยวิธนี ้ีไมต่ อ้ งอาศัยพลงั งานจากเซลลเ์ ข้าร่วมดว้ ย
การนาสารเข้าสภู่ ายในเซลล์
การนาสารเขา้ สู่ภายในเซลล์ (Endocytosis) มี 3 วิธี คอื
# พโิ นไซโทซิส (Pinocytosis Endocytosis)
# ฟาโกไซโทซสิ (Phagocytosis Endocytosis)
# การนาเข้าสู่เซลลโ์ ดยอาศยั ตัวรบั (Recepter-mediated Endocytosis)
1. พิโนไซโทซิส (Pinocytosis Endocytosis) หมายถงึ การนาอนุภาคของสารท่อี ยู่ในรปู ของ
สารละลายเข้าสเู่ ซลล์ โดยการทาให้เย่อื หมุ้ เซลล์เว้าเข้าไปในไซโทพลาซมึ ท่ีละนอ้ ยจนกลายเปน็ ถงุ เล็กๆ
เม่ือเยือ่ หุ้มเซลล์ปดิ สนิทถุงน้จี ะหลุดเขา้ ไปกลายเปน็ เวสิเคิลอยใู่ นไซโทพลาซึม
ภาพที่ 1-6 แสดงวธิ กี ารฟโิ นไซโทซิส
ที่มา : สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี,2552, หนา้ 103
23
2. ฟาโกไซโทซิส (Phagocytosis) หมายถึง การนาเข้าสเู่ ซลลโ์ ดยการท่ีเซลลส์ ามารถยืน่ ส่วนของ
ไซโทพลาซมึ ออกไป เรียกว่า ซโู ดโปเดยี ม แล้วใช้ส่วนนี้โอบล้อมอนุภาคของสาร ซึ่งอาจเปน็ อาหารหรอื
เชอื้ โรค ทาใหม้ ีลักษณะเป็นถงุ แลว้ หลดุ เข้าไปในเซลล์ เช่น การกินอาหารของอะมีบา เมด็ โลหติ ขาวปอ้ งกนั
หรือกลืนกนิ เชือ้ โรคตา่ งๆ มิให้เกิดอนั ตรายตอ่ รา่ งกาย เมือ่ สารเหล่าน้เี ขา้ ไปสู่ในเซลล์โดยมีถุงหุ้มเอนไซม์
จากไลโซโซมกจ็ ะทาการย่อยสารเหล่าน้ี โดยไลโซโซมจะรวมกับถุงทีม่ สี ารแลว้ เกดิ การย่อย สารท่ีย่อยแล้วจะ
ดดู ซึมไซโทพลาซมึ สารที่เหลือจากการย่อยจะถกู กาจดั ออกนอกเซลล์โดยวิธีการลาเลยี งจากเซลล์ สารทถ่ี กู
ลาเลียงออกจะถกู ห่อหมุ้ เป็นถุง ถงุ น้จี ะรวมกับเยอ่ื หุม้ เซลล์ และลาเลียงออกนอกเซลล์
ภาพที่ 1-7 แสดงกระบวนการฟาโกไซโทซิส
ทีม่ า : สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย,ี 2552,หนา้ 103
3. การนาเขา้ สเู่ ซลลโ์ ดยอาศยั ตวั รับ (Recepter-mediated Endocytosis) หมายถึง การลาเลียง
สารเข้าสู่เซลล์ ที่เกดิ ขึ้นโดยมีโปรตีนตัวรับบนเย่ือหมุ้ เซลล์ สารท่ีถกู ลาเลียงเข้าสเู่ ซลล์จะตอ้ งมคี วามจาเพาะ
ในการจับกับโปรตีนตัวรบั ทอี่ ยบู่ นเยือ่ หุ้มเซลล์จงึ จะสามารถนาเข้าสูเ่ ซลล์ไดห้ ลงั จากน้ันเย่อื หมุ้ เซลล์จงึ เวา้ เปน็
เวสิเคิลหลุดเขา้ สภู่ ายในเซลล์
ภาพที่ 1-8 แสดงกระบวนการนาสารเข้าสู่เซลลโ์ ดยอาศยั ตวั รบั
ทมี่ า : สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย,ี 2552,หนา้ 103
24
การนาสารออกนอกเซลล์
เอกโซไซโทซิส (Exocytosis) เปน็ การลาเลยี งสารขนาดใหญ่ออกนอกเซลล์ สารทจี่ ะถูกส่งออกไป
นอกเซลลบ์ รรจุอยู่ในเวสิเคิล เม่อื เวสิเคิลรวมตัวกับเยือ่ หมุ้ เซลล์ สารท่อี ยภู่ ายในเวสเิ คิลก็จะถูกปล่อยออกไป
นอกเซลล์ เชน่ การหลัง่ เอนไซม์จากเยอ่ื บุผนังกระเพาะ
ภาพที่ 1-9 แสดงกระบวนการเอกโซไซโทซสิ
ทมี่ า : สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย,ี 2552,หนา้ 102
25
กิจกรรม
เรอ่ื ง การลาเลียงสารโดยไม่ผ่านเยอื่ หุม้ เซลล์
ผลการเรียนรู้ อธบิ ายการเคลอื่ นท่ีของสารแบบฟาโกไซโทซิส, แบบเอกโซไซโทซสิ , แบบฟโิ นไซโทซสิ ,
