The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุเมธาวี ขันทอง, 2022-06-16 03:18:05

แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาฟิสิกส์1 วล

1 (4)

แผนการจดั การเรียนรู้
รายวิชาฟิสิกส1์ ว30201

ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 4
ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565

นางสาวสเุ มธาวี ขันทอง
ตาแหนง่ ครู

โรงเรยี นหลม่ เกา่ พทิ ยาคม อาเภอหล่มเกา่ จงั เหวดั เพชรบูรณ์
สานักงานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษามธั ยมศกึ ษาเพชรบูรณ์



บทนำ

โรงเรียนหล่มเก่าพิทยาคม ได้รับคัดเลือกจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
ให้เป็น 1 ใน 500 โรงเรียนแรก ในโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากล(“World–Class Standard School )
เปิดสอนต้ังแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 โดยใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช
2551 และหลักสูตรโรงเรียนมาตรฐานสากล เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะสำคัญ คุณลักษณะอันพึง
ประสงค์ สามารถอ่าน เขียน คิด วิเคราะห์ และมีศักยภาพเป็นพลโลก ได้แก่ เป็นเลิศวิชาการ สื่อสารสอง
ภาษา ล้ำหนา้ ทางความคดิ คดิ งานอยา่ งสรา้ งสรรค์ และร่วมกนั รับผดิ ชอบตอ่ สังคมโลก

1. วิสัยทศั น์ (VISION)
โรงเรียนหลม่ เก่าพิทยาคม เป็นองค์กรคุณภาพตามมาตรฐานสากล บนพนื้ ฐานความเป็นไทย โดย

ชุมชน องค์กร และภาคเี ครือขา่ ยมีส่วนร่วม

VISION
Lomkaophitthayakhom school is a quality organization that upholds Thai values

while meeting international standards by building a strong network of community and
organizational partners.
展望

隆告中学致力于在保留泰国特色的同时以开放的胸怀积

极开展与社会各界的交流与合作,将学校打造成高质量的世界

级标准的一流学府。

2. พนั ธกิจ (MISSION)
1) จัดหลักสูตรและพฒั นากระบวนการจดั การเรียนการสอนให้ผู้เรยี นมีศกั ยภาพเปน็ พลโลก
2) สง่ เสริมกิจกรรมทป่ี ลูกฝงั ให้ผู้เรยี นมคี วามเปน็ ไทย มีคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ และค่านยิ ม

12 ประการ
3) ส่งเสรมิ สนบั สนุนพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เปน็ มอื อาชีพอย่างมคี ุณภาพ
4) จัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชวี ติ ท่เี ป็นมิตรกบั ส่ิงแวดล้อม ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ

พอเพียง
5) พัฒนาระบบบรหิ ารจัดการท่มี ีคณุ ภาพ ตามหลกั ธรรมาภบิ าลและมาตรฐานสากล
6) จัดแหลง่ เรยี นรูแ้ ละสาธารณูปโภคให้เพียงพอ พฒั นาส่ิงแวดลอ้ มให้สะอาด สวยงาม และ

ปลอดภยั
7) สนับสนนุ ให้ชุมชน องค์กร และภาคีเครือข่ายมสี ว่ นรว่ มในการจัดการศึกษา และพัฒนา

สถานศึกษา
3. เปา้ ประสงค์ (GOAL)

1) หลักสตู รและการจัดการเรียนการสอนมีคณุ ภาพสามารถยกระดับผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน



และได้มาตรฐานตามหลักสากล
2) ผเู้ รยี นมีความเปน็ ไทย มีคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ค่านิยม 12 ประการ และมีศักยภาพเป็น

พลโลก
3) ครูและบุคลากรทางการศกึ ษาได้รับการพัฒนาใหเ้ ป็นครูมอื อาชพี มีทักษะในการจัดการเรียนรู้

ที่หลากหลาย โดยยึดผูเ้ รียนเปน็ สำคญั เป็นผสู้ ร้างสรรคน์ วัตกรรม และมีทักษะในการใชเ้ ทคโนโลยีในการ
จัดการเรียนรู้

4) โรงเรียนจัดการศึกษาเพอื่ พฒั นาคณุ ภาพชีวติ ท่ีเป็นมิตรกับสงิ่ แวดล้อม ยึดหลักปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียง

5) ระบบการบริหารจัดการมีคุณภาพไดม้ าตรฐาน ตามหลักธรรมาภิบาลและมาตรฐานสากล
6) โรงเรยี นมีแหลง่ เรียนรู้และสาธารณูปโภคอยา่ งเพียงพอ มีสภาพแวดลอ้ มสะอาด สวยงามและ
ปลอดภยั
7) ชุมชน องค์กร และภาคีเครือข่ายมีสว่ นรว่ มในการจัดการศึกษา และพฒั นาสถานศึกษาอยา่ งมี
คุณภาพ

4. กลยุทธ์ (STRATEGY)
กลยุทธท์ ี่ 1 พัฒนาหลักสตู รและการเรยี นการสอน
กลยทุ ธท์ ่ี 2 พฒั นาคุณภาพผู้เรยี น
กลยุทธ์ท่ี 3 พฒั นาครูและบุคลากรทางการศึกษา
กลยุทธท์ ี่ 4 พฒั นาระบบบริหารจดั การ
กลยทุ ธ์ท่ี 5 พฒั นาแหลง่ เรยี นรู้และสภาพแวดลอ้ ม
กลยทุ ธ์ที่ 6 ส่งเสริมการมีส่วนรว่ มของชมุ ชน องคก์ ร และภาคเี ครือข่าย

5. อัตลกั ษณ์ (IDENTITY) : “มีวนิ ยั ใฝเ่ รยี นรู้ ค่คู ุณธรรม”

6. เอกลกั ษณ์ (UNIQUENESS) : “รกั ษ์ถิน่ ฐาน วิชาการดี กจิ กรรมเด่น เนน้ คุณธรรม”

7. วฒั นธรรมองคก์ ร/ค่านยิ มองค์กร (VALUES): “การทำงานเป็นระบบ เคารพน้องพ่ี มีธรรมาภิบาล”

8. รปู แบบการบรหิ ารงานของโรงเรยี นหลม่ เก่าพิทยาคม

รปู แบบการบรหิ ารงาน LKP-OK TEAM

1. L = Leadership มภี าวะผ้นู ำ

2. K = King น้อมนำการปฏบิ ตั ติ นตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง

3. P = Participation ส่งเสริมการมีส่วนรว่ ม

4. O = Organization เปน็ องค์กรทม่ี ีคณุ ภาพตามมาตรฐานสากล

5. K = Knowledge สร้างเสริมตอ่ ยอดองค์ความรู้



6. T = Technology กา้ วลำ้ สูเ่ ทคโนโลยี
7. E = Ethics มจี รยิ ธรรมดงี าม
8. A = Attitude เสรมิ สร้างทัศนคตเิ ชงิ บวก
9. M = Management บรหิ ารจัดการตามหลกั ธรรมมาภบิ าล

9. คุณลกั ษณะอันพึงประสงคข์ องผ้เู รยี น

ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พ.ศ.2551 และหลกั สตู รสถานศึกษา มีดังน้ี

1) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซ่ือสัตย์สจุ ริต 3) มีวินยั

4) ใฝเ่ รียนรู้ 5) อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งมน่ั ในการทำงาน

7) รกั ความเป็นไทย 8) มีจิตสาธารณะ

10. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ของผเู้ รยี น

ตามหลักสตู รโรงเรียนมาตรฐานสากล ผเู้ รียนมศี กั ยภาพเปน็ พลโลก (World Citizen) มีดังนี้

1) ใฝร่ ู้ใฝเ่ รียน 2) มีภูมริ ู้ 3) รู้จักใช้วิจารณญาณ

4) เปน็ นกั คิด 5) สามารถส่ือสารได้ 6) มีระเบียบวินัย

7) ใจกวา้ ง 8) รอบคอบ 9) กล้าตดั สนิ ใจ

10) ยตุ ิธรรม

11. สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รียน
มุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ มดี ังน้ี
1) ความสามารถในการสื่อสาร
2) ความสามารถในการคดิ
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา
4) ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

12. คณุ ภาพผูเ้ รยี นโรงเรียนมาตรฐานสากล
1. เปน็ เลศิ วชิ าการ
2. สื่อสารสองภาษา
3. ลำ้ หนา้ ทางความคิด
4. ผลติ งานอยา่ งสร้างสรรค์
5. ร่วมกันรับผดิ ชอบต่อสงั คมโลก

13. คา่ นิยมหลกั ของคนไทย 12 ประการ
1. มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์
2. ซื่อสตั ย์ เสียสละ อดทน มีอดุ มการณใ์ นสิ่งท่ีดงี ามเพื่อสว่ นรวม
3. กตญั ญูต่อพ่อแม่ ผูป้ กครอง ครูบาอาจารย์
4. ใฝห่ าความรู้ หมัน่ ศกึ ษาเล่าเรยี นทั้งทางตรงและทางอ้อม



5. รักษาวัฒนธรรมประเพณีไทยอนั งดงาม
6. มีศีลธรรม รกั ษาความสตั ย์ หวังดตี ่อผอู้ ่ืน เผือ่ แผ่และแบ่งปัน
7. เข้าใจเรียนรู้การเปน็ ประชาธิปไตย อนั มีพระมหากษตั ริยท์ รงเปน็ ประมขุ ท่ีถกู ต้อง
8. มรี ะเบียบวนิ ัย เคารพกฎหมาย ผู้นอ้ ยรจู้ ักการเคารพผู้ใหญ่
9. มีสติรตู้ ัว รคู้ ิด รู้ทำ รู้ปฏบิ ตั ิตามพระราชดำรสั ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั
10.รู้จกั ดำรงตนอยู่โดยใชห้ ลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งตามพระราชดำรสั ของพระบาทสมเด็จ
พระเจา้ อยู่หัวรัชกาลที่ 9
11. มคี วามเข้มแข็งทงั้ รา่ งกาย และจิตใจ ไมย่ อมแพ้ต่ออำนาจฝ่ายตำ่ หรือกิเลส มีความละอาย
เกรงกลัวตอ่ บาปตามหลกั ของศาสนา
12. คำนงึ ถงึ ผลประโยชน์ของสว่ นรวม และของชาตมิ ากกว่าผลประโยชนข์ องตนเอง

14. ทักษะของผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21
ทักษะทีจ่ ำเป็นในการเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ 21 ที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต คือ ทกั ษะ 3R8C
3R คอื ทกั ษะพืน้ ฐานท่จี ำเป็นตอ่ ผเู้ รียนทกุ คน มีดงั นี้
1. Reading คือ สามารถอ่านออก
2. (W)Riting คอื สามารถเขียนได้
3. (A)Rithemetics คือ สามารถคิดเลขเปน็
8C คือ ทักษะต่าง ๆ ทีจ่ ำเป็นเช่นกัน เปน็ ทกั ษะที่สามารถนำไปปรบั ใช้ในการเรียนรไู้ ด้ทุกวิชา

มดี ังน้ี
1. Critical Thinking and Problem Solving คือ ทกั ษะการคดิ วิเคราะห์ การคดิ อยา่ งมี

วิจารณญาณ และสามารถแก้ไขปัญหาได้
2. Creativity and Innovation คือ ทักษะการคิดอยา่ งสร้างสรรค์ และคดิ เชิงนวตั กรรม
3. Cross-cultural Understanding คือ ทกั ษะด้านความเขา้ ใจความต่างของวัฒนธรรม

ตา่ งกระบวนทัศน์
4. Collaboration, Teamwork and Leadership คอื ทักษะด้านความรว่ มมือ การทำงาน

เป็นทมี และภาวะผนู้ ำ
5. Communication, Information, and Media Literacy คอื ทกั ษะด้านการส่ือสาร

สารสนเทศ และรูเ้ ทา่ ทันสอ่ื
6. Computing and ICT Literacy คอื ทักษะดา้ นคอมพวิ เตอร์ และร้เู ทา่ ทนั เทคโนโลยี
7. Career and Learning Skills คอื ทกั ษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้
8. Compassion คือ มคี วามเมตตากรุณา มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม

สาระและมาตรฐานการเรยี นรรู้ ายวิชาพน้ื ฐาน
สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ

มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับ
สิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน
การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อ
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหา
สง่ิ แวดล้อม รวมทัง้ นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้าและออก
จากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์กัน
ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทำงานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้
ประโยชน์

มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมสาร
พนั ธกุ รรม การเปลยี่ นแปลงทางพันธุกรรมทม่ี ีผลต่อส่ิงมชี วี ติ ความหลากหลายทางชีวภาพและววิ ัฒนาการของ
สิง่ มชี ีวติ รวมท้ังนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพันธร์ ะหว่างสมบตั ิของสสาร

กับโครงสรา้ งและแรงยึดเหนี่ยวระหวา่ งอนุภาค หลกั และธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การ
เกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี

มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลักษณะการ
เคลื่อนทแี่ บบตา่ ง ๆ ของวตั ถุ รวมทงั้ นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

มาตรฐาน ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลงั งาน การเปลย่ี นแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้อง
กบั เสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
สาระที่ 3 วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ

มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกดิ และววิ ฒั นาการของเอกภพ กาแลก็ ซี
ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ ที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการประยุกต์ใช้
เทคโนโลยอี วกาศ

มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง
ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภมู ิอากาศโลก รวมทั้งผล
ต่อส่งิ มชี วี ติ และสงิ่ แวดล้อม
สาระท่ี 4 เทคโนโลยี

มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง
อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือ
พัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่าง
เหมาะสมโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบต่อชวี ิต สังคม และส่ิงแวดล้อม

มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวติ จรงิ อย่างเปน็ ขั้นตอน
และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทำงาน
และการแกป้ ัญหาไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ รเู้ ทา่ ทัน และมจี รยิ ธรรม
ทักษะและกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์

