The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nidayakoa, 2022-10-06 02:49:58

ชนเผ่าไตหย่า

ชนเผ่าไตหย่า

ชนเผา่ ไตหย่า

ประวตั ิความเป็นมาของชนเผ่าไตหย่า

ชาติพันธุ์ไตหย่าคือ ชาวไตกลุ่มหนึ่งที่รู้จักกันในชื่อกลุ่มของชาติพันธุ์ไตในประเทศจีน ถิ่นที่อยู่ดั้งเดิมคือ
ตำบลโมซาเจียง อำเภอซินผิง จังหวัดยี่ซี มณฑลยูนาน ซึ่งอยู่ทางตอนบนของแม่น้ำแดง ชาวจีนเรียกว่า
ขานว่า ฮวาเย่าไต (Huayaodai) แปลว่า ไตเอวลาย (Flowery Belted) เหตุที่ได้ชื่อนี้เนื่องจากการแต่ง
กายของสตรีที่มีลักษณะโดดเด่นของผ้าคาดเอวที่ปักลวดลายและตกแต่งด้วยแถบผ้าหลากสีสันสวยงาม
บริเวณรอบเอว ชาวไตหย่าอพยพเข้าสู่ประเทศไทยในปี พ.ศ.2470 สิ่งสำคัญที่ทำให้ชาวไตหย่าย้ายถิ่น
ฐานเข้ามาสู่ประเทศไทยครงั้ แรกคือ จากการท่ีคระมชิ ชั่นนารที ี่ไปประกาศศาสนาศริสต์ที่เมืองหย่าได้เสร็จ
สิ้นภารกจิ เมือ่ ถึงเวลากลับประเทศไทยชาวไตหยา่ จงึ ได้อาสาสมคั รหาบของมาสง่ ให้เพราะตอ้ งการมาเห็น
ประเทศไทยด้วยเมอ่ื ไดม้ าเห็นประเทศไทยบางคนกไ็ ม่กลับไปอกี แต่มบี างคนไดก้ ลบั ไปแล้วไปบอกเล่าให้พ่ี
น้องไตหย่าในโมวาเจียงฟังถึงความสะดวกสบาย ความมีอิสรภาพในทุกด้านรวมถึงการนับถือศาสนาทำ
ใหห้ ลายคนเกิดความสนใจและตัดสินใจยา้ ยถ่นิ ฐานมาอยใู่ นประเทศไทยเป็นการถาวรจนถงึ เวลานี้ ชาวไต
หยา่ ชดุ แรกเดินทางมาด้วยกัน 10 ครอบครวั เป็นการเดินเท้าจากเมือ่ หย่าผ่านเมืองซอื เหมา สิบสองปันนา
เมืองยอง และแม่สาย ได้หยุดพักรวมกันที่หมู่บ้านหนองกลม(บ้านสันธาตุ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
ในปจั จุบัน) ใช้เวลาเดนิ ทางกว่า 40วัน ไปตงั้ หลักแหล่งแผว้ ถางทด่ี ินที่หมบู่ า้ นสันขวาง ตำบลแมค่ ำ อำเภอ
แม่จัน จังหวัดเชียงราย เมื่อจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นชาวไตหย่ากลุ่มหนึ่งได้แยกตัวออกมาหาที่อยู่ใหม่ คือ
หมู่บ้านบ่อน้ำขาว ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งทั้งสองหมู่บ้านอยู่ไม่ห่างไกลกนั มาก
นัก สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้สะดวก และชาวไตหย่ายังคงอาศัยอยู่จนถึงปัจจุบัน ชาวไตหย่าได้
ผสมกลมกลนื กับคนไทยโดยมีการแต่งงานมีลูกหลาน ยา้ ยถนิ่ ฐานไปอยู่หลายท่ีหลายแห่งของประเทศไทย
และในต่างประเทศ โดยประมาณแล้วจำนวนชาวไตหยา่ ในประเทศมปี ระมาณ 1,000 กวา่ คนเทา่ น้ัน

วิถชี วี ติ ของชนเผ่าไตหย่า

การดำเนินชีวิตของชาวไตหย่าในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ในอดีตไตหย่ามีชื่อเสียงเรื่อง
การทอเส่อื กก ทัง้ น้ีเน่ืองจากเม่ือเดินทางอพยพมาสปู่ ระเทศไทยได้มชี ายผูห้ น่งึ ชื่อว่าเลาหล่ายนำหัวต้นกก
แชน่ ำ้ ในกระบอกไมไ้ ผ่มาดว้ ย ระหวา่ งทางภรรยาของเลาหล่ายได้เอาหวั กกทิ้งไปถึง 3 คร้ังเพราะสัมภาระ
ท่หี าบมาหนัก เลาหล่ายก็จะเกบ็ มาทุกครง้ั จนครงั้ สุดทา้ ยครอบครวั อานแตนได้เป็นผู้เก็บและนำหัวเสื่อกก
มาถึงประเทศไทย เมอ่ื ถงึ ประเทศไทยได้เพาะหวั กกไว้ถึง 3 ปีจงึ มเี ส้นกกเพียงพอสำหรับทอเป็นเส่ือผืนแรก
โดยครอบครัวอานแตนเปน็ ผู้ออกแบบฟืมในการทอเสอื่ ด้วยต่อมาหัวกกได้แพร่ขยายเพ่มิ มากข้ึนชาวไตหย่า
จึงได้ปลูกกกกันเกือบทุกครัวเรือนในช่วงแรกการทอเสื่อถือเป็นอาชีพเฉพาะของชาวไตหย่าจนถูกเรียกว่า
“สาดไตหย่า” มีการประดิษฐ์ทำฟืมให้สามารถทอเสื่อขนาดต่าง ๆ กันต่อมามีการจ้างคนพื้นเมืองมาช่วย
ทอเส่ือและมีการจำหนา่ ยหัวกกออกไปจงึ ทำใหอ้ าชีพการทอเส่ือได้แพร่กระจายไปท่วั จังหวัดเชียงราย (จไุ ร
รัตน์ และเลหลา้ 2552) ในปัจจุบนั แม้ไตหยา่ จะไม่ได้ทอเส่อื เป็นอาชพี แล้ว แตก่ ารทอเสื่อลายสองท่มี ีความ
ประณตี กย็ งั ถือเปน็ อตั ลักษณห์ นง่ึ ของไตหยา่ ในประเทศไทย

การแต่งกายชนเผา่ ไตหยา่

ผู้ชาย ผู้ชายไตหย่าจะสวมกางเกงสีดำหรือสคี รามคล้ายกางเกงขาก๊วย เสอื้ สเี ดยี วกับกางเกง เรยี กว่า เสื้อ
ฮี ลักษณะเป็นเสื้อคอจีนแขนยาว ผ่าหน้าติดกระดุมผ้า ปลายแขนแต่งด้วยแถบผ้าสีแดงหรือสีฟ้า สวม
หมวกผา้ ทรงกลมกลางศีรษะโล่ง ติดภ่หู อ้ ยด้านข้างซ้าย ในปจั จบุ ันมกี ารปรับรปู แบบของเส้อื เพื่อใส่ในช่วย
อากาศร้อนเป็นแบบเสื้อแขนกุดตกแต่งด้วยเม็ดเงินผู้หญิง เครื่องแต่งกายของสตรีที่จะสวมผ้าซิ่น 2 ผืน
ซ้อนกันเป็นผ้าพื้นมดี ำ ประดับดว้ ยผา้ ริ้วสตี ่าง ๆ เย็บเปน็ แถบรอบชายซิ่น ขณะสวมใสจ่ ะร้ังผ้าซิ่นด้านซ้าย
ขึ้น ปล่อยชายด้านขาวห้อยต่ำลงมา นอกจาชายเสื้อและผ้าซิ่นจะประดับด้วยริ้วผ้าสีต่าง ๆ แล้วยังใช้เม็ด
เงินสอยเยบ็ ติดกบั ชายเสือ้ สาบเสอ้ื และขอบแขนเป็นลวดลายตา่ ง ๆ

ผู้หญงิ เครื่องแต่งกายของสตรที ีจ่ ะสวมผ้าซิ่น 2 ผืนซ้อนกันเป็นผ้าพื้นมีดำ ประดับด้วยผ้าริ้วสีต่าง ๆ เย็บ
เป็นแถบรอบชายซ่ิน ขณะสวมใส่จะรั้งผ้าซิ่นด้านซ้ายขึน้ ปล่อยชายด้านขาวห้อยต่ำลงมา นอกจาชายเสอื้
และผ้าซิ่นจะประดับด้วยริ้วผ้าสีต่าง ๆ แล้วยังใช้เม็ดเงินสอยเย็บติดกบั ชายเสื้อ สาบเสื้อ และขอบแขนเป็น
ลวดลายตา่ ง ๆ

ศาสนาและความเช่อื ของชนเผ่าไตหย่า

ชาวไตหย่าในประทศไทยกว่าร้อยละ 90 นับถือศาสนาศริสต์ ประเพณีกรรมสำคัญต่าง ๆ จึงขึ้นอยู่กับวัน
สำคัญของศาสนาคริสต์ ส่วนชาวไตหย่าที่อยู่ในประเทศจีนยังคงนับถือผี มีแม่มด ย่ามด เป็นผู้ประกอบ
พธิ กี รรมต่าง ๆ

ประเพณีและวัฒนธรรมของชนเผ่าไตหย่า

ประเพณแี ละวฒั นธรรมต่าง ๆ ทส่ี ำคัญของชาวไตหยา่ จะขึน้ อยกู่ ับวันสำคัญของศาสนาคริสต์เนื่องจากชาว
ไต่หยา่ สว่ นมากจะนบั ถือศาสนาคริสต์

ภาษาของชนเผา่ ไตหยา่

ชาวไตหย่ามีภาษาพูดเป็นของตัวเองที่ฟังแล้วคล้ายคลึงกับภาษาไทลื้อและภาษาไทยองแต่จากการไม่มี
ตวั อักษรในการจดบันทกึ จงึ ทำใหภ้ าษามกี ารเปล่ยี นแปลงและสญู หายไปมาก

อาหารของชนเผ่าไตหย่า

อาหารหลักของชาวไตหย่า คือ ข้าวเหนียว ไม่บริโภคอาหารดิบ และไม่บริโภคอาหารรสจัด อาหารจะทำ
ให้สุกด้วยการหุง ต้ม แกง ตุ๋น ทอด คั่ว ย่าง หรือจี่ เครื่องชูรสอาหารใช้แต่เกลือและน้ำส้มไม่บริโภค
เครื่องเทศนอกจากพริกไทย โดยปกติชาวไตหย่าจะเก็บถนอมอาหารไว้บริโภคนาน ๆ ด้วยการหมัก ดอง
และตากแหง้

อาชพี ของชนเผา่ ไตหย่า

แต่เดิมประกอบอาชพี การทำเกษตรเพื่อการยังชีพ แต่ปัจจุบันวิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไป ชาวไตหย่าส่วนใหญ่
เดินทางเข้าไปทำงานในจังหวัดอื่นๆ เช่น เชียงใหม่ กรุงเทพฯ มีเพียงบางส่วนที่ประกอบอาชีพเกษตร ทำ
นาข้าว ทำนากก เนื่องจากกกเป็นพันธุ์พืชที่ชาวไตหย่านำมาด้วยในคราวที่อพยพจากแควน้ ยูนนาน การ
ทำนากกในประเทศไทยจึงเริ่มต้นจากหมู่บ้านของชาวไตหย่าและต่อมาแพร่กระจายไปสู่หมู่บ้านใกล้เคียง
เมือ่ กกโตเตม็ ท่จี ะตดั เพ่อื ไปเป็นวตั ถดุ บิ ในการทอเส่อื กก

ชนเผ่าบีซู

ประวตั ิความเปน็ มาของชนเผ่าบีซู

จากประวัติบอกเล่าสืบต่อกันมาจนถึงยุคสมัยของพ่ออุ่นเรือน วงศ์ภักดี ได้ความว่าชาวบีซูบ้านดอยชมภู
เดิมตั้งรกรากอยู่ในเขตหมู่บ้านแสนตอ และได้อพยพโยกย้ายมาอยู่ที่บ้านเหล่ามะเขือแจ้ ปัจจุบันคือบ้าน
เหล่าชวนชม ซึ่งในช่วงเวลานั้นมีผู้น าหมู่บ้านช่ือ กะกุละ (กากุละ) และกำนันชื่อ วงศ์ และมีเจ้าอาวาสชื่อ
พระคำปินะ โดยมนี ายกำ่ ขาเป็นผ้ทู ี่นา่ เกรงขามในหมู่บ้าน และคนเมืองไม่กล้ามายงุ่ เกย่ี วด้วยเน่ืองจากเป็น
คนรูปรา่ งสูงใหญ่ มีกำลงั มาก ไถนาแทนควายได้ และสามารถฆ่าวัว ฆา่ ควายไดด้ ว้ ยมือเปล่าอกี ท้ังยงั กลืน
มะมว่ งพรอ้ มเมลด็ ได้ ตอ่ มาเมอ่ื ส้นิ ผูน้ าแลว้ ชาวบซี ใู นหม่บู ้านถูกข่มเหงรงั แกจากคนเมืองมากข้ึน มีการมา
ขโมยสัตว์เลี้ยง หมู วัว ควาย และข่มเหงผู้หญิง จึงได้ย้ายบ้านเรือนขึ้นไปอยู่บนเนินเขาบริเวณบ้านเหล่า
หลวง ปัจจุบันคือบ้านใหม่สันอุดม มีผู้น าชื่อนายอินต๊ะ หนายจั๋นต๊ะ และครูบาค ามา แต่เกิดโรคระบาด
(ฝดี าษ) ชาวบีซเู ช่ือวา่ เป็นเพราะมีการตง้ั ถิ่นฐานอย่ใู กลส้ บห้วย (บรเิ วณทีแ่ ม่น้ ามาบรรจบกนั )ระหว่างห้วย
ชมภูแง่งซ้ายและแง่งขวา ชาวบีซูในหมู่บ้านล้มตายเป็นจำนวนมากจึงมีเหลืออยู่ประมาณ 17ครัวเรือนท่ี
อพยพโยกย้ายขยับขึ้นไปตั้งชุมชนอยู่บนเนินเขาสูงขึ้นไปทางทิศเหนือของที่ตั้งเดิม ตั้งชื่อหมู่บ้านใหม่ช่ือ
บ้านห้วยชมภู หรือห้วยจุ๋มปู๋ค่อง และเผอิญชื่อหมู่บ้านห้วยชมพูไปซ้ าซ้อนกับบ้านห้วยชมภู ตำบลห้วย
ชมพู อำเภอเมอื ง พระณรงคฤ์ ทธ์ิ อนิ ต๊ะมา จึงได้ตัง้ ชื่อใหใ้ หม่ว่า บ้านดอยชมภู มาจนถงึ ปัจจุบัน

