โคลนติดล้อ ตอน ความนิยมเป็นเสมียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ประวัติผู้แต่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราช โอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ พระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระราชสมภพเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2423 ทรงมีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามหา วชิราวุธ พระองค์โปรดงานด้านวรรณกรรมมาตั้งแต่ทรงพระ เยาว์ และทรงมีผลงานพระราชนิพนธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง เช่น หัวใจชายหนุ่ม มัทนะพาธา บทละครเรื่อง เห็นแก่ลูก เป็นต้น รวมทั้งผลงานด้านการพิมพ์ เช่น ทรงออกหนังสือพิมพ์ ดุสิตสมิต และทรงเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ จน ได้รับการยกย่องว่าทรงเป็น “นักหนังสือพิมพ์”
ความเป็นมา โคลนติดล้อ เป็นพระราชนิพนธ์ใน (รัชกาลที่ 6) ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทย ระหว่างวันที่ 28 เมษายน ถึง 11 พฤษภาคม พ.ศ.2458 และทรงพระราชนิพนธ์เป็น ภาษาอังกฤษโดยใช้ชื่อว่า “Clogs on Our Wheels” ลงในหนังสือพิมพ์สยามออบ เซอร์เวอร์(Siam Observer) โดยทรงใช้พระนามแฝงว่า “อัศวพาหุ” และใช้นามแฝง นี้ส าหรับบทความที่ลงในหนังสือพิมพ์ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับกิจการทหาร สงคราม เหตุการณ์บ้านเมืองทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งการปลุกใจให้คนไทยมีความตื่นตัว ในการรักชาติบ้านเมืองของตน
จุดประสงค์ในการแต่ง เพื่อชี้ให้ผู้อ่านได้เห็นถึงปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องกีดขวางเหนี่ยว รั้งความเจริญของชาติ ในตอนความนิยมเป็นเสมียน รัชกาลที่ 6 ทรงแสดงทรรศนะ เกี่ยวกับปัญหาที่คนมีการศึกษาสูง แต่กลับนิยมที่จะเป็นเสมียน ไม่ยอมกลับ ภูมิล าเนาของตนไปท างานภาคเกษตรกรรมที่มีประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่า
ลักษณะค าประพันธ์ โคลนติดล้อ มีลักษณะค าประพันธ์ในรูปแบบร้อย แก้ว ประเภท บทความแสดงความคิดเห็น ซึ่งหลักในการ เขียนบทความที่เป็นร้อยแก้ว ประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้ 1. ส่วนเริ่มต้น ผู้เขียนอาจใช้ถ้อยค าส านวนที่เร้า ความสนใจให้ผู้อ่านอยากอ่านต่อ 2. ส่วนเนื้อเรื่อง ผู้เขียนอาจบอกข้อความที่เป็น ข้อเท็จจริง ข้อควรรู้หรือข้อคิดต่างๆ ก็ได้ 3. ส่วนท้าย ผู้เขียนจะสรุปให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องที่ได้ กล่าวมาแล้วหรืออาจฝากข้อคิดเห็นให้แก่ผู้อ่าน
