The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รูปเล่มโครงการปวส.1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by anicha2030, 2022-09-16 06:44:23

รูปเล่มโครงการปวส.1

รูปเล่มโครงการปวส.1

โครงการ เวบ็ ไซต์ส่ือการเรียน ระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์
Teaching materials website about Computer Network

นางสาวธนพร จันทร์จนิ ดา
นางสาวนฤมล นาคลา
นางสาวอรณชิ า แสงศลิ ป์
นางสาวพรไพลิน เสนคราม

โครงการนี้เปน็ สว่ นหน่ึงของการศกึ ษาตามหลกั สตู รประกาศนียบัตรวชิ าชพี ชนั้ สูง
สาขาวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ สาขางาน นักพัฒนาซอฟตแ์ วรค์ อมพิวเตอร์

วทิ ยาลัยเทคนิคมาบตาพดุ
ปีการศกึ ษา 2565

Teaching materials website about Computer Network

Miss. Thanaporn Chanjinda
Miss. Onnicha Saengsin
Miss. Naruemon Nakla
Miss. Ponpailin Senkhram

THIS PROJECT IS PART OF THE CURRICULUM STUDY
INFORMATION TECHNOLOGY FIELD OF WORK COMPUTER SOFTWARE DEVELOPER

MAPTAPHUT TECHNICAL COLLEGE
OFFICE VOCATIONAL EDUCATION
COMMISSION MINISTRY OF EDUCATION 2022

แบบบอนมุ ัตโิ ครงการ

วิทยาลัยเทคนคิ มาบตาพุด

คณะกรรมการทป่ี รกึ ษาโครงการและประเมนิ โครงการได้ พิจารณาโครงการวชิ าชีพเรอื่ ง

เว็บไซต์ส่อื การเรียน ระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ เหน็ สมควรรบั เป็นส่วนหน่ึงของการศกึ ษาตามหลกั

สูตรประกาศนียบัตรวชิ าชพี ชัน้ สงู ปที ี่ 1 สาขาวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศ

ชอ่ื นักศึกษา 1. นางสาวธนพร จนั ทรจ์ ินดา

2. นางสาวนฤมล นาคลา

3. นางสาวอรณชิ า แสงศลิ ป์

4. นางสาวพรไพลิน เสนคราม

ลงชอื่ …………………………………………................. ลงชือ่ ………………………………………….................

(นางศริ เิ พญ็ บุญยนื ) (นายวรี ะพันธ์ อยู่เสงีย่ ม)

กรรมการผทู้ รงคุณวฒุ ิ ครูท่ปี รึกษาโครงการ

ลงช่ือ………………………………………….................

(นายวรี ะพนั ธ์ อย่เู สง่ียม)

ครูผู้สอน

เหน็ สมควรอนมุ ัติ

ลงชอื่ ………………………………………….................

(นายยทุ ธพนั ธ์ โคตรพนั ธ์)

รองผอู้ ำนวยการฝ่ายวชิ าการ

อนมุ ัติใหร้ ับโครงการวชิ าชีพเร่ือง เรือ่ ง เว็บไซต์สือ่ การเรยี น ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นสว่ นหน่งึ
ของการศกึ ษาหลักสตู รประกาศนียบตั รวิชาชีพช้นั สูง ปที ่ี 1 สาขาวิชาเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร

ลงชอ่ื ………………………………………….................

(นายสริ ิชัย นยั กองศิริ)
ผูอ้ ำนวยการวทิ ยาลยั เทคนคิ มาบตาพุด
วันท่…ี ………เดอื น……………………….พ.ศ………………

ใบรับรองโครงการ
วทิ ยาลยั เทคนคิ มาบตาพุด

เรือ่ ง เว็บไซตส์ อื่ การเรยี น ระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์
โดย นางสาวธนพร จนั ทร์จนิ ดา

นางสาวนฤมล นาคลา
นางสาวอรณชิ า แสงศิลป์
นางสาวพรไพลิน เสนคราม
ไดร้ ับการอนุมัติให้นบั เปน็ ส่วนหน่ึงของการศกึ ษาหลกั สตู รประกาศนยี บัตรวชิ าชพี ชน้ั สงู (ปวส.)
ประเภทวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สาขางานนักพฒั นาซอฟตแ์ วรค์ อมพวิ เตอร์

...........…..…………………………………………หัวหนา้ สาขาวิชา
(นายวีระพันธ์ อยเู่ สง่ียม)

วนั ท…ี่ ………เดอื น……………………….พ.ศ………………

คณะกรรมการตรวจสอบโครงการ

………………………………………….................ประธานกรรมการ

นายวีระพันธ์ อย่เู สง่ียม

………………………………………….................กรรมการ

นางศิรเิ พญ็ บญุ ยนื

………………………………………….................กรรมการ
นายสธรรดร ยงยืน



ชื่อโครงการ : เวบ็ ไซต์สอ่ื การเรียน ระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์
ช่อื
: สาขาวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศ
สาขาวชิ า
สาขางาน : นางสาวธนพร จนั ทรจ์ นิ ดา รหสั ประจำตัว 65309010004
ท่ปี รกึ ษาโครงการ
ปีการศึกษา : นางสาวนฤมล นาคลา รหัสประจำตัว 65309010007

: นางสาวอรณชิ า แสงศลิ ป์ รหสั ประจำตัว 65309010013

: นางสาวพรไพลนิ เสนคราม รหัสประจำตัว 65309010019

: เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือ่ สาร

: นักพฒั นาซอฟต์แวรค์ อมพิวเตอร์

: นายวรี ะพนั ธ์ อยู่เสงย่ี ม

: 2565

บทคดั ย่อ

โครงการ เว็บไซต์สอื่ การเรยี น ระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ ทสี่ ร้างโดยใช้ Web GoDaddy นี้ ได้
จดั ทำข้ึนจากการเลง็ เหน็ ถึงคุณประโยชน์ของเทคโนโลยี จงึ ไดจ้ ดั ทำส่อื การเรียนน้ีข้นึ เพ่ือที่ผู้เข้ามาศึกษา
จะสามารถได้รับความรู้ ความเข้าใจ รวมทั้งสามารถนำความรู้ที่ได้รับจากเว็บไซต์สื่อการเรียน ระบบ
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ชิ้นนี้ นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันและสามารถนำไปเป็นการประกอบวิชาชีพใน
อนาคตได้ ดำเนนิ การโครงการ โดยศกึ ษาขอ้ มลู เกย่ี วกับการใชง้ านเว็บไซต์ Go daddy อย่างละเอยี ด วาง
แผนการออกแบบเว็บไซต์ การเลือกใช้รูปแบบตัวอักษร รูปภาพ วิดีโอ และลงมือทำชิ้นงาน

ผลการดำเนินการจัดทำโครงการมีประสิทธิผล ดังน้ี เว็บไซต์สามารถทำงานและใช้งานได้อย่าง
ถูกต้อง คณะผจู้ ดั ทำไดอ้ อกแบบเว็บไซต์ให้เรียบงา่ ย ไมย่ ุ่งยาก ซับซ้อน เพอื่ สะดวกตอ่ การใช้งาน โดยสรปุ
ความพงึ พอใจของผู้ตอบแบบสอบถามให้ความคิดเห็นโดยภาพรวมมีความพงึ พอใจต่อเว็บไซต์ส่อื การเรียน
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีค่าคะแนน 4.19 อยู่ในระดับดี ผลดำเนินการสร้างเว็บไซต์สื่อการเรียน
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ สามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ และสามารถนำไปใช้งานได้
จรงิ



Project Name : teaching materials website about Computer Network

: Information Technology

Name : Miss. Thanaporn Chanjinda

: Miss. Naruemon Nakla

: Miss. Onnicha Saengsin

: Miss. Ponpailin Senkhram

Major : Information and Communication Technology

: Maptaphut Technicall College

Program: Commercial : lnformation Tachnology

Consultant : Mr. Weerapan Yoosangeam

Academic year : 2022

Abstract.

Project, website, learning materials computer networking Created using Web

GoDaddy, this has been created with a view to the usefulness of technology. Therefore,

this study material has been prepared. So that the students will be able to gain knowledge

and understanding, as well as being able to apply the knowledge gained from the learning

materials website. This computer network It can be applied in daily life and can be used

as a professional practice in the future. carry out the project By studying the information

on how to use the Go daddy website in detail, planning a website design. Choosing fonts,

images, videos and working on the work.

The results of the project implementation were effective as follows: The website

is working and working properly. The organizing committee has designed the website to

be simple, not complicated, for ease of use. In summary, the satisfaction of the

respondents gave their opinions overall were satisfied with the educational materials

website. The computer network system has a score of 4.19 at a good level. Results of

creating a website for educational materials computer networking Able to work for the

intended purpose and can be put into practical use



กติ ติกรรมประกาศ

เว็บไซต์ส่ือการเรยี น ระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ (teaching materials website
about Computer Network.) ลุล่วงไปไดด้ ้วยดนี น้ั เพราะได้รบั ความช่วยเหลือและคำแนะนำ
แนวคิดตลอดจนแกไ้ ขขอ้ บกพร่อง จากอาจารย์ท่ปี รกึ ษาโครงการ นายวีระพันธ์ อยู่เสง่ียม และยัง
ขอบคุณอาจารย์ประจำสาขาวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศทถ่ี า่ ยทอดความรู้ อนั เปน็ ประโยชน์ มา
โดยตลอดจนโครงการนี้เสรจ็ สมบรู ณ์ คณะผ้จู ดั ทำขอขอบพระคณุ เปน็ อย่างย่ิง

สุดทา้ ยขอกราบขอบพระคุณ ผู้อำนวยการ อาจารยส์ าขาวชิ า และผู้ปกครองทใี่ ห้การ
สนบั สนนุ และให้คำปรึกษามาโดยตลอดจนประสบความสำเรจ็ ในการทำโครงการน้ี

คณะผจู้ ดั ทำ

สารบัญ ง

เร่ือง หน้า

บทคัดย่อภาษาไทย ก
บทคดั ย่อภาษาองั กฤษ ข
กติ ติกรรมประกาศ ค
สารบญั ง
สารบัญ (ตอ่ ) จ
สารบัญ (ตอ่ ) ฉ
สารบัญตาราง ช
สารบญั รปู ภาพ ซ
บทท่ี 1 บทนำ
1
1.1 ความเป็นมาของโครงการ 1
1.2 วตั ถปุ ระสงคข์ องโครงงาน 1
1.3 ขอบเขตโครงการ 2
1.4 ประโยชน์ที่ไดร้ ับจากโครงงาน 2
1.5 วิธกี ารดำเนนิ การ 2
1.6 นิยามศพั ท์
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ที่เก่ยี วข้อง 3
2.1 บทเรยี นผา่ นเวบ็ 3
5
2.1.1 การจดั การเรยี นผ่านเว็บ 6
2.1.2 ประเภทของการเรยี นการสอนผ่านเว็บ 7
2.1.3 ลกั ษณะของการเรียนการสอนผา่ นเวบ็ 8
2.1.4 ข้อดแี ละขอ้ จำกดั 9
2.2 การเรยี นรู้แบบโครงงานเป็นฐาน (Project-based learning)
2.2.1 ความหมายของการเรียนรู้แบบโครงงาน



สารบัญ (ตอ่ ) หนา้
เร่ือง
10
2.2.2 ความสำคญั ของการเรียนร้แู บบโครงงาน 10
2.2.3 องค์ประกอบทัว่ ไปของโครงงาน 12
2.2.4 กระบวนการวางแผนโครงงาน 13
2.2.5 ประเภทของโครงงาน 14
2.2.6 ลกั ษณะของการเรียนรู้แบบโครงงาน 15
2.2.7 แผนการจัดการเรยี นรู้แบบโครงงาน 18
2.2.8 ผู้ประเมินผลการเรียนรูโ้ ดยใชโ้ ครงงาน 20
2.3 ทฤษฎสี ี
บทที่ 3 วิธีดำเนนิ โครงการดำเนนิ การ/วธิ ดี ำเนนิ การวิจยั 24
3.1 เสนอโครงงาน 25
3.2 การศกึ ษาเอกสารท่เี กย่ี วข้อง 26
3.3 การดำเนินการสร้างโครงงาน 29
3.4 การทดสอบ/ปรับปรุง 29
3.5 การจดั ทำคู่มอื และนำเสนอผลงาน
บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน 30
4.1 ผลการดำเนินงาน 31
4.2 ผลการวเิ คราะหเ์ กี่ยวกบั ผใู้ ช้งานเว็บไซตส์ ่อื การเรียนเรื่องระบบเครอื ขา่ ย
คอมพิวเตอร์ 33
4.3 สรปุ ขอ้ เสนอแนะเพม่ิ เติมของผู้ตอบแบบสอบถาม
บทที่ 5 สรปุ อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ

สารบัญ (ตอ่ ) ฉ

เรอ่ื ง หน้า

5.1 สรุป อภปิ รายผล 34
5.2 ปัญหาและอปุ สรรค 34
5.3 ข้อเสนอแนะ 34
บรรณานกุ รม 35
ภาคผนวก 36
ภาคผนวก ก คมู่ ือการใชง้ าน
ภาคผนวก ข รูปภาพการดำเนนิ การ
ภาคผนวก ค แบบประเมนิ โครงการ
ภาคผนวก ง ประวัติผู้จัดทำ
ภาคผนวก จ แบบเสนอโครงการ



สารบญั ตาราง

ตารางท่ี หน้า
2.1 การเปรียบเทียบการเรยี นการสอนแบบเดิมกับการเรยี นการสอนแบบโครงงาน 14
2.2 รายละเอียดโครงงาน 17
4.2 จำแนกตามเพศของผู้ตอบแบบสอบถาม 31
4.3 สถานภาพของผตู้ อบแบบสอบถาม 31
4.4 ข้อมลู ระดบั ความพึงพอใจของผู้ตอบแบบสอบถาม 32



สารบัญรูปภาพ หน้า
12
รูปที่
2.1 กระบวนการวางแผนโครงการ 20
21
2.2 วงจรสี 21
2.3 สีวรรณะรอ้ น 22
2.4 สีวรรณะเยน็ 22
2.5 สตี รงขา้ ม 23
2.6 สีกลาง 24
2.7 ระบบสี RGB 25
3.1 ผงั การดำเนินการจัดทำ เว็บไซตส์ ือ่ การเรยี นเรอื่ งระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ 26
3.2 ผังการทำงานของชิน้ งาน 26
3.3 การเลอื กใช้เว็บ Go daddy 27
3.4 แผนภาพแสดงขอ้ มูลเว็บไซต์ 27
3.5 ภาพการวางแผนทำเวบ็ ไซต์ 28
3.6 การลงมือทำช้ินงาน 28
3.7 ภาพการทดลองใชง้ านจรงิ 29
3.8 ภาพการทดลองใชง้ านจรงิ 30
3.9 QR code เข้าสู่เว็บไซต์
4.1 ดา้ นในของเวบ็ ไซต์สือ่ การเรียน ระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์

บทที่ 1

บทนำ

1. ความเป็นมาของโครงการ
ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ได้เข้ามามีบทบาทต่อระบบชีวิตของมนุษย์มากขึ้น ไม่

ว่าจะเป็นด้านการคมนาคม การติดต่อส่ือสาร หรือแม้แต่กระทั่งระบบของการศึกษา ซึ่งใน
ขณะเดียวกันระบบการศึกษาของไทยได้เล็งเห็นถงึ ความสำคัญ ของระบบเทคโนโลยนี ้เี ชน่ กัน เพื่อเป็น
การปลูกฝงั พฒั นาใหค้ นไทยไดร้ ู้เท่าทันกบั เทคโนโลยขี องโลกท่มี กี ารพัฒนาข้ึนเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดย้ัง
เสมือนเป็นความพยายามทจ่ี ะพฒั นาศกั ยภาพของมนษุ ย์ใหร้ ู้เท่าทันเทคโนโลยที ่ีเกดิ ขนึ้ ในปัจจุบนั

ส่ือการเรียนดว้ ยเวบ็ ไซตอ์ อนไลน์ ก็เป็นอีกทางเลอื กหน่งึ ในการศึกษาหาความรู้ทไ่ี มจ่ ำกดั เพศ
อายุ หรือแม้แต่สถานะภาพของคน ซึ่งทำให้เป็นการขยายองค์ความรู้ ให้กับบุคคลทั่วไปในวงกว้าง
โดยประหยดั เวลาคา่ ใชจ้ า่ ย และสะดวกตอ่ การเรยี นรู้

โดยคณะผูจ้ ัดทำ ได้ทำการจัดทำสื่อการเรียนดว้ ยการสร้างสื่อการเรียน เรื่อง ระบบเครือขา่ ย
คอมพิวเตอร์ โดยใช้ Web GoDaddy นี้ ได้จัดทำขึ้นจากการเล็งเห็นถึงคุณประโยชน์ของเทคโนโลยี
จึงได้จัดทำสื่อการเรียนนี้ขึ้น เพื่อที่ผู้เข้ามาศึกษาจะสามารถได้รับความรู้ ความเข้าใจ รวมทั้งสามารถ
นำความรู้ที่ได้รับจากเว็บไซต์สื่อการเรียนการสอน เรื่อง ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ชิ้นนี้ นำไปปรับ
ใชใ้ นชวี ิตประจำวันและสามารถนำไปเป็นการประกอบวิชาชีพในอนาคตได้

2. วัตถุประสงค์ของโครงการ
2.1 เพือ่ ทำสอื่ เวบ็ ไซตส์ ่ือการเรยี น ระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์
2.2 เพ่ือเรียนร้กู ารทำเวบ็ ไซตโ์ ดยใช้ Web GoDaddy
2.3 เพ่อื ให้ผู้ทศี่ ึกษาได้รับความรู้เกีย่ วกบั ระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์

3. ขอบเขตของโครงการ
3.1 จดั ทำสื่อเวบ็ ไซตส์ ่ือการเรยี น ระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ จำนวน 7 หน่วยการเรียนดังน้ี
3.1.1 หนว่ ยท่ี 1 ความร้เู บื้องต้นเกยี่ วกบั ระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์
3.1.2 หนว่ ยที่ 2 องค์ประกอบของระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์
3.1.3 หน่วยท่ี 3 รปู แบบการใช้เครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์
3.1.4 หนว่ ยที่ 4 รูปแบบของเครือข่ายคอมพวิ เตอร์

2

3.1.5 หนว่ ยท่ี 5 ประเภทของระบบเครือข่าย
3.1.6 หน่วยที่ 6 อุปกรณท์ ่ใี ช้ในการสอ่ื สารข้อมลู คอมพิวเตอร์
3.1.7 หน่วยท่ี 7 ข้อดี - ข้อเสีย ของระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์
3.2 ประชากรกลุ่มตัวอยา่ ง
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนนักศึกษา สาขาวิชาเทคโนโลยี
สารสนเทศ วทิ ยาลยั เทคนคิ มาบตาพุด จำนวน 20 คน
3.3 กลอ่ งขอ้ ความแสดงความคิดเหน็
สามารถแสดงความคดิ เห็นหรอื ติดต่อสอบถามข้อมลู ต่าง ๆ เกีย่ วกบั เว็บไซตผ์ ่านทาง
อเี มล

4. ประโยชนท์ ไี่ ด้รับจากโครงการ
4.1 มีความรเู้ ก่ียวกับระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์
4.2 มีความเข้าใจบทบาทการใชง้ านและใช้ประโยชนจ์ ากระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์
4.3 มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกีย่ วกบั ความกา้ วหน้าของระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์

5. วิธีการดำเนนิ การ
5.1 ศึกษาปัญหา เอกสาร และขอ้ มูลในการจัดทำโครงงาน
5.2 ปรกึ ษาอาจารย์ทป่ี รกึ ษา
5.3 นำเสนออาจารย์ทป่ี รึกษา
5.4 วางแผน แบง่ งาน แบ่งผู้รบั ผิดชอบ
5.5 ลงมอื สรา้ งชนิ้ งาน
5.6 ใหอ้ าจารย์ทีป่ รึกษาตรวจสอบ
5.7 ตรวจสอบ ปรบั ปรุงและแกไ้ ขชิ้นงาน
5.8 สรา้ งคู่มือการใช้งาน

6. นิยามศัพท์
6.1 เว็บเพจ (องั กฤษ: webpage, web page) หมายถงึ หนา้ หนงึ่ ๆ ของเว็บไซต์ ท่เี ราเปิด

ข้นึ มาใช้งานโดยทั่วไปเวบ็ เพจส่วนใหญจ่ ะอยใู่ นรปู ของเอกสาร HTML หรอื XHTML
6.2 เวบ็ ไซต์ (อังกฤษ: Website, Web site หรอื Site) หมายถึง หนา้ เวบ็ เพจหลายหน้า

ซึง่ เชอื่ มโยงกนั ผ่านทางไฮเปอรล์ งิ ก์
6.3 โฮมเพจ (home page) หมายถงึ เว็บเพจหนา้ แรกทป่ี รากฏของแต่ละเวบ็ ไซต์

บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

ในการศกึ ษาโครงการ เว็บไซตส์ อ่ื การเรยี น ระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ ผู้จดั ทำได้รวบรวมแนวคิด
ทฤษฎแี ละหลกั การต่างๆ จากเอกสารและงานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ งประกอบด้วย 3 เรอ่ื ง ดังตอ่ ไปน้ี

1. บทเรยี นผ่านเว็บ
1.1 การจดั การเรยี นผา่ นเว็บ
1.2 ประเภทของการเรียนการสอนผา่ นเว็บ
1.3 ลกั ษณะของการเรียนการสอนผ่านเวบ็
1.4 ขอ้ ดีและขอ้ จำกดั

2. การเรยี นรู้แบบโครงงานเปน็ ฐาน (Project-based learning)
2.1 ความหมายของการเรียนร้แู บบโครงงาน
2.2 ความสำคญั ของการเรยี นร้แู บบโครงงาน
2.3 องคป์ ระกอบทัว่ ไปของโครงงาน
2.4 กระบวนการวางแผนโครงงาน
2.5 ประเภทของโครงงาน
2.6 ลักษณะของการเรียนรู้แบบโครงงาน
2.7 แผนการจดั การเรียนรู้แบบโครงงาน
2.8 ผปู้ ระเมนิ ผลการเรยี นร้โู ดยใช้โครงงาน

3. ทฤษฎสี ี

1. บทเรยี นผ่านเวบ็
1.1 การจัดการเรยี นการสอนผา่ นเว็บ
ความหมายของการจัดการเรยี นการสอนผา่ นเวบ็ (WBI: Web Based Instruction)

4

บทเรียนผ่านเวบ็ มีคำศพั ทห์ รอื ชอื่ เรียกทเี่ กย่ี วขอ้ งหลายคำที่มีความหมายใกล้เคียงกนั ไดแ้ ก่ WBI
(Web-Based Instruction), WBE (Web-Based Education), WBL (Web-Based Learning), NBI
(Net-Based Instruction), WBT (Web-Based Training), IBT (Internet Based Training) เป็นต้น
ไดม้ ผี ู้นิยามความหมายไว้ ดงั น้ี

กิดานันท์ มลิทอง (2543, หน้า 344) ได้ให้ความหมายของการเรียนการสอนผ่านเว็บว่าเป็นการ
ใชเ้ ว็บในการเรียนการสอน โดยอาจใช้เวบ็ เพื่อนำเสนอบทเรยี นในลกั ษณะสอ่ื หลายมติ ขิ องวิชาท้ังหมดตาม
หลักสูตร หรือใช้เพียงการเสนอข้อมูลบางอย่างเพื่อประกอบการสอนก็ได้รวมทั้งใช้ประโยชน์จาก
คุณลักษณะต่าง ๆ ของการสื่อสารที่มีอยู่ในระบบอินเตอร์เน็ต เช่น การเขียนข้อความโต้ตอบกันทาง
จดหมายอิเล็กทรอนิกส์(E-mail) และการพูดคุยด้วยข้อความและเสียงมาใช้ประกอบด้วยเพื่อให้เกิด
ประสิทธภิ าพสูงสุด

ถนอมพร เลาหจรัสแสง (2544, หน้า 87) ให้ความหมายไว้ว่า เป็นการผสมผสานกัน ระหว่าง
เทคโนโลยีปัจจุบันจุบันกับกระบวนการออกแบบการเรียน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการเรียนรู้และ
แก้ปัญหาในเรื่องข้อจำกัดทางด้านสถานที่และเวลาโดยการสอนบนเว็บจะประยุกต์ใช้คุณสมบัติและ
ทรพั ยากรของเวลิ ด์ไวด์เวบ็ ในการจดั สภาพแวดลอ้ มที่สง่ เสริมและสนบั สนนุ การเรียนการสอน ซง่ึ การเรยี น
การสอนท่จี ดั ขี้นผา่ นเว็บนนั้ อาจเปน็ บางส่วนหรอื ท้ังหมดของกระบวนการเรียนการสอนก็ได้

สรรรัชต์ห่อ ไพศาล (2544, หน้า 93) ได้ให้ความหมายไว้ว่าการใช้โปรแกรมสื่อหลายมิติที่อาศัย
ประโยชน์จากคุณลักษณะและทรัพยากรของอินเทอร์เน็ตและของเวิลด์ไวด์เว็บมาออกแบบเป็นเว็บ เพ่ือ
การเรียนการสอนสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมายเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายที่
สามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลาโดยมีลกัษณะที่ผู้สอนและนักศึกษามีปฏิสัมพันธ์กันโดยผ่านเครือข่าย
คอมพิวเตอรท์ ่ีเชือ่ มโยงซงึ่ กันและกัน

Horton (2000, p. 2) ให้ความหมายไว้ว่าการนำเอาเทคโนโลยีเว็บมาประยุกต์ใช้เพื่อ การเรียน
การสอนและอบรม

Khan (1997, p. 6) ให้ความหมายวา่ เปน็ โปรแกรมการเรียนการสอนทเ่ี ปน็ ไฮเปอร์มีเดยี ทน่ี ำเอา
คุณสมบัติและวิธีการของเวิลด์ไวด์เว็บ มาสร้างเป็นระบบการเรียนรู้ที่มีคุณค่าทั้งทางด้าน อบรบส่งเสริม
และสนบั สนุนการเรียน

กล่าวสรุปได้ว่าการเรียนการสอนผ่านเว็บจึงหมายถึง เคร่ืองมือหรือสื่อที่จัดทำขึ้นใน ลักษณะสื่อ
หลายมิติมาช่วยในการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีของเว็บและเบราเซอร์เป็นตัวจัดการให้เกิดประสิทธิภาพ

5

สูงสุด สามารถปรับปรุงพัฒนาเนื้อหาให้ทันสมัยได้อย่างรวดเร็วและตลอดเวลา อีกทั้งยังช่วยขจัดปัญหา
เรอ่ื งสถานท่แี ละเวลาอีกด้วย