การนาสารเข้าสู่เซลลโ์ ดยอาศยั ตัวรบั ได้
คาช้ีแจง 1. จงเติมคาในช่องว่างให้สมบูรณ์
1. การลาเลียงสารแบบเอโซไซโทซิส เปน็ การลาเลยี งสารอยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
2. การลาเลยี งสารแบบเอนโดไซโทซสิ เปน็ การลาเลียงสารอย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
3. อะมบี า มีวิธีการกินแบบใด
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
4. ฟโิ นไซโทซิส เป็นการลาเลียงสารอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
5. การนาสารเข้าสเู่ ซลลโ์ ดยอาศัยตวั รบั เปน็ การลาเลยี งสารอยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
26
2. จงเตมิ คาในชอ่ งวา่ งใหส้ มบูรณ์
1. การถึงสมดุลของการแพร่ หมายความวา่ อย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2. ในกระบวนการออสโมซสิ โมเลกลุ ของตัวละลายเป็นอยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
3. ในธรรมชาตริ ่างกายสามารถกาจดั สง่ิ แปลกปลอมได้โดยอาศยั กระบวนการใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. แอนตบิ อดที ีร่ า่ งกายสร้างขน้ึ จะเข้าสู่เซลล์เม็ดเลือดโดยวธิ ใี ด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5. แรงดนั ของน้าภายในเซลล์ทาให้เซลล์เตง่ (Turgid) เรยี กวา่ อะไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
6. เม่อื เกิด Plasmolysis ขึ้นในเซลลพ์ ชื โปรโตพลาซึม (Protoplasm) เปน็ อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
7. การลาเลียงสารผ่านรากขนอ่อนในพชื ใช้วธิ กี ารใด
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
8. การสะสมอาหารของเซลล์ เกย่ี วข้องกบั ขบวนการใดมากท่สี ุด
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
9. เซลลอ์ ะมบี าสามารถยน่ื ส่วนของโปรโตพลาซมึ ออกไปโอบลอ้ มเปน็ ถงุ ห่อหมุ้ อาหารซึ่งเรียกว่า
อะไร………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
10. นาใบต้นหอมทกี่ รีดแลว้ 2 ใบ ไปแช่นา้ นาน 5 นาที ผลจะเปน็ เชน่ ไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
27
สรุปเรอ่ื ง การลาเลียงสารเขา้ และออกจากเซลล์
เซลลจ์ ะดารงชีวติ อยู่ได้ต้องประกอบดว้ ยองค์ประกอบและออรก์ าเนลลต์ า่ งๆ ทท่ี าหน้าทต่ี ่างกนั เซลล์
จะดารงชวี ิตอยู่ได้ต้องข้ึนอยู่กับสภาวะแวดลอ้ มของเซลล์ทีเ่ หมาะสมดว้ ย เช่น อณุ หภูมิ นา้ สารอาหาร
แก๊สออกซเิ จน คารบ์ อนไดออกไซด์ เพราะถ้าสภาพแวดลอ้ มภายนอกเปลี่ยนแปลงจะมีผลต่อเมทาบอลซิ มึ
ของเซลล์ตลอดเวลาที่ยงั มชี วี ิตอยู่ จะมีการลาเลียงสารเขา้ และออกจากเซลล์ตลอดเวลา เย่ือหมุ้ เซลล์มสี มบัติ
ในการเลือกสารท่ีจะใหส้ ารบางชนดิ ผ่านไดแ้ ตกต่างกนั โดยการลาเลียงสารต้องผา่ นเยอ่ื หุ้มเซลลแ์ ละไมผ่ ่าน
เย่ือหุ้มเซลล์
ประเภทของการลาเลียงสารเขา้ และออกจากเซลล์
จาแนกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. การลาเลียงสารโดยผา่ นเย่ือห้มุ เซลล์ แบ่งออกเป็น 2 ลกั ษณะ คือ
