เศรษฐกิจพอเพียง
โดย
นางสาวอภิสรา ขำศรบี ุศ รหัสนักศกึ ษา 61181710207
Section 02
เสนอ
อาจารย์จันทิมา เคลือบสำราญ
รายวิชา เศรษฐกิจพอเพยี งสำหรับเดก็ ปฐมวัย
รหัสวิชา 1074212 ภาคเรยี นท่ี 1/2564
สาขาวิชาการศกึ ษาปฐมวยั คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลยั ราชภัฏอบุ ลราชธานี
ก
คำนำ
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะ
แนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชายไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทาง
เศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเนน้ ยำ้ แนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง
และย่ังยนื ภายใต้กระแสโลกาภิวัตนแ์ ละความเปลยี่ นแปลงต่าง ๆ ซง่ึ ในปัจจุบนั หลักสตู รการศึกษาปฐมวัยได้นำ
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียนและเด็ก พร้อมทั้ง
การมีส่วนรว่ มในกจิ กรรมของครู เดก็ ผูป้ กครอง และชมุ ชน
รายงานฉบับนี้จึงรวบรวมเรียบเรียงความรู้เกี่ยวกับจุดเริ่มต้นแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง พระราชดำริ
ว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง ประเทศไทยกับ
เศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงกับทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่
สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียนและเด็ก การมีส่วนร่วมในกิจกรรมของครู เด็ก ผู้ปกครอง และชุมชน
ความสอดคล้องของกจิ กรรมการเรยี นรู้กับหลักสตู รการศึกษาปฐมวัย การจดั กจิ กรรมการเรียนรทู้ ีส่ อดคล้องกับ
ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง และการใชว้ ัสดใุ นท้องถิ่น และการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการ
ผลิตสอ่ื ประกอบ
ผู้จัดทำหวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษาที่กำลังหาข้อมูลหรือ
ศึกษาเรื่องนี้อยู่ เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง อันนำไปสู่การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ของเด็กปฐมวัยที่สอดคล้องกบั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
อภสิ รา ขำศรบี ศุ
11 กรกฎาคม 2564
สารบัญ หนา้
เรอ่ื ง 1
1
เศรษฐกจิ พอเพียง 2
จดุ เรมิ่ ตน้ แนวคิดเศรษฐกิจพอเพยี ง 3
พระราชดำริว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพยี ง 4
ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
หลกั แนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 6
6
ประเทศไทยกบั เศรษฐกิจพอเพยี ง 7
การดำเนนิ ชวี ติ ตามแนวพระราชดำรพิ อเพียง
เศรษฐกิจพอเพียงกับทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ 8
8
ทฤษฎใี หม่ 9
ความสำคัญของทฤษฎีใหม่ 10
ทฤษฎีใหมข่ ้นั ต้น 10
ทฤษฎใี หม่ขน้ั ท่สี อง 11
ทฤษฎใี หม่ขั้นท่ีสาม 11
ข้อสำคัญที่ควรพจิ ารณา
ประโยชน์ของทฤษฎใี หม่ 12
12
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทส่ี อดคลอ้ งกับบริบทของโรงเรยี นและเดก็ 12
ความหมายการจัดกิจกรรมการเรียนรทู้ ี่สอดคล้องกบั บรบิ ทของโรงเรียนและเด็ก 12
ข้อควรปฏิบัติ
ขอ้ ควรหลกี เล่ยี ง/ข้อพงึ ระวงั /ข้อควรพฒั นา 13
13
การมสี ว่ นรว่ มในกิจกรรมของครู เด็ก ผูป้ กครอง และชุมชน 13
ความหมายการมีส่วนรว่ มในกิจกรรมของครู เด็ก ผู้ปกครอง และชมุ ชน 14
ขอ้ ควรปฏบิ ตั ิ
ข้อควรหลีกเลย่ี ง/ขอ้ พงึ ระวงั /ข้อควรพฒั นา 15
15
ความสอดคล้องของกิจกรรมการเรยี นร้กู ับหลกั สตู รการศึกษาปฐมวัย 15
ความหมายความสอดคล้องของกิจกรรมการเรียนรู้กบั หลักสตู รการศกึ ษาปฐมวัย 16
ข้อควรปฏบิ ัติ
ข้อควรหลกี เล่ียง/ขอ้ พงึ ระวัง/ขอ้ ควรพฒั นา
สารบญั (ตอ่ )
เรือ่ ง หนา้
การจดั กจิ กรรมการเรียนรูท้ สี่ อดคลอ้ งกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 17
ความหมายการจดั กจิ กรรมการเรียนร้ทู สี่ อดคล้องกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 17
ข้อควรปฏิบตั ิ 17
ขอ้ ควรหลกี เลี่ยง/ขอ้ พงึ ระวงั /ข้อควรพฒั นา 18
การใชว้ ัสดใุ นทอ้ งถน่ิ และการนำปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งมาใชใ้ นการผลติ สื่อประกอบ 19
ความหมายการใชว้ ัสดุในทอ้ งถิ่น และการนำปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 19
มาใชใ้ นการผลิตส่ือประกอบ
ข้อควรปฏิบัติ 19
ข้อควรหลกี เล่ยี ง/ขอ้ พงึ ระวัง/ข้อควรพฒั นา 20
อ้างอิง 21
1
เศรษฐกิจพอเพียง
"เศรษฐกิจพอเพียง" เปน็ ปรชั ญาท่พี ระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัวรัชกาลท่ี 9 ทรงมีพระราชดำรัสช้ีแนะ
แนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชายไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทาง
เศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเนน้ ย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง
และยงั่ ยนื ภายใตก้ ระแสโลกาภิวัตน์และความเปล่ียนแปลงตา่ งๆ
จดุ เรม่ิ ตน้ แนวคิดเศรษฐกจิ พอเพยี ง
ผลจากการใช้แนวทางการพัฒนาประเทศไปส่คู วามทันสมัย ได้ก่อให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงแก่สังคมไทย
อย่างมากในทกุ ด้าน ไมว่ ่าจะเปน็ ด้านเศรษฐกิจ การเมอื ง วฒั นธรรม สังคม และสง่ิ แวดลอ้ ม อีกทงั้ กระบวนการ
ของความเปลี่ยนแปลงมีความสลับซับซ้อนจนยากที่จะอธิบายในเชิงสาเหตุและผลลัพธ์ ได้ เพราะการ
เปลย่ี นแปลงทัง้ หมดต่างเปน็ ปัจจยั เชือ่ มโยงซง่ึ กันและกัน
สำหรับผลของการพัฒนาในด้านบวกนั้น ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ความเจริญทางวัตถุ และสาธารณูปโภคต่างๆ ระบบสื่อสารที่ทันสมัย หรือการขยายปริมาณและกระจาย
การศึกษาอย่างท่ัวถึงมากขึ้น แต่ผลด้านบวกเหล่านี้ส่วนใหญ่กระจายไปถึงคนในชนบทหรือผู้ด้อยโอกาสใน
สังคมน้อย แต่ว่า กระบวนการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้เกิดผลลบติดตามมาด้วย เช่น การขยายตัวของรัฐ
เข้าไปในชนบทได้ส่งผลให้ชนบทเกิดความอ่อนแอในหลายด้าน ทั้งการต้องพึ่งพิงตลาดและพ่อค้าคนกล าง
ในการสั่งสินค้าทุน ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ระบบความสัมพันธ์แบบเครือญาติ
และการรวมกลุ่มกันตามประเพณีเพื่อการจัดการทรพั ยากรที่เคยมีอยู่แต่เดิมแตก สลายลง ภูมิความรู้ที่เคยใช้
แกป้ ญั หาและสั่งสมปรับเปลีย่ นกนั มาถกู ลมื เลือนและเริม่ สูญหายไป
สิ่งสำคัญก็คือ ความพอเพียงในการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่ทำให้คนไทยสามารถพึ่งตนเอง
และดำเนินชีวิตไปได้อย่างมีศักดิ์ศรีภายใต้อำนาจและความมีอิสระในการกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง
ความสามารถในการควบคุมและจัดการเพื่อให้ตนเองได้รับการสนองตอบต่อความต้องการต่างๆ
รวมท้ังความสามารถในการจัดการปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ถอื วา่ เปน็ ศักยภาพพ้ืนฐานท่ีคนไทย
และสังคมไทยเคยมีอยู่แต่เดิมต้องถูกกระทบกระเทือน ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจจากปัญหาฟองสบู่และปัญหา
ความอ่อนแอของชนบทรวมทั้งปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนแต่เป็นข้อพิสูจน์และยืนยันปรากฎการณ์น้ี
ได้เปน็ อยา่ งดี
2
พระราชดำรวิ า่ ดว้ ยเศรษฐกจิ พอเพียง
“...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดบั ขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของ
ประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้
พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทาง
เศรษฐกจิ ข้นั ท่ีสูงขึน้ โดยลำดับต่อไป...” (18 กรกฎาคม 2517)
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานมานาน
กว่า 30 ปี เป็นแนวคดิ ทตี่ ัง้ อยบู่ นรากฐานของวัฒนธรรมไทย เปน็ แนวทางการพฒั นาทีต่ ง้ั บนพื้นฐานของทาง
สายกลาง และความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตั วเอง
ตลอดจนใชค้ วามรูแ้ ละคุณธรรม เป็นพ้นื ฐานในการดำรงชวี ิต ทสี่ ำคัญจะต้องมี “สติ ปญั ญา และความเพยี ร”
ซ่งึ จะนำไปสู่ “ความสุข” ในการดำเนินชีวิตอยา่ งแท้จรงิ
“...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยลา้ สมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมยั ใหม่
แต่เราอย่พู อมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาท่ีจะให้เมืองไทย พออยพู่ อกิน มคี วามสงบ และทำงาน
ตั้งจิตอธิษฐานตั้งปณิธาน ในทางนี้ที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามี
ความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอด
ย่งิ ยวดได้...” (4 ธันวาคม 2517)
พระบรมราโชวาทนี้ ทรงเห็นว่าแนวทางการพัฒนาที่เน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ
เป็นหลักแต่เพียงอย่างเดียวอาจจะเกิดปัญหาได้ จึงทรงเน้นการมีพอกินพอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่ใน
เบื้องต้นก่อน เมื่อมีพื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควรแล้ว จึงสร้างความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจให้
สูงขึ้น ซึ่งหมายถึง แทนที่จะเน้นการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมนำการพัฒนาประเทศ ควรที่จะสร้าง
ความมั่นคงทางเศรษฐกิจพื้นฐานก่อน นั่นคือ ทำให้ประชาชนในชนบทส่วนใหญ่พอมีพอกินก่อน เป็น
แนวทางการพัฒนาที่เน้นการกระจายรายได้ เพื่อสร้างพื้นฐานและความมั่นงคงทางเศรษฐกิจโดยรวม
ของประเทศ ก่อนเน้นการพัฒนาในระดับสูงขนึ้ ไป
“...เมื่อปี 2517 วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจ
พอเพียงนั่นเอง ถา้ แต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ย่ิงถา้ ท้ังประเทศพอมีพอกนิ ก็ย่ิงดี และประเทศไทยเวลาน้ันก็
เริม่ จะเปน็ ไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนกไ็ ม่มีเลย...” (4 ธนั วาคม 2541)
"...เศรษฐกิจพอเพียงนี้ให้ปฏิบัติเพียงครึ่งเดียวคือ ไม่ต้องทั้งหมด หรือแม้จะเศษหนึ่งส่วนสี่ก็พอ เศษ
หนึ่งส่วนสี่ก็พอนั้น ไม่ได้แปลว่า เศษหนึ่งส่วนสี่ของพื้นที่ แต่เศษหนึ่งส่วนสี่ของการกระทำโดยวิธีปฏิบัติ
เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ต้องทำทั้งหมด และถ้าทำทั้งหมดก็ทำไม่ได้..." พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสเฉลิมพระ
ชนมพรรษา (4 ธนั วาคม 2541)
"...เศรษฐกิจพอเพียง ความหมายคือทำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง ทำเป็น
Self Sufficiency..." (17 มกราคม 2544)
3
ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
"เศรษฐกิจพอเพียง แปลว่า Sufficiency Economy คำว่า Sufficiency Economy นี้ไม่ได้มี
ในตำราเศรษฐกิจ จะมีได้อย่างไร เพราะว่าเป็นทฤษฎีใหม่ ...Sufficiency Economy นั้นไม่มีในตำรา
เพราะหมายความว่าเรามีความคิดใหม่... และโดยที่ท่านผู้เชี่ยวชาญสนใจ ก็หมายความว่าเราก็สามารถท่ี
จะไปปรับปรงุ หรอื ไปใช้หลกั การ เพ่อื ท่ีจะใหเ้ ศรษฐกจิ ของประเทศและของโลกพัฒนาดีขึ้น"
พระราชดำรสั เนื่องในโอกาสวนั เฉลมิ พระชนมพรรษา
23 ธันวาคม 2542
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่
ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง
โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ
ความมเี หตผุ ล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมรี ะบบภมู ิคมุ้ กันในตวั ทีด่ ีพอสมควรตอ่ การมีผลกระทบใดๆ อันเกิด
จากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวัง
อย่างยิ่ง ในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทกุ ขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้อง
เสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับให้มี
สำนึกในคุณธรรม ความซ่อื สตั ย์สจุ รติ และใหม้ ีความรอบร้ทู ่ีเหมาะสม ดำเนินชวี ติ ดว้ ยความอดทน ความเพียร
มีสติ และความรอบคอบ เพ่ือใหส้ มดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้ง
ดา้ นวตั ถุ สังคม ส่ิงแวดลอ้ ม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ทีท่ รงปรับปรุงพระราชทานเป็นที่มาของนิยาม “3 หว่ ง 2 เงอ่ื นไข” ที่
คณะอนกุ รรมการขบั เคลอื่ นเศรษฐกิจพอเพยี ง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ
นำมาใช้ในการรณรงค์เผยแพร่ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงผ่านช่องทางสื่อต่าง ๆ อยู่ในปัจจุบัน
ซงึ่ ประกอบดว้ ยความ “พอประมาณ มเี หตผุ ล มภี ูมคิ ุ้มกัน” บนเง่อื นไข “ความรู้” และ “คุณธรรม”
ระบบเศรษฐกิจพอเพียงมุ่งเน้นใหบ้ ุคคลสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน และใช้จ่ายเงินให้ได้มา
อย่างพอเพียงและประหยัด ตามกำลังของเงินของบุคคลนั้น โดยปราศจากการกู้หนี้ยืมสิน และถ้ามีเงินเหลือก็
แบ่งเก็บออมไว้บางส่วน ช่วยเหลือผู้อื่นบางส่วน และอาจจะใช้จ่ายมาเพื่อปัจจัยเสริมอีกบางส่วน
สาเหตุที่แนวทางการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง ได้ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในขณะนี้ เพราะสภาพการ
ดำรงชีวิตของสังคมทุนนิยมในปัจจุบันได้ถูกปลูกฝัง สร้าง หรือกระตุ้น ให้เกิดการใช้จ่ายอย่างเกินตัว
ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินกว่าปัจจัยในการดำรงชีวิต เช่น การบริโภคเกินตัว ความบันเทิง
หลากหลายรูปแบบ ความสวยความงาม การแต่งตัวตามแฟชั่น การพนันหรือเสี่ยงโชค เป็นต้น จนทำให้ไม่มี
เงินเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น ส่งผลให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน เกิดเป็นวัฏจักรที่บุคคลหนึ่งไม่
สามารถหลุดออกมาได้ ถา้ ไม่เปล่ยี นแนวทางในการดำรงชวี ิต
4
หลกั แนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพียง
การพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ การพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและ
ความไม่ประมาท โดยคำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้
ความรูค้ วามรอบคอบ และคณุ ธรรม ประกอบการวางแผน การตดั สนิ ใจและการกระทำ
มีหลกั พิจารณาอยู่ 5 สว่ น ดังน้ี
1. กรอบแนวคิด เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติคนในทางที่ควรจะเป็น
โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชวี ิตด้ังเดิมของสังคมไทย สามารถนำมาประยกุ ต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลก
เชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัยและวิกฤต เพื่อความมั่นคงและความ
ย่ังยนื ของการพัฒนา
2. คุณลักษณะ เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ในทุกระดับ
โดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอยา่ งเปน็ ข้นั ตอน
3. คำนยิ าม ความพอเพียงจะตอ้ งประกอบด้วย 3 คณุ ลักษณะ พรอ้ มๆ กนั ดังน้ี
ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ทีไ่ ม่น้อยเกนิ ไปและไมม่ ากเกินไป โดยไม่เบียดเบียน
ตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ การดำรงชีวิตใหเ้ หมาะสม ซึ่งเราควร
จะมีความพอประมาณทั้งการหารายได้ และพอประมาณในการใช้จ่าย ความพอประมาณในการหารายได้ คือ
ทำงานหารายได้ด้วยช่องทางสุจริต ทำงานให้เต็มความสามารถ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ส่วนความพอประมาณใน
การใช้จ่าย หมายถึง การใช้จ่ายให้เหมาะกับฐานะความเป็นอยู่ ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรือใช้จ่ายเกินตัว และใน