1.2 ประเภทของการเรียนการสอนผา่ นเวบ็
บทเรียน WBI/ WBT สามารถใช้กับการเรียนการสอนได้ทุกสาขาวิชา ซึ่งรูปแบบ การเรียนการ
สอนดว้ ยบทเรียน WBI/ WBT น้นั นกั คอมพิวเตอร์ไดจ้ ำแนกออกเปน็ 4 รูปแบบ ดงั น้ี
1. Standalone course หมายถึง การเรียนการสอนด้วยบทเรียน WBI/ WBT ที่ตัวเนื้อหา
บทเรียนและส่วนประกอบต่าง ๆ ทั้งหมดถูกนำเสนอบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ผู้เรียนเพียงแต่ต่อเชื่อม
เครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับระบบโดยป้อนชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านก็จะสามารถเข้าไปศึกษา บทเรียนได้เร่ิม
ตง้ั แต่การลงทะเบียน การเลอื กวิชาเรยี น การศกึ ษาบทเรียน WBI/ WBT การวดั และ ประเมินผล และการ
รายงานผลการเรียน ขั้นตอนทั้งหมดนี้จะดำเนินการโดยระบบการจดัการผ่าน เครือข่ายอินเตอร์เน็ต
ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องเดินทางไปศึกษาในชั้นเรียนจริงก็สามารถศึกษาจนจบ หลักสูตรได้การเรียนการสอน
ลักษณะน้ีเปรยี บเสมือนเปน็ ห้องรยี นขนาดใหญ่ทไ่ี มม่ ีกำแพงกัน หรือทเี่ รยี กวา่ No wall school หรือ No
classroom องค์ความรู้ทั้งหมดจะถูกนำเสนอผ่านบทเรียน WBI/ WBT ผู้เรียนเพียงที่ต่อเชื่อมมาจาก
สถานที่แตกต่างกันก็สามารถเข้าศึกษาในชั้นเรียนเดียวกันได้จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Cyber class หรือ
Cyber classroom
ปัจจุบันในมหาวิทยาลัยต่างประเทศมักจะจัดการเรียนการสอนรูปแบบนี้ควบคู่ไปกับการเรียน
การสอนแบบปกติเพื่อเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้เรียนในชุมชนห่างไกล จึงจัดว่าเป็น
รปู แบบหน่ึงของการศึกษาทางไกล (Distance learning) ดว้ ยเช่นกัน
2. Web supported course หมายถึง การเรียนการสอนปกติแบบเผชิญหน้าในชั้นเรียน
ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน แต่ใช้บทเรียน WBI/ WBT สนับสนุนหรือสอนเสริม เพื่อใช้เป็นแหล่งขอ้มูล
เพิ่มเติมเท่านั้นทำให้ผู้เรียนได้รับความรู้หลากหลายขึ้น ไม่เฉพาะทางด้านการนำเสนอ เนื้อหาบทเรียน
เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำกิจกรรม การทำกรณีศึกษาการแก้ปัญหาหรือการติดต่อสื่อสาร ซึ่งบทเรียน
WBI/ WBT ที่ใช้สนับสนุนการเรยี นการสอนปกตติ ามรูปแบบนี้กำลัง มีบทบาทอยา่ งสงู ต่อระบบการศึกษา
ในปัจจุบันอัน เนื่องมาจากความไม่พร้อมของคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์และการเผยแพร่ขยายของระบบ
เครือข่ายอินเตอร์เน็ต ทำให้การจัดการเรียนการสอนในลักษณะของ Standalone course ยังทำไม่ได้ใน
บางชุมชน การใช้บทเรียนWBI/ WBT สนับสนุนการเรียนการสอนปกติจึงเป็นทางเลือกใหม่ในการจัด

6

การศึกษาในปัจจุบัน ซ่ึงมีประสิทธิภาพ มากกว่าการเรียนที่ผู้เรียนน่ังฟังคำบรรยายจากผสู้อนเฉพาะ
เพียงแตใ่ นชนั้ เรยี นเทา่ นนั้

3. Collaborative learning หมายถึง การเรียนการสอนแบบร่วมมือโดยใช้บทเรียน WBI/ WBT
โดยที่ผู้เรียนจากชุมชนต่าง ๆ ทั้งในและนอกประเทศต่อเชื่อมระบบเข้าสู่บทเรียนในเวลาเดียวพร้อมกัน
หลาย ๆ คนและศึกษาบทเรียนเรื่องเดียวกัน ซึ่งสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในการตอบคำถาม
แก้ปัญหาทำกิจกรรมการเรียนการสอนและดำเนินการต่าง ๆ ในการร่วมกันสร้างสรรค์บทเรียนกันทำ ให้
เกดิ เป็นเครือขา่ ยองค์ความรขู้ นาดใหญ่ท่ีท้าทายและชวนให้ผู้ตดิ ตามบทเรียนโดยไม่เกิดความเบ่ือหนา่ ย

4. Web pedagogical resources หมายถึง การนำแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่มีอยู่บนเครือข่าย
อินเตอร์เน็ตมาใช้สนับสนุนการเรียนการสอนในรายวิชาต่าง ๆ ซึ่งได้แก่แหล่งเว็บไซด์ที่เก็บรวบรวม
ข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว วิดีทัศน์และเสียงรวมทั้งบทเรียน WBI/ WBT ลักษณะของการใช้
สนับสนุนจึงสามารถใช้ได้ทั้งการใช้ประกอบการเรียนการสอนและการทำกิจกรรม การเรียนการสอนใน
รายวชิ าต่าง ๆ

1.3 ลักษณะของการเรยี นการสอนผา่ นเวบ็
1. การเรียนการสอนโดยใช้บทเรียน WBI/ WBT สามารถขยายพื้นที่การเรียนการสอน ได้
มากกว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนปกติหรือการเรียนการสอนแบบด้ังเดิมในช้ันเรยี นผู้เรียน ที่มีเคร่อื ง
คอมพิวเตอร์อยู่ที่ทำงานหรือบ้านก็สามารถต่อเชื่อมเข้าระบบได้ทำให้การเรียนการสอน ด้วยบทเรียน
WBI/ WBT มีพื้นที่ไม่จำกัดนอกจากไม่มีชั้นเรียนแล้ว ยังแพร่ขยายไปยังพื้นที่ห่างไกลได้สะดวกกว่า
บทเรยี นชนดิ อน่ื ๆ
2. การเรียนการสอนโดยใช้บทเรียน WBI/ WBT ผู้เรียนสามารถค้นคว้าหาขอ้มูลเพิ่มเติมได้ง่าย
จากเครือขา่ ยใยแมงมุม (World Wide Web) ของเครอื ขา่ ยอินเตอรเ์ นต็ ทำใหก้ ารศึกษาไม่ถกู จำกัดเฉพาะ
หนงั สือเอกสารท่ีผสู้ อนเตรียมมาเทา่ นัน้
3. การเรียนการสอนโดยใช้บทเรียน WBI/ WBT สร้างความรู้สึกแปลกใหม่และสร้าง ความสนใจ
กับผู้เรียนได้สูง ซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิสัมพันธ์ที่ผู้เรียนมีต่อบทเรียนอย่างต่อเนื่อง ตลอดเวลาส่งผลให้
การเรียนรู้เป็นไปด้วยความสนุกสนานและท้าทาย ทำให้องค์วามรู้ของผู้เรียนเกิดข้ึนตลอดเวลาและมี
ประสิทธิผล

7

4. การเรียนการสอินโดยใช้บทเรียน WBI/ WBT ช่วยให้ผู้เรียนมีทางเลือกมากข้ึนในการศึกษา
บทเรียนด้วยตนเอง ซ่ึงสามารถเลือกศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากไฮเปอร์เท็กซ์ที่มีอยู่บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
ตามความถนดั และความชอบของตนเองโปรแกรมการเรยี นมีความยืดหยุ่นมากกวา่ บทเรยี นชนิดอื่น ๆ

5. การเรียนการสอนโดยใชบ้ ทเรยี น WBI/ WBT ผเู้ รยี นสามารถติดต่อสื่อสารกบั ผสู้ อนได้ สะดวก
โดยใชเ้ ครอ่ื งมอื สนบั สนนุ หรอื บรกิ ารต่าง ๆ ท่มี ีอยู่บนเครอื ขา่ ยอนิ เตอรเ์ นต็ ทง้ั ในลกัษณะ Asynchronous
และ Synchronous ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการศึกษาบทเรียนWBI/ WBT จึงได้รับการแก้ไขทันเวลา
ทำใหผ้ ู้เรยี นเกิดความมน่ั ใจในการศึกษาบทเรยี นเพียงลำพัง

6. การเรยี นการสอนโดยใชบ้ ทเรยี น WBI/ WBT สามารถจดั การศึกษาได้หลากหลายรูปแบบ เชน่
การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative learning) การเรียนรู้แบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student
centered) หรือระบบการเรียนการสอนอื่น ๆ ที่ใช้งานผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ทำให้เกิดสังคมการ
เรียนรู้ในรูปแบบใหม่ๆที่แปลกไปจากเดิม เกิดการช่วยเหลือซึ่งกันละกันในการสร้างสรรค์องค์วามรู้ใหม่ๆ
รวมทง้ั การแก้ปัญหาและทำงานรว่ มกนั ซ่ึงเป็นกลยุทธ์ที่ทำใหก้ ารเรยี นการสอนมปี ระสทิ ธิภาพสูงข้ึน

1.4 ข้อดีและข้อจำกดั
ข้อดี
1. ขยายขอบเขตของการเรียนรู้ของผู้เรียนในทุกหนทุกแห่งจากห้องเรียนปกติไปยังบ้าน และท่ี
ทำงานทำใหไ้ ม่เสียเวลาในการเดนิ ทาง
2. ขยายโอกาสทางการศึกษาให้ผู้เรียนรอบโลกในสถานศึกษาต่าง ๆ ที่ร่วมมือกันได้มีโอกาส
เรยี นรพู้ ร้อมกนั
3. ผเู้ รียนควบคุมการเรียนตามความต้องการ และความสามารถของตนเอง
4. การส่อื สารโดยใชอ้ เี มลล์กระดานขา่ วการพูดคยุ สด ฯลฯ ทำให้การเรยี นรมู้ ีชวี ิตชีวา
ข้ึนกว่าเดมิ ส่งเสรมิ ให้เรียนมีส่วนช่วยเหลอื กันในการเรียน
5. กระตุ้นให้เรียนรู้จกัการสื่อสารในสังคม และก่อให้เกิดการเรียนแบบร่วมมือ ซึ่งที่จริงแล้วการ
เรียนแบบร่วมมือสามารถขยายขอบเขตจากห้องเรียนหนึ่งไปยังห้องเรียนอื่น ๆ ได้ โดยการเชื่อมต่อทาง
อนิ เตอร์เนต็
6. การเรียนด้วยสื่อหลายมิติทำให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนเนื้อหาได้ตามสะดวกโดย ไม่ต้อง
เรียงลำดับกัน
7. ขอ้ มูลของหลกั สูตรและเนือ้ หารายวชิ าสามารถหาไดโ้ ดยงา่ ย

8

8. การเรียนการสอนมีให้เลือกทั้งแบบประสานเวลาคือเรียน และพบกับผู้สอนเพื่อปรึกษา หรือ
ถามปัญหาได้ในเวลาเดยี วกัน (Synchronous) และแบบต่างเวลา (Asynchronous) คือ เรียนจากเนื้อหา
ในเวบ็ และติดต่อผสู้อนทางไปรษณีย์อเิ ล็กทรอนกิ สเ์ ปน็ ตน้

9. ส่งเสริมแนวคดิ ในเรื่องของการเรยี นรู้ตลอดชีวิต เนื่องจากเว็บเปน็ แหล่งความรู้ท่ีเปิดกวา้ งให้ผู้
ที่ต้องการศึกษาในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง สามารถเข้ามาค้นคว้าหาความรู้ได้อย่างต่อเนื่องและตลอดเวลาการ
สอนบนเว็บตอบสนองต่อผู้เรียนที่มีความใฝ่รู้รวมทั้งมีทักษะในการตรวจสอบการเรียนรู้ด้วยตนเอง
(Meta-cognitive skills) ได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ

10. การสอนบนเว็บเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์ของสถานการณ์จำลอง ทั้งนี้
เพราะสามารถใช้ข้อความ ภาพนิ่ง เสียง ภาพเคลื่อนไหว วิดีโอ ภาพ 3 มิติ ในลักษณะที่ใกล้เคียงกับชีวิต
จรงิ ได้

ข้อจำกดั
1. การออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนนั้นยังมีน้อยเมื่อเทียบกบัการออกแบบ โปรแกรม
เพื่อใช้ในวงการอื่น ๆ ทา ให้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีจำนวนและขอบเขตจำกัดที่จะนำมาใช้เรียน
ในวชิ าต่าง ๆ
2. การทีจ่ ะใหผ้ สู้ อนเปน็ ผ้อู อกแบบโปรแกรมบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ช่วยสอนเองน้ัน นบั ว่าเป็นงาน
ที่ต้องอาศัยเวลา สติปัญญาและความสามารถเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เป็นการเพิ่มภาระของผู้สอนใหม่มาก
ย่งิ ขึ้น
3. เนื่องจากบทเรียนคอมพิวเตอร์เป็นการวางโปรแกรมบทเรียนไว้ล่วงหน้าจึงมีลำดับข้ันตอนใน
การสอนทุกอย่างตามที่วางไว้ดังนั้น การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนจึงไม่สามารถช่วยในการพัฒนาความคิด
สรา้ งสรรค์ของผูเ้ รยี นได้
4. ผู้เรียนบางคนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่อาจจะไม่ชอบโปรแกรมที่เรียงตาม
ขั้นตอนทำใหเ้ ป็นอปุ สรรคในการเรียนรไู้ ด้