1.1 การลาเลยี งสารผ่านเยอ่ื หมุ้ เซลลโ์ ดยไมใ่ ชพ้ ลงั งานจากเซลล์ (Passive transport)
ได้แก่ การแพรธ่ รรมดา (simple diffusion)
- การแพร่ (Diffusion)
การแพรโ่ ดยอาศยั ตวั พา (facilitated diffusion)
- การออสโมซิส (Osmosis)
1.2 การลาเลยี งสารผา่ นเย่อื หุ้มเซลล์โดยใชพ้ ลังงานจากเซลล์
- ใชว้ ธิ ีแอคทฟี ทรานสปอร์ต (Active transport)
2. การลาเลยี งสารโดยไม่ผา่ นเยอ่ื ห้มุ เซลล์ มี 3 ลักษณะ คอื
2.1 การนาสารเขา้ สภู่ ายในเซลล์ (Endocytosis) มี 2 วิธี คอื
- ฟโิ นไซโทซสิ (Pinocytosis)
- ฟาโกไซโทซสิ (Phagocytosis)
- การนาสารผ่านเซลลโ์ ดยอาศยั ตวั รบั (Recepter-mediated Endocytosis)
2.2 การนาสารออกนอกเซลล์ (Exocytosis)
28
แบบทดสอบหลังเรียน วิชาว30103 วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4
เรือ่ ง การลาเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์
จานวน 20 ขอ้ เวลา 20 นาที 20 คะแนน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
คาชแ้ี จง ให้นักเรียนทาเคร่อื งหมาย × ลงในกระดาษคาตอบตรงขอ้ ทถี่ ูกต้องท่ีสุดเพียงขอ้ เดยี ว
1. เซลล์เม็ดเลือดแดงของคนจะมแี รงดันแต่งสงู ขึ้นเรื่อยๆ เมอื่ อยู่ในสารละลายในข้อใด
ก. นา้ เชื่อม 5 %
ข. นา้ เกลอื 0.85 %
ค. นา้ กลัน่
ง. นา้ เกลือ 10 %
2. กระบวนการลาเลียงสารออกนอกเซลล์โดยมีถุงลาเลยี งสารเล็กๆ เคลื่อนไปเชื่อมกับเยอื่ หมุ้ เซลล์ เรยี กวา่
กระบวนการใด
ก. เอกโซไซโทซิส
ข. ฟาโกไซโทซิส
ค. ฟิโนไซโทซิส
ง. เอนโดไซโทซิส
3. กา๊ ซออกซเิ จนเขา้ ไปในถงุ ลม ไดอ้ าศัยวิธีการใด
ก. การแพร่
ข. ฟาซลิ เิ ทต
ค. แอคทีฟทรานสปอร์ต
ง. ออสโมซิส
4. ข้อใดไม่เกิดกระบวนการพลาสโมไลซสิ
ก. เซลล์ว่านกาบหอยในน้าเกลือ
ข. เซลล์ว่านกาบหอยในนา้ ตาลกลโู คส
ค. เย่อื หอมในน้ากลัน่
ง. เย่อื หอมในนา้ ตาลกลูโคส
5. ข้อใดไมใ่ ช่ปัจจัยท่คี วบคมุ การแพรข่ องสาร
ก. อุณหภูมิ
ข. ความช้นื
ค. ความเข้มขน้ ของสาร
ง. สถานะของสาร
29
6. เม่อื ถงึ จดุ สมดลุ การแพร่จะเป็นอย่างไร
ก. มีการแพรจ่ ากภายในสู่ภายนอกเซลล์มากกวา่ ภายนอกสูภ่ ายในเซลล์
ข.ไม่มกี ารแพรต่ อ่ ไปอีก
ค. มีการแพรจ่ ากภายนอกสู่ภายในเซลล์เท่ากับภายในส่ภู ายนอกเซลล์
ง. มกี ารแพรจ่ ากภายนอกส่ภู ายในเซลล์มากกวา่ ภายในสภู่ ายนอกเซลล์
7. ความเข้มขน้ ของสารละลายภายนอกเซลลม์ ากกว่าภายในเซลล์ เรยี กวา่ อะไร
ก. ไฮโซโทนิก
ข. เอกโซโทนิก
ค. ไฮโพโทนกิ
ง. ไฮเพอร์โทนกิ
8. กระบวนการลาเลยี งสารผา่ นเข้าและออกจากเซลล์ตอ้ งอาศัยตวั พา ตัวพา คือสารใด
ก. RNA
ข. โปรตนี
ค. ไขมัน
ง. DNA
9. เซลลจ์ ะไมอ่ ันตรายเมอ่ื อยูใ่ นสภาพแวดล้อมท่ีมีความเข้มข้นอย่างไร
ก. เทา่ กับสารภายในเซลล์
ข. มากกว่าสารภายในเซลล์
ค. น้อยกวา่ สารภายในเซลล์
ง. ทัง้ ขอ้ ก และขอ้ ข
10. วธิ กี ารนาสารเข้าสู่เซลล์ โดยการทาใหเ้ ย่ือหุ้มเซลล์เว้าเข้าไปในไซโทพลาซึม จนกลายเป็นถงุ อย่ใู นเซลล์