ขณะเดียวกัน ก็ใช้จ่ายในการดูแลตนเอง และครอบครัวอย่างเหมาะสม ไม่อยู่อย่างลำบาก และฝืดเคือง
จนเกินไป
ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไป
อย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำ
นั้น ๆ อย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจ หรือการดำรงชีวิตประจำวัน เราจำเป็นต้องมีการตัดสินใจ
ตลอดเวลา ซึ่งการตัดสินใจที่ดีควรตั้งอยู่บนการไตร่ตรองถึงเหตุ รวมทั้งคำนึงถึงผลที่อาจตามมาจาก
การตดั สินใจอยา่ งรอบคอบ ไมใ่ ช่ตัดสนิ ใจตามอารมณ์ หรอื จากสิง่ ทค่ี นอ่นื บอกมาโดยปราศจากการวเิ คราะห์
การมภี ูมิค้มุ กันท่ีดใี นตัว หมายถงึ การเตรียมตวั ให้พร้อมรบั ผลกระทบและการเปลี่ยนแปลง
ด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้
และไกล การเตรียมตัวให้พรอ้ มรบั กบั ความเปลยี่ นแปลงในโลกที่ไม่มีอะไรแนน่ อน เราจงึ จำเป็นตอ้ งเรียนรู้ที่จะ
ดำรงอยูไ่ ดด้ ้วยการพงึ่ พาตนเอง และตง้ั อยใู่ นความไมป่ ระมาทอย่เู สมอ
5
4. เงือ่ นไข การตัดสินใจและการดำเนนิ กจิ กรรมต่างๆ ใหอ้ ย่ใู นระดบั พอเพียงนั้น ต้องอาศัยท้ังความรู้
และคณุ ธรรมเปน็ พื้นฐาน กลา่ วคอื
เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน
ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน
และความระมดั ระวังในขั้นปฏบิ ัติ
เงือ่ นไขคณุ ธรรม ทจ่ี ะตอ้ งเสรมิ สรา้ งประกอบด้วยความตระหนักในคณุ ธรรม มีความซ่ือสัตย์
สุจรติ และมคี วามอดทน มีความเพียรใช้สติปญั ญาในการดำเนินชีวิต
5. แนวทางปฏิบัติ/ผลที่คาดว่าจะได้รับ จากการนำปรัชญาของเศรษกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือ
การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม
ความรูแ้ ละเทคโนโลยี
สรปุ ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง 3 ห่วง 2 เงอื่ นไข 4 มิติ
6
ประเทศไทยกับเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นให้ผู้ผลิต หรือผู้บริโภค พยายามเริ่มต้นผลิต หรือบริโภคภายใต้ขอบเขต
ข้อจำกัดของรายได้ หรอื ทรพั ยากรทม่ี ีอยู่ไปก่อน ซงึ่ กค็ อื หลักในการลดการพงึ่ พา เพ่ิมขดี ความสามารถในการ
ควบคุมการผลิตได้ด้วยตนเอง และลดภาวะการเสี่ยงจากการไม่สามารถควบคุมร ะบบตลาดได้อย่างมี
ประสิทธภิ าพ เศรษฐกจิ พอเพียงมิใชห่ มายความถงึ การกระเบยี ดกระเสียนจนเกินสมควร หากแตอ่ าจฟุ่มเฟือย
ได้เปน็ ครง้ั คราวตามอตั ภาพ แต่คนส่วนใหญข่ องประเทศ มกั ใชจ้ ่ายเกินตวั เกินฐานะทีห่ ามาได้
เศรษฐกิจพอเพียง สามารถนำไปสู่เป้าหมายของการสร้างความมั่นคงในทางเศรษฐกิจได้ เช่น
โดยพื้นฐานแลว้ ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม เศรษฐกิจของประเทศจึงควรเนน้ ท่ีเศรษฐกจิ การเกษตร
เน้นความมั่นคงทางอาหาร เป็นการสร้างความมั่นคงให้เป็นระบบเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง จึงเป็นระบบ
เศรษฐกิจทีช่ ว่ ยลดความเสย่ี ง หรอื ความไม่ม่นั คงทางเศรษฐกจิ ในระยะยาวได้
เศรษฐกิจพอเพียง สามารถประยกุ ต์ใชไ้ ด้ในทกุ ระดบั ทุกสาขา ทุกภาคของเศรษฐกจิ ไม่จำเปน็ จะต้อง
จำกัดเฉพาะแตภ่ าคการเกษตร หรือภาคชนบท แม้แต่ภาคการเงิน ภาคอสังหาริมทรพั ย์ และการค้าการลงทุน
ระหว่างประเทศ โดยมหี ลกั การที่คล้ายคลึงกันคือ เนน้ การเลือกปฏิบัติอย่างพอประมาณ มเี หตุมีผล และสร้าง
ภูมิคมุ้ กันใหแ้ ก่ตนเองและสังคม
การดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำรพิ อเพียง
พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ 9 ทรงเขา้ ใจถงึ สภาพสังคมไทย ดังนั้น เม่อื ได้พระราชทานแนว
พระราชดำริ หรือพระบรมราโชวาทในด้านต่างๆ จะทรงคำนึงถึงวิถีชีวิต สภาพสังคมของประชาชนด้วย
เพอ่ื ไม่ให้เกดิ ความขัดแย้งทางความคดิ ที่อาจนำไปสคู่ วามขดั แยง้ ในทางปฏิบัติได้
แนวพระราชดำริในการดำเนินชวี ิตแบบพอเพียง
1. ยึดความประหยัด ตดั ทอนค่าใชจ้ ่ายในทุกด้าน ลดละความฟุม่ เฟือยในการใชช้ ีวติ
2. ยึดถือการประกอบอาชพี ด้วยความถกู ต้อง ซ่ือสตั ย์สจุ รติ
3. ละเลกิ การแก่งแยง่ ผลประโยชน์และแขง่ ขนั กนั ในทางการค้าแบบต่อส้กู ันอยา่ งรนุ แรง
4. ไมห่ ยดุ น่งิ ท่ีจะหาทางให้ชีวิตหลุดพ้นจากความทุกขย์ าก ด้วยการขวนขวายใฝ่หาความรใู้ ห้มรี ายได้
เพิ่มพนู ข้นึ จนถงึ ขน้ั พอเพยี งเปน็ เปา้ หมายสำคัญ
5. ปฏิบตั ิตนในแนวทางท่ดี ี ลดละสง่ิ ชัว่ ประพฤติตนตามหลักศาสนา
7
เศรษฐกจิ พอเพียงกับทฤษฎใี หม่ตามแนวพระราชดำริ
เศรษฐกิจพอเพยี งและแนวทางปฏบิ ตั ขิ องทฤษฎีใหม่ เป็นแนวทางในการพัฒนาทนี่ ำไปสู่ความสามารถ
ในการพึ่งตนเอง ในระดับต่างๆ อย่างเป็นขั้นตอน โดยลดความเสี่ยงเกี่ยวกับความผันแปรของธรรมชาติ หรือ
การเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยต่างๆ โดยอาศัยความพอประมาณและความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี
มีความรู้ ความเพยี รและความอดทน สตแิ ละปัญญา การชว่ ยเหลอื ซึ่งกันและกนั และความสามัคคี
เศรษฐกจิ พอเพยี งมีความหมายกวา้ งกว่าทฤษฎีใหม่ โดยทเ่ี ศรษฐกิจพอเพยี งเปน็ กรอบแนวคิดท่ีช้ีบอก
หลักการและแนวทางปฏิบัติของทฤษฎีใหม่ ในขณะที่แนวพระราชดำริเกี่ยวกับทฤษฎีใหม่หรือเกษตรทฤษฎี
ใหม่ ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาภาคเกษตรอย่างเป็นขั้นตอนนั้น เป็นตัวอย่างการใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง
ในทางปฏิบตั ทิ ี่เป็นรปู ธรรมเฉพาะในพืน้ ท่ีทเ่ี หมาะสม
ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ อาจเปรียบเทียบกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีอยู่ 2 แบบ คือ
แบบพน้ื ฐานกับแบบกา้ วหน้า ไดด้ ังนี้
ความพอเพียงในระดับบุคคลและครอบครัวโดยเฉพาะเกษตรกร เปน็ เศรษฐกิจพอเพยี งแบบพื้นฐาน
เทยี บไดก้ บั ทฤษฎีใหม่ขนั้ ที่ 1 ทมี่ งุ่ แกป้ ญั หาของเกษตรกรทอ่ี ยู่หา่ งไกลแหล่งนำ้ ต้องพง่ึ น้ำฝนและประสบความ
เสี่ยงจากการที่น้ำไม่พอเพียง แม้กระทั่งสำหรับการปลูกข้าวเพื่อบริโภค และมีข้อสมมติว่าที่ที่ดินพอเพียงใน
การขุดบ่อเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าว จากการแก้ปัญหาความเสี่ยงเรื่องน้ำจะทำให้เกษตรกรสามารถมีข้าว
เพื่อการบริโภคยังชีพในระดับหนึ่งได้ และใช้ที่ดินส่วนอื่นๆ สนองความต้องการพื้นฐานของครอบครัว รวมทั้ง
ขายในส่วนที่เหลือเพื่อมีรายได้ที่จะใช้เป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ไม่สามารถผลิตเองได้ ทั้งหมดนี้เป็นการสร้าง
ภมู ิค้มุ กนั ในตวั ใหเ้ กิดขน้ึ ในระดบั ครอบครวั
อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งในทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 1 ก็จำเป็นที่เกษตรกรจะต้องได้รับความช่วยเหลือจาก
ชุมชน ราชการ มูลนิธิ และภาคเอกชน ตามความเหมาะสม
ความพอเพียงในระดับชุมชนและระดับองค์กรเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ซึ่งครอบคลุม
ทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 2 เป็นเรื่องของการสนับสนุนให้เกษตรกรรวมพลงั กันในรปู กลุม่ หรือสหกรณ์ หรือการที่ธุรกิจ
ตา่ งๆ รวมตวั กนั ในลกั ษณะเครือข่ายวสิ าหกิจ
กล่าวคือ เมอื่ สมาชกิ ในแตล่ ะครอบครัวหรอื องค์กรตา่ งๆ มีความพอเพียงข้ันพ้นื ฐานเปน็ เบื้องต้นแล้วก็
จะรวมกลุ่มกันเพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่กลุ่มและส่วนรวมบนพื้นฐานของการไม่เบียดเบียนกัน การแบ่งปัน
ช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามกำลังและความสามารถของตนซึ่งจะสามารถทำให้ ชุมชนโดยรวมหรือเครือข่าย
วสิ าหกจิ น้นั ๆ เกดิ ความพอเพียงในวถิ ปี ฏิบัติอยา่ งแทจ้ รงิ
ความพอเพียงในระดับประเทศ เปน็ เศรษฐกจิ พอเพียงแบบก้าวหน้า ซึง่ ครอบคลมุ ทฤษฎีใหม่ข้ันที่ 3