บทความเรื่องโคลนติดล้อ บทความเรื่องโคลนติดล้อ มีทั้งหมด 12 ตอน แต่ละตอนเป็นการน าเสนอความคิด เกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคที่ท าให้ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าช้ากว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งเปรียบเทียบเป็นโคลน 12 ก้อน ดังนี้ 1. การเอาอย่างโดยไม่ตริตรอง 7. ความจนไม่จริง 2. การท าตนให้ต่ าต้อย 8. แต่งงานชั่วคราว 3. การบูชาหนังสือเกินเหตุ 9. ความไม่รับผิดชอบบิดามารดา 4. ความนิยมเป็นเสมียน 10. การค้าหญิงสาว 5. ความเห็นผิด 11. ความหยุมหยิม 6. ถือเกียรติไม่มีมูล 12. หลักฐานไม่มั่นคง
เนื้อเรื่องโคลนติดล้อ ตอน ความนิยมเป็นเสมียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ผลแห่งการบูชาหนังสือจนเกินเหตุ ตามที่ข้าพเจ้าได้กล่าว มาแล้วนั้น มีอยู่อีกอย่างหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าจะขอเรียกว่า ความนิยม เป็นเสมียน เพราะจะหาค าให้สั้นกว่านี้ไม่ได้ การตั้งโรงเรียนขึ้นทั่วทั้งพระราชอาณาจักรให้โอกาสแก่ บรรดาชายหญิงทุก ๆ ขั้นได้ศึกษาให้รู้อ่านรู้เขียนหนังสือนั้น กลับ ให้ผลที่ท าให้เป็นที่ร าคาญ และอาจจะท าให้ร าคาญยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ เดี๋ยวนี้ก็เป็นได้ โดยไม่กล่าวถึงความเสียหายอย่างอื่นซึ่งจะพึงมีมา ในไม่ช้าวัน
เด็กทุกๆ คนซึ่งเล่าเรียนส าเร็จออกมาจากโรงเรียนล้วนแต่มี ความหวังฝังอยู่ว่าจะได้มาเป็นเสมียน หรือเป็นเลขานุการ และจะ ได้เลื่อนยศเลื่อนต าแหน่งขึ้นเร็ว ๆ เป็นล าดับไป เด็กที่ออกมาจาก โรงเรียนเหล่านี้ย่อมเห็นว่ากิจการอย่างอื่นไม่สมเกียรติยศนอกจาก การเป็นเสมียน ข้าพเจ้าเองได้เคยพบเห็นพวกหนุ่ม ๆ ชนิดนี้หลาย คนเป็นคนฉลาดและว่องไว และถ้าหากเขาทั้งหลายนั้นไม่มีความ กระหายจะท างานอย่างที่พวกเขาเรียกกันว่า "งานออฟฟิศ" มากีด ขวางอยู่แล้ว เขาก็อาจจะท าประโยชน์ได้มาก
การที่จะบอกให้เขาเหล่านี้กระท าตัวของเขาให้เป็นประโยชน์ โดยกลับไปบ้าน และช่วยบิดามารดาเขาท าการเพาะปลูกนั้นเป็น การป่วยกล่าวเสียเวลา เขาตอบว่าเขาเป็นผู้ที่ได้รับความศึกษามา จากโรงเรียนแล้ว ไม่ควรจะเสียเวลาไปท างานชนิดซึ่งคนที่ไม่รู้ หนังสือก็ท าได้ และเพราะเขาไม่อยากจะลืมวิชาที่เขาได้เรียนรู้มา จากโรงเรียนนั้นด้วย เพราะเหตุนี้เขาสู้สมัคร อดอยากอยู่ใน กรุงเทพฯ ได้เงินเดือนเพียงเดือนละ 15 บาท หรือ 20 บาท ยิ่งกว่าที่ จะกลับไปประกอบการเพื่อเพิ่มพูนความสมบูรณ์แห่งประเทศใน ภูมิล าเนาเดิมของเขา
นึกไปก็น่าประหลาดที่สุด ที่คนจ าพวกนี้สู้อดทนต่อความล าบากเพื่อแสวงหาและ รักษาต าแหน่งเสมียนของเขา ในเงินเดือน 15 บาทนี้ พ่อเสมียนยังอุตส่าห์จ าหน่ายจ่าย ทรัพย์ได้ต่างๆ เช่นนุ่งผ้าม่วงสี ใส่เสื้อขาว สวมหมวกสักหลาด และในเวลาที่กลับจาก ออฟฟิศแล้วก็ต้องสวมกางเกงแพรจีนด้วย และจะต้องไปดูหนังอีกอาทิตย์ละ 2 ครั้งเป็น อย่างน้อย ต้องไปกินข้าวตามกุ๊กช็อป แล้วยังมิหน าซ้ าจะต้องเสียค่าเช่าห้องอีกด้วย ( หรือบางทีเขาจะไม่เสียก็ไม่ทราบ )
