ก คำนำ โครงการบ้านวิทยาศาสตร์น้อย เป็นโครงการที่ปลูกฝังให้เด็ก ๆ มีเจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ และเทคโนโลยีด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย ซึ่งกิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อให้เด็กระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ได้ทดลองหรือปฏิบัติด้วยตนเอง เพื่อฝึกทักษะการสังเกต การทำงานร่วมกัน ความกล้าคิดกล้าแสดงออก สร้างความสนุกสนาน ความเพลิดเพลิน ความสนใจ ใคร่รู้ และสร้างความกระตือรือร้นให้เด็ก และทำให้เด็ก รู้จักการ ตั้งคำถามและค้นหาคำตอบด้วยตนเอง เด็กได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน รู้จักการคิดหา เหตุผล เพื่อนำไปแก้ปัญหาหรือประสบการณ์ที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน ผ่านการทดลอง 8 กิจกรรม ดังต่อไปนี้ กิจกรรมไม่เห็นไม่ได้ยิน กิจกรรมลายนิ้วมือ กิจกรรมโครงกระดูก กิจกรรมการปรุงรส กิจกรรมการทดสอบ ความรู้สึก กิจกรรมความสูงของฉัน กิจกรรมมือยางและกิจกรรมการได้รับกลิ่น คณะครูผู้จัดทำกิจกรรมการทดลองวิทยาศาสตร์ จำนว น 8 กิจกรรม ของโครงการ บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทย ประจำปีการศึกษา 2565 ที่ได้จัดทำขึ้นนี้คงเป็นประโยชน์ต่อผู้ ที่ต้องการ ศึกษาเพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในระดับประถมศึกษาต่อไป ผู้จัดทำ นายภาณุวัฒน์ อ้นจันทร์ นางสาวอทิตยา ตันมา
ข สารบัญ หน้า คำนำ ก สารบัญ ข การทดลองวิทยาศาสตร์ จำนวน 8 กิจกรรม 1 กิจกรรมที่ 1 เรื่องไม่เห็นไม่ได้ยิน 1 กิจกรรมที่ 2 เรื่องลายนิ้วมือ 6 กิจกรรมที่ 3 เรื่องโครงกระดูก 11 กิจกรรมที่ 4 เรื่องการปรุงรส 14 กิจกรรมที่ 5 เรื่องการการทดสอบความรู้สึก 19 กิจกรรมที่ 6 เรื่องความสูงของฉัน 23 กิจกรรมที่ 7 เรื่องมือยาง 27 กิจกรรมที่ 8 เรื่องการได้รับกลิ่น 31
1 รายงานผลการจัดกิจกรรมการทดลอง ตามโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย กิจกรรมการทดลองที่ 1 เรื่อง ไม่เห็น ไม่ได้ยิน จุดประสงค์ของกิจกรรม 1. สังเกตและอธิบายความสำคัญของตาและหู 2. ออกแบบวิธีการสื่อสารเมื่อตาและหูไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ วัสดุอุปกรณ์ 1. ผ้าปิดตา 1 ผืน 2. ที่อุดหู 1 คู่ 3. หม้อหรือภาชนะสำหรับเล่นเกม ปิดตาตีหม้อ 1 ใบ 4. ไม้ตีหม้อ 1 อัน ขั้นตอนการจัดกิจกรรม 1. ครูชวนนักเรียนร่วมเล่นเกมปริศนาฮาเฮ โดยกำหนดกติกา ดังต่อไปดังนี้ - แต่ละกลุ่มเลือกผู้ใบ้ 1 คนให้ผู้ใบ้ยืนหันหน้าไปทางหน้าห้องเพื่อมองคำปริศนาที่ครูจะขึ้นบนหน้าจอ - คนที่เหลือในกลุ่มเป็นผู้ทาย ให้ยืนตรงข้ามกับผู้ใบ้โดยหันหลังให้หน้าจอ - ให้ผู้ใบ้ใบ้คำตามที่ขึ้นบนหน้าจอ โดยใช้วิธีการใดก็ได้ในการสื่อสารที่จะให้ผู้ทายทายคำปริศนานั้น ได้ถูกต้อง แต่ห้ามส่งเสียง เช่น การแสดงท่าทาง หรือการใช้ปากพูดโดยไม่ส่งเสียง - กลุ่มใดทายถูกเป็นกลุ่มแรกจะเป็นผู้ชนะ 2. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันออกแบบวิธีการสื่อสารในการเล่นเกม จากนั้นนำเสนอวิธีการ เล่นเกม 3. ครูขึ้นคำปริศนาบนหน้าจอ จากนั้นแต่ละกลุ่มร่วมเล่นเกมตามกติกาที่กำหนด 4. ครูให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายว่ามีวิธีใดบ้างที่ใช้ในการเล่นเกมได้ และวิธีใดเป็นวิธีที่ทำให้ทายคำ ปริศนาได้เร็วที่สุด 5. ครูให้นักเรียนร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยใช้คำถามดังนี้ - ในการเล่นเกมนี้ ผู้ใบ้ใช้วิธีการใดในการสื่อสาร - ผู้ทายใช้วิธีการใดเพื่อทายคำปริศนา - เกมที่ผู้เล่นมองไม่เห็นแต่ได้ยินเสียงมีเกมอะไรบ้าง และมีวิธีการเล่นอย่างไร รวบรวมความคิดและข้อสันนิษฐาน ทดสอบและปฏิบัติการสืบเสาะ สังเกตและบรรยาย บันทึกผล 6. ครูให้นักเรียนเล่นเกมปิดตาตีหม้อโดยกำหนดกติกา ดังนี้ - ให้แต่ละกลุ่มเลือกผู้ที่ถูกปิดตา 1 คน เพื่อเป็นคนดีหม้อ - นำหม้อไปวางให้ห่างจากผู้ตีหม้อ 3 เมตร โดยไม่บอกว่าวางที่ตำแหน่งใด - สมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มช่วยกันบอกทิศทาง โดยต้องบอกจนกว่าเพื่อนจะตีถูกหม้อ แต่ห้ามจับตัวเพื่อน
2 - กลุ่มใดตีหม้อได้ก่อนจะเป็นฝ่ายชนะ 7. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันออกแบบวิธีการสื่อสารระหว่างผู้บอกทิศทางกับผู้ดีหม้อที่ถูกปิดตา จากนั้นนำเสนอวิธีการสื่อสารในการเล่นเกม โดยครูช่วยบันทึกคำตอบของนักเรียน 8. นักเรียนรับอุปกรณ์และเล่นเกมตามวิธีการที่ออกแบบไว้ 9. ครูให้แต่ละกลุ่มอภิปรายและนำเสนอว่าใช้วิธีการใดในการสื่อสารที่ทำให้กลุ่มของตนเองตีหม้อได้ สำเร็จ 10. ครูชวนเล่นเกมปิดตาตีหม้ออีกครั้ง โดยกำหนดกติกาเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ผู้ถูกปิดตาจะต้องใส่ที่ อุด หูด้วยแต่ละกลุ่มร่วมกันออกแบบวิธีการสื่อสารระหว่างผู้บอกทิศทางกับผู้ตีหม้อที่ถูกปิดตาและอุด หูด้วย จากนั้นนำเสนอวิธีการสื่อสารในการเล่นเกมที่ออกแบบไว้โดยวิทยากรช่วยบันทึกคำตอบ ของนักเรียน 11. นักเรียนเล่นเกมตามวิธีการที่ออกแบบไว้ 12. ครูให้แต่ละกลุ่มอภิปรายและนำเสนอว่าได้ใช้วิธีการที่ได้ออกแบบไว้หรือไม่ ได้ผลเป็นอย่างไรหรือ ใช้วิธีการใดในการสื่อสารที่ทำให้กลุ่มของตนเองตีหม้อได้สำเร็จ และวิธีการใดเป็นวิธีที่ใช้สื่อสาร เพื่อให้ดีหม้อ ได้เร็วที่สุด อภิปรายผล 13.ครูชวนผู้เข้ารับการอบรมร่วมกันอภิปรายผลในประเด็นต่อไปนี้ - ในการเล่นเกมปิดตาตีหม้อ ผู้ตีหม้อที่มองไม่เห็นเพียงอย่างเดียวกับผู้ดีหม้อที่ทั้งมองไม่เห็นและ ไม่ได้ยินเสียงด้วย ผู้ใดเล่นเกมลำบากกว่ากัน ผู้ตีหม้อที่ทั้งมองไม่เห็นและไม่ได้ยินเสียงด้วย - อะไรเป็นอุปสรรคต่อการสื่อสาร คันหา หรือระบุทิศทางโของสิ่งของต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน - จากเกมที่ได้เล่น ตาและหูมีความสำคัญอย่างไร 14.ครูนำสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ในประเด็นต่อไปนี้ - ตาและหูมีความสำคัญ โดยตาใช้มองดูสิ่งต่าง ๆ และหูใช้ฟังเสียง - ถ้าตาและหูไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ จะส่งผลให้การทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ยาก หรือลำบากขึ้น ดังนั้นจึงต้องมีการใช้วิธีการอื่นในการสื่อสารแทนการพูดหรือการฟังเสียง ภาพวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำกิจกรรม
3 ภาพเด็กปฏิบัติกิจกรรม เกมปริศนาคำทาย
4 เกมปิดตาตีหม้อ นักเรียนอภิปรายผล สะท้อนความสำคัญของการใช้ประสาทสัมผัสในชีวิตประจำวัน ได้แก่ การมองเห็น การ ได้ยิน
5 ผลการจัดกิจกรรม - สะท้อนความสำคัญของการใช้ประสาทสัมผัสในชีวิตประจำวันได้แก่ การมองเห็น การได้ยินตาและหู มีความสำคัญ โดยตาใช้มองดูสิ่งต่าง ๆ และหูใช้ฟังเสียง - ถ้าตาและหูไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ จะส่งผลให้การทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันยาก หรือลำบากขึ้น ดังนั้นจึงต้องมีการใช้วิธีการอื่นในการสื่อสารแทนการพูดหรือการฟังเสียง - ได้การพัฒนาทักษะที่เกี่ยวของ • ทักษะทางสังคม - รับฟังบุคคลอื่นและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน - ช่วยเหลือและให้ความเคารพซึ่งกันและกัน • ทักษะกระบวนการ - การสังเกตและอธิบายความแตกต่างหน้าที่ของตาและหู • ทักษะสวนบุคคล - เข้าใจและยอมรับเอกลักษณ์ของร่างกายแต่ละบุคคล - วางแผนและดำเนินกิจกรรมด้วยตนเองอย่างอิสระ - เรียนรู้การทำงานให้สำเร็จด้วยความสามารถของตนเองโดยอาศัยความรู้ที่ได้มาจากการปฏิบัติ ด้วยตนเอง
6 กิจกรรมการทดลองที่ 2 เรื่อง ลายนิ้วมือ จุดประสงค์ของกิจกรรม 1. สังเกต บอกลักษณะของลายนิ้วมือ และเปรียบเทียบลายนิ้วมือของนิ้วต่าง ๆ ของตนเอง 2. สังเกต เปรียบเทียบ และระบุความแตกต่างของลายนิ้วมือของตนเองกับเพื่อน 3. อภิปรายและลงข้อสรุปเกี่ยวกับลายนิ้วมือของ แต่ละบุคคล วัสดุอุปกรณ์ 1. หมึก 1 ตลับ 2. แบบบันทึกกิจกรรม “บัตรประจำตัว” 1 แผ่น 3. กระดาษแผ่นเล็ก 1 แผ่น 4. ดินสอ 1 แท่ง 5. แว่นขยาย 3 อัน 6. ตะกร้าสำหรับใส่กระดาษ 1 ใบ 7. อุปกรณ์ทำความสะอาดหมึกบนนิ้วมือ ขั้นตอนการจัดกิจกรรม ตอนที่ 1 ลายนิ้วมือของฉัน ตั้งคำถามเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ 1. ครูนำเข้าสู่กิจกรรมโดยให้ นักเรียนเคลื่อนไหวร่างกายประกอบเสียงเพลงเมื่อเสียงเพลงหยุดให้ นักเรียนสังเกตและบอกลักษณะผิวหนังบนปลายนิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายของตนเอง 2. ครูให้นักเรียนร่วมกันตั้งคำถามหรือสิ่งที่อยากรู้เกี่ยวกับลายนิ้วมือและเสนอวิธีการหาคำตอบ รวบรวมความคิดและข้อสันนิษฐาน ทดสอบและปฏิบัติการสืบเสาะ สังเกตและบรรยาย บันทึกข้อมูล และ อภิปรายผล 3. ครูชวนนักเรียนหาคำตอบของคำถามที่ตั้งไว้ เช่น การทำ "บัตรประจำตัว" จากนั้นแนะนำและ สาธิตวิธีการทำดังนี้ 3.1 กดนิ้วมือ 1 นิ้ว ลงบนถาดหมึก โดยไม่ควรกดแรงจนเกินไปเพราะหมึกที่มีปริมาณมากไป อาจ ทำ ให้ลายพิมพ์ไม่ชัดเจน 3.2 พิมพ์ลายนิ้วมือโดยวางนิ้วบนกระดาษเพียงครั้งเดียว ไม่ขยับนิ้วมือไปมา และไม่ต้องออกแรง กด มากเกินไป 3.3 ทำซ้ำจนครบทุกนิ้ว จากนั้นทำความสะอาดนิ้วมือ บทบาทครู: ตรวจสบวิธีการหาคำตบของคำถามที่ตั้งไว้ แนะนำวิธีการพิมพ์ลายนิ้ว 4. นักเรียนแต่ละกลุ่มรับอุปกรณ์ และลงมือทำ "บัตรประจำตัว" ลงในแบบบันทึกกิจกรรม โดย เขียน ชื่อและพิมพ์ลายนิ้วมือทั้ง 10 นิ้วของตนเอง (ให้เวลาประมาณ 3 นาที) 5. ครูชวนนักเรียนสังเกตและบอกลักษณะของลายนิ้วมือของตนเอง โดยใช้คำถาม เช่น
7 - ลายนิ้วมือของตนเองมีลักษณะเป็นอย่างไร (ตอบตามที่สังเกตพบ เช่น มีเส้นนูน โค้งซ้อนกัน คล้าย ก้นหอย) - ลายนิ้วมือแต่ละนิ้วของตนเองเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร (ตอบตามที่สังเกตพบ เช่น ทั้งเหมือน และแตกต่างกัน โดยนิ้วชี้กับนิ้วก้อยมีลายเหมือนกันแต่จำนวนเส้นต่างกันหรือแตกต่าง กัน โดยแต่ละนิ้วมี ลายเส้นไม่เหมือนกัน) - หลักฐานที่รวบรวมได้จากกิจกรรมนี้คืออะไร (ภาพพิมพ์ลายนิ้วมือ) ตั้งคำถามเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ - หากอยากทราบว่า ลายนิ้วมือมีรูปแบบใดบ้าง จะหาคำตอบได้อย่างไร (เสนอวิธีการหาข้อมูล เช่น สังเกต สำรวจ สืบค้นข้อมูล) รวบรวมความคิดและข้อสันนิษฐาน ทดสอบและปฏิบัติการสืบเสาะ สังเกตและ บรรยาย บันทึกข้อมูล และอภิปรายผล 6. ครูแนะนำรูปแบบลายนิ้วมือ 3 ประเภทหลัก ให้ผู้เข้ารับการอบรมสังเกต วิเคราะห์ และบอก ความแตกต่างของรูปแบบลายนิ้วมือแต่ละประเภทหลัก ดังนี้ - ครูให้นักเรียนหาคำตอบว่า ลายนิ้วมือแต่ละนิ้วของตนเองมีรูปแบบใดบ้าง โดยทำตามขั้นตอน ดังนี้ 7.1 สังเกตภาพรูปแบบลายนิ้วมือ 7.2 เปรียบเทียบลายนิ้วมือของตนเองกับภาพที่สังเกต (ครูแนะนำว่าสามารถใช้เครื่องมือช่วยใน การ สังเกตได้ เช่น แว่นขยาย กล้องจากโทรศัพท์มือถือ) 7.3 ระบุรูปแบบลายนิ้วมือของตนเองลงในบัตรประจำตัว 8. ครูนำอภิปรายถึงรูปแบบลายนิ้วมือโดยใช้คำถาม เช่น - ลายนิ้วมือของตนเองมีรูปแบบใดบ้าง - ลายนิ้วมือของตนเองที่มีรูปแบบเหมือนกัน มีลายเส้นที่เหมือนกันหรือไม่ ทราบได้อย่างไร (ลายนิ้วมือที่รูปแบบเหมือนกัน มีลายเส้นไม่เหมือนกัน ทราบได้จากการสังเกตและเปรียบเทียบ จากลายนิ้วมือ ของตนเองที่มีรูปแบบเหมือนกัน) ตั้งคำถามเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ 9. ครูนำอภิปรายถึงรูปแบบลายนิ้วมือของแต่ละคนโดยใช้คำถาม เช่น - ลายนิ้วมือของแต่ละคนมีรูปแบบที่เหมือนกันหรือไม่ เพราะเหตุใด (ตอบตามที่คิด เช่น ไม่เหมือน เพราะลายนิ้วมือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคล) - เราสามารถหาคำตอบด้วยวิธีใดได้บ้าง (เสนอวิธีการหาข้อมูล เช่น สังเกตและเปรียบเทียบจาก บัตร ประจำตัวของตนเองกับเพื่อน) รวบรวมความคิดและข้อสันนิษฐาน ทดสอบและปฏิบัติการสืบเสาะ สังเกตและ บรรยาย บันทึกข้อมูลและอภิปรายผล 10. นักเรียนแต่ละกลุ่มสังเกตและเปรียบเทียบลายนิ้วมือบนบัตรประจำตัวของตนเองกับเพื่อนใน กลุ่ม จากนั้นครูใช้คำถาม เช่น - ลายนิ้วมือของตนเองและของเพื่อน มีอะไรที่เหมือนและต่างกันบ้าง (ตอบตามที่สังเกตพบ เช่น มี รูปแบบเหมือนกัน แต่มีลายเส้นที่แตกต่างกัน) ถ้าสังเกตอย่างละเอียด ลายนิ้วมือทั้ง 10 นิ้วของตนเองและของเพื่อน มีลักษณะเหมือนหรือ แตกต่างกัน
8 ตอนที่ 2 นักสืบลายนิ้วมือ ตั้งคำถามเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ 1. ครูกระตุ้นความสนใจและชวนนักเรียนเสนอวิธีหาคำตอบจากลายพิมพ์นิ้วมือปริศนาว่า "ถ้า ต้องการทราบว่าลายนิ้วมือปริศนานี้เป็นของใคร จะหาคำตอบได้อย่างไร" (ตอบตามที่คิด เช่น พิมพ์ลายนิ้วมือของแต่ละคนแล้วนำมาเปรียบเทียบกับลายพิมพ์นิ้วมือปริศนา) รวบรวม ความคิดและข้อสันนิษฐาน ทดสอบและปฏิบัติการสืบเสาะ สังเกตและบรรยายบันทึกข้อมูล และอภิปรายผล 2. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มพิมพ์ลายนิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายของตนเองบนกระดาษ 1 ครั้ง แล้วนำมา รวมกันเพื่อเตรียมสลับกับกลุ่มที่อยู่ข้างกัน 3. ครูแนะนำวิธีการเล่นเกม นักสืบลายนิ้วมือ ดังนี้ 3.1 สลับกระดาษพิมพ์ลายนิ้วมือพร้อมบัตรประจำตัวของกลุ่มตนเองกับกลุ่มที่อยู่ข้างกัน 3.2 ลงมือปฏิบัติภารกิจตามที่ได้วางแผนไว้ให้เร็วที่สุด (สามารถใช้เครื่องมือช่วยในการสังเกตได้ เช่น แว่นขยาย กล้องจากโทรศัพท์มือถือ) 3.3 ส่งสัญญาณมือปฏิบัติภารกิจสำเร็จ 4. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวางแผนเพื่อแบ่งบทบาทหน้าที่ในการทำภารกิจ ค้นหาเจ้าของ ลาย พิมพ์นิ้วมือบนกระดาษแต่ละใบให้เร็วที่สุด 5. นักเรียนแต่ละกลุ่มเล่นเกมนักสืบลายนิ้วมือ โดยปฏิบัติตามหน้าที่ที่ร่วมกันกำหนด 6. ครูนำนักเรียนอบรมอภิปรายโดยใช้คำถาม เช่น - ใช้วิธีใดในการค้นหาเจ้าของลายพิมพ์นิ้วมือ (สังเกตและเปรียบเทียบลายพิมพ์นิ้วมือบนกระดาษ กับ บัตรประจำตัว) - วิธีนั้นได้ผลหรือไม่ เพราะเหตุใด (ได้ผล เพราะลายนิ้วมือตรงกัน) 7. ครูนำอภิปรายผลและสรุปกิจกรรมลายนิ้วมือ โดยใช้คำถามดังนี้ - ลายนิ้วมือมีลักษณะอย่างไร (มีเส้นนูน ร่อง มีลายที่ละเอียดและชิดติดกัน) - ลายนิ้วมือมีรูปแบบใดบ้าง (ตอบตามผลการทำกิจกรรม เช่น รูปแบบมัดหวาย รูปแบบโค้ง รูปแบบ ก้นหอย) - ลายนิ้วมือของแต่ละคนเหมือนหรือแตกต่างกัน (แตกต่างกัน) 8. ครูให้ความรู้เพิ่มเติมว่า ลายนิ้วมือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคล ภาพวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำกิจกรรม
9 ภาพเด็กปฏิบัติกิจกรรม สำรวจลายนิ้วมือ ภาพเด็กนำเสนอผลงาน
10 ผลงานที่สำเร็จของเด็ก ผลการจัดกิจกรรม - สะทอนความสำคัญของการใชประโยชน์ลายนิ้วมือ - เรียนรู้รูปแบบและลักษณะเฉพาะของลายนิ้วมือ - ได้การพัฒนาทักษะที่เกี่ยวของ • ทักษะทางสังคม - รับฟังบุคคลอื่นและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันช่วยเหลือและให้ความเคารพซึ่งกันและกัน • ทักษะกระบวนการ - การสังเกตและอธิบายความแตกต่างของลายนิ้วมือ - การจำแนกประเภทรูปแบบของลายนิ้วมือ • ทักษะสวนบุคคล - เข้าใจและยอมรับเอกลักษณ์ของร่างกายแต่ละบุคคล - วางแผนและดำเนินกิจกรรมด้วยตนเองอย่างอิสระ - เรียนรู้การทำงานให้สำเร็จด้วยความสามารถของตนเองโดยอาศัยความรู้ที่ได้มาจากการปฏิบัติด้วย ตนเอง
11 กิจกรรมการทดลองที่ 3 เรื่อง โครงกระดูก จุดประสงค์ของกิจกรรม 1. สังเกต วัดความยาวและบอกรูปร่างของกระดูก แขนและมือของมนุษย์ 2. สร้างแบบจำลองแขนและมือ และบอกความแตกต่างของกระดูกแขนและมือจริงกับแบบจำลอง ที่สร้างขึ้น วัสดุอุปกรณ์ 1. สายวัด/ไม้บรรทัด 1 อัน 2. รูปภาพโครงกระดูกมนุษย์/กระดูกแขน 1 รูป 3. วัสดุเหลือใช้ เช่น ขวดพลาสติก ไม้ไอศกรีม กิ่งไม้ หลอดกาแฟ แกนทิชชู่กระดาษลัง เส้นเอ็น เชือกชนิดต่าง ๆ 1 ชุด 4. หมุดตาไก่และคีมบีบหมุดตาไก่ 1 ชุด ขั้นตอนการจัดกิจกรรม 1.สังเกตอุปกรณ์ 2. ออกแบบโครงกระดูกแขนและมือจำลอง และบันทึกลงในแบบบันทึกกิจกรรม 3. รับอุปกรณ์ตามที่ออกแบบ 4. สร้างแบบจำลองตามแบบร่างที่ได้ออกแบบไว้ 5. อภิปรายภายในกลุ่มเกี่ยวกับความเหมือนและความแตกต่างของแขนและมือจริงกับแบบจำลองที่สร้างขึ้น 6. แต่ละกลุ่มนำเสนอแบบจำลองที่สร้างขึ้น 7. อภิปรายและสรุปผล ภาพวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำกิจกรรม
12 ภาพเด็กปฏิบัติกิจกรรม ออกแบบร่างโครงกระดูกมือจำลอง ภาพเด็กนำเสนอผลงาน
13 ภาพผลงานที่สำเร็จของเด็ก ผลการจัดกิจกรรม - สะท้อนความสำคัญของกระดูกในสวนของแขนและมือมีลักษณะและหนาที่ที่เหมือนและแตกต่างกัน ทักษะที่เกี่ยวของ • ทักษะทางสังคม - รับฟังบุคคลอื่นและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน - ช่วยเหลือและให้ความเคารพซึ่งกันและกัน • ทักษะกระบวนการ - การสังเกตและอภิปรายความแตกต่างของกระดูกแขนและมือ จากแบบจำลองกับกระดูกแขนและ มือจริง - การทำกิจกรรมโดยใช้แบบจำลองและสร้างแบบจำลอง • ทักษะสวนบุคคล - วางแผนและดำเนินกิจกรรมด้วยตนเองอย่างอิสระ - เรียนรู้การทำงานให้สำเร็จด้วยความสามารถของตนเองโดยอาศัยความรู้ที่ได้มาจากการปฏิบัติ ด้วย ตนเอง
14 กิจกรรมการทดลองที่ 4 เรื่อง การปรุงรส จุดประสงค์ของกิจกรรม 1. สังเกต ทดลอง และอธิบายวิธีการแก้รสชาติ วัสดุอุปกรณ์ 1. เหยือก (ถ้วยตวง) จำนวน 1 ใบ 2. น้ำดื่ม 2 ขวด 3. แก้วน้ำขนาดเล็ก 5 ใบ 4. ช้อนโต๊ะ 1 ช้อน 5. ช้อนชา 1 ช้อน 6. เกลือ 1 ถุง ขั้นตอนการจัดกิจกรรม ตั้งคำถามเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ 1. ครูนำเข้าสู่กิจกรรมโดยนำอภิปรายเกี่ยวกับการทดลองของว่าน จากใบกิจกรรมการสืบเสาะ เกี่ยวกับ ร่างกาย เรื่อง การปรุงรส - น้ำซุปของว่านเค็มเกินไป ถ้านักเรียนเป็นว่านจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร (ตอบตามประสบการณ์ ของผู้นักเรียน เช่น เติมน้ำ เติมน้ำตาล เติมน้ำมะนาว) รวบรวมความคิดและข้อสันนิษฐาน 2. ครูกล่าวถึงการทดลองของว่าน เพื่อให้เห็นลำดับขั้นของการทดลอง