ซึ่งส่งเสริมให้ชุมชนหรอื เครือขา่ ววสิ าหกิจสร้างความร่วมมอื กับองค์กรอื่นๆ ในประเทศ เช่น บริษัทขนาดใหญ่
ธนาคาร สถาบนั วิจัย เปน็ ต้น
การสร้างเครือข่ายความร่วมมือในลกั ษณะเชน่ นจี้ ะเปน็ ประโยชน์ในการสบื ทอดภมู ิปัญญา แลกเปลีย่ น
ความรู้ เทคโนโลยี และบทเรียนจากการพัฒนา หรือร่วมมือกันพัฒนา ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงทำให้
ประเทศอันเป็นสังคมใหญ่อันประกอบด้วยชุมชน องค์กร และธุรกิจต่างๆ ที่ดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง
กลายเป็นเครือข่ายชุมชนพอเพียงท่ีเชือ่ มโยงกันด้วยหลักไม่เบียดเบียน แบ่งปันและช่วยเหลือซึง่ กันและกันได้
ในทส่ี ุด
8
ทฤษฎใี หม่
ปัญหาหลักของเกษตรกรในอดีตจนถึงปัจจุบันที่สำคัญประการหนึ่งคือ การขาดแคลนน้ำเพ่ือ
เกษตรกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพื้นที่อาศัยน้ำฝน ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศที่อยู่ในเขตที่มีฝน
ค่อนข้างน้อย และส่วนมากเป็นนาข้าวและพืชไร่ เกษตรกรยังคงทำการเพาะปลูกได้ปีละครั้งในช่วงฤดูฝน
เท่านั้น และมีความเสี่ยงกับความเสียหายอันเนื่องมาจากความแปรปรวนของดิน ฟ้า อากาศ และฝนทิ้งช่วง
แม้ว่าจะมีการขุดบ่อหรือสระเก็บน้ำไว้ใช้บ้างแต่ก็ไม่มีขนาดแน่นอน หรือปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นปัญหาให้มีน้ำ
ไมพ่ อใช้ รวมท้งั ระบบการปลูกพืชไม่มีหลกั เกณฑ์ใดๆ และสว่ นใหญ่ปลูกพชื ชนิดเดยี ว
ดว้ ยเหตุนีพ้ ระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู ัวจงึ ได้พระราชทานพระราชดำริเพ่ือเปน็ การชว่ ยเหลอื เกษตรกร
ที่ประสบความยากลำบากดังกล่าวให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤต โดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำได้โดยไม่
เดอื ดร้อนและยากลำบากนกั
พระราชดำรินี้ ทรงเรียกว่า "ทฤษฎีใหม่" อันเป็นแนวทางหรือหลักการในการบริหารจัดการที่ดินและ
นำ้ เพอ่ื การเกษตรในทด่ี ินขนาดเล็กใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุด
ทฤษฎีใหม่ คือ ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียงที่เด่นชัดที่สุด
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรินี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่มักประสบ
ปัญหาทั้งภัยธรรมชาติและปัจจัยภาย นอกที่มีผลกระทบต่อการทำการเกษตร ให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลา
วกิ ฤต โดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำไดโ้ ดยไม่เดือดรอ้ นและยากลำบากนัก
ความเสยี่ งทีเ่ กษตรกร มกั พบเปน็ ประจำ ประกอบดว้ ย
1. ความเสี่ยงดา้ นราคาสนิ ค้าเกษตร
2. ความเสยี่ งในราคาและการพงึ่ พาปจั จยั การผลิตสมัยใหม่จากตา่ งประเทศ
3. ความเส่ยี งด้านน้ำ ฝนทง้ิ ช่วง ฝนแลง้
4. ภยั ธรรมชาตอิ ื่นๆ และโรคระบาด
5. ความเสย่ี งดา้ นแบบแผนการผลิต
- ความเสี่ยงดา้ นโรคและศตั รพู ชื
- ความเสีย่ งด้านการขาดแคลนแรงงาน
- ความเสย่ี งด้านหนสี้ ินและการสญู เสยี ทีด่ ิน
ความสำคัญของทฤษฎีใหม่
1. มกี ารบริหารและจดั แบ่งทดี่ ินแปลงเล็กออกเป็นสัดสว่ นทีช่ ัดเจน เพ่อื ประโยชนส์ ูงสุดของเกษตรกร
ซึง่ ไมเ่ คยมีใครคดิ มาก่อน
2. มีการคำนวณโดยใช้หลักวิชาการเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่จะกักเก็บให้พอเพียงต่อการเพาะปลูกได้
อย่างเหมาะสมตลอดปี
3. มีการวางแผนทสี่ มบรู ณแ์ บบสำหรบั เกษตรกรรายยอ่ ย
9
ทฤษฎีใหม่ข้นั ตน้
การจดั สรรพื้นที่อยู่อาศยั และที่ทำกนิ ให้แบง่ พืน้ ทีอ่ อกเปน็ 4 สว่ น
ตามอตั ราส่วน 30:30:30:10 ซง่ึ หมายถึง
พื้นที่ส่วนที่หนึ่ง ประมาณ 30% ให้ขุดสระเก็บกักน้ำเพื่อใช้เก็บ
กักน้ำในฤดูฝนและใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้ง ตลอดจนการ
เลี้ยงสตั ว์และพืชนำ้ ต่างๆ
พืน้ ทสี่ ่วนทสี่ อง ประมาณ 30% ใหป้ ลูกข้าวในฤดฝู นเพอ่ื ใช้เป็น
อาหารประจำวัน สำหรบั ครอบครัวใหเ้ พียงพอตลอดปี
เพือ่ ตัดคา่ ใชจ้ า่ ยและสามารถพง่ึ ตนเองได้
พ้ืนท่ีสว่ นทส่ี าม ประมาณ 30% ใหป้ ลกู ไมผ้ ล ไม้ยนื ตน้ พชื ผัก
พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพอ่ื ใช้เป็นอาหารประจำวัน
หากเหลือบรโิ ภคก็นำไปจำหน่าย
พน้ื ทีส่ ว่ นทสี่ ่ี ประมาณ 10% เป็นที่อยู่อาศยั เลย้ี งสัตว์ ถนนหนทางและโรงเรอื นอ่ืนๆ
การจัดสรรพ้นื ท่อี ยู่อาศัยและท่ที ำกินตามทฤษฎีใหมข่ ั้นต้น
10
ทฤษฎใี หมข่ นั้ ทีส่ อง
เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบัติในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว ก็ต้องเริ่มขั้นที่สอง คือให้
เกษตรกรรวมพลงั กันในรปู กลุม่ หรอื สหกรณ์ ร่วมแรง ร่วมใจกนั ดำเนินการในดา้ นตา่ งๆ ดังน้ี
1. การผลติ (พันธุ์พืช เตรยี มดนิ ชลประทาน ฯลฯ)
เกษตรกรจะต้องร่วมมือในการผลติ โดยเร่ิมตัง้ แตข่ นั้ เตรียมดิน การหาพันธพ์ุ ชื ปุ๋ย การจัดหานำ้ และ
อืน่ ๆ เพ่ือการเพาะปลกู
2. การตลาด (ลานตากขา้ ว ย้งุ เครอื่ งสีข้าว การจำหน่ายผลผลิต)
เมื่อมีผลผลิตแล้วจะต้องเตรียมการต่างๆ เพื่อการขายผลผลิตให้ได้ประโยชน์สูงสุด เช่น การเตรียม
ลานตากข้าวร่วมกัน การจัดหายุ้งรวบรวมข้าว เตรยี มหาเครือ่ งสขี ้าว ตลอดจนการวมกนั ขายผลผลติ ให้ได้ราคา
ดี และลดค่าใช้จ่ายลงดว้ ย
3. การเปน็ อยู่ (กะปิ น้ำปลา อาหาร เคร่ืองนุ่งหม่ ฯลฯ)
ในขณะเดียวกันเกษตรกรต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีพอสมควร โดยมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต เช่น
อาหารการกนิ ต่างๆ กะปิ นำ้ ปลา เสอ้ื ผ้าทีพ่ อเพียง
4. สวสั ดิการ (สาธารณสขุ เงินก้)ู
แต่ละชุมชนควรมีสวสั ดิภาพและบริการท่ีจำเป็น เช่น มีสถานีอนามยั เมื่อยามป่วยไข้ หรือมีกองทุนไว้
กู้ยืมเพอื่ ประโยชนใ์ นกจิ กรรมตา่ งๆ ของชมุ ชน
5. การศกึ ษา (โรงเรียน ทุนการศึกษา)
ชุมชนควรมีบทบาทในการส่งเสริมการศกึ ษา เช่น มีกองทุนเพื่อการศึกษาเลา่ เรียน ให้แก่เยาวชนของ
ชมุ ชนเอง
6. สังคมและศาสนา
ชุมชนควรเป็นที่รวมในการพัฒนาสังคมและจิตใจโดยมีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยว และกิจกรรมทั้งหมด
ดังกล่าวข้างต้น จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าส่วนราชการ องค์กรเอกชน ตลอดจน
สมาชิกในชมุ ชนนนั้ เปน็ สำคัญ
ทฤษฎีใหม่ข้ันท่ีสาม
เมื่อดำเนนิ การผ่านพ้นข้นั ทีส่ อง เกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรก็ควรพฒั นาก้าวหน้าไปสู่ข้ันท่ีสามต่อไป
คือ ติดต่อประสานงาน เพื่อจัดหาทุน หรือแหล่งเงิน เช่น ธนาคารหรือบริษัท ห้างร้านเอกชน มาช่วยในการ
ลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งนี้ ทั้งฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายธนาคารหรือบริษัทเอกชนจะได้รับประโยชน์
รว่ มกนั กล่าวคือ
- เกษตรกรขายขา้ วได้ในราคาสงู (ไม่ถกู กดราคา)
- ธนาคารหรือบริษทั เอกชนสามารถซื้อข้าวบริโภคในราคาต่ำ (ซื้อขา้ วเปลือกตรงจากเกษตรกรและมาสเี อง)
- ธนาคารหรอื บรษิ ทั เอกชน จะสามารถกระจายบคุ ลากร เพื่อไปดำเนนิ การในกจิ กรรมต่างๆ ใหเ้ กดิ ผลดีย่งิ ข้ึน
11
ขอ้ สำคญั ทีค่ วรพิจารณา
1. การดำเนินการตามทฤษฎใี หมน่ น้ั มปี ัจจยั ประกอบหลายประการ ข้นึ อยู่กบั สภาพแวดลอ้ มในแต่ละ
ท้องถน่ิ ฉะน้ันเกษตรกรควรขอรับคำแนะนำจากเจ้าหน้าท่ีด้วย
2. การขุดสระนั้น จะต้องสามารถเก็บกักน้ำได้ เพราะสภาพดินในแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกัน เช่น ดิน
ร่วน ดินทราย ซงึ่ เปน็ ดนิ ไม่สามารถอุ้มน้ำได้ หรือเป็นดนิ เปรี้ยว ดนิ เค็ม ซ่งึ อาจจะไม่เหมาะสมกับพืชท่ีปลูกได้
ฉะนั้น จะต้องพิจารณาให้ดีและควรขอรับคำแนะนำจากเจ้าพน้าที่พัฒนาที่ดิน หรือเจ้าหน้าที่หน่วยงานท่ี
เกยี่ วข้องก่อน