สาระเพม่ิ เติม
สาระชีววทิ ยา

1. เข้าใจธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต การศึกษาชีวิทยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์สาร ที่เป็นองค์ประกอบ
ของสิ่งมีชวี ิต ปฏิกิริยาเคมีในเซลลข์ องสิ่งมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์โครงสร้างและ หน้าที่ของเซลล์ การ
ลำเลยี งสารข้าและออกจากเซลล์ การแบ่งเซลล์ และการหายใจระดับเซลล์

2. เข้าใจการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การถ่ายทอดีนบนโครโมซม สมบัติ และหน้าที่ของสาร
พันธุกรรม การเกิดมิวเทชัน เทคโนโลยีทางดเี อ็นเอ หลักฐานข้อมูลและแนวคิด เกี่ยวกับวิวัฒนาการ
ของสงิ่ มชี วี ิต ภาวะสมดลุ ของฮารด์ ี-ไวนเ์ บิร์ก การเกิดสปชี ีสใ์ หมค่ วามหลากหลาย ทางชีวภาพกำเนิด
ของสิง่ มีชวี ิตความหลากหลายของสิ่งมชี วี ติ และอนุกรมวิธานรวมทัง้ น าความรู้ ไป ใช้ประโยชน์

3. เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำพืช การลำเลียง ของพืช การสังเคราะห์
ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนอง ของพืช รวมทั้งนำความรู้
ไปใช้ประโยชน์

4. เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์รวมทั้งการหายใจและการแลกเปล่ียนแก๊ส การลำเลียงสาร
และการหมุนเวียนเลือด ภูมิคุ้มกันของร่างกายการขับถ่ายการรับรู้และการตอบสนอง การเคลื่อนท่ี
การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับการักษาดุลยภาพ และพฤติกรรม ของสัตว์ รวมทั้งนำ
ความรไู้ ปใช้ประโยชน์

5. เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับระบบนิเวศ กระบวนการถ่ายทอดพลังงานและการหมุนเวียน สารในระบบ
นิเวศ ความหลากหลายของไบโอม การเปลี่ยนแปลงแทนที่ของสิ่งมีชีวิตในระบบิเวศ ประชากรและ
รูปแบบการเพิ่มของประชาก ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปัญหา และ ผลกระทบที่เกิดจาก
การใช้ประโยชน์ และแนวทางการแก้ไขปัญหา

สาระเคมี

1. เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมี และสมบัติของสาร
แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรีย์ และพอลิ เมอร์ รวมทั้งการนำ
ความร้ไู ปใช้ประโยชน์

2. เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมี ปริมาณสัมพันธ์ในปฏิกิริยาเคมี อัตราการเกิด ปฏิกิริยาเคมี
สมดลุ ในปฏิกริ ิยาเคมี สมบัตแิ ละปฏกิ ิรยิ าของกรด-เบส ปฏกิ ริ ิยารดี อกซ์และเซลลเ์ คมี ไฟฟ้า รวมท้ัง
การนำความรู้ไปใช้ประโยชน์

3. เข้าใจหลักการทำปฏิบัติการเคมี การวัดปริมาณสาร หน่วยวัดและการเปลี่ยนหน่วย การคำนวณ
ปรมิ าณของสาร ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย รวมทั้งการบูรณาการความรแู้ ละทักษะ ใน การอธิบาย
ปรากฏการณใ์ นชวี ิตประจำวนั และการแกป้ ญั หาทางเคมี

สาระฟสิ ิกส์

1. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลื่อนที่แนวตรง แรง และกฎการ
เคล่ือนทข่ี องนวิ ตนั กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทาน สมดุลกลของวัตถุ งานและกฎ การอนุรักษ์
พลังงานกล โมเมนตัมและกฎการอนุรักษ์โมเมนตัม การเคลื่อนที่แนวโค้ง รวมท้ังนำ ความรู้ไปใช้
ประโยชน์

2. เข้าใจการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกส์อย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและ การได้ย ปรากฏการณ์ท่ี
เกย่ี วข้องกบั เสยี ง แสงและการเหน็ ปรากฏการณท์ เี่ กีย่ วข้องกับแสง รวมทัง้ น ไปใชป้ ระโยชน์

3. เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า ความจุไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และกฎของ
โอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงานไฟฟ้าและก าลังไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทน เป็น
พลังงานไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่กระท ากับประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า การเหน่ีย
แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า และกฎของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลับ คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ และการสื่อสาร รวมทั้งนำ
ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

4. เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปลี่ยนอุณหภูมิและสถานะของสสาร สภาพ ยืดหยุ่นของ
วัสดุ และมอดุลัสของยัง ความดันในของไหล แรงพยุง และหลักของอาร์คิมีดีส ความตึงผิว และแรง
หนืดของของเหลว ของไหลอุดมคติ และสมการแบร์นูลลี กฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ ของแก๊สอุดม คติ
และพลังงานในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะ ของคลื่นและ
อนภุ าค กมั มนั ตภาพรงั สี แรงนวิ เคลียร์ ปฏกิ ริ ิยานิวเคลยี ร์ ฟสิ ิกส์พลังงานนวิ เคลยี ร์อนภุ าครวมท้ังนำ
ความรไู้ ปใช้ประโยชน์

สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
1. เข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก ธรณีพิบัติภัยและผลต่อสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม
การศกึ ษาลำดับช้ันหนิ ทรัพยากรธรณีแผนท่ีและการนำไปใช้ประโยชน์
2. เข้าใจสมดุลพลังงานของโลก การหมุนเวียนของอากาศบนโลก การหมุนเวียนของน้ำ ในมหาสมุทร
การเกดิ เมฆ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกและผลต่อส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม รวมท้ังการพยากรณ์
อากาศ
3. เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และ
ระบบสุริยะ ความสัมพันธ์ของดาราศาสตร์กบั มนุษยจ์ ากการศึกษาตำแหน่ง ดาวบนทรง กลมฟ้าและ
ปฏิสัมพันธภ์ ายในระบบสุรยิ ะ รวมทง้ั การประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ

คำอธิบายรายวิชาเพ่ิมเติม

วิชา ฟิสกิ ส์ 1 รหสั วชิ า ว 30201 จำนวน 1.5 หน่วยกติ เวลา 60 ชั่วโมง
ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4
กลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ศึกษาค้นคว้า ทดลอง คำนวณและอธิบายเกี่ยวกับการปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ปริมาณกายภาย
และหน่วยการทดลองในวิชาฟิสิกส์ ความไม่แน่นอนในการวัด เลขนัยสำคัญ การบันทึกผลการทดลอง การ
วิเคราะห์ผลการทดลอง การเคลื่อนที่แนวตรง ปริมาณต่างๆ ของการเคลื่อนที่ ตำแหน่ง การกระจัด การวัด
อัตราเร็วของการเคลื่อนที่แนวตรง ความเร่ง ความสัมพันธ์ระหว่างกราฟ ความเร็ว เวลากับระยะทาง สมการ
สำหรบั การคำนวณหาปริมาณต่างๆ ของการเคล่อื นที่แนวตรง การหาแรงลัพธข์ องแรง 2 แรงที่ทำมุมต่อกันกฎ
การเคลอ่ื นทขี่ องนิวตัน น้ำหนัก กฎความโน้มถว่ งสากล แรงเสยี ดทานระหว่างผิวสัมผสั ของวัตถุและสัมประสิทธิ์
ความเสยี ดทานระหวา่ งผิวสัมผสั ของวัตถุคหู่ นึ่งๆ

โดยการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสังเกต การสำรวจตรวจสอบ
การสืบค้นข้อมูล การทดลอง การอภิปราย การสร้างความคิดรวบยอด การฝึกปฏิบัติ การทำงานร่วมกันเป็นกล่มุ
การส่ือสารและตัง้ คำถาม

เพื่อให้รักการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เกิดความรู้ความเข้าใจ มีจิต
วิทยาศาสตร์ สามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ ตัดสินใจ มีทักษะในการดำรงชีวิตและนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไป
เปน็ เคร่อื งมอื ในการเรียนวชิ าอื่นๆ และนำไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั ไดอ้ ย่างถูกตอ้ งและเหมาะสม

ผลการเรยี นรู้
1. สบื คน้ และอธิบายการคน้ หาความรู้ทางฟิสิกส์ ประวตั ิความเปน็ มา รวมทง้ั พฒั นาการของหลักการ

และแนวคิดทางฟสิ ิกส์ท่มี ผี ลต่อการแสวงหาความรใู้ หม่และการพัฒนาเทคโนโลยี
2. วดั และรายงานผลการวัดปรมิ าณทางฟสิ กิ สไ์ ด้ถูกตอ้ งเหมาะสม โดยนำความคลาดเคลื่อนในการวัด

มาพจิ ารณาในการนำเสนอ รวมทัง้ แสดงผลการทดลองในรูปของกราฟ วิเคราะห์และแปลความหมายจาก
กราฟเส้นตรง

3. ทดลองและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่ง การกระจัด ความเร็วและความเร่งของการเคลื่อนท่ี
ของวัตถุในแนวตรงที่มีความเร่งคงตัวจากกราฟและสมการ รวมทั้งทดลองหาค่าความเร่งโน้มของโลกและคำนวณ
ปริมาณต่างๆ ที่เก่ียวข้อง

4. ทดลองและอธิบายการหาแรงลัพธ์ของแรงสองแรงที่ทำมุมต่อกัน
5. เขียนภาพของแรงที่กระทำต่อวัตถุอิสระ ทดลองและอธิบายกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันและการใช้กฎ
การเคลื่อนที่ของนิวตันกับสภาพการเคลื่อนที่ของวตั ถุ รวมท้ังคำนวณปริมาณต่างๆ ท่เี กีย่ วข้อง
6. อธิบายกฎความโน้มถ่วงสากลและผลของสนามโน้มถ่วงที่ทำให้วัตถุมีน้ำหนัก รวมทั้งคำนวณปริมาณ
ต่างๆ ทีเ่ กีย่ วขอ้ ง
7. วิเคราะห์ อธิบาย และคำนวณแรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุคู่หนึ่งๆ ในกรณีที่วัตถุหยุดน่ิง
และวัตถุเคลื่อนที่ รวมทั้งทดลองหาสัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุคู่หนึ่งๆ และนำ
ความรูเ้ รอ่ื งแรงเสยี ดทานไปใช้ในชวี ิตประจำวนั
รวมทั้งหมด 7 ผลการเรยี นรู้

โครงสรา้ งรายวชิ าฟิสิกส์ 1

หน่วยท่ี ชือ่ หน่วย สาระ/ สาระสำคัญ/แนวคดิ เวลา คะแนน

ผลการเรยี นรู้

1 ธรรมชาตแิ ละ สาระฟสิ ิกส์ท่ี 1 ฟสิ ิกสเ์ ปน็ วิทยาสตร์แขนงหน่ึงท่ี 9 10
ศกึ ษาเกย่ี วกบั สสาร พลังงาน อนั ตร
การพัฒนา ผลการเรยี นรทู้ ่ี 1 กิริยาระหว่างสสารกบั พลังงานและ
แรงพ้นื ฐานในธรรมชาติ การค้นควา้
ทางฟสิ ิกส์ และ 2 หาความรทู้ างฟิสกิ ส์ได้มาจากการ
สงั เกต การทดลองและเก็บรวบรวม
ขอ้ มลู มาวเิ คราะห์หรือจากการสรา้ ง
แบบจำลองทางความคดิ เพอ่ื สรุปเปน็
ทฤษฎี หลักการหรือกฎ ความรู้
เหลา่ นสี้ ามารถนำไปใช้อธบิ าย
ปรากฏการณ์ธรรมชาติ หรือทำนาย
สง่ิ ทอี่ าจจะเกดิ ข้ึนในอนาคต ความรู้
ทางฟสิ ิกสส์ ่วนหนง่ึ ได้จากการทดลอง
ซึง่ เก่ยี วข้องกับกระบวนการวัด
ปรมิ าณทางฟิสิกสซ์ ่ึงประกอบดว้ ย
ตวั เลขและหน่วยวัด ปริมาณทาง
ฟสิ กิ ส์สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมอื
ตา่ งๆ โดยตรงหรอื ทางอ้อมหนว่ ยทใี่ ช้
ในการวัดปรมิ าณทางวทิ ยาศาสตร์คอื
ระบบหน่วยระหวา่ งชาติ เรียกยอ่ ๆ
ว่า ระบบเอสไอ ในการวัดปริมาณ
ต่างๆ จะมีความคลาดเคลือ่ นเสมอ
ข้ึนอย่กู ับเครื่องมือ วิธีการวดั และ
ประสบการณ์ของผูว้ ดั ซึง่ ค่าความ
คลาดเคลื่อนสามารถแสดงใน การ
รายงานผลทั้งในรูปแบบตัวเลขและ
กราฟ

2 การเคลอื่ นท่ี สาระฟิสิกส์ที่ 1 ปริมาณทีเ่ ก่ยี วกับการเคล่อื นที่ ได้แก่ 23 20
แนวตรง ผลการเรยี นรูท้ ี่ 3 ตำแหนง่ การกระจดั ความเรว็ และ
ความเรง่ โดยความเร็วและความเร่งมี
ทัง้ คา่ เฉล่ียและคา่ ขณะหนึง่ ซึ่งคดิ ใน
ชว่ งเวลาสัน้ ๆ สำหรับปรมิ าณตา่ งๆ ที่
เก่ยี วข้องกบั การเคลอ่ื นที่แนวตรง