ครั้นเมื่อเงินเดือนขึ้นเป็นเดือนละ 20 บาท เขาก็คิดอ่านแต่งงานทีเดียว ( ข้าพเจ้าต้องขอ อธิบายค าว่าแต่งงานไว้ในวงเล็บในที่นี้ว่า ที่ข้าพเจ้า เรียกว่าแต่งงานนั้น ข้าพเจ้าพูดอย่างละม่อม เพราะว่าการแต่งงานชนิดนี้มักเป็นการชั่วคราว โดยมาก ซึ่งข้าพเจ้าจะได้กล่าวต่อไปในบทหน้า เพราะว่าเป็นโคลนก้อนหนึ่งซึ่งจะได้ยกขึ้นให้ท่าน พิจารณาต่อไป )
ข้าพเจ้าย่อมเข้าใจอยู่ว่า ชายหนุ่มซึ่งได้ฝึกตัวให้คุ้นแก่ความ สนุกสนานในเมือง ย่อมจะรู้สึกเบื่อหน่ายถิ่นฐานบ้านเดิมของเขา ตามบ้านนอก และที่จะกล่าวว่าถ้าเขาอยู่ในเมือง เขาอาจจะท า ประโยชน์ให้แก่บ้านเกิดเมืองนอนของเขาดีกว่าอยู่บ้านนอกนั้น เป็น ความเหลวไหลโดยแท้ ท่านผู้มีความคิดคงจะเข้าใจได้ดีว่า อันประเทศ อย่างเมืองไทยของเรานี้ ชาวนา ชาวสวน อาจจะท าประโยชน์ให้แก่ บ้านเมืองได้มากกว่าเสมียน ซึ่งเป็นแต่เครื่องมือเท่ากับปากกาและ พิมพ์ดีด ซึ่งเขาใช้ ( หรือใช้ผิด ) ถ้าจะเปรียบพืชที่เขาได้ท าให้งอก ต้องนับว่าน้อยกว่าผลที่เขาได้กินเข้าไป แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังนึกว่าตัว เขาดีกว่าชาวนาและข้อที่ร้ายนั้น พวกเราทั้งหลายก็พลอยยอมให้เขา คิดเห็นเช่นนั้นเสียด้วย
เมื่อไรหนอ พวกหนุ่ม ๆ ของเราจึงจะเข้าใจได้บ้างว่า การเป็นชาวนา ชาวสวน หรือคนท างานการอื่น ๆ นั้น ก็มี เกียรติยศเท่ากับที่จะเป็นผู้ท างานด้วยปากกาเหมือนกัน เมื่อไรจึงจะบังเกิดความรู้สึกเกียรติยศแห่งการงานอื่นๆ นอกจากงานที่ท าด้วยปากกาแลพิมพ์ดีด ? ค าตอบแห่งปัญหาข้อนี้ ก็เป็นดังที่กล่าวมาแล้วนั้นเอง กล่าวคือเป็นความผิดของเราทั้งหลายด้วยกัน มิใช่ความผิด ของพวกหนุ่ม ๆ โดยเฉพาะเท่านั้นหามิได้ ตราบใดถ้าเรา ยังคงแสดงความเห็นโดยประการต่าง ๆ ว่าเสมียนเป็นบุคคล ชั้นที่สูงกว่าชาวนา ชาวสวนหรือพ่อค้าอยู่ พวกหนุ่ม ๆ ของ เราก็คงจะทะเยอทะยานฝักใฝ่ทางเป็นเสมียนอยู่ตราบนั้น
ใช่แต่เท่านั้น ยังมีคนอยู่เป็นอันมากที่ช่วยเปิดทาง หาการงานให้แก่ผู้ที่อยากจะเป็นเสมียน ส่วนผู้ที่ ปรารถนาจะช่วยให้คนได้ตั้งตัวเป็นชาวนา ชาวสวนหรือ คนท างานอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์เหมือนกันนั้นมีน้อยนัก ข้อที่ว่าบรรดากระทรวง ทบวง การมีเสมียนมากกว่า ความจ าเป็นนั้น ถึงแม้ผู้ที่ดูแต่เผิน ๆ ก็เห็นได้ว่าเป็น ความจริง เพราะฉะนั้นสถานที่เหล่านั้นจึงต้องจัดการ ถ่ายเทพวกที่เกินต้องการออกเสียเป็นครั้งคราว เพื่อจะ ได้รับคนใหม่ ๆ ต่อไป