3.ขนาดของพื้นที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณและคำนึงจากอัตราการถือครองที่ดินถัว
เฉลี่ยครัวเรือนละ 15 ไร่ แต่ให้พึงเข้าใจว่าอัตราสว่ นเฉลี่ยขนาดพื้นที่น้ีมิใช่หลักตายตัว หากพื้นที่การถือครอง
ของเกษตรกรจะมีน้อยกว่าหรือมากกว่านี้ ก็สามารถนำอัตราส่วนนี้ ( 30:30:30:10) ไปปรับใช้ได้
โดยถอื เกณฑ์เฉลย่ี
4. การปลูกพืชหลายชนิด เช่น ข้าวซึ่งเป็นพืชหลักไม้ผล พืชผัก พืชไร่ และพืชสมุนไพรอีกทั้งยังมีการ
เล้ยี งปลา หรอื สตั ว์อ่นื ๆ ซงึ่ เกษตรกรสามารถนำมาบรโิ ภคไดต้ ลอดทั้งปี เป็นการลดคา่ ใช้จ่ายในส่วนของอาหาร
สำหรับครอบครัวได้ และส่วนทีเ่ หลือสามารถจำหน่ายไดเ้ ป็นรายไดแ้ ก่ครอบครวั ได้อีก
5. ความรว่ มมอื ร่วมใจของชุมชนจะเป็นกำลังสำคัญ ในการปฏิบตั ติ ามหลักทฤษฎใี หม่ เช่น การลงแรง
ชว่ ยเหลอื กันหรือท่ีเรยี กวา่ การลงแขก นอกจากจะทำให้เกิดความสามัคคใี นชมุ ชนแล้ว ยงั เป็นการลดค่าใช้จ่าย
ในการจ้างแรงงานไดอ้ ีกดว้ ย
6. ในระหวา่ งการขุดสระน้ำ จะมีดนิ ทีถ่ กู ขุดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก หน้าดนิ ซ่งึ เป็นดินดคี วรนำไปกองไว้
ต่างหาก เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการปลูกพืชต่างๆ ในภายหลัง โดยนำมาเกลี่ยคลุมดินชั้นล่างที่เป็นดินไม่ดี
ซงึ่ อาจนำมาถมทำขอบสระนำ้ หรอื ยกร่องสำหรบั ปลูกไมผ้ ล
ประโยชน์ของทฤษฎีใหม่
1.ให้ประชาชนพออยู่พอกินสมควรแก่อตั ภาพในระดับที่ประหยัด ไม่อดอยาก และเลี้ยงตนเองได้ตาม
หลักปรชั ญา “เศรษฐกิจพอเพยี ง”
2. ในหน้าแล้งมนี ้ำน้อย กส็ ามารถเอาน้ำท่เี ก็บไว้ในสระมาปลูกพืชผักตา่ งๆ ท่ีใชน้ ้ำนอ้ ยได้ โดยไม่ต้อง
เบยี ดเบยี นชลประทาน
3. ในปีที่ฝนตกตามฤดกู าลโดยมนี ำ้ ดีตลอดปี ทฤษฎใี หมน่ ้ีสามารถสรา้ งรายได้ใหแ้ กเ่ กษตรกรได้โดยไม่
เดือดร้อนในเร่อื งค่า ใช้จา่ ยต่างๆ
4. ในกรณีทเี่ กิดอุทกภัย เกษตรกรสามารถที่จะฟื้นตวั และช่วยตวั เองได้ในระดับหน่ึง โดยทางราชการ
ไม่ต้องช่วยเหลอื มากนกั ซึ่งเปน็ การประหยัดงบประมาณด้วย
12
การจดั กิจกรรมการเรียนร้ทู ีส่ อดคลอ้ งกบั บรบิ ทของโรงเรยี นและเดก็
หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่คำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม สังคม ศาสนา และ
วัฒนธรรมของสถานศึกษาหรือชุมชน ตลอดจนความยาก-ง่าย ของกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะกับพัฒนาการ
ตามวัยของเด็ก เช่น การพาเด็กไปปลูกข้าว หากโรงเรียนอยู่ติดกับนาข้าวและคนในชุมชนปลูกข้าว
เปน็ อาชพี หลกั
ขอ้ ควรปฏิบัติ
1. ครูควรจัดกิจกรรมทั้งในด้านการจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียน การใช้วัสดุ-อุปกรณ์ประกอบ
กิจกรรม โดยมีการประมาณการค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมให้เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจของสถานศึกษาและ
ชุมชน
2. ครูควรจัดกิจกรรมตามความสนใจให้สอดคล้องกับสภาพสังคม และสิ่งแวดล้อมที่ใกล้ตัวของเด็ก
เช่น การดำรงชีวิตประจำวนั การประกอบอาชพี ในชุมชน ฯลฯ
3. ครูควรจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับศาสนาและวัฒนธรรม เหมาะสมกับวัยของเด็กทั้งจากการกิน
การเลน่ การเรียนรู้ การใชภ้ าษา การแต่งกาย มารยาท การปฏิบตั ติ นให้ถูกกาลเทศะและตามหลักคำสอนของ
ศาสนาทน่ี ับถอื
4. ครูควรวิเคราะห์หลักสูตร และจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัย และพัฒนาการ ของเด็ก
โดยศกึ ษาพฒั นาการตามวยั คำนงึ ถึงความแตกต่างระหว่างบคุ คล และธรรมชาติการเรียนรขู้ องเดก็
ขอ้ ควรหลกี เลย่ี ง/ขอ้ พึงระวัง/ขอ้ ควรพัฒนา
1. การลงมือปฏบิ ัติ ควรมีจุดมุง่ หมายให้เด็กได้เกดิ การเรียนรผู้ ่านประสบการณต์ รง เชน่ การปลกู ผัก
การทำอาหาร แต่ครูไม่ควรม่งุ เน้นการสร้างผลผลิตท่ีได้จากการจดั กจิ กรรมไปจำหนา่ ยหารายได้
2. ไม่ควรจัดกจิ กรรมที่ยากเกินวัยของเด็กปฐมวยั หรอื มีข้ันตอนซับซ้อน เช่น กิจกรรมทำอาหาร
ให้เดก็ ใช้มีดขนาดใหญ่ และคนนำ้ เชื่อมในกระทะใหญ่และร้อนๆ เปน็ ตน้
“...ความรูป้ ระโยชนแ์ ท้จรงิ ของสิ่งทัง้ หลาย เปน็ สงิ่ ที่ผใู้ หญ่ตอ้ งปลูกฝงั ใหห้ ยั่งลกึ ในตวั เด็ก
เด็กจักไดเ้ ตบิ โตเปน็ คนฉลาด เทยี่ งตรง และสามารถสร้างสรรค์ประโยชน์ทพ่ี ึงประสงค์
ใหแ้ กส่ ว่ นรวม ไดแ้ นน่ อน มปี ระสทิ ธภิ าพ...”
พระบรมราโชวาทพระราชทาน
พิมพ์ในหนงั สอื “วันเดก็ ” ประจำปี 2532
13
การมีส่วนร่วมในกจิ กรรมของครู เด็ก ผู้ปกครอง และชุมชน
หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ครูมีบทบาท เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดกิจกรรม
เด็กมีส่วนร่วมในการวางแผน ลงมือปฏิบัติ และประเมินผลการเรยี นรู้ ผู้ปกครองให้คำปรึกษาแนะนำแนวทาง
ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แก่ครูและเด็ก มีส่วนร่วมในการประเมินผล ผู้ปกครองหรือคนในชุมชน
เปน็ วทิ ยากรให้ความร้แู กเ่ ด็ก ชุมชนสนับสนุนหรอื เป็นแหลง่ เรยี นรู้
ข้อควรปฏบิ ัติ
1. ครูควรมีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวก เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
บอกเลา่ ความต้องการความร้สู ึกและความสนใจในเร่ืองทนี่ อกเหนือจากทค่ี รูกำหนด
2. ครูควรเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็ก เช่น ให้คำแนะนำเด็ก
ตอบคำถามร่วมกิจกรรม สืบค้นหาคำตอบ ทบทวนบทเรียน จัดเตรียมอุปกรณ์การเรียนรู้ให้แก่เด็ก
อบรมขัดเกลาพฤติกรรมเด็กให้มีคุณธรรม จริยธรรม เหมาะสมกับวัย มาเป็นวิทยากรให้เด็ก
รวมถึงให้คำแนะนำ ใหข้ ้อเสนอแนะ หรือให้ขอ้ มูลแก่ครู
3. ครูควรให้ผู้ปกครองและชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษา เช่น เป็นวิทยากร เป็นแหล่ง
เรยี นรู้ ท้งั ทเี่ ปน็ สถาบัน องค์กรของรัฐ เอกชน สนบั สนุนการทำงานของครู หรอื เพิ่มคณุ ภาพของชีวิตให้แก่เด็ก
ตลอดจนสนับสนุนสื่อการเรียนรู้หรือทุนทรัพย์ ทุนการศึกษา ตามโอกาสอันควร ร่วมเป็นคณะกรรมการ
สถานศึกษากำหนดนโยบาย ให้คำปรกึ ษา เสนอแนะการทำงานของโรงเรยี นและคณะครู ฯลฯ
4. ผู้ปกครองมีส่วนสนับสนุน อำนวยความสะดวกในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ร่วมจัดทำสื่อ จัดทำ
หรือปรบั ปรงุ แหลง่ การเรยี นรู้ ปรบั ภูมิทศั นท์ ั้งภายในและภายนอกหอ้ งเรียน
5. ผู้ปกครองมีส่วนในการรับรู้และร่วมประเมินความก้าวหน้าของพัฒนาการ ทั้งทางด้านร่างกาย
ดา้ นอารมณจ์ ติ ใจ ด้านสังคม และสติปัญญาของเดก็ ตลอดจนส่งเสรมิ พฤติกรรมทีพ่ งึ ประสงค์
14
ข้อควรหลกี เลีย่ ง/ขอ้ พึงระวัง/ขอ้ ควรพัฒนา
1. ครูไม่ควรใช้วิธีการสอน การดำเนินกิจกรรมการเรียนที่ครูเป็นผู้พูด เด็กเป็นเพียงผู้ฟัง
ปฏบิ ตั ติ ามท่ีครสู ั่งหรือกำหนด และใหเ้ ด็กเรียนรู้ดว้ ยการจำมากกว่าการปฏบิ ตั ิและฝกึ คิด
2. ในกรณีที่เชิญวิทยากรมา ครูไม่ควรให้วิทยากรจัดกิจกรรมโดยไม่วางแผนร่วมกันมาก่อน เพราะ
วิทยากรอาจไม่รู้ขอบข่ายความยาก - ง่ายของเนื้อหา ระยะเวลาที่เหมาะสมกับวัย และขนาดของสื่อที่เหมาะ
กบั การจดั การเรยี นรู้
3.ครูไม่ควรจัดกิจกรรมในบรรยากาศที่เคร่งเครียด เร่งรัด ยากเกินวัย ซึ่งขัดกับหลักการเรียนรู้ท่ี
สอดคลอ้ งกับการทำงานของสมอง เชน่ บรรยายถงึ สิ่งท่ีเด็กไมส่ ามารถเชื่อมโยงกบั ประสบการณ์เดิมได้
4. ผู้ปกครองและชุมชนไม่ควรมอบภาระการพัฒนาเด็กให้ครูฝ่ายเดียว และปฏิเสธความร่วมมือ
ในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ภายในโรงเรยี น
“...เด็กๆ นอกจากจะต้องเรยี นความรู้แลว้ ยังต้องหดั ทำการงานและทำความดดี ว้ ย
เพราะการทำงานจะช่วยใหม้ ีความสามารถ มีความขยนั อดทนพึ่งตนเองได้
และการทำดนี น้ั จะชว่ ยใหม้ ีความสขุ ความเจรญิ ทัง้ ป้องกันตนไว้ไม่ให้ตกต่ำ...”