2. การเรยี นรู้แบบโครงงานเปน็ ฐาน (Project-based learning)
ในพระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแห่งชาติมาตรา 22 มีสาระสำคัญว่า“การจัดการศกึ ษาต้องยดึ หลกั ว่า

ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้พัฒนาและถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด กระบวนการจัด การศึกษาต
ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ” ดังนั้น การจัดการเรียนการสอนต้องจัด

9

ใหผ้ ้เู รียนไดเ้ รยี นร้จู ากประสบการณ์จรงิ ฝกึ ปฏิบัตใิ หค้ ดิ เป็นทำเป็นมีนิสัย รักการเรียนรู้และเกดิ การใฝร่ ู้ใฝ่
เรียนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต (คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2543) การเรียนรู้โดยใช้โครงงาน
(Project based learning) เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้มี โอกาสได้รับการพัฒนาศักยภาพของ
ตนเอง

2.1 ความหมายของการเรยี นรูแ้ บบโครงงาน
เลนชอว์ (Lenschow, 1996อ้างถึงใน วราภรณ์ตระกลูสฤษด์ิ, 2545) อธิบายว่าการเรียนแบบ
โครงงาน มคี วามหมายเช่นเดยี วกบั การเรยี นรูโ้ ดยใช้โครงงานเปน็ ศนู ยล์ าง การเรยี นรู้ (Project centered
learning) ซึ่งหมายถึงการกระทำกิจกรรมร่วมกัน ช่วยเหลือกันในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในกลุ่มด้วย
วิธีการปฏิบัติจริงเพื่อการเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา อันนำไปสู่ความสามารถในการคิดวิเคราะห์แสวงหา
ขอ้ มูลและแนวทางในการแกปัญหาเหล่านนั้ สุชาติ วงศส์ ุวรรณ (2542) กล่าวถึงความหมายของการเรยี นรู้
โดยใช้โครงงานว่า หมายถึง การจัดการเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นการให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงใน
ลักษณะของการศึกษา สำรวจค้นคว้าทดลอง โดยมีครูเป็นผู้กระตุ้นแนะนำและให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด
การเรียนรู้โดยใช้ โครงงานเป็นการเสริมสร้างศักยภาพการเรียนรู้ของแต่ละคนให้ได้รับการพัฒนาได้เต็ม
ขีดความสามารถที่มีอยู่อย่าแท้จริง ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองได้เรียนวิธีการเรียนรู้ สามารถ
สร้างองค์วามรูไ้ ด้ด้วยตนเองรวมทั้งปลูกฝังนิสยั รักการเรียนรูอ้ ันจะนำไปสู่การเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ได้
ในท่ีสดุ
สุวิทย์ มูลคำและอรทัย มูลคำ (2546) ได้กล่าวถึงการเรียนรู้โดยโครงงานว่าเป็นกระบวนการ
เรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าและลงมือปฏิบัติกิจกรรมตามความสนใจ ความถนัดและ
ความสามารถของตนเอง
ชาตรีเกิดธรรม (2547) ไดก้ล่าวว่าโครงงานเป็นการจดัการเรียนรู้แบบหน่ึงที่ทำให้ ผู้เรียนได้
เรียนรู้ด้วยตนเอง ได้ปฏิบัติจริงในลักษณะของการศึกษา สำรวจ ค้นคว้า ทดลอง ประดิษฐ์ คิดค้นด้วย
ตนเองโดยมีครเู ป็นผคู้ อยกระตนุ้ แนะนำ และให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชดิ
ถวัลย์ มาศจรัส (2549) ได้ให้ความหมายของโครงงานว่าการเรียนโดยผ่านกิจกรรมที่เกิดจาก
ความสนใจการศกึ ษาค้นคว้าและการปฏิบตั จิ รงิ ของผ้เู รยี นทมี่ กี ารจดั ระบบ และกระบวนการในการเรียนรู้
ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ของผู้เรียน เพื่อให้ได้คำตอบที่ตนเองต้องการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งทุกขั้นตอน
จากประสบการณ์จริงด้วยตนเอง หรือด้วยกลุ่มความสนใจของผู้เรียน สรุปได้ว่าการเรียนรู้ที่ใช้โครงงาน
เป็นเหมือนการเชื่อมระหว่างห้องเรียนกับโลกภายนอก ซึ่งเป็นชีวิตจริงของผู้เรียนทั้งน้ันเพราะว่าผู้เรียน

10

ต้องนำเอาความรู้ท่ีได้จากชั้นเรียนมาบูรณาการเข้ากับกิจกรรมที่จะกระทำเพื่อนำไปสู่ความรู้ใหม่ ๆ ด้วย
การแก้ปัญหาและการค้นพบด้วยตนเอง การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นวิธีการเรียนรู้ที่เกิดจากความ
สนใจของผู้เรียนที่อยากจะศกึ ษา สำรวจ รวบรวมข้อมูล จากหัวข้อที่ตนเองสนใจ และอยากรู้คำตอบที่ลึก
ซึ่งชัดเจน หรือต้องการเรียนรู้ ในเรื่องนั้น ๆ ให้มากข้ึนกว่าเดิมโดยใชก้ระบวนการวิทยาศาสตร์จนได้
ข้อสรุป ผลการศึกษาหรือ คำตอบตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้แล้วนำเสนอผลการศึกษาตามวิธีการของ
ตนเองอยา่ งเปน็ ขน้ั ตอน

2.2 ความสำคัญของการเรยี นรแู้ บบโครงงาน
แนวคดิ การจดั การศกึ ษาสาหรับศตวรรษท่ี 21 ที่สำคญั ประการหน่ึงคือ การศกึ ษาต้อง เปน็
กระบวนการพัฒนาคนใหเ้ ตม็ ขดี ความสามารถทม่ี อี ยู่การศกึ ษาตอ้ งเปน็ กระบวนการทท่ี ำให้ ผ้เู รยี นได้
คน้ พบความรู้และสรา้ งความรูไ้ ด้ด้วยตนเองการจัดการเรยี นรู้จงึ เนน้ วธิ กี ารเรียนรูห้ รอื วธิ กี ารแสวงหา
ความรดู้ ว้ ยรปู แบบและวิธกี ารท่หี ลากหลายจากแหล่งและส่อื ตา่ ง ๆ อันจะนำไปสูก่ ารเป็นบคุ คลแห่งการ
เรียนรูร้ กั การเรียนรอู้ ย่างตอ่ เนื่องตลอดชวี ติ
2.3 องคป์ ระกอบท่วั ไปของโครงงาน
องคป์ ระกอบทว่ั ไปของโครงงาน มอี งค์ประกอบทสี่ ำคญั 7 ประการไดแ้ ก่
1. หลักการและเหตุผลจะเป็นการแจกแจงให้ทราบถึงที่มาของโครงงานความเกี่ยวพันความสำคัญ
ของโครงงานที่มีต่อแผนงาน หรือนโยบาย หรือปัญหาต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องคิดริเริ่มทำโครงงานข้ึนมา
เพอื่ แก้ปญั หา/เพอื่ ปฏิบัตกิ จิ กรรม ดำเนินกจิ กรรมตามโครงงานทจี่ ัดทำขน้ึ
2. วัตถุประสงค์การกำหนดวัตถุประสงค์ของโครงงาน ถือเป็นหัวใจสำคัญในการวางแผน กำหนด
กจิ กรรมการดำเนนิ งานของโครงงานตอ่ ไป วัตถปุ ระสงคข์ องโครงงานอาจ เขยี นไวอ้ ย่างเฉพาะเจาะจงมาก
ๆ หรืออาจจะระบุไว้อย่างกว้าง ๆ ขึ้นอยู่กับขอบเขตของโครงงาน ซ่ึงโครงงานอาจจะระบุวัตถุประสงค์
ทัว่ ไป และวตั ถปุ ระสงค์เฉพาะ
3. วิธีดำเนินการ โครงงานทุกโครงงานต้องมีผู้รับผิดชอบในการดำเนินการและมักมี การกำหนด
กลวิธีในการดำเนินงานไว้ล่วงหน้า ซ่ึงวิธีการดำเนินงานนี้ หมายความถึงการกำหนด วิธีการหรือกิจกรรม
ต่าง ๆ ที่ต้องจัดกระทำ เพื่อให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ของโครงงาน โครงงานที่สมบูรณ์ควรระบุ
กิจกรรมเป็นขั้นตอนตามช่วงเวลาต่าง ๆ อย่างชัดเจนโครงงานทุกโครงงานจะต้องมีลักษณะที่สำคัญ
รว่ มกนั อยา่ งนอ้ ย 3 ประการ คือ

3.1 ขอบเขตวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน การกำหนดวัตถุประสงค์ถอื เป็นหวั ใจหลักของ โครงงาน
เพราะจะนา ไปสู่แผนการดำเนินกิจกรรมในโครงงาน เพื่อให้ได้ผลตรงตามวัตถุประสงค์ และการกำหนด
วัตถุประสงค์จะกำหนดขึ้นมา เพื่อหาคำตอบแก้ปัญหาเสร็จที่เกิดขึ้นตามที่เป็น ข้อมูลของหลักการและ

11

เหตุผลจากความสำคัญของโครงงานนั้นเองการกำหนดวัตถุประสงค์ควรมี ความชชัดเจน เข้าใจง่ายและ
สามารถนำไปปฏิบตั ไิ ด้

3.2 ขอบเขตการดำเนินงานที่แน่นอน หมายความว่าในโครงงานจะต้องกำหนด ถึงลักษณะ
คนหรือลกั ษณะของกจิ กรรมท่ชี ดั เจนและสามารถตอบสนองได้ตามวัตถปุ ระสงค์ของโครงงาน การกำหนด
ขอบเขตการดำเนินงานยังรวมความไปถึงการกำหนดถึงวิธีการกิจกรรมพื้นที่ ปฏิบัติการกลุ่มเป้าหมาย
รวมท้ังการประเมินผลการดำเนินโครงงาน การกำหนดขอบเขต การดำเนินงาน ยิ่งมีความชัดเจนมากข้ึน
เทา่ ไรยอ่ มส่งผลให้มคี วามงา่ ยความสะดวกในการปฏบิ ัติ และง่ายตอ่ การตดิ ตามและประเมินผลโครงงาน

3.3 ระยะเวลาในการดำเนินงานที่แน่นอน ในการทำโครงงานใด ๆ ก็ตามจะต้องมี
การกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นและระยะสิ้นสุดของโครงงานที่แน่นอน โดยจะข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์และ
กิจกรรมดำเนนิ งานทจี่ ะต้องปฏบิ ัตเิ พ่ือใหไ้ ด้ผลตรงตามจุดมุ่งหมาย สอดคล้องกับวตั ถปุ ระสงค์
ของโครงงาน อาจกล่าวได้ว่าระยะเวลาของโครงงานย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และะกิจกรรมของ
โครงงาน ซ่ึงควรจะมีความเหมาะสมเพียงพอให้การดำเนินกิจกรรมโครงงานได้ผลตรงตาม วัตถุประสงค์
ของโครงงานนน่ั เอง

4. เป้าหมายในทุกโครงงานต้องมีเป้าหมายในการดำเนินงานในช่วงระยะเวลาต่างๆแน่นอน
เป้าหมายอาจจะระบุในรูปของจำนวนกิจกรรมจำนวนผู้รับบริการ หรือจำนวนของผลผลิตก็ได้เป้าหมาย
เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากเป็นตัวแทนที่ค่อนข้างวัดได้สังเกตได้ข้องวัตถุประสงค์การติดตามประเมินผล
โครงงาน จึงมักใช้เปา้ หมายน้เี ปน็ เกณฑ์ในการเปรยี บเทียบ

5. งบประมาณ การดำเนินการตามโครงงานต้องมีงบประมาณกำหนดไว้แน่นอนในแต่ละช่วงเวลา
ตลอดระยะเวลาของโครงงาน และควรมีการแจกแจงให้ชัดเจนว่างบประมาณนั้นแยกเป็นประเภทใดบ้าง
ประเภทละเท่าไร

6. ผลที่คาดว่าจะได้รับโครงงานที่สมบูรณ์ควรมีการกำหนดชัดเจนว่าเมื่อโครงงานดำเนินการเสร็จ
สิ้นแล้วผลที่จะได้รับคือเพื่อความสะดวกในการพิจารณาคุณค่าและประโยชน์ของโครงงาน โดยจะแจก
แจงให้เห็นชัดเจนว่า ประชาชนกลุ่มใดได้รับประโยชน์มากน้อยแค่ไหนในด้านใดบ้าง สังคมทั่วไปได้รับ
ประโยชน์แค่ไหนอย่างไรเพื่อความสะดวกในการประเมินคุณค่าของโครงงานที่จะส่งผลต่อการอนุมัติ
โครงงาน

7. การประเมินผลการประเมินผลโครงงานเป็นกิจกรรมสำคัญที่ช่วยชี้ให้เห็นสภาพการดำเนิน
กิจกรรมตามโครงงานว่าเป็นไปโดยเรียบร้อยสอดคล้องตรงตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของโครงงาน
มากน้อยเพียงใด มีอุปสรรคหรือปัญหาอะไรบ้าง สมควรแก้ไขด้วยวิธีการใดโครงงานทุกโครงงานควรจะ
ระบุใหช้ ัดเจนวา่ จะมกี ารประเมนิ ผลอย่างไรเปน็ ระยะๆหรอื ประเมินผลรวบยอดเพียงครง้ั เดียว