หน่วยท่ี ชอื่ หน่วย สาระ/ สาระสำคัญ/แนวคดิ เวลา คะแนน

3 แรงและ ผลการเรียนรู้
กฎการ
เคล่ือนที่ ด้วยความเรง่ คงตวั มีความสมั พันธ์

ตามสมการ

= +

∆ = ( +2 )
1
∆ = + 2 2

2 = 2 + 2 ∆

การอธบิ ายการเคลื่อนทีข่ องวัตถุ

สามารถเขยี นอยู่ในรูปกราฟตำแหน่ง

กับเวลา กราฟความเรว็ กบั เวลาหรือ

กราฟความเรง่ กบั เวลา ความชันของ

เส้นกราฟ ตำแหน่งกบั เวลาเป็น

ความเร็ว ความชนั ของเสน้ กราฟ

ความเร็วกบั เวลาเปน็ ความเร่งและ

พื้นทใี่ ตเ้ สน้ กราฟความเรว็ กบั เวลา

เป็นการกระจัด ในกรณีทผ่ี ู้สงั เกตมี

ความเรว็ ความเร็วของวตั ถทุ ่ีสังเกต

ไดเ้ ปน็ ความเร็วทเี่ ทียบกบั ผู้สังเกต

การตกแบบเสรเี ป็นตวั อย่างหน่ึงของ

การเคลอื่ นทใี่ นหนึ่งมติ ทิ ี่มีความเรง่

เทา่ กบั ความเร่งโนม้ ถ่วงของโลก

สาระฟสิ ิกสท์ ี่ 1 ผล สมบตั ขิ องวตั ถทุ ีต่ ้านการเปล่ียน 26 20

การเรียนรู้ที่ 4 , 5 สภาพการเคล่ือนที่ เรยี กว่า ความ

, 6 และ 7 เฉ่อื ย มวลเป็นปรมิ าณท่ีบอกใหท้ ราบ

วา่ วตั ถใุ ดมีความเฉ่อื ยมาก หรือนอ้ ย

แรงเป็นปรมิ าณเวกเตอรจ์ ึงมีทง้ั ขนาด

และทศิ ทาง กรณที ีม่ ีแรงหลายๆ แรง

กระทำตอ่ วัตถสุ ามารถหาแรงลพั ธ์ท่ี

กระทำต่อวตั ถุโดยใชว้ ธิ เี ขียนเวกเตอร์

ของแรงแบบหางต่อหัว วธิ ีสร้างรูป

สเ่ี หลย่ี มดา้ นขนานของแรงและวธิ ี

คำนวณกรณีท่ีไม่มีแรงภายนอกมา

กระทำ วัตถจุ ะไมเ่ ปลย่ี นสภาพการ

เคลอื่ นทีซ่ ่ึงเป็นไปตามกฎการ

เคล่อื นที่ขอ้ ทหี่ นึ่งของนิวตนั กรณีทม่ี ี

หนว่ ยท่ี ชื่อหน่วย สาระ/ สาระสำคัญ/แนวคิด เวลา คะแนน
ผลการเรยี นรู้

แรงภายนอกมากระทาโดยแรงลัพธท์ ่ี

กระทำตอ่ วัตถุไมเ่ ปน็ ศูนย์ วัตถจุ ะมี

ความเร่ง โดยความเรง่ มีทิศทาง

เดยี วกบั แรงลัพธ์ ความสัมพนั ธ์

ระหว่างแรงลพั ธ์ มวลและความเรง่

เขยี นแทนได้ด้วยสมการ

∑ =1 ⃑ = m⃑a⃑
ตามกฎการเคลอ่ื นทข่ี ้อท่ีสองของนวิ

ตนั เมอื่ วัตถสุ องก้อนออกแรงกระทำ

ต่อกนั แรงระหว่างวตั ถทุ ั้งสองจะมี

ขนาดเท่ากัน แตม่ ีทิศทางตรงข้าม

และกระทำต่อวตั ถุคนละก้อน

เรียกว่า แรงคกู่ ิรยิ า-ปฏิกิริยา ซึง่

เป็นไปตามกฎการเคล่ือนที่ข้อที่สาม

ของนวิ ตัน และเกิดข้นึ ได้ทั้งกรณีท่ี

วตั ถทุ ้ังสองสมั ผัสกันหรือไมส่ ัมผสั กนั

ก็ได้ แรงดึงดูดระหวา่ งมวลเปน็ แรงที่

มวลสองกอ้ นดงึ ดูดซ่ึงกนั และกนั ด้วย

แรงขนาดเท่ากนั แตท่ ิศทาง ตรงข้าม

และเป็นไปตามกฎ ความโน้ม

ถ่วงสากล เขียนแทน ไดด้ ้วย

สมการ = 1 2
2
แรงท่ีเกดิ ขนึ้ ทผี่ วิ สัมผสั ระหว่างวตั ถุ

สองก้อนในทิศทางตรงขา้ มกับทิศ

ทางการเคลื่อนทีห่ รือแนวโนม้ ท่จี ะ

เคลือ่ นที่ของวตั ถุ เรยี กว่า แรงเสียด

ทาน แรงเสยี ดทานระหวา่ งผวิ สมั ผัสคู่

หนึ่งๆ ข้นึ กับสมั ประสทิ ธ์คิ วามเสยี ด

ทานและแรงปฏิกริ ิยาตั้งฉากระหว่าง

ผิวสัมผสั คูน่ น้ั ๆ ขณะออกแรง

พยายามแตว่ ตั ถยุ ังคงอยนู่ ิง่ แรงเสยี ด

ทานมขี นาดเทา่ กบั แรงพยายามท่ี

กระทำต่อวตั ถนุ ้นั และแรงเสียดทาน

มคี า่ มากท่ีสดุ เมื่อวัตถเุ รม่ิ เคลื่อนที่

เรียกแรงเสยี ดทานน้วี า่ แรงเสียดทาน

หนว่ ยท่ี ชื่อหน่วย สาระ/ สาระสำคญั /แนวคดิ เวลา คะแนน

ผลการเรียนรู้

สถติ แรงเสยี ดทานที่กระทำต่อวัตถุ

ขณะกำลงั เคลื่อนที่ เรียกว่า แรงเสียด

ทานจลน์ โดยแรงเสียดทานที่เกิด

ระหวา่ งผวิ สมั ผัสของวัตถุคู่หนึ่งๆ

คำนวณไดจ้ ากสมการ = N
และ = N ซง่ึ การเพม่ิ หรือ
ลดแรงเสียดทานมีผลต่อการเคล่อื นท่ี

ของวตั ถุ ซึ่งสามารถนำไปใชใ้ น

ชีวติ ประจำวัน

รวมระหว่างภาค 58 70

ปลายภาค 2 30

รวม 60 100

รหัสวิชา ว30201 รายวชิ า ฟสิ ิกส์ 1 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 1
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 1ธรรมชาตฟิ ิสกิ ส์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 เร่ือง ธรรมชาตขิ องฟสิ ิกส์
ผู้สอน นางสาวสเุ มธาวี ขนั ทอง เวลาเรียน 3 ชว่ั โมง

มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชว้ี ดั /ผลการเรยี นรู้

สาระฟิสิกส์ : 1. เขา้ ใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลอื่ นทีแ่ นวตรง แรงและกฎการ
เคล่อื นที่ของนิวตนั กฎความโน้มถว่ งสากล แรงเสียดทานสมดุลกลของวัตถุ งานและกฎการอนุรักษ์พลังงานกล
โมเมนตัมและกฎการอนุรักษ์โมเมนตัม การเคลอื่ นทีแ่ นวโค้ง รวมทงั้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์

ผลการเรยี นรู้

สืบค้นและอธิบายการค้นหาความรู้ทางฟิสิกส์ ประวัติความเป็นมา รวมท้ังพัฒนาการของหลักการ
และแนวคิดทางฟิสิกส์ท่ีมีผลการแสวงหาความรู้ใหม่และการพัฒนาเทคโนโลยี

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
ดา้ นความรู้ (K)
- นักเรยี นสามารถอธิบายและยกตัวอย่างความรทู้ างฟิสิกส์ที่มีผลตอ่ การแสวงหาความรใู้ หม่
ทางวทิ ยาศาสตร์และพฒั นาเทคโนโลยี
ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P)
- นักเรยี นสามารถสบื คน้ ความร้ทู างฟิสกิ ส์ ประวัติความเป็นมา รวมทั้งพฒั นาการของ
หลักการและแนวคิดทางฟิสิกส์ทมี่ ีผลการแสวงหาความรู้ใหม่และการพัฒนาเทคโนโลยี
ด้านคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
- นกั เรียนมีนักเรียนมคี วามสนใจใฝ่เรยี นรู้ตอ่ การเรียน

สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด

ฟิสิกส์เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับสสาร พลังงาน อันตรกิริยาระหว่างสสารกับ
พลังงาน และแรงพื้นฐานในธรรมชาติ การค้นคว้าหาความรู้ทางฟิสิกส์ได้มาจากการสังเกต การทดลอง และ
เก็บรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์ หรือจากการสร้างแบบจำลองทางความคิด เพื่อสรุปเป็นทฤษฎี หลักการหรือ
กฎ ความรู้เหล่านี้สามารถนำไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติหรือทำนายสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของหลักการและแนวคิดทางฟิสิกส์เป็นพื้นฐานในการแสวงหาความรู้ใหม่
เพิ่มเติม รวมถึงการพัฒนาและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็มีส่วนในการค้นหาความรู้ใหม่ทางวิทยาศาสตร์
ด้วย

สาระการเรียนรู้

การค้นหาความรู้ทางฟิสิกส์ ประวัติความเป็นมา รวมท้ังพัฒนาการของหลักการและแนวคิดทาง
ฟิสิกส์ท่ีมีผลการแสวงหาความรู้ใหม่และการพัฒนาเทคโนโลยี โดยความรทู้ างฟิสิกส์มาอธบิ ายสิ่งตา่ งๆ
รอบตัว

สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน

( ✓ ) ความสามารถในการสื่อสาร ( ✓ ) ความสามารถในการคิด ( ) ความสามารถในการแกป้ ัญหา

( ) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ( ) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์

( ) รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ( ✓ ) ซ่ือสตั ยส์ ุจรติ ( ) มีวนิ ยั ( ✓ ) ใฝ่เรยี นรู้

( ) อยอู่ ย่างพอเพียง ( ✓ ) ม่งุ มน่ั ในการทำงาน ( ) รกั ความเป็นไทย ( ✓ ) มีจติ สาธารณะ

คณุ ลกั ษณะของผู้เรียนตามหลกั สูตรมาตรฐานสากล

( ✓ ) เป็นเลศิ วชิ าการ ( ) สื่อสารสองภาษา ( ✓ ) ลำ้ หนา้ ทางความคิด

( ✓ ) ผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ ( ) ร่วมกันรบั ผดิ ชอบต่อสงั คมโลก

ชนิ้ งาน/ภาระงาน

1. คำถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 1.1

2. ใบงานที่ 1.1 เรือ่ ง ธรรมชาตขิ องฟิสิกส์

3. กิจกรรมกลอ่ งปริศนา (Mysterious boxes)

กิจกรรมการเรียนรู้

ขน้ั ท่ี 1 ขน้ั สรา้ งความสนใจ
1. ครูนำเข้าสู่บทที่ 1 โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง ธรรมชาติและพัฒนาการทาง

ฟิสิกส์
2. ครูชี้แจงนักเรียนว่า ในบทที่ 1 นี้ นักเรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่ศึกษา

ค้นคว้าเพ่อื อธิบายปรากฏการณใ์ นธรรมชาติ ซง่ึ คอื วชิ าฟิสิกส์ โดยจะศกึ ษาเกีย่ วกับ ธรรมชาติทางฟิสิกส์ การ
วัดและรายงานผลการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ และการทดลองทางฟิสิกส์ จากนั้นครูชี้แจงหัวข้อที่นักเรียนจะได้
เรียนรู้ในบทที่ 1 และคำถามสำคัญที่นกั เรยี นจะตอ้ งตอบไดห้ ลังจากเรียนรู้บทที่ 1 ตามรายละเอียดในหนังสือ
เรียน

3. ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ของหัวข้อ 1.1 จากนั้น ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยการให้นักเรียน
อภิปรายเก่ียวกบั ที่มาของความรู้ทางวิทยาศาสตรต์ ั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบัน โดยอาจให้นักเรยี นอภิปรายร่วมกนั
ในประเด็นตอ่ ไปนี้

- ความรู้ ทฤษฎี หลกั การ หรือกฎทางวทิ ยาศาสตร์ทรี่ ู้จักมีอะไรบา้ ง
- นักวิทยาศาสตร์มีวิธีการในการได้มาซึ่งความรู้ ทฤษฎี หลักการ หรือกฎทางวิทยาศาสตร์
อยา่ งไร
- ความรู้ ทฤษฎี หลักการ หรอื กฎทางวทิ ยาศาสตร์ มกี ารเปล่ียนแปลงและพฒั นาอย่างไร
- ความรู้ ทฤษฎี หลักการ หรือกฎทางวิทยาศาสตร์ มีผลต่อการแสวงหาความรู้ใหม่ทาง
วิทยาศาสตรส์ าขาอ่นื ๆ และการพฒั นาเทคโนโลยี อย่างไร

ขน้ั ท่ี 2 ข้นั สำรวจและคน้ หา
ครูเปิดโอกาสให้นักเรยี นตอบคำถามอย่างอิสระ ไม่คาดหวงั คำตอบที่ถูกต้อง จากนั้น ครใู ห้ความรู้ตาม
รายละเอียดในหนังสือเรียนเกี่ยวกับธรรมชาติของฟิสิกส์ การค้นคว้าหาความรู้ทางฟิสิกส์ พัฒนาการของ
หลักการและแนวคดิ ทางฟิสิกส์ และผลของพัฒนาการทางฟสิ กิ ส์ท่ีมตี อ่ การแสวงหาความรูใ้ หม่และการพัฒนา
เทคโนโลยี โดยครูอาจให้นักเรียนทำกิจกรรมกล่องปริศนา (Mysterious boxes) เพื่อกระตุ้นความสนใจ
และสรา้ งความเข้าใจเกี่ยวกบั ธรรมชาติของฟิสกิ ส์มากย่ิงข้นึ

ขั้นที่ 3 ขัน้ อธบิ ายและลงข้อสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรุปผลการทำกิจกรรมโดยเปรียบเทียบการทำกิจกรรมกล่อง
ปริศนากับการได้มาซึ่งความรู้ ทฤษฎี หลักการ หรือกฎทางวิทยาศาสตร์ จนได้ข้อสรุปดังนี้ “กิจกรรมกล่อง
ปริศนาเปรียบได้กบั การได้มาซึ่งความรู้ ทฤษฎี หลกั การ หรอื กฎทางวิทยาศาสตรโ์ ดยวตั ถุที่อยู่ในกล่องปริศนา
เปรยี บได้กบั ความรแู้ ละคำอธบิ ายปรากฏการณ์ในธรรมชาตทิ ี่นักวิทยาศาสตร์ตอ้ งการค้นพบ วธิ กี ารทใี่ ชใ้ นการ
รวบรวมข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับวัตถุในกล่องปริศนา เช่น การยก การเขย่า การพลิก และการเอียงกล่องปริศนา
จากนั้นนำข้อมูลจากการสังเกตนำไปตีความหมายและลงข้อสรุปเกี่ยวกับวตั ถุท่ีอยู่ในกล่องปริศนา วิธีการที่ใช้
ในกจิ กรรมดังกล่าวเปรยี บได้กบั กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ตา่ ง ๆ เชน่ การสงั เกต การจำแนกประเภท การ
ตง้ั สมมติฐานการตีความหมายข้อมลู และการลงข้อสรปุ และการสร้างแบบจำลอง”

ขน้ั ที่ 4 ขน้ั ขยายความรู้
1. ครูให้นักเรียนรว่ มกันอภิปรายว่า จะมีวิธกี ารใดในการบอกวา่ วัตถุท่ีอยู่ในกลอ่ งปริศนาคอื อะไรโดย
ไม่ต้องเปิดกล่องโลหะ (แนวคำตอบ วิธีการที่จะให้ได้คำตอบว่าวัตถุที่อยู่ในกล่องปริศนาคืออะไร โดยไม่เปิด
กล่องปริศนา คือ การนำวัตถุที่คิดว่าเป็นคำตอบมาใส่ในกล่องโลหะท่ีมีลกั ษณะคล้ายกันกับกล่องปริศนา แล้ว
ทำการเปรียบเทียบว่า เมื่อมีการกระทำต่อกล่องดังกล่าว เช่น การยก การเขย่า การพลิก และการเอียงกล่อง
แล้วจะให้ผลท่คี ลา้ ยกบั การกระทำต่อกล่องปรศิ นา โดยทีผ่ ลการสงั เกตออกมาคล้ายกัน แสดงวา่ วตั ถุที่นำมาใส่
ในกล่องใบใหม่ อาจเป็นไปได้ที่จะเป็นวัตถุที่อยู่ในกล่องปริศนา ซึ่งกระบวนการดังกล่าว เปรียบได้กับการทำ
การทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นการดำเนินการเพื่อเทียบเคียงกับการทำงานของธรรมชาติ โดยท่ี
นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถรู้ได้ว่า การทำงานของธรรมชาติจริง ๆ นั้นเป็นเช่นไร แต่สามารถทำการทดลอง
เพอื่ ให้ได้มาซึ่งคำตอบทีใ่ กลเ้ คียงกับการทำงานของธรรมชาติมากท่สี ุด)
2. นักเรียนทำแบบฝึกหัดตรวจสอบความเขา้ ใจ 1.1 ในหนังสือเรียนฟิสิกส์ เล่ม 1 หน้า 10 ส่งครูท้าย
ชั่วโมง
3. ครูมอบหมายใหน้ กั เรยี นทำใบงาน 1.1 เรือ่ ง ธรรมชาตขิ องฟิสิกส์ เปน็ การบา้ นสง่ ครใู นชัว่ โมงถัดไป

ข้นั ที่ 5 ขัน้ ประเมินผล
1. ครูตรวจสอบผลการทำแบบทดสอบก่อนเรยี น เพ่อื ตรวจสอบความเข้าใจก่อนเรยี นของนกั เรยี น
2. ครตู รวจสอบผลจากการทำทำแบบฝกึ หดั ตรวจสอบความเขา้ ใจ 1.1 และใบงานท่ี 1.1
3. ครปู ระเมนิ ผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการตอบคำถาม พฤติกรรมการทำงานของนักเรยี น

สอ่ื การเรยี นรู้/แหลง่ เรยี นรู้ ท่ี 1

1. หนงั สือเรียนรายวชิ าเพิม่ เติม ฟิสกิ ส์ ม.4 เล่ม 1 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) หน่วยการเรียนรู้
ธรรมชาตแิ ละพฒั นาการทางฟิสิกส์

2. วสั ดุและอปุ กรณ์ กิจกรรมกล่องปริศนา
3. ใบงาน 1.1 เรอื่ ง ธรรมชาตขิ องฟสิ กิ ส์
4. Powerpoint

การวัดและประเมินผล

วธิ วี ดั เครอื่ งมือ เกณฑก์ ารประเมิน
รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
K - ใบงาน 1.1
- นกั เรยี นสามารถอธิบายและ - คำถามตรวจสอบความเข้าใจ
ยกตวั อย่างความรทู้ างฟิสกิ ส์ท่ีมี 1.1
ผลต่อการแสวงหาความรู้ใหม่ทาง
วิทยาศาสตรแ์ ละพฒั นา
เทคโนโลยี

P - ใบงาน 1.1 รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
- นกั เรียนสามารถสืบคน้ ความรู้ - คำถามตรวจสอบความเขา้ ใจ
ทางฟสิ ิกส์ ประวัตคิ วามเปน็ มา 1.1 ระดับคุณภาพ 2
รวมทัง้ พัฒนาการของหลักการ ผา่ นเกณฑ์
และแนวคิดทางฟิสิกสท์ ่มี ีผลการ
แสวงหาความรู้ใหม่และการ
พฒั นาเทคโนโลยี

A - แบบประเมนิ คุณลักษณะ
- นักเรียนมีนักเรียนมีความสนใจ อนั พงึ ประสงค์
ใฝเ่ รียนรู้ต่อการเรียน

ความเห็นของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้/ผู้ที่ได้รบั มอบหมาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอื่ ………………………………………………………….
(นางบัวแก้ว ศรีภธู ร)

ตำแหนง่ หัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
................/................./.................

ความเหน็ ของผ้บู ริหาร/ผูท้ ่ีไดร้ ับมอบหมาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชื่อ………………………………………………………….
(........................................................)

ตำแหน่ง.............................................................
................/................./.................

บนั ทกึ ผลหลังการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
แผนการจดั การเรยี นร้ทู .ี่ ..................
เรอื่ ง..............................................

1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จำนวนนักเรียน.........................คน
ดา้ นความรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ด้านทกั ษะกระบวนการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ดา้ นคุณลกั ษณะของผ้เู รยี นตามหลักสูตรมาตรฐานสากล
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. ปัญหา/อุปสรรค
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางในการแกไ้ ข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงช่อื ………………………………………………………….
(........................................................)
................/................./.................

กิจกรรม กลอ่ งปรศิ นา

จดุ ประสงค์
เปรียบเทียบการทำ กิจกรรมกล่องปริศนากับการได้มาซึ่งความรู้ ทฤษฏี หลักการหรือกฎทาง

วิทยาศาสตร์
เวลาที่ใช้

50 นาที
วัสดแุ ละอุปกรณ์

1. กล่องโลหะที่ปิดผนึกไม่สามารถเปิดออกได้ ภายในบรรจุวัตถุที่แตกต่างกันกล่องละ 1 ชิ้น เช่น ลวด
เสยี บกระดาษ ลกู แกว้ ลกู เต๋า ไม้จิ้มฟนั ถุงชา ถงุ ทราย

รูป 1.1 กล่องปรศิ นา

วิธดี ำเนินกิจกรรม
1. ครใู หน้ กั เรียนแต่ละกล่มุ รบั กล่องปรศิ นา กล่มุ ละ 1 กลอ่ ง
2. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มอภิปรายร่วมกันเพื่อหาวิธีการที่จะบอกว่าวัตถุที่อยู่ข้างในกล่องปริศนาคือ

อะไรโดยไม่เปิดกล่องโลหะ เช่น การยกเพื่อเปรียบเทียบน้ำ หนักของวัตถุ การเขย่าเพื่อฟังเสียงที่วัตถุกระทบ
กบั กลอ่ งโลหะ การพลกิ กลับไปกลับมาเพื่อสังเกตแรงทเี่ กิดจากการกระทบกันระหวา่ งวัตถุกบั กล่องโลหะ การ
เอยี งเพ่อื สังเกตการกลิง้ หรอื การไหลของวตั ถุ

3. ครูให้นักเรียนบนั ทึกผลการสังเกต วิธีการที่ใช้ และการข้อสรุปของกลุม่ ว่า วัตถุที่อยู่ในกล่องปริศนา
คอื อะไร

4. ครูให้นกั เรียนเปล่ยี นกลอ่ งปรศิ นากล่องใหม่ แลว้ ทำ กิจกรรมขอ้ 2 และ 3 ซำ้ จนครบทุกกล่อง
5. ครใู หน้ กั เรียนร่วมกนั อภิปรายว่าแตล่ ะกลุ่มมีวธิ ีการท่ีใช้ในการสังเกต ผลของการสังเกต และข้อสรุป
เกี่ยวกบั วัตถุท่อี ยูใ่ นกลอ่ งปริศนาแตล่ ะกลอ่ งเหมอื นหรือแตกตา่ งกันอย่างไร
6. ครใู หน้ ักเรยี นร่วมกันอภปิ รายว่า จะมวี ิธกี ารใดในการบอกว่าวตั ถทุ ่ีอยู่ในกล่องปริศนาคืออะไรโดยไม่
ต้องเปดิ กลอ่ งโลหะ
7. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรุปผลการทำ กิจกรรมโดยเปรียบเทียบการทำ กิจกรรมกล่อง
ปริศนากับการไดม้ าซงึ่ ความรู้ ทฤษฎี หลกั การ หรอื กฎทางวทิ ยาศาสตร์

ใบงานท่ี 1.1
เรื่อง ธรรมชาตขิ องฟิสกิ ส์

คำชแี้ จง : ให้เตมิ ข้อความหรอื ความหมายของคำตอ่ ไปนี้ใหส้ มบรู ณ์
1. ฟิสิกส์มคี วามหมายวา่ อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. วทิ ยาศาสตรธ์ รรมชาติประกอบด้วยอะไรบ้าง
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. เทคโนโลยีมคี วามหมายว่าอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

5. พจิ ารณาข้อความเยวกบั สิ่งท่ีศึกษาว่าอยใู่ นยุคสมยั ใดของฟิสกิ ส์

1. แรงและการเคล่อื นท่ี สิ่งทีศ่ กึ ษา
2. พลงั งานจลน์ 9. พฤติกรรมของแสง
3. นวิ เคลยี สของอะตอม 10. สถานะของแขง็
4. อนภุ าคยอ่ ยของอะตอม 11. โครงสร้างและพฤตกิ รรมของอะตอม
5. ความรอ้ น 12. จกั รวารวิทยา
6. คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า 13. ไฟฟา้ และแมเ่ หลก็
7. สเปกตรัมของอะตอม 14. ปรากฏการณโ์ ฟโต้อเิ ล็กทรกิ
8. การส่ันและคลน่ื เสยี ง 15. ทฤษฎสี ัมพันธภาพ
16. ทฤษฎขี องนวิ ตนั

ฟิสกิ ส์ยุคเกา่ ไดแ้ ก่ ฟิสิกส์ยคุ ใหม่ ไดแ้ ก่

…………………………………………………………… ……………………………………………………………
…………………………………………………………… ……………………………………………………………
…………………………………………………………… ……………………………………………………………
…………………………………………………………… ……………………………………………………………

เฉลย

ใบงานท่ี 1.1
เรือ่ ง ธรรมชาติของฟิสกิ ส์

คำช้แี จง : ใหเ้ ติมขอ้ ความหรือความหมายของคำตอ่ ไปนใ้ี ห้สมบรู ณ์
1. ฟิสิกส์มีความหมายวา่ อยา่ งไร

ฟิสิกส์เป็นศาสตร์วิชาที่ว่าด้วยกฎเกณฑ์หรือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของสิ่งที่ไม่มีชีวิตในเรื่อง
อนั ตรกริ ยิ า (interaction) ของอนุภาคของสสารและพลงั งาน

2. วิทยาศาสตร์ธรรมชาตปิ ระกอบด้วยอะไรบ้าง
วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (natural science) คือ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่บรรยายถึงความเป็นไปของ

ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติ อนั ประกอบไปดว้ ย ข้อเทจ็ จริง หลักการ ทฤษฎี กฎ และสตู รต่าง ๆ เป็น
ความรู้พื้นฐานของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้มาเพื่อสนองความต้องการอยากรู้อยากเห็น โดยไม่คำนึงถึง
ประโยชนข์ องการค้นหา สามารถแบ่งออกเป็นกลมุ่ ย่อยได้อีก 3 แขนง คอื

1. วทิ ยาศาสตร์กายภาพ (physical science) คอื วิทยาศาสตรท์ ี่ว่าด้วยเร่อื งราวตา่ ง ๆ ของสิ่งไม่มีชีวิต
เชน่ เคมี ฟิสกิ ส์ คณติ ศาสตร์ ดาราศาสตร์