ดังนี้ 2.1 ว่านเตรียมการทดลองโดยใช้น้ำเกลือแทนน้ำซุปที่มีรสเค็ม ซึ่งเตรียมได้โดยการตวงน้ำใส่ เหยือก 1 ลิตรแล้วเทเกลือ 1 ช้อนต๊ะลงไปในเหยือก คนให้เกลือละลายหมด จากนั้นนำน้ำเกลือเท ลงในแก้ว 3 ใบใน ปริมาณที่เท่ากัน ส่วนน้ำเกลือที่เหลือให้วางทิ้งไว้ในเหยือก 2.2 เมื่อว่านได้น้ำเกลือแล้ว ว่านทำการทดลองแก้ปัญหาตามวิธีที่ตนเองคิด นั่นคือ ว่านจะลองแก้ เค็ม ของน้ำเกลือด้วยการเติมน้ำตาลที่มีปริมาณแตกต่างกันลงในแก้วแต่ละใบ 3. ครูนำอภิปรายเกี่ยวกับการทดลองของว่าน ดังนี้ 3.1 ว่านทำการทดลองเพื่อตอบคำถามใด (ปริมาณน้ำตาลมีผลต่อรสชาติของน้ำเกลืออย่างไร) 3.2 ว่านมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร (เติมน้ำตาลลงในน้ำเกลือแต่ละแก้ว โดยให้มีปริมาณของน้ำตาลที่ แตกต่างกัน) 3.3 ถ้าทำการทดลองตามว่าน คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น (ตอบตามความคิดของตนเอง เช่น ถ้าใส่ น้ำตาล ในน้ำเกลือมากขึ้น จะทำให้น้ำเกลือมีรสชาติหวานเพิ่มมากขึ้น หรือถ้าใส่น้ำตาลในน้ำเกลือ จะทำให้น้ำเกลือ หวานขึ้น ดังนั้นน้ำเกลือที่ผสมน้ำตาลในปริมาณที่มากขึ้น จะทำให้น้ำเกลือ มี รสชาติหวานเพิ่มมากขึ้น)
15 4. ครูถามคำถามเพื่อให้ผู้นักเรียนอภิปรายร่วมกัน โดยใช้คำถามว่า "นักเรียนจะแก้ไขรสเค็มของ น้ำเกลือ ได้อย่างไร" จากนั้นครูให้นักเรียนสังเกตรายการวัสดุ อุปกรณ์ที่จะใช้ทำกิจกรรมโดยมีวัสดุอุปกรณ์ เพิ่มเติม คือ น้ำส้ม น้ำเปล่า นม น้ำส้มสายชู น้ำหวาน โดยนักเรียนสามารถเลือกใช้ทำการทดลอง ตามที่ ออกแบบไว้ได้ 5. ให้ตัวแทนกลุ่มมารับแบบบันทึกกิจกรรมการปรุงรส จากนั้นให้ผู้นักเรียนร่วมกันอภิปราย ระบุวิธีที่ ต้องการใช้แก้ปัญหาความเค็มของน้ำเกลือใบแบบบันทึก พร้อมทั้งออกแบบวิธีการทดลองและ วิธีการบันทึก ผลการทดลองของกลุ่มตนเอง 6. ครูสุ่มนำเสนอผลการออกแบบวิธีการบันทึกผล โดยประเด็นที่ใช้ในการออกแบบมีดังนี้ - วิธีการที่กลุ่มใช้ในการแก้ไขรสเค็มของน้ำเกลือ (ตอบตามที่ผู้เข้ารับการอบรมได้ออกแบบไว้ เช่น เติมน้ำตาลปริมาณที่แตกต่างกันลงในน้ำเกลือ) - ขั้นตอนการทดลองเป็นอย่างไร (ตอบตามที่ผู้เข้ารับการอบรมได้ออกแบบไว้ เช่น เตรียมน้ำซุปที่มี รสเค็มโดยผสมน้ำกับเกลือ จากนั้นแบ่งน้ำเกลือใส่แก้ว 3 ใบให้มีปริมาณเท่า ๆ กัน และใส่น้ำตาล 1 ช้อนชาลง ในแก้วใบที่ 1 น้ำตาล 2 ช้อนชาลงในแก้วใบที่ 2 และน้ำตาล 3 ช้อนชาลงในแก้วใบที่ 3 คนให้น้ำตาลละลาย หมด ชิมรส บันทึกผล) ทดสอบและปฏิบัติการสืบเสาะ สังเกตและบรรยาย บันทึกข้อมูล 7. ผู้นักเรียนรับอุปกรณ์เพื่อทำการทดลองและบันทึกผลการทดลองตามวิธีที่กลุ่มได้ออกแบบไว้ 8. ตัวแทนกลุ่มนำเสนอผลการทำการทดลอง อภิปรายผล 9. ครูนำสะท้อนคิด อภิปราย และสรุปกิจกรรมเกี่ยวกับการแก้ไข รสเค็มของน้ำซุปของว่าน โดยมี ประเด็นคำถามดังนี้ - ปัญหาของว่านคืออะไร (น้ำซุปมีรสชาติเค็มเกินไป) - ว่านแก้ปัญหาด้วยวิธีการใด (แก้ปัญหาด้วยการเติมน้ำตาลลงไป) - ว่านทำการทดลองเพื่อตอบคำถามใด (ปริมาณน้ำตาลมีผลต่อรสชาติของน้ำซุปอย่างไร) หมายเหตุ ในการทดลองของว่านใช้น้ำเกลือแทนน้ำซุปที่มีรสเค็ม - ผลการทดลองเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้คำตอบที่ในตอนต้นหรือไม่ อย่างไร (ตอบตามที่นักเรียน ได้ ตอบไว้ตอนต้น เช่น เป็นไปตามที่คาดการณ์ว่า ถ้าใส่น้ำตาลในน้ำเกลือมากขึ้น จะทำให้น้ำซุปมี รสชาติหวาน เพิ่มมากขึ้น): ตรวจสอบผลการทดลองกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ 10. ครูให้นักเรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันเกี่ยวกับการทำการทดลองของกลุ่มที่นำเสนอ ผลงาน ในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ - จากการทดลองสามารถใช้สิ่งอื่น แก้รสเค็มได้หรือไม่ อย่างไร (ขึ้นอยู่กับผลการทดลองของแต่ละกลุ่ม) - รู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่เลือกใช้นั้นสามารถแก้ไขรสชาติเค็มได้ (ชิมรสน้ำเกลือ) - ใช้ส่วนใดของร่างกายรับรสชาติ (ลิ้น) สะท้อนคิด 1. นักเรียนสะท้อนสิ่งที่ได้เรียนรู้จากกิจกรรม 2. ครูนำสะท้อนคิดและให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ในประเด็นดังนี้