12

2.4 กระบวนการวางแผนโครงงาน
การวางแผนโครงงานเป็นกระบวนการซึ่งบางคนอาจเรียกว่า “วงจรโครงงาน”(Project cycle)
เป็นการแสดงขั้นตอนการแสดงความสัมพันธ์ของขั้นตอน รวมทั้งภารกิจหรือกิจกรรมท้ังมวลของโครงการ
หนึ่ง ๆ ตั้งแต่การมีความคิดที่จะมีโครงการจนถึงเสร็จสิ้นโครงการและมีการประเมินผลโครงการเพื่อเป็น
ข้อมูลยอ้ นกลับในการกำหนดโครงการใหมๆ่ ตอ่ ไปแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนใหญๆ่
1. การกำหนดโครงงาน (Identification)
2. การเตรยี มและการวเิ คราะห์โครงงาน (Preparation and analysis)
3. การประเมินและอนุมตั โิ ครงงาน (Appraisal and approval)
4. การปฏิบัตแิ ละดำเนินงาน (Implementation and operation)
5. การติดตามและประเมินผล (Monitoring and evaluation)

ภาพท่ี 2.1 กระบวนการวางแผนโครงการ
https://www.stou.ac.th/stouonline/lom/data/sec/Lom14/01-03.html

13

2.5 ประเภทของโครงงาน
ประเภทของโครงงานท่ผี เู้ รยี นจะปฏบิ ตั ิในแตล่ ะระดบั อาจจดั แบ่งเป็นประเภทใหญๆ่
ได้ 4 ประเภท ตามลักษณะของการปฏิบตั ิไดด้ งั น้ี (ภาสิณีบุตรพลอย, 2553)
1. โครงงานที่เป็นการสำรวจรวบรวมข้อมูลเป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจ และรวบรวม
ข้อมูลที่เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วนำข้อมูลที่ได้จากการสำรวจนั้นมาจำแนกเป็นหมวดหมู่และนำเสนอ
ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างมีระบบเพื่อให้เห็นถึงลักษณะหรือความสัมพันธ์ของเรื่องดังกล่าวได้ชัดเจนยิ่งข้ึน
การปฏิบัติตามโครงงานนี้ผู้เรียนจะต้องไปศึกษารวบรวมข้อมูลด้วยวิธ๊การต่าง ๆ เช่น สอบถามสัมภาษณ์
สำรวจโดยใช้เครื่องมือ เช่น แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึก ฯลฯ ในการรวบรวมข้อมูลที่
ต้องการศึกษาตัวอย่างโครงงานที่เป็นการสำรวจรวบรวมข้อมูล เช่น การสำรวจประชากรพืชสัตว์หินแร่
ฯลฯ ในชุมชนการสำรวจพนื้ ที่เพาะปลกู ในชุมชน การสำรวจความตอ้ งการเก่ียวกับอาชพี ของชมุ ชน
การสำรวจความรู้เกย่ี วกบั การเลือกตง้ั แบบใหม่ การศกึ ษาลกั ษณะของครูดีท่นี กั เรยี นตอ้ งการ
2. โครงงานที่เป็นการค้นคว้าทดลองเป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเรื่องใดเรื่องหน่ึง
โดยเฉพาะโดยการออกแบบโครงงานในรูปของการทดลองเพื่อศึกษาว่าตัวแปรหนึ่งจะมีผลต่อตัวแปรท่ี
ต้องการศึกษาอย่างไรบ้างด้วยการควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ซึ่งอาจมีผลต่อตัวแปรที่ต้องการศึกษาไว้การทำ
โครงงานประเภทนี้จะมีข้ันตอนการดำเนินงานประกอบด้วยการกำหนดปัญหา การตั้งวัตถุประสงค์ หรือ
สมมติฐานการออกแบบ ทดลองการรวบรวมข้อมูลการดำเนิน การทดลองการแปรผลและสรุปผลการ
ทดลอง ตวั อย่างโครงงานที่เป็นการค้นคว้าทดลอง เช่น วธิ กื ารประหยัดนำ้ ประปาภายในบา้ น
การปลูกพืชสวนครวั โดยไมใ่ ช้ดนิ
3. โครงงานท่ีเป็นการศึกษาความรทู้ ฤษฎีหลกั การหรอื แนวคิดใหม่โครงงานประเภทนี้
เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอความรู้ทฤษฎีหลักการแนวคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับเรื่องใด เรื่องหน่ึงที่ยัง
ไม่มีใครคิดมาก่อนหรือขัดแย้ง หรือขยายจากของเดิมที่มีอยู่ซึ่งความรู้ทฤษฎีหลกัการ หรือแนวคิดที่เสนอ
ต้องผ่านการพิสูจน์อย่างมีหลักการ หรือวิธีการที่น่าเชื่อถือตามกติกาต่อข้อตกลง ที่กำหนดข้ึนมาเอง หรือ
อาจใช้กตกิ าหรือขอ้ ตกลงเดิมมาอธิบายข้อความรูท้ ฤษฎีหลักการแนวคิดใหมก่ ็ได้โครงงานท่ีเป็นการศึกษา
ความรู้ทฤษฎีหลักการหรือแนวคิดน้ีผู้ทำโครงงานต้องเป็นผู้ที่มีความรู้พื้นฐานในเรื่องน้ัน ๆ เป็นอย่างดี
หรือต้องมีการศึกษาค้นคว้าข้อมูลมาประกอบอย่างลึกซึ้ง จึงจะทำ ให้สามารถกำหนดความรู้ทฤษฎี
หลักการแนวคิดใหม่ๆ ขึ้นได้ตัวอย่างโครงงานที่เป็นการศึกษาความรู้ทฤษฎีหลักการหรือแนวคิด เช่น
เทคนคิ การแกโ้ จทยป์ ัญหา เทคนคิ การใชพ้ ลังงาน แสงอาทิตย์เพ่ืออนรุ กั ษส์ ิ่งแวดล้อม
4. โครงงานที่เป็นการประดิษฐ์คิดค้นโครงงานประเภทนี้เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์ คือการ
นำเอาความรทู้ ฤษฎหี ลกั การหรอื แนวคดิ มาประยกุ ตใ์ ช้โดยการประดิษฐ์เปน็ เครือ่ งมือ เคร่ืองใชต้ า่ ง ๆ

14

เพื่อประโยชน์ในการเรียนการทำงานหรือการใช้สอยอื่น ๆ การประดิษฐ์คิดค้นตามโครงงานนีอ้ าจเป็นการ
ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่โดยที่ยังไม่มีใครทำ หรืออาจเป็นการปรบั ปรงุ เปลี่ยนแปลงหรือดดั แปลงของเดิมทีม่ อี ยู่
แล้วใหม่ประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่รวมทั้งการสร้างแบบจำลองต่าง ๆ เพื่อประกอบการอธิบาย
แนวคิดในเรื่องต่างโครงงานที่เป็นการประดิษฐ์คิดค้นนี้ จะครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ ทั้งวิทยาศาสตร์
คณติ ศาสตร์ ภาษาสังคมอาชีพส่งิ แวดลอ้ ม ฯลฯ

2.6 ลกั ษณะของการเรยี นรแู้ บบโครงงาน
คอื การจดั ประสบการณก์ ารเรียนร้แู บบโครงงานกับการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้แบบปกตทิ ่ีเน้น
การเตรียมความพร้อมในด้านการอ่านเขียน (Katz & Chard, 1994 อ้างถึงใน วราภรณ์ตระกลู สฤษด์ิ,
2545)
การจดั การเรยี นแบบเดิมทเี่ น้นแรงจูงใจภายนอก การจัดการเรียบแบบโครงงานที่เน้นแรงจูงใจ

ภายใน
1. ความตั้งใจในการทำงานของเด็กมาจากครูและ 1. ความสนใจของเด็กและการให้เด็กได้มีส่วนร่วม
รางวัลเป็นแหล่งของแรงดลใจภายนอก การ เป็นการส่งเสริมความมานะพยายามและการ
จดั การเรียนแบบเดมิ ทเ่ี นน้ แรงจูงใจ ภายนอก จัดการเรียบแบบโครงงานที่เน้นแรงจูงใจ ภายใน

เป็นแรงดลใจภายในท่ีสำคญั

2. ผู้สอนเป็นผู้เลือกกิจกรรมการเรียนและการ 2. เด็กสามารถเลือกทำกิจกรรมต่างๆที่ผู้สอน

จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ที่เห็นว่าเหมาะสมกับระดับ จัดเตรียมโดยค้นหาระดับที่เหมาะสมและท้าทาย

ทีศ่ กึ ษา การจัดการเรียนแบบโครงงานเป็นฐานที่เน้น

แรงจูงใจภายใน

3. ผสู้ อนเปน็ ผูร้ อบรทู้ ุกด้านและมองว่าผู้เรียนเปน็ 3. เด็กเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเรียนรู้โดยมีผู้สอน
ผ้กู ารจดั การเรยี นแบบเดิมที่เน้นแรงจูงใจภายนอก เป็นผู้แนะนำ

4. ผู้สอนเป็นผู้ที่สามารถกำหนดการเรียนรู้และ 4. เด็กมีส่วนร่วมในการเรียนรู้และประเมิน

ความสำเรจ็ ของผเู้ รยี น ความสำเรจ็ ของตนเองร่วมกับผู้สอน

ตารางท่ี 2.1 การเปรยี บเทยี บการเรียนการสอนแบบเดมิ กับการเรียนการสอนแบบโครงงาน

15

2.7 แผนการจัดการเรยี นร้แู บบโครงงาน
การเรยี นแบบโครงงานนคี้ วรมกี ารกำหนดวางแผนการจัดการสอนโดยคำนึงถึงองคป์ ระกอบ ดงั นี้
1. การร่วมมือของผู้เรียน (Collaboration) การจัดหลักสูตรจะต้องคำนึงถึงการเปิดโอกาส ให้
ผู้เรียนได้มีโอกาสในการทำงานร่วมกัน ช่วยเหลือกัน กระบวนการเรียนควรมุ่งสนับสนุนให้ผู้เรียนมี
บทบาท ดังนี้

1.1 การกำหนดบทบาทหน้าที่ของสมาชิก
1.2 การให้การช่วยเหลอื ซึ่งกันและกัน
1.3 การเข้าถึงเทคโนโลยี
1.4 การมีโอกาสทไี่ ดร้ ว่ มตดั ัสินใจ
1.5 การมีโอกาสทจ่ี ะไดเ้ รียนรแู้ บบร่วมมือกัน
2. การกำหนดทิศทางของผู้เรียน (Student direction) การจัดกระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานน้ี
ควรต้องจดั ใหส้ ร้างโอกาสและให้การสนับสนนุ ผเู้ รยี นในทศิ ทาง ดงั นี้
2.1 กำหนดโครงงานที่จะให้ผู้เรียนโดยมุ่งเน้นให้โครงงานน้ันมีความสมั พันธ์กับเน้ือหาวิชาที่
เรยี นและเกยี่ วข้องกบั บริบทของผเู้ รียน (Relation to class context)
2.2 ตอ้ งมีความเกยี่ วขอ้ งสัมพันธ์กนั กับโลกความเปน็ จรงิ รอบ ๆ ตัวผเู้ รียน
2.3 มกี ารออกแบบการนำเสนอท่ีดมี ปี ระสิทธิภาพ มีรูปแบบท่ชี ดั เจนง่ายต่อการเข้าใจ
2.4 มีการใหผ้ เู้ รยี นสามารถประเมินตนเอง และประเมินเพอื่ นในการเรียนรู้ได้
3. การกำหนดขอบเขตของเวลาในการทำโครงงาน และสื่อต่าง ๆ ในการสนับสนุน การเรียนรู้ควร
ต้องมีการกำหนดเวลาที่พอเหมาะพอดีเพียงพอในการศึกษาเรียนรู้และทำโครงงาน โดยมีสิ่งที่ควรจะให้
เวลาในการทำงานเพอื่ การเรียนร้แู บบโครงงาน ดังนี้
3.1 การให้มโี อกาสอยา่ งเทา่ เทียมกนั ในการมสี ว่ นร่วมในการทำโครงงาน
3.2 ต้องมกี ารพฒั นาในการร่วมมอื กนั ทำโครงงานอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ

16

4. สื่อผสมรูปแบบต่าง ๆ (Multimedia) การเรียนรู้แบบโครงงานนี้จำเป็นต้องนำสื่อผสม
รูปแบบต่าง ๆ มาช่วยสนับสนุนให้การเรียนรู้มีขอบเขตที่กว้างขวางขึ้นง่ายสะดวกต่อการค้นคว้าหาข้อมูล
รวมทั้งติดต่อสื่อสารกัน ดังนี้ ผู้สอนควรมีการพิจารณาเลือกสื่อผสมรูปแบบต่าง ๆ มาช่วยสนับสนุนการ
เรียนร้ทู ำใหผ้ ู้เรียนไดเ้ รยี นรู้บรรลตุ ามเปา้ หมายของตนเอง ไดแ้ ก่

4.1 การเลือกสื่อท่เี หมาะสมมาชว่ ยสนับสนนุ เนอื้ หาทจ่ี ะใหผเู้ รยี นไดเ้ รียนรู้
4.2 ใชห้ ลกั การออกแบบองค์ประกอบของสอื่ ต่าง ๆ ใหเ้ หมาะสม
4.3 สนับสนุน/เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เข้าถึงสื่อการเรียนการสอนและทรัพยากรการเรียนรู้
ตา่ ง ๆ ใหไ้ ด้สะดวกรวดเร็วและทว่ั ถึง
4.4 ควรมกี ารวางแผนให้ผเู้ รยี นใช้เวลาทเ่ี หมาะสม ในการเรียนร้เู น้อื หาความรตู้ ่าง ๆ
จากส่อื ทกุ รปู แบบทีม่ กี ารจัดเตรียมไวใ้ ห้
5. การเชื่อมต่อ/ความสัมพันธ์กับโลกความเป็นจริง (Real world connection) การจัดการเรียน
การสอนแบบโครงงานนี้สิ่งที่ควรคำนึงคือจะจัดหลักสูตรอย่างไรให้เปิดโอกาสให้ผู้เรียน แต่ละคนสามารถ
พฒั นาตนเองให้สามารถเรียนร้/ู รับรเู้ ขา้ ใจโลกของความเปน็ จรงิ ที่อยรู่ อบตัวได้ แนวทางดงั กล่าวคือ
5.1 การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มกี ารตดิ ต่อสือ่ สารกันกับผอู้ น่ื
5.2 การใหผ้ ู้เรียนได้รว่ มกนั ทำงานแบบร่วมมือกนั / ทำงานเปน็ ทมี
5.3 การบรหิ ารจัดการโครงงานใหเ้ หมาะสม (Project-management)
5.4 การกำหนดใหท้ ำโครงงานทมี คี วามสัมพันธก์ บั โลกความเป็นจรงิ / ปญั หาในปัจจบุ ัน
5.5 การใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลับทีม่ ปี ระสิทธิภาพ (Effective use of feedback)
6. เนื้อหาของหลักสูตร (Curricular content) การกำหนดเนื้อหาของหลักสูตรจะต้องมีความ
ชดั เจนของวัตถุประสงค์ หรือเปา้ หมายของการเรียนท่ีทำให้ผูเ้ รยี นทุกคนเข้าใจ ดังน้ี
6.1 เนอื้ หาตอ้ งมีความชดั เจนเพยี งพอ ทำให้ผู้เรยี นสามารถรบั รู้เรยี นร้แู ละเขา้ ใจได้
6.2 มีการกำหนดมาตรฐานของหลักสูตรซ่ึงเปน็ ท่ียอมรบั โดยพง่ึ กนั
6.3 เนอื้ หาความรู้ทั้งหลายสามารถใช้การเรียนรแู้ บบโครงงานสนบั สนุนใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ได้
6.4 สามารถกำหนดแบบทดสอบ และประเมนิ ได้
7. ระบบการประเมินผล (Assessment) การเรียนการสอนจำต้องมีการประเมินเพื่อให้ทราบผล
ของการจัดกระบวนการเรียนรู้และยังสามารถติดตามผลการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยว่ามีความก้าวหน้า
อย่างไรควรปรับปรุงแกไ้ ขสง่ิ ใด เรื่องใดบา้ งแนวทางในการประเมินมี ดงั น้ี
7.1 ควรมกี ารกำหนดมาตรฐานการประเมนิ ไวอย้ ่างชัดเจน
7.2 ต้องมีวิธีการประเมนิ ผลการเรยี นรู้ทีห่ ลากหลายวธิ ี

17

7.3 ควรมีการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้สะทอ้ นความคิด ความรู้สึกและเปดิ โอกาสให้ผู้เรียนได้

มีการปรับปรุงแก้ไขตนเองในการเรยี นและการทำโครงงาน

นอกจากน้ี Baert et al. (1999 อา้ งถึงใน ลัดดาวลยั ์สวสั ดิ์หลง, 2550) กล่าวว่าการเรียนรู้

แบบโครงงานประกอบด้วย 5 ขัน้ ตอน ดงั นี้

1. ผ้เู รียนเลือกหัวข้อและรวมตัวกันเปน็ กลุ่ม (Student select a topic and form groups)

2. วางแผนเกี่ยวกับโครงงานและนำเสนอแผนงานให้แก่สมาชิกในกลุ่ม (They play theirproject

and present plans to each other)

3. นัดหมายมาพบกันทุก ๆ สัปดาห์เพื่อนำเสนอสิ่งที่ได้ทพเรียบร้อยแล้วและมีการพูดคุยเกี่ยวกับ

การเรียนรแู้ ละการวางแผนงานในการทำงานในสปั ดาห์ต่อไป

4. เตรียมการในการทำโครงงานและทำเป็นกิจกรรมโครงงานเพื่อให้ผลงานออกมาเป็นที่พอใจของ

ทกุ คน

5. เตรียมการนำเสนอผลการดำเนินการตามโครงงานท้ังในด้านเน้ือหาและกระบวนการ เช่น การ

มสี ่วนรว่ มกระบวนการวัดและประเมินผลการรว่ มมือทำงานภายในกล่มุ ของผู้เรยี นและผู้ดูแลให้คำปรึกษา

โครงงาน (Academic staff)

หัวข้อ / รายการ รายละเอยี ดที่ต้องระบุ

1. ช่ือโครงงาน ทำอะไร กบั ใคร เพ่ืออะไร

2. ชอื่ ผทู้ ำโครงงาน ผู้รับผิดชอบโครงงานอาจเป็นรายบุคคลหรือราย

กลุ่มก็ได้

3. ช่อื ทีป่ รึกษาโครงงาน ครู-อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีในท้องถิ่น ผู้ทำหน้าท่ี

เป็น ทป่ี รึกษาควบคมุ การทำโครงงานของผู้เรยี น

4. ระยะเวลาดำเนินงาน ระยะเวลาการดำเนินงานโครงงาน ตั้งแต่เริ่มต้น

จนเสร็จสน้ิ

5. หลักการและเหตผุ ล สภาพปัจจุบันที่เป็นความต้องการและความ

คาดหวงั ทีจ่ ะเกิดผล

6. จดุ มุ่งหมาย / วัตถุประสงค์ สิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดโครงงาน ท้ังใน

เชงิ ปรมิ าณและคณุ ภาพ

18

7. สมมุติฐานของการศึกษา (กรณีโครงงานการ ข้อตกลง/ข้อกำหนด/เงื่อนไขเพื่อเป็นแนวทาง ใน

ทดลอง) การพสิ ูจน์ใหเ้ ปน็ ไปตามทีก่ ำหนด

8. ขนั้ ตอนการดำเนนิ งาน กิจกรรมหรือขั้นตอนการดำเนินงาน เครื่องมือ

วัสดุอุปกรณ์ สถานที่

9. ปฏิบตั ิโครงงาน วันเวลาและกิจกรรมดำเนินการต่าง ๆ ตามที่ระบุ

ไว้ใน ข้อ 8 ต้งั แตเ่ ริ่มต้นจนแลว้ เสร็จ

10. ผลท่ีคาดว่าจะได้รบั สภาพของผลที่ต้องการให้เกิด ทั้งที่เป็นผลผลิต

กระบวนการ และผลกระทบ

11. เอกสารอ้างองิ /บรรณานุกรม เอกสารอ้างอิง/บรรณานุกรม

ตารางที่ 2.2 รายละเอยี ดโครงงาน

2.8 ผู้ประเมนิ ผลการเรยี นรู้โดยใชโ้ ครงงาน

โดยปกตทิ ่ัวไปผสู้ อนมกั จะเปน็ ผู้ประเมนิ ผลในการเรยี นการสอนแบบเดิมแตก่ ารเรียนร้แู บบ

โครงงานมลี กั ษณะแตกต่างจากการเรยี นการสอนแบบเดิมดงั น้นั การประเมินผลการเรยี นรูโ้ ดยใช้โครงงาน

ยอ่ มมีความแตกต่างกนั การประเมนิ ผลการเรยี นร้โู ดยใช้โครงงานควรใช้ผ้ปู ระเมินหลายคนเพอื่ จะได้

สามารถให้ขอ้ มลู ย้อนกลบั ใหก้ ับผู้เรียนเพ่อื จะไดไ้ ปวิเคราะห์ตนเองการประเมินแบ่งเป็น 2 แบบ คอื

(Feichtner & Davis, 1992)

1. การประเมนิ ระหว่างทำกิจกรรมการเรยี นการสอน (Formative evaluation) เพ่ือให้ผู้เรยี นได้

เรียนร้แู ละปรบั พฤติกรรมการเรียนและการทำงานได้ดขี ้นึ

2. การประเมนิ ผลสรปุ (Summative evaluation) เปน็ การประเมินผลครัง้ สุดท้ายเพื่อพิจารณา

ใหเ้ กรดแก่ผเู้ รยี นการประเมินจะนำไปส่กู ารคิดคะแนนหรอื เกรดของผ้เู รียนเกรดกบั โครงงานมักมกี าร

เกยี่ วข้องสมั พันธ์กนั (Slavin, 1995) กลา่ วว่าผลการเรียนของผเู้ รยี น (Student achievement)

จะเกีย่ วขอ้ งกับวัตถปุ ระสงคข์ องกล่มุ และความรบั ผิดชอบของผเู้ รียน

2.1 การประเมนิ ผลการเรยี นรูโ้ ดยใชโ้ ครงงาน ผูป้ ระเมนิ ควรเปน็ ผ้ทู ี่มสี ่วนรว่ มใน

โครงงานดังนี้ ครูผ้สู อนเน่ืองจากครเู ป็นผกู้ ำหนดแนวทางวตั ถุประสงค์การเรยี นรู้ครูผู้สอนจึงเป็นผตู้ รวจที่

มสี ว่ นสำคญั ในการประเมนิ ผลของการเรยี นรูท้ งั้ ในแงก่ ระบวนการของกลุ่มและผลงานของกลมุ่

2.2 ผู้เรียนประเมินตนเองการประเมินตนเองว่าตนเองมคี วามร้แู ละมีสว่ นรว่ มในการ

19

ดำเนนิ กจิ กรรมในโครงงานมากนอ้ ยเพียงใด การประเมนิ ตนเองเป็นประโยชน์อย่างยิ่งตอ่ ผู้เรยี นทวี่ ่า
เขาจะกลายเป็นผู้ทีส่ ามารถฝกึ หัดพัฒนาตนเองให้เป็นผู้ที่มคี วามรอู้ ยู่ตลอดเวลากลายมาเปน็ บุคคลที่
สามารถเรียนรไู้ ดต้ ลอดชีวิตนอกจากน้นั แลว้ Hatfield (1995)ได้ชีป้ ระเดน็ สำคญั วา่ การวิเคราะหแ์ ละ
ประเมนิ ตนเองของผูเ้ รยี นเป็นประสบการณ์การเรียนรทู้ ่สี ำคัญในการมอบหมายการเรียนโดยใช้โครงงาน

2.3 ผเู้ รียนประเมินซึง่ กนั และกนั วธิ ีนจ้ี ะเป็นการประเมนิ ผลโดยสมาชกิ ในกลุม่ ประเมนิ
ซง่ึ กันและกันซ่งึ เปน็ วิธกี ารควบคุมกลุ่มไดอ้ ยา่ งดี(Cramer, 1994) การประเมินผลโดยวิธนี ใ้ี ห้ไดผ้ ลดี
จะตอ้ งมกี ารประเมินเป็นระยะ ๆ ตลอดเวลาการดำเนนิ โครงงาน การทำเชน่ นจ้ี ะทำใหเ้ กิดผลดีทัง้ ต่อตัว
ผู้เรยี นหรือสมาชกิ ในกลุ่ม กลา่ วคือ

(ก) ทกุ คนจะไดม้ คี วามตระหนกั รใู้ นบทบาทหนา้ ท่ีความรับผดิ ชอบของตนซง่ึ มกี ลมุ่ เพื่อน
สมาชิกในทีมรว่ มตดิ ตามเฝ้าดอู ยู่

(ข) มีผลต่อความมคี ุณคา่ ในตนเองของผู้เรียน
(ค) มผี ลต่อความสมั พนั ธ์ภายในกล่มุ
(ง) ฝึกหัดใหผ้ ูเ้ รียนมีการพฒั นาทักษะความสามาระในการคดิ วเิ คราะหเ์ พ่อื นำไปสกู่ าร
ประเมนิ ผ้อู ืน่ ไดอ้ ย่างดี
(จ) เป็นการจูงใจใหผ้ ้เู รียนมผี ลการเรยี นและผลการปฏบิ ัติงานในกลุม่ ได้ดีขึ้น
เพราะรวู้ า่ มีเพ่อื นคอยพิจารณาตนอยตู่ ลอดเวลา
2.4 การประเมนิ จากบคุ คลภายนอก (External parties) การประเมนิ จาก
บุคคลภายนอกทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง เชน่ ผูจ้ ดั การหรอื ผู้ให้คำปรึกษาทมี่ ีความรู้ในเร่ืองการเช่ือมโยงระหว่างการ
เรียนรกู้ บั เนื้อหาสาระนั้นๆ กบั เรื่องโครงงานทนี่ กั ศกึ ษารอู้ ยกู่ ารทำ เช่น น้ีทำให้เรยี นมคี วามใส่ใจและมี
ความกังวลในบ้าง หรือเมือ่ รวู้ ่า ตนเองและกลมุ่ จะมบี ุคคลภายนอกท่ไี มใ่ ชค่ รผู ู้สอนและเพื่อน ๆ ของตน
และเป็นผู้เชย่ี วชาญในศาสตรแ์ ละสาขานนั้ ๆท่ีผู้เรียนกำลงั ศกึ ษาจะมาเป็นผรู้ ว่ มประเมินตนเองและผลงาน
ของกลุ่มการเรยี นรแู้ บบโครงงานเป็นฐาน เป็นรปู แบบการสอนทีเ่ นน้ การทำกิจกรรมทเ่ี ปิดโอกาสให้ผูเ้ รียน
ได้ศกึ ษาคน้ คว้าลงมอื ปฏบิ ัตดิ ว้ ยตนเองเพอ่ื นำไปสู่ความรูใ้ หมๆ่ ด้วยการแกป้ ญั หาและการค้นพบจาก
ความสนใจของผเู้ รียนที่อยากจะศึกษาสำรวจรวบรวมขอ้ มลู จากหวั ขอ้ ทตี่ นเองสนใจและอยากรูต้ อบทีล่ กึ
ซ่ึงท่ีชดั เจน หรือตอ้ งการเรยี นร้ใู นเรอื่ งนนั้ ๆ ให้มากขึ้นกวา่ เดิมโดยใช้กระบวนการวทิ ยาศาสตร์
จนได้ขอ้ สรุป ผลการศึกษาหรือคำตอบตามวตั ถุประสงค์ทีว่ างไว้แลว้ นำเสนอผลการศกึ ษาตามวิธกี ารของ
ตนเองอย่างเปน็ ขั้นตอน โดยมีการชี้แนะและให้คำปรกึ ษาจากผู้สอน