น้นั จะพบวิธีการนไี้ ดใ้ นเซลลช์ นิดใด
ก. เมด็ เลอื ดแดง
ข. หน่วยไต
ค. เม็ดเลือดขาว
ง. อะมบี า
11. แร่ธาตุเขา้ สรู่ ากพชื โดยวธิ ีใด
ก. การแพร่
ข. แอกทีฟทรานสปอรต์
ค. ออสโมซสิ
ง. เกิดแรงดงึ เนื่องจากการคายนา้ ที่ใบ
30
12. ถ้าใสป่ ๋ยุ ลงในดินมากจะเกดิ ผลอย่างไร
ก. ตน้ พชื จะอวบและใบจะเตง่ เพราะแรธ่ าตแุ พร่ผ่านเข้าไปไดม้ าก
ข. ตน้ พชื และใบจะเหยี่ วเพราะน้าในตน้ พชื จะแพร่ออกทางราก
ค. ไมเ่ กิดการเปล่ยี นแปลงถ้าอัตราการคายนา้ ไม่เปลี่ยนแปลง
ง. พืชจะเจริญเติบโตได้รวดเรว็ และใบจะอวบ
13. การแพร่ของสารนัน้ เกิดจากสงิ่ ใด
ก. ความแตกต่างของอณุ หภูมขิ องสาร
ข. ความแตกตา่ งของความเป็นกรดและดา่ งของสาร
ค. ความแตกต่างของปริมาณของสาร
ง. ความแตกต่างของความหนาแน่นของโมเลกลุ ของสาร
14. การนาสารเข้าสเู่ ซลลโ์ ดยอาศยั ตัวรบั มีสารใดเปน็ ตวั รบั
ก. ไขมนั
ข. ไขมนั – โปรตีน
ค. เอทีพี
ง. โปรตีน
15. พารามเี ซยี ม มีอวัยวะใดสาหรับกาจัดนา้ จืดที่เกินความต้องการ
ก. แซป แวคิวโอล (sap vacuole)
ข. คอนแทรกไทด์ แวคิวโอล (contractile vacuole)
ค. เอนโด แวคิวโอล (endo vacuole)
ง. ฟูด แวคิวโอล (food vacuole)
16. เมอ่ื นาฝรงั่ สดๆ ช้ินหนึง่ ใส่ลงไปในสารละลายของน้าตาลมันฝรัง่ ช้ินนีเ้ ปน็ อย่างไร
ก. ขนาดจะยาวขน้ึ และนา้ หนักนอ้ ยลง
ข. ขนาดเล็กลงและน้าหนักน้อยลง
ค. ยังคงมลี กั ษณะเหมือนเดมิ
ง. ขนาดจะใหญ่ขึน้ และนา้ หนกั เพมิ่ ข้นึ
17. การลาเลยี งสารแบบใชพ้ ลงั งานเปน็ การเคลอ่ื นทข่ี องสารจากบรเิ วณทีม่ คี วามเขม้ ขน้ นอ้ ยไปสู่
ความเขม้ ขน้ มาก
ก. ฟาโกไซโทซสิ
ข. ฟาซิลเิ ทต
ค. แอคทฟี ทรานสปอร์ต
ง. ออสโมซิส
31
18. การนาสารละลายเขา้ สู่เซลล์โดยการคอดเว้าเปน็ ถงุ กลายเป็นเวสเิ คลิ อย่ใู นไซโทพลาสซึมเปน็ วิธกี ารแบบใด
ก. ฟโิ นไซโทซสิ
ข. ฟาโกไซโทซิส
ค. เอนไซโทซิส
ง. นาสารเขา้ สเู่ ซลล์แตอ่ าศยั ตวั รับ
19. กระบวนการฟาโกไซโทซิส และพิโนไซโทซสิ เหมือนกนั ในเรอ่ื งใด
ก. สารไมผ่ ่านเย่อื หมุ้ เซลล์โดยตรง
ข. ไม่ต้องใชพ้ ลังงานของเซลล์
ค. สรา้ งซูโดโพเดียมเหมอื นกนั
ง. สภาพของสารที่เขา้ ในเซลล์
20. หากนาเมด็ เลือดแดงของคนหยดลงในนา้ กลัน่ พบวา่ เม็ดเลอื ดแดงจะค่อยๆ พองขนึ้ จนกระทง่ั เมด็ เลอื ด
แดงแตก เป็นเพราะเหตใุ ด
ก. นา้ จากเม็ดเลือดแดงมมี ากกวา่ น้าในน้ากลั่น น้าจึงแพร่ออก
ข. เกิดการแพรข่ องนา้ จากเลือดไปยังนา้ กลั่น
ค. นา้ จากนา้ กล่ันมมี ากกว่าน้าในเม็ดเลอื ดแดงจงึ แพร่เข้าเมด็ เลือด
ง. นา้ มีประจุไฟฟ้าตรงขา้ มกับเมด็ เลือด เมด็ เลือดจงึ ดดู น้าได้มาก
…………………………………………………………………………………..
32
กระดาษคาตอบแบบทดสอบหลงั เรยี น
วิชาว30103 วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 4
เรื่อง การลาเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ชอ่ื – สกุล.............................................................................................................ชัน้ .................เลขท.่ี ................
