The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chonthicha_ce, 2022-08-31 11:12:38

ขุนช้างขุนแผน

ขุนช้างขุนแผน

ขุนช้างขุนแผน

ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖

โรงเรียนสงวนหญิง

เรื่อง ขุนช้างขุนแผน
จัดทำโดย

น.ส.ชญานุต ดอกบานเย็น เลขที่ ๖
น.ส. ชลธิชา แช่มช้อย เลขที่ ๗
น.ส. ณัฏฐิฌา ศรีสิงห์ เลขที่ ๙
น.ส.ทิฆัมพร พงษ์สุทัศน์ เลขที่ ๑๐
น.ส.ทิวาพร ตันสุวรรณศิริ เลขที่ ๑๑
น.ส.ธัญญ์รวี บุญเจือจันทร์ เลขที่ ๑๓
น.ส.ภัทรชริดา มะลิอ่อง เลขที่ ๒๖
น.ส.วรรณดี จันทะเล เลขที่ ๓๐
น.ส.หยกวิจิตร ธนาวัฒนะ เลขที่ ๓๓

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖/๖
เสนอ

คุณครู ชมัยพร แก้วปานกัน
ชิ้นงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน ๕ ท๓๓๑๐๑

ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕
โรงเรียนสงวนหญิง จังหวัดสุพรรณบุรี
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต ๙



คำนำ

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทยพื้นฐาน ๕
ท๓๓๑๐๑ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โดยจัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อประกอบการเรียนการ
สอนเรื่องขุนช้างขุนแผน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้กี่ยวกับความเป็นมา ประวัติผู้
แต่ง ลักษณะคำประพันธ์ เนื้อเรื่องขุนช้างขุนแผนเพื่อวิเคราะห์คุณค่าทาง ด้านเนื้อหา ด้าน
วรรณศิลป์ และด้านสังคม และได้ศึกษาอย่างละเอียดเพื่อเป็นประโยชน์ในการเรียนใน
ระดับสูงขึ้น

คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book)เล่มนี้จะมีประโยชน์
ต่อผู้ที่กำลังศึกษาหาข้อมูลเรื่องขุนช้างขุนแผน หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาดประการ
ใดทางคณะผู้จัดทำต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย

คณะผู้จัดทำ
๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๕



สารบัญ

คำนำ ก
สารบัญ ข
ประวัติผู้แต่ง ๑
ลักษณะคำประพันธ์ ๒
เนื้ อเรื่ อง(เรื่ องย่อ) ๓-๖
เนื้ อเรื่ิองเต็มแบบเรียน ๗-๒๔
คุณค่าด้านเนื้ อหา
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๒๕-๓๒
คุณค่าด้านสังคม ๓๓-๓๙
บรรณานุกรม
๔๐-๔๕
๔๖

1

ประวัติผู้แต่ง

เรื่องขุนช้างขุนแผน มีผู้สันนิษฐานว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในแผ่นดินสมเด็จพระ
รามาธิบดีที่ ๒ และเล่ากันต่อ ๆมาจนกลายเป็นนิยายพื้นเมืองของเมืองสุพรรณบุรี ต่อ
มาได้มีผู้นำเรื่องขุนช้างขุนแผนมาแต่งเป็นกลอนเสภเพื่อใช้ในการขับเสภา จึงทำให้
เรื่องนี้เป็นที่นิยมและแพร่หลายมากขึ้น ครั้นเสียกรุงแล้วบางตอนก็สูญหายไป บาง
ตอนยังมีต้นฉบับเหลืออยู่ เรื่องไม่ติดต่อกัน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
โปรดเกล้าฯ ให้กวีหลายคนช่วยกันรวบรวมและแต่งขึ้นเรียกว่า เสภาหลวง

การชุมนุมกวีครั้งนั้นจึงเป็นการประกวดฝีปากเชิงกลอนอย่างเต็มที่ ทำให้เสภา
เรื่องขุนช้างขุนแผน มีความไพเราะเพราะพริ้งมากอย่างไรก็ตามได้มีนักขับเสภา
ระยะหลังได้แต่งเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ขึ้นอีกหลายสำนวนเพื่อใช้ขับเสภาเป็น
ตอน ๆ ใน พ.ศ. ๒๔๖๐ หอพระสมุดวชิรญาณได้ชำระหนังสือเสภาเรื่องขุนช้าง
ขุนแผนขึ้นเพราะมีเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนหลายฉบับ ทั้งฉบับหลวงและฉบับราษฎร
โดยมีสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพและกรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา ทรงเป็น
ประธานการชำระได้คัดเลือกเอาสำนวนที่ดีที่สุดมารวมกันจนครบทุกตอน บางตอนก็
ไม่สามารถทราบนาม