20

3. ทฤษฎสี ี
สี (Color) หมายถงึ ลักษณะกระทบต่อสายตาใหเ้ หน็ เปน็ สีซ่ึงมีผลถึงจิตวทิ ยา คือมอี ำนาจส่ือถงึ

อารมณแ์ ละความรู้สกึ ได้ การทไ่ี ดเ้ หน็ สีจากสายตาสายตาจะสง่ ความรสู้ กึ ไปยังสมองทำให้เกดิ ความรสู้ กึ
ต่าง ๆ ตามอิทธพิ ลของสี เชน่ สดช่นื รอ้ น ตน่ื เต้น เศร้า สดใส สีมคี วามหมายตอ่ ศลิ ปินวาดรปู เป็นอย่าง
มาก เพราะศิลปนิ ใชส้ เี ปน็ ส่ือสรา้ งความประทับใจในผลงานของศิลปะ และสะทอ้ นความคิดผ่านผลงาน
น้ันให้แกผ่ ูช้ ม สีมคี วามเก่ยี วขอ้ งกบั ส่ิงตา่ ง ๆ อยู่ตลอดเวลา เพราะทกุ สงิ่ ที่อย่รู อบตวั นั้นล้วนแตม่ สี สี ัน
ท้ังสนิ้

ภาพที่ 2.2 วงจรสี
คุณลกั ษณะของสี
1. สีแท้ (Hue) คอื สีทีย่ ังไม่ถกู สีอนื่ ผสม เปน็ ลกั ษณะของสที ่ีมคี วามสะอาด เช่น สแี ดง สีเหลอื ง
น้ำเงิน
2. สอี ่อนหรือสจี าง (Tint) คอื สแี ทท้ ี่ถูกผสมดว้ ยสขี าว เชน่ สีเทา สชี มพู สีฟ้า
3. สแี ก่ (Shade) คือ สแี ทท้ ี่ถกู ผสมด้วยสดี า เชน่ สีน้ำตาล
4. สีผสม (Mix) คือ สี 2 สีทถ่ี กู นำมาผสมกัน เช่น สสี ้ม สมี ว่ ง สีเขียว

21

สีสามารถแยกออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สธี รรมชาติเป็นสีที่เกิดขึ้นเองธรรมชาติ เชน่ แสงอาทติ ย์ ทอ้ งฟ้า ดอกไม้ ต้นไม้ พ้นื ดนิ
2. สที ่มี นษุ ยส์ รา้ งขึน้ หรือไดส้ งั เคราะห์ข้ึน เช่น สวี ทิ ยาศาสตร์มนุษยไ์ ดท้ ดลองจากแสง ตา่ งๆ
เชน่ ไฟฟ้า นำมาผสมโดยการทอแสงประสานกนั นำมาใชป้ ระโยชน์ในด้านการละคร การจัดฉากเวที
โทรทศั น์ การตกแต่งสถานที่
วรรณะของสี
กลุ่มสที ใ่ี ห้ความรสู้ ึกรอ้ น - เยน็ ในวงจรสจี ะมสี ีร้อน 7 สี และ สเี ยน็ 7 สี ซง่ึ แบ่งท่ี สมี ่วงกับสี
เหลือง ซ่งึ เป็นได้ทั้งสองวรรณะวรรณะสีมี 2 วรรณะ ดงั นี้
1.วรรณะสีร้อน (Warm Tone) ประกอบดว้ ย สีเหลือง สีส้มเหลอื ง สีสม้ สสี ้มแดง สีม่วง แดง
และสมี ว่ ง ถ้าสใี ดหนักไปทางสแี ดง หรือสสี ้มถอื วา่ เป็นสีวรรณะรอ้ น เชน่ สีเทาอมทอง

ภาพท่ี 2.3 สีวรรณะรอ้ น
2.วรรณะสีเยน็ (Cool Tone) ประกอบดว้ ย สีเหลือง สีเขยี วเหลอื ง สีเขยี ว สีเขยี วนา้ เงินสนี ้ำเงนิ
สีมว่ งนำ้ เงนิ และสีม่วงถ้าสใี ดหนกั ไปทางสีนำ้ เงิน หรอื สเี ขียว ถือเป็นสีวรรณะเย็น เชน่ สีเขียวแก่

ภาพท่ี 2.4 สวี รรณะเยน็

22

สีตรงขา้ ม
หรือสีที่ตัดกันเป็นสีที่มีค่าความเข้มของสีตัดกัน ในทางปฏิบัติไม่นิยมนำมาใช้รวมกันเพราะจะทำ
ใหแ้ ตล่ ะสไี ม่สดใสเทา่ ท่ีควร การนำสตี รงขา้ มกนั มาใชร้ ว่ มกนั อาจทำไดด้ ังนี้
1. มพี ้นื ทข่ี องสหี นึ่งมากอกี สีหนงึ่ นอ้ ย
2. ผสมสอี ื่นๆลงไปสีใดสีหน่ึงหรือทงั้ สองสี
3. ผสมสตี รงขา้ มลงไปในสที ั้งสองสี

ภาพท่ี 2.5 สตี รงข้าม
สีกลาง
สที เี่ ข้าได้กบั สที ุกสี สีกลางในวงจรสี มี 2 สี คือ สนี ้ำตาล ท่เี กิดจากสีตรงข้ามกันในวงจรสีผสมกัน
ในอัตราส่วนที่เท่ากันมีคุณสมบัติที่สำคัญคือใช้ผสมกับสีอื่นแล้วจะทำให้สีนั้นๆเข้มขึ้นโดยไม่เปลี่ยนแปลง
ค่าสถี า้ ผสมมากๆเขา้ กจ็ ะกลายเปน็ สีนำ้ ตาลและสีเทาทเี่ กดิ จากสที ุกสีในวงจรสผี สมกนั ในอัตราส่วนเท่ากัน
มีคุณสมบัติที่สำคัญคือใช้ผสมกับสีอื่นๆแล้วจะทำให้มืดหม่นส่ว นมากจะใช้ทำในส่วนที่เป็นเงาซึ่งจะมี
นำ้ หนกั ออ่ น - แก่ไปตามระดบั สีเทาท่ผี สมไป

ภาพท่ี 2.6 สกี ลาง

23

ระบบสี RGB
ยอ่ มาจาก Red Green และ Blue คือระบบสีของแสง ซึง่ เกดิ จากการหกั เหของแสงผา่ นแท่ง
แกว้ ปรซิ ึม เกิดแถบสที ่เี รยี กวา่ สีรุ้ง ( Spectrum ) ซึง่ แยกสตี ามท่สี ายตาสามารถมองเหน็ ได้เป็น 7 สี คอื
มว่ งคราม น้ำเงนิ เขียวเหลือง แสด แดง ซ่ึงเป็นพลงั งานอยู่ในรูปของรังสที ีม่ ีช่วงคล่นื ที่สายตาสามารถ
มองเหน็ ได้ แสงสีม่วงมีความถีค่ ลนื่ สงู ทสี่ ดุ คล่นื แสงทม่ี คี วามถสี่ งู กว่าแสงสมี ว่ งเรียกว่า อลุ ตราไวโอเลต
( Ultra Violet ) และคล่นื แสงสีแดงมีความถ่ีคลืน่ ตำ่ ทส่ี ุด คล่นื แสงทีต่ ำ่ กวา่ แสงสี แดงเรยี กวา่ อนิ ฟราเรด
(Infrared) ซึ่งสายตาของมนษุ ยไ์ ม่สามารถรบั ได้ แสงสที ัง้ หมดเกดิ จากแสง 3 สีคือ สแี ดง สนี ้ำเงนิ และสี
เขยี ว ทั้งสามสถี ือเปน็ แม่สขี องแสง เม่อื นำมาฉายรวมกนั จะได้สี ดงั นี้
สแี ดง + สีเขยี ว ได้ สีเหลือง
สีเขยี ว + สีนา้ เงนิ ได้ สฟี ้า
สแี ดง + สนี ้า เงิน ได้ สแี ดงอมชมพู
และถา้ ฉายแสงสที ้ังหมดรวมกนั จะได้แสงสขี าว ด้วยคุณสมบตั ิของแสงนี้จึงนำมาใช้ประโยชนใ์ น
การฉายภาพยนต์ภาพโทรทัศนภ์ าพเพอ่ื การนำเสนอทางจอคอมพิวเตอร์ การจดั แสงสใี นการแสดง เป็นต้น

ภาพที่ 2.7 ระบบสี RGB

บทท่ี 3
วธิ ีดำเนินโครงการดำเนินการ/วิธีดำเนนิ การวจิ ัย

3.1 เสนอโครงงาน
การเสนอโครงการ เว็บไซต์ส่ือการเรียน ระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ ตามแบบเสนอ

โครงการท่ีกำหนด เพือ่ อนุมัติการดำเนินการตามโครงการ
เรมิ่ ตน้

จดั ทำโครงการ

เสนอโครงการ

ศกึ ษาขอ้ มลู

วางแผนการ

ออกแบบโครงงาน

ทดสอบ

จดั ทำเอกสาร

นำเสนอโครงการ
ภาพที่ 3.1 ผังการดำเนนิ การจดั ทำ เวบ็ ไซตส์ ่ือการเรยี น ระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์

25

เริ่มตน้ ไม่ผ่าน
วางแผนการทำงาน
ศกึ ษาการทำงาน
วางแผนการทำช้ินงาน

ลงมือปฏิบตั ิ
ทดสอบ

นำเสนอชนิ้ งาน

ภาพท่ี 3.2 ผังการทำงานของชิ้นงาน

3.2 การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง
การจัดทำโครงการ เว็บไซต์สื่อการเรียน ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ คณะผู้จัดทำได้

ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในการดำเนินงานโครงการเว็บไซต์สื่อการเรียน ระบบเครือข่าย
คอมพิวเตอร์ 1 เวบ็ ไซต์ โดยมีหวั ขอ้ เรือ่ งทศ่ี ึกษา ดงั นี้

3.1 เว็บเพจ ( Webpage, web page )
3.2 เวบ็ ไซต์ ( Website, Web site หรือ Site )
3.3 โฮมเพจ ( Home page )
3.4 เว็บไซต์ Go daddy

26

3.3 การดำเนนิ การสร้างโครงงาน
การดำเนนิ การสรา้ ง เวบ็ ไซต์สอ่ื การเรียน ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีขนั้ ตอนการ

ดำเนนิ การดังต่อไปนี้
3.3.1 การศกึ ษาขอ้ มลู เก่ียวกับเว็บไซต์ Go daddy เผ่ือศกึ ษานำมาสร้างเว็บไซต์ ซ่งึ

นำมาเป็นกรณีศึกษาตามแผนภาพ ดงั แสดงในภาพที่ 3.3

ภาพท่ี 3.3 การเลอื กใช้เวบ็ Go daddy
(ท่ีมา https://www.godaddy.com/)
3.3.2 การศึกษาข้อมูลเกย่ี วกบั การใช้งานเวบ็ ไซต์ Go daddy อยา่ งละเอียด ได้
ดำเนนิ การศกึ ษาขอ้ มูลและเลอื กใช้ตัวสร้างเว็บไซต์ได้ถูกตอ้ ง ซ่งึ นำมาเป็นกรณีศึกษาตาม
แผนภาพ ดังแสดงในภาพท่ี 3.4

ภาพท่ี 3.4 แผนภาพแสดงข้อมูลเว็บไซต์
(ที่มา https://mytechnology.club)

27
3.3.3 การวางแผนการทำชิ้นงาน ไดด้ ำเนนิ การวางแผนว่าจะออกแบบเวบ็ ไซตแ์ บบไหน
การเลือกใช้รูปแบบตัวอักษร รปู ภาพ และวดิ โี อ ซง่ึ นำมาเปน็ กรณศี ึกษาตามแผนภาพ ดงั แสดงใน
ภาพที่ 3.5

ภาพท่ี 3.5 ภาพการวางแผนทำเว็บไซต์
3.3.4 การลงมือทำชิ้นงาน ซ่ึงนำมาเปน็ กรณศี ึกษาตามแผนภาพ ดังแสดงในภาพท่ี 3.6

ภาพท่ี 3.6 การลงมือทำชน้ิ งาน

28
3.3.5 การทดลองใชง้ านจรงิ ของเวบ็ ไซต์ ซง่ึ นำมาเปน็ กรณศี ึกษาตามแผนภาพ
ดังแสดงในภาพท่ี 3.7

ภาพที่ 3.7 ภาพการทดลองใช้งานจรงิ
(ท่ีมา https://mytechnology.club)
3.3.6 การตรวจสอบ ปรบั ปรุง และแก้ไขเวบ็ ไซต์ ซึง่ นำมาเปน็ กรณศี ึกษาตามแผนภาพ
ดังแสดงในภาพท่ี 3.8