16 1) วัตถุประสงค์ของกิจกรรม - สังเกต ทดลอง และอธิบายวิธีการแก้รสชาติ 2) แนวคิดที่ได้ - รสชาติของน้ำซุปสามารถแก้ไขได้ - การรับรู้ถึงรสชาติน้ำซุปได้เกิดจากเซลล์ประสาทสัมผัสบนลิ้นรับรสแล้วส่งผ่าน ข้อมูลไปยังสมอง เพื่อให้รู้สึกได้ถึงรสชาติต่าง ๆ เช่น รสเค็ม รสหวาน รสเปรี้ยว 3. การพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้อง ทักษะทางสังคม ㆍรับฟังบุคคลอื่นและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ㆍ ช่วยเหลือและให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ทักษะกระบวนการ ㆍ การทำความเข้าใจและตั้งสมมติฐานการทดลอง และส่งต่อไปยังสมมติฐาน การทดลองอื่น ๆ เพื่อ แก้ปัญหารสชาติเค็มเกินไป ㆍการทดลอง ㆍการบันทึกผลการทำกิจกรรม ㆍการสะท้อนความเข้าใจเกี่ยวกับการแก้ปัญหารสชาติที่เค็มเกินไปของน้ำซุป ทักษะส่วนบุคคล ㆍวางแผนและดำเนินงานอย่างเป็นอิสระ ㆍเรียนรู้การทำงานให้สำเร็จด้วยความสามารถของตนเองโดยอาศัยความรู้ที่ได้มาจากการปฏิบัติ ด้วยตนเอง ภาพวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำกิจกรรม
17 ภาพเด็กปฏิบัติกิจกรรม ภาพเด็กนำเสนอผลงาน
18 ภาพผลงานที่สำเร็จของเด็ก ผลการจัดกิจกรรม - สะท้อนให้เห็นว่ารสชาติของน้ำซุปสามารถแกไขได้ - การรับรูถึงรสชาติน้ำซุปได้เกิดจากเซลล์ประสาทสัมผัสบนลิ้นรับรสแลวสงผ่านขอมมูลไปยังสมอง เพื่อ ใหรูสึกได้ถึงรสชาติต่าง ๆ เชน รสเค็ม รสหวาน รสเปรี้ยว ทักษะที่เกี่ยวของ • ทักษะทางสังคม - รับฟังบุคคลอื่นและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน - ช่วยเหลือและให้ความเคารพซึ่งกันและกัน • ทักษะกระบวนการ - การทำความเข้าใจและตั้งสมมุติฐานการทดลองและส่งต่อไปยังสมมุติฐานการทดลองอื่น ๆ - พยากรณ์การได้รับกลิ่นของแต่ละคน - การบันทึกผลการทำกิจกรรม - การทดลอง - การสะท้อนความเข้าใจเกี่ยวกับการรับกลิ่นของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน • ทักษะสวนบุคคล - วางแผนและดำเนินกิจกรรมด้วยตนเองอย่างอิสระ - เรียนรู้การทำงานให้สำเร็จด้วยความสามารถของตนเองโดยอาศัยความรู้ที่ได้มาจากการปฏิบัติด้วย ตนเอง
19 กิจกรรมการทดลองที่ 5 เรื่อง การทดสอบความรูสึก จุดประสงค์ของกิจกรรม • สังเกตและเปรียบเทียบการรับความรู้สึกของผิวหนังบริเวณต่าง ๆ ที่ฝ่ามือและนิ้วมือ วัสดุอุปกรณ์ • ดินสอคนละ 1 แท่ง ขั้นตอนการจัดกิจกรรม 1. ครูให้เด็ก ๆ รับดินสอคนละ 1 แท่ง โดยให้เด็ก ๆ ใช้ดินสอจิ้มที่บริเวณฝ่ามือหรือนิ้วมือ สังเกต ความรู้สึก จากการถูกดินสอจิ้มและบอกว่ามีความรู้สึกอย่างไร 2. ให้เด็ก ๆ ใช้ดินสอ 2 แท่ง จิ้มลงบนแขนของเพื่อน โดยให้มีระยะห่างประมาณ 1 นิ้ว แล้วค่อย ๆ ขยับ ให้ใกล้กันทีละน้อย จนชิดกัน สังเกตความรู้สึก อภิปรายร่วมกัน จนได้ข้อสรุปว่า ถ้าปลายดินสอ 2 แท่ง อยู่ใกล้กันมาก ๆ จะทำให้เรารู้สึกว่ามีดินสอเพียง 1 แท่งจิ้มอยู่ 3. ครูกระตุ้นด้วยคำถามว่า แต่ละส่วนของร่างกายของเรา รับความรู้สึกได้เท่ากันหรือไม่ โดยหา คำตอบว่า บริเวณใดของมือของเราที่รับความรู้สึกได้ดีที่สุด 4. ให้เด็ก ๆ ทำการทดสอบบริเวณฝ่ามือ ในตำแหน่งต่าง ๆ (กลางฝ่ามือ นิ้วแต่ละนิ้ว) เพื่อหาว่า บริเวณใดที่ รับความรู้สึกได้ดีที่สุด ทำความเข้าใจถึงวิธีการต่าง ๆ ในการจิ้มดินสอ ดังนี้ - วิธีการที่ 1 ใช้ดินสอ 1 แท่ง - วิธีการที่ 2 ใช้ดินสอ 2 แท่ง ที่อยูชิดติดกัน - วิธีการที่ 3 ใช้ดินสอ 2 แท่ง ที่มีระยะหาง.......เซนติเมตร (กำหนดระยะห่างเอง) 5. คนที่ถูกจิ้มด้วยดินสอต้องหลับตา เพื่อสังเกตและบอกความรู้สึกที่ถูกดินสอจิ้มในแต่ละบริเวณบน ฝ่ามือ และนิ้วมือ และบอกความรู้สึกว่าถูกดินสอจิ้ม จำนวน 1 หรือ 2 แท่ง คนที่จิ้มดินสอจิ้มดินสอลงในบริเวณที่กำหนดของคนที่ถูกจิ้ม โดยใชวิธีการที่ 1 2 หรือ 3 แต่ไม่บอกว่า ใช้วิธีการใดในการจิ้มดินสอในแต่ละครั้ง 6. คนที่ถูกจิ้มด้วยดินสอบันทึกผลลงในแบบบันทึกกิจกรรม โดยเขียนจุดตามจำนวนดินสอที่ผู้ถูกจิ้ม ดินสอ บอกวาถูกจิ้มด้วยดินสอ 1 หรือ 2 แทง ในบริเวณตาง ๆ บนฝามือและนิ้วมือนำเสนอผลการทำกิจกรรม 7. อภิปรายร่วมกัน โดยที่บริเวณปลายนิ้วมือรับความรู้สึกได้ดีที่สุด
20 ภาพวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำกิจกรรม ภาพเด็กปฏิบัติกิจกรรม ทดสอบการรับรู้ความรู้สึก ใช้ดินสอ 1 แท่ง ใช้ดินสอ 2 แท่ง
21 ภาพเด็กนำเสนอผลงาน ภาพผลงานที่สำเร็จของเด็ก