คาชี้แจง จงเลอื กคาตอบ ก ข ค ง ท่ถี ูกตอ้ งที่สุดเพยี งข้อเดียว แล้วกากบาท × ลงในช่อง
ในกระดาษคาตอบ
ขอ้ ก ขคง
1
2 คะแนนทีไ่ ด้
3
4 20
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
33
บรรณานุกรม
ประดษิ ฐ์ พงศท์ องคา, สุรินทร์ ปยิ ะโชคณากุล และสมศักด์ิ อภสิ ิทธว์ิ าณชิ . โครงการตาราวทิ ยาศาสตรแ์ ละ
คณติ ศาสตร์มูลนธิ ิ สอวน.ชีววิทยา3. กรงุ เทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์. 2556
ประดิษฐ์ เหล่าเนตร, ณัฐภัสสร เหลา่ เนตร และภักดี รัชตวิภาสนันท์. ชีววิทยาพ้ืนฐาน. กรงุ เทพฯ : แมค็ .
2556.
ประสงค์ หลาสะอาด และจิตเกษม หลาสะอาด. คู่มือสาระการเรยี นรเู้ พม่ิ เตมิ กลุ่มสาระการเรียนรู้
วทิ ยาศาสตร์ ชวี วทิ ยา ม.4-6 เลม่ 1. กรงุ เทพฯ : พ.ศ.พฒั นา. 2556.
พจน์ แสงมณี และขวัญสดุ า ประวะภูโต. ชวี วิทยา ม.4 เล่ม 1. กรุงเทพฯ : แมค็ . 2556.
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. หนังสอื เรียนสาระการเรยี นรู้
พื้นฐานและเพ่ิมเติม ชีววิทยา เลม่ 1. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ สกสค. 2552.
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ. หนงั สือเรยี นสาระการเรยี นรู้
พื้นฐานวทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ สกสค. 2558.
สมาน แก้วไวยุทธ. ชีววทิ ยา ม.4-6 รายวชิ าพนื้ ฐาน. กรงุ เทพฯ : ไฮเอ็ดพับลิชชงิ่ .2556.
34
ภาคผนวก
35
เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น
วิชาว30103 วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 4
เรื่อง การลาเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์
ข้อ 1 ก
ขอ้ 2 ข
ขอ้ 3 ค
ข้อ 4 ก
ข้อ 5 ง
ข้อ 6 ง
ข้อ 7 ข
ข้อ 8 ข
ขอ้ 9 ก
ข้อ 10 ง
ข้อ 11 ค
ขอ้ 12 ง
ข้อ 13 ก
ขอ้ 14 ง
ขอ้ 15 ก
ข้อ 16 ค
ขอ้ 17 ข
ข้อ 18 ค
ข้อ 19 ง
ข้อ 20 ก
36
เฉลยกิจกรรม
เร่อื ง การลาเลยี งสารเข้าและออกจากเซลล์
37
เฉลยกจิ กรรม
เรอ่ื ง การแพร่
คาชแ้ี จง จงเติมคาในช่องว่างใหส้ มบรู ณ์
1. การแพร่ คืออะไร
การเคล่ือนทีข่ องอนุภาคของสารจากทม่ี ีความเขม้ ขน้ ของสารนน้ั สูงไปส่ทู มี่ คี วามเข้มข้นของ
สารนัน้ ตา่ กวา่
2. ให้นกั เรยี นยกตวั อยา่ งการแพรใ่ นชวี ติ ประจาวนั
นา้ หอมแพร่ในอากาศ, นา้ ตาลแพรใ่ นนา้ , ดา่ งทับทมิ แพรใ่ นนา้
3. เพอร์เมยี เบลิ เมมเบรน (Permeable membrane) เป็นเยื่อหุ้มเซลล์ชนิดใด
เปน็ เยอื่ หมุ้ ท่ียอมให้สารทกุ ชนดิ ผ่านไปได้สะดวก
4. ปัจจัยที่ควบคุมการแพรม่ อี ะไรบ้าง
ความเข้มขน้ ของสาร, อุณหภูม,ิ ความดนั , สถานะของสาร
5. จดุ สมดุลของการแพร่ หมายถึงอะไร
ความเข้มขนั อนภุ าคของสารทงั้ สองแหง่ มคี ่าเทา่ กัน
6. การแพร่ของกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ระหวา่ ง ถงุ ลมกบั เส้นเลอื ดฝอยแพร่จากท่ีใดไปสู่ทใ่ี ด
ออกซิเจนจากถุงลมเข้าสู่เสน้ เลือดฝอย
7. จงเปรียบเทียบการหายใจของพชื และการสงั เคราะหแ์ สงของพืช การแพร่ของก๊าซออกซิเจน
ตา่ งกนั อยา่ งไร
- การหายใจออกซเิ จนจะแพร่เข้าทางปากใบ
- การสังเคราะหแ์ สงออกซิเจนจะแพร่ออกทางปากใบ
8. การทดลองในชว่ งแรก เทแอมโมเนีย 1 ชอ้ น ใส่จานวางไว้ในห้องท่ปี ดิ สนทิ ในไมช่ ้า หอ้ งนนั้ กจ็ ะ
ได้กล่ินแอมโมเนีย ส่วนการทดลองช่วงที่ 2 เทแอมโมเนีย 1 ช้อน ใสจ่ านวางไว้ในหอ้ งทปี่ ิดสนิทแล้วใชพ้ ดั ลม
เปา่ ผ่าน จากนั้นคนในห้องจะได้กลิ่นแอมโมเนยี อยา่ งรวดเร็ว การแพรข่ องแอมโมเนยี ในที่น้สี รปุ ไดว้ า่ อย่างไร
ความดันมผี ลตอ่ การแพร่ โดยการเพมิ่ ความดันให้แกส่ ารจะมีผลทาให้สารเคลอื่ นทไี่ ด้เรว็ ขนึ้
38
9. จากการทดลองเกี่ยวกับดา่ งทบั ทมิ (KMnO4) ดังภาพ จงอธบิ ายถึงปรากฏการณท์ ่ีเกดิ ข้นึ
9.1 จงอธิบายกลไกท่ีเกิดขนึ้
ด่างทบั ทิมจะมกี ารแพรผ่ ่านถงุ จนกระทัง่ มคี วามเขม้ ข้นของโมเลกุลเท่ากัน
9.2 ในภาพท่ี 2 เรยี กสภาวะสารละลายน้ีวา่ อยา่ งไร
Isotonic solution หรอื Dynamic equilibrium
……………………………………………
39
เฉลยกจิ กรรม
เรอ่ื ง การออสโมซสิ
คาช้แี จง จงเติมคาในช่องวา่ งใหส้ มบูรณ์
1. ออสโมซิส หมายถึงอะไร
การเคลอ่ื นท่ขี องนา้ จากสารละลายทีม่ ีความเขม้ ขันตา่ ไปสู่สารละลายทีม่ ีความเขม้ ข้นสงู โดย
ผา่ นเย่ือห้มุ เซลล์
2. สารละลายไอโซโทนกิ หมายถงึ อะไร
สารละลายภายนอกเซลลท์ ่ีมีความเข้นขน้ เท่ากบั สารละลายภายในเซลล์
3. สารละลายไฮเพอร์โทนกิ หมายถงึ อะไร
สารละลายภายนอกเซลล์มีแรงดนั ออสโมติก มากกวา่ สารละลายภายในเซลล์
4. แรงดนั ออสโมติก หมายถงึ อะไร
แรงดนั ที่สามารถดนั น้าทอ่ี ยใู่ นภาชนะใหเ้ พิ่มขึ้น
5. ออสโมซิส แตกตา่ งกบั การแพร่ อยา่ งไร
ออสโมซิส คือ การเคลอ่ื นที่ของน้าผ่านเยือ่ หุม้ เซลลจ์ ากบริเวณที่มีน้ามากไปส่บู รเิ วณท่มี นี า้ นอ้ ย
การแพร่ คอื การกระจายโมเลกุลของสารจากมากไปน้อย โดยไม่ตอ้ งผา่ นเยอื่ ห้มุ เซลล์ หรอื ผ่าน
เย่อื ห้มุ เซลล์
6. การท่ีนา้ เขา้ ไปในรากของพชื เข้าไปโดยวธิ ีใด
น้าจะออสโมซสิ ผ่านเย่อื หุม้ เซลลเ์ ข้าไปในรากขนออ่ น
40
จากรูปแผนภาพการทดลองต่อไปน้ี (ใชต้ อบคาถาม ขอ้ 7 -10)
7. ระดับนา้ เชื่อมในแก้วเป็นอยา่ งไร
ระดบั น้าเชอื่ มจะสูงขึน้
8. การทรี่ ะดบั นา้ เช่อื มในหลอดแกว้ สูงขนึ้ เพราะเหตุใด
น้าจะออสโมซสิ ผ่านกระดาษเซลโลเฟนออกมาได้ เพราะมโี มเลกุลขนาดใหยก่ วา่ รูของกระดาษ
เซลโลเฟน
9. อนภุ าคของน้าตาลแพรอ่ อกมานอกถงุ ได้หรือไม่
ไมส่ ามารถผา่ นกระดาษเซลโลเฟนออกมาได้ เพราะมโี มเลกุลขนาดใหญก่ ว่ารูของกระดาษ