ส่วนพวกที่ถูกคัดออกนั้นเล่าเป็นอย่างไรบ้าง ข้อนี้ แหละเป็นที่น่าสังเวชยิ่งนัก คนเราที่ปล่อยให้ชีวิตล่วงไปโดย ท าการเป็นเสมียนเสียนานแล้ว จะไปท างานการอะไรอื่นก็ ไม่สามารถจะท าได้ ถ้าเขาเป็นคนที่ท าประโยชน์ได้อยู่ เขาก็ คงจะได้เลื่อนขึ้นไปในต าแหน่งอื่นไม่ต้องถูกคัดออก ก็เช่นนั้นเขาจะไปท าอะไรเล่า เขาจะไปเป็นชาวนาไม่ได้ด้วย เหตุผลหลายประการ ประการหนึ่ง ก็เพราะความหยิ่งอันหา มูลมิได้ของเขานั้นเอง
เขาเห็นว่าไม่สมเกียรติยศที่จะไปหาการงานท ากับชาวนา ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นคนชั้น ต่ าและสามัญ ครั้นเขาจะเป็นเจ้าของเองก็ไม่ได้ ด้วยเหตุว่าเป็นการเหลือวิสัยที่เขาจะเก็บ หอมรอมริบไว้ได้จากเงินเดือนอันน้อย ซึ่งเขาต้องจับจ่ายซื้อสิ่งของซึ่งเขาถือว่าเป็นของ จ าเป็นในระหว่างที่เขาท าการเป็นเสมียนอยู่ แต่เหตุส าคัญที่เขาจะเป็นชาวนาไม่ได้นั้นก็ คือ เขาตกลงใจไม่ได้ที่จะทิ้งเมืองไปอยู่ตามบ้านนอกคอกนา เพราะฉะนั้นพวกเสมียนที่ เกินอัตราเหล่านี้จึงคงอยู่ในเมือง
และเที่ยวพยายามแสวงหาต าแหน่งเสมียน ต่อไป ซึ่งถ้าโชคดีก็คงจะเข้าได้ชั่วคราว แต่ไม่ ช้าก็ต้องเปิดออกไปอีก ในระหว่างนี้อายุของ เขาก็ล่วงเข้าไปทุกวัน และผู้ที่เป็นนายหรือก็ ชอบใช้แต่เสมียนที่หนุ่ม เพราะฉะนั้นโอกาสที่ จะหางานท าก็มีน้อยเข้าทุกวัน จนเป็นที่น่า อัศจรรย์ว่าเขาหาเลี้ยงชีพอยู่ได้อย่างไร
ถ้าเขาเป็นผู้ที่มีนิสัยสุจริตเขาก็เลี่ยงไปตายอยู่ในที่ลับ ๆ แห่งหนึ่ง ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครรัก ไม่มีใคร อาลัย เป็นการลงเอยอย่างมืดแห่งชีวิตที่มืดไม่มีสาระ แต่ถ้าความยากจนข้นแค้นของเขาน าเขาไปสู่ทางทุจริต เขาอาจจะได้ความสนุกสนานอยู่พักหนึ่ง แล้วเขาก็คง จะต้องยาตราเข้าสู่ศาลพระราชอาญาและไม่ช้าก็คงจะ ได้เข้าไปอยู่ในคุก แล้วต่อไปก็เท่ากับอันตรธาน ตกลง เป็นลงเอยอย่างน่าสังเวชทั้ง 2 สถาน
ดังนี้จะไม่เป็นการสมควรแลหรือ ที่เราจะสอนให้พวก หนุ่ม ๆ ของเราปรารถนาหาการงานอื่น ๆ อันพึงหวัง ประโยชน์ได้ดีกว่าการเป็นเสมียน ถ้าเราจะสอนเขา ทั้งหลายให้รู้สึกเกียรติยศแห่งการที่จะเป็นผู้เพาะความ สมบูรณ์ให้แก่ประเทศเช่น ชาวนา ชาวสวน พ่อค้าและ ช่างต่าง ๆ จะไม่ดีกว่าหรือ? ท่านเชื่อหรือว่าพวกหนุ่ม ๆ ของเราจะท าประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองโดยทางการเป็น เสมียนมากกว่าทางอื่น ๆ เราจะมีข้าวของเครื่องใช้อื่น ๆ ได้อย่างไร ถ้าเราไม่อุดหนุนคนจ าพวกที่จะเพาะสิ่งของ นั้น ๆ ขึ้น
ท่านทั้งหลายจะช่วยได้เป็นอันมากด้วยความเห็นของ ท่าน เพราะว่าถึงแม้พวกหนุ่ม ๆ นั้นจะมีความคิดเห็น ว่าตัวส าคัญปานใด ก็คงจะต้องฟังความเห็นของผู้อื่น ถ้าความเห็นของสาธารณชนเห็นว่า ชาวนา ชาวสวน พ่อค้าและช่างต่างๆ มีเกียรติยศเสมอเสมียนและ ไม่ยกเสมียนขึ้นลอยไว้ในที่อันสูงเกินกว่าควร ก็จะ เป็นประโยชน์ช่วยเหลือได้มาก เพราะฉะนั้นท่านจะไม่ ช่วยกันในทางนี้บ้างหรือ?