ภาพที่ 3.8 ภาพการทดลองใชง้ านจริง

29

3.3.7 การเผยแพร่เว็บไซต์ ไดด้ ำเนนิ เผยแพรโ่ ดยการสรา้ ง QR Code หรือลิงกข์ อง
เวบ็ ไซต์ และภายในเวบ็ ไซต์จะมแี บบทดสอบความรู้หลงั การศึกษาข้อมูล เพ่อื ให้ผูท้ ่ีเข้าชม
เว็บไซต์ได้ทดสอบความรูค้ วามเขา้ ใจเรอ่ื งระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์

ภาพที่ 3.9 QR code เข้าสู่เว็บไซต์
3.4 การทดสอบ/ปรับปรุง

การทดสอบการปรับปรงุ เว็บไซต์สื่อการเรยี น ระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ ให้มี
ประสิทธิภาพตามเงื่อนไขท่กี ำหนดไว้ในแบบเสนอโครงการและครูทป่ี รึกษาโครงการกำหนดไว้
ดังตอ่ ไปน้ี

3.4.1 ทดสอบการทำงานของเว็บไซต์ เว็บไซต์สือ่ การเรียน ระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์
3.5 การจดั ทำคู่มือและนำเสนอผลงาน

การจัดทำคมู่ ือรายงานผลการสร้าง เว็บไซตส์ ่ือการเรียน ระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์
โดยคณะผจู้ ัดทำได้ดำเนนิ งานตามรูปแบบที่กำหนด พรอ้ มนำเสนอผลงานแกค่ รูผสู้ อน โดยการ
สาธติ การทำงาน ของเว็บไซตส์ ื่อการเรยี นเร่อื งระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์

บทที่ 4
ผลการดำเนนิ งาน

4.1 ผลการดำเนนิ งาน
ผลการดำเนินงานโครงงานเว็บไซตส์ ื่อการเรยี น ระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ ปรากฏผล ดังนี้
4.1.1 ผลจากการออกแบบเว็บไซต์สื่อการเรียน ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ปรากฏผล ดังน้ี ได้

เว็บไซต์สื่อการเรียน ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เว็บไซต์สามารถทำงานและใช้งานได้อย่างถูกต้อง
คณะผู้จัดทำได้ออกแบบเว็บไซต์ให้เรียบง่าย ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน เพื่อสะดวกต่อการใช้งาน และยังได้จัดทำ
คมู่ อื การใช้งานเว็บไซตส์ ่ือการเรียน ระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ โดยทำเป็นรปู แบบของ QR Code

ด้านในของเว็บไซต์สื่อการเรียนเรื่องระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จะประกอบไปด้วย 3 ส่วน
ไดแ้ ก่

• หมายเลข 1: เว็บเพจ (Webpage, web page)
• หมายเลข 2: เว็บไซต์ (Website, Web site หรอื Site)
• หมายเลข 3: โฮมเพจ (Home page)

ภาพท่ี 4.1 ดา้ นในของเวบ็ ไซต์สอื่ การเรียน ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

31

4.2 ผลการวเิ คราะห์เกยี่ วกบั ผู้ใชง้ านเวบ็ ไซตส์ อื่ การเรยี น ระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์

4.2.1 ขอ้ มูลเกย่ี วกับสถานภาพท่ัวไปของผ้ตู อบแบบสอบถาม

ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู เกีย่ วกบั สถานภาพท่ัวไปของผ้ตู อบแบบสอบถามวเิ คราะหโ์ ดยหาคา่ รอ้ ยละ

ดังปรากฏในตารางที่ 4.2 และตารางท่ี 4.3

ตารางที่ 4.2 จำแนกตามเพศของผู้ตอบแบบสอบถาม

ขอ้ มูล จำนวนคน ร้อยละ

ชาย 7 7.00

หญิง 13 13.00

รวม 20 20

จากตารางที่ 4.2 พบวา่ ผู้ตอบแบบสอบถามแบง่ เปน็ เพศชาย จำนวน 7 คน คิดเปน็ ร้อยละ 7.00
และเพศหญงิ จำนวน 13 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 13.00

ตารางท่ี 4.3 สถานภาพของผ้ตู อบแบบสอบถาม

ข้อมูล จำนวนคน รอ้ ยละ
15.00
นกั เรยี น-นกั ศกึ ษา 15 00.00
4.00
อาจารย์ 0 1.00
20
บุคลากร 4

อน่ื ๆ 1

รวม 20

จากตารางที่ 4.3 พบวา่ ผ้ตู อบแบบสอบถามเปน็ นกั เรยี น นกั ศึกษา จำนวน 15 คน คดิ เป็นรอ้ ย
ละ 15.00 อาจารย์ จำนวน 0 คน คิดเป็นร้อยละ 00.00 บุคลากร จำนวน 4 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 4.00
อ่ืนๆ จำนวน 1 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 1.00

32

4.2.2 ระดบั ความพงึ พอใจของผู้ใชเ้ ว็บไซตส์ ่อื การเรียน ระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์

ตารางท่ี 4.4 ขอ้ มูลระดบั ความพึงพอใจของผตู้ อบแบบสอบถาม

ระดับความพงึ พอใจ

ที่ รายการ SD. ผลการ
วเิ คราะห์
x

1 รูปแบบในการนำเสนอขอ้ มูลภายในเว็บไซต์ 4.80 0.52 ดมี าก

2 ข้อมูลภายในเวบ็ ไซตม์ ีความนา่ เช่อื ถอื 4.85 0.37 ดมี าก

3 การจัดวางเน้อื หาในหนา้ เพจตา่ งๆแบง่ เป็นสดั ส่วนไดช้ ดั เจน 4.80 0.52 ดมี าก

4 มกี ารส่อื ขอ้ มลู ในรปู แบบตวั อักษร รปู ภาพ วิดโี อ 4.70 0.57 ดมี าก

5 ข้อมูลภายในเว็บไซต์สามารถสอ่ื ใหผ้ ู้ชมเขา้ ใจ และได้ความรู้ 4.80 0.41 ดมี าก

6 ความพึงพอใจต่อการสอบถามขอ้ มลู เพมิ่ เตมิ 4.75 0.44 ดมี าก

7 การเขา้ ถงึ เวบ็ ไซตไ์ ม่ยุง่ ยาก 4.60 0.94 ดมี าก

8 โดยภาพรวมท่านมคี วามพงึ พอใจดา้ นกระบวนการ / 4.80 0.47 ดมี าก
ขน้ั ตอนการนำเสนอ

รวม 38.10 4.19 ดี

หมายเหตุ
4.51 - 5.00 หมายความวา่ ความพงึ พอใจอยู่ในระดับดีมาก
3.51 - 4.50 หมายความว่า ความพงึ พอใจอยใู่ นระดับดี
2.51 - 3.50 หมายความวา่ ความพึงพอใจอยใู่ นระดบั ปานกลาง
1.51 - 2.50 หมายความวา่ ความพึงพอใจอยู่ในระดับน้อย
1.00 - 1.50 หมายความว่า ความพงึ พอใจอยู่ในระดบั น้อยทส่ี ดุ

จากตารางที่ 4.4 พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามมีความพึงพอใจในการทดลองใช้เว็บไซต์สื่อการเรียน
เรื่องระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ในภาพรวมอยู่ในระดับดี (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.19) โดยเรียงลำดับจาก
ค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย ได้แก่ ข้อมูลภายในเว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือ อยู่ในระดับดีมาก (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ
4.85) รูปแบบในการนำเสนอข้อมูลภายในเว็บไซต์ อยู่ในระดับดีมาก (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.80) การจัดวาง
เนื้อหาในหน้าเพจต่างๆแบ่งเป็นสัดส่วนได้ชัดเจน อยู่ในระดับดีมาก (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.80) โดยภาพรวม
ทา่ นมีความพึงพอใจดา้ นกระบวนการ/ขน้ั ตอนการนำเสนอ อยูใ่ นระดับดมี าก (ค่าเฉลีย่ เท่ากบั 4.80)

33

ข้อมูลภายในเว็บไซต์สามารถสื่อให้ผู้ชมเข้าใจ และได้ความรู้ อยู่ในระดับดีมาก (ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.80)
ความพึงพอใจต่อการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม อยู่ในระดับดีมาก (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.75) มีการสื่อข้อมูลใน
รูปแบบตัวอักษร รูปภาพ วิดีโอ อยู่ในระดับดีมาก (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.70) การเข้าถึงเว็บไซต์ไม่ยุ่งยาก
อยใู่ นระดบั ดมี าก (ค่าเฉล่ีย เท่ากับ 4.60)
สรุปข้อเสนอแนะเพมิ่ เตมิ ของผู้ตอบแบบสอบถาม

นำแบบสอบถามมาเรียงลำดับข้อความของผู้ตอบแบบสอบถาม มีนักเรียน นักศึกษา อาจารย์
และบคุ ลากรเสนอแนะเพม่ิ เตมิ ของแบบสอบถามจำนวนทั้งหมด 3 คน ใน 20 คน ดงั น้ี

- อยากให้เพิ่มวดิ ีโอ รูปภาพ ตวั หนังสอื ในการนำเสนอให้นา่ สนใจ
- เน้ือหาภายในเว็บไซตม์ เี ยอะเกนิ ไป
- ควรเพม่ิ QR Code ตามจุดต่างๆ เพ่ือให้ทุกคนเขา้ ถึงไดง้ า่ ย

บทที่ 5
สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ

สรปุ ผลการทดลองโครงการเว็บไซตส์ ื่อการเรยี น ระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ สามารถสรุป
อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะได้ ดังนี้

5.1 สรุป อภิปรายผล
5.2 ปญั หาและอุปสรรค
5.3 ขอ้ เสนอแนะ

5.1 สรุป อภปิ รายผล
ผลการสรา้ งเวบ็ ไซตส์ ่ือการเรียน ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยการนำความรู้ ทักษะที่ได้

จากประสบการณว์ ิชาชีพ ทำใหค้ ณะผู้จดั ทำสามารถบรู ณาการความรู้ ทักษะในรายวชิ าตา่ งๆ ทีไ่ ด้
ศกึ ษาในสาขาวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศเปน็ องคค์ วามร้ใู หม่ เพอ่ื นำมาสรา้ งสรรและพัฒนาเกดิ เป็น
เวบ็ ไซต์ มาประยกุ ตใ์ ชง้ านเพ่ือสร้างเว็บไซต์ สื่อการเรียนรู้ และแก้ไขปัญหาต่างๆระหวา่ งการสรา้ ง
เว็บไซต์ ซึ่งผลดำเนนิ การสรา้ งเวบ็ ไซตส์ อ่ื การเรยี น ระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ สามารถทำงานได้
ตามวัตถุประสงค์ท่ีกำหนดไว้ และสามารถนำไปใชง้ านไดจ้ ริง คณะผูจ้ ดั ทำได้ทำแบบประเมนิ การใช้
บรกิ ารเว็บไซตส์ ่ือการเรยี น ระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ พบว่าผ้ใู ชบ้ ริการมีความพงึ พอใจในระดับดี

5.2 ปัญหาและอุปสรรค
5.3.1 มขี อ้ จำกำจัดเร่ืองการเพ่มิ ข้อความ รปู ภาพและวิดโี อ ใส่ไดค้ ่อนข้างน้อย
5.3.2 ตอ้ งมีการชำระเงินในทุกๆเดอื น เพ่ือตอ่ อายุการใช้งานของเว็บไซต์
5.3.3 ฟังก์ชั่นในการใชง้ านค่อนข้างน้อย ถ้าหากต้องการใช้เพ่ิมเตมิ ตอ้ งชำระเงิน

5.3 ข้อเสนอแนะ
5.4.1 อยากให้เพิม่ วิดีโอ รปู ภาพ ตัวหนงั สือในการนำเสนอให้น่าสนใจ
5.4.2 เน้ือหาภายในเวบ็ ไซตม์ ีเยอะเกินไป
5.4.3 ควรเพ่ิม QR Codeตามจดุ ตา่ งๆ เพ่อื ให้ทกุ คนเข้าถงึ ได้

35

บรรณานกุ รม

วิทยาลยั ราชพฤกษ์ (2552). รายงานการวิจัย. สบื คน้ เม่ือ 20 มถิ นุ ายน 2565,
จาก http://www.rpu.ac.th/Library_web/doc/RC_RR/2552_ComBus_Siriporn-

Walainush.pdf
วทิ ยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พาณิชยการ (2562). เวบ็ ไซตส์ ่ือการเรียนการสอนวชิ าเครอื ข่าย

คอมพิวเตอร์. สืบค้นเมื่อ 15 สิงหาคม2561, จาก atc.ac.th/ATCWeb/FileATC/โครงงาน-
โครงการนกั ศึกษาป2ี 562/2.3โครงงานสาขาวชิ าคอมพวิ เตอร์ธรุ กจิ %20ปวช.3/6.เว็บไซตส์ ื่อการเรียน
การสอนวชิ าเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร.์ pdf
Win Shortcutbiz (2565). สอนวิธีใช้ Go Daddy. สบื คน้ เมื่อ 20 กรกฎาคม2565,

จาก https://www.youtube.com/watch?v=N5QS4V07SbQ

36

ภาคผนวก

ภาคผนวก ก
(คู่มือการใช้งาน)

คู่มือการใช้งานเว็บไซตส์ ื่อการเรียนระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์
1. วิธกี ารใชง้ าน

1.1 กดลิงค์ https://mytechnology.club/ หรือสแกน QR code เพื่อเข้าสู่หน้าเวบ็ ไซต์

1.2 เลอื กหวั ข้อตามที่ตนเองสนใจ

1.3 การทำแบบทดสอบหลังจากการเรียนรู้


Click to View FlipBook Version