2

ลักษณะคำประพันธ์

ลักษณะคำประพันธ์กลอนเสภาเป็นกลอนสุภาพ เสภาเป็นกลอนขั้นเล่าเรื่องอย่าง

เล่านิทานจึงใช้คำมากเพื่อบรรจุข้อความให้ชัดเจนแก่ผู้ฟัง และมุ่งเอาการขับได้ ไพเราะ

เป็นสำคัญ สัมผัสของคำประพันธ์ คือ คำสุดท้ายของวรรคต้น ส่งสัมผัสไปยังคำใดคำ

หนึ่งใน ๕ คำแรกของวรรคหลังสัมผัสวรรคอื่นและสัมผัสระหว่างบทเหมือนกลอน

สุภาพ

ตัวอย่าง

นางแก้วค้อนควักแล้วผลักเสีย ใครเป็นชู้เมียอย่ามาเลียมเล่ห์
ว่ารักน้ องประยุทธเห็นสุดคะเน อย่าแต่งเล่ห์ล่อลวงผิดท่วงที
ท่านเปนไทยหรือจะมาประทาส ไม่สอาดไอ่เอี่ยมเทียมศักดิ์ศรี

จะแก้แค้นแทนกันนั้นตามที ท่านผู้ดีต่อดีเขาจะทำกัน
ข้างข้าเจ้านี้ต้องการอะไร จะมาพลอยใครผายผัน
ธุระท่านมีอยู่เปนสิ่งอัน จะมาพลอยพัวพันข้าไย ฯ



ตัวอย่าง

ครานี้มีทุกข์แท้โทมน หมองหม่นหทัยใหญ่มหันต์

เพราะพรากมิ่งมิตรใจไปไกลกัน ซ้ำมิทันสั่งลาฝากอาลัย

ครามีกรรมเคราะห์เข้าพระเสาร์แทรก นั่งนอนแบกโศกาชลนาไหล

ถ้าหมดเคราะห์จะได้มาพบยาใจ ขออย่าได้เคืองขัดหัทยา

3

เนื้อเรื่อง (เรื่องย่อ)

ณ เมืองสุพรรณบุรี กล่าวถึงครอบครัวสามครอบครัว คือ ครอบครัวของขุนไกรพลพ่าย รับราชการ

ทหาร มีภรรยาชื่อ นางทองประศรี มีลูกชายด้วยกันชื่อพลายแก้ว ครอบครัวของขุนศรีวิชัย เศรษฐีใหญ่

ของเมืองสุพรรณบุรี รับราชการเป็นนายกองกรมช้างนอก ภรรยาชื่อนางเทพทอง มีลูกชายชื่อขุนช้่าง ซึ่ง

หัวล้านมาแต่กำหนิด และครอบครัวของพันศร โยธาเป็นพ่อค้า ภรรยาชื่อ ศรีประจัน มีลูกสาวรูปร่างหน้ าตา
งดงามชื่อ พิมพิลาไลย

วันหนึ่งสมเด็จพระพันวษา มีความประสงค์จะล่าควายป่า จึงสั่งให้ขุนไกรปลูกพลับพลาและต้อน

ควายเตรียมไว้ แต่ควายป่าเหล่านั้ันแตกตื่นไม่ยอมเข้าคอก ขุนไกรจึงใช้หอกแทงควายตายไปมากมาย ที่
รอชีวิตก็หนีเข้าป่าไป สมเด็จพระพันวษาโกรธมากสั่งให้ประหารชีวิตขุนไกรเสีย นางทองประศรีรู้ข่าวรีบ

พาพลายแก้วหนีไปอยู่เมืองกาญจนบุรี ทางเมืองสุพรรณบุรี มีพวกโจรจันศรขึ้นปล้นบ้านของขุนศรีวิชัยและ
ฆ่าขุนศรีวิชัยตาย ส่วนพันศร โยธาเดินทางไปค้าขายต่างเมือง พอกลับมