แผนการจดั การเรียนรู้
วิชา ชีววทิ ยา 1 (ว30241)
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 การศึกษาชวี วทิ ยา
ระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 4 โรงเรยี นพรเจรญิ วิทยา
นางสาวสชุ าวดี มงุ่ หมาย
รหัสประจาตวั นกั ศึกษา 62040111107
สาขาวทิ ยาศาสตรท์ ่ัวไปและชีววิทยา
การฝกึ ปฏบิ ตั ิการสอนในสถานศกึ ษา 1
รหัสวิชา ED16401 (INTERNSHIP IN SCHOOL 1)
คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอดุ รธานี
ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565
ก
คานา
แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาเพิ่มเติมชีววิทยา 1 รหัสวิชา ว30241 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เล่ม 1
ฉบับนี้จัดทาข้ึนเพ่ือใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาชีววิทยา และเพ่ือให้ผู้เรียนได้บรรลุ
ตามค่าเป้าหมายมาตรฐาน/ตัวช้ีวัดการเรียนรู้ ตามท่ีกาหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางของการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
พ.ศ. 2551 (ปรับปรุง 2560) ผู้จัดทาได้รวบรวมวิธีการสอน เทคนิคการสอน เน้ือหาในรายวิชาอย่างละเอียด
การวดั การประเมินผลท่เี หมาะกับการจัดการเรยี นการสอนในวิชาชีววทิ ยา 1 ไวใ้ นแผนการจดั การเรยี นรู้ฉบบั น้ี
อย่างครบถว้ น
แผนการจัดการเรยี นรู้ฉบับนีเ้ ปน็ แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวิชา
เพิ่มเติม ชีววิทยา เล่มที่ 1 ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 การศึกษาชีววิทยา เพื่อพัฒนาความรู้
ความเข้าใจ ให้เข้าใจถึงความเป็นมาของชีววิทยา มากย่งิ ข้นึ ไป
ผจู้ ัดทาหวังเป็นอย่างย่ิงวา่ แผนการจัดการเรียนรู้ฉบับน้ี จะเป็นประโยชน์ต่อการจดั การเรียนการสอน
ในรายวิชาชีววทิ ยา และเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนต่อผทู้ ก่ี าลงั หาแนวทางในการจดั การเรียนการ
สอน และนาไปสกู่ ารพัฒนาผลสมั ฤทธิ์ในการเรยี นวิทยาศาสตร์ทีส่ งู ขึน้ ต่อไป
นางสาวสชุ าวดี มงุ่ หมาย
18 ตุลาคม 65
สารบัญ ข
เรอื่ ง หน้า
ก
คานา ข
สารบญั ค
หลักสตู รแกนกลางขน้ั พ้ืนฐาน พ.ศ.2551(ฉบบั ปรับปรุง 2560) ค
ค
วสิ ัยทศั น์ ค
หลักการ ง
จุดมุง่ หมาย จ
สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น จ
คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงคข์ องผู้เรียน ช
การจดั การเรยี นรู้ ช
กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ซ
เป้าหมายของวทิ ยาศาสตร์ ญ
คณุ ภาพของผู้เรียนเม่ือจบชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 ธ
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพ่มิ เติม สาระชวี วทิ ยา บ
คาอธิบายรายวิชา 1
โครงสรา้ งรายวชิ า 1
หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 1 การศกึ ษาชวี วิทยา 7
แผนการจัดการเรยี นรูท้ ี่ 1 เร่อื ง ธรรมชาติของส่ิงมชี วี ิต 13
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 2 เรือ่ ง การศกึ ษาชีววทิ ยาและวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 3 เรอ่ื ง กจิ กรรมสะเต็มศึกษาและกระบวนการออกแบบเชงิ
วิศวกรรม
ค
1.หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ 2560)
1.1 วิสยั ทัศน์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซ่ึงเป็นกาลังของชาติ ให้เป็นมนุษย์ที่
มีความสมดุลท้ังด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทย และเป็นพลโลก ยึดม่ันใน
การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพ้ืนฐาน
รวมท้ังเจตคติที่จาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และ การศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็น
สาคญั บนพ้ืนฐานความเช่ือว่าทุกคนสามารถเรยี นรู้ และพฒั นาตนเองได้เต็มตามศกั ยภาพ
1.2 หลกั การ
หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน มีหลักการทสี่ าคญั ดังน้ี
1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพ่ือความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐาน การเรียนรู้ เป็น
เป้าหมายสาหรับพัฒนาเดก็ และเยาวชนให้มคี วามรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรม บนพ้ืนฐานของความเป็นไทย
ควบค่กู บั ความเป็นสากล
2. เปน็ หลกั สูตรการศกึ ษาเพื่อปวงชน ท่ีประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอยา่ งเสมอภาคและมี
คุณภาพ
3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอานาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้
สอดคลอ้ งกบั สภาพและความต้องการของท้องถ่นิ
4. เป็นหลักสูตรการศกึ ษาท่มี ีโครงสร้างยืดหยนุ่ ท้ังด้านสาระการเรยี นรู้ เวลาและการจดั การเรียนรู้
5. เป็นหลักสูตรการศึกษาท่เี น้นผเู้ รยี นเป็นสาคัญ
6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสาหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุก
กลุ่มเปา้ หมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์
1.3 จุดมุ่งหมาย
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มุ่งพัฒนาผเู้ รียนให้เปน็ คนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพ
ในการศกึ ษาตอ่ และประกอบอาชีพ จึงกาหนดเปน็ จดุ หมาย เพอื่ ให้เกิดกบั ผเู้ รียน เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ดงั น้ี
1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมท่ีพึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัย และปฏิบัติตนตาม
หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนา หรือศาสนาท่ีตนนบั ถอื ยึดหลักปรัชญาของ เศรษฐกจิ พอเพยี ง
2. มีความรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี
และมีทกั ษะชีวติ
3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจติ ท่ดี ี มสี ขุ นิสยั และรักการออกกาลังกาย
ง
4. มีความรักชาติ มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิต และการปกครอง
ตามระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมขุ
5. มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดล้อม มีจิต
สาธารณะทม่ี งุ่ ทาประโยชนแ์ ละสร้างส่ิงท่ดี งี ามในสงั คม และอยรู่ ่วมกันในสังคม อยา่ งมีความสขุ
1.4 สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียน ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ ซ่ึง
การพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ท่ีกาหนดนั้น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสาคัญ 5 ประการ
ดงั น้ี
1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา
ถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพ่ือแลกเปล่ียน ข้อมูลข่าวสาร และ
ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา ตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลด
ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลัก เหตุผล และความถูกต้อง ตลอดจน
การเลือกใช้วธิ ีการสื่อสารท่ีมี ประสทิ ธภิ าพโดยคานงึ ถึงผลกระทบที่มีตอ่ ตนเองและสังคม
2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถใน การคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่าง
สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนาไปสู่ การสร้างองคค์ วามรูห้ รือสารสนเทศ
เพอื่ การตัดสินใจเกี่ยวกบั ตนเอง และสังคมไดอ้ ย่างเหมาะสม
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถใน การแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ท่ีเผชิญได้
อยา่ งถกู ต้องเหมาะสม บนพ้ืนฐานของหลักเหตผุ ล คณุ ธรรมและข้อมลู สารสนเทศ เข้าใจความสมั พันธ์และการ
เปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสงั คม แสวงหาความรู้ ประยกุ ตค์ วามรู้มาใชใ้ นการปอ้ งกันและแก้ไขปัญหา
และมกี ารตัดสินใจที่มปี ระสิทธภิ าพโดยคานึงถึงผลกระทบท่ีเกดิ ขึน้ ตอ่ ตนเอง สงั คมและส่งิ แวดลอ้ ม
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถ ในการน่ากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการ
ดาเนินชีวติ ประจาวนั การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง การทางาน และ การอยู่ร่วมกนั ในสังคม
ดว้ ยการสร้างเสรมิ ความสัมพันธ์อันดรี ะหว่างบคุ คล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึง
ประสงคท์ ี่สง่ ผลกระทบตอ่ ตนเองและผอู้ ื่น
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยดี ้านต่าง ๆ และ
มีทักษะกระบวนการ ทางเทคโนโลยี เพือ่ การพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การส่ือสาร การทางาน
การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถกู ตอ้ งเหมาะสม และมคี ณุ ธรรม
จ
1.5 คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพ่ือให้
สามารถอยรู่ ่วมกับผู้อ่นื ในสังคมไดอ้ ยา่ งมีความสขุ ในฐานะเป็นพลเมอื งไทยและพลโลก ดังน้ี
1. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
2. ช่อื สัตยส์ ุจริต
3. มีวนิ ัย
4. ใฝเ่ รยี นรู้
5. อยู่อยา่ งพอเพยี ง
6. ม่งุ มนั่ ในการทางาน
7. รักความเป็นไทย
8. มีจติ สาธารณะ
1.6 การจัดการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการสาคญั ในการนาหลักสูตรสู่การปฏิบัติหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน เป็นหลักสูตรท่ีมีมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์
เป็นเปา้ หมายสาคัญสาหรบั พัฒนาเด็กและเยาวชน
ผู้สอนต้องพยายามคัดสรรกระบวนการเรียนรู้ จัดการเรียนรู้ เพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณภาพตาม
มาตรฐานการเรียนรู้ทั้ง 8 กลุ่มสาระเรียนรู้ รวมท้ังปลูกฝังเสริมสร้างคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ พฒั นาทักษะ
ตา่ งๆ อันเปน็ สมรรถนะสาคญั ทตี่ อ้ งการใหเ้ กดิ แก่ผเู้ รียน
1. หลกั การจัดการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสาคัญและ
คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ตามทกี่ าหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้ันพ้ืนฐาน โดยยึดหลักว่า ผู้เรยี นมี
ความสาคัญท่ีสุด เช่ือว่าทุกคนมีความสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ ยึดประโยชน์ท่ีเกิดกับผู้เรียน
กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ คานึงถึง
ความแตกต่างระหว่าง บคุ คลและพัฒนาการทางสมอง เนน้ ใหค้ วามสาคัญท้งั ความรู้ และคณุ ธรรม
2. กระบวนการเรยี นรู้
การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ผู้เรียนจะต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย เป็น
เครื่องมือท่ีจะนาพาตนเองไปสู่เป้าหมายของหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ท่ีจาเป็นสาหรับผู้เรียน อาทิ
กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม
กระบวนการเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้ จากประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบัติ
ฉ
ลงมือทาจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการวิจัย กระบวนการเรียนรู้การเรียนรู้ของตนเอง
กระบวนการพัฒนาลักษณะนิสัย
กระบวนการเหล่าน้ีเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนควรได้รับการฝึกฝน พัฒนา เพราะจะ
สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี บรรลุเป้าหมายของหลักสูตร ดังนั้น ผู้สอนจึงจาเป็นต้องศึกษาทา
ความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อให้สามารถเลือกใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ได้อย่างมี
ประสทิ ธิภาพ
3. การออกแบบการจัดการเรยี นรู้
ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาให้เข้าใจถึงมาตรฐานการเรียนรู้ ชี้วัด สมรรถนะสาคัญของ
ผ้เู รยี นคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ แล้วจึงพิจารณาออกแบบการจดั การเรียนรู้
โดยเลือกใช้วิธีสอนและเทคนิคการสอน สื่อ/แหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผล เพ่ือให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็ม
ตามศักยภาพและบรรลตุ ามมาตรฐานการเรยี นรู้ซึ่งเปน็ เป้าหมายท่ีกาหนด
4. บทบาทของผสู้ อนและผเู้ รียน
การจัดการเรียนร้เู พือ่ ให้ผเู้ รียนมคี ณุ ภาพตามเปา้ หมายของหลกั สตู ร ทั้งผูส้ อนและ
ผเู้ รยี นควรมีบทบาท ดงั น้ี
4.1 บทบาทของผสู้ อน
1) ศึกษาวิเคราะหผ์ ู้เรียนเป็นรายบุคคล แล้วนาข้อมูลมาใช้ในการวางแผน การจัดการเรียนรู้
ทที่ า้ ทายความสามารถของผเู้ รียน
2) กาหนดเป้าหมายทต่ี ้องการให้เกิดข้ึนกับผู้เรยี น ด้านความร้แู ละทักษะ กระบวนการท่ีเป็น
ความคิดรวบยอด หลักการและความสัมพนั ธ์ รวมทงั้ คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
3) ออกแบบการเรียนรู้และจัดการเรียนรู้ท่ีตอบสนองความแตกต่างระหว่าง บุคคลและ
พัฒนาการทางสมอง เพ่ือนาผู้เรยี นไปสเู่ ปา้ หมาย
4) จดั บรรยากาศท่ีเอื้อตอ่ การเรยี นรู้ และดูแลช่วยเหลือผู้เรียนให้เกิดการเรยี นรู้
5) จัดเตรียมและเลือกใช้ส่ือให้เหมาะสมกับกิจกรรม นาภูมิปัญญาท้องถ่ิน เทคโนโลยีที่
เหมาะสมมาประยกุ ตใ์ ช้ในการจดั การเรยี นการสอน
6) ประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียนด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย เหมาะสมกับ ธรรมชาติของ
วชิ าและระดับพฒั นาการของผเู้ รยี น
7) วิเคราะห์ผลการประเมินมาใช้ในการซ่อมเสริมและพัฒนาผู้เรียน รวมท้ัง ปรับปรุงการ
จดั การเรยี นการสอนของตนเอง
4.2 บทบาทของผเู้ รียน
1) กาหนดเป้าหมาย วางแผน และรับผดิ ชอบการเรยี นรู้ของตนเอง
ช
2) เสาะแสวงหาความรู้ เขา้ ถึงแหล่งการเรียนรู้ วเิ คราะห์ สังเคราะห์ข้อความรู้ ตง้ั คาถาม คิด
หาคาตอบหรอื หาแนวทางแกป้ ัญหาด้วยวธิ ีการต่างๆ
3) ลงมือปฏิบัติจริง สรุปส่งิ ที่ได้เรียนรู้ดว้ ยตนเอง และนาความรู้ไปประยกุ ต์ใช้ในสถานการณ์
ต่างๆ
4) มีปฏสิ มั พันธ์ ทางาน ทากิจกรรมร่วมกบั กลมุ่ และครู
5) ประเมนิ และพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ของตนเองอย่างต่อเนอ่ื ง
2. กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
2.1 เป้าหมายของวทิ ยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของการเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ โดยมนุษย์ใช้กระบวนการสังเกตสารวจ
ตรวจสอบ และการทดลองเก่ียวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและนาผลมาจัดระบบ หลักการ แนวคิดและ
ทฤษฎี ดังนั้นการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จึงมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เป็นผู้เรียนรู้และค้นพบด้วยตนเองมากที่สุด
น่ันคือใหไ้ ดท้ ้ังกระบวนการและองค์ความรู้ ต้ังแตว่ ัยเรมิ่ แรกกอ่ นเขา้ เรียน เม่อื อยู่ในโรงเรียน และเม่ือออกจาก
โรงเรยี นไปประกอบอาชพี แล้ว
การจัดการเรียนรู้กลุ่มวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนมีเป้าหมายสาคัญ ดังนี้ (สถาบันส่งเสริมการสอน
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี, 2546 : 3-4)
1. เพื่อให้เข้าใจหลกั การ ทฤษฎีท่เี ป็นพ้ืนฐานในกล่มุ วิทยาศาสตร์
2. เพอ่ื ให้เขา้ ใจขอบเขต ธรรมชาติ และข้อจากดั ของวิทยาศาสตร์
3. เพอื่ ใหม้ ีทักษะท่สี าคญั ในการศึกษาคน้ ควา้ และคิดค้นทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
4. เพ่ือพัฒนากระบวนการคิด จินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหา ทักษะการสื่อสาร ทักษะ
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และความสามารถในการตัดสินใจ
5. เพื่อใหต้ ระหนักถึงความสัมพันธร์ ะหวา่ งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนษุ ยแ์ ละ
สภาพแวดลอ้ มในเชิงท่ีมอี ิทธิพลและผลกระทบซึ่งกนั และกัน
6. เพ่ือนาความรู้ความเข้าใจในเร่ืองวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและ
การดารงชวี ิต
7. เพ่ือให้เป็นคนมีเหตุผล ใจกว้าง รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ในการ
แก้ปัญหา สนใจและใฝ่รู้ในเร่ืองวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากเป้าหมายดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าการเรียน
วิทยาศาสตร์ช่วยให้มีการพัฒนาในทุก ๆ ด้านและครอบคลุมถึงเร่ืองของความตระหนักและผลของ
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีอีกดว้ ยการจัดกระบวนการเรียนรู้กลุ่มวิทยาศาสตร์ในทุกระดับจึงตอ้ งดาเนนิ การที่
จะส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนได้รับการพฒั นาทีส่ มบูรณเ์ พอ่ื ให้บรรลุเปา้ หมายท่ีวางไว้ โดยจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน
ซ
กลุ่มวิทยาศาสตร์ที่เน้นกระบวนการท่ีผู้เรียนเป็นผู้คิด ลงมือปฏิบัติ ศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบด้วยกิจกรรม
หลากหลายท้ังน้ี โดยคานึงถึงวุฒิภาวะ ประสบการณ์เดิม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมต่างกันท่ีผู้เรียนได้รับรู้
มาแล้วก่อนเข้าสู่ห้องเรียน การเรียนรู้ของผู้เรียนจะเกิดข้ึนระหว่างที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมโดยตรงในการทา
กิจกรรมการเรียนเหล่าน้ัน จึงจะมคี วามสามารถในการสืบเสาะหาความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหาด้วย
วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ได้พัฒนากระบวนการคิดข้ันสูงและคาดหวังว่ากระบวนการเรียนรู้ดังกล่าวจะทาให้
ผู้เรยี นได้รับการพฒั นาเจตคติทางวิทยาศาสตร์ มคี ุณธรรม จริยธรรมในการใชว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยอี ย่าง
สรา้ งสรรค์ รวมทั้งสามารถสอื่ สารและทางานร่วมกบั ผอู้ ่นื ไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพและมีความสขุ
2.2 คุณภาพของผเู้ รยี นเมอื่ จบชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 6
เข้าใจการลาเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ กลไกการรักษาดุลยภาพของมนุษย์ ภูมิคุ้มกันในร่างกาย
ของมนุษย์และความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน การใช้ประโยชน์จากสารต่าง ๆ ท่ีพืชสร้างข้ึน การถ่ายทอด
ลักษณะทางพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม วิวัฒนาการที่ทาให้เกิดความหลากหลายของส่ิงมีชีวิต
ความสาคัญและผลของเทคโนโลยที างดเี อน็ เอตอ่ มนษุ ยส์ ง่ิ มชี วี ิต และสิง่ แวดล้อม
เข้าใจความหลากหลายของไบโอมในเขตภูมิศาสตร์ต่าง ๆ ของโลก การเปล่ียนแปลงแทนท่ีในระบบ
นิเวศ ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติและการแกไ้ ขปัญหาสิ่งแวดล้อม
เข้าใจชนิดของอนุภาคสาคัญท่ีเป็นสว่ นประกอบในโครงสรา้ งอะตอม สมบตั ิบางประการของธาตุ การ
จัดเรยี งธาตใุ นตารางธาตุ ชนิดของแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาคและสมบัตติ า่ ง ๆ ของสารท่ีมคี วามสัมพันธก์ ับ
แรงยึดเหนี่ยว พันธะเคมีโครงสร้างและสมบัติของพอลิเมอร์การเกิดปฏิกิริยาเคมีปัจจัยท่ีมีผลต่ออัตราการ
เกิดปฏกิ ิรยิ าเคมีและการเขียนสมการเคมี
เข้าใจปรมิ าณที่เกี่ยวกบั การเคลือ่ นท่ี ความสัมพันธ์ระหว่างแรง มวลและความเรง่ ผลของความเร่งที่มี
ต่อการเคล่ือนท่ีแบบต่าง ๆ ของวัตถุ แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็ก ความสัมพันธ์ระหว่างสนามแม่เหล็กและ
กระแสไฟฟ้า และแรงภายในนวิ เคลียส
เข้าใจพลังงานนิวเคลียร์ความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงาน การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลัง
งานไฟฟ้า เทคโนโลยีด้านพลังงาน การสะท้อน การหักเห การเล้ียวเบนและการรวมคลื่น การได้ ยิน
ปรากฏการณท์ เ่ี กีย่ วข้องกับเสียง สกี ับการมองเห็นสีคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าและประโยชน์ของคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้า
เข้าใจการแบ่งชั้นและสมบัติของโครงสร้างโลก สาเหตุ และรูปแบบการเคล่ือนที่ของแผ่นธรณีที่
สัมพันธ์กับการเกิดลักษณะธรณีสัณฐาน สาเหตุกระบวนการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สึนามิผลกระทบ
แนวทางการเฝา้ ระวัง และการปฏิบตั ิตนให้ปลอดภยั
เข้าใจผลของแรงเนื่องจากความแตกตา่ งของความกดอากาศ แรงคอริออลิส ท่ีมตี ่อการหมุนเวียนของ
อากาศ การหมนุ เวยี นของอากาศตามเขตละติจดู และผลท่ีมตี อ่ ภมู ิอากาศ ความสัมพันธ์ของการหมนุ เวยี นของ
ฌ
อากาศ และการหมุนเวียนของกระแสน้าผิวหน้าในมหาสมุทรและผลต่อลักษณะลมฟ้าอากาศ ส่ิงมีชีวิตและ
สง่ิ แวดล้อม ปัจจัยตา่ ง ๆ ทมี่ ีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมอิ ากาศโลก และแนวปฏบิ ัติเพอื่ ลดกิจกรรมของมนุษย์ท่ี
สง่ ผลต่อการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศโลกรวมทั้งการแปลความหมายสัญลักษณ์ลมฟ้าอากาศท่ีสาคญั จากแผนท่ี
อากาศ และข้อมูลสารสนเทศ
เขา้ ใจการกาเนิดและการเปลีย่ นแปลงพลังงาน สสาร ขนาด อุณหภูมิของเอกภพ หลกั ฐานท่ีสนับสนุน
ทฤษฎีบิกแบง ประเภทของกาแล็กซีโครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซีทางช้างเผือก กระบวนการเกิด
และการสร้างพลังงาน ปัจจัยที่ส่งผลต่อความส่องสว่างของดาวฤกษ์และความสัมพันธ์ระหว่างความส่องสว่าง
กับโชติมาตรของดาวฤกษ์ความสัมพันธ์ระหว่างสีอุณหภูมิผิว และสเปกตรัมของดาวฤกษ์วิวัฒนาการและการ
เปล่ียนแปลงสมบัติบางประการของดาวฤกษ์กระบวนการเกิดระบบสุริยะ การแบ่งเขตบริวารของดวงอาทิตย์
ลักษณะของดาวเคราะห์ที่เอื้อต่อการดารงชีวิต การเกิดลมสุริยะ พายุสุริยะและผลท่ีมีต่อโลก รวมท้ังการ
สารวจอวกาศและการประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยอี วกาศ
ระบุปัญหา ตั้งคาถามที่จะสารวจตรวจสอบ โดยมีการกาหนดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ
สืบค้นข้อมูลจากหลายแหล่ง ต้ังสมมติฐานที่เป็นไปได้หลายแนวทาง ตัดสินใจเลือกตรวจสอบสมมติฐานท่ี
เปน็ ไปได้
ตั้งคาถามหรือกาหนดปัญหาที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้และความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ ที่แสดงให้
เห็นถึงการใช้ความคิดระดับสูงที่สามารถสารวจตรวจสอบหรือศึกษาค้นคว้าได้อย่างครอบคลุมและเช่ือถือได้
สร้างสมมติฐานท่ีมีทฤษฎีรองรับหรือคาดการณ์สิ่งท่ีจะพบ เพ่ือนาไปสู่การสารวจตรวจสอบ ออกแบบวิธีการ
สารวจตรวจสอบตามสมมติฐานท่ีกาหนดไว้ได้อย่างเหมาะสมมีหลักฐานเชิงประจักษ์ เลือกวัสดุ อุปกรณ์
รวมท้ังวิธีการในการสารวจตรวจสอบอย่างถูกต้องทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ และบันทึกผลการสารวจ
ตรวจสอบอย่างเป็นระบบ
วเิ คราะห์แปลความหมายขอ้ มูล และประเมินความสอดคล้องของข้อสรุปเพ่ือตรวจสอบกับสมมติฐาน
ที่ตงั้ ไวใ้ ห้ขอ้ เสนอแนะเพื่อปรับปรุงวธิ กี ารสารวจตรวจสอบ จัดกระทาข้อมูลและนาเสนอขอ้ มูลดว้ ยเทคนิควธิ ีที่
เหมาะสม ส่ือสารแนวคิด ความรู้จากผลการสารวจตรวจสอบ โดยการพูด เขียน จัดแสดงหรือใช้เทคโนโลยี
สารสนเทศเพ่อื ใหผ้ อู้ ่ืนเขา้ ใจโดยมีหลกั ฐานอา้ งองิ หรือมีทฤษฎรี องรบั
แสดงถงึ ความสนใจ มุง่ มน่ั รบั ผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสตั ย์ ในการสืบเสาะหาความรโู้ ดยใช้เครือ่ งมือ
และวธิ กี ารท่ีให้ไดผ้ ลถกู ตอ้ ง เชอื่ ถือได้มีเหตผุ ลและยอมรับได้ว่าความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์อาจมีการเปล่ียนแปลง
ได้
แสดงถึงความพอใจและเห็นคุณค่าในการค้นพบความรู้พบคาตอบ หรือแก้ปัญหาได้ทางานร่วมกับ
ผู้อ่ืนอย่างสร้างสรรค์แสดงความคิดเห็นโดยมีข้อมูลอ้างอิงและเหตุผลประกอบเกี่ยวกับผลของการพัฒนาและ
ญ
การใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณธรรมต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และยอมรับฟังความคิดเห็นของ
ผู้อ่นื
เข้าใจความสัมพันธ์ของความรู้วิทยาศาสตร์ที่มีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ และการ
พฒั นาเทคโนโลยีทสี่ ่งผลให้มีการคิดค้นความรู้ทางวทิ ยาศาสตรท์ ก่ี ้าวหน้าผลของเทคโนโลยีต่อชีวติ สังคม และ
ส่ิงแวดลอ้ ม
ตระหนักถึงความสาคัญและเหน็ คณุ ค่าของความรูว้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีที่ใชใ้ นชีวิตประจาวนั ใช้
ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดารงชีวิตและการประกอบอาชีพ แสดงความ
ชื่นชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้างอิงผลงาน ช้ินงานที่เป็นผลมาจากภูมิปัญญาท้องถ่ิน และการพัฒนาเทคโนโลยีที่
ทนั สมัย ศกึ ษาหาความรู้เพมิ่ เติม ทาโครงงานหรือสร้างช้ินงานตามความสนใจ
แสดงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเก่ียวกับการใช้และรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
อย่างรู้คุณค่า เสนอตัวเองร่วมมือปฏิบัติกับชุมชนในการป้องกัน ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของ
ท้องถนิ่
วิเคราะห์แนวคิดหลักของเทคโนโลยีได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยีท่ีซับซ้อนการเปล่ียนแปลงของ
เทคโนโลยีความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์วิเคราะห์
เปรียบเทียบ และตัดสินใจเพ่ือเลือกใช้เทคโนโลยีโดยคานึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม เศรษฐกิจ และ
ส่ิงแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ทักษะ ทรัพยากรเพ่ือออกแบบสร้างหรือพัฒนาผลงาน สาหรับแก้ปัญหาท่ีมี
ผลกระทบต่อสังคม โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในการออกแบบและนาเสนอ
ผลงาน เลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์และเครื่องมือได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ปลอดภัย รวมท้ังคานึงถึงทรัพย์สินทาง
ปัญญา
ใช้ความรู้ทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอรส์ ่ือดจิ ิทลั เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร เพื่อรวบรวม
ข้อมูลในชีวิตจริงจากแหล่งต่าง ๆ และความรู้จากศาสตร์อื่น มาประยุกต์ใช้สร้างความรู้ใหม่ เข้าใจการ
เปลีย่ นแปลงของเทคโนโลยที ม่ี ีผลตอ่ การดาเนินชวี ติ อาชพี สังคมวัฒนธรรม และใช้อย่างปลอดภยั มีจริยธรรม
2.3 สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรเ์ พม่ิ เตมิ สาระชีววิทยา
สาระชีววทิ ยา
1. เขา้ ใจธรรมชาติของส่ิงมชี ีวิต การศกึ ษาชวี วิทยาและวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์สารทเ่ี ป็นองค์ประกอบ
ของสิง่ มชี วี ิต ปฏิกิรยิ าเคมีในเซลล์ของสิง่ มชี ีวติ กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลลก์ ารลาเลยี งสาร
เข้าและออกจากเซลล์การแบ่งเซลล์และการหายใจระดับเซลล์ ตารางแสดง ผลการเรียนรู้และสาระการ
เรยี นรู้เพม่ิ เตมิ ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 4 (สาระชีววทิ ยา1)
ฎ
ชนั้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพิม่ เติม
ม.4 1. อธิบาย และสรุปสมบัติท่ีสาคัญของ • ส่ิงมีชีวิตทุกชนิดต้องการสารอาหารและพลังงาน
ส่ิงมีชีวิตและความสัมพันธ์ของการจัดระบบ มีการเจริญเติบโต มีการตอบสนองต่อส่ิงเร้ามีการ
ในส่งิ มีชวี ติ ที่ทาให้สงิ่ มชี ีวติ ดารงชีวิตอยไู่ ด้ รักษาดุลยภาพของร่างกาย มีการสืบพันธ์ุมีการ
ปรับตัวทางวิวัฒนาการ และมีการทางานร่วมกัน
ขององคป์ ระกอบต่าง ๆ อยา่ งเปน็ ระบบ
ส่งิ เหล่านี้จัดเป็นสมบตั ิทีส่ าคัญของสง่ิ มีชวี ิต
• การจัดระบบในสิ่งมีชีวิตเริ่มจากหน่วยเล็กไป
หน่วยใหญ่ ได้แก่ เซลล์เน้ือเย่ือ อวัยวะ ระบบ
อวยั วะ และสิ่งมชี ีวติ ตามลาดบั
2. อภิปราย และบอกความสาคัญของการ • วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการค้นหาคาตอบ
ระบุปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา เกี่ยวกับส่ิงมีชีวิต เร่ิมจากการตั้งปัญหาหรือคาถาม
สมมติฐานและวิธีการตรวจสอบสมมติฐาน ต้ังสมมติฐาน ตรวจสอบสมมติฐาน เก็บรวบรวม
รวมทั้งออกแบบการทดลองเพ่ือตรวจสอบ ขอ้ มูล วิเคราะหข์ ้อมูล และสรปุ ผล
สมมติฐาน • การศึกษาสง่ิ มีชวี ิตต้องอาศัยความรจู้ ากแขนงวชิ า
ต่าง ๆ ของชีววิทยาและสาขาวิชาอื่นท่ีเกี่ยวข้อง
และควรคานงึ ถึงชีวจริยธรรมและจรรยาบรรณการ
ใช้สัตว์ทดลอง
3. สืบค้นข้อมูล อธิบายเก่ียวกับสมบัติของ • ส่ิงมีชีวิตประกอบด้วย ธาตุและสารประกอบใน
น้าและบอกความสาคัญของน้าท่ีมีต่อ ร่างกายของสิ่งมีชีวิตมีน้าเป็นองค์ประกอบมาก
สิ่งมีชีวิตและยกตัวอย่างธาตุชนิดต่าง ๆ ท่ีมี ที่สุดน้าประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจนและออกซิเจน
ความสาคญั ต่อร่างกายสิ่งมีชีวติ มีสมบัติในการเป็นตัวทาละลายที่ดีเก็บความร้อน
ได้ดีและมีความจุความร้อนสูงซึ่งช่วยรักษาดุลย
ภาพของเซลล์ได้
• ธาตุที่ส่ิงมีชีวิตต้องการจะอยู่ในรูปของไอออนใน
มนุษย์และสัตว์ธาตุจะช่วยให้การทางานของระบบ
ต่าง ๆ ในร่างกายดาเนินไปตามปกติ นอกจากน้ีใน
ก ร ะ ดู ก ฟั น แ ล ะ ก ล้ า ม เ นื้ อ จ ะ มี ธ า ตุ เ ป็ น
องค์ประกอบด้วย
4. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของ • คาร์โบไฮเดรตประกอบด้วย ธาตุคาร์บอน
คาร์โบไฮเดรตระบุกลุ่มของคาร์โบไฮเดรต ไฮโดรเจน และออกซิเจน แบ่งตามขนาดโมเลกุล
รวมทั้งความสาคัญของคาร์โบไฮเดรตที่มีต่อ ออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ มอโ นแซ็กคาไรด์
สง่ิ มชี วี ิต ไดแซก็ คาไรด์และพอลิแซ็กคาไรด์
ฏ
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิม่ เตมิ
ม.4 5. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของ • โปรตนี มีกรดอะมิโนเป็นหนว่ ยย่อย ประกอบด้วย
โปรตีนและความสาคัญของโปรตีนท่ีมีต่อ ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน และไนโตรเจน
สิ่งมีชีวิต บางชนิดอาจมีธาตุฟอสฟอรัส เหล็ก และกามะถัน
เปน็ องค์ประกอบ
6. สืบค้นข้อมูล อธบิ ายโครงสรา้ งของลพิ ิด ลิพิดประกอบด้วย ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และ
และความสาคญั ของลิพดิ ที่มตี อ่ สิง่ มีชีวติ ออกซิเจน เป็นสารประกอบที่ละลายได้ดีในตัวทา
ละลายท่ีเป็นสารอินทรีย์ลิพิดกลุ่มสาคัญ ที่พบใน
สิ่งมีชีวิต เช่น กรดไขมัน ไตรกลีเซอไรด์ฟอสโฟ
ลพิ ิด สเตอรอยด์
7. อธิบายโครงสร้างของกรดนิวคลิอิก และ • กรดนิวคลิอิกประกอบด้วย หน่วยย่อย เรียกว่านิ
ระบุชนิดของกรดนิวคลิอิก และความสาคัญ วคลีโอไทด์โมเลกุลของนิวคลีโอไทด์ประกอบด้วย
ของกรดนิวคลอิ ิกท่มี ตี ่อสิ่งมีชวี ติ หมฟู่ อสเฟต น้าตาลทมี่ ีคารบ์ อน 5 อะตอมและเบส
ที่มีไนโตรเจนเปน็ องค์ประกอบ
• กรดนิวคลอิ ิกเปน็ องคป์ ระกอบของสารพันธุกรรม
ทาหน้าที่เก็บและถ่ายทอดข้อมูลทางพนั ธุกรรมมี 2
ชนดิ คอื DNA และ RNA
8. สืบค้นข้อมูล และอธิบายปฏิกิริยาเคมีท่ี • เมแทบอลิซึมเป็นปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นภายใน
เกดิ ขึน้ ในสงิ่ มชี ีวิต เซลล์ของส่ิงมีชีวิต ปฏิกิริยาเคมีประกอบด้วย
9. อธิบายการทางานของเอนไซม์ในการเร่ง ปฏิกิริยาคายพลังงาน และปฏิกิริยาดูดพลังงาน
ปฏิกิริยาเคมีในสิ่งมีชีวิตและระบุปัจจัยที่มี ปฏิกริ ิยาเคมีเหลา่ นี้จะดาเนินไปไดอ้ ย่างรวดเร็ว
ผลตอ่ การทางานของเอนไซม์ จาเป็นต้องอาศยั เอนไซมช์ ่วยเรง่ ปฏิกริ ิยา
• เอนไซม์ส่วนใหญ่เป็นสารประเภทโปรตีนทา
หน้าทเี่ ร่งปฏิกริ ิยาเคมีในขณะท่ีเกิดปฏิกิรยิ าเคมีใน
เซลล์สารตั้งต้นจะเข้าไปจับกับเอนไซม์ ท่ีบริเวณ
จาเพาะของเอนไซม์ทเี่ รียกว่า บรเิ วณเร่ง
ถา้ สารต้ังต้นมีโครงสร้างเข้ากับบริเวณเร่งได้สารตั้ง
ต้นนน้ั จะถกู เปลย่ี นเป็นสารผลิตภณั ฑ์
• อุณหภมู ิสภาพความเปน็ กรด-เบส และ
ตัวยบั ย้งั เอนไซม์เป็นปัจจัยท่มี ผี ลต่อการทางานของ
เอนไซม์
ฐ
ชน้ั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรูเ้ พมิ่ เติม
ม.4 10. บอกวธิ ีการ และเตรียมตวั อยา่ งสิ่งมชี วี ิต • กล้องจุลทรรศน์เป็นเครื่องมือที่ใช้ศึกษาสิ่งมีชีวิต
เพ่ือศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงวัด ขนาดเล็ก ท่ีไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าและ
ขนาดโดยประมาณ และวาดภาพที่ปรากฏ รายละเอยี ดโครงสร้างของเซลล์
ภายใต้กล้อง บอกวิธีการใช้และการดูแล • กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงเชิงประกอบ และกล้อง
รกั ษากลอ้ งจลุ ทรรศนใ์ ช้แสงทีถ่ ูกต้อง จุลทรรศน์ใช้แสงแบบสเตอริโออาศัยเลนส์ในการ
ทาใหเ้ กดิ ภาพขยาย
• กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนทาให้เกิดภาพขยาย
โดยอาศัยเลนส์แม่เหล็กไฟฟ้ารวมลาอิเล็กตรอนซึ่ง
มีอย่ดู ้วยกัน 2 ชนิด คอื ชนดิ ส่องผ่านและชนิดส่อง
กราด
• ตัวอย่างสิ่งมีชีวิตท่ีนามาศึกษาภายใต้กล้อง
จุลทรรศน์ใช้แสงต้องมีวิธีการเตรียมที่ถูกต้องและ
เหมาะสมกับชนิดของส่ิงมีชีวิต เพ่ือให้เกิด
ประสิทธภิ าพในการศกึ ษา
• กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงเป็นเคร่ืองมือท่ีมีความ
ละเอียดซับซ้อน และราคาค่อนข้างสูง จึงควรใช้
อย่างถูกวิธีมีการเก็บและดูแลรักษาท่ีถูกต้อง
เพือ่ ใหส้ ามารถใช้งานไดน้ าน
11. อธิบายโครงสร้างและหน้าท่ีของส่วนท่ี • เซลล์เป็นหน่วยพื้นฐานที่เล็กท่ีสุดของสิ่งมีชีวิต
ห่อหุม้ เซลลข์ องเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ตั ว์ โครงสร้างพื้นฐานของเซลล์ประกอบด้วย ส่วนที่
12. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และระบุชนิดและ ห่อหมุ้ เซลล์ไซโทพลาซมึ และนิวเคลยี ส
หน้าทีข่ องออรแ์ กเนลล์ • ส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์ที่พบในเซลล์ทุกชนิดคือ เย่ือ
13. อธิบายโครงสร้างและหน้าท่ีของ หุ้มเซลล์แต่ในแบคทีเรียสาหร่าย ฟังไจและพชื จะมี
นวิ เคลียส ผนังเซลล์เป็นส่วนห่อหุ้มเซลล์เพิ่มเติมขึ้นมาอีก
ชั้นหน่งึ
• โครงสร้างของเย่ือหุ้มเซลล์ประกอบด้วยโมเลกุล
ของฟอสโฟลิพิดเรียงเป็นสองช้ัน และมีโปรตีน
แทรกหรืออยทู่ ผี่ ิวทัง้ สองด้านของฟอสโฟลิพดิ
• ไซโทพลาซึมอยู่ภายในเย่ือหุ้มเซลล์ประกอบด้วย
ไซโทซอลและออรแ์ กเนลล์
ฑ
ชน้ั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่มิ เติม
ม.4 • นิวเคลียสเป็นศูนย์กลางควบคุมการทางานของ
เซลล์ยูคาริโอต ประกอบด้วยเยื่อหุ้ม ซึ่งภายในมี
DNA RNA และโปรตีนบางชนิด
14. อธิบาย และเปรียบเทียบการแพร่ • สารต่าง ๆ มีการเคล่ือนท่ีเข้าและออกจากเซลล์
ออสโมซิสการแพร่แบบฟาซิลิเทตและแอก อยู่ตลอดเวลาโดยกระบวนการต่าง ๆ ได้แก่การ
ทฟี ทรานสปอรต์ แพร่ออสโมซิส การแพร่แบบฟาซิลิเทต แอก
15. สืบคน้ ขอ้ มูล อธิบาย และเขยี นแผนภาพ ทีฟทรานสปอร์ต กระบวนการเอกโซไซโทซิส
การลาเลียงสารโมเลกลุ ใหญ่ออกจากเซลล์ กระบวนการเอนโดไซโทซสิ
ด้วยกระบวนการเอกโซไซโทซิสและการ • แก๊สต่าง ๆ เข้าหรือออกจากเซลล์โดยการแพร่
ลาเลียงสารโมเลกุลใหญ่เข้าสู่เซลล์ด้วย สว่ นน้าเข้าหรอื ออกจากเซลล์ผา่ นเยือ่ หมุ้ เซลล์ โดย
กระบวนการเอนโดไซโทซิส ออสโมซิส
• ไอออนและสารบางอยา่ งท่ไี ม่สามารถลาเลียงผ่าน
เย่อื หุ้มเซลลโ์ ดยตรงไดจ้ าเปน็ ต้องอาศัยโปรตีนท่อี ยู่
บนเยื่อหุ้มเซลล์เป็นตัวพาสารนั้นเข้าและออกจาก
เซลล์เรยี กว่า การแพร่แบบฟาซลิ ิเทต
• แอกทีฟทรานสปอร์ต เป็นการลาเลียงสารจาก
บริเวณท่ีมีความเข้มข้นต่าไปยังบริเวณท่ีมีความ
เขม้ ขน้ สงู
• สารบางอย่างท่ีไม่สามารถแพร่ผ่านเย่ือหุ้มเซลล์
หรือลาเลียงผ่านโปรตีนท่เี ปน็ ตัวพาไดจ้ ะถกู ลาเลียง
ออกจากเซลล์ดว้ ยกระบวนการเอกโซไซโทซิส
• สารที่มีขนาดใหญ่จะสามารถลาเลียงเข้าสู่เซลล์
ดว้ ยกระบวนการเอนโดไซโทซิสซ่ึงแบ่งเป็น 3 แบบ
ได้แก่ พิโนไซโทซิส ฟาโกไซโทซิส และการนาสาร
เขา้ สูเ่ ซลล์โดยอาศัยตวั รบั
16. สังเกตการแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิส • การแบ่งเซลล์ของส่ิงมีชีวิตเป็นการเพิ่มจานวน
และแบบไมโอซิสจากตัวอย่างภายใต้กล้อง เซลล์ซ่ึงเป็นกระบวนการที่เกิดข้ึนต่อเน่ืองกัน
จุลทรรศน์ พรอ้ มทั้งอธบิ ายและเปรยี บเทยี บ เป็นวัฏจักร โดยวัฏจักรของเซลล์ประกอบด้วย
การแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิส และแบบไม อินเตอร์เฟส การแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิสและ
โอซิส การแบ่งไซโทพลาซมึ
ม.4 • การแบ่งนิวเคลยี สมี 2 แบบ คอื การแบง่ นิวเคลยี ส
แบบไมโทซสิ และการแบ่งนิวเคลยี สแบบไมโอซิส
ฒ
ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพ่ิมเตมิ
• การแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิส ประกอบด้วย
ระยะโพรเฟส เมทาเฟส แอนาเฟส และเทโลเฟส
• การแบ่งนิวเคลียสแบบไมโอซิสประกอบด้วย
ระยะโพรเฟส I เมทาเฟส I แอนาเฟส Iเทโลเฟส I
ระยะโพรเฟส II เมทาเฟส II
แอนาเฟส II และเทโลเฟส II
• การแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิสทาให้เซลล์
ร่างกายเพิ่มจานวนเพ่ือการเจริญเติบโต และ
ซอ่ มแซมส่วนที่สกึ หรอหรอื ถูกทาลายไปไดส้ ่วนการ
แบ่ง
นิวเคลียสแบบไมโอซิสมีความสาคัญต่อส่ิงมีชีวิตใน
กระบวนการสรา้ งเซลลส์ ืบพนั ธุ์
• การแบ่งไซโทพลาซึมในเซลล์พืชจะมีการสร้าง
แผ่นก้ันเซลล์และเซลล์สัตว์จะมีการคอดเว้าเข้าหา
กนั ของเย่อื หมุ้ เซลล์
17. อธบิ าย เปรยี บเทยี บ และสรปุ ขั้นตอน • การหายใจระดับเซลล์เป็นการสลายสารอาหารที่
การหายใจระดับเซลล์ในภาวะทม่ี ีออกซิเจน มีพลังงานสูง โดยมีออกซิเจนเป็นตัวรับอิเล็กตรอน
เพียงพอ และภาวะท่ีมีออกซิเจนไมเ่ พยี งพอ ตัวสุดท้าย ประกอบด้วย 3 ข้ันตอน คือ ไกลโคลิซิส
วั ฏ จั ก ร เ ค ร บ ส์ แ ล ะ ก ร ะ บ ว น ก า ร ถ่ า ย ท อ ด
อเิ ล็กตรอน
• การหายใจระดับเซลล์พลังงานส่วนใหญ่ได้จาก
ข้ันตอนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน พลังงานน้ี จะถูก
เกบ็ ไวใ้ นพนั ธะเคมใี นโมเลกลุ ของ ATP
• ในภาวะท่มี ีออกซเิ จนไม่เพียงพอ ทาให้การหายใจ
ของเซลล์ไม่สมบูรณ์จงึ เกิดได้เฉพาะไกลโคลิซิส ผล
ท่ีได้จากการหายใจในสภาวะนี้ในสัตว์จะได้กรด
แลกติก ในจุลินทรีย์และพืชอาจได้กรดแลกติก
หรือเอทิลแอลกอฮอล์
ณ
2. เข้าใจการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม สมบตั ิและหน้าทขี่ องสาร
พันธุกรรม การเกิดมิวเทชัน เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ หลักฐานข้อมูลและแนวคิดเก่ียวกับวิวัฒนาการของ
ส่ิงมีชวี ิต ภาวะสมดุลของฮารด์ ี-ไวน์เบริ ์ก การเกดิ สปชี ีสใ์ หม่ ความหลากหลายทางชวี ภาพ กาเนิดของส่งิ มีชีวิต
ความหลากหลายของสงิ่ มีชีวติ และอนกุ รมวธิ าน รวมทงั้ นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
ตารางแสดง ผลการเรยี นรแู้ ละสาระการเรียนรเู้ พม่ิ เติมชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 (สาระชีววทิ ยา2)
ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพิม่ เติม
ม.4 1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และสรุปผลการ • เมนเดลศึกษาการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม
ทดลองของเมนเดล โดยการผสมพันธ์ุถัว่ ลนั เตา จนสรุปเปน็ กฎแห่งการ
2. อธบิ าย และสรุปกฎแห่งการแยก และ แยกและกฎแหง่ การรวมกลมุ่ อยา่ งอสิ ระ
กฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอิสระ และนากฎ • กฎแห่งการแยกมีใจความว่า แอลลีลท่ีอยู่เป็นคู่
ของเมนเดลน้ีไปอธิบายการถ่ายทอด จะแยกออกจากกันในระหว่างการสร้างเซลล์
ลักษณะทางพนั ธุกรรมและใช้ในการคานวณ สืบพันธุ์โดยเซลล์สืบพันธ์ุแต่ละเซลล์จะมีเพียงแอล
โอกาสในการเกิดฟีโนไทป์และจีโนไทป์แบบ ลลี ใดแอลลีล
ต่าง ๆ ของรุน่ F1 และ F2 หนึง่
• กฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอิสระมีใจความว่า
หลังจากคู่ของแอลลีลแยกออกจากกัน แต่ละแอล
ลีลจะจัดกลุ่มอย่างอิสระกับแอลลีลอ่ืน ๆท่ีแยก
ออกจากค่เู ช่นกนั ในการเข้าไปอยู่ในเซลล์
สืบพนั ธุ์
3. สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์อธิบาย และสรุป • การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมบางลักษณะ
เก่ียวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม ให้อัตราส่วนท่ีแตกต่างจากผลการศึกษาของเมน
ท่เี ปน็ ส่วนขยายของพนั ธุศาสตรเ์ มนเดล เดล เรยี กลักษณะเหล่านี้วา่ ลักษณะทางพันธกุ รรม
4. สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์และเปรียบเทียบ ท่ีเป็นส่วนขยายของพันธุศาสตร์เมนเดล เช่น การ
ลักษณะทางพันธุกรรมที่มีการแปรผันไม่ ขม่ ไม่สมบูรณ์การข่มร่วมกันมัลติเปลิ แอลลีลยีนบน
ต่อเน่ืองและลักษณะทางพันธุกรรมท่ีมีการ โครโมโซมเพศและพอลิยนี
แปรผันตอ่ เน่ือง • ลักษณะพันธุกรรมบางลักษณะมีความแตกต่าง
กันชัดเจน เช่น การมีติ่งหูหรือไม่มีต่ิงหูซ่ึงเป็น
ลักษณะทางพันธุกรรมท่ีมีการแปรผนั ไม่ตอ่ เน่ือง
• ลักษณะทางพันธุกรรมบางลักษณะมีความ
แตกตา่ งกนั เลก็ น้อยและลดหลั่นกนั ไป เชน่ ความสูง
และสผี ิวของมนษุ ยถ์ ูกควบคุมโดยยนี หลายคู่ซึง่ เป็น
ด
ชน้ั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนร้เู พมิ่ เติม
ม.4 ลักษณะทางพันธุกรรมท่ีมีการแปรผันต่อเนื่องและ
สง่ิ แวดล้อมอาจมผี ลตอ่ การแสดงลักษณะนน้ั
5. อธิบายการถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม • โครโมโซมภายในเซลล์ร่างกายแบ่งเป็นออโตโซม
และยกตัวอย่างลักษณะทางพันธุกรรมท่ีถูก และโครโมโซมเพศ ลักษณะทางพันธุกรรมส่วน
ควบคุมด้วยยีนบนออโตโซมและยีนบน ใหญถ่ ูกควบคุมดว้ ยยีนบนออโตโซมบางลักษณะถูก
โครโมโซมเพศ ควบคุมด้วยยีนบนโครโมโซมเพศซึ่งส่วนมากเป็น
ยีนบนโครโมโซม X
• เม่ือมีการสร้างเซลล์สืบพันธ์ุยีนบนโครโมโซม
เดยี วกนั ทอ่ี ยใู่ กลก้ ันมักจะถูกถ่ายทอดไปด้วยกันแต่
การเกิดครอสซิงโอเวอร์ในการแบ่งเซลล์แบบไมโอ
ซิสอาจทาให้ยีนบนโครโมโซมเดียวกันแยกจากกัน
ได้ส่งผลใหร้ ูปแบบของเซลลส์ ืบพนั ธทุ์ ไี่ ด้
แตกต่างไปจากกรณที ี่ไมเ่ กิดครอสซงิ โอเวอร์
6. สืบค้นข้อมูล อธิบายสมบัติและหน้าท่ี • DNA เป็นพอลิเมอร์ของนิวคลีโอไทด์แต่ละนิวคลี
ข อ ง ส า ร พั น ธุ ก ร ร ม โ ค ร ง ส ร้ า ง แ ล ะ โอไทด์ประกอบด้วย ํน้าตาลดีออกซีไรโบสหมู่
องค์ประกอบทางเคมีของ DNA และสรุป ฟอสเฟต และไนโตรจนี สั เบส คือ A T C และ G
การจาลอง DNA • โมเลกุลของ DNA เป็นพอลินิวคลีโอไทด์2 สาย
7. อธิบาย และระบุขน้ั ตอนในกระบวนการ เรียงสลับทิศและบิดเป็นเกลียวเวียนขวา โดยการ
สงั เคราะห์โปรตีนและหนา้ ทีข่ อง DNA และ เข้าคู่กันของสาย DNA เกิดจากการจับคู่ของเบสคู่
RNA แต่ละชนิดในกระบวนการสงั เคราะห์ สม คือ A คูก่ ับ T และ C คูก่ ับ G
โปรตีน • ยีน คือสาย DNA บางช่วงท่ีควบคุมลักษณะทาง
8. สรุปความสัมพันธ์ระหว่างสารพันธุกรรม พันธุกรรมได้โดยยีนกาหนดลาดับกรดอะมิโนของ
แอลลีลโปรตีน ลักษณะทางพันธุกรรม และ โปรตีนซึ่งทาหน้าท่ีเป็นโครงสร้าง เอนไซม์และอ่ืน
เชือ่ มโยงกับความรู้เร่ืองพันธศุ าสตรเ์ มนเดล ๆ มีผลทาให้เซลล์และส่ิงมีชีวิตปรากฏลักษณะต่าง
ๆ ได้
• DNA จาลองตวั เองได้โดยใชส้ ายหน่ึงเปน็ แมแ่ บบ
และสร้างอีกสายข้ึนมาใหม่ซ่ึงจะมีโครงสร้างและ
ลาดับนวิ คลีโอไทดเ์ หมือนเดิม
• DNA ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
ไดโ้ ดยการสรา้ ง RNA 3 ประเภท คือ mRNA tRNA
และ rRNA ซึ่งร่วมกันทาหน้าที่ในกระบวนการ
สงั เคราะหโ์ ปรตีน
ต
ชัน้ ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพม่ิ เตมิ
ม.4 • RNA เป็นพอลิเมอร์ของนิวคลีโอไทด์สายเด่ียวแต่
ละนิวคลีโอไทด์ประกอบด้วย น้าตาลไรโบสหมู่
ฟอสเฟตและไนโตรจีนัสเบสคือ A U C และ G
9. สืบคน้ ขอ้ มูล และอธบิ ายการเกิดมิวเทชัน • มิวเทชันเป็นการเปล่ียนแปลงของลาดับหรือ
ระดับยีนและระดับโครโมโซม สาเหตุการ จานวนนิวคลีโอไทด์ใน DNA ซึ่งอาจนาไปสู่การ
เกดิ มิวเทชนั รวมท้งั ยกตวั อยา่ งโรคและกลุ่ม เปลี่ยนแปลงโครงสร้างและการทางานของโปรตีน
อาการทเี่ ป็นผลของการเกดิ มวิ เทชัน ซึ่งถ้าการเปล่ียนแปลงดังกล่าวเกิดในเซลล์สืบพันธุ์
จะสามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อ ๆ ไปได้และทาให้
เกิดความแปรผันทางพันธุกรรมของส่ิงมีชีวิต การ
เกิดมวิ เทชนั มีสาเหตุ
มาจากปจั จยั ต่าง ๆ เชน่ รังสแี ละสารเคมี
• การขาดหายไปหรือเพิ่มข้ึนของนิวคลีโอไทด์และ
การแทนที่คู่เบส เป็นการเกดิ มิวเทชนั ระดับยนี เช่น
โรคโลหิตจางชนิดซิกเคิลเซลล์เป็นผลมาจากการ
แทนท่คี ู่เบส
• การเปล่ียนแปลงโครงสร้างของโครโมโซม เช่น
หายไปหรือเพิ่มข้ึนบางส่วน และการเปลี่ยนแปลง
จานวนโครโมโซม เช่น การลดลงหรือเพิ่มขน้ึ
ของโครโมโซมบางแท่งหรือท้ังชุด เป็นสาเหตุของ
การเกดิ มิวเทชันระดบั โครโมโซม เช่น กลุ่มอาการค
ริดูชาต์และกลุ่มอาการดาวน์กลุ่มอาการเทอร์เนอร์
และกลุ่มอาการไคลนเ์ ฟลเตอร์
10. อธิบายหลักการสร้างสิ่งมีชีวิตดัดแปร • การใชเ้ ทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ ในการสร้างดีเอ็นเอ
พนั ธุกรรมโดยใชด้ ีเอ็นเอรคี อมบแิ นนท์ รคี อมบิแนนท์สามารถนาไปใช้ในการสร้างส่ิงมีชีวิต
11. สืบค้นข้อมูล ยกตัวอย่าง และอภิปราย ดดั แปรพนั ธุกรรม โดยนายนี ทต่ี อ้ งการ
การนาเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอไปประยุกต์ใช้ มาตัดต่อใส่ในส่ิงมีชีวิต ทาให้สิ่งมีชีวิตนั้นมีสมบัติ
ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม นิติวิทยาศาสตร์ ตามตอ้ งการ
การแพทย์การเกษตรและอุตสาหกรรม และ • เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ สามารถนาไปประยุกต์ใช้
ขอ้ ควรคานึงถึงดา้ นชีวจรยิ ธรรม ในด้านตา่ ง ๆ เช่น สิง่ แวดล้อม นติ ิวทิ ยาศาสตร์
ม.4 12. สืบค้นข้อมูล และอธิบายเก่ียวกับ • หลกั ฐานที่ทาให้เช่ือว่าสิ่งมีชีวติ มวี ิวฒั นาการ เช่น
หลักฐานท่ีสนับสนุนและข้อมูลที่ใช้อธิบาย ซากดึกดาบรรพ์กายวิภาคเปรียบเทียบวิทยา
การเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมชี ีวติ เอ็มบริโอ การแพร่กระจายของสิ่งมีชีวิตทาง
ถ
ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนร้เู พม่ิ เติม
ม.4 ภูมิศาสตร์การศึกษาทางชีวภูมิศาสตร์และด้าน
ชีววทิ ยาระดบั โมเลกลุ
• มนุษย์มีการสืบสายวิวัฒนาการมาเป็นเวลานาน
โดยมีหลักฐานท่ีสนบั สนุนจากซากดึกดาบรรพ์ ของ
บ ร ร พ บุ รุ ษ ม นุ ษ ย์ ที่ ค้ น พ บ แ ล ะ จ า ก ก า ร
เปรียบเทียบลาดับเบสบน DNA ระหว่างมนุษย์กับ
ไพรเมตอนื่ ๆ
13. อธิบาย และเปรียบเทียบแนวคิด • ฌอง ลามาร์ก ไดเ้ สนอแนวคิดเพื่ออธบิ ายเกี่ยวกบั
เก่ียวกับวิวัฒนาการของส่ิงมีชีวิตของฌอง วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตว่า ส่ิงมีชีวิตมีการ
ลามาร์กและทฤษฎีเก่ียวกับวิวัฒนาการของ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
สิ่งมีชวี ิตของชาลส์ดารว์ นิ โดยอาศัยกฎการใช้และไม่ใช้และกฎแห่งการ
ถ่ายทอดลักษณะทเี่ กดิ ขึน้ มาใหม่
• ชาลส์ดาร์วิน เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับวิวัฒนาการ
ของสิ่งมีชีวิตว่า เกิดจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติ
โดยสิ่งมีชีวติ มีแนวโน้มท่ีจะให้กาเนดิ ลกู ทม่ี ีลักษณะ
แตกต่างกันจานวนมาก แต่มีเพียงจานวนหนึ่งที่
เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมสามารถมีชีวิตรอด
และถ่ายทอดลกั ษณะ
ทเ่ี หมาะสมไปยังรนุ่ ตอ่ ไปได้
14. ระบุสาระสาคัญ และอธิบายเงื่อนไข • เม่ือประชากรอยู่ในภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์
ของภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบริ ์ก ปัจจยั ที่ เบิรก์ โดยประชากรมขี นาดใหญ่ ไม่มีการถ่ายเทยีน
ทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงความถี่ของแอล ระหว่างประชากร ไม่เกิดมิวเทชัน สมาชิกทุกตัวมี
ลลี ในประชากร พร้อมทั้งคานวณหาความถี่ โอกาสผสมพันธุ์ได้เท่ากัน และไม่เกิดการคัดเลือก
ของแอลลลี และจโี นไทป์ของประชากร โดยธรรมชาตจิ ะทาใหค้ วามถขี่ องแอลลลี ของ
โดยใชห้ ลกั ของฮาร์ดี-ไวน์เบริ ์ก ลักษณะนั้นไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะผ่านไปก่ีรุ่นก็
ตาม เปน็ ผลให้ลกั ษณะน้นั ไมเ่ กดิ ววิ ัฒนาการ
• การเปลี่ยนแปลงความถ่ีของยีนหรือแอลลีลใน
ประชากร เกิดจากปัจจัยหลายประการ นาไปสู่การ
เกดิ ววิ ัฒนาการ
15. สบื คน้ ขอ้ มูล อภปิ ราย และอธิบาย • สปีชีส์ใหม่จะเกิดขึ้นได้เมื่อไม่มีการถ่ายเท
กระบวนการเกดิ สปชี สี ์ใหม่ของสิ่งมีชวี ิต เคล่ือนย้ายยีนระหว่างประชากรหนึ่งกับอีก
ประชากรหน่ึง ในรุ่นบรรพบุรุษ ทาให้ประชากรท้ัง
ท
ชน้ั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม
ม.4 สอง มีโครงสร้างทางพันธุกรรมท่ีแตกต่างกันและ
ววิ ัฒนาการเกดิ เป็นสปีชสี ใ์ หม่
• ปัจจยั ทีท่ าใหเ้ กิดสปีชสี ์ใหม่อาจเกิดได้๒ แนวทาง
คือ การเกิดสปีชีส์ใหม่จากการแบ่งแยกทาง
ภูมิศาสตร์และการเกิดสปีชีส์ใหม่ในเขตภูมิศาสตร์
เดียวกัน
ธ
3. คาอธบิ ายรายวชิ า
คาอธิบายรายวิชา
กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ าเพ่ิมเตมิ
รหัส ว30241 วชิ า ชีววิทยา 1 ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 1
เวลาเรียน 60 ช่วั โมง (3 ชั่วโมง/สัปดาห์) จานวน 1.5 หนว่ ยกิต
ศึกษาเก่ียวกับธรรมชาติของส่ิงมีชีวิต ลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิต แขนงวิชาที่เกี่ยวข้องกับชีววิทยา
และการใช้ความร้ทู างชีววิทยาทเ่ี ป็นประโยชน์ตอ่ มนุษย์และส่ิงแวดล้อม ชวี วิทยากับการดารงชีวติ ของส่งิ มชี ีวิต
ความตระหนักในเรื่องของชีวจริยธรรม การศึกษาชีววิทยาโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งการศึกษา
วธิ ีการทางานของนักวิทยาศาสตร์ และการนาความรเู้ กี่ยวกับชีววิทยา มาประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจาวัน การทา
กิจกรรมสะเต็มศึกษาโดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตจริง ศึกษาเคมีท่ีเป็น
พ้ืนฐานของส่ิงมีชวี ิต โครงสรา้ งและหน้าท่ีของสารตา่ งๆ ทีเ่ ป็นองคป์ ระกอบในเซลล์ของส่งิ มชี วี ิต และปฏกิ ิริยา
เคมีในเซลล์ของส่ิงมีชวี ิต ศึกษาส่วนประกอบของกล้องจุลทรรศน์ใช้แสง หลักการทางาน วิธีการใช้รวมท้ังการ
ดูแลและเก็บรกั ษา ศึกษาโครงสร้างและหน้าท่ีของส่วนท่หี อ่ หมุ้ เซลล์ ไซโทพลาสซึม และนิวเคลียสการลาเลยี ง
สารเข้า และออกจากเซลล์ การหายใจระดับเซลล์ซึ่งเป็นกระบวนการที่เซลล์สร้างพลังงานจากการสลาย
สารอาหารสาหรบั นาไปใช้ในกจิ กรรมตา่ ง ๆ ของเซลล์ และการแบง่ เซลล์
โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสืบค้นข้อมูล การสังเกต วิเคราะห์
เปรียบเทียบ อธบิ าย อภปิ รายและสรปุ
เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ มีทักษะปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์
รวมทงั้ ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ในดา้ นการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ การคิดและการแก้ปัญหา การสอื่ สาร และ
ได้รับการพัฒนาสู่มาตรฐานสากลโดยสามารถตั้งคาถาม/สมมติฐาน (Hypothesis Formulation) การสืบค้น
ความรู้และสารสนเทศ (Searching for Information) การสร้างองค์ความรู้ (Knowledge Formation) การ
สื่อสารและนาเสนอสิ่งท่ีเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ (Effective Communication) การบริการสังคมและจิต
สาธารณะ (Public Service) นาความรู้ไปใช้ในชีวิตของตนเอง มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และ
ค่านิยมทเ่ี หมาะสม บนพื้นฐานหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง
ผลการเรยี นรู้
1. อธบิ ายและสรุปสมบตั ิทสี่ าคัญของส่ิงมีชวี ิต และความสัมพันธ์ของการจดั ระบบในสิ่งมชี วี ิตทท่ี าให้
สิง่ มชี ีวิตดารงอยไู่ ด้
2. อภิปรายและบอกความสาคัญของการระบุปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา สมมติฐาน และ
วธิ ีการตรวจสอบสมมติฐาน รวมทัง้ ออกแบบการทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน
3. สืบค้นข้อมูล อธิบายเกี่ยวกับสมบัติของน้าและบอกความสาคัญของน้าที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและ
ยกตัวอยา่ งธาตุชนิดต่างๆ ท่มี คี วามสาคัญตอ่ รางกายสง่ิ มชี วี ติ
น
4. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของคาร์โบไฮเดรต ระบบกลุ่มของคาร์โบไฮเดรต รวมทั้ง
ความสาคญั ของคาร์โบไฮเดรตทีม่ ีตอ่ สิง่ มชี วี ติ
5. สืบค้นขอ้ มลู อธบิ ายโครงสรา้ งของโปรตนี และความสาคัญของโปรตีนทม่ี ีต่อส่ิงมชี ีวติ
6. สบื ค้นข้อมูล อธบิ ายโครงสร้างของลิพิด และความสาคญั ของลพิ ิดท่มี ีต่อส่ิงมีชวี ติ
7. อธิบายโครงสร้างของกรดนิวคลิอิก และระบุชนิดของกรดนิวคลีอิกและความสาคัญของกรด
นิวคลีอกิ ทีม่ ีตอ่ ส่งิ มชี ีวิต
8. สืบคน้ ขอ้ มลู และอธิบายปฏกิ ิริยาเคมที ี่เกิดขึน้ ในสิ่งมชี วี ิต
9. อธิบายการทางานของเอนไซม์ในการเร่งปฏิกิริยาเคมีในส่ิงมีชีวิตและระบุปัจจัยที่มีผลต่อการ
ทางานของเอนไซม์
10. บอกวิธีการและเตรียมตัวอย่างสิ่งมีชีวิตเพ่ือศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ให้แสง วัดขนาด
โดยประมาณและวาดภาพท่ีปรากฏกายให้กล้อง บอกวิธีการใช้ และการดูแลรักษากล้อง
จลุ ทรรศน์ใช้แสงที่ถกู ต้อง
11. อธบิ ายโครงสร้างและหน้าท่ขี องส่วนทหี่ ่อหุ้มเซลลข์ องเซลล์พชื และเซลล์สัตว์
12. สบื คน้ ข้อมูล อธบิ าย และระบุชนิดและหน้าที่ของออร์แกเนลล์
13. อธบิ ายโครงสร้างและหน้าท่ขี องนวิ เคลยี ส
14. อธิบายและเปรียบเทียบการแพร่ ออสโมซิส การแพร่แบบฟาซลิ ิเทต และแอกทีฟทราน สปอร์ต
15. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเขียนแผนภาพการลาเลียงสารโมเลกุลใหญ่ออกจากเซลล์ด้วย
กระบวนการเอกโซไซโทซิสและการลาเลียงสารโมเลกลุ ใหญ่เข้าสู่เซลล์ด้วยกระบวนการเอนไดโซ
โทซิส
16. สังเกตการแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิสและแบบไมโอซิสจากตัวอย่างภายใต้กล้องจุลทรรศน์พร้อม
ทงั้ อธิบายและเปรยี บเทยี บการแบ่งนวิ เคลียสแบบไมโทซิสและแบบไมโอซสิ
17. อธบิ าย เปรียบเทยี บ และสรปุ ขน้ั ตอนการหายใจระดับเซลลใ์ นภาวะทมี่ ีออกซิเจนไมเ่ พียงพอ
รวมทั้งหมด 17 ผลการเรียนรู้
บ
4. โครงสร้างรายวชิ า
โครงสร้างรายวิชา
รายวชิ าชีววิทยา 1 รหัสวิชา ว30241 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรยี นท่ี 1 เวลา 60 ชั่วโมง จานวน 1.5 หน่วยกติ
ท่ี ชื่ อ ห น่ ว ย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคัญ/สาระ เ ว ล า นา้ หนัก
การเรียนรู้ ตวั ช้วี ดั /ผลการเรยี นรู้ การเรยี นรู้แกนกลาง (ช่ัวโมง) คะแนน
1. การศึกษา ข้อ 1–2 ลักษณะสาคัญของสิ่งมีชีวิตคือ มี 15 20
ชีววิทยา กร ะบ ว นก า ร เ มแ ท บอ ลิ ซึม มี
ก ร ะ บ ว น ก า ร สื บ พั น ธุ์ แ ล ะ ก า ร
เ จ ริ ญ เ ติ บ โ ต มี ก ร ะ บ ว น ก า ร
ตอบสนองต่อสิ่งเร้า มีกระบวนการ
ควบคมุ และมีการจดั ระบบ ใช้วธิ ีการ
ทางวิทยาศาสตร์และสะเต็มศึกษาใน
การศึกษาและสร้างองค์ความรู้ นา
ความรู้และกระบวนการไปใช้การ
วางแผนในการทางานและการ
แกป้ ัญหา
2. เค มีท่ี เป็ น ข้อ 3–9 สารประกอบที่พบในส่ิงมีชีวิต ได้แก่ 15 30
พื้นฐานของ น้าคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ลิพิด กรด
ส่งิ มชี ีวิต นิวคลิอิก ซึง่ เป็นสารท่มี ีคาร์บอนและ
ไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบหลกั ซง่ึ มี
ค ว า ม ส า คั ญ ต่ อ ก ร ะ บ ว น ก า ร เ ม
แทบอลึซึมของส่ิงมีชีวิต ช่วยให้
ร่างกายเจริญเติบโต เป็นสารท่ีให้
พลังงาน และสารพันธกุ รรม
3. เซ ล ล์แ ล ะ ข้อ 10–17 เซลล์เป็นหน่วยพ้ืนฐานที่เล็กท่ีสุด 30 30
การทางาน ของสิ่งมีชีวิต ประกอบด้วยส่วนที่
ของเซลล์ ห่ อ หุ้ ม เ ซ ล ล์ ไ ซ โ ท พ ล า ซึ ม แ ล ะ
นิวเคลียสส่วนมากมีขนาดเล็ก มอง
ไม่เห็นด้วยตาเปล่า จึงต้องอาศัย
กล้องจุลทรรศน์ช่วยในการศึกษา
รายละเอียดต่างๆ เซลล์มกี ารลาเลียง
สารเข้าและออกจากเซลล์ โดยมีการ ป
ควบคุมท้ังชนิดและปริมาณสารท่ี
ผ่านเข้าออก การแบ่งนิวเคลียสของ 80
เซลล์เกิดขึ้นใน 2 ลักษณะคือ การ 20
แบง่ แบบไมโทซิสและไมโอซสิ 100
ระหวา่ งภาคเรยี น
ปลายภาค
รวม
1
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 1
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ วิชาชวี วทิ ยา 1 รหัส ว30241
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 1 เรื่อง การศกึ ษาชีววิทยา เวลาเรียน 60 ชั่วโมง
แผนจัดการเรียนรู้ท่ี 1 เร่ือง ธรรมชาตขิ องสิ่งมชี ีวิต เวลาเรยี น 3 ช่ัวโมง
ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565
ช่อื ครูผู้สอน นางสาวสุชาวดี มุง่ หมาย ตาแหน่ง นกั ศึกษาฝึกประสบการณว์ ิชาชีพครู
1. เป้าหมายการเรยี นรู้
1.1 ตวั ช้วี ัด/ผลการเรยี นรู้
1.1.1 ตวั ชว้ี ัด/ผลการเรยี นร้แู กนกลาง
1. อธบิ ายและสรปุ สมบัติทสี่ าคัญของส่ิงมชี วี ิต และความสมั พันธ์ของการจัดระบบ
ในส่ิงมีชีวติ ทท่ี าใหส้ งิ่ มีชีวิตดารงอยูไ่ ด้
1.2 จดุ เน้นทต่ี ้องการพัฒนาผูเ้ รยี นสูท่ กั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21
ทกั ษะที่จาเปน็ แห่งศตวรรษท่ี 21 สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
ตามหลกั สตู รแกนกลาง ต า ม ห ลั ก สู ต ร แ ก น ก ล า ง แ ล ะ
สถานศกึ ษา
1. การส่อื สารสารสนเทศและ 1. ความสามารถในการสือ่ สาร คณุ ลกั ษณะฯแกนกลาง
การรู้เท่าทนั ส่ือ 2. ความสามารถในการคิด 1. ซ่อื สตั ย์สจุ รติ
2. ความร่วมมือ การทางาน 3. ความสามารถในการแก้ปญั หา 2. มวี นิ ัย
เป็นทมี และภาวะผู้นา 4. ความสามารถในการใช้ทักษะ 3. ใฝ่เรยี นรู้
ชีวิต 4. มุง่ ม่นั ในการทางาน
5. ความสามารถในการใช้
เทคโนโลยี
1.3 ความคิดรวบยอด/สาระสาคัญ
1.3.1 สาระสาคัญแกนกลาง
ธรรมชาติของสงิ่ มีชวี ติ
1.4 สาระการเรียนรู้
การอธิบาย และอภิปรายผลการศึกษาค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการเกิดสิ่งมีชีวิต
บนโลกและคุณสมบัติของสิ่งมีชีวิต โดยใช้พ้ืนฐานของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ “สิ่งมีชีวิตท่ีพบบนโลกนี้มี
มากมายหลายชนิด แต่ละ ชนิดมีคุณสมบัติเหมือนกันหรือไม่” ซ่ึงจากการศึกษาพบว่า ส่ิงมีชีวิตมีคุณสมบัติที่
คล้ายกันหลายประการ ได้แก่ มีการสืบพันธุ์เพ่ือขยายพันธ์ุหรือดารงพันธ์ุไว้ มีการเจริญเติบโต มีอายุขัยและ
ขนาดจากัด ต้องการอาหารและ พลังงาน การตอบสนองต่อส่ิงเร้า มีการปรับตัวให้มีชีวิตอยู่รอดในแหล่งท่ีอยู่
2
อาศัยหรือสภาพแวดล้อมนั้น หรือที่เรียกว่า มีการรักษาดุลยภาพของร่างกาย มีลักษณะจาเพาะและมีการ
จดั ระบบ
ชีววิทยา หมายถึง การศึกษาแนวความคิดของคนเก่ียวกับสิ่งมีชีวิตอย่างมีเหตุผล หรือ
การศึกษา ส่ิงมีชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ ซึ่งยังมีแขนงวิชาอื่นๆท่ีเก่ียวข้องกับชีววิทยา เช่น สัตว์วิทยา
พฤกษศาสตร์ จุลชีววิทยา สรีรวิทยา มีนวิทยา กีฏวิทยา เป็นต้น การนาชีววทิ ยามาใช้ในการดารงชีวิตในด้าน
ต่างๆ เช่น ด้าน การเกษตร การแพทย์ อุตสาหกรรม สาธารณสุข และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม เป็นต้น การ
ศกึ ษาวิจัยทางด้านชีววิทยา เป็นการศกึ ษาเกย่ี วกบั ส่ิงมีชีวิตท้งั ทางตรงและทางอ้อม มีการค้นคว้า วิจยั ทดลอง
อยู่ตลอดเวลา จึงอาจส่งผลต่อการดารงชีวิตตามธรรมชาติขิงสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ดังนั้น นักชีววิทยา ทุกคนจึง
จาเป็นต้องมีจริยธรรมในการใช้สัตว์ทดลองอย่างเหมาะสม ไม่ทาการทดลองท่ีเป็นการทรมานสัตว์ ไม่ขัดต่อ
กฎหมาย ต้งั อยูบ่ นพ้ืนฐานของจรยิ ธรรม คณุ ธรรม มนษุ ยธรรม และหลกั วิชาการท่เี หมาะสม
1.5 จุดประสงค์การเรียนรู้
ด้านความรู้ (K)
1. วิเคราะห์ และอธบิ ายลักษณะเฉพาะท่สี าคัญของสงิ่ มีชวี ติ
2. อธบิ ายความสัมพันธ์ของการจัดระบบในสิ่งมชี วี ิตท่ที าใหส้ ง่ิ มีชีวติ ดารงชีวติ อยูไ่ ด้
3. อภปิ รายและสรุปขอบขา่ ยของศาสตรต์ ่างๆ ดา้ นชีววิทยา
4. อภิปรายและยกตัวอย่างประโยชน์ของการศึกษาชีววิทยาต่อคุณภาพชีวิตของ
มนุษย์และสิ่งแวดล้อม
5. อภิปรายและยกตวั อย่างเกยี่ วกบั ชีวจริยธรรม
ดา้ นทักษะกระบวนการ(P)
1. สบื ค้นข้อมลู และทากจิ กรรมรว่ มกนั กับสมาชกิ ในกล่มุ
ด้านคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A)
1. มวี ินัย ใฝเ่ รยี นรู้ และมีความมุ่งม่ันในการทางาน
2.หลกั ฐานการเรียนรู้
ภาระงาน/ชน้ิ งาน
1. ตรวจสอบความร้กู ่อนเรยี น
2. กิจกรรม 1.1 การงอกใหม่
3. แบบทดสอบหลังเรียน
3.กจิ กรรมการเรยี นรู้(รูปแบบ 5E)
ขัน้ ที่ 1 ขัน้ สร้างความสนใจ (Engagement)
3
1.1 ครูผู้สอนกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนด้วยการนาภาพตัวอย่างของส่ิงมีชีวิตและส่ิงไม่มี
ชีวิตให้นักเรียนดู (ครูผู้สอนถามคาถาม เช่น นักเรียนคิดว่าภาพใดเป็นสิ่งมีชีวิต, สิ่งมีชีวิตและ
สิ่งไม่มีชวี ิตแตกต่างกนั อย่างไร)
ขั้นท่ี 2 สารวจและค้นหา (Exploration)
2.1 ครูผ้สู อนให้นักเรียนทาตรวจสอบความรู้กอ่ นเรียน
2.1 แบ่งนักเรยี นออกเปน็ กลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน คละตามความสามารถ
2.2 ให้นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ ทาการทดลองกจิ กรรม1.1การงอกใหม่
2.3 หลังกิจกรรมการทดลอง ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันสืบค้นข้อมูลและหาข้อสรุปของ
กจิ กรรม
ข้นั ที่ 3 อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ (Explanation)
3.1 ครผู ู้สอนให้ความรูเ้ ก่ียวกับนกั เรียนเรือ่ งธรรมชาตขิ องสิ่งมีชวี ิต โดยใช้ PPTธรรมชาติของ
สงิ่ มีชีวติ เป็นส่อื ในการสอน
3.2 ครูผู้สอนต้ังคาถามเพื่อสรุปผลการทดลอง เช่น จากการทดลองภาพ ก ข ค แตกต่างกัน
อย่างไร , ภาพใดเปน็ การสบื พันธ์ุ
ขั้นที่ 4 ขยายความรู้ (Elaboration)
4.1 ครูผู้สอนถามคาถามนักเรียนเพ่ือสรุปผลการทดลองและผลการเรียนรู้ เช่น จากภาพที่
เห็นนักเรียนเคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในชีวิตประจาวัน ท่ีถูกตัดแบ่งแล้วสามารถงอกเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ได้
หรอื ไม่ จงยกตัวอย่าง
ขัน้ ที่ 5 ประเมิน (Evaluation)
5.1 ครผู ู้สอนสุมนักเรยี นเพ่ืออธบิ ายและสรปุ เฉพาะทสี่ าคญั ของสิ่งมชี วี ิต
5.2 ครูผู้สอนสุ่มนักเรียนเพื่ออธิบายความสัมพันธ์ของการจัดระบบในสิ่งมีชีวิตที่ทาให้
ส่ิงมชี วี ติ ดารงชวี ิตอยไู่ ด้
5.3 ครูผสู้ อนสุ่มนกั เรียนเพอื่ อภิปรายและสรปุ ขอบข่ายของศาสตรต์ ่างๆ ดา้ นชีววิทยา
5.4 ครผู ู้สอนและนักเรยี นรวมกนั ยกตัวอย่างประโยชนข์ องการศึกษาชีววทิ ยาตอ่ คณุ ภาพชวี ิต
ของมนุษย์และสง่ิ แวดลอ้ ม และยกตวั อย่างเก่ยี วกับชีวจริยธรรม
5.5 ครผู สู้ อนให้นกั เรยี นทาแบบทดสอบหลังเรยี น และแจง้ ผลคะแนนในทันที
4. สื่อ อปุ กรณ์ และแหลง่ เรียนรู้
4.1 หนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเตมิ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชวี วทิ ยา ม.4 เลม่ 1 สสวท.
4.2 powerpoint เรื่อง ธรรมชาติของสง่ิ มชี ีวติ
4
4.3 บทเรยี นออนไลนข์ อง สสวท. https://proj14.ipst.ac.th/m4-6-biology/m4-bio-
book1/
4.4 ห้องปฏบิ ตั ิการชวี วิทยา
4.5 หอ้ งสมุดโรงเรียน
4.6 สืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เนต็
5.การวัดและการประเมินผล
รายงานประเมนิ วิธกี ารวดั และประเมิน เครอ่ื งมอื วดั ผลและ เกณฑ์การวัดและ
/ หลักฐานการเรียนรู้ ประเมนิ ผล ประเมินผล
(ภาระงาน)
ด้านความรู้ : K 1. ตรวจสอบความรู้กอ่ น -
ประเมนิ จากการทา ตรวจแบบทดสอบ เรียน
แบบทดสอบ 2. แบบทดสอบหลังเรยี น รอ้ ยละ 75ขน้ึ ไป
ด้านทกั ษะกระบวนการ : P แบบประเมินทักษะการ
ประเมนิ ทักษะการ ครสู ังเกตการปฏบิ ัติ ทางานกลุ่ม/แบบประเมนิ รอ้ ยละ 75 ขน้ึ ไป
ปฏิบัตงิ านกลมุ่ /ประเมิน กจิ กรรม ทกั ษะการทดลอง
ทกั ษะการทดลอง
ดา้ นคณุ ลักษณะ : A สงั เกตพฤตกิ รรม แบบประเมิน ร้อยละ 75ขนึ้ ไป
สังเกตจากการทากจิ กรรม เป็นรายบคุ คล จิตวิทยาศาสตร์
5
6
7
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 2
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์ วชิ าชีววทิ ยา 1 รหสั ว30241
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เรอ่ื ง การศึกษาชีววทิ ยา เวลาเรียน 60 ช่วั โมง
แผนจัดการเรยี นรู้ที่ 2 เรื่อง การศึกษาชวี วทิ ยาและวธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ เวลาเรยี น 6 ชวั่ โมง
ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 4 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565
ชื่อครูผู้สอน นางสาวสชุ าวดี มงุ่ หมาย ตาแหนง่ นกั ศึกษาฝึกประสบการณว์ ชิ าชีพครู
1. เปา้ หมายการเรียนรู้
1.1 ตวั ชี้วดั /ผลการเรยี นรู้
1.1.1 ตัวชว้ี ัด/ผลการเรียนรแู้ กนกลาง
1.อภิปรายและบอกความสาคัญของการระบุปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา
สมมตฐิ าน และวิธีการตรวจสอบสมมตฐิ าน รวมท้งั ออกแบบการทดลองเพ่ือตรวจสอบสมมติฐาน
1.2 จุดเนน้ ทตี่ อ้ งการพฒั นาผ้เู รียนส่ทู ักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21
ทักษะที่จาเปน็ แห่งศตวรรษท่ี 21 สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี น คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
ตามหลกั สตู รแกนกลาง ต า ม ห ลั ก สู ต ร แ ก น ก ล า ง แ ล ะ
สถานศึกษา
1. ความสามารถในการคิดอย่างมี 1. ความสามารถในการสือ่ สาร คณุ ลกั ษณะฯแกนกลาง
วจิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา 2. ความสามารถในการคดิ 1. ซอื่ สัตย์สจุ รติ
2. ความร่วมมอื การทางาน 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 2. มีวินยั
เปน็ ทีมและภาวะผนู้ า 4. ความสามารถในการใช้ทักษะ 3. ใฝเ่ รยี นรู้
ชีวิต 4. มุ่งมนั่ ในการทางาน
5. ความสามารถในการใช้
เทคโนโลยี
1.3 ความคิดรวบยอด/สาระสาคัญ
1.3.1 สาระสาคญั แกนกลาง
การศึกษาชีววทิ ยาและวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์
1.4 สาระการเรยี นรู้
การสงั เกตเป็นทักษะสาคัญที่นาไปสู่การต้ังปัญหาและรวบรวมข้อมูล ความเป็นคนช่างสังเกต
ของ นักวิทยาศาสตร์ทาให้เกิดการค้นพบความรู้ต่างๆมากมาย รวมทั้งการคิดค้นส่ิงประดิษฐ์ต่างๆ ที่อานวย
ความ สะดวกแก่มนุษย์ นักชีววิทยาใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษาชวี วิทยา ประกอบดว้ ย การกาหนด
ปญั หา การต้งั สมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐาน การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะหข์ ้อมลู และการสรปุ ผล
การทดลอง ความรู้ทางชีววิทยาอาจได้จากการสารวจ และการศึกษาภายในและภายนอกห้องปฏิบัติการ
8
ความรู้ที่ได้จาก การศึกษาบางเร่ืองสามารถนาไปตั้งเป็นกฎหรือทฤษฏีสาหรับใช้อ้างอิงได้ดังน้ันชีววิทยา
ประกอบดว้ ยส่วนที่สาคัญ คือสว่ นทเี่ ปน็ ความรู้ และสว่ นท่ีเป็นกระบวนการ ความรู้ทางวิทยาศาสตรอ์ าจมีการ
เปลี่ยนแปลงได้ เมื่อมีข้อมูล หรือประจักษ์พยานใหม่เพิ่มเติม หรอื โต้แย้งจากเดิม ซึ่งท้าทายให้มกี ารตรวจสอบ
อยา่ งระมดั ระวัง อันจะนามาสู่ การยอมรบั เปน็ ความรู้ใหม่
1.5 จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
ด้านความรู้ (K)
1. อธิบายวิธีทางวิทยาศาสตร์ และยกตัวอย่างนักวิทยาศาสตร์ของไทยและผลงานท่ี
ศึกษา
2. อภิปราย และระบุความสาคัญของการตั้งปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา
สมมติฐาน และวธิ ีการ ตรวจสอบสมมติฐาน
ด้านทักษะกระบวนการ(P)
1.ออกแบบการทดลอง และทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐานตามวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์ จากตัวอย่าง การศึกษา
2. สังเกตและบันทึกเกี่ยวกับลักษณะของสิ่งมชี ีวิต
3. ตง้ั คาถามเก่ียวกบั สงิ่ ทนี่ กั เรยี นสังเกตได้
4. เปรียบเทยี บขอ้ มูลและคาถามของนักเรยี นกับเพื่อน
5. ตั้งคาถามจากสถานการณ์ทีก่ าหนดได้
6. ต้ังสมมุตฐิ านจากจากปญั หาทกี่ าหนดข้ึน
7. ตง้ั สมมตุ ิฐานในรูป “ถา้ ....... ดงั นัน้ ......”
8. ตรวจสอบสมมติฐานและรายงานผล
ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)
1. มีวนิ ยั ใฝเ่ รยี นรู้ และมคี วามมุง่ ม่นั ในการทางาน
2.หลักฐานการเรยี นรู้
ภาระงาน/ช้นิ งาน
1 .กจิ กรรม1.4 การสงั เกตและการต้ังคาถาม
2. กิจกรรม1.5 การตั้งคาถามจากสถานการณ์ท่ีเป็นปัญหาและการรายงานผลการ
ทดลอง
3. กจิ กรรม1.6 การต้งั สมมติฐาน
4. กิจกรรม1.7 วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์และการรายงานผลการทดลอง
9
5. กิจกรรม1.8 การศกึ ษาการทางานของนักวิทยาศาสตร์ จากกรณีศึกษาการค้นพบ
แบคทเี รยี ทีเ่ ป็นสาเหตหุ นึง่ ของโรคกระเพาะอาหาร
6. แบบทดสอบหลังเรยี น
3.กจิ กรรมการเรยี นรู้(รปู แบบ 5E)
ข้ันท่ี 1 ขนั้ สรา้ งความสนใจ (Engagement)
1.1 ครูผู้สอนกระตุน้ ความสนใจของผู้เรียนด้วยการอภปิ ราย ดงั นี้ (นักชีววทิ ยามีวิธกี ารศึกษา
วิทยาศาสตร์อยา่ งไร, ลกั ษณะในการทางาน และลกั ษณะสาคัญของนักวทิ ยาศาสตร์มีอะไรบ้าง)
ขน้ั ท่ี 2 สารวจและค้นหา (Exploration)
2.1 แบง่ นกั เรียนออกเป็นกล่มุ กลุ่มละ 4-5 คน คละตามความสามารถ
2.2 ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มทาการทดลองกิจกรรม1.4 การสังเกตและการตั้งคาถาม และ 1.5
การต้ังคาถามจากสถานการณ์ท่ีเป็นปัญหา(3ช่ัวโมงแรก) 1.6 การตั้งสมมติฐาน, 1.7 วิธีการทางวิทยาศาสตร์
และการรายงานผลการทดลอง 1.8 การศึกษาการทางานของนักวิทยาศาสตร์ จากกรณีศึกษาการค้นพบ
แบคทเี รยี ทเี่ ป็นสาเหตุหน่ึงของโรคกระเพาะอาหาร(3ชัว่ โมงหลัง)
2.3 หลังกิจกรรมการทดลอง ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันสืบค้นข้อมูลและหาข้อสรุปของ
กจิ กรรม
ขั้นที่ 3 อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation)
3.1 ครูผู้สอนให้ความรู้เกี่ยวกับนักเรียนเรื่องการศึกษาชีววิทยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์
โดยใช้ PPTธรรมชาตขิ องสง่ิ มีชีวิตเป็นสื่อในการสอน
3.2 ครูผู้สอนตง้ั คาถามเพ่ือสรปุ ผลการทดลอง
3.3 ครผู สู้ อนสุ่มนักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ออกมานาเสนอผลการทดลอง
ขัน้ ท่ี 4 ขยายความรู้ (Elaboration)
4.1 ครผู สู้ อนถามคาถามนกั เรยี นเพ่ือสรุปผลการทดลองและผลการเรียนรู้ และการนาไปประ
ยคุ ใช้ในชวี ิตประจาวนั รวมถงึ สถานการณ์บางสถานการณ์ทีอ่ ยรู่ อบตัวเรา
4.2 ครูเสริมความรู้โดยยกตัวอย่างการค้นพบยาเพนิซิลิน ซึ่งได้มาจากการเป็นคนช่างสังเกต
ช่างคดิ วิเคราะหข์ องอเล็กซานเดอร์ เฟลมิง นามาซึ่งคณุ ประโยชนอ์ ย่างมากมายมหาศาล
ขน้ั ที่ 5 ประเมนิ (Evaluation)
5.1 ครูและนักเรยี นร่วมกนั คิดวเิ คราะห์ วิพากย์วจิ ารณ์ผลงานของนักวิทยาศาสตร์ไทยในเชิง
ความคดิ ทางวทิ ยาศาสตร์
5.2 ครผู สู้ อนใหน้ กั เรยี นทาแบบทดสอบหลงั เรยี น และแจง้ ผลคะแนนในทันที
4. สื่อ อปุ กรณ์ และแหลง่ เรียนรู้
10
4.1 หนังสอื เรียนรายวิชาเพ่ิมเตมิ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชวี วิทยา ม.4 เลม่ 1 สสวท.
4.2 powerpoint เรอื่ ง การศึกษาชีววทิ ยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์
4.3 บทเรียนออนไลน์ของ สสวท. https://proj14.ipst.ac.th/m4-6-biology/m4-bio-
book1/
4.4 หอ้ งปฏบิ ตั ิการชีววทิ ยา
4.5 ห้องสมุดโรงเรยี น
4.6 สืบค้นข้อมูลจากอนิ เทอร์เนต็
5.การวัดและการประเมินผล
รายงานประเมิน วธิ กี ารวัด และประเมิน เครอ่ื งมอื วัดผลและ เกณฑก์ ารวัดและ
/ หลกั ฐานการเรียนรู้ ประเมินผล ประเมนิ ผล
(ภาระงาน)
ดา้ นความรู้ : K
ประเมินจากการทา ตรวจแบบทดสอบ แบบทดสอบหลังเรยี น ร้อยละ 75ขน้ึ ไป
แบบทดสอบ
ดา้ นทกั ษะกระบวนการ : P แบบประเมนิ ทักษะการ
ประเมินทักษะการ ครสู งั เกตการปฏิบัติ ทางานกลุม่ /แบบประเมิน ร้อยละ 75 ขน้ึ ไป
ปฏบิ ตั งิ านกลมุ่ /ประเมนิ กิจกรรม ทกั ษะการทดลอง
ทักษะการทดลอง
ด้านคณุ ลกั ษณะ : A สงั เกตพฤตกิ รรม แบบประเมิน รอ้ ยละ 75ขึ้นไป
สงั เกตจากการทากิจกรรม เป็นรายบคุ คล จติ วทิ ยาศาสตร์
11
12
13
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 3
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ วิชาชวี วทิ ยา 1 รหสั ว30241
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรือ่ ง การศึกษาชวี วิทยา เวลาเรียน 60 ชั่วโมง
แผนจัดการเรยี นร้ทู ่ี 3 เรอื่ ง กจิ กรรมสะเต็มศึกษาและกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เวลาเรยี น 6 ชัว่ โมง
ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565
ชื่อครูผูส้ อน นางสาวสุชาวดี มุง่ หมาย ตาแหนง่ นกั ศกึ ษาฝึกประสบการณว์ ิชาชีพครู
1. เปา้ หมายการเรียนรู้
1.1 ตวั ชว้ี ดั /ผลการเรียนรู้
1.1.1 ตวั ช้วี ดั /ผลการเรยี นรู้แกนกลาง
1. อภิปรายและบอกความสาคญั ของการระบปุ ญั หา ความสัมพันธร์ ะหวา่ งปญั หา
สมมตฐิ าน และวธิ กี ารตรวจสอบสมมติฐาน รวมท้งั ออกแบบการทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน
1.2 จุดเน้นที่ตอ้ งการพัฒนาผูเ้ รยี นสทู่ กั ษะแห่งศตวรรษที่ 21
ทกั ษะท่จี าเป็นแห่งศตวรรษท่ี 21 สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รยี น คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
ตามหลักสูตรแกนกลาง ต า ม ห ลั ก สู ต ร แ ก น ก ล า ง แ ล ะ
สถานศึกษา
1. การสื่อสารสารสนเทศและ 1. ความสามารถในการสื่อสาร คณุ ลกั ษณะฯแกนกลาง
การรู้เทา่ ทนั สือ่ 2. ความสามารถในการคดิ 1. ซื่อสตั ย์สจุ รติ
2. ความรว่ มมือ การทางาน 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 2. มีวนิ ัย
เปน็ ทีมและภาวะผู้นา 4. ความสามารถในการใช้ทักษะ 3. ใฝ่เรยี นรู้
3.ความสามารถในการคิดอย่างมี ชีวิต 4. ม่งุ มน่ั ในการทางาน
วิจารณญาณและการแกป้ ัญหา 5. ความสามารถในการใช้
เทคโนโลยี
1.3 ความคิดรวบยอด/สาระสาคญั
1.3.1 สาระสาคญั แกนกลาง
กิจกรรมสะเตม็ ศกึ ษาและกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม
1.4 สาระการเรียนรู้
สะเต็มศึกษา คือ การศึกษาท่ีบูรณาการความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ในการแก้ปัญหาท่ีเกิดข้ึนในชีวิตประจาวันในรูปแบบการทา
กิจกรรมที่นักเรียนเป็นผู้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ซึ่ง
ประกอบด้วย การระบุปัญหา (problemidentification) การรวบรวมข้อมูลและแนวคิดท่ีเกี่ยวข้อง
กับปัญหา (related information search) ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา(solution design) การ
14
วางแผนและดาเนินการแก้ปัญหา (planning and development)การทดสอบประเมินผลและ
ปรับปรุงแก้ไขวิธีการแก้ปัญหาหรือชินงาน (testing evaluation and designimprovement) และ
การนาเสนอวิธีการแก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหาหรือช้ินงาน (presentation) จุดประสงค์ของสะเต็ม
ศึกษาเพ่ือให้นักเรียนฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เพื่อการ
วางแผนการทางานและการแกป้ ัญหา
1.5 จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
ด้านความรู้ (K)
1. อธิบายและบอกความสาคัญของสะเต็มศึกษาที่ใช้กระบวนการออกแบบเชิง
วศิ วกรรมเพ่อื ใช้ในการแกป้ ัญหาในชวี ิตจริง
2. เปรียบเทียบความเหมือนหรือความแตกต่างระหว่างวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ และ
กระบวนกาออกแบบเชงิ วิศวกรรม
ทกั ษะกระบวนการ(P)
3. ออกแบบกจิ กรรมตามแนวทางสะเต็มศึกษาโดยใช้กระบวนการออกแบบเชิง
วิศวกรรม
ดา้ นคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ (A)
1. ซ่ือสตั ยส์ จุ รติ มีวนิ ัย ใฝเ่ รยี นรู้ มุ่งม่ันในการทางาน
2.หลกั ฐานการเรียนรู้
ภาระงาน/ชิ้นงาน
1. กิจกรรม1.9 ถ่วั งอกสร้างอาชีพ
2. แบบฝกึ หัดท้ายหนว่ ยท่ี 1
3. แบบทดสอบการศึกษาชีววทิ ยา
3.กิจกรรมการเรียนรู้(รูปแบบ 5E)
ขนั้ ท่ี 1 ข้นั สรา้ งความสนใจ (Engagement)
1.1 ครูผสู้ อนกระตุ้นความสนใจของผเู้ รียนด้วยการยกตัวอย่างการศกึ ษาของนักวิทยาศาสตร์
เร่ืองใดเรื่องหนึ่งท่ีแสดงให้เห็นว่าบางคร้ังเร่ืองท่ีต้องการจะศึกษาไม่ได้ใช้ความรู้เพียงสาขาใดเพียง
แขนงเดียวแตม่ ักจะเก่ยี วขอ้ งกับความรแู้ ขนงอืน่
1.2 ครผู ้สอนนาเขา้ ส่หู วั ข้อสะเตม็ ศึกษา โดยใหค้ วามรเู้ กี่ยวกบั สะเต็มศกึ ษา (Science
Technology Engineering and Mathematics Education: STEM Education) วา่ เป็นแนว
ทางการจัดการเรียนรรู้ ปู แบบหนึ่งทส่ี ่งเสรมิ ใหน้ ักเรียนได้ใช้ทักษะการคดิ โดยเฉพาะทักษะการ
วเิ คราะห์ ทกั ษะการคิดแกป้ ัญหา และทักษะการคดิ สร้างสรรคผ์ ่านการทากจิ กรรม ที่มีจดุ เรมิ่ ต้นจาก
15
การมองเห็นปญั หาทเี่ กิดข้ึนในชีวิตประจาวันของนักเรียนและมีความต้องการแกป้ ัญหานั้นๆ โดยใช้
องค์ความร้ทู ่เี กยี่ วขอ้ งดา้ นวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยวี ศิ วกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ โดยการ
แกป้ ัญหาอาจนาไปสูก่ ารพฒั นานวตั กรรมด้านตา่ งๆ
ขนั้ ท่ี 2 สารวจและค้นหา (Exploration)
2.1 ครูผู้สอนใช้คาถามนาเพื่อเชื่อมโยงความรู้สะเต็มศึกษากับการศึกษาชีววิทยาว่ามี
ความสัมพนั ธ์กนั โดยใช้คาถาม ดงั น้ี
- การศึกษาตามแนวทางสะเต็มศึกษากับการศึกษาชีววิทยามีจุดเรม่ิ ต้นท่ีเหมือนหรอื แตกต่าง
กนั อย่างไร (การศึกษาตามแนวทางสะเต็มศึกษากบั การศึกษาชีววิทยามีจุดเร่ิมต้นทเี่ หมือนกนั คอื การ
สังเกต การมองเหน็ ปญั หาแลว้ เกิดเป็นคาถาม นาไปสกู่ ารศึกษาเพอ่ื แก้ปัญหานนั้ )
2.2 ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับสะเต็มศึกษาที่ใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมโดยมมี
ขัน้ ตอนตา่ งๆ
2.3 ครูเปิดวีดิทัศน์กิจกรรมสะเต็มศึกษาให้นักเรียนดูเป็นตัวอย่างเพื่อให้เกิดความเข้าใจใน
กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เช่น เรื่องการศึกษาพฤติกรรมการตอบสนองต่อแรงโน้มถ่วงของ
หนอนไหมเพ่อื ใช้ควบคุมการพ่นใยในการผลติ แผ่นใยไหม
2.4 ใหน้ ักเรยี นทากิจกรรม เร่ืองถั่วงอกสรา้ งอาชีพ(3ชั่วโมงแรก)
2.5 ครดู าเนนิ กิจกรรมตามขั้นตอนตา่ งๆ ของกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ดังน้ี
1. ให้นักเรียนศึกษารูปอาหารท่ีมีถ่ัวงอกเป็นส่วนประกอบ แล้วให้นักเรียนพิจารณา
วา่ ถั่วงอกในอาหารตา่ งๆนน้ั มี รปู ร่างลกั ษณะท่เี หมือนหรอื ตา่ งกนั อย่างไร
2. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนและให้นักเรียนศึกษาวีดิทัศน์เกี่ยวกับการเพาะถ่ัวงอกทาง
การค้า การเพาะถั่วงอกใน ครัวเรือนเพ่ือการประกอบอาหาร แล้วร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับ
สถานการณ์ต่อไปนี้ การน าถ่ัวงอกมารบั ประกอบอาหารนิยมใช้ถัวงอกท่ีมีลักษณะต่างกันข้ึนกับชนิด
ของอาหาร เช่น ผัดถ่ัวงอกและ ก๋วยเต๋ียวมกั ใชถ้ ่ัวงอกท่ีอวบอ้วน แต่กระเพาะปลามกั ใช้ถัวงอกท่ีผอม
ยาว ถา้ กาหนดใหถ้ ่ัวเขียวเร่ิมต้น 0.5 กิโลกรัมและมีพื้นท่ีเพาะถว่ั งอก 0.5 ตารางเมตร ให้ได้กาไรจาก
การขายมากท่ีสุดและการถ่ัวงอกในครั้งนี้ผู้เพาะ ไม่มีเวลารดน้าด้วยตัวเอง ซ่ึงโดยทั่วไปถั่วงอก
ต้องการนา้ ทุก ๆ 2-3 ชว่ั โมง
3. ครูให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับปัจจัยที่ทาให้ถ่ัวงอกมีลักษณะต่างๆ เช่น อวบ
สนั้ ยาว มีสตี ่างๆ และวธิ ีการ เพาะให้ได้ถั่วงอกลกั ษณะตามต้องการ
4. ให้นักเรียนศึกษาใบความรู้ท่ี 1 ปัจจัยที่มีผลต่อการเพาะถั่วงอก และใบความรู้ท่ี
2 ตัวอย่างวิธีการเพาะถ่ัวงอก เพื่อให้นักเรียนมีความรู้เพียงพอสาหรับใช้ออกแบบกิจกรรม ขั้น
ออกแบบวิธีการแกป้ ัญหา
16
5. ครูให้นักเรียนพิจารณาวัสดุอุปกรณ์ท่ีกาหนด จากนั้นออกแบบการเพาะถ่ัวงอก
เพื่อให้ได้ถ่ัวงอกตามลักษณะที่ ต้องการ โดยคานึงถึงปัญหากรณีผู้เพาะถั่วงอกไม่มีเวลารดน้าด้วย
ตัวเอง ** ออกแบบระบบการรดน้าด้วย โดย เขียนร่างการออกแบบลงในกระดาษพร้อมบันทึกผลใน
แบบนั ทกึ กจิ กรรม ข้ันวางแผนและดาเนนิ การแก้ปญั หา
6. ครูให้นักเรียนเพาะถ่ัวงอกตามท่ีได้ออกแบบไว้ พร้อมปรับปรุงแก้ไขวิธีการเพาะ
ถ่ัวงอก ข้นั ทดสอบ ประเมนิ ผล และปรับปรุงแกไ้ ขวธิ ีการแก้ปัญหาหรือชนิ งาน
7. นักเรียนบันทึกผลการเพาะถ่ัวงอก สรุปวิเคราะห์ผลการเพาะถ่ัวงอก และ
อภิปรายถึงปัจจัยต่างๆท่ีมีผลต่อการ เพาะถ่ัวงอก เพ่ืออธิบายว่าการออกแบบและการเพาะถ่ัวงอก
ได้ผลตามลักษณะท่ตี ้องการหรือไม่ อย่างไร ในกรณีท่ี ถว่ั งอกไม่เป็นไปตามท่ีไดอ้ อกแบบไวจ้ ะมีวิธีการ
ปรบั ปรงุ และแก้ไขการเพาะถัว่ งอกอย่างไร
ขน้ั ท่ี 3 อธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation)
8. จดั เตรยี มขอ้ มูลทไ่ี ดจ้ ากการเพาะถ่วั งอกเพื่อนาเสนอโดยใชส้ ือ่ นาเสนอทน่ี ่าสนใจ
9. ครูให้นักเรียนนาเสนอและร่วมกันอภิปรายแนวคิดและวิธีกรออกแบบการเพาะ
ถ่วั งอกตามลกั ษณะทีต่ อ้ งการรวมทัง้ ระบุแนวทางปรบั ปรงุ แก้ไขวธิ ีการเพาะถ่ัวงอก
ขน้ั ท่ี 4 ขยายความรู้ (Elaboration)
4.1 ครูนาอภิปรายเพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการเพาะถ่ัวงอก และการ
เพาะเมลด็ พืชอ่ืนๆ เช่นถ่ัวเหลือง ทานตะวนั ถั่วลันเตา วา่ เหมอื นหรือตา่ งจากการเพาะถวั่ งอกอย่างไร
ข้ันที่ 5 ประเมิน (Evaluation)
5.1 ให้นักเรียนแต่ละคนย้อนกลับไปอ่านบันทึกประสบการณ์เดิม ส่ิงที่ต้องการรู้ และ
ขอบเขตเปา้ หมายแล้วตรวจสอบว่าไดเ้ รยี นรู้ตามท่ีตงั้ เป้าหมายครบถ้วนหรอื ไม่เพยี งใด ถ้ายงั ไม่ครบถ้วนจะทา
อยา่ งไรต่อไป (อาจสอบถามให้ครอู ธบิ ายเพ่มิ เตมิ สอบถามให้เพ่อื นอธิบาย หรอื วางแผนสบื คน้ เพมิ่ เตมิ )
5.2 ครูให้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จาก
เกณฑ์การให้
คะแนน สมุดบันทึก รายงานการทดลอง และผลงาน หากข้อมูลไม่เพียงพอใช้วิธีสัมภาษณ์
เพ่ิมเตมิ ครูผูส้ อนสมุ่ นักเรียนเพ่ืออธิบายความสัมพันธ์ของการจัดระบบในสิ่งมีชีวิตท่ที าให้สิ่งมีชวี ิตดารงชีวติ อยู่
ได้
4. สือ่ อปุ กรณ์ และแหล่งเรียนรู้
4.1 หนงั สอื เรียนรายวิชาเพ่มิ เติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชวี วิทยา ม.4 เลม่ 1 สสวท.
4.2 powerpoint เรื่อง กิจกรรมสะเต็มศกึ ษาและกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
17
4.3 บทเรยี นออนไลน์ของ สสวท. https://proj14.ipst.ac.th/m4-6-biology/m4-bio-
book1/
4.4 ห้องปฏิบตั ิการชีววทิ ยา
4.5 ห้องสมุดโรงเรียน
4.6 สืบคน้ ข้อมูลจากอนิ เทอรเ์ น็ต
5.การวัดและการประเมินผล
รายงานประเมิน วธิ กี ารวดั และประเมิน เครอ่ื งมอื วดั ผลและ เกณฑ์การวดั และ
/ หลักฐานการเรยี นรู้ ประเมินผล ประเมนิ ผล
(ภาระงาน)
ด้านความรู้ : K
ประเมนิ จากการทา ตรวจแบบทดสอบ แบบทดสอบการศึกษา ร้อยละ 75ข้ึนไป
แบบทดสอบ ชีววทิ ยา
ด้านทักษะกระบวนการ : P
ประเมนิ ทักษะการ ครูสังเกตการปฏิบัติ แบบประเมินทักษะการ
ปฏิบัติงานกลมุ่ /ประเมนิ กิจกรรม ทางานกล่มุ /แบบประเมนิ ร้อยละ 75 ข้นึ ไป
ทกั ษะการทดลอง ทกั ษะการทดลอง
ด้านคุณลกั ษณะ : A สังเกตพฤติกรรม แบบประเมิน รอ้ ยละ 75ขน้ึ ไป
สังเกตจากการทากจิ กรรม เป็นรายบคุ คล จิตวทิ ยาศาสตร์
18
19
20