2. วิทยาศาสตร์ชีวภาพ (biological science) คือ วิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยเร่ืองราวต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต
เช่น สตั ววทิ ยา จุลชีววทิ ยา

3. วิทยาศาสตร์สังคม (social science) คือ วิทยาศาสตร์ที่ศึกษาหาความรู้ เพื่อจัดระบบให้มนุษย์มี
การดำรงชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีแบบแผน เพื่อความสงบสุขของสังคม ประกอบด้วย วิชาจิตวิทยา วิชา
รฐั ศาสตร์ วิชาเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น

3. วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์เปน็ อย่างไร
วิธีการทางวิทยาศาสตร์ คือ การแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างมีกระบวนการที่เป็นแบบแผนมี

ขั้นตอนที่สามารถปฏิบัติตามได้ โดยขั้นตอนวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นเครื่องมือสำคัญของ
นกั วทิ ยาศาสตร์ ประกอบด้วย 5 ขนั้ ตอน คือ การกำหนดปญั หา การตั้งสมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐาน
การวเิ คราะหข์ อ้ มลู และการสรปุ ผลการทดลอง

4. เทคโนโลยมี คี วามหมายวา่ อยา่ งไร
เทคโนโลยี คือ การนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ มาผสมผสาน ประยุกต์ เพื่อสนอง

เปา้ หมายเฉพาะตามความตอ้ งการของมนุษย์ ดว้ ยการนำทรัพยากรต่าง ๆ มาใช้ในการผลิต

5. พจิ ารณาข้อความเยวกับสง่ิ ทีศ่ ึกษาวา่ อย่ใู นยุคสมัยใดของฟิสกิ ส์

1. แรงและการเคลอ่ื นท่ี สิ่งที่ศึกษา
2. พลงั งานจลน์ 9. พฤติกรรมของแสง
3. นวิ เคลยี สของอะตอม 10. สถานะของแขง็
4. อนุภาคยอ่ ยของอะตอม 11. โครงสร้างและพฤตกิ รรมของอะตอม
5. ความร้อน 12. จกั รวารวิทยา
6. คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า 13. ไฟฟ้าและแมเ่ หลก็
7. สเปกตรัมของอะตอม 14. ปรากฏการณ์โฟโต้อิเลก็ ทรกิ
8. การสน่ั และคล่ืนเสยี ง 15. ทฤษฎีสมั พันธภาพ
16. ทฤษฎีของนิวตัน

ฟิสกิ ส์ยุคเก่า ไดแ้ ก่ ฟิสกิ สย์ ุคใหม่ ไดแ้ ก่
1, 2, 5, 6, 8, 9, 13, 16 3, 4, 7, 10, 11, 12, 14, 15

เกณฑ์การประเมนิ คณุ ลกั ษะอนั พงึ ประสงค์

ตัวชีว้ ัด ผา่ น (1) ปฏบิ ตั ิตามข้อ
1. มวี นิ ยั ปฏิบตั ติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบของ ช้ันเรยี น ตรงต
2. ใฝ่เรยี นรู้ ช้ันเรยี น ตรงต่อเวลาในการปฏิบัตกิ ิจกรรม ต่างๆ และรับ
ต่างๆ
3. มุ่งมั่นในการทำงาน เขา้ เรยี นตรงเวลา ตั้งใจเรียน เอาใจใส่ และ เข้าเรยี นตรงเ
มคี วามเพยี รพยายามในการเรียนรู้ มีส่วน ความเพียรพย
ร่วมในการเรียนรู้ และเข้าร่วมกจิ กรรมการ ในการเรียนรู้
เรียนร้ตู า่ งๆ บางครัง้ ต่างๆ ทงั้ ภาย
บ่อยครง้ั
ต้ังใจและรบั ผิดชอบในการปฏิบตั ิหน้าทีท่ ่ี
ไดร้ ับมอบหมายให้สำเรจ็ ต้งั ใจและรบั ผ
ได้รบั มอบหม
ทำงานใหด้ ีข้ึน

เกณฑ์การประเมนิ ดีมาก
ช่วงคะแนน 7 – 9 ระดับคุณภาพ 3 ดี
ชว่ งคะแนน 4 - 6 ระดับคณุ ภาพ 2 พอใช้
ชว่ งคะแนน 3 ระดบั คุณภาพ 1

เกณฑก์ ารผา่ น : นักเรียนไดร้ ะดบั คุณภาพ 2 ข้นึ ไป

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ดเี ย่ียม (3)
ดี (2)
ปฏิบตั ิตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบของช้นั
อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบของ เรียน ไมล่ ะเมิดสิทธขิ องผ้อู ื่น ตรงตอ่ เวลาในการ
ต่อเวลาในการปฏบิ ัติกจิ กรรม ปฏิบัตกิ จิ กรรมตา่ งๆ และรบั ผดิ ชอบในการทำงาน
บผิดชอบในการทำงาน
เวลา ตงั้ ใจเรยี น เอาใจใส่ และมี เข้าเรียนตรงเวลา ต้ังใจเรียน เอาใจใส่ และมีความ
ยายามในการเรียนรู้ มสี ่วนร่วม เพียรพยายามในการเรยี นรู้ มีสว่ นรว่ มในการ
และเข้ารว่ มกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรยี นรู้ และเขา้ รว่ มกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ทงั้
ยในและภายนอกโรงเรยี น ภายในและภายนอกโรงเรยี นเป็นประจำ และเป็น
แบบอย่างท่ดี ี
ผดิ ชอบในการปฏิบตั หิ นา้ ทีท่ ่ี
มายให้สำเร็จ มีการปรบั ปรงุ การ ตั้งใจและรับผิดชอบในการปฏิบัติหนา้ ทท่ี ี่ไดร้ ับ
น มอบหมายให้สำเรจ็ มกี ารปรับปรุงและพฒั นาการ
ทำงานให้ดีข้นึ

แบบมาตรประมาณค่าเพ่อื ประเมินคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
คำชี้แจง : ใหพ้ ิจารณาพฤติกรรมต่อไปน้ี แล้วใหร้ ะดับคะแนนที่ตรงกับการปฏบิ ัติของนกั เรยี นตามความเปน็
จริง

รายการประเมิน คะแนน
เฉลี่ย
เลขท่ี ชอ่ื -สกุล มีวินัย ใฝ่เรยี นรู้ มงุ่ ม่ันใน การแปลผล
การทำงาน

ลงช่อื .........................................................
(.............................................)
ผปู้ ระเมิน

แผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ 2

รหสั วชิ า ว30201 รายวิชา ฟิสกิ ส์ 1 กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 ธรรมชาติฟสิ ิกส์ เรื่อง การวัดและการบันทกึ ผลการวัดปรมิ าณทางฟิสกิ ส์

ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 เวลาเรยี น 3 ชั่วโมง

ผู้สอน นางสาวสเุ มธาวี ขันทอง

มาตรฐานการเรียนรู/้ ตัวชว้ี ดั /ผลการเรียนรู้

สาระฟิสิกส์ : 1. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสกิ ส์ ปรมิ าณและกระบวนการวัด การเคล่อื นท่แี นวตรง แรงและกฎการ
เคลอ่ื นทข่ี องนวิ ตนั กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทานสมดลุ กลของวตั ถุ งานและกฎการอนุรักษพ์ ลังงานกล
โมเมนตัมและกฎการอนรุ ักษโ์ มเมนตัม การเคลื่อนท่แี นวโค้ง รวมทัง้ นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

ผลการเรยี นรู้

วัดและรายงานผลการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ได้ถูกต้องเหมาะสม โดยนำ ความคลาดเคลื่อนในการ
วัดมาพิจารณาในการนำ เสนอผลด้วย รวมทั้งแสดงผลการทดลองในรูปของกราฟ วิเคราะห์และแปล
ความหมายจากกราฟเส้นตรง

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
ด้านความรู้ (K)
- อธบิ ายความสำคัญของการเลอื กใช้เครือ่ งมือวดั ให้เหมาะสมกับส่ิงทตี่ ้องการวดั
ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
- บันทึกผลการวัดปริมาณได้อย่างเหมาะสมประกอบด้วยค่าที่อ่านได้จากเครื่องวัดและ
ค่าประมาณ
ดา้ นคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
- นักเรยี นมีนักเรียนมีความซ่ือสัตย์ในการบนั ทึกผลการทดลอง

สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด

ความรู้ทางฟิสิกส์ส่วนหนึ่งได้จากการทดลองซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ซึ่ง
ประกอบด้วยตัวเลขและหน่วยวัด ปริมาณทางฟิสิกส์สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือต่าง ๆ โดยตรงหรือ ทางอ้อม
หน่วยที่ใช้ในการวัดปริมาณทางวิทยาศาสตร์คือระบบหน่วยระหว่างชาติ (The International System of
Units) เรียกย่อว่า ระบบเอสไอ (SI) ประกอบด้วยหน่วยฐานและหน่วยอนุพัทธ์ หน่วยฐาน มี 7 หน่วย ได้แก่
เมตร (m) กิโลกรัม (kg) วินาที (s) แอมแปร์ (A) เคลวิน (K) โมล (mol) และแคนเดลา (cd) หน่วยอนุพัทธ์
เป็นหน่วยที่เกิดจากหน่วยฐานหลายหน่วย ปริมาณทางฟิสิกส์ที่มีค่าน้อยกว่าหรือมากกว่า 1 มาก ๆ นิยม
เขียนโดยใช้คำ นำ หน้าหน่วยของระบบเอสไอ เช่น kilo แทนตัวคูณที่เที่ยบเท่า 103 nano แทนตัวคูณที่
เท่ียบเท่า 10-9 หรือเขียนในรูปของสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นการเขียนปริมาณที่มีค่ามาก หรือน้อยให้อยู่ใน
รูปจำนวนเต็มหนึ่งตำแหน่งตามด้วยเลขทศนิยม แล้วคูณด้วยเลขสิบยกกำ ลัง มีรูปทั่วไป An ×10 เมื่อ

1 ≤ A ≤ 10 และ n เป็นจำนวนเต็ม

สาระการเรียนรู้

การวัดและการบันทึกผลการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ จะเกดิ ความคลาดเคลอ่ื นเนื่องจากอปุ กรณ์การวัด
ผูท้ ำการทดลอง และสภาพแวดล้อม

สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น

( ✓ ) ความสามารถในการส่ือสาร ( ✓ ) ความสามารถในการคดิ ( ) ความสามารถในการแก้ปัญหา

( ) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ ( ) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์

( ) รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ ( ✓ ) ซ่ือสัตยส์ จุ ริต ( ) มีวนิ ัย ( ✓ ) ใฝเ่ รยี นรู้

( ) อยู่อยา่ งพอเพียง ( ✓ ) มุ่งมั่นในการทำงาน ( ) รกั ความเป็นไทย ( ✓ ) มจี ติ สาธารณะ

คุณลักษณะของผู้เรียนตามหลกั สตู รมาตรฐานสากล

( ✓ ) เป็นเลศิ วชิ าการ ( ) สื่อสารสองภาษา ( ✓ ) ล้ำหนา้ ทางความคิด

( ✓ ) ผลติ งานอยา่ งสรา้ งสรรค์ ( ) รว่ มกนั รบั ผดิ ชอบต่อสงั คมโลก

ชน้ิ งาน/ภาระงาน

1. คำถามตรวจสอบความเข้าใจ 1.2

2. ใบงานที่ 1.2 เรื่อง การวัดปริมาณทางกายภาพในเชิงฟสิ ิกส์

กิจกรรมการเรียนรู้

ข้นั ที่ 1 ขน้ั สร้างความสนใจ
ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยให้นักเรียนวัดความกว้างและความยาวของสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น

สมุด หนังสอื โต๊ะ และกระดานดำ โดยเริ่มจากการวัดโดยใชห้ นว่ ยคบื ของนักเรียนแตล่ ะคน แลว้ นำมาอภิปราย
เพื่อสรุปว่า หน่วยการวัด 1 คืบของนักเรียนแต่ละคนมีความยาวไม่เท่ากัน จึงไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือวัดท่ี
เป็นมาตรฐานได้ ดังนั้น การวัดสิง่ ๆ หนึ่งเพื่อให้ทกุ คนรับรูต้ รงกันจะต้องใช้เครื่องมอื ที่มมี าตรฐาน จากนั้นครู
ใหน้ ักเรยี นใช้เคร่ืองมดื วัดที่มีมาตรฐาน เชน่ ไม้บรรทดั ไมเ้ มตร มาทำการวัดความยาวของวัตถุเดิมอีกคร้ังเพื่อ
เปรียบเทียบผลการวดั แลว้ อภิปรายร่วมกนั เพื่อให้ได้ข้อสรุปวา่ การใช้เครื่องมอื วดั ท่ีไดม้ าตรฐานทำ ให้ผลของ
การวัดใกล้เคยี งกนั มากยงิ่ ขึน้ ครใู ห้นักเรียนอภิปรายรว่ มกันเพ่ือตอบคำถามว่า

- การวดั ปริมาณใด ๆ มีความคลาดเคล่อื นเกิดขึ้นเสมอไปหรอื ไม่
- ปจั จยั ใดบา้ งท่ีมผี ลตอ่ ความคลาดเคล่ือนในการวัด
- ยกตวั อยา่ งผลกระทบอาจเกิดขึน้ ได้จากความคลาดเคล่ือนในการวดั

ขนั้ ที่ 2 ขน้ั สำรวจและค้นหา
1. ครูให้นักเรียนทำการศึกษาการวัดด้วยเครื่องมือที่มีชื่อว่า เวอร์เนียร์แคลิเปอร์ และไมโครมิเตอร์
โดยครคู วรอธบิ ายวิธกี ารใชด้ งั น้ี

การวัดความยาวด้วยเวอร์เนียรแ์ คลเิ ปอร์ เวอรเ์ นียร์แคลเิ ปอร์ (Vernier Calipers) หรือเรียก
สัน้ ๆ วา่ เวอรเ์ นียร์ เป็นเครอ่ื งมือทใี่ ชว้ ดั ความยาวหรือเส้นผ่าศูนยก์ ลางของวตั ถุ โดยสามารถวดั ได้ละเอยี ดถึง
ระดับ 0.01 เซนติเมตร หรือ 0.1 มิลลิเมตร เหมาะสำหรับใช้ในงานที่ต้องการความละเอียดและความถูกต้อง

สูง เวอรเ์ นียร์สามารถใชใ้ นการวัดได้ทั้งความยาวภายนอกของวัตถุ ความยาวภายในของวัตถุ และความลึกของ
วัตถุ วิธีการวัดมีดงั น้ี

1. อ่านค่าความยาวของวัตถุจากสเกลหลัก โดยใช้ขีดที่ 0 ของสเกลเวอร์เนียร์เป็นจุดสังเกต
(ลูกศรสีแดง) ซ่งึ ในกรณีน้จี ะอา่ นค่าความยาวของวัตถุไดเ้ ป็น 3.80 เซนตเิ มตร

2. อ่านค่าความยาวของวัตถุจากสเกลเวอร์เนีย โดยดูจากขีดของสเกลเวอร์เนียร์ที่อยูต่ รงกับ
ขีดของสเกลหลักพอดี (ลูกศรสีเขียว) ซึ่งในกรณีนี้เป็นขีดที่ 7 จะอ่านค่าความยาวได้เป็น 7 ช่อง
0.002 เซนตเิ มตรต่อชอ่ ง = 0.014 เซนติเมตร
3. ความยาวของวัตถุสามารถหาได้จากผลรวมระหว่างความยาวที่วัดได้จากสเกลหลักและสเกลเวอร์เนียร์ ซึ่ง
ในกรณนี จ้ี ะได้เป็น 3.80 + 0.014 = 3.814 เซนติเมตร

ดังนัน้ ความยาวของเส้นผ่าศูนย์กลางของวัตถุนีเ้ ทา่ กบั 3.814 เซนตเิ มตร ซ่งึ จะเห็นได้ว่า ค่า
ความยาวท่วี ดั ได้จะละเอยี ดกว่าการวัดโดยใชไ้ มบ้ รรทัดซง่ึ จะอา่ นค่าความยาวได้เปน็ 3.80 เซนตเิ มตร เท่าน้นั

การวัดความยาวด้วยไมโครมิเตอร์ (Micrometer) หรืออีกชื่อหนึ่งคือไมโครมิเตอร์สกรูเกจ
เป็นเครอื่ งมอื ใช้งานด้านวศิ วกรรม จุดประสงคก์ ารใช้งานเพื่อสำหรับวัดขนาดทีต่ ้องการความแมน่ ยำสงู โดยใช้
วัดความกว้าง ยาว หรือ ความหนาของวัตถุ เหมือนเวอร์เนียร์ แต่ว่าไมโครมิเตอร์จะสามารถวัดได้ละเอียดสูง
กว่า วิธกี ารวดั มดี ังนี้

1. อ่านค่าผลการวัดที่สเกลหลัก (Sleeve scale) โดยสังเกตขอบของสเกลหมุน (Thimble
scale) ตรงกับช่วงไหนของขีดสเกลหลัก จากรูปจะเห็นได้ว่าขอบของสเกลหมุนจะตรงกับขีดสเกลหลักใน
ระหวา่ งช่วง 7 มิลลิเมตร ถงึ 8 มลิ ลิเมตร ดังนนั้ เราจะอา่ นคา่ ทส่ี เกลหลักได้ 7.00 มิลลิเมตร

2. อ่านค่าผลการวัดที่สเกลหมุน (Thimble scale) โดยสังเกตที่ตำแหน่งขีดสเกลหมุนว่ามี
สเกลใดตรงกับเส้นกลางของขีดสเกลหลกั จากรูปจะเห็นได้ว่าขีดสเกลหมุนขดี ที่ 37 ตรงกับขีดกลางของสเกล
หลักพอดี

ดังนั้นสามารถอ่านค่าของสเกลหมุนได้ โดยการนำค่าความละเอียดของเครื่องมือคูณเส้นขีด
สเกลหมุนที่อ่านได้คือ สเกลขีดที่ 37 x ความละเอียด 0.01 มิลลิเมตร เท่ากับ 0.37 มิลลิเมตร นำผลการวัดที่
อ่านได้จากสเกลหลักบวกผลการวัดที่อ่านได้จากสเกลหมุนคือ 7.00 + 0.37 = 7.37 มิลลิเมตร

2.4 ครูถามนักเรียนว่าวัดความหนาของกระดาษสมุด 1 แผ่น กับ เส้นผ่าศูนย์กลางของฝา
ขวดน้ำพลาสติก โดยใช้อุปกรณ์ใดจึงจะเหมาะสมที่สุด เพราะเหตุใด (แนวคำตอบ : ความหนาของกระดาษ
สมุดควรใช้ไมโครมิเตอร์ แต่เส้นผ่านศูนย์กลางของฝาขวดนำ้ ควรใช้เวอร์เนียร์ เพราะลักษณะของอุปกรณ์การ
วดั มคี วามเหมาะสมที่แตกต่างกัน)

ขัน้ ที่ 3 ขนั้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ
1. ครูและนักเรียนรว่ มกนั อภิปรายถึงผลการทำกิจกรรมการวัดจากเคร่ืองมือต่าง ๆ ว่าการวัดปริมาณ
ใด ๆ ด้วยเคร่ืองมอื วดั ย่อมมคี วามคลาดเคล่ือนเกดิ ข้นึ โดยความคาดเคลื่อนดงั กล่าวจะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่
กับคุณสมบัติของเครื่องมือที่ใช้วัด วิธีการวัด ความสามารถและประสบการณ์ของผู้วัด ความคาดเคลื่อนที่
เกิดขึ้นนี้จะเกี่ยวโยงไปถึงการบันทึกผลการคำนวณเมื่อนำตวั เลขทีม่ ีความไม่แน่นอนหลายปริมาณมาบวก ลบ
คณู และหารกัน ย่อมทำให้เกดิ ความคาดเคล่ือนเปล่ียนแปลงไปได้
2. ครูให้ความรู้ตามรายละเอียดใน หนังสือเรียนฟิสิกส์เพิ่มเติม 1 เรื่องระบบหน่วยระหว่างชาติ
สัญกรณ์วิทยาศาสตร์ ความไม่แน่นอนในการวัด เลขนัยสำคัญ และการบันทึกผลการคำนวณ และให้นักเรียน
ฝึกใช้เครื่องมือวัดที่มีความละเอียดแตกต่างกันมาใช้ สำหรับวัดความกว้าง ความยาว และความหนาของวัสดุ
ต่าง ๆ เช่น เหล็ก อะลมู ิเนยี ม และทองแดง เพ่ือใช้คำนวณหาความหนาแน่นของวัสดุ ซ่งึ คือ มวลต่อปริมาตร
ท่มี ีหนว่ ยในระบบเอสไอ คือ กิโลกรัมตอ่ ลกู บาศก์เมตร แล้วนำมาเปรียบเทยี บกับคา่ มาตรฐาน พร้อมอภิปราย
ร่วมกันเกี่ยวกับผลการหาความหนาแน่นของวัสดุเหมือนหรือแตกต่างกับค่ามาตรฐานหรือไม่ อย่างไร

ขน้ั ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้
1. ครูให้นักเรียนสืบค้นและอภิปรายร่วมกันในประเด็น ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวัด ดังนี้

- หน่วยการวัดของไทย คนไทยได้มกี ารกำหนดมาตรฐานการวดั ขนึ้ มาต้ังแต่สมัยโบราณ โดย
บรรพบุรุษของเรารู้จักที่จะคิดหน่วยการวัดขึ้นมาใช้ได้เอง เช่น คืบ ศอก วา โยชน์ โดยที่ 2 คืบเป็น 1 ศอก,
4 ศอกเป็น 1 วา, 20 วาเป็น 1 เส้น, และ 400 เส้นเป็น 1 โยชน์ แต่ในเวลาต่อมามีการติดต่อสัมพันธ์กับ
หลายๆ ประเทศ จึงจำเป็นต้องใช้หน่วยที่เป็นสากลเพื่อความสะดวกในการสื่อสารให้เข้าใจที่ตรงกัน

- ความแม่นและความเที่ยงของการวัด การบอกความสามารถในการวัดของเครื่องมือวัด
นิยมบอกด้วย 2 ปริมาณด้วยกัน คือ ความแม่น (accuracy) และความเที่ยง (precision) โดยที่ ความแม่น
หมายถึงความสามารถของเครื่องมือวัดในการแสดงค่าได้ใกล้เคียงกับค่าจริงมากที่สุด สำหรับ
ความเที่ยง หมายถึงความสามารถของเครื่องมือวัดในการ แสดงค่าเดิมเมื่อทำาการวัดซ้ำเดิมหลาย ๆ คร้ัง

- การเลอื กใชจ้ ำนวนตวั เลขนยั สำคัญในการคำนวณ การนำเอาข้อมลู ท่ีมจี ำนวนเลขนัยสำคัญ
ต่างกันมาบวก ลบ คูณ และหารกัน จะทำให้ผลลพั ธท์ ีไ่ ด้มีตัวเลขนัยสำคัญมากเกินไป ทำให้การบันทึกผลการ
คำนวณจำเปน็ ตอ้ งพิจารณาจากตัวเลขนัยสำคัญและความละเอียดใหเ้ หมาะสมตามรายละเอียดในหนงั สือเรียน
ฟิสิกสเ์ พิม่ เติม

2. นักเรียนทำแบบฝกึ หดั ตรวจสอบความเข้าใจ 1.2 ในหนังสือเรียนฟิสิกส์ เล่ม 1 หน้า 19 ส่งครูท้าย
ช่ัวโมง

3. ครมู อบหมายใหน้ ักเรียนทำใบงาน 1.2 เรือ่ ง การวัดปรมิ าณทางกายภาพในเชิงฟสิ ิกส์ เปน็ การบ้าน
สง่ ครใู นชว่ั โมงถัดไป

ขน้ั ท่ี 5 ขนั้ ประเมินผล
1. ครูตรวจสอบผลการทำคำถามตรวจสอบความเข้าใจ 1.2 เพอ่ื ตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียน
2. ครูตรวจสอบผลจากการทำใบงานที่ 1.2
3. ครูประเมนิ ผล โดยการสงั เกตพฤตกิ รรมการตอบคำถาม พฤติกรรมการทำงานของนักเรยี น

ส่อื การเรียนรู้/แหลง่ เรียนรู้ ท่ี 1

1. หนังสือเรียนรายวิชาเพ่มิ เตมิ ฟสิ กิ ส์ ม.4 เลม่ 1 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) หน่วยการเรยี นรู้
ธรรมชาตแิ ละพัฒนาการทางฟสิ กิ ส์

2. เวอเนยี รค์ าลิปเปอร์
3. ใบงาน 1.1 เรอ่ื ง ธรรมชาตขิ องฟสิ ิกส์
4. Powerpoint

การวดั และประเมินผล

วิธีวัด เคร่อื งมือ เกณฑก์ ารประเมิน
ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
K - ใบงาน 1.2
- อธบิ ายความสำคัญของการ - คำถามตรวจสอบความเขา้ ใจ
เลือกใชเ้ ครื่องมือวดั ให้เหมาะสม 1.2
กับส่งิ ทตี่ ้องการวัด

P - ใบงาน 1.2 ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
- - บันทึกผลการวัดปริมาณได้ - คำถามตรวจสอบความเขา้ ใจ
อยา่ งเหมาะสมประกอบดว้ ยค่าที่
อ่านไดจ้ ากเคร่ืองวดั และ
ค่าประมาณ
ดา้ นคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์

A - แบบประเมินคุณลักษณะ ระดับคุณภาพ 2
- นกั เรียนมีนกั เรยี นมีความสนใจ อนั พงึ ประสงค์ ผา่ นเกณฑ์
ใฝเ่ รียนร้ตู ่อการเรียน

ความเห็นของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้/ผู้ที่ได้รบั มอบหมาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอื่ ………………………………………………………….
(นางบัวแก้ว ศรีภธู ร)

ตำแหนง่ หัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
................/................./.................

ความเหน็ ของผ้บู ริหาร/ผูท้ ่ีไดร้ ับมอบหมาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชื่อ………………………………………………………….
(........................................................)

ตำแหน่ง.............................................................
................/................./.................

บนั ทกึ ผลหลังการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
แผนการจดั การเรยี นร้ทู .ี่ ..................
เรอื่ ง..............................................

1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จำนวนนักเรียน.........................คน
ดา้ นความรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ด้านทกั ษะกระบวนการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ดา้ นคุณลกั ษณะของผ้เู รยี นตามหลักสูตรมาตรฐานสากล
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. ปัญหา/อุปสรรค
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางในการแกไ้ ข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงช่อื ………………………………………………………….
(........................................................)
................/................./.................

ใบงานที่ 1.2

เรื่อง การวัดปริมาณทางกายภาพในเชิงฟิสิกส์

1. นักเรียนจงเปลยี่ นหนว่ ยปริมาณท่ีกำหนดใหด้ ังต่อไปนี้

1.1 15 cm เขียนให้อยใู่ นหนว่ ย เมตร (m) ………………………………………………………………….
1.2 789 g เขยี นใหอ้ ยใู่ นหน่วย กโิ ลเมตร (kg) ………………………………………………………………….
1.3 2.4 m3 เขยี นใหอ้ ยู่ในหนว่ ย ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร (cm3) …………………………………………

1.4 201 mm เขยี นใหอ้ ยู่ในหนว่ ย เมตร (m) ………………………………………………………………….
1.5 165 ml เขียนใหอ้ ยู่ในหน่วย ลูกบาศก์เมตร (m3) …………………………………………………….