สรุปเนื้อเรื่องและการล าดับเหตุการณ์
1. การตั้งโรงเรียนหรือการให้โอกาสแก่ชายหญิงได้ศึกษานั้น ให้ผลที่ท าให้น่าร าคาญ กล่าวคือ ส่วนใหญ่ผู้ที่มีการศึกษานิยมเป็น เสมียนหรือนิยมเข้ารับราชการเพียงอย่างเดียว เพราะคิดว่า การได้ ท างานในออฟฟิศ ดูโก้เก๋ มีหน้ามีตาในสังคมมากกว่า
2. ส่วนใหญ่เด็กเหล่านั้นกลับมองว่า การท าเกษตรกรรม นั้นไม่สมเกียรติยศของตนเอง เพราะคนที่ได้รับการศึกษาไม่ควร เสียเวลาไปท างาน ที่คนไม่มีความรู้ก็ท าได้ จึงขอท างานอยู่ใน กรุงเทพฯ ดีกว่า
3. คนเหล่านี้ยอมทนใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ทั้งที่เงินเดือนไม่มาก แต่ก็จับจ่าย ทรัพย์เพื่อการต่าง ๆ มากมาย เพื่อรักษาเกียรติและหน้าตาของตน ทั้งการนุ่งผ้าม่วง ใส่ เสื้อขาว สวมหมวกสักหลาดและเมื่อกลับจากออฟฟิศ ก็ต้องสวมกางเกงแพรจีน ได้ดูหนัง อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ต้องไปกินข้าวตามกุ๊กช้อป ( Cookshop ) และอาจต้องจ่าย ค่าเช่าห้อง เป็นต้น
4. คนในสังคมส่วนใหญ่ยังมีค่านิยมว่า การเป็นเสมียนมีศักดิ์ศรีสูงกว่า การเป็นชาวนา ชาวสวนหรือพ่อค้า คนที่จบใหม่ก็จะทะเยอทะยานอยากเป็นแต่ เสมียนหรือท างานรับราชการเท่านั้น
5. เมื่อหน่วยงานมีเสมียนมากเกินความ จ าเป็นก็จะคัดออก และจะจ้างคนหนุ่มเข้ามาแทน ซึ่ง เสมียนที่ถูกคัดออกนั้น ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถกลับไป เป็นชาวนาที่ภูมิล าเนาเดิมได้ เพราะเห็นว่าไม่ สมเกียรติของตน และท าใจกลับไปอยู่บ้านนอกไม่ได้ อีกทั้งไม่สามารถเป็นเจ้าของกิจการได้ เพราะไม่มีเงิน ลงทุน หรือไม่มีเงินเก็บนั่นเอง
6. จุดจบของเสมียนเมื่อหางานท าไม่ได้ ถ้าเป็น คนที่มีความสุจริตจะเลี่ยงตายไปอย่างลับ ๆ ไม่มีใครรู้ ส่วนคนที่ทุจริตจะกระท าผิดเพื่อหาเงิน สุดท้ายก็จบ ชีวิตอยู่ที่คุกและอันตรธานไป ซึ่งรัชกาลที่ 6 ทรง ชี้ให้เห็นว่า เมื่อไม่ได้เป็นเสมียนแล้วก็ท าอะไรไม่เป็น จุดจบจึงไม่ค่อยดีนัก
7. ทุกอาชีพมีเกียรติเท่าเทียมกัน ดังนั้น ควรประกอบอาชีพอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อ ประเทศชาติ ไม่ใช่เลือกที่จะรับราชการเพียง อย่างเดียว
(( ค าถามกระตุ้นความคิด )) 1. นักเรียนคิดว่า ในปัจจุบันปัญหาใดในสังคม ที่ควรเร่งด าเนินการแก้ไข สาเหตุของปัญหาเกิดจาก อะไรและควรมีวิธีการแก้ไขอย่างไร จงอธิบาย 2. ในอนาคตนักเรียนอยากจะประกอบอาชีพ อะไร เพราะเหตุใด
การวิเคราะห์คุณค่า และข้อคิดที่ปรากฏในเรื่อง
คุณค่าด้านเนื้อหา ล าดับเรื่อง ตามลักษณะของบทความ ซึ่งมี องค์ประกอบ 3 ส่วน ได้แก่ คือ ส่วนน า เนื้อเรื่องและ ส่วนสรุป ซึ่งผู้ประพันธ์ได้กล่าวถึงแนวทางการแก้ปัญหา และใช้กลวิธีการปิดเรื่องโดยใช้ค าถามในบรรทัดสุดท้าย ว่า “เพราะฉะนั้นท่านจะไม่ช่วยกันในทางนี้บ้างหรือ ?” เพื่อกระตุ้นให้ผู้อ่านคิดและร่วมกันแก้ไขปัญหา เป็นต้น
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ 1. การใช้โวหาร ท าให้ผู้อ่านเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น อย่างชื่อเรื่อง “โคลนติด ล้อ” เป็นการใช้ภาพพจน์ประเภทอุปลักษณ์ ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่ง หนึ่ง คือ มีการเปรียบค าว่า โคลน หมายถึง ปัญหาและอุปสรรคที่กีดขวางความเจริญ ส่วนค าว่า ล้อ หมายถึง ประเทศชาติ 2. การใช้ภาษาในการด าเนินเรื่อง ผู้แต่งใช้วิธีกระตุ้นความคิดของผู้อ่านด้วย การใช้ประโยคค าถามอยู่เสมอ รวมทั้งยังมีการใช้ภาษาโน้มน้าวใจ เพื่อให้ผู้อ่านเกิด ความคิดคล้อยตาม เป็นต้น
คุณค่าด้านสังคม+ข้อคิดที่ได้รับ 1. สะท้อนสภาพสังคมและค่านิยมของคนไทยที่ยกย่อง การเป็นข้าราชการ ดังที่กล่าวในเรื่องว่า “...เด็กทุก ๆ คนซึ่งเล่าเรียนส าเร็จออกมาจาก โรงเรียน ล้วนแต่มีความหวังฝังอยู่ว่า จะได้มาเป็นเสมียนหรือ เป็นเลขานุการ และจะได้เลื่อนยศเลื่อนต าแหน่งขึ้นเร็ว ๆ เป็น ล าดับไป เด็กที่ออกมาจากโรงเรียนเหล่านี้ ย่อมเห็นว่า กิจการ อย่างอื่นไม่สมเกียรติยศนอกจากการเป็นเสมียน...”
2. ให้ข้อคิดเพื่อน าไปใช้ในการด าเนินชีวิต แก่คนใน สังคมไทยว่า ไม่ควรดูถูกอาชีพอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพ เกษตรกรรม พ่อค้าหรือช่างต่างๆ เป็นต้น เพราะไม่ว่าอาชีพ ใดต่างก็มีเกียรติ 3. ให้ข้อคิดว่า ไม่ควรใช้จ่ายเกินฐานะทางเศรษฐกิจ ของตน รวมทั้งเตือนสติให้ผู้ที่มีค่านิยมแบบผิด ๆ ให้รู้จักใช้ ความรู้ ความสามารถของตนสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม และท้องถิ่นของตนอีกด้วย
ตัวอย่างค าศัพท์จากเรื่อง ผ้าม่วง หมายถึง ผ้านุ่งแบบโจงกระเบนของข้าราชการผู้ชายสมัยก่อน หมวกสักหลาด หมายถึง หมวกที่ตัดเย็บด้วยผ้าขนสัตว์ กุ๊กช้อป หมายถึง ภัตตาคารที่มีพ่อครัวท าอาหารฝรั่ง ซึ่งค านี้มาจากค าว่า cookshop เสมียน หมายถึง เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับหนังสือ หรือต าแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับ ล่างที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการเขียนหนังสือ แต่ในเรื่องนี้ หมายถึง การท างานรับราชการ ออฟฟิศ หมายถึง ส านักงาน, สถานที่ท างาน