เซลโลเฟน
10. จงอธบิ ายปรากฏการณท์ เี่ กิดขึน้
หยดสารละลายเบเนดิกตล์ งไปแล้วนาไปตม้ สังเกตดวู า่ เปลยี่ นสเี ป็นสสี ม้ หรอื ไม่ ถ้าเปลีย่ นเปน็
สีส้มแสดงวา่ มีนา้ ตาลอยนู่ อกถุง
41
เฉลยกิจกรรม
เรือ่ ง การแพรแ่ บบฟาซิลเิ ทต
คาชี้แจง จงเติมคาในช่องว่างให้สมบรู ณ์
1. การแพร่แบบฟาซลิ ิเทต เปน็ การแพรอ่ ยา่ งไร
เปน็ การลาเลียงสารจากบริเวณทม่ี ีความเข้มขน้ สูงไปสบู่ ริเวณท่ีมีความเขม้ ขน้ ของสารต่ากวา่
โดยอาศัยตวั พา
2. การแพร่แบบฟาซลิ เิ ทต อาศยั ส่งิ ใดเปน็ ตัวพา
โปรตนี
3. การแพรแ่ บบฟาซลิ เิ ทต พบมากบริเวณใดของร่างกาย
ตบั และ เซลลบ์ ุผวิ ลาไส้เลก็
4. การแพร่แบบฟาซลิ เิ ทต กบั การแพร่แบบ (Diffusion) ต่างกันอย่างไร
การแพรแ่ บบฟาซลิ เทต ตอ้ งอาศัยตวั พา คือ โปรตีน แต่การแพร่แบบธรรมดาเปน็ การแพรผ่ า่ น
โมเลกลุ ของไขมนั ของเยอ่ื ห้มุ เซลล์
5. สารทเี่ ป็นตวั พา สามารถจะกลบั คืนสสู่ ภาพเดมิ ได้หรอื ไม่
สามารถกลับสู่สภาพเดมิ ได้
42
เฉลยกิจกรรม
เรอื่ ง การเคลื่อนทีแ่ บบแอคทีฟทรานสปอรต์
คาชีแ้ จง จงเติมคาในชอ่ งว่างใหส้ มบูรณ์
1. อธบิ ายการเคลอื่ นแบบแอคทฟี ทรานสปอร์ต
การลาเลียงสารจากบรเิ วณที่มคี วามเขม้ ข้นของสารต่าไปสบู่ รเิ วณที่มีความเขม้ ข้นของสารสูง
2. การเคลื่อนทแี่ บบแอคทีฟทรานสปอร์ตใชพ้ ลงั งานจาก สารใด
พลังงานจาก ATP (เอทพี )ี
3. การเคลือ่ นแบบแอคทฟี ทรานสปอร์ตใช้สิง่ ใดเปน็ ตัวพา
โปรตีน
4. ATP มชี ่อื เต็มวา่ อะไร
(Adenosine Triphosphat อะดีโนซนี ไตรฟอสดฟต)
5. การเคลือ่ นที่แบบแอคทีฟทรานสปอรต์ เกดิ ข้นึ ในสงิ่ มชี วี ิตหรอื ไมม่ ชี วี ติ
เกดิ ขึ้นในส่งิ มชี วี ติ
6. จงเปรียบเทียบความแตกต่างของการลาลียงสารเขา้ สเู่ ซลล์โดยวธิ ีการแพร่แบบฟาซลิ เิ ทต และ
แบบแอคทฟี ทรานสปอรต์
- การแพรแ่ บบฟาซิลิเทต มโี ปรตีนเปน็ ตัวพา สารจะเขา้ สเู้ ซลล์ได้เรว็ กวา่ การแพรธ่ รรมดา และ
ไม่ใชพ้ ลงั งานจากเซลล์
- การแพรแ่ บบแอคทีฟทรานสปอร์ต เป็นการเคลือ่ นทีข่ องโมเลกุลของสารจากบริเวณท่ีมีความ
เขม้ ขน้ ของสารน้อยไปสบู่ รเิ วณท่มี ีความเข้มข้นของสารมากโดยใชพ้ ลงั งานจากเซลล์
7. การลาเลยี งสารแบบแอคทฟี ทรานสปอร์ต เกิดข้ึนในส่ิงมีชวี ิตหรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด
ได้ เพราะ ต้องใชพ้ ลังงานจากเซลล์
8. การลาเลียงสารแบบแอคทฟี ทรานสปอร์ตเกิดขน้ึ ที่ใดบ้าง
การดดู ซึมอาหารเข้าสูก่ ระแสเลอื ด การดดู ซึมแรธ่ าตุเข้าสู่รากพืช การลาเลยี งโซเดยี ม –
โพแทสเซียม (Na - K) เขา้ และออกจากเซลลป์ ระสาท
9. สิง่ ทม่ี ผี ลตอ่ การดดู สารเข่าส่เู ซลลแ์ บบแอคทีฟทรานสปอรต์
ปริมาณคาร์โบไฮเดรต, อุณหภูมิ ความเป็นกรด - เบส