วถิ ีชวี ติ ของชนเผ่าบีซู

บีซูทดี่ อยชมภสู ่วนใหญ่ทำเกษตรกรรม ปลูกข้าว ข้าวโพด มนั สำปะหลัง ขา้ วเหนียวและอ่นื ๆ มีสว่ นนอ้ ยท่ี
ออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน พนื้ ที่หมูบ่ ้านของบีซูดอยชมภู เป็นเขตปา่ สงวน มีการกันพืน้ ท่สี ว่ นหน่ึงเป็นป่า
ชมุ ชน คนบซี รู ักปา่ และมกี ฎหา้ มคนหมบู่ ้านอื่นทำลายปา่ คนบซี ูสามารถเข้าไปเก็บของปา่ ได้ เก็บเหด็ ได้
พ้ืนท่ที ำกินของคนบซี ู จะไม่ขายใหค้ นนอกกลมุ่ แตจ่ ะให้ลูกหลานทำกินสบื ทอดกันไปในครัวเรือน ในการ
ปกครองชุมชน มีพอ่ หลวงดูแล เมอ่ื เกิดการทะเลาะววิ าทกนั พ่อหลวงเปน็ ผู้ตักเตอื นหรอื ลงโทษ โดยการ
ปรบั เงินเขา้ หมู่บ้าน 400-500 บาท มกี ารตั้งกฎเกณฑข์ ้อตกลงในชมุ ชน เพื่อไมใ่ หเ้ กิดความว่นุ วาย เช่น
ผู้ใดยิงปนื ยามวิกาล จะถูกปรับนัดละ 500 บาท และส่วนใหญ่คนในชมุ ชนจะฟงั กัน

การแตง่ กายของชนเผ่าบีซู

ชาวบีซูไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าตามอัตลักษณ์กลุ่มชาติพนั ธุ์ในชีวติ ประจำวัน เช่นเดียวกับหลายกลุ่มชาติพนั ธ์ุ
ในประเทศไทย ที่เสื้อผ้าตามอัตลักษณ์มีไว้เพื่อเสดงออกถึงตัวตนเมื่อต้องเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ

ทางสังคม ส่วนในชีวิตประจำวันนั้นจะสวมใส่เสื้อผ้าทั่วไปตามสมัยนิยมเป็นหลัก โดยเสื้อผ้าตามอัต
ลกั ษณท์ างชาตพิ ันธ์ขุ องชาวบีซู มรี ายละเอียดดงั น้ี

ชุดผู้ชาย ตัวเสื้อทำจากผ้าฝ้ายสีแดงน้ำหมาก คอจีน ผ่าหน้า ป้ายด้านขวาของผู้สวมใส่ แขนเสื้อ

ทรงกระบอกยาว ชายเสื้อขลิบผ้าสีน้ำเงิน กระดุมเสื้อทำมาจากกะลามะพร้าว มีหอยเบ้อประดับตัวเส้ือ
สว่ นกงเกงเปน็ ทรงขากวา้ ง สดี ำหรือสนี ำ้ เงนิ ส่วนของผา้ โพกหัวนิยมใชส้ แี ดง

ชุดของผูห้ ญิง ตัวเสื้อเปน้ ผ้าฝ้ายสีนำ้ เงินคอจีน ตัวเสื้อคลุมปา้ ยด้านซ้ายของผูส้ วมใส่ เสื้อแขนกระบอก

ยาว คอเสื้อและชายเสื้อตกแต่งลายปักสีแดงและหอยเบี้ย สวมผ้าถุงสีเขียวทอลายแดงสลับดำคาดกลาง
(เครือข่ายสื่อชนเผา่ พนื้ เมือง รว่ มกบั สภาชนเผา่ พ้ืนเมอื งแห่งประเทศไทย

ศาสนาและความเช่อื ของชนเผ่าบีซู

บีซูนับถือศาสนาพุทธและมีความผูกพันแน่นแฟ้นกับวัดและพระสงฆ์ และมีความเคร่งครัดในการปฏิบัติ
ศาสนกจิ ตามขนบประเพณดี ง้ั เดิม บดิ ามารดานยิ มให้บตุ รหลานที่เป็นชายบวชเรียน ถ้าเป็นผู้ใหญ่จะบวช
ให้พ่อแม่ ถ้าเป็นเด็กจะบวชเพื่อเรียนหนังสือ ในวันสำคัญทางพุทธศาสนาจะมีการทำบุญในหมู่บ้าน
เช่นเดียวกันคนไทยทางเหนือ ในขณะเดียวกันก็ยังคงนับถือผีด้วยเช่นกัน มีทั้งผีหมู่บ้าน ผีในป่า ผีในถ้ำ
ในทุ่งนาและผีบรรพบุรุษ บีซูเรียกผีที่ดูแลหมู่บ้านหรือเสื้อบ้านว่า ‘อังจาว’ ซึ่งมีผู้ช่วยชื่อ ‘ม้า’ ( maa)
หมายถึง ม้า มหี น้าทีด่ แู ลผมี า้ ที่เปน็ หวั หน้าของม้า ซ่ึงชาวบ้านบซี จู ะใหค้ วามเคารพนับถอื อังจาวเป็นอย่าง
มากโดยเชื่อว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยคุ้มครองหมู่บ้านของตนให้ปลอดจากอันตรายได้ ดังนั้นคนบีซูจึงมี
ประเพณีที่สำคัญคือประเพณีไหว้หอเสื้อบ้านที่เรียกกันว่า “อังจาวไว” โดยมีบุคคลสำคัญที่เป็นผู้ประกอบ
พิธีกรรมในหมบู่ า้ น เรียกวา่ ปู่ตงั้

ประเพณีและเทศกาลของชนเผา่ บซี ู

•การตายและการทำศพ

ในอดีตเมื่อมีคนเสียชวี ิตในชุมชน จะไม่ให้เดก็ และผูห้ ญิงออกจากบ้านชาว ผู้ทำหน้าที่จัดพิธีศพจเปน็ กลุม่
ผู้ชาย ใช้การฝังศพเป็นหลัก เชื่อว่าจะต้องฝังศพผู้ตายภายใน 24 ชั่วโมง การเลือกสถานทำพิธีเสี่ยง
ทายจากไข่ ถ้าโยนไข่ หรือใข่หลุดมือแล้วแตกที่ไหนจะทำพิธีฝังศพ ณ ตำแหน่งนั้น แต่ถ้าเมื่อโยนและไข่
ไม่แตกต้องหาที่ฝังใหม่ พิธีการเสี่ยงทายด้วยไข่นี้มีชื่อเรียกตาม ภาษาบีซูว่า ยา-อู-จัน โดยผู้ทำพิธีนั้นไม่
จำเป็นตอ้ งเปน็ หมอผี แต่ต้องเป็นผูท้ ีร่ ้แู ละเข้าใจพธิ ี อาจเป็นคนเฒา่ คนแก่ (ลักษณะเดยี วกบั สปั เหร่อ) โดย
จะเรียกวา่ ผู้นำทาง ในภาษาบซี ู เรียกวา่ แก-บา-หนำ-ฮู สว่ นในปจั จบุ นั น้ัน ใชก้ ารเผาศพและพิธีแบบคน
พน้ื เมอื ง

•ประเพณเี ซ่นไหวบ้ รรพชน

ในบา้ นจะมหี ิง้ ผีและแต่ละบา้ นไหว้เฉพาะผีสายตระกลู ทีต่ นเองถอื เรยี กวา่ “อังบาองั ตาอังแด” ในอดีตการ
ไหว้ผใี นบ้าน แบง่ เปน็ 2 ส่วนคือ

1.ผีบรรพบุรุษหรือผีพ่อแม่ปู่ย่า จะตั้งหิ้งบริเวณเขตของที่นอน หิ้งผีประจำบ้านถือเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยใน
อดีตใช้การแบ่งพื้นที่นอนและพื้นที่บ้านด้วยการใช้ไม้กั้น โดยห้ามคนภายนอกที่ไม่ใช่คนในบ้านข้ามเขต
เข้าไปในบริเวณที่นอน หากข้ามไปจะถือว่าผิดผี แม้จะนับถือผีข้างพ่อ แต่เมื่อญาติฝ่ายผีแม่ตายและมีลูก
สาวทเี่ ปล่ยี นไปถือผฝี า่ ยชายแลว้ กต็ ้องตามให้มาร่วมงานไหว้ผดี ้วยเช่นกนั

2. การไหวผ้ ียมุ แปง (เตาไฟ) ในสมัยกอ่ น ลักษณะบา้ นบซี เู ปน็ บา้ นหลังใหญ่ มเี ตาไฟอยู่ในเรอื น บริเวณนีม้ ี
การตงั้ หิ้งยุมแปงเปน็ ที่ศกั สิทธ์ิของแต่ละครวั เรือน เป็นของทรี่ ักษาคนในเรือนหลงั นั้น ๆ แต่หากทำอะไรผิด
ไม่ถูกใจผีที่รักษาบ้านหลังนั้น ๆ ผีอาจลงโทษคนในบ้านได้ จึงมีการไหว้หิ้งยุมแปงในเดือน 8 ของทุกปี
และจะทำการไหว้ยุมแปงทุกครั้งที่มีคนในบ้านเจ็บป่วย ปัจจุบันเมื่อมีการใช้แก็สหุงต้มเข้ามาแทนที่ทำให้
เตาไฟกลางบ้านหายไป แต่บีซูส่วนหนึ่งยังคงนับถือยุมแปงดังเดิม แม้จะไม่ตั้งหิ้ง ก็มีการไหว้บอกกล่าว
ตอ่ ยมุ แปงในสว่ นพ้นื ทเ่ี ตาไฟหรือท่ีประกอบอาหาร

ภาษาของชนเผ่าบซี ู

จัดอยู่ในตระกูลภาษาทิเบต-พม่า (Tibeto – Burmese family) ซึ่งตามหลักภาษาศาสตร์เรียกภาษากลุ่มนี้
ว่า ภาษาโลโลใต้ (Southern Loloish) ภาษาบีซูเป็นภาษาทเี่ พงิ่ มนี ักภาษาศาสตร์ค้นพบเม่ือไม่นานมาน้ี

อาหารของชนเผา่ บีซู

อาหารของชาวบีซู เช่น เมนูลาบพริก ที่ใช้วัตถุดิบมาจากพืชพรรณในท้องถิ่น เช่น พริก ขิง ยอดผักไผ่
ส้มป่อย ตะไคร้ ใบหอมแป้น(กุยช่าย) ฯลฯ เอกลักษณ์อยู่ที่วิธีการลาบหรือการสับ จะทำในกระบอกไม้ไผ่
เปน็ เมนอู าหารสขุ ภาพท่ีมักรบั ประทานกนั ในมือ้ กลางวนั ของครอบครัวหรือในงานเกี่ยวขา้ วของชมุ ชน

ชนเผ่าขมุ

ประวตั คิ วามเป็นมาของชนเผา่ ขมุ

ขมุ เป็นชาวเขากลุ่มเล็ก ๆ ในภาคเหนือของประเทศไทย บริเวณชายแดนจังหวัดเชียงรายและน่ าน
เปน็ กลมุ่ ชาตพิ ันธุท์ ่ีมีถน่ิ ฐานบริเวณตอนเหนือของเอเชียตะวันออกเฉียงใตม้ ายาวนาน ตงั้ แตบ่ ริเวณทางใต้
ของประเทศจีน ทางภาคเหนือของประเทศไทย ประเทศเวียดนาม จนถึงสาธารณรัฐประชาธิปไตย
ประชาชนลาว ซ่ึงมีชาวขมอุ ยู่เป็นจำนวนมากท่สี ุด