22 ผลการจัดกิจกรรม - สะท้อนความสำคัญของการใชประสาทสัมผัสในชีวิตประจำวันได้แก่การสัมผัส - เปรียบเทียบความแตกต่างของการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของฝ่ามือและนิ้วมือ - ได้การพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้อง • ทักษะทางสังคม - รับฟังบุคคลอื่นและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน - ช่วยเหลือและให้ความเคารพซึ่งกันและกัน • ทักษะกระบวนการ - การสังเกตและอธิบายความแตกตางของการตอบสนองตอสิ่งเราของฝามือและนิ้วมือ • ทักษะสวนบุคคล - วางแผนและดำเนินกิจกรรมด้วยตนเองอยางอิสระ - เรียนรูการทำงานให้สำเร็จด้วยความสามารถของตนเอง โดยอาศัยความรู้ที่ได้มาจากการปฏิบัติด้วย ตนเอง
23 กิจกรรมการทดลองที่ 6 เรื่อง ความสูงของฉัน จุดประสงค์ของกิจกรรม - วัดและเปรียบเทียบความยาวของเท้ากับความสูงของร่างกายตนเองโดยใช้หน่วยวัดที่ไม่ใช่ หน่วย มาตรฐาน (เท้า) และหน่วยวัดมาตรฐาน วัสดุอุปกรณ์ ตอนที่ 1 กระดาษขนาดใหญ่ ดินสอ/สี/ปากกา กรรไกร กาว/เทปใส และแบบบันทึกกิจกรรม ตอนที่ 2 เครื่องมือในการวัด เช่น ไม้บรรทัด สายวัด ตลับเมตร และแบบบันทึกกิจกรรม ขั้นตอนการจัดกิจกรรม ตอนที่ 1 ความสูงของฉัน 1. จับคู่กับเพื่อน และร่วมกันอภิปรายว่าเห็นด้วยกับข้อความต่อไปนี้หรือไม่ อย่างไร “คนเรามักมี ความสูงประมาณ 7 เท่าของความยาวของเท้าตนเอง” 2. สังเกตความยาวของเท้าของตนเอง และคิดว่าต้องมีจำนวนเท้า (ตามความยาว) เท่าใดจึงจะ เท่ากับความสูงของตนเอง จากนั้นบันทึกข้อมูล “ชื่อ” และ “จำนวนเท้าตามความคิด” ในแบบ บันทึก กิจกรรม 3. สังเกตอุปกรณ์ที่จัดเตรียมไว้ ได้แก่ กระดาษขนาดใหญ่ ดินสอ/สี/ปากกา กรรไกร เทปใส จากนั้น ร่วมกันอภิปรายวิธีการและวางแผนการตรวจสอบจำนวนเท้าที่คิดไว้เมื่อเทียบกับความ สูงของตนเอง และแบ่ง หน้าที่สมาชิกในคู่ของตนเอง 4. ทำการตรวจสอบตามวิธีที่คิด และบันทึกผล “จำนวนเท้าที่นับได้” ในแบบบันทึกกิจกรรม 5. เปรียบเทียบข้อมูลของตนเองและเพื่อนในกลุ่ม โดยบันทึก “ชื่อ” และ “จำนวนเท้าที่นับได้เมื่อ เปรียบเทียบกับความสูงของร่างกาย” ลงในแบบบันทึกกิจกรรม 6. ร่วมกันอภิปรายผลจากการทำกิจกรรมเพื่อตอบคำถามว่า “คนเรามักมีความสูงประมาณ 7 เท่า ของความยาวของเท้าตนเองจริงหรือ” ตอนที่ 2 เท่ากันหรือไม่ (เวลา 5-8 นาที) 1. ร่วมกันอภิปรายว่า “คิดว่าส่วนใดของร่างกายของเราที่น่าจะมีความยาวเท่ากันบ้าง” 2. สังเกตเครื่องมือในการวัด เช่น ไม้บรรทัด สายวัด ตลับเมตร และวางแผนวิธีการหาคำตอบ 3. ดำเนินการรวบรวมข้อมูลตามวิธีการที่คิด หรือสำรวจและเปรียบเทียบความยาวของส่วนต่าง ๆ ของร่างกายของตนเอง โดยใช้เครื่องมือวัดเป็นเซนติเมตร และบันทึกผลลงในตาราง อภิปรายผลร่วมกันใน กลุ่มว่า “ส่วนใดของร่างกายที่มีความยาวเท่ากันบ้าง”
24 ภาพวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำกิจกรรม ภาพเด็กปฏิบัติกิจกรรม วาดรูปร่างเพื่อวัดความสูง
25 ตรวจสอบความสูงเทียบกับจำนวนเท้า ภาพเด็กนำเสนอผลงาน ภาพผลงานที่สำเร็จของเด็ก
26 ผลการจัดกิจกรรม - ได้สะท้อนคิดการตรวจสอบและกำหนดวิธีการวัดเพื่อบอกความยาวของ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย มนุษย์โดยใช้หน่วยวัดที่ไม่ใช่หน่วยมาตรฐานและหน่วยวัดที่เป็นหน่วยมาตรฐาน - ได้การพัฒนาทักษะที่เกี่ยวของ • ทักษะทางสังคม - รับฟังบุคคลอื่นและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน - ช่วยเหลือและให้ความเคารพซึ่งกันและกัน • ทักษะกระบวนการ - การบันทึกผลการทำกิจกรรม - การสังเกตและการอธิบายความแตกต่างของความสูงและความยาวของเท้า รวมถึงความยาวของ ส่วนของร่างกาย - การวัดและการใช้จำนวนโดยใช้หน่วยวัดที่ไม่ใช่หน่วยมาตรฐานและหน่วยวัดที่เป็นหน่วยมาตรฐาน • ทักษะสวนบุคคล - เข้าใจและยอมรับเอกลักษณ์ของร่างกาย - วางแผนและดำเนินกิจกรรมด้วยตนเองอย่างอิสระ - เรียนรู้การทำงานให้สำเร็จด้วยความสามารถของตนเอง โดยอาศัยความรู้ที่ได้มาจากการลงมือ ปฏิบัติด้วยตนเอง
27 กิจกรรมการทดลองที่ 7 เรื่อง มือยาง จุดประสงค์ของกิจกรรม 1. สังเกตและอธิบายหน้าที่ของกระดูกมือของมนุษย์ 2. สร้างแบบจำลองและเปรียบเทียบแบบจำลองมือกับมือจริง 3. สังเกตและอธิบายความสัมพันธ์ของลักษณะและหน้าที่ของกระดูกมือ วัสดุอุปกรณ์ 1. ถุงมือยางเบอร์ S หรือ M กลุ่มละ 1 คู่ 2. ทรายละเอียด 3. กิ่งไม้ ดินสอแท่ง หลอดกาแฟ 4. ยางรัดของ ขั้นตอนการจัดกิจกรรม 1. จับกลุ่ม กลุ่มละ 4-6 คน 2. ร่วมกันอภิปรายคำถาม “ถ้าอยากให้เพื่อนเข้าใจหน้าที่ของกระดูกมือ จะมีวิธีการสื่อสารอย่างไร” 3. แต่ละกลุ่มสังเกตวัสดุอุปกรณ์และช่วยกันคิดสร้างแบบจำลองมือที่มีกระดูกกับมือที่ไม่มีกระดูกจาก วัสดุอุปกรณ์ที่มี และร่วมกันอภิปรายคำถามดังต่อไปนี้ 3.1จะเลือกใช้วัสดุ/อุปกรณ์อะไรบ้าง เพราะเหตุใด 