10. การลาเลยี งแบบแอคทฟี ทรานสปอรต์ เทยี บไดก้ ับอะไรบ้าง
การใช้พลังงานไฟฟ้าสบู น้าข้ึนสูงถงั เกบ็ นา้ บนหอคอย
43
กจิ กรรม
เรอ่ื ง การลาเลยี งสารโดยไม่ผา่ นเยื่อหุ้มเซลล์
ผลการเรียนรู้ อธบิ ายการเคล่ือนที่ของสารแบบฟาโกไซโทซิส, แบบเอกโซไซโทซสิ , แบบฟิโนไซโทซสิ ,
การนาสารเขา้ ส่เู ซลล์โดยอาศยั ตวั รบั ได้
คาช้ีแจง 1. จงเติมคาในช่องวา่ งใหส้ มบรู ณ์
1. การลาเลยี งสารแบบเอโซไซโทซสิ เปน็ การลาเลยี งสารอยา่ งไร
การลาเลียงสารขนาดใหญ่ออกนอกเซลล์ โดยสารที่จะสง่ ออกไปนอกเซลล์บรรจอุ ยู่ในเวสเิ คิล
2. การลาเลยี งสารแบบเอนโดไซโทซิส เป็นการลาเลียงสารอย่างไร
เป็นการลาเลยี งสารขนาดใหญเ่ ข้าสเู่ ซลล์
3. อะมีบา มีวิธีการกนิ แบบใด
ฟาโกไซโทซิส
4. ฟโิ นไซโทซิส เป็นการลาเลียงสารอยา่ งไร
เป็นการนาอนุภาคของสารท่อี ยรู่ ปู สารละลายเข้าสู่เซลล์
5. การนาสารเข้าสู่เซลล์โดยอาศัยตัวรบั เป็นการลาเลยี งสารอย่างไร
เปน็ การลาเลยี งสารเข้าสเู่ ซลล์ โดยมโี ปรตีนเป็นตัวรับบนเยอ่ื หุ้มเซลล์
……………………………………………………………………
44
2. จงเติมคาในช่องวา่ งใหส้ มบูรณ์
1. การถึงสมดุลของการแพร่ หมายความว่าอย่างไร
เมอ่ื ความเขม้ ขน้ ของสารละลายเทา่ กัน
2. ในกระบวนการออสโมซสิ โมเลกลุ ของตวั ละลายเป็นอยา่ งไร
โมเลกุลของตวั ละลายผ่านเยือ่ คดั เลอื กได้ในอัตราทน่ี ้อยกวา่ นา้ ท่เี กดิ ออสโมซิสได้
3. ในธรรมชาติร่างกายสามารถกาจดั สง่ิ แปลกปลอมได้โดยอาศยั กระบวนการใด
(ฟาโกไซโทซิส Phagocytosis)
4. แอนตบิ อดที ร่ี า่ งกายสรา้ งขึ้น จะเขา้ สเู่ ซลล์เม็ดเลอื ดโดยวธิ ใี ด
(ฟโิ นไซโทซสิ Pinocytosis)
5. แรงดนั ของนา้ ภายในเซลลท์ าใหเ้ ซลล์เต่ง (Turgid) เรยี กว่าอะไร
(Turgor pressure)
6. เม่ือเกิด Plasmolysis ข้นึ ในเซลล์พชื โปรโตพลาซึม (Protoplasm) เป็นอย่างไร
จะหดตวั เพราะน้าไหลออกจากเซลล์
7. การลาเลียงสารผา่ นรากขนออ่ นในพชื ใช้วธิ ีการใด
แอคทฟี ทรานสปอรต์
8. การสะสมอาหารของเซลล์ เกี่ยวขอ้ งกบั ขบวนการใดมากทส่ี ุด
(แอคทีฟทรานสปอรต์ )
9. เซลลอ์ ะมีบาสามารถยื่นสว่ นของโปรโตพลาซมึ ออกไปโอบล้อมเปน็ ถุงหอ่ หุม้ อาหารซึ่งเรยี กวา่
อะไร (ซโู ดโปเดียม seudopodium)
10. นาใบต้นหอมท่กี รดี แล้ว 2 ใบ ไปแช่นา้ นาน 5 นาที ผลจะเป็นเชน่ ไร
ใบต้นหอมจะม้วนเป็นวงกลมเนอื่ งจากนา้ ภายนอกเซลล์ออสโมซิสเข้าไปในเซลล์
…………………………………………………………………………………………
45
เฉลยแบบทดสอบหลงั เรียน
วิชาว30103 วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
เรอื่ ง การลาเลยี งสารเขา้ และออกจากเซลล์
ข้อ 1 ค
ข้อ 2 ก
ขอ้ 3 ค
ข้อ 4 ค
ข้อ 5 ข
ข้อ 6 ค
ขอ้ 7 ง
ข้อ 8 ข
ข้อ 9 ก
ขอ้ 10 ค
ขอ้ 11 ข
ขอ้ 12 ข
ขอ้ 13 ง
ข้อ 14 ง
ขอ้ 15 ข
ข้อ 16 ข
ขอ้ 17 ค
ข้อ 18 ก
ขอ้ 19 ข
ขอ้ 20 ค