วถิ ชี วี ิตของชนเผา่ ขมุ

ดั้งเดิมนั้นคนขมุจะมีวิถีการผลิตแบบยังชีพ มีการปลูกข้าวไร่ เพราะพื้นที่ที่อยู่อาศัยก็เอื้อให้ทำการ
เพาะปลูกข้าวไร่ การปลูกพืชพาณิชย์เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และส่วนใหญ่แล้วลูกหลานรุ่นหลังมักจะ
ทำงานภายในพ้ืนที่และตา่ งจังหวดั เพ่อื หารายได้มาจุนเจือครอบครัว ตวั อย่างของคนขมุบ้านห้วยเอียน มี
การประกอบอาชีพค้าขายตามตลาดนัดทุกวันพธุ โดยจะนำเอาของปา่ ในพ้ืนที่ พืชผัก สตั วเ์ ล็กสัตว์น้อยไป
ขาย ซึ่งในตลาดก็จะพบของป่าที่มาจาก "หล่ายหน้า" หรือฝั่งลาวด้วย อีกทั้งภายในหมู่บ้านยังมีร้านค้า
ขายของชำ ด้วยเพราะหมู่บ้านตั้งอยู่บนเส้นทางแห่งการท่องเที่ยว จึงทำให้พวกเขาต้องปรับตัวเองและ
ยกระดับคุณภาพชีวิตของครัวเรือน ที่ไม่ได้ยึดติดกับอัตลักษณ์เดิม แต่ชาวขมุยังมีการแสวงหารายได้จาก
หลากหลายชอ่ งทาง หรอื "ความหลากหลายในการดำรงชีพ" เปน็ ต้น

การแตง่ กายของชนเผา่ ขมุ

ชาวขมุ นิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำหรือคล้ำเข้ม ในชีวิตประจำวันจะพบการแต่งกายแบบขมุเฉพาะกลุ่ม
หญิงมีอายุ ส่วนผู้ชายและเด็กรุ่นใหม่จะนิยมแต่งกายแบบคนเมือง นอกจากนี้ ชาวขมุบางถิ่นจะแต่งกาย
คล้ายกลุ่มอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้ เช่น ขมุบ้านห้วยเย็นและบ้านห้วยเอียน จังหวัดเชียงราย นุ่งซิ่นสีคล้ำลงลาย
แบบลาวและโพกผ้าสีแดง ส่วนขมุที่อำเภอทุ่งช้างและเชียงกลาง จังหวัดน่าน ใช้ซิ่นลายขวางแบบไทล้ือ
และสวมเสื้อหนาตัวสั้นสีน้ำเงินเข้ม ตกแต่งด้วยด้ายสีและเหรียญเงิน ใส่กำไลเงินที่คอแบบแม้วและกำไล
ข้อมอื

ศาสนาและความเช่ือของชนเผ่าขมุ

กลุ่มชนขมุยังยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีภายในกลุ่มบนความเชื่อ 2 รูปแบบด้วยกัน ดังนี้ความเชื่อ
เกย่ี วกับบรรพบรุ ษุ หรอื สงิ่ เหนือธรรมชาติ นับเปน็ ความเชอ่ื ดง้ั เดิมของคนขมุทมี่ ีการจำแนกไดเ้ ปน็

1.ความเชื่อในเรื่องของบรรพบุรุษ ความเชื่อเกี่ยวกับพญาเจือง วีรบุรุษผู้กล้าหาญ โดยจะมีการประกอบ
พิธีกรรมในชว่ งเทศกาลปใี หม่ขมุ

2.ความเช่ือในเรื่องของจิตวิญญาณบรรพบรุ ุษในระดับครอบครัว เช่น ผีปู่ ผีย่า ซึ่งคนขมุเชื่อว่ามอี ิทธิพลที่
จะช่วยคุ้มครองลูกหลาน สมาชิกในครอบครัวจึงมีการแสดงออกผ่านการเซ่นไหว้ ในยามที่สมาชิกใน
ครอบครวั เกดิ การเจ็บปว่ ย

3.ความเชอ่ื ในเร่อื งของสิง่ เหนือธรรมชาติ เชน่ ขวญั เจา้ ที่ จะมกี ารประกอบพธิ ีกรรมเชน่ การเรียกขวัญ การ
สูข่ วัญ การเล้ยี งผตี น้ น้ำ เป็นตน้

ประเพณแี ละวัฒนธรรมของชนเผ่า

ทกุ ปกี อ่ นจะถึงชว่ งฤดขูทมำไุ ร่ ชาวเผา่ ขมุจะจดั พิธีบนบานเทวดาฟ้าดินส่งิ ศักดิ์สทิ ธิ์ทั้งหลายและบรรพชนต้น

ตระกลู ชว่ ยดลบันดาลให้ฝนตกตามฤดกู าลเพราะชาวเผ่าขมุมคี วามเชื่อต่อธรรมชาตแิ ละเช่ือว่าทุกส่ิงทุก
อยา่ งในโลกลว้ นมีจติ วญิ ญาณท้ังสน้ิ

เม่อื ถงึ ต้นเดอื น 4 ตามจันทรคติ ชนชาวเผ่าขมใุ นบ้านแตน อำเภอเมอื งฟงั จังหวดั DienBien จะเตรียมการ
จัดพิธีบนบานขอฝนกันอย่างคึกคักซึ่งเป็นหนึ่งในงานใหญ่ประจำปีของชาวขมุ นาย QuangVanMuon
เลขาธิการพรรคสาขาบ้านแตนเผยว่า แม้วิธีการผลิตจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ชาวขมุไม่เคยลืมรากเหง้า
ไม่เคยลืมประเพณีดั้งเดิม ฉนั้นการจัดพิธีบนบานขอฝนก็เพื่อแสดงให้เหน็ ความเชื่อและความเคารพนับถือ
บูชาเทวดาฟ้าดิน“พิธีบนบานขอฝนนี้มีมานานแล้วและเป็นประเพณีถือปฏิบัติกันทุกปี เมื่อถึงเดือน 4
จันทรคติ ก่อนที่จะเริ่มทำไร่ เพื่อให้มีน้ำฝนพอเลี้ยงต้นข้าวให้เจริญงอกงาม ถ้าไม่ทำ การทำไร่ก็จะไม่
ไดผ้ ล”

ภาษาของชนเผา่ ขมุ

ชาวขมุจะมีภาษาพูดเป็นของตนเองตามสำเนียงเสียงท้องถิ่นและจะแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มส่วนใหญ่
แล้วจะสามารถส่ือสารกันไดอ้ ย่างเขา้ ใจ เพราะมีการเรยี นรทู้ างภาษาระหวา่ งกัน

อาหารของชนเผ่าขมุ

อาหารการกนิ ชาวขมกุ นิ ขา้ วเหนียวเปน็ หลกั กนิ เนื้อสตั ว์และผกั ทุกชนิด อาหารประจำวนั ส่วนใหญ่จะเป็น
จำพวกพืชผักต่าง ๆ ทั้งที่ปลูกไว้ในไร่และพืชผักสวนครัว บางส่วนได้มาจากการล่าสัตว์ หาของป่า
อาหารจำพวกหมู ไก่ จะใชเ้ ฉพาะในพธิ ีกรรม การประกอบอาหารสว่ นใหญจ่ ะใชพ้ ริก เกลือ ผงชรู ส และมกั
ใส่ผักขีอ้ ้น (กล้ชู )เพอ่ื ใหม้ ีกลน่ิ หอมและมีรส เป็นแกงผกั น้ำใส และอาหารทช่ี าวขมุชอบมาก ไดแ้ ก่ ปลาหมก
(กะ้ กูบ)ชาวขมจุ ะหมักเหล้าไวใ้ ชเ้ อง เหล้าของชาวขมุเป็นเหล้าอเุ รยี กว่า “ปูจ” มไี ว้สำหรบั ตอ้ นรับแขกผู้มา
เยือน และใช้ในการเซ่นไหว้ผี

อาชีพของชนเผ่าขมุ

ทำการเกษตรเป็นหลักแบบยังชีพ ปลูกข้าว เผือกมัน และเครื่องปรุงรสอาหารต่าง ๆ พืชไร่และไม้ยืนต้นมี
เล็กน้อย ส่วนใหญ่ปลูกไว้กิน หากมีเหลือก็จะแบ่งปันให้ญาติพี่น้อง นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงสัตว์ เช่นหมู
ไก่ วัวควาย ส่วนใหญเ่ ล้ยี งไวเ้ พ่ือใชป้ ระกอบพธิ กี รรม



ชนเผ่าไทใหญ่

ประวตั ิความเป็นมาของชนเผา่ ไทใหญ่

ไต หรือเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในช่ือ “ไทใหญ่” โดยความหมายของคำว่า “ไต” นั้น หมายถึงคน ขณะที่ช่ือ
เรียก “ไทใหญ่” นั้น เป็นชื่อที่คนไทยภาคกลางใช้เรียกคนไต หรือกลุ่มคนที่อยู่ในลุ่มน้ำสาละวิน ส่วนช่ือ
เรียก“เง้ียว”เป็นคำท่ีคนยวนในลา้ นนาใช้เรียกพวกเขา แต่เป็นคำที่คนไทใหญไ่ ม่ชอบเพราะสอ่ ไปในทำนอง
ดถู ูก ในขณะที่ “ฉาน” นนั้ เป็นอีกช่ือเรียกหน่ึงทีช่ าวพม่าใช้เรียกชาวไต จวบจนยคุ อาณานคิ ม ชาวอังกฤษ
ก็เรียกชื่อนี้ตามอย่างพม่า ในขณะที่เจ้าของวัฒนธรรมเองนั้น ประสงค์ให้คนทั่วไปเรียกตนเองว่า “ไต”
มากกว่าชื่ออื่น ขณะเดียวกันชื่อเรียกนั้นมีการใช้สลับไปมา มีความลื่นไหลและพลวัตรขึ้นอยู่กับมิติ
ความสัมพนั ธ์

วิถีชวี ติ ของชนเผา่ ไทใหญ่

วถิ ีชีวติ ชาวไทใหญ่ดง่ั เดิมทต่ี ั่งถิน่ ฐานในเมอื งเชยี งใหม่ ในอดตี แต่ละครวั เรอื นจะประกอบอาชพี หลายอย่าง
ไมย่ ึดประกอบอาชีพใดอาชพี หนง่ึ (สมโชติ อ๋องสกุล, 2546) ได้แก่

1. การค้าวัวต่าง พ่อค้าวัวต่างส่วนใหญ่เป็นชาวไทใหญ่ ในช่วงฤดูแล้ง พ่อค้าวัวต่างจะรวมกลุ่มเป็น
ขบวน รวบรวมผลผลติ สินค้าภายในท้องถิ่นไปแลกเปล่ียนสนิ คา้ กับหมูบ่ า้ นอืน่ ๆ กลบั มาในท้องถน่ิ เส้นทาง
การค้าวัวต่างมีทั้งระยะไกล เช่น เชียงใหม่ถึงมะละแหม่ง และเส้นทางระยะใกล้ เช่น เชียงใหม่ถึงฝาง
ตอ่ มาเมอื่ มกี ารพฒั นาทางดา้ นการคมนาคม การสรา้ งทางรถไฟและการสรา้ งถนนทำให้บทบาทของพ่อค้า
ววั ต่างหมดลงไป

2. การทำหนังพองขาย ในอดีตชาวไทใหญ่แทบทุกครัวเรือนจะทำหนังพอง ซึ่งเป็นการทำหนังควาย
แห้งนำมาทอด การขายหนังพองจะขายสองแบบ คือ แบบที่ยังไม่ได้ทอด และแบบที่ทอดแล้ว ขายให้กับ
พ่อค้าคนกลางที่มารับซื้อเพื่อนำไปขายต่อ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา หลังจากที่เริ่มมีผู้คนจากพื้นที่
ต่าง ๆ เข้ามาอาศัยในเมืองโดยเฉพาะบริเวณชุมชนช้างเผือก-ป่าเป้า ทำให้การทำหนังพองของชาวไท
ใหญ่ต้องเลิกกิจการไป เนื่องจากการทำหนังพองใช้กรรมวิธีที่ต้องใช้เชื้อเพลิงความร้อน และมีควันมาก
เทศบาลนครเชียงใหม่เกรงว่าจะเกิดอัคคภี ยั จงึ ขอใหเ้ ลกิ ทำหรอื ย้ายไปทำท่ีอนื่

3. การป้นั หม้อ ชาวไทใหญ่ทมี่ อี าชพี ป้นั หมอ้ ขายจะใช้ดนิ ในบรเิ วณบา้ นที่อยอู่ าศัย โดยการขุดดนิ ลงไป
เพือ่ นำเอาดนิ เหนียวดา้ นลา่ งขึ้นมา นำมาตากแดด แลว้ จงึ ทบุ ให้ละเอยี ด นำมาร่อนแลว้ จงึ ผสมนำ้ ข้ึนเป็น
รปู ทรง นำไปเผาไฟเปน็ หมอ้ ดิน ส่วนใหญ่จะขายทีห่ ้องแถวยา่ นถนนราชวงศ์

4. การทำรองเทา้ กาบโปก รองเทา้ กาบโปก เปน็ ภูมปิ ญั ญาของชาวไทใหญ่ เป็นการนำเอาไม้ไผ่หรือไม่
ซางมาตัดเป็นพืน้ รองเท้า แล้วใช้หนงั ควายหรือหนังหมูมาหุม้ ทั้งดา้ นบนและล่าง และเย็บหนังติดกนั ส่วน
ใหญ่ทำขึน้ เพือ่ ใช้ถวายพระภิกษุ

5. การทำนา ชาวไทใหญ่ที่อาศัยในเมืองเชียงใหม่ ส่วนน้อยที่จะทำนา ที่นาจะอยู่บริเวณหลังโรงเรียน
โกวิทธาํ รงเชยี งใหม่ รูปแบบการทำนาเป็นการจ้างแรงงานทอ้ งถ่นิ มาทำ

6. ช่างคำ ชาวไทใหญ่บางครอบครัวที่แต่งงานกับคนเมืองเชียงใหม่ ประกอบอาชีพช่างคำ โดยการซ้ือ
ทองคำในเมือง มาตีเปน็ แหวน หรอื กำไล

7. การค้าอัญมณี ชาวไทใหญ่ส่วนหนึ่งประกอบอาชีพการค้าขายอัญมณี เช่น เพชร พลอย หยก เป็น
ต้น ซึง่ นบั ว่าชาวไทใหญเ่ ปน็ กลุ่มท่มี ีความเช่ียวชาญในเร่อื งอญั มณอี ่างมาก

8. หมอยาสมุนไพร หมอนวด หมอดู ชาวไทใหญ่ส่วนหนึ่งมีความเชี่ยวชาญทางดา้ นสมุนไพร จึงมีชาว
ไทใหญท่ ี่เป็น “สล่ายา” นอกจากน้นั สว่ นหนึ่งก็ประกอบอาชพี เป็นหมอนวดและหมอดู

9. สล่าหรือช่างทำงานก่อสร้าง ชาวไทใหญ่บางกลุ่มมีความเชี่ยวชาญทางด้านการก่อสร้างและช่างไม้
เรียกวา่ “สล่า”

การแต่งกายของชนเผ่าไทใหญ่

ผู้หญงิ สตรชี าวไทใหญ่ในอดตี นิยมสวมเส้ือแซค เป็นเสอ้ื เนื้อบางแขนยาวหรอื สามสว่ น ป้ายสาบเส้ือทับ
ไปทางขวาโดยใช้กระดุมผ้าหรือกระดุมโลหะสอดยึดห่วง ซึ่งเสื้อป้ายนี้ได้อิทธิพลการแต่งกายมาจากชาว
จีนแบบราชวงศช์ งิ นุ่งซิ่นเนือ้ บาง เช่น ซน่ิ ก้อง ซ่นิ ส่วยต้อง ซิ่นปะลอ่ ง ซ้ินหลา้ ย ซิน่ ฮายย่า ซิน่ ถุงจ้าบ ซ่ิน
แพรปงั ลิ้น และซิน่ ปาเต๊ะ ทรงผมเกล้ามวยตามอายุ

ผู้ชาย บุรุษชาวไทใหญ่ในอดีตนิยมสวมเสื้อแซคหรือเสื้อแต้กปุ่ง เป็นเสื้อแขนยาว คอกลม กระดุมผ่า
หน้า มีกระเป๋าเส้ือ นุ่งกางเกงสะดอเรยี กว่า เรียกว่า ก๋นไต หรือ โก๋นโห่งโย่ง มัดเอวและเคียนหัวด้วยผ้าสี
อ่อน เช่น สีขาว ชมพู หรือเหลือง[15] ส่วนการแต่งกายในราชสำนักไทใหญ่มกั จะได้รบั อิทธิพลมาจากราช
สำนกั มัณฑะเลย์

ศาสนาและความเช่ือของชนเผา่ ไทใหญ่

ศาสนาและความเช่ือชาวไทใหญส่ ่วนใหญ่นับถอื ศาสนาพทุ ธ ซ่ึงศาสนาพทุ ธได้เร่ิมเข้ามามีบทบาทในกลุ่ม
ชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในรัฐฉานในช่วง ปี พ.ศ. 2015 เริ่มเฟื่องฟูมากขึ้นในช่วงที่พระญาณคัมภีร์เดินทาง
มาจากเชียงใหม่ไปเผยแพร่ศาสนาพุทธนิกายโยน ในขณะเดียวกันชาวไทใหญ่ก็นับถือเทพและผีเจ้าเมือง
ดว้ ย เป็นความเชอื่ ดงั่ เดิมทเ่ี ชื่อวา่ เจา้ เมอื งทเ่ี สยี ชวี ิตไปแลว้ จะยังคงปกปกั รักษาชาวบา้ นในชุมชนอยู่

ประเพณแี ละวัฒนธรรมของชนเผ่าไทใหญ่

วิถีชีวิตชาวไทใหญ่ เช่นพิธีการดำหัวตามประเพณีดั้งเดิมของชาวไทใหญ่ การแสดงฟ้อนไต การฟ้อนนก
ฟ้อนโต การฟ้อนเจิง การฟ้อนดาบ กับเครื่องดนตรีโบราณ เช่น ระนาดเหล็ก ฆ้องแผง กลองยาว ฉาบ ตี
ยอ หรือไวโอลินพม่า อาหารของชาวไทใหญ่จะมี "ถั่วเน่า" เป็นเอกลักษณ์ คล้ายกะปิ เป็นอาหารที่มี
ประโยชน์เพื่อสุขภาพอาทิ น้ำพริกคั่วทรายที่ผสมถั่วเน่าเป็นหลัก การทำถั่วเน่าจิ้นลุง หรือลูกชิ้นของชาว
ไทยใหญ่ นำ้ พรกิ พู หรือ ขนม เชน่ ข้าวหลามมูล คล้ายๆ กะละแม แตอ่ ย่ใู นกระ บอกไม้ไผ่

ภาษาของชนเผา่ ไทใหญ่

ภาษาที่คนไทใหญ่ใช้อยู่ในตระกูลภาษาไท-กะได กลุ่มตะวันออกเฉียงใต้ เช่นเดียวกับ ไทเหนือ ไทอาหม
ไทขาว ไทลื้อ ไทสยาม ลาว (เรณู วิชาศลิ ป์ 2541 หน้า 264) ภาษาไทใหญ่แยกตัวจากออกจากกลุ่มภาษา
ไทอื่น ๆ มานานมากและเริ่มเห็นความแตกต่างอย่างเด่นชัดในราวศตวรรษที่ 12-13 จากการที่สามารถตั้ง
รัฐโบราณบนลุ่มแมน่ ำ้ มาว จนขยายอิทธิพลออกไปทั้งทางเหนอื และทางใต้ ทางใตข้ ยายไปครอบคลมุ เมือง
ยองห้วยในลุ่มน้ำคง ทางเหนือขยายเข้าไปในแคว้นอัสสัม จนก่อให้เกิดกลุ่มชนที่พูดภาษาคล้ายคลึงกัน
ครอบคลุมพื้นที่ทั้งในพม่า อินเดีย จีน ตลดจนภาคเหนือของไทย หรือครอบคลุมลุ่มน้ำ 3 แห่งคือ น้ำคง
(แมน่ ้ำสาละวนิ ) น้ำอริ วดี และนำ้ พรมบุตร

อาหารของชนเผ่าไทใหญ่

ชาวไทใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวในล้านนาที่นิยมทานข้าวเจ้าเป็นหลัก ใช้ผักเป็นวัตถุดิบหลักในการ
ประกอบอาหาร โดยเคร่ืองปรุงได้มาจากพชื ผกั ธรรมชาติ เชน่ พริก เกลือ หอม กระเทยี ม เครือ่ งปรงุ สำคัญ
ที่เป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทใหญ่คือ “ถั่วเน่า” หรือถั่วเหลืองหมัก มีทั้งถั่วเน่าแผ่น เรียกว่า ถั่วเน่าแข็บ
และถว่ั เหลอื งท่ีหมกั และบดละเอียดโดยจะเก็บไว้ในลักษณะคล้ายการเกบ็ น้ำพริกตาแดงจะไมท่ ำใหแ้ หง้ ใช้
แทนกะปิ เรียกว่าถั่วเน่าเมอะ อาหารที่ขึ้นชื่อของคนไทใหญ่ เช่น จิ๊นลุง อุ๊บไก่ ข้าวส้ม เป็นต้นนอกจาก
อาหารคาวแล้ว ก็ยังมีขนมหวานอีก เช่น ฮาละหว่า หย่ากู๊ ส่วยทะมิน แอบน้ำอ้อย ข้าวมูลห่อ เป็นต้น ซ่ึง
ขนมของชาวไทใหญ่มักจะทำขน้ึ ในชว่ งเทศกาลตา่ งๆ

อาชพี ของชนเผ่าไทใหญ่

ชาวไทใหญ่มักประกอบอาชพี เกษตรกรรมและการคา้ ขาย

ชนเผา่ กะเหรย่ี งโพลง่

ประวตั แิ ละที่มาของกลุ่มชาตพิ ันธุก์ ะเหร่ยี งโพลง่

ประวัติศาสตร์ชาวตะวันตกเชื่อว่า บ้านเมืองเดิมของชาวกะเหรี่ยงอยู่ทางตะวันตกของจีนในเขตกวางสี
กอ่ นท่พี วกเขาจะอพยพสูด่ ินแดนทพี่ วกเขาอาศัยอย่ใู นปจั จุบัน ชาวจนี เรียกแม่น้ำแยงซเี กียงวา่ "แม่น้ำของ
พวกยาง หรอื แมน่ ำ้ ของพวกกะเหรีย่ ง"
ชนชาติกะเหรี่ยงเข้าสู่ดินแดนอินโดจีนตามสายน้ำสำคญั 3 สาย คือ สายน้ำอิระวดี สายน้ำสาละวิน และ
สายน้ำแม่นำ้ โขง แม่น้ำเจ้าพระยา กลุ่มกะเหร่ียงโปเป็นกลุ่มท่ีอพยพเขา้ มาตามสายนำ้ สาละวิน แม่น้ำโตง
แม่น้ำเมยและแม่น้ำตะนาวศรี โดยมีชุมชนหนาแน่นอยู่ที่เมืองตองอู, ผาปูน, ผาอ่าง, ท่าตอน, เมาะละแห
ม่ง, พะโค (หงสาวดี) กะเหรี่ยงกลุ่มน้ีอยู่ปะปนกับชาวมอญจึงถูกเรียกว่า "ตะเลงกะยิน" กะเหรี่ยงโปนั้นมี
เมืองดั้งเดิมที่บรรพบุรุษได้ตั้งถิ่นฐานมั่นคง เรียกเมืองนั้นว่า กวยเกอบ่อง (กวยเกอบ่อ) เมืองดูยอ เมืองนี้
เป็นที่ราบ มีภูเขาตั้งอยู่เด่นเป็นสง่าท่ามกลางที่ราบเป็นที่นาเวิ้ง พวกเขาถูกพม่า มอญ และคนไทยกวาด
ต้อนกระจัดกระจายไปตามท่ีต่าง ๆ พวกเขามคี วามเช่อื วา่ สักวนั หนึ่งพวกเขาจะได้กลับมารวมตวั กันอีกครั้ง
ท่ีเมอื งกวยเก่อบ่อ

วิถีชวี ติ ของกลมุ่ ชาติพันธุก์ ะเหร่ยี งโผล่ง

อตั ลักษณท์ ีม่ ีลักษณะเดน่ เฉพาะร่วมกนั ของคนในชมุ ชนพอสังเขป มีดงั น้ี
1. ด้านภาษา มีภาษาสื่อสารเป็นของตนเอง ลักษณะเฉพาะแตกต่างจากภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์

เดียวกัน แต่อยู่ต่างพื้นที่ สำเนียง การออกเสียง มีความเป็นท้องถิ่นแตกต่างจากถิ่นอื่น ๆ แต่สามารถ
สอ่ื สารกับคนทพ่ี ดู ภาษาเดยี วกันท่อี ย่ทู อ้ งถิ่นอ่ืน ๆ

2. การแต่งกาย ส่วนหนึ่งยังคงเป็นไปตามธรรมเนียมประเพณี เครื่องแต่งกายบ่งบอกถึงเพศ วัย
สถานภาพการแตง่ งานของเพศหญงิ ดว้ ย

3. ดา้ นศาสนาความเชอื่ มีลกั ษณะการบรู ณาการความเช่อื ด้านตา่ ง ๆ ทง้ั ความเช่อื พน้ื บ้าน ผบี รรพบุรษุ
ศาสนาพราหมณแ์ ละศาสนาพุทธเขา้ ด้วยกนั

4. ด้านการทำมาหากิน ทำไร่หมุนเวียนเป็นหลัก ปลูกทั้งข้าวและพืชผักที่จำเป็นต่อการบริโภค เมื่อทำ
ไร่ปหี นึง่ แลว้ จะปล่อยทท่ี ิ้งไว้ 7-10 ปี ใหป้ ่าเจรญิ เตบิ โตขึ้นเป็นป่าท่อี ุดมสมบูรณ์อีกครง้ั จึงกลบั มาทำไร่อีก

5. ด้านการใช้สอยประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ นำทรัพยากรมาใช้ประโยชน์หรือสร้างคุณค่าเท่าท่ี
จำเป็น ไมน่ ยิ มแสวงหาเก็บมาไว้เปน็ ส่วนเกนิ หรือจำหนา่ ยเป็นเงินทอง