3.2จะมีวิธีการทดสอบความสามารถในการถือสิ่งของของมือจำลองที่สร้างขึ้นได้อย่างไร 4. ร่วมกันสร้างมือจำลองตามที่คิดไว้ (คำแนะนำเพิ่มเติม-ให้มือจำลองข้างหนึ่ง บรรจุทรายเพียงอย่าง เดียว ส่วนอีกข้างหนึ่งให้เลือกใช้อุปกรณ์ตามที่กลุ่มเลือกและบรรจุทราย และมัดปากถุงมือเพื่อ ไม่ให้ทรายหก) และวาดรูปลงในแบบบันทึก 5. ออกแบบการทดสอบความสามารถของมือจำลองทั้ง 2 แบบ เช่น ถือหรือยึดสิ่งของ หรือยกสิ่งของ และบันทึกผล 6. ศึกษาภาพกระดูกมือจากฟิล์มเอกซเรย์เพิ่มเติม และวาดรูปลักษณะของกระดูกมือลงบนมือจำลอง หรือตัดกระดาษมาติดบนมือจำลอง หรือตัดกระดาษเป็นรูปกระดูกมือ และติดลงบนถุงมือข้างใด ข้างหนึ่ง 7. สังเกตและร่วมกันอภิปรายว่าลักษณะมือของตนเองสัมพันธ์กับการหยิบจับสิ่งของอย่างไร 8. อภิปรายสิ่งที่ได้จากการทำกิจกรรม โดยใช้คำถามดังต่อไปนี้ 8.1 มือยางจำลองแต่ละข้างเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร 8.2 มือยางเหมือนหรือแตกต่างจากของจริงอย่างไร 8.3 กระดูกมือมีหน้าที่อะไร 8.4 ลักษณะของกระดูกมือสัมพันธ์กับหน้าที่อย่างไร
28 ภาพวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำกิจกรรม ภาพเด็กปฏิบัติกิจกรรม จำลองมือที่มีกระดูกกับมือที่ไม่มีกระดูก
29 - มือที่มีกระดูกจะช่วยให้หยิบจับและถือสิ่งของได้ ภาพเด็กนำเสนอผลงาน ภาพผลงานที่สำเร็จของเด็ก
30 ผลการจัดกิจกรรม - ได้สะท้อนคิดมือจำลองมีลักษณะบางประการที่เหมือนและแตกต่างจากมือจริง - มือที่มีกระดูกจะช่วยให้หยิบจับและถือสิ่งของได้ - ได้การพัฒนาทักษะที่เกี่ยวของ • ทักษะทางสังคม - รับฟังบุคคลอื่นและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน - ช่วยเหลือและให้ความเคารพซึ่งกันและกัน • ทักษะกระบวนการ - การสังเกตและอธิบายความแตกต่างของมือจำลอง - การทำกิจกรรมโดยใช้แบบจำลองและสร้างแบบจำลอง การสะท้อนความเข้าใจเกี่ยวกับกิจกรรม • ทักษะสวนบุคคล - วางแผนและดำเนินกิจกรรมด้วยตนเองอย่างอิสระ - เรียนรู้การทำงานให้สำเร็จด้วยความสามารถของตนเองโดยอาศัยความรู้ที่ได้มาจากการปฏิบัติด้วย ตนเอง
31 กิจกรรมการทดลองที่ 8 เรื่อง การได้รับกลิ่น จุดประสงค์ของกิจกรรม 1. สังเกต ทดลอง และอธิบายการใช้ประสาทสัมผัสในการดมกลิ่น 2. สังเกตและบอกแหล่งที่มาหรือต้นตอของกลิ่น วัสดุอุปกรณ์ 1. น้ำสะอาด (ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น) 1 ขวด 2. แก้วใส 6 ใบ 3. น้ำส้มสายชู 1 ขวด 4. หลอดหยด 1 อัน 5. ช้อนพลาสติก 6 คัน 6. กระดาษรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดใหญ่กว่าปากแก้ว 6 แผ่น 7. กระดาษ A4 2 แผ่น 8. ดินสอ 1 แท่ง ขั้นตอนการจัดกิจกรรม 1. แบ่งกลุ่มย่อยออกเป็นกลุ่มละ 4-5 คน 2. อ่านใบกิจกรรม การวิจัยเกี่ยวกับร่างกาย เรื่อง การได้รับกลิ่น เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยว ความสามารถในการดมกลิ่นและการเตรียมการทดลองการได้รับกลิ่น 3. แลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่า เราสามารถรับกลิ่นได้ดีเพียงใด 4. อ่านการทดลองเรื่องการได้รับกลิ่นตามใบกิจกรรม จากนั้นอภิปรายกับเพื่อนในกลุ่ม 5. ร่วมกันอภิปรายและออกแบบวิธีการทดลอง เพื่อตอบคำถามว่า แต่ละคนรับกลิ่นได้ดีเท่ากัน หรือไม่ โดยให้เลือกที่มาของกลิ่นที่กลุ่มต้องการทดลอง 6. ทดลองตามวิธีที่ได้ออกแบบไว้ บันทึกผล 7. ร่วมกันอภิปรายผลการทดลองและลงข้อสรุปว่า แต่ละคนมีความสามารถในการรับกลิ่นแตกต่างกัน หรือไม่ อย่างไร
32 ภาพวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำกิจกรรม ภาพเด็กปฏิบัติกิจกรรม ทดลองการรับกลิ่น
33 ภาพเด็กนำเสนอผลงาน ภาพผลงานที่สำเร็จของเด็ก
34 ผลการจัดกิจกรรม - ได้สะท้อนคิดการรับกลิ่นของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน เนื่องจากการรับสัมผัสที่แตกต่างกัน คน จะได้กลิ่นก็ต่อเมื่อกลิ่นนั้นมีระดับความรุนแรงในระดับหนึ่ง - ได้การพัฒนาทักษะที่เกี่ยวของ • ทักษะทางสังคม - รับฟังบุคคลอื่นและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน - ช่วยเหลือและให้ความเคารพซึ่งกันและกัน • ทักษะกระบวนการ - การทำความเข้าใจและตั้งสมมติฐานการทดลอง และส่งต่อไปยังสมมติฐานการทดลองอื่น ๆ - การบันทึกผลการทำกิจกรรม - การสะท้อนความเข้าใจเกี่ยวกับกิจกรรม • ทักษะสวนบุคคล - วางแผนและดำเนินกิจกรรมด้วยตนเองอย่างอิสระ - เรียนรู้การทำงานให้สำเร็จด้วยความสามารถของตนเองโดยอาศัยความรู้ที่ได้มาจากการปฏิบัติด้วย ตนเอง
35