1.6 5 min เขยี นให้อยูใ่ นหน่วย วนิ าที (s) ………………………………………………………………….

1.7 700 mC เขยี นใหอ้ ยู่ในหนว่ ย คูลอมบ์ (C) ………………………………………………………………….
1.8 1.2 kA เขยี นให้อยใู่ นหนว่ ย แอมแปร์ (A) ………………………………………………………………….

1.9 400 MHz เขยี นใหอ้ ยู่ในหนว่ ย ไมโครเฮริ ตซ์ (μHz) ……………………………………………………..
1.10 1.5 x 10-5 A เขยี นให้อยใู่ นหนว่ ย มลิ ลแิ อมแปร์ (mA) …………………………………………
1.11 15 m3 เขยี นใหอ้ ยูใ่ นหน่วย ลกู บาศกม์ ลิ ลเิ มตร (mm3) …………………………………………
1.12 23.4 ชัว่ โมง เขียนใหอ้ ยใู่ นหน่วย วินาที (s) ………………………………………………………………….

2. พจิ ารณาข้อมลู ทีใ่ หว้ า่ บันทึกถูกต้องตามระบบเอสแหรือไม่ หากไมถ่ กู ตอ้ งใหแ้ กไ้ ขให้ถกู ต้อง

ข้อมูล คำตอบ แกไ้ ขเป็น

2.1 แทง่ ไมม้ นี ้ำหนัก 0.20 kg

2.2 น้ำอุณหภูมิ 87o C

2.3 มมุ ตกกระทบเทา่ กับ 45o

2.4 อ่านคา่ จากโวลตม์ เิ ตอร์ได้ 5.0 V

2.5 ความต้านทานมคี า่ เทา่ กับ 20

3. ระบุจำนวนเลขนัยสำคญั ของจำนวนท่กี ำหนดให้ พรอ้ มใหเ้ หตผุ ล
3.1 0.3002

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3.2 3.1415
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3.3 0.000000870
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3.4 101,050
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3.5 6.02 x 1023
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

4. อา่ นคา่ ความยาวของแทง่ ไมจ้ ากภาพท่ีกำหนดให้

4.1 คา่ ท่ีอา่ นได…้ ………………………….

4.2 ค่าท่ีอ่านได…้ ………………………….

5. จงคำนวณหาผลลัพธต์ ามหลักเลขนัยสำคัญ
5.1 นำแท่งไม้ 2 แท่ง ที่มีความยาว 7.50 เซนติเมตร และ 3.268 เซนติเมตร มาต่อกันจะได้แท่งไม้ที่มีความ
ยาวเทา่ ใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

5.2 นำบีกเกอร์ใบหนึ่งใส่น้ำจนเกือบเต็ม มาชั่งบนตาชั่งอ่านค่าได้ 200.0 กรัม จากนั้นเทน้ำออกจนหมดแล้ว
นำไปชง่ั ใหมอ่ ่านค่าได้ 125.6 กรัม จงคำนวณหา

ก) มวลของน้ำท่ีเทออกไปในหน่วยกิโลกรมั
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ข) ปริมาตรของน้ำที่เทออกไป เมื่อกำหนดให้ความหนาแน่นของน้ำเท่ากับ 1,000 กิโลกรัมต่อ
ลกู บาศกเ์ มตร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

6. จงคำนวณหาผลลัพธ์ตามหลกั เลขนยั สำคัญและความคลาดเคลือ่ น

ถา้ ปริมาณ A = 7.2 ± 0.2 เมตร ปรมิ าณ B = 2.4 ± 0.3 เมตร และปริมาณ C = 4.5 ± 0.6 เมตร
จงหาผลลัพธ์ของปรมิ าณต่อไปนต้ี ามหลักเลขนยั สำคัญและความคลาดเคล่ือน
1. A + B
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. A – B
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. A – B + 2C
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. AB
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบงานท่ี 1.2 เฉลย

เรอื่ ง การวัดปริมาณทางกายภาพในเชิงฟิสกิ ส์

1. นักเรียนจงเปลย่ี นหนว่ ยปริมาณที่กำหนดใหด้ ังตอ่ ไปน้ี

1.1 15 cm เขียนให้อยใู่ นหนว่ ย เมตร (m) 0.15 m

1.2 789 g เขยี นใหอ้ ยใู่ นหนว่ ย กโิ ลเมตร (kg) 0.789 kg

1.3 2.4 m3 เขยี นให้อยูใ่ นหน่วย ลกู บาศก์เซนติเมตร (cm3) 2.4 x 108 cm8

1.4 201 mm เขียนใหอ้ ยู่ในหนว่ ย เมตร (m) 0.201 m

1.5 165 ml เขยี นใหอ้ ยู่ในหนว่ ย ลกู บาศก์เมตร (m3) 165 x 10-6 m3

1.6 5 min เขยี นใหอ้ ยูใ่ นหนว่ ย วนิ าที (s) 300 s

1.7 700 mC เขียนให้อยใู่ นหน่วย คูลอมบ์ (C) 0.700 C

1.8 1.2 kA เขยี นใหอ้ ยูใ่ นหนว่ ย แอมแปร์ (A) 1,200 A

1.9 400 MHz เขียนใหอ้ ยใู่ นหน่วย ไมโครเฮิรตซ์ (μHz) 4 x 1014 μHz
1.10 1.5 x 10-5 A เขียนให้อยูใ่ นหนว่ ย มลิ ลแิ อมแปร์ (mA) 1.5 x 10-2 mA

1.11 15 m3 เขียนให้อยใู่ นหนว่ ย ลกู บาศก์มิลลเิ มตร (mm3) 1.5 x 1010 mm3

1.12 23.4 ช่ัวโมง เขียนใหอ้ ยใู่ นหน่วย วินาที (s) 84,240 s

2. พจิ ารณาขอ้ มูลท่ใี ห้วา่ บันทกึ ถกู ต้องตามระบบเอสแหรือไม่ หากไมถ่ กู ตอ้ งให้แกไ้ ขให้ถกู ต้อง

ขอ้ มูล คำตอบ แกไ้ ขเปน็

2.1 แท่งไม้มนี ำ้ หนัก 0.20 kg ไมถ่ ูกตอ้ ง แท่งไม้มีมวล 0.20 kg

2.2 นำ้ อุณหภมู ิ 87o C ถูกต้อง หรอื น้ำมีอณุ หภูมิ 360 K

2.3 มุมตกกระทบเท่ากับ 45o ถกู ต้อง หรอื มีมมุ ตกหระทบเทา่ กบั π/4 rad

2.4 อ่านคา่ จากโวลตม์ ิเตอร์ได้ 5.0 V ถูกต้อง

2.5 ความตา้ นทานมคี า่ เท่ากบั 20 ไมถ่ ูกต้อง ความต้านทานเทา่ กบั 20 Ω

3. ระบจุ ำนวนเลขนยั สำคญั ของจำนวนที่กำหนดให้ พร้อมให้เหตผุ ล
3.1 0.3002

ตัวเลขทอ่ี ยหู่ ลังจดุ ทศนิยมทง้ั หมดนบั เป็นเลขนัยสำคัญ โดยนับเลขศนู ย์ทย่ี ู่ระหว่างตัวเลขอ่ืนเป็นเลขนัยสำคัญ
ด้วย ส่วนเลขศูนย์ที่อยู่หน้าตัวเลขอื่นไม่นับเป็นเลขนัยสำคัญ นั่นคือ นับ 3 0 0 2 ดังนั้น 0.3002 มีเลข
นัยสำคญั เทา่ กบั 4

3.2 3.1415
ตัวเลขทุกตัวที่ไม่ใช่เลขศูนย์ ให้นับเป็นเลขนัยสำคัญทุกตัว นั่นคือ 3 1 4 1 5 ดังนั้น 3.1415 มีจำนวนเลข
นยั สำคญั เทา่ กบั 5

3.3 0.000000870
จำนวนทีม่ ีค่าน้อยมากต้องเขยี นในรปู สัญกรณว์ ทิ ยาศาสตร์กอ่ น จึงได้ว่า 8.70 x 10-7 จากนั้นนับเฉพาะสว่ นที่
เป็นตัวเลข โดยนับเลขศูนย์ที่อยู่หลังจุดทศนิยมของตัวเลขใด ๆ เป็นเลขนัยสำคัญด้วย นั่นคือ 8 7 0 ดังน้ัน
0.000000870 มจี ำนวนเลขนยั สำคญั เท่ากบั 3

3.4 101,050
เลขศูนย์ที่อยู่หลังหรือระหวา่ งตัวเลขอื่นทีไ่ ม่ใช้ศูนย์ นับเป็นเลขนัยสำคัญดว้ ย นั่นคือ นับ 1 0 1 0 5 0 ดังนั้น
101,050 มจี ำนวนเลขนัยสำคญั เทา่ กบั 6

3.5 6.02 x 1023
เลขยกกำลังฐาน 10 ให้นับเฉพาะส่วนที่เป็นตัวเลข ไม่นับตรงเลขยกกำลังฐาน 10 นั่นคือ นับ 6 0 2 ดังน้ัน
6.02 x 1023 มจี ำนวนเลขนัยสำคญั เทา่ กับ 3

4. อา่ นค่าความยาวของแทง่ ไม้จากภาพท่ีกำหนดให้

4.1 ค่าท่อี า่ นได้ 5.64 เซนติเมตร

4.2 ค่าทีอ่ ่านได้ 7.0 เซนติเมตร

5. จงคำนวณหาผลลพั ธต์ ามหลักเลขนัยสำคัญ

5.1 นำแท่งไม้ 2 แท่ง ที่มีความยาว 7.50 เซนติเมตร และ 3.268 เซนติเมตร มาต่อกันจะได้แท่งไม้ที่มีความ

ยาวเทา่ ใด

วธิ ีทำ แท่งไมแ้ รกยาว 7.50 cm

แท่งไม้ทีส่ องยาว 3.268 + cm

แท่งไมร้ วมยาว 10.768 cm

ตอบ แทง่ ไม้ทต่ี ่อกนั จะยาว 10.768 เซนตเิ มตร

5.2 นำบีกเกอร์ใบหนึ่งใส่น้ำจนเกือบเต็ม มาชั่งบนตาชั่งอ่านค่าได้ 200.0 กรัม จากนั้นเทน้ำออกจนหมดแล้ว

นำไปช่ังใหม่อ่านค่าได้ 125.6 กรัม จงคำนวณหา

ก) มวลของน้ำทเ่ี ทออกไปในหน่วยกโิ ลกรมั

วธิ ีทำ บกี เกอร์ใสน่ ำ้ มวล 200.0 g
บีกเกอร์เปลา่ มวล 125.6 - g

มวลของนำ้ 74.4 g

ตอบ มวลของน้ำท่ีเทออกไปเท่ากับ 74.4 x 10-3 กโิ ลกรัม

ข) ปริมาตรของน้ำที่เทออกไป เมื่อกำหนดให้ความหนาแน่นของน้ำเท่ากับ 1,000 กิโลกรัมต่อ

ลูกบาศก์เมตร

วธิ ีทำ ความหนาแน่น = มวล

ปริมาตร
ปรมิ าตร = 74.4 x 10-3 kg

= 1,000 kg/m3
= 74.4 x 10-6 m3
ตอบ ปริมาตรของนำ้ ท่เี ทออกไปเทา่ กับ 74.4 x 10-6 ลกู บาศกเ์ มตร

6. จงคำนวณหาผลลพั ธต์ ามหลกั เลขนัยสำคัญและความคลาดเคลื่อน

ถ้าปรมิ าณ A = 7.2 ± 0.2 เมตร ปรมิ าณ B = 2.4 ± 0.3 เมตร และปริมาณ C = 4.5 ± 0.6 เมตร
จงหาผลลพั ธข์ องปริมาณต่อไปนี้ตามหลักเลขนัยสำคญั และความคลาดเคล่ือน
1. A + B

วธิ ีทำ A + B = (7.2 ± 0.2) + (2.4 ± 0.3)

= (7.2 + 2.4) ± (0.2 + 0.3)

= 9.6 ± 0.5 เมตร

ตอบ ผลลัพธข์ องปรมิ าณ A + B เท่ากับ 9.6 ± 0.5 เมตร

2. A – B A - B = (7.2 ± 0.2) - (2.4 ± 0.3)
วธิ ที ำ = (7.2 - 2.4) ± (0.2 + 0.3)
= 4.8 ± 0.5 เมตร

ตอบ ผลลัพธข์ องปรมิ าณ A + B เท่ากบั 4.8 ± 0.5 เมตร

3. A – B + 2C (7.2 ±
วิธที ำ A – B + 2C = (4.8 ± 0.5) + 2(4.5 ± 0.6)

= (4.8 ± 0.5) ± (9.0 + 1.2)
= (4.8 + 9.0) ± (0.5 + 1.2)
= 13.8 ± 1.7 เมตร
ตอบ ผลลัพธข์ องปรมิ าณ A – B + 2C เทา่ กับ 13.8 ± 1.7 เมตร

4. AB
วธิ ีทำ AB =
0.2)(2.4 ± 0.3)

= (7.2)(2.4) ± (7.2)(2.4)(07..22 + 20..34)

= 17.28 ± (17)(0.1)