6. ด้านการอยู่ร่วมกัน คนในชุมชนอยู่ร่วมกันโดยใช้ภูมิปัญญาหรือวัฒนธรรมชุมชนสร้างคุณค่าที่เป็น
วฒั นธรรมดา้ นต่าง ๆ เชน่ ความสามคั คี การแบง่ ปัน การให้อภัย ฯลฯ จึงมีคำกล่าวทวี่ ่า "คนท่ีน่ีปลูกบ้าน
ไว้รับแขก ใหแ้ ขกนอน ห้องนอนเจา้ ของบา้ นแคบนิดเดยี ว แตส่ รา้ งพื้นที่ให้แขกนอนอย่างกว้างขวาง"

7. ด้านคุณธรรม มีคุณธรรมรับผิดชอบต่อส่วนรวม ไม่ต้องจ้างงาน ไม่ต้องแต่งตั้งกรรมการ ไม่ต้องมี
ใครกำหนดบทบาทหนา้ ที่ให้ แตท่ ุกคนมสี ำนึกรับผดิ ชอบต่อสงั คม

8. ด้านอื่น ๆ เช่น ความสามารถไหวพริบในการเดินป่าและแสวงหาของป่ามาใช้ประโยชน์ในการ
ดำรงชีวิต (ผศ.เอีย่ ม ทองดี และคณะ, 2558)

การแต่งกายของกล่มุ ชาติพันธก์ุ ะเหรย่ี งโผล่ง

การแต่งกายปัจจุบันกลุ่มกะเหรีย่ งยงั คงสวมใส่เคร่อื งแตง่ กายประจำเผา่ ในวิถชี วี ติ ยังคงรักษาลักษณะร่วม
ที่แสดงออกถึงสถานะของหญงิ สาวและแม่หญิงแมเ่ รือนเช่นเดียวกัน คือหญิงทุกวยั ที่ยงั ไม่ได้แต่งงาน ต้อง
สวมชดุ ยาวกรอมข้อเทา้ สีขาว เม่ือแตง่ งานแล้วจะตอ้ งเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อ และผา้ ถุงคนละท่อนกันเท่านั้น
ห้ามกลับไปสวมใสช่ ุดยาวสีขาว ส่วนผู้ชายทั้งกลุม่ กะเหรี่ยงโป และสะกอ แถบจังหวัดภาคเหนอื มักสวมใส่
กางเกงสีดำ สนี ำ้ เงนิ สีกรมทา่ ในแถบจังหวัดตาก อำเภอลี้ จังหวดั ลำพูน อำเภอดอยเตา่ จังหวัดเชียงใหม่
มักสวมผ้าสโหร่ง ลักษณะผู้ชายวัยหนุ่มใช้สีแดงทุกกลุ่ม แต่มีลวดลาย มากน้อยต่างกัน ผู้ชายสูงอายุจะ
สวมเสื้อสีขาว การแตง่ กายของกะเหร่ียงทีย่ ังคงสวมใส่เครื่องแต่งกายประจำเผา่ ในวถิ ีชีวิตปกติมีเพียงกลุ่ม
โป และสะกอเท่านน้ั สว่ นกลุม่ คะยา และตองสไู มส่ วมใสช่ ดุ ประจำเผ่าในชวี ิตประจำวันแล้วกระเหรีย่ งแต่ละ
กล่มุ นอกจากจะมีการแต่งกายทแ่ี ตกต่างกัน กระเหร่ยี งกลุม่ เดียวกันแตอ่ ยตู่ ่างพื้นที่กม็ ีลักษณะการแต่งกาย
ไม่เหมือนกันด้วย เช่น กะเหรี่ยงโปแถบอำเภอ แม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่งกายมีสีสันมากกว่าแถบ
อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ หญิงกะเหรี่ยงสะกอแถบจังหวัดแม่ฮ่องสอน และอำเภอแม่แจ่ม จังหวัด
เชียงใหม่ตกแต่งเสื้อมีลวดลาย หลากหลาย และละเอียดมากกว่าแถบจังหวัดตาก หรือกะเหรี่ยงโปแถบ
จงั หวัดราชบรุ ี มีลวดลายตกแตง่ เสอื้ ผา้ แตกตา่ งจากแถบภาคเหนอื

ศาสนาและความเชื่อของกลมุ่ ชาตพิ ันธุ์กะเหร่ยี งโพลง่

ศาสนาและความเชื่อระบบความเชื่อของกะเหรี่ยงมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ ดังนั้นคน
กะเหรี่ยงจึงให้ความสำคญั ในทางศาสนามาก คนกะเหรี่ยงนับถือทั้งศาสนาพุทธ คริสต์และนับถือผี เกือบ
ร้อยละ 90 นับถือผี ผีมีอยู่ทุกแห่งในป่า ในไร่นา ในลำธาร ผีและวิญญาณเป็นบ่อเกิดของคุณธรรมและ
ค่านิยมหลายประการ เช่น การอยู่อย่างผัวเดียวเมียเดียว ไม่ประพฤติผิดลูกเมียใคร ผีที่นับถือ คือผีบ้าน
และผีเรือน ผีบา้ นเปน็ ผีเจ้าท่ีท่คี อยปกป้องดแู ลหม่บู า้ น ผเี รือนเป็นผดี วงวญิ ญาณบรรพบุรษุ ซึ่งคอยปกป้อง
รักษาบุตรหลานเหลนผูส้ บื ตระกูลของตนดว้ ยความหว่ งใย นอกนี้ยังมีผีประจำไร่หรือผนี า ซึ่งจะช่วยทำให้
ผลติ ผลของไรน่ าเจรญิ งอกงาม ดังนัน้ จึงมกี ารทำร้านเล้ยี งผไี รห่ รือผีนากอ่ นทำการปลูกข้าวหรือพชื ไร่

ประเพณแี ละเทศกาลสำคัญของกลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์กะเหร่ยี งโพลง่

ประเพณเี ทศกาลและพิธีกรรมสำคัญในรอบปี
•การขน้ึ ปใี หม่

ประเพณีเทศกาลและพธิ ีกรรมทเ่ี ก่ยี วกับชวี ติ
•การตงั้ ครรภ์และครอดบตุ ร
•การแต่งงาน การหย่าร้าง
•ความตาย และการทำศพ
•การสกั การะสง่ิ ศักดส์ิ ิทธิ์และบรรพบุรุษ

รักษาบุตรหลานเหลนผู้สบื ตระกูลของตนด้วยความห่วงใย นอกนี้ยังมีผีประจำไร่หรือผนี า ซึ่งจะช่วยทำให้
ผลิตผลของไร่นาเจรญิ งอกงาม ดังนน้ั จงึ มกี ารทำร้านเล้ยี งผีไร่หรอื ผีนาก่อนทำการปลกู ขา้ วหรอื พืชไร่

ภาษาของกลุ่มชาติพันธกุ์ ะเหรยี่ งโพลง่

ภาษากะเหรยี่ งจัดอยู่ในตระกูลภาษาจีน-ธิเบต ลกั ษณะเด่น ๆ ของภาษากะเหรี่ยงท่ีแตกต่างจากภาษาไทย
ได้แก่ โครงสร้างพยางค์ เสียงพยัญชนะและเสียงสระ รวมทั้งเสียงวรรณยุกต์ซึ่งในบางถิ่นจะมีลักษณะ
น้ำเสียงเป็นส่วนประกอบอย่ดู ้วย มีตวั พยัญชนะ 36 ตวั มหี น่วยเสยี งสระ 9 เสยี ง เสียงวรรณยุกต์ 5 เสียง
นอกจากมีคำศัพท์เฉพาะเป็นภาษาของตนเองแล้ว ยังมีศัพท์ที่มาจากวัฒนธรรมมอญ ซึ่งรับมาใช้ท้ัง
ตวั อกั ษรและอกั ขระวิธี

อาหารของกลมุ่ ชาติพันธกุ์ ะเหรยี่ งโพล่ง

อาชพี ของกลุ่มชาติพนั ธก์ุ ะเหรย่ี งโพล่ง

ในอดีต อาชีพการเกษตรเป็นอาชีพที่ชนเผ่ากะเหรี่ยงจะยึดเป็นอาชีพหลัก เช่น การทำไร่ ทำนา สมัยก่อน
จะชอบทำไรข่ ้าว แตภ่ ายหลังหันมาดำนาโดยใชช้ ้างเป็นเครอื่ งมอื บุกเบิก ระบบการทำไร่ของชาวกะเหร่ียง
เป็นระบบการทำไร่ลกั ษณะหมุนเวียน โดยมีการหมุนเวียนใชเ้ วลาประมาณ 7-10 ปี เพื่อทำใหร้ ะบบนิเวศมี
การฟื้นตัวกลับสู่สภาพเดิมมี อย่างไรก็ตามชาวกะเหรี่ยงมีความเชื่อว่า การทำไร่เปรียบเสมือนการเหยียบ
บนท่อนไม้ไผ่ อันหมายถึง ความไม่แน่นอนในด้านผลผลติ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของดินและสภาพดินฟา้

อากาศของแต่ละปี นอกจากนี้ยังปลูกพืชผักสวนครัวเอาไว้กินเอง พืชที่นิยมปลูกเป็นจำพวก ถั่ว ข้าวโพด
ขิง มะเขือ หัวหอม ผักประเภทต่าง ๆ นอกจากนี้ยังปลูกฝ้ายเอาไว้เองในครัวเรือน เพื่อถักทอเป็น
เครอ่ื งน่งุ หม่ บ้างก็ปลูกเพ่ือส่งออกในตลาดเพื่อมาเปน็ เงินจุนเจือครอบครวั
การค้าขาย การค้าขายในอดีตจะไม่มีการใช้เงินตราสว่ นใหญจ่ ะเปน็ การแลกเปลีย่ นสินคา้ คือ เมื่อล่าสตั ว์
หรือหาของป่าได้ก็จะนำไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งของเครื่องใช้ในเมืองหรือแลกเปลี่ยนกันเองอยู่ที่ความพอใจ
และการตกลงกันระหว่างสองฝ่าย เมื่อเวลาผ่านยุคสมัยเปลี่ยนไปทำให้มีการค้าขายโดยใช้เงินตราเป็น
สอื่ กลางในการแลกเปลย่ี น
การรับจ้าง ในอดีตไม่มีการรับจ้างแต่จะเป็นการช่วยเหลือกันมากกว่า ลักษณะจะเป็นแบบการเวียนกันใน
บ้านแต่ละหลัง ซึ่งเมื่อบ้านหลงั แรกทำงาน บ้านอื่น ๆ ก็จะมาช่วยกันและผลดั เปลี่ยนกันไปจนครบทุกบ้าน
การตอบแทนก็จะเป็นข้าว อาหาร ท่ีนำมาเลี้ยงดูปูเสื่อกัน ปัจจุบันเป็นการทำงานรับจ้างแบบขายแรงงาน
ไดร้ บั ค่าตอบแทนเปน็ เงิน
การเล้ียงสตั ว์ ในอดตี จะนยิ มเล้ยี งสัตว์จำพวกเปด็ ไก่ สกุ ร เพื่อนำมาเปน็ อาหาร โค กระบือ นำมาใช้ไถนา
และช้าง นำมาใช้ในงานลากไม้ซุง ปัจจุบันแรงงานสัตว์ถูกนำมาใช้ในเชิงธุรกิจการท่องเที่ยวมากขึ้น เช่น
ช้าง ก็จะเป็นการนำมาใช้ในการทำทวั ร์ เป็ด ไก่ สุกร ก็มีการเลีย้ งเพือ่ ส่งเข้าโรงฆา่ สัตว์และนำเนื้อที่ไดม้ า
ขายใหก้ บั นักท่องเที่ยวเป็นหลกั

กะเหร่ยี ง (KAREN) “ปกาเกอะญอ”

ประวัตคิ วามเปน็ มา

ชาวกะเหรี่ยง เรียกตนเองว่า “ปกาเกอะญอ” ซึ่งแปลว่า “คน” เป็นชนเผ่าที่มีจำนวนมากที่สุด ในประเทศ
ไทย แบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ สะกอ หรือยางขาว หรือ ปากฺกะญอ เป็นกลุ่มที่มีประชากรมากที่สุด
โป หรือ โพล่ อยู่ในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และลำพูน ปะโอ หรือ ตองสู และบะเว หรือ คะยา
ในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน ถิ่นฐานเดิมของกะเหรี่ยงอยู่บริเวณมองโกเลียเมื่อกว่า2,000ปีมาแล้ว ต่อมา
ได้หนีภัยจากการรุกรานจากกองทัพจีน มาอยู่ที่ธิเบต ถอยร่นลงมาทางใต้เรื่อยๆ ตั้งแต่บริเวณที่ราบลุ่ม
แมน่ ำ้ แยงซีเกียง ลมุ่ น้ำสาละวิน มาถึงคอคอดกระจังหวดั ประจวบครี ีขนั ธ์ จำนวนทอี่ พยพเข้ามาในประเทศ
ไทยในตอนปลายศตวรรษที่ 18 ในรชั สมยั สมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัวฯ

วถิ ชี วี ิต

การแตง่ กาย

กะเหรี่ยงทอผ้าจนเป็นวัฒนธรรมประจำเผ่า เสื้อเด็กและหญิงสาวจะเป็นชุดทรงกระสอบ ผ้าฝ้ายพื้นขาว
ทอหรือปักประดบั ลวดลายให้งดงาม ส่วนหญงิ ทมี่ ีครอบครัวแลว้ จะสวมเสอ้ื สีดำ น้ำเงิน และผา้ นุ่งสีแดงคน
ละท่อน ตกแต่งด้วยลูกเดอื ย หรือทอยกดอก ยกลาย สำหรับผูช้ ายกะเหรี่ยงนั้นส่วนมากจะสวมเสื้อตวั ยาว
ถึงสะโพก ตัวเสื้อจะมีการตกแต่งด้วยแถบสีไม่มีการปักประดับเหมือนเสื้อผู้หญิง นุ่งกางเกงสะดอ นิยมใช้
สรอ้ ยลกู ปัดเป็นเครื่องประดับ และสวมกำไลเงนิ หรือตุ้มหู

ศาสนา

ความเชื่อและพิธีกรรม เดิมชาวกะเหรี่ยงนับถือผีมีการบวงสรวงและเซ่นสังเวยอย่างเครง่ ครัด ภายหลังหัน
มานับถอื ศาสนาพทุ ธ และศาสนาคริสตม์ ากข้ึน แต่กย็ ังคงความเชือ่ เดิมอยู่ไม่น้อย เช่น ความเช่ือเร่ืองขวัญ
หรือการทำกิจกรรมต่างๆ จะต้องมกี ารเซ่น เจา้ ที่เจ้าทาง และบอกกล่าวบรรพชน ใหอ้ ดุ หนุนคำ้ จูน ช่วยให้
กิจการงานนั้นๆ เจริญก้าวหน้า ทำเกษตรกรรมได้ผลผลิตดี ให้อยเู่ ยน็ เป็นสุข ปกป้องคมุ้ ครองดูแล และยัง
เปน็ การขอขมาต่อทา่ น

วัฒนธรรมและประเพณี

ชาวกะเหร่ยี งมีประเพณที ่ีเก่ียวข้องกบั การ ทำพิธีกรรมเลี้ยงผี บวงสรวงดวงวิญญาณ ดว้ ยการต้มเหล้า ฆ่า
ไก่ - แกง และมดั มือผรู้ ่วมพิธีด้วยฝา้ ยดบิ ซงึ่ เกี่ยวโยงกัน ประเพณปี ีใหม่ โดยหวั หน้าหมู่บ้านจะเป็นผู้ระบุ
วันล่วงหน้า แต่ละหมู่บ้านจะมีปีใหม่ แต่ละปีไม่ตรงกัน เพราะเป็นพิธีที่หมายถึงการเริ่มต้นของฤดูกาล
การเกษตร และอยู่เย็นเป็นสุขประเพณีแต่งงาน ผู้หญิงจะเป็นผู้เลือกคู่ครองเอง เจ้าสาวจะต้องทอเสื้อผ้า
กางเกง ย่ามไว้ให้เจ้าบ่าว ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องฆ่าหมูฆ่าไก่เพื่อทำพิธีกรรมบอกต่อผีบรรพบุรุษและเปน็
อาหารเลี้ยงแขก แต่งงานแล้วฝา่ ยชายตอ้ งมาอยู่บ้านฝา่ ยหญิง 1 ฤดเู ก็บเกี่ยว กอ่ นแยกไปปลกู บ้านใกลก้ ัน

ภาษา

กะเหร่ียงแตล่ ะเผ่ามภี าษาพดู และภาษาเขยี นเป็นของตนเอง โดยการดัดแปลงมาจากตัวหนังสือพม่า ผสม
อักษรโรมัน

อาหาร

อาหารท้องถิ่นของชุมชนกะเหรี่ยงหรือปากะญอ เป็นการผสมผสานวัตถุดิบจากธรรมชาติมาปรุงแต่ง
อาหารที่ใช้รับประทานกันในชีวิตประจำวัน โดยเน้นพืชผักและวิธีการปรุงที่เรียบง่ายไม่สลับซับซ้อน
โดยส่วนมากที่นิยมรับประทานกันทุกครัวเรือนคือ อาหารประเภทน้ำพริก ผักต้ม หรือผักสด ประเภทต้ม
แกง ประเภทป้ิงยา่ ง สำหรับวธิ ีการปรุงรสจะแตกตา่ งกัน

อาชีพ

กะเหรยี งดงั้ เดิมส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพทำไร่ ทำนา อยตู่ ามปา่ ตามเขา ปลูกพชื ผักสวนครัวตามฤดูกาล
ส่วนสัตว์เลี้ยงก็จะเลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหารมากกว่าการค้าขาย ใช้ชีวิตแบบพึ่งป่าพึ่งน้ำอาศัยอยู่รวมกันเปน็
กลุ่มใหญ่

สถานทท่ี ่องเทย่ี ว

-บ้านกะเหรีย่ งรวมมติ ร
บนขอบริมของแมน่ ำ้ กกด้านซา้ ย ในตำบลแมย่ าว อำเภอเมืองเชียงราย ณ บ้านกะเหรย่ี งรวมมติ ร ทนี่ ่ีมชี น
เผ่าทีม่ าอาศัยรวมกันซง่ึ เป็นท่มี าของช่อื หมบู่ า้ น ไดแ้ ก่ ชนกะเหร่ียง อาข่า ชนลาหู่ ม้ง ลีซอ ไทลื้อ มีชนเผา่
ทั้งหมดถงึ 1500 กวา่ หลงั คาเรือน นักท่องเท่ียวจะไดท้ ำกจิ กรรมสนุก ๆ อยา่ งเช่น การข่ชี ้างเท่ียวชมบ้าน
ชาวเขา ชมน้ำตก นงั่ เกวยี นชมวิวทิวทัศน์ ชมการแสดง

ชนเผา่ ชอง

ประวตั ิและท่มี าของชาตพิ นั ธุ์ชอง

ชาวชองเป็นกลุ่มคนดั้งเดิมที่คงอยู่อาศัยในเขตรอยต่อระหว่างประเทศไทย กับกัมพูชามานานมากแล้ว
เพยี งแต่ไม่ไดม้ ีการจดบนั ทึกเอาไวอ้ ย่างชดั เจน ช่ือของชาวชองปรากฏในเอกสารเก่าสุดอยใู่ นบนั ทึกของโจ
วต้ากวาน ทูตชาวจนี ทีเ่ ดินทางเข้ามายังราชสำนักกัมพชู าเมื่อ พ.ศ.1839 ว่าชาวเขมรในกัมพูชาจับ “ชวง”
หรือ “จวง” (Chuang) ตามป่าเขามาเป็นทาสใช้สอยในเรือนของชาวเขมร คนกลุ่มนี้เป็นชาวป่าไม่ได้พูด
ภาษาเขมร เพาะปลูกกระวานและต้นฝ้าย (เฉลิม ยงบุญเกิด, 2543: 21) ซึ่งนับว่าสอดคล้องกับคำบอกเล่า
ของชาวชองจันทบุรีในปัจจุบันว่าอาชีพเดิมของชาวชองคือการปลูกกระวาน และชาวชองในกัมพูชาก็ทำ
อาชีพปลูกกระวานเช่นกนั

วิถชี วี ิตของกล่มุ ชาติพนั ธุ์ชอง

ก่อนหน้าปี พ.ศ.2500 ระบบเศรษฐกิจของชาวชองเป็นการเกษตรแบบยังชีพเป็นหลัก มีการปลูกข้าวเพื่อ
เลี้ยงครอบครัวไม่ใช่เพื่อการคา้ ยกเว้นการปลูกกระวานที่ทำเพ่ือการค้าเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการหาของ
ปา่ และล่าสัตวอ์ ีกด้วย เทา่ ท่สี งั เกตชาวชองส่วนใหญ่มกั จะมีบา้ นเรือนท่ีคอ่ นข้างใหญ่และได้รับการศึกษาที่
ดพี อสมควร

1.การทำนา

ชาวชองใชร้ ะบบการทำนาและการทำไรค่ วบค่กู ัน แตใ่ นอดีตย้อนกลับไปเกิน 50 ปี ระบบการทำนา
ของชาวชองเป็นการปลูกขา้ วไร่ (ฮายบาย) พันธข์ุ า้ วไรเ่ ทา่ ที่ชาวบา้ นจำได้มชี ื่อว่าขา้ วนางบอ่ , ขา้ วลูกปลา,
และข้าวเมด็ ลายกระจอ่ น สำหรบั พนั ธขุ์ ้าวนาเท่าที่ชาวบา้ นจำได้ ได้แก่ ขา้ วเหลืองทอง ข้าวนางกะลิง และ
ข้าวขาวประแส ปัจจุบันพันธุ์ข้าวเหล่านี้หมดไปแล้ว เพราะชาวบ้านหันมาปลูกข้าวพันธุ์ กข. แทน
(สัมภาษณ์ นายเฉิน ผันผาย, 2558) ก่อนที่จะเริ่มต้นการทำนาจะมีการไหว้ศาลหมู่บ้าน และศาลนา โดย
จะไหวก้ นั ในเดอื น 3 ขน้ึ 3 ค่ำ (เดอื นสามตามจันทรคติมักตรงกบั ชว่ งเดือนเมษายน)

2.การปลกู พืชเศรษฐกจิ

ในอดีตชาวชองมีอาชีพในการเพาะปลูกเครื่องเทศโดยเฉพาะกระวาน และเร่ว เป็นหลัก โดยเฉพาะ
กระวานเป็นพชื ท่สี รา้ งรายไดใ้ ห้กับชาวชองเปน็ อยา่ งมาก

กระวาน (cardamom) เป็นพืชที่ขึ้นในป่าบนภูเขาสูง คนบ้านคลองพลูจะไปปลูกกระวานกันที่เขา
สอยดาวมีความเชื่อว่ากระวานไม่ให้ผู้หญิงที่มีประจำเดือนปลูกจะปลูกได้ดีเฉพาะผู้ชาย ส่วนผู้หญิงจะให้
รอท่ีขนำ (ฮะหนำ)
เร่ว สามารถเติบโตได้ทั่วไป มีอยู่ 2 ชนิดคือ เร่วหอม ปลูกได้ที่บ้าน และเร่วป่า เป็นเร่วขน หน่อหรือราก
สามารถเอามาจิ้มน้ำพริกได้ มีกลิ่นหอม สรรพคุณทางยาคือช่วยแก้ท้องอืดเฟ้อ ขับลม ในเขตจังหวัด
จันทบรุ แี ละใกลเ้ คยี งมักเอามาทำแกง

3.การล่าสตั ว์

แบง่ ออกเปน็ 2 แบบคอื พรานเทย่ี วป่าใหญ่คือนายพรานท่ีล่าสัตวใ์ หญ่ และพรานสมัครเล่นคือ
นายพรานท่ลี ่าสตั วเ์ ลก็ เพยี งเพื่อพอยงั ชพี เทา่ น้ัน

สำหรับพรานป่าใหญ่จะไปล่าสัตว์กันที่เขาสอยดาวเป็นหลัก มีทั้งที่ล่าสัตว์ตามใบงานและล่า
สัตว์โดยไม่มีใบงาน ในกรณีของการล่าตามใบงานของนายทุน โดยนายทุนจะให้ปืนล่าสัตว์เช่นปืนไรเฟิล
ชาวชองจะทำดินปืนเอง นายเฉิน ผันผายได้บอกสูตรการทำดินปืนคือประกอบด้วยการตำดินปืน (ข้ี
ค้างคาว) ดินบด พริก กระเทียม ของร้อนตา่ ง ๆ ตำรวมกัน และมีการเอาไมก้ ระดกู หมา (ผเู้ ขียนไม่ทราบว่า
คืออะไร) ถือวา่ เปน็ เชื้อ แล้วเอาทั้งหมดไปคัว่ ทส่ี ำคญั ดว้ ยจะต้องมี "ไมบ้ งั คบั ปา่ " เชน่ ไมส้ ้วมรา้ ง บา้ นร้าง
วดั ร้าง/โบสถ์รา้ ง, ดนิ หลงั เมอื ง เพอ่ื ทำให้ดินปืนเกิดความขลงั การลา่ สตั ว์จะทำกันในทุกฤดู แต่ส่วนใหญ่
แล้วจะเรม่ิ กนั ในชว่ งหลงั จากฤดูการเก็บเก่ยี ว ยกเวน้ ในช่วงเขา้ พรรษาพรานจะไม่ทำการล่าสัตว์
การล่าสตั วต์ ่าง ๆ ทัง้ หมดเลิกกันไปเม่อื ราว 30-40 ปที ่ผี า่ นมา เพราะได้มกี ารตง้ั เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขา
สอยดาวขน้ึ เม่ือ พ.ศ.2515 ทำให้นายพรานไม่สามารถเขา้ ไปลา่ สัตว์กันไดอ้ ีก (สมั ภาษณ์ นายเฉนิ ผันผาย,
2558)

การแตง่ กายของกลุ่มชาติพันธุช์ อง

ในอดีต ผู้ชายชาวชองจะนุ่งโสร่ง ไม่นุ่งกางเกง ไม่สวมเสื้อและมีผ้าขาวม้าเคียนเอว แต่ในบางโอกาสจะ
สวมเสอื้ แขนสั้นสีดำ สเี ทา หรือกรมทา่ แลว้ แตค่ วามชอบ
สว่ นผู้หญงิ นิยมนุ่งผ้าโจงกระเบน ใสเ่ ส้ือแขนกระบอก ซ่ึงไม่ค่อยพบเหน็ ไดม้ ากเทา่ ไหร่นัก ส่วนด้านในเป็น
เสื้อคอกระเช้า นอกจากนี้บางครั้งจะห่มสไบทับด้านนอกด้วย ผู้หญิงชาวชองหันมาเริ่มนุ่งกางเกงกันเม่ือ
ประมาณปี 2520 ส่วนเด็กผู้ชายสมัยกอ่ นจะนิยมไว้ผมเปียและไว้แกะ ผู้หญิงจะไว้จุก เชื่อว่าจะทำใหเ้ ดก็ มี
อายุยนื และจะตัดกันเม่อื อายุได้ 12 ปี สำหรับคนในปัจจบุ ันมีเพียงเฉพาะคนแก่ที่ยงั แต่งกายในแบบด้ังเดิม
ซง่ึ โดยมากมักมีอายุ 50-60 ปขี ้ึนไป ส่วนคนรุ่นหนุ่มสาวเป็นการแต่งกายตามสมยั นยิ มกันหมด

ศาสนาและความเช่อื ของกลุ่มชาตพิ ันธชุ์ อง

ชาวชองกไ็ ม่ไดแ้ ตกต่างจากคนกลุ่มอ่ืน ๆ ในภมู ภิ าคอษุ าคเนย์คือมีความเช่ือผสมผสานกันระหว่างศาสนา
ผี พุทธ และพราหมณ์ โดยศาสนาผีเป็นศาสนาดั้งเดิมก่อนการรับศาสนาพุทธและ พรามหณ์เข้ามา ใน
ภาษาชองเรียกผีว่า "มู้จ" แบ่งผีออกเป็น 4 ชนิดได้แก่ ผีเรือน (มู้จต็อง) เป็นผีที่มีกันทุกบ้าน, ผีหิ้ง (มู้จต็
องพฮั ) และผีโรง

ประเพณีและวฒั นธรรมของกล่มุ ชาตพิ ันธุ์ชอง

ภาษาของกล่มุ ชาตพิ ันธุ์ชอง

อาหารของกลุ่มชาติพนั ธชุ์ อง

อาชีพของกล่มุ ชาติพนั ธช์ุ อง

อาขา่ (Akah) หรอื อกี ้อ

ความเปน็ มา

ชาวอาข่าหรืออีก้อ หรือข่าก้ออาศัยอยู่ในมณฑลยูนาน แคว้นสิบสองปันนา และไกวเจา เมื่อถูกรุกรานจึง
ทยอย กันอพยพลงใต้ ไปยังแคว้นเชียงตุง พม่า แคว้นหัวโขง และแคว้นพงสาลี ในลาว บ้านหินแตก
ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตของดอยแม่สะลอง จ.เชียงราย เมื่อกว่า 80 ปีมาแล้ว และกระจายไปตาม จังหวัด
เชียงราย เชียงใหม่ ตาก กำแพงเพชร แพร่ ลำปาง และเพชรบูรณ์ อาข่า เป็นชนเผ่า ที่สามารถสืบสาว
รายนามบรรพบรุ ุษฝ่ายบดิ าข้ึนไปถึงตัว "ตน้ ตระกูล" ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณี พิธกี าร ทั้งตำนาน
สุภาษติ ได้เปน็ อย่างดี อาข่า แปลว่า อา...เป็นคำข้ึนต้นท่อี าข่าใชเ้ รยี กบคุ คล ข่า.. แปลว่า ไกล-ห่างไกล มี
ความหมายวา่ กลุ่มคนทอ่ี าศยั อยบู่ นดอยสงู ซ่งึ หา่ ง ไกลจากความเจริญ และไม่ชอบใหเ้ รยี ก อีกอ้ ด้วยถือ
เป็นการดูถกู เหยียดหยาม ซ่งึ คำว่า อกี อ้ แปลว่า หน่ึงคน หนง่ึ กลุม่

วถิ ชี วี ิต

การแต่งกาย

อาข่าใชผ้ า้ ฝา้ ยทอเน้อื แนน่ ยอ้ มเปน็ สีนำ้ เงินเข้มและสีดำ หญงิ สวมเส้อื ตวั สน้ั กระโปรงพลที สนั้ ผ้าคาดเอว
และผ้าพันน่อง ห้อยคอด้วยลูกปัด มีจดุ เดน่ ทห่ี มวก ประดบั ดว้ ยลกู ปัดหลากสี ความแตกตา่ งของหมวก อยู่
ที่หญิงวัยเด็ก วัยรุ่น สวมหมวกทรงกลม หากแต่งงานแล้วจะสวมหมวกทรงสูง ผู้ชาย สวมเสื้อคอกลมแขน
ยาว กางเกงขากว๊ ย สีเดยี วกัน

ศาสนาและพธิ กี รรมและความเช่อื

ชาวอาข่าอาข่าไม่มีคำว่า "ศาสนา" แต่มีคำว่า "บัญญัติอาข่า" ซึ่งครอบคลุมไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณี
และพิธีการทุกอย่างในการดำเนินชีวิต มีความเชื่อในเรื่องผี โชคลาง และการเสี่ยงทาย เป็นที่สุด ผีหรือ ”
แหนะ” ไดเ้ ข้ามามีบทบาทในวิถชี วี ิตของชาวอาขา่ มีผดี ี เชน่ ผบี รรพบุรษุ คอยให้ความคุ้มครอง ส่วนผีร้าย
มักจะเป็นผีตายท้ังกลม ผีตายโหงผีป่า และผีน้ำ ซึ่งชอบทำใหค้ นเจ็บปว่ ย เหตุนี้เองอาขา่ จึงไมน่ ิยมต่อนำ้
เขา้ หมู่บา้ น และไมช่ อบอาบนำ้ ส่วนผปี า่ นน้ั จะชอบหลอกหลอนคนและทำรา้ ยคนในป่า พิธกี รรมของอาข่า
มีอยู่ด้วยกัน 9 พิธี ได้แก่ พิธีขึ้นปีใหม่ พิธีเกี่ยวกับการเกษตรก่อนลงมือทำไร่ พิธีทำประตู หมู่บ้าน พิธี
บวงสรวงผีใหญ่ พิธีเลี้ยงผีบ่อน้ำ เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชไร่ พิธีโล้ชิงช้า เพื่อระลึกถึงเทพธิดาผู้
ประทานความอุดมสมบูรณ์ให้แก่พืชผลที่กำลังงอกงาม พิธีกินข้าวใหม่จัดขึ้นเพื่อฉลองรวงข้าวสุกและ
ขอบคณุ ตอ่ ผีไร่ พธิ ีไลผ่ อี อกจากหมบู่ ้าน พธิ ีเลยี้ งผบี รรพบุรษุ

วฒั นธรรมและประเพณี

ครอบครัวอาข่าเป็นแบบครอบครัวขยาย อยู่รวมกันหลายครอบครัว หนุ่มสาวอาข่ามีอิสระในการเกี้ยวพา
ราสีและการเลอื กคู่ครอง หากแต่งงานแล้ว ผู้หญิงจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของผู้ชาย และมานบั
ถือผีฝ่ายสามี ทุกหมู่บ้านจะมีลานโล่งกลางหมู่บ้านเพื่อกิจกรรมต่าง ๆ ของหมู่บ้าน เป็นลานดินเรียกว่า
“ลานสาวกอด” หรือ “แดห่อง”เป็นลานที่ดินที่หนุ่มสาวชาวอาข่ามาพลอดรักกัน และเด็กๆมาร้องรำทำ
เพลงกัน นอกจากนี้ก็ยังมีประเพณี ปีใหม่ลูกข่าง ประเพณีไข่แดง โล้ชิงช้า ประเพณีไล่ผี ค่อนข้าง
หลากหลาย เช่น ประเพณี การฉลองปีใหม่ การฉลองพืชผล (กินข้าวโพดใหม่) การกินข้าวใหม่ การไหว้ผี
หลวง การไหว้ผีไร่ ผีนา การไหว้ผีบรรพบุรุษ ดนตรีเพลงชนเผ่า และการเต้นรำ เครื่องดนตรีชนเผ่ามีไม่
มากชิ้น ได้แก่ แคนนำ้ เตา้ และซงึ ใชเ้ ล่นประกอบการเตน้ รำในงานต่างๆ เพลงลีซอมหี ลายประเภท เพลงท่ี
นยิ มคือเพลงเก้ยี วสาว ซึง่ ชาย-หญิงรอ้ งโต้ตอบกัน
เครื่องดนตรี จะเล่นในโอกาส ช่วงประกอบดำเนินพิธีในพิธีกรรม เช่น งานแต่งงาน งานบวช งานศพ พิธี
ดึงวิญญาณคนตายจากนรก เครื่องดนตรีของเมี่ยนมี 2 ประเภท คือ เครื่องเป่าได้แก่ ปี่ (จยัด) ทำด้วย
ทองแดง ทองเหลอื ง ความยาวประมาณไมน่ อ้ ยกว่า 50 เซนติเมตร และเครือ่ งตีได้แก่กลอง ฆอ้ ง และฉาบ

ภาษา

ภาษาอาข่าจัดอย่ใู นสาจา ยิ ( โลโล ) ของตระกลู พมา่ - ธเิ บต มีภาษาพูด แต่ไม่มภี าษาเขียน

อาหาร

อาหารของอาขา่ ถือเป็นอาหาร ‘คลนี ’ ขนานแท้ เปน็ อาหารเพ่ือสุขภาพ เพราะจะกินผักสดที่ปลูกหรือข้ึน
เองตามธรรมชาติ เช่น ผักกาดเขียว น้ำเต้า ฟักเขียว ฟักทอง บวบ ผักกูด ผักโขม หน่อไม้ หอม
ชู มะเขือ พริก แตง ถั่ว ฯลฯ กินกับน้ำพริกต่างๆ เช่น น้ำพริกมะแขว่น น้ำพริกถั่วลิสง น้ำพริกงา
ขาว น้ำพริกมะเขือเทศ น้ำพริกปลา ฯลฯ หรือนำผักสดมาต้ม ทำแกงจืด ผัดผัก หากมีเนื้อสัตว์ก็จะ
นำมาปรุงเปน็ อาหารต่างๆ ทัง้ อาหารแบบดั้งเดิมของอาขา่ หรือทำแบบอาหารเหนือ เช่น ลาบ อ่อม คั่ว
ฯลฯ ส่วนหมูหรือไก่จะนำมาทำอาหารตอนมีพิธีต่างๆ ถือเป็นอาหารพิเศษ ไม่กินพร่ำเพรื่อ ชาวอ่าข่าจะ
กนิ ข้าวกบั นำ้ พรกิ และผักเป็นหลัก หากใครเคยไปเยือนหมู่บา้ นอา่ ขา่ จะพบเห็นคนอว้ นน้อยมาก หรอื แทบ
จะไมเ่ หน็ เลย (ยกเว้นผหู้ ญิงหลังคลอด)

อาชีพ

ทำอาชพี ทางกสิกรรม เชน่ การปลูกพชื ไร่ เปน็ การทำเพือ่ ยังชพี

สถานท่ที อ่ งเทยี่ ว

-บ้านกะเหรย่ี งรวมมิตร
บนขอบรมิ ของแม่น้ำกกด้านซ้าย ในตำบลแมย่ าว อำเภอเมืองเชียงราย ณ บ้านกะเหรีย่ งรวมมิตร ท่ีนี่มีชน
เผ่าท่มี าอาศยั รวมกันซ่งึ เปน็ ที่มาของชอื่ หม่บู ้าน ได้แก่ ชนกะเหร่ยี ง อาขา่ ชนลาหู่ ม้ง ลซี อ ไทล้อื มชี นเผ่า
ทั้งหมดถึง 1500 กว่าหลังคาเรือน นักท่องเที่ยวจะได้ทำกิจกรรมสนุก ๆ อย่างเช่น การขี่ช้างเที่ยวชมบ้าน
ชาวเขา ชมนำ้ ตก น่ังเกวยี นชมววิ ทวิ ทัศน์

เผา่ ม้ง

ประวตั คิ วามเปน็ มาของชนเผา่ ม้ง

ม้ง หมายถึง อิสระชน เดิมอาศัยอยู่ในประเทศจีน ต่อมาชาวจีนเข้ามาปราบปราม เป็นเหตุให้อพยพลง
มาถงึ ตอนใตข้ องจีน และเขตอินโดจนี ในชว่ งสงครามโลกครั้งที่ ๒ และตอนเหนอื ของประเทศไทย บริเวณ
ประมาณ พ.ศ. 2400 โดยมสี องกลุ่มไดแ้ ก่ ม้งน้ำเงินและม้งขาว ไมช่ อบให้เรียกวา่ แม้ว โดยถือว่าเป็นการดู
ถกู เหยียดหยาม ประชากรของมง้ ในประเทศไทย มีมากเป็นอันดบั 2 รองจากกะเหร่ียง

วถิ ีชีวติ ของชนเผ่ามง้

การแตง่ กายของชนเผา่ มง้

มง้ น้ำเงิน ผู้ชาย สวมเสือ้ สีดำ หรือน้ำเงนิ ตัวส้นั ตวั ปา้ ย ปกั ลวดลาย แขนยาว ขลิบขอบแขนเส้ือด้วยสีฟ้า
ส่วนกางเกงใช้สีเดียวกัน เป้ากางเกงจะกว้างและหย่อนต่ำลงมาถึงหวั เข่า ปลายขาแคบมีผ้าสีแดงคาดเอว
เอาไว้ ชายผ้าทงั้ สองข้างปักลวดลาย หอ้ ยลงมา ผู้หญิง สวมเส้อื สีดำ หรอื สีน้ำเงินเขม้ มลี วดลายทีห่ น้าอก
แขนยาวขลิบที่ปลายแขนด้วยสีฟ้า ปกเสื้อห้อยพับไปด้านหลัง ปักลวดลาย สวมกระโปรงจีบ รอบตัว
ลวดลาย จากการเขียนด้วยข้ีผง้ึ แล้วนำย้อมสีนำ้ เงิน มผี า้ ผืนยาวปักลวดลาย หัอยชายปิดกระโปรง ผู้หญิง
ที่แต่งงานแลว้ จะใช้ผ้าพ้ืนเรียบ ขลิบชายดว้ ยผ้าสี มีผ้าแดงปักลวดลายทีช่ ายทั้งสองข้าง และปล่อยเปน็ พู่
ห้อยลงมา คาดด้วยเขม็ ขดั เงินทับ พันแขง้ ดว้ ยผ้าสีน้ำเงินหรอื ดำ มวยผมไว้ท่กี ลางกระหม่อมมีช้องผมมวย
พันเสริมให้ใหญ่ขึ้น แล้วใช้ผ้าโพกทับมวยผม ประดับเครื่องเงิน และเหรียญเงิน ม้งขาว ผู้ชาย แต่งกาย
คล้ายกันกับม้งน้ำเงิน แต่มีการประดับลวดลายน้อยกว่า ที่คอสวมห่วงเงินรอบคอหลายห่วง ผู้หญิง ส่วน
ใหญ่จะแต่งตัวคล้ายกันกับม้งน้ำเงิน เดิมนิยมสวมกระโปรงสีขาวล้วนไม่มีลวดลายใดๆ มีผ้าผืนยาวที่ปิด
ทับด้านหน้ากระโปรงปักลวดลาย พร้อมทั้งมีผ้าแถบสแี ดงคาดเอว ปล่อยชายเปน็ หางไว้ด้านหลัง ปัจจุบัน
นุ่งกางเกงทรงจนี สนี ำ้ เงินเขม้ แทนกระโปรง พันมวยผม และกนั เชงิ ผมด้านหน้าให้ดมู ีหน้าผากกวา้ งขนึ้

ศาสนา ความเช่ือ และพิธีกรรม

ชาวม้งมีการนับถือวิญญาณบรรพบุรุษ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ที่อยู่บนฟ้า ในลำน้ำ
ประจำตน้ ไม้ ภูเขา ไร่นา ฯลฯ ชาวม้งจะต้องเซ่นสงั เวยสิ่งศกั ด์ิสทิ ธต์ิ า่ งๆ เหล่านีป้ ลี ะครง้ั

วัฒนธรรม และประเพณี

ชาวเขาเผ่าม้งหรือม้งมีประเพณีและวัฒนธรรมตลอดทั้งความเชื่อ เป็นของตนเองสืบมาแต่บรรพบุรุษ เช่น
ประเพณีฉลองปีใหม่เรียกว่า “ น่อเป๊โจ่วซ์” แปลว่ากินสามสิบ โดยถือเอาวันสุดท้ายคือ 30 ค่ำ ของเดือน
12 ในทุกปีเป็นวันส่งท้ายปีเก่า อยู่ในราวปลายเดือนพฤศจกิ ายน ถึง ธันวาคม ชาวม้งจะประกอบพิธีกรรม
ต่าง ๆ ทุกคนจะสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ประดับเครื่องเงินสวยงาม เด็ก ๆ จับกลุ่มกันเล่นลูกข่าง และร้องรำทำ
เพลง หนุ่มสาวจะจับคู่กันโยนลูกช่วง พูดคุยกัน ประเพณีแต่งงานชาวม้ง จะไม่เกี้ยวพาราสี หรือแต่งงาน
กับคนแซ่หรือตระกูลเดียวกันเพราะถือเป็นพี่น้องกัน ชาวม้งนิยมแต่งงาน ในระหว่างอายุ 15 – 18ปี เม่ือ
แต่งงานกันแล้วฝ่ายหญิงจะย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของฝ่ายชาย ซึ่งนับเป็นการเพิ่มสมาชิกในครอบครัวชาย
ชาวม้งอาจมภี รรยาได้มากกว่าหน่ึงคน อยู่รวมกันในบา้ นของฝ่ายสามี

ภาษาของชนเผ่าม้ง

ภาษาม้งจดั อย่ใู นสาขาเมย้ี ว-เยา้ จองตระกลู จนี -ธเิ บตไมม่ ีภาษาเขยี นแตย่ มื ตวั อักษรภาษาโรมัน มาใช้

อาหารของชนเผา่ มง้

อาหารมง้ เปน็ อาหารของชาวม้งที่พบส่วนใหญ่ในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ จนี ตอนใต้ และชมุ ชนมง้ อเมริกัน
ในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์ แต่ได้รับอิทธิพลจากอาหารลาว อาหารไทย อาหาร
เวยี ดนามและอาหารจีน อาหารมง้ แตกตา่ งกันไปบา้ งตามภูมภิ าค

อาชพี ของชนเผา่ ม้ง

ม้งมอี าชีพอย่างเดียวคือ การเกษตร โดยจะปลกู ไว้เพอื่ รบั ประทานในครวั เรือนเท่าน้ัน เช่น ขา้ ว และพืชผัก
จะไม่มีการซื้อขายด้วยเงนิ ตรา จะมีแต่การแลกเปลี่ยนกันดว้ ยสิ่งของเท่านั้น ม้งมีวิถีชีวิตที่ยากลำบากมาก
เพราะมง้ มคี วามคดิ วา่ ต้องมีลูกเยอะ ๆ เพ่อื ตัวเองจะได้สบายในบน้ั ปลายของชวี ติ จึงเป็นเหตุให้มง้ มีชวี ติ ที่
ลำบากมาก ๆ ต้องตรากตรำทำงานหนักในไรเ่ พอ่ื มาเล้ียงปากเล้ียงท้อง แต่ในปจั จบุ ันน้ี มง้ ได้ถูกอพยพมา
ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ราบลุ่ม ทำให้วิถีชีวิตของม้งเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการเป็นอยู่บนภูเขา การ
เป็นอยูม่ ีความดน้ิ รนมากขึ้น การประกอบอาชีพทางเกษตรจงึ มกี ารปรบั เปลี่ยนหลายรูปแบบมากขึ้น เช่น มี
การทำนา ทำไร่ และอืน่ ๆ เป็นตน้

สถานทที่ ่องเทย่ี วของชนเผา่ ม้ง

-บา้ นกะเหรี่ยงรวมมติ ร
บนขอบริมของแม่น้ำกกดา้ นซา้ ย ในตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย ณ บา้ นกะเหร่ียงรวมมิตร ท่ีนี่มีชน
เผา่ ท่มี าอาศยั รวมกันซึง่ เปน็ ท่มี าของชอ่ื หมบู่ ้าน ไดแ้ ก่ ชนกะเหรยี่ ง อาข่า ชนลาหู่ ม้ง ลีซอ ไทลื้อ มีชนเผ่า
ทั้งหมดถึง 1500 กว่าหลังคาเรือน นักท่องเที่ยวจะได้ทำกิจกรรมสนุก ๆ อย่างเช่น การขี่ช้างเที่ยวชมบ้าน
ชาวเขา ชมนำ้ ตก น่ังเกวียนชมวิวทวิ ทศั น์ ชมการแสดง

ลาหู่(LAHU )หรอื มเู ซอ

ความเปน็ มา

ลาหู่ หรือ มูเซอ อาศัย อยู่ในประเทศจีน เมื่อถูกรุกราน จึงอพยพมาทางตอนใต้ เข้าสู่ประเทศพม่า และ
ทางเหนือของประเทศไทย เมื่อกว่า 13 ปีมาแล้ว โดยเข้ามาทางอำเภอแม่จัน เชียงแสน เชียงของ เวียงป่า
เป้า แม่สรวย จังหวัดเชียงรายและอำเภอฝาง อมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอบางมะผ้า จังหวัด
แม่ฮ่องสอน มีเพียงส่วนน้อยที่มาจากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก มูเซอที่รู้จักกันมากได้แก่ มูเซอดำ มูเซอ
แดง มีวัฒนธรรมประเพณคี ล้ายคลึงกัน มูเซอ เปน็ ภาษาพม่า แปลวา่ นายพราน เน่อื งจากมีความชำนาญ
ในการล่าสัตว์โดยใช้หน้าไม้ ภาษาอังกฤษเรียกวา่ ลาฮู ในกลุ่มมูเซอดำเรียกว่าลาฮูนา มูเซอแดง เรียกวา่
ลาฮูยี

วิถชี ีวิต

การแตง่ กาย

ผู้หญิง มูเซอแดง สวมเสื้อตัวสั้นสีดำ แขนยาว ผ่าอก ติดแถบผ้าสีแดงท่ีสาบเสื้อ รอบชายเสื้อและแขน
ตกแต่งเสื้อด้วยกระดุมเงิน ส่วนผ้าซิ่นใช้สีดำเป็นพื้น มีลายสีต่างๆ สลับกันอยู่ที่เชิงผ้าโดยเน้นสีแดงเป็น
หลกั
ผูช้ าย สวมเส้ือสีดำ ผา่ อกกลาง กระดมุ โลหะเงิน หรอื กระดมุ เปลอื กหอย กางเกงจีนสีดำหลวมๆ ยาวลงไป
แค่เขา่ หรือใต้เข่าเล็กน้อย
ผู้หญิง มูเซอดำ แต่งกายด้วยเสื้อแขนยาว ตัวเสื้อยาวถึงครึ่งน่อง ผ่ากลางตลอดตัวขลิบชายเสื้อและตก
แตง่ ตวั เส้อื ด้วยผ้าสีขาว นงุ่ กางเกงขาก๊วยสดี ำ โพกศีรษะดว้ ยผ้าดำยาว และปล่อยชายผ้าห้อยไปข้างหลัง
ยาวประมาณ 1 ฟตุ ปจั จบุ ันใชผ้ า้ เช็ดตวั โพกศรี ษะแทน ใช้ผา้ สดี ำพันแขง้
ผชู้ าย สวมกางเกงขาก๊วยสดี ำ เสื้อสีนำ้ เงนิ แขนยาวผา่ หน้าป้ายขา้ ง สัน้ แค่บั้นเอว

ศาสนา ความเช่อื พิธกี รรม

มเู ซอนบั ถอื ผี มบี รรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิเ์ ป็นหลกั แต่ปจั จุบันก็มกี ารนบั ถือศาสนาพทุ ธ หรือศาสนาคริสต์
มากขึ้น มีความเชื่อ ที่มีพิธีกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง ในการดำรงชีวิต การเกิด เจ็บ ตาย บุคคลที่มีอทิ ธิพลใน
หมู่บ้านมากที่สุดได้แก่ พ่อครู หรือปู่จอง การตัดสินเรื่องสำคัญๆของหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านและทุกคน
จะต้องฟังความคิดเห็นของพ่อครูเป็นหลัก ซึ่งหัวหน้าหมู่บ้านกับพ่อครูอาจจะเป็นคนเดียวกัน ที่เป็นผู้นำ
ทางพธิ กี รรมเป็นผู้ ทำนายทายทัก รักษาอาการเจบ็ ปว่ ยด้วย สมุนไพร หรือภูมปิ ัญญาท้องถิ่น

วฒั นธรรม ประเพณี

ชาวมูเซอ มีอิสระในการเลือกคู่ครอง มีสัมพันธ์ทางเพศในอายุยังน้อย ไม่ชอบแต่งงานกับหญิงสาวบ้าน
เดียวกัน การแต่งงาน การหย่า ของมูเซอ จะต้องมีการฆา่ หมู เพื่อสังเวยแก่ผีทีก่ ลางลานใหญ่ของหม่บู ้าน
เป็นท่สี ำหรับเตน้ จะคใึ นชว่ ง งานปีใหมห่ รือ มพี ธิ ีทำบญุ ต่างๆ เช่นทำบุญขึ้นบา้ นใหม่ พธิ กี นิ ข้าวใหม่

ภาษา

มูเซอพูดภาษาธิเบต- พม่า ซึ่งคล้ายคลึงกับพวกอาข่าและลีซอ มูเซอส่วนใหญ่พูดภาษาไทใหญ่และลาวได้
บางคนก็พดู ภาษาจีนยนู าน หรือพมา่ ภาษามเู ซอแดงและมเู ซอดำตา่ งกันไมม่ ากนกั จงึ ฟังกันรเู้ รอื่ ง
อาหาร
เนื้อหมยู า่ งใสก่ ระบอกไมไ้ ผ่ นำ้ พรกิ มเู ซอ ตม้ ฟักเขียว ปลีกล้วยต้มใสป่ ลาเเห้ง เเละต้มฟกั ทอง

อาชีพ

อาชพี การทำไร่ ทำสวน


Click to View FlipBook Version