พระบรมราโชวาทพระราชทาน
พิมพใ์ นหนังสือ “วนั เดก็ ” ประจำปี 2530
15
ความสอดคล้องของกิจกรรมการเรยี นรกู้ ับหลกั สูตรการศึกษาปฐมวัย
หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่วางแผนโดยวิเคราะห์มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์
ท่ีสอดคล้องกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง นำมากำหนดประสบการณ์สำคัญ วัตถุประสงค์ การออกแบบ
การจัดการเรียนรู้และสื่อ กำหนดการจัดกิจกรรมหลัก 6 กิจกรรม (กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ
กิจกรรมเสริมประสบการณ์ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ กิจกรรมกลางแจ้ง กิจกรรมเสรี และเกมการศึกษา)
ให้สอดคล้องกับสาระ หน่วย และเร่ือง มีวิธีการจัดกิจกรรมท่ีเปดิ โอกาสให้เด็กเรียนรู้ผ่านการปฏบิ ัติท่ีส่งเสรมิ
พัฒนาการท้ัง 4 ด้าน (ร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา) มีร่องรอยหลักฐานการนำปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียงมาใช้พัฒนาเด็ก มีการประเมินผลการจัดกิจกรรมเป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์
มกี ารเสนอนวัตกรรมท่สี ะทอ้ นถึงการพัฒนาเด็กตามปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ข้อควรปฏิบตั ิ
1. ครูควรวิเคราะห์มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์สำหรับเด็กปฐมวัย วิเคราะห์ปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียง และนำหลักคิดนี้มาบูรณาการแผนการเรียนรู้อย่างสัมพันธ์กันทุกองค์ประกอบ
ของแผนการเรียนรู้ ตั้งแต่สาระสำคัญผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวัง สาระที่ควรเรียนรู้ ประสบการณ์สำคัญ
กจิ กรรมการเรียนรู้ สอ่ื และแหลง่ การเรียนรู้ การประเมนิ ผลการเรียนรู้ และการบันทกึ ผลหลังการจดั กจิ กรรม
2. ครูควรนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการออกแบบการเรียนรู้เพื่อฝึกเด็กให้รู้จักตนเอง
ครอบครัว เพ่อื น และปฏิบตั อิ ยา่ งพอเหมาะกบั ตนเอง ทง้ั กิจกรรมรายบคุ คลและกิจกรรมกลมุ่
3. ครูควรกำหนดเร่ืองให้สมั พันธ์กบั หน่วย และบูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไว้ในทุกสาระ
การเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ไม่เพียงแต่สาระธรรมชาติรอบตัว บุคคล และสถานท่ีแวดล้อมเด็ก
เท่าน้นั
4. ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยนั้น ครูต้องออกแบบการจัดกิจกรรม
หลัก 6 กิจกรรมที่จะช่วยพัฒนาเด็กปฐมวัย ให้มีความสอดคล้องกับสาระการเรี ยนรู้ที่กำหนดไว้
ในหลักสูตร 4 สาระ ซึ่งนำไปสู่การกำหนดหน่วยและเรื่องราวที่จัดสอนในแต่ละวัน เพ่ือพัฒนาเด็กอย่าง
เป็นองค์รวมทั้ง 4 ด้าน และควรมีการบูรณาการทักษะทางวิชาการ คือ ทักษะทางภาษา ทักษะพื้นฐานทาง
คณติ ศาสตร์ ทักษะพ้นื ฐานทางวทิ ยาศาสตร์ และทักษะทางสงั คม
5. เดก็ ควรได้เรยี นรู้ผา่ นกระบวนการเลน่ การรบั รู้ผา่ นประสาทสัมผสั ทงั้ หา้ ไดล้ งมือปฏิบัตดิ ้วยตนเอง
มปี ฏสิ ัมพันธก์ ับบุคคลและวตั ถทุ ี่เหมาะสมกับวัย
6. ครูควรออกแบบการประเมินผลการจัดกิจกรรมตามสภาพจริงด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย ทั้งการ
สงั เกต การรวบรวมผลงานของเด็ก การสัมภาษณ์ความคิดเหน็ ของผู้ปกครอง เด็ก และเพ่ือนร่วมชั้นของเดก็
7. การนำเด็กไปทัศนศึกษา ควรมีจุดประสงค์เป้าหมายชัดเจน มีการเตรียมการล่วงหน้า ให้ความรู้
เบื้องต้น ให้เด็กมีส่วนร่วมรับรู้ และวางแผนการแสวงหาความรู้ เช่น เตรียมตั้งคําาถามเรื่องท่ีอยากรู้
เตรียมวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการทัศนศึกษา เช่น สมุดบันทึก หมวก กระติกน้ำ ป้ายชื่อ หมายเลขโทรศัพท์
ของโรงเรียน เปน็ ต้น
16
ขอ้ ควรหลีกเลีย่ ง/ขอ้ พึงระวัง/ขอ้ ควรพัฒนา
1. ครูไม่ควรเน้นเนื้อหาท่องจำข้อความรู้ เช่น นำชื่อผักที่เป็นภาษาพื้นบ้านมาเทียบกับชื่อผักที่เป็น
ภาษาไทยกลางโดยการอา่ นบัตรคำทไี่ ม่มีภาพประกอบ
2. นอกจากการที่ครูใช้คำถามปลายปิดที่ถามความจำ เช่น นี่คืออะไร ส่ิงน้ีเรียกว่าอะไร ครูควรเพิ่ม
คำถามทเ่ี ป็นปลายเปิด เพอื่ ฝกึ ใหเ้ ด็กคดิ เช่น ทำไม เพราะเหตุใด อย่างไร เปน็ ต้น
3. ในการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ ครูไม่ควรสอนเพียงขั้นตอน เทคนิคการสร้างภาพจากวัสดุ
การพิมพ์ภาพจากใบไม้หรือจากวัสดุธรรมชาติ แต่ควรส่งเสริมให้เด็กได้คิดจินตนาการ เช่น การต่อเติมภาพ
การเลา่ เร่อื งจากภาพ ไม่เพยี งบอกว่าเป็นภาพอะไรเทา่ นั้น
4. ครูพึงระวังเรื่องความปลอดภัยในการจัดกิจกรรม เช่น การให้เด็กเดินถอยหลังข้ามขอนไม้
หลบั ตาเดนิ ข้ามขอนไม้ ว่งิ เปรยี้ วโดยใชส้ บั ปะรดแทนผ้า
5. ครูควรพัฒนาการจดั ทำรายงานผลการพัฒนาเด็ก โดยเน้นหลกั วชิ าการในการเขียนบรรยายใต้ภาพ
มากกว่าการใชค้ าํ าเปรยี บเปรย เชน่
“ภาพท่ี 1 ภาพแสดงการบอกประโยชน์จากมะละกอของเด็ก” แทน “ระหว่างคนกบั
มะละกอ จะเลือกใครดีครบั ”
“ภาพที่ 2 ภาพแสดงการเขา้ แถว ของเด็ก” แทน “ขยบั หนอ่ ยๆ ขอเข้าด้วยคนครบั ”
นอกจากนีภ้ าพถ่าย ควรเปน็ ภาพขณะเด็กทำกิจกรรม ไมใ่ ช่การตงั้ ท่าเพ่ือถา่ ยภาพ เชน่ ใหเ้ ด็กทุกคน
ยืนชูมอื พร้อมๆ กัน “ดูนกกันค่ะ” “นี่ไงมะเขือพวง”
6. ครูไม่ควรจัดกิจกรรมหลักที่ผิดจากแนวคิดของกิจกรรมหลักนั้นๆ แนวคิดของกิจกรรมหลักที่
ถูกต้องคือ กิจกรรมเสริมประสบการณ์ เน้นการมีประสบการณ์ตรง และเสริมสร้างสติปัญญา
ก ิ จ ก ร ร ม เ ค ล ื ่ อ น ไ ห ว แ ล ะ จ ั ง ห ว ะ เ น ้ น ค ว า ม ส ั ม พ ั น ธ ์ ก ั น ข อ ง ก ล ้ า ม เ นื้ อ ก ั บ จ ั ง ห ว ะ เ พ ล ง
กิจกรรมสร้างสรรค์ เน้นการคิดจินตนาการและสุนทรียศิลป์ กิจกรรมกลางแจ้งเน้นการออกกําาลังกาย
การใช้กล้ามเนื้อใหญ่ กิจกรรมเสรีเน้นการค้นพบ ความถนัด เกมการศึกษา เน้นการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา
เช่น กจิ กรรมสำรวจใบไม้ กิง่ ไม้ เปน็ กิจกรรมเสริมประสบการณ์ ไมใ่ ชก่ ิจกรรมกลางแจ้ง
7. ครูควรพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้หลากหลาย หลีกเลี่ยงการให้เด็กต้องทำหรือ
เล่นกจิ กรรมรปู แบบเดิม ๆ ซา้ํ ๆ
17
การจดั กิจกรรมการเรียนร้ทู ส่ี อดคลอ้ งกบั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทีม่ ีการปลกู ฝังวิธีคิด อุปนิสัย และพฤติกรรมของเด็กตามปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นให้เกิดความก้าวหน้าไปพร้อมกับความสมดุล มีความพอประมาณทางด้าน
เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม ศาสนา วัฒนธรรม และภูมิสังคม ของสถานศึกษา รวมทั้งสอดคล้องกับ
ความต้องการ ความจำเป็นของสถานศึกษา มีความสอดคล้องกับความคิด วิถีชีวิตของคนในชุมชน
มีความสมเหตุสมผล มีหลักคิด หลักปฏิบัติของกิจกรรมสอดคล้องกับหลักวิชาที่เก่ียวข้อง มีการแสดงถึง
ภูมิคุ้มกันในตัวท่ีดี มีการวางแผน ยืดหยุ่น มีข้อเสนอทางเลือกหากมีการเปล่ียนแปลง มีการจัดการความรู้
อย่างรอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง มีการพัฒนา ทักษะ ความมีระเบียบวินัย มีสัมมาคารวะ ซื่อสัตย์สุจริต
กตัญญูกตเวที ส่งเสริมความรู้ คู่คุณธรรม ความขยัน อดทน สนใจ ใฝ่รู้ แบ่งปัน ทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อ
สังคม มีสติปัญญาสามารถแยกแยะ ถูกผิด ควรไม่ควร ซึ่งเด็กได้มีโอกาสปฏิบัติ และครูเป็นผู้นำหรือสนบั สนนุ
ทส่ี ามารถขยายผลการเรยี นรู้ความเขา้ ใจปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งออกสชู่ มุ ชนได้
ข้อควรปฏิบัติ
1. ครคู วรจัดทำหลกั สตู รสถานศึกษา และออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ตามสภาพภูมสิ ังคม (สภาพภูมิ
ประเทศและ ความเป็นอยู่ร่วมกันของแต่ละสังคม) ของโรงเรียน เช่น การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ
วิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชนโดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมที่อยู่ใกล้ตัวเด็กที่ อยู่ใกล้ภูเขา
ใกล้ทะเล หรือเด็กที่อยู่ในสังคมเมืองก็ควรได้เรียนรู้เรื่องอาชีพ อาหารการกิน ความเป็นอยู่ตามสภาพของ
ชุมชนนัน้ ๆ การใช้อุปกรณ์ควรใชว้ ัสดุที่มอี ยู่ในท้องถ่ิน หาง่าย เศษวัสดุเหลือใช้ ที่ไม่ต้องซื้อในการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ เช่น ในชมุ ชนทมี่ ีมะพร้าว ก็สามารถนำส่วนตา่ งๆ ของมะพร้าวมาใชเ้ ป็นส่ือหรืออุปกรณ์ได้
2. ครูควรจัดกิจกรรมที่นำหลักคิดจากปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ทั้งในการเรียนการสอน
และการอบรมเลี้ยงดู โดยปลูกฝังวิธีคิด พฤติกรรม และอุปนิสัย จนเป็นวิถีการดำเนินชีวิตประจำวันตาม
ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
3. ครูควรจัดกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้เกิดความก้าวหน้าไปพร้อมความสมดุลทางด้านเศรษฐกิจสังคม
สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมของสถานศึกษา เช่น การเรียนรู้วิธีถนอมอาหาร การปลูก และรักษาพันธุ์พืช
พน้ื เมอื ง การรักษาศลิ ปวัฒธรรมและประเพณีท้องถ่ิน การเห็นคุณค่าของโบราณสถาน โบราณวตั ถุ
4. ครูควรจัดกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมนำความรู้ เช่น ปลูกฝังความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์ ในหน่วยการเรียนรู้ต่างๆ เช่น ประเทศไทยของเรา วันเข้าพรรษา รอมฎอน ปลูกฝังความ
กตัญญูต่อผู้มีพระคุณในหน่วยวันพ่อ วันแม่ วันครู ปลูกฝังความเมตตาต่อสัตว์ในหน่วยสัตว์เลี้ยง
ปลูกฝังเรื่องการช่วยเหลือตนเองในหน่วยตัวเรา ปลูกฝังความรับผิดชอบหน้าที่ในบ้านของตน
ในหนว่ ยบา้ นของฉนั
5. ครูควรสร้างภูมิคุ้มกันในตัวท่ีดีในชีวิตประจำวันให้แก่เด็ก เช่น วิธีการสวมรองเท้าที่ถูกต้อง
การผูกเชือกรองเท้าให้ดีเพื่อป้องกันการสะดุดล้ม การเล่นเครื่องเล่นสนามให้ปลอดภัย การเลือกรับประทาน
18
อาหารท่ีมีประโยชน์ การพักผ่อนให้เพียงพอ รวมทั้งการฝึกทักษะที่จำเป็นสำหรับชีวิต เช่น ทักษะการว่ายน้ำ
ทักษะการข้ามถนน การฝึกให้เด็กมีส่วนร่วมในการคิดวางแผนอย่างรอบคอบ ไตร่ตรอง รอบด้าน และมีแผน
สำรองเพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น การออกไปทัศนศึกษานอกสถานที่ควร
เตรียมพร้อมท้ังด้านร่างกาย (รับประทานอาหาร และเข้าห้องน้ำก่อนออกเดินทาง) ด้านอุปกรณ์ (หมวก
กระติกนำ้ ผ้าเช็ดหน้า ป้ายชอื่ และหมายเลขโทรศัพท์ ชดุ ปฐมพยาบาลเบ้ืองต้น) ดา้ นความรู้ (ความรู้เบ้ืองต้น
เก่ียวกับสถานที่ และกิจกรรมการเรียนรู้ คำถามในประเด็นที่สนใจ การปฏิบัติตนที่เหมาะสม)
ดา้ นความปลอดภยั (ข้อควรปฏบิ ัตใิ นการเดนิ ทางใหป้ ลอดภัย ไมพ่ ลดั หลง การใชอ้ ุปกรณป์ อ้ งกันอันตราย)
6. ครูควรปลูกฝังการดำเนินชีวิตและปฏิบัติตนในทางสายกลาง ใช้คุณธรรมนำความรู้เพื่อพัฒนาให้
ก้าวหน้าไปอย่างสมดุล พร้อมรองรับการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และ
วัฒนธรรม โดยปลูกฝังให้เด็กได้รู้จกั ตัวตนของตนเอง (รู้จักประมาณตน รู้คุณค่ายอมรับ นับถือ ภาคภูมิใจ ใน
ตนเองและครอบครวั ) เพ่ือจะไดใ้ ชช้ วี ิตพอเพยี งภายใตเ้ งื่อนไข ความรแู้ ละคุณธรรม
ขอ้ ควรหลกี เล่ยี ง/ขอ้ พงึ ระวัง/ข้อควรพัฒนา
1. ไม่ควรจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งเนน้ ให้เดก็ เรียนรู้ดา้ นอาชีพ เพื่อหารายได้ซึ่งเป็นการรับรู้ปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพียงในมติ ิ วตั ถุ/เศรษฐกจิ เท่าน้ัน
2. ไม่ควรให้เด็กใช้วัสดอุ ุปกรณ์ที่เป็นอันตราย โดยไม่ได้เตรียมการดูแลหรอื ป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะ
เกิดขึ้นกับเด็ก ซึ่งเป็นการสร้างภูมคิ ุ้มกันให้เด็กตามปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง เช่น การให้เด็กนำกระป๋อง
อลูมเิ นียมทีต่ ดั เปน็ รว้ิ มาใชเ้ ปน็ กระถางปลูกพชื การใชไ้ ม้เสยี บลูกชนิ้ มาประดิษฐข์ องเลน่
3. ไมค่ วรจัดกิจกรรมโดยท่ีเด็กไม่รู้การกระทำน้ันๆ หรือไม่ได้อธบิ ายให้สามารถแยกแยะถูกผดิ ได้ เช่น
ใหเ้ ด็กนำเงินมาหยอดกระปกุ ออมเงินที่โรงเรียนทุกวัน โดยมไิ ดส้ อนใหเ้ ดก็ คดิ ถึงเหตผุ ลของการกระทำที่แท้จริง
ของการออม เด็กอาจปฏิบัติเพราะเกรงกลัวหรือเชื่อฟังครูโดยมิได้มีหลักของความพอประมาณ
เด็กต้องเบียดเบียนผู้ปกครองที่มีรายได้น้อย เป็นภาระที่ต้องมอบเงินให้ลูกทุกวัน ดังนั้น ในกรณีที่ให้
เด็กได้ลงมือปฏิบัติ ต้องมีการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ว่า แค่ไหนจึงพอเหมาะกับตนเอง
และให้เดก็ รวู้ ่าทำไปเพ่อื อะไร
“...ความซอื่ สตั ย์สุจริตเป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง เดก็ ๆ จงึ ต้องฝกึ ฝนอบรมใหเ้ กดิ มีขึ้นในตนเอง
เพอ่ื จักไดเ้ ติบโตข้ึน เป็นคนดี มีประโยชน์ และมชี ีวติ ที่สะอาด เจริญมน่ั คง...”