= 17 ± 2 ตารางเมตร

ตอบ ผลลพั ธข์ องปริมาณ AB เท่ากบั 17 ± 2 ตารางเมตร

เกณฑ์การประเมนิ คณุ ลกั ษะอนั พงึ ประสงค์

ตัวช้วี ัด ผา่ น (1) ปฏบิ ตั ิตามข้อ
1. มวี นิ ยั ปฏิบตั ติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบของ ช้ันเรยี น ตรงต
2. ใฝ่เรยี นรู้ ช้ันเรยี น ตรงตอ่ เวลาในการปฏิบัติกิจกรรม ต่างๆ และรับ
ต่างๆ
3. มุ่งมั่นในการทำงาน เขา้ เรยี นตรงเวลา ตั้งใจเรียน เอาใจใส่ และ เข้าเรยี นตรงเ
มคี วามเพยี รพยายามในการเรียนรู้ มีส่วน ความเพียรพย
ร่วมในการเรียนรู้ และเข้าร่วมกจิ กรรมการ ในการเรียนรู้
เรียนร้ตู า่ งๆ บางครง้ั ต่างๆ ทงั้ ภาย
บ่อยครง้ั
ต้ังใจและรบั ผิดชอบในการปฏิบตั ิหน้าทีท่ ่ี
ไดร้ ับมอบหมายให้สำเรจ็ ต้งั ใจและรบั ผ
ได้รบั มอบหม
ทำงานใหด้ ีข้ึน

เกณฑ์การประเมิน ดีมาก
ช่วงคะแนน 7 – 9 ระดับคุณภาพ 3 ดี
ชว่ งคะแนน 4 - 6 ระดับคณุ ภาพ 2 พอใช้
ชว่ งคะแนน 3 ระดบั คุณภาพ 1

เกณฑก์ ารผ่าน : นักเรยี นไดร้ ะดบั คุณภาพ 2 ขน้ึ ไป

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ดีเย่ยี ม (3)
ดี (2)
ปฏิบตั ิตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บของช้นั
อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบของ เรียน ไมล่ ะเมิดสิทธขิ องผูอ้ ่นื ตรงตอ่ เวลาในการ
ต่อเวลาในการปฏบิ ัติกจิ กรรม ปฏิบัตกิ จิ กรรมตา่ งๆ และรบั ผดิ ชอบในการทำงาน
บผิดชอบในการทำงาน
เวลา ตงั้ ใจเรียน เอาใจใส่ และมี เข้าเรียนตรงเวลา ต้ังใจเรียน เอาใจใส่ และมีความ
ยายามในการเรียนรู้ มสี ่วนร่วม เพียรพยายามในการเรยี นรู้ มีส่วนรว่ มในการ
และเข้ารว่ มกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรยี นรู้ และเขา้ รว่ มกิจกรรมการเรียนรตู้ ่างๆ ทงั้
ยในและภายนอกโรงเรยี น ภายในและภายนอกโรงเรยี นเปน็ ประจำ และเป็น
แบบอย่างท่ดี ี
ผดิ ชอบในการปฏิบตั หิ นา้ ทีท่ ่ี
มายให้สำเร็จ มีการปรบั ปรงุ การ ตั้งใจและรับผิดชอบในการปฏิบตั ิหนา้ ทท่ี ี่ไดร้ ับ
น มอบหมายให้สำเรจ็ มกี ารปรับปรุงและพฒั นาการ
ทำงานให้ดีข้นึ

แบบมาตรประมาณค่าเพ่อื ประเมินคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
คำชี้แจง : ใหพ้ ิจารณาพฤติกรรมต่อไปน้ี แล้วใหร้ ะดับคะแนนที่ตรงกับการปฏบิ ัติของนกั เรยี นตามความเปน็
จริง

รายการประเมิน คะแนน
เฉลี่ย
เลขท่ี ชอ่ื -สกุล มีวินัย ใฝ่เรยี นรู้ มงุ่ ม่ันใน การแปลผล
การทำงาน

ลงช่อื .........................................................
(.............................................)
ผปู้ ระเมิน

เกณฑ์การวดั และประเมินผล
เกณฑ์การประเมินทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์

ตัวชี้วัด ผ่าน (1)
ทกั ษะการคำนวณ
คำนวณคา่ ท่ีต้องการโดยใชว้ ิธีการทางการ คำนวณค่าท
ทักษะการลงความเห็นจาก
ข้อมูล คำนวณ เช่น การหาค่าเฉลีย่ อตั ราสว่ น คำนวณ เช่น

ทกั ษะการตีความและลง ได้ถูกตอ้ งบางส่วน ถูกต้องส่วน
ข้อสรุป
ลงความเห็นโดยอาศยั หลักฐานทไ่ี ดจ้ าก ลงความเห็น

การสงั เกต หรอื ท่ีไดจ้ ากการทำกิจกรรม สงั เกต หรอื

บางส่วน

บันทกึ ข้อมลู โดยมีการใช้ตารางหือวิธีการ บนั ทึกข้อมลู

อนื่ ในการจดั ระเบียบข้อมลู บางส่วน และมี ในการจดั ระ

การระบุชนดิ หรือหนว่ ยของข้อมลู บางส่วน ระบุชนดิ หร

เกณฑก์ ารประเมนิ ดมี าก
ชว่ งคะแนน 7 – 9 ระดบั คุณภาพ 3 ดี
ช่วงคะแนน 4 - 6 ระดับคุณภาพ 2 พอใช้
ช่วงคะแนน 3 ระดบั คุณภาพ 1

เกณฑก์ ารผา่ น : นักเรยี นไดร้ ะดับคุณภาพ 2 ขนึ้ ไป

เกณฑ์การให้คะแนน ดเี ยยี่ ม (3)

ดี (2) คำนวณคา่ ท่ีตอ้ งการโดยใช้วิธีการทางการ
คำนวณ เชน่ การหาค่าเฉลยี่ อัตราส่วน ได้
ที่ตอ้ งการโดยใชว้ ธิ กี ารทางการ ถูกต้องครบถว้ น
น การหาค่าเฉล่ยี อตั ราสว่ น ได้
นใหญ่ ลงความเห็นโดยอาศยั หลักฐานทีไ่ ด้จากการ
สังเกต หรอื ท่ีได้จากการทำกจิ กรรมครบถว้ น
นโดยอาศยั หลักฐานท่ไี ดจ้ ากการ
อที่ได้จากการทำกิจกรรมส่วนใหญ่

ลโดยมีการใช้ตารางหือวธิ ีการอน่ื บนั ทกึ ข้อมูลโดยมีการใช้ตารางหอื วิธีการอ่นื
ะเบียบข้อมลู ส่วนใหญ่ และมีการ ในการจดั ระเบียบข้อมูลครบถ้วน และมกี าร
รือหนว่ ยของข้อมูลสว่ นใหญ่ ระบชุ นิดหรอื หน่วยของข้อมลู ครบถว้ น

ทม่ี า สสวท.

แบบมาตรประมาณค่าเพือ่ ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
คำชี้แจง : ใหพ้ ิจารณาพฤติกรรมต่อไปน้ี แล้วให้ระดบั คะแนนทต่ี รงกับการปฏบิ ตั ิของนกั เรยี นตามความเป็น
จรงิ

รายการประเมนิ

เลขที่ ชอ่ื -สกุล ทักษะการคำนวณ คะแนน การแปลผล
ทักษะการลง เฉล่ีย

ความเห็นจากข้อมูล
ทักษะการ ีตความและ

ลงข้อส ุรป

ลงชอ่ื .........................................................
(.............................................)
ผ้ปู ระเมิน

แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 3

รหสั วชิ า ว30201 รายวิชา ฟสิ ิกส์ 1 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 ธรรมชาตฟิ ิสกิ ส์ เรอ่ื ง การวดั และการบนั ทึกผลการวัดปรมิ าณทางฟิสิกส์

ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 เวลาเรียน 3 ช่ัวโมง

ผู้สอน นางสาวสุเมธาวี ขันทอง

มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตัวชีว้ ดั /ผลการเรียนรู้

สาระฟสิ กิ ส์ : 1. เขา้ ใจธรรมชาติทางฟสิ ิกส์ ปรมิ าณและกระบวนการวัด การเคล่ือนท่แี นวตรง แรงและกฎการ
เคล่ือนทีข่ องนวิ ตนั กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทานสมดลุ กลของวัตถุ งานและกฎการอนุรักษ์พลังงานกล
โมเมนตัมและกฎการอนรุ ักษโ์ มเมนตัม การเคลอ่ื นที่แนวโคง้ รวมท้ังนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ผลการเรยี นรู้

วัดและรายงานผลการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ได้ถูกต้องเหมาะสม โดยนำ ความคลาดเคลื่อนในการ
วัดมาพิจารณาในการนำ เสนอผลด้วย รวมทั้งแสดงผลการทดลองในรูปของกราฟ วิเคราะห์และแปล
ความหมายจากกราฟเส้นตรง

จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
ด้านความรู้ (K)
- บอกความสำคัญของการทดลองและรายงานผลการทดลอง
ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P)
- บันทกึ ผลการวดั โดยใชค้ า่ ทางสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและความคลาดเคลอื่ นของค่าเฉลย่ี
ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)
- นักเรยี นมีนักเรยี นมีความสนใจใฝ่เรียนรตู้ อ่ การเรียน

สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด

การทดลองทางฟิสิกส์เกี่ยวกับการวัดปริมาณต่างๆ ด้วยเครื่องมือวัดซึ่งมีความแม่นยำ อยู่ในช่วงจำ
กัด การวัดควรเลือกใช้เครื่องมือวัดให้เหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการวัด เช่นการวัดความยาวของวัตถุที่ต้องการ
ความ ละเอียดสูงอาจใช้เวอร์เนียร์แคลิเปอร์ หรือไมโครมิเตอร์ การวัดปริมาณต่าง ๆ จะมีความคลาดเคลื่อน
เสมอ ข้ึนอยู่กับเคร่ืองมือวัด วิธีการวัด และประสบการณ์ของผู้วัด รวมทั้งสภาพแวดล้อมขณะทำ การวัด ใน
การ บันทึกปริมาณที่ได้จากการวัดจะต้องบันทึกผลตามความละเอียดของเครื่องมือวัดพร้อมแสดง ความไม่
แน่นอนในการวัด ซึ่งค่าความคลาดเคลื่อนสามารถแสดงในการรายงานผลทั้งในรูปแบบตัวเลข และกราฟ
การหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ที่ได้จากการทดลองทางฟิสิกส์ทำ ได้โดยการวิเคราะห์ และการ
แปลความหมายจากกราฟ เช่น การหาความชันจากกราฟเส้นตรง จุดตัดแกน พ้ืนที่ใต้กราฟ เป็นต้น

สาระการเรยี นรู้

การทดลองทางฟิสิกส์เมื่อได้ข้อมลู มาแลว้ สามารถนำเสนอข้อมูล โดยการเขยี นกราฟจากผลการทำลอง
เพื่อนำมาวเิ คราะหค์ วามสัมพันธ์ตวั แปรตา่ งๆ

สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น

( ✓ ) ความสามารถในการสื่อสาร ( ✓ ) ความสามารถในการคดิ ( ) ความสามารถในการแก้ปัญหา

( ) ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต ( ) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์

( ) รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ ( ✓ ) ซอ่ื สัตย์สจุ ริต ( ) มวี ินัย ( ✓ ) ใฝเ่ รยี นรู้

( ) อยอู่ ยา่ งพอเพียง ( ✓ ) มุ่งมั่นในการทำงาน ( ) รักความเป็นไทย ( ✓ ) มีจิตสาธารณะ

คุณลกั ษณะของผเู้ รียนตามหลักสตู รมาตรฐานสากล

( ✓ ) เป็นเลิศวิชาการ ( ) สอ่ื สารสองภาษา ( ✓ ) ล้ำหน้าทางความคิด

( ✓ ) ผลติ งานอยา่ งสร้างสรรค์ ( ) รว่ มกันรับผิดชอบต่อสังคมโลก

ชนิ้ งาน/ภาระงาน

1. คำถามตรวจสอบความเข้าใจ 1.3

2. ใบงานที่ 1.3 เรอ่ื ง การวัดปริมาณทางกายภาพในเชงิ ฟสิ ิกส์

กจิ กรรมการเรียนรู้

ข้นั ที่ 1 ข้ันสรา้ งความสนใจ
1. นักเรียนและครูร่วมกันสนทนา เกี่ยวกับ “การทดลอง มีความสำคัญอย่างไร ขณะดำเนินการ

ทดลองสิ่งใดที่มีความสำคัญ” เพื่อนำไปสู่คำถามที่ว่า “การบันทึกข้อมูล ที่ได้จากการทดลอง โดยเฉพาะจาก
เครอื่ งมือแบบสเกล จะเปน็ ขอ้ มลู เชิงปริมาณ ตัวเลขทุกตวั มีความสำคัญ เทา่ กัน หรือตา่ งกันอย่างไร”

2. นักเรียนตอบข้อซักถามของครูว่า “การบันทึกข้อมูล ที่ได้จากการทดลอง โดยเฉพาะจากเครื่องมือ
แบบสเกล จะเปน็ ข้อมลู เชิงปริมาณ ตัวเลขทุกตัวมีความสำคญั เทา่ กัน หรอื ต่างกนั อย่างไร” (คำตอบเป็นแบบ
ปลายเปิด)

3. นกั เรยี นร่วมกันอภปิ รายในแต่ละกลุม่ พรอ้ มท้งั บันทกึ ความเห็นของกลุ่มในใบงาน
4. ตัวแทนนักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอความเห็นของกลุ่ม (ของแต่ละคนในกลุ่มโดยตัวแทนของกลุ่ม
และข้อสรปุ ของกลมุ่ )
5. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับ “การบันทึกข้อมูล ที่ได้จากการทดลอง โดยเฉพาะจาก
เคร่อื งมือแบบสเกล จะเปน็ ขอ้ มลู เชิงปริมาณ ตวั เลขทุกตัวมคี วามสำคัญ เท่ากนั หรือต่างกันอย่างไร”

ขัน้ ท่ี 2 ขน้ั สำรวจและค้นหา
1. ครูให้นักเรียนวเิ คราะห์ผลการทดลอง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเร็ว และ เวลา ในการ
เคลื่อนที่ของวัตถสุ ามารถบนั ทึกขอ้ มูลได้ดงั ตาราง 1.1


Click to View FlipBook Version