พระบรมราโชวาทพระราชทาน
พมิ พใ์ นหนงั สอื “วนั เด็ก” ประจำปี 2531
19
การใชว้ สั ดุในทอ้ งถนิ่ และการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใชใ้ นการผลิตส่ือประกอบ
หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีแสดงการใช้สื่อตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ซึ่งมีคุณลักษณะดังนี้ คือ เป็นส่ือปลอดภัย มีขนาด รูปทรง น้ำหนักเหมาะกับเด็ก มีประโยชน์ตรงตาม
จุดมุ่งหมาย ถูกต้องตามเน้ือหา หรือเรื่องที่สอน เหมาะสมกับวัยและความสามารถของเด็ก ผลิตจากวัสดุ
เหลือใช้ หาง่าย หรือราคาถูก เป็นของจริงที่มีอยู่ใกล้ตัว เป็นสื่อจากธรรมชาติ หรือวัสดุท้องถิ่น ผลิตง่าย
ประหยัดเวลาและแรงงาน นำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้อย่างสร้างสรรค์ เหมาะกับสภาพแวดล้อม
ของท้องถิ่น นำไปใช้ง่าย ใช้ได้หลายกิจกรรม คุ้มค่า จัดเก็บสะดวก ผลิตและใช้อย่างสร้างสรรค์
ดึงดูดความสนใจของเด็ก เด็กมีส่วนร่วมในการผลิตและใช้ส่ือ สื่อช่วยส่งเสริมให้เด็กคิดเป็น ทำเป็น
และกลา้ แสดงออก
ข้อควรปฏบิ ัติ
1. ควรคำนงึ ถงึ ความปลอดภยั (ไมม่ พี ษิ ไมแ่ ตกหกั ง่าย ไม่แหลมคม ไมส่ ะทอ้ นแสง) และความสะอาด
ของสื่อและอุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมการเรียนรู้ เช่น ใช้สีจากธรรมชาติหรือสีผสมอาหาร ใช้กรรไกรปลายมน
ใช้ถงุ มอื หรือผ้ากนั เปื้อน
2. ควรจัดอุปกรณ์ป้องกันและระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อมีการใช้ความร้อน ไฟฟ้า สารเคมี หรือ
เคร่ืองจักรกลในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เช่น การสาธิตการประกอบอาหาร การหล่อเทียน การใช้ปืนกาว
ไฟฟา้ การทำกระดาษสาโดยใชส้ ารเคมเี รง่ การย่อยสลาย การยอ้ มผา้ การทำน้ำยาล้างจาน
3. ควรคัดสรรสื่อและอุปกรณ์ที่มีขนาด น้ำหนัก และรูปทรง เหมาะสมกับเด็กโดยต้องคำนึงถึง
พฒั นาการ และความสามารถในการระมัดระวังตัวเองของเด็กเพ่ือป้องกนั อุบตั ิเหตุ
4. ควรดัดแปลง จัด ปรับอุปกรณ์ หรือส่วนประกอบของอุปกรณ์การเรียนการสอนให้เหมาะสมกับ
พัฒนาการและความสามารถในการระมัดระวังตัวเองของเด็กเพื่อความปลอดภัย เช่น ใช้เทปใสพันหัวม้า
ก้านกลว้ ยแทนการใชไ้ ม้เสียบ ปรับขนาดความสูงของกระดานขาตั้ง
5. ควรเลือกใช้ส่ือการเรียนการสอนที่ตรงกับจุดมุ่งหมาย ถูกต้องตามเนื้อหาที่สอน สะดวกต่อการ
นำไปใช้และส่งผลต่อการเรียนรู้เหมาะสมกับวัย และความสามารถของเด็ก เช่น การใช้ของจริงจากธรรมชาติ
ประกอบกจิ กรรมการเรียนรูต้ ามเรื่องท่สี อน การใชส้ ภาพแวดลอ้ ม และวถิ ีชวี ิตของชุมชน
6. ควรคำนึงถึงลำดับการใช้ส่ือโดยเริ่มจากการใชข้ องจริงตามธรรมชาติ หากหาไม่ได้จึงใช้ของจำลอง
ใชภ้ าพสเี สมอื นจริง ใชภ้ าพขาวดำลายเสน้ ใช้สัญลกั ษณ์ ใช้ตวั อักษร ตามลำดบั
7. ควรจัดทำสื่อที่ช่วยส่งเสริมให้เด็กคิดเป็น ทำเป็น และกล้าแสดงออก โดยเฉล่ียไปให้ครบ
ในทุกกจิ กรรม เชน่ การปลกู พืช การประกอบอาหาร ขนม และเคร่ืองดื่มสมุนไพร การประดิษฐส์ ่ิงของจากวัสดุ
เหลือใช้ การแตง่ คำร้องตามจินตนาการในทำนองเพลงพื้นบา้ น
8. ควรผลิตส่ือจากวัสดุเหลือใช้ที่หาง่าย ประหยัด เป็นของจริงใกล้ตัว เป็นสื่อจากธรรมชาติ/วัสดุ
ท้องถิ่นมาใช้ให้สอดคล้องกับเรื่องที่สอน เช่น ใช้กิ่งไม้มาเรียงเป็นภาพ ใช้สีสกัดจากดอกไม้ ผัก และผลไม้
ศึกษาผักริมร้วั และนำมาประกอบอาหาร ใชก้ รวด ทราย ถ่านมาทำเครื่องกรองน้ำ
9. ควรจดั ทำสอ่ื ทผ่ี ลติ ไดง้ ่าย ประหยัดเวลา งบประมาณ และ แรงงาน
20
10. ควรจัดทำและใช้ส่ืออย่างสร้างสรรค์ เหมาะสมกับวัยเพื่อดึงดูดความสนใจของเด็ก เช่น การใช้
ของจริงท่ีนำไปใช้ง่ายและนำไปใช้ได้ในหลายกิจกรรม คุ้มค่าและสะดวกต่อการจัดเก็บ หรือสื่อที่มีอยู่ใน
ธรรมชาติ ใช้แล้วหมดไปจึงไม่ต้องนำมาจัดเก็บ เช่น การนำดอกอัญชันมาสอนเรื่องดอกไม้ ทำสีประกอบ
อาหาร ทำสเี พอื่ ใชร้ ะบายภาพ ทำเครอ่ื งดืม่ เปน็ ต้น
11. ควรจัดทำส่ือที่นำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้อย่างสร้างสรรค์ เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
ของท้องถ่ิน เช่น การนำฝักบวบแห้ง น้ำเต้าแห้ง มาทำเครื่องเคาะจังหวะ ใช้ใยมะพร้าวและกาบมะพร้าวปลกู
ต้นไม้ ใช้ไม้ในท้องถิ่นมาแกะสลักเป็นผักและผลไม้ของเล่น นำผักและผลไม้มาประกอบอาหาร เช่น
ทำน้ำตะไคร้ ทำสวนสมนุ ไพรเพ่อื เรยี นรูเ้ รื่องพืชสมนุ ไพร ทำไขเ่ ค็มจากนำ้ ทะเล ฯลฯ
12. ควรเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนรว่ มในการผลติ และใชส้ ่ือ รวมถงึ จดั เตรียมส่ือให้มปี ริมาณเพียงพอกับ
จำนวนของเด็ก
ขอ้ ควรหลีกเลย่ี ง/ขอ้ พึงระวงั /ข้อควรพัฒนา
1. ครูไม่ควรจัดหาสื่อหรืออุปกรณ์ โดยการซื้อหรือผลิตเท่านั้น อาจขอการสนับสนุนในรูปแบบต่างๆ
เช่น การยืม การบริจาคจากผปู้ กครอง คนในชุมชน หน่วยงานราชการ หรอื ห้างร้านต่างๆ
2. ครูควรวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง โดยการใช้สื่อการ
เรียนรู้ ด้วยหลักการใช้ซ้ำ และประยุกต์ใช้ ใช้สื่อจากท้องถิ่นที่มีราคาถูก ประหยัด เช่น การนำกระดาษ
เยื่อกลว้ ยมาทำสมุดบนั ทกึ การใชก้ ะลามาทำตาชั่งสองแขน การนำนำ้ เต้ามาทำกระปกุ ออมเงนิ เป็นต้น
3. ไมค่ วรใชว้ สั ดุ อปุ กรณ์ ส่ือราคาแพงโดยไมค่ ำนงึ ถึงสภาพเศรษฐกิจของสถานศึกษา/ชมุ ชน
“...เดก็ ไทยตอ้ งฝกึ อบรมธรรมจรยิ าให้สมบรู ณ์ พร้อมในตนเอง
จกั ไดเ้ ปน็ คนดี มีคุณ มปี ระโยชน์ และสามารถรักษาตวั รกั ษาชาตบิ ้านเมอื ง ใหด้ ำรงคงอยู่ด้วยความเจริญม่ันคง
ตอ่ ไปได.้ ..”
พระบรมราโชวาทพระราชทาน
พิมพ์ในหนังสือ “วนั เด็ก” ประจำปี 2534
21
อา้ งอิง
ทฤษฎใี หม่. 2552. สืบคน้ เมอ่ื 10 กรกฎาคม 2564, จาก
https://www.hii.or.th/wiki84/index.php?title=ทฤษฎใี หม่
มลู นิธิชัยพฒั นา. 2560. เศรษฐกิจพอเพียง. สืบคน้ เมื่อ 10 กรกฎาคม 2564, จาก
https://www.chaipat.or.th/site_content/item/3579-2010-10-08-05-24-39.html
สำนักสง่ เสริมการปลูกป่า กรมป่าไม้. 2560. ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง. สบื ค้นเมอื่ 10 กรกฎาคม 2564,
จาก https://www.forest.go.th/reforest-admin/ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง/
โครงการสนบั สนุนการขบั เคลื่อนเศรษฐกจิ พอเพียงดา้ นการศึกษาและเยาวชน. 2554. รูปแบบการจดั กิจกรรม
การเรียนรู้บูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระดับปฐมวัย. สืบค้นเมื่อ 10 กรกฎาคม
2564, จาก https://pubhtml5.com/kqja/lamo
เศรษฐกจิ พอเพียง. 2552. สืบค้นเมื่อ 10 กรกฎาคม 2564, จาก
https://www.hii.or.th/wiki84/index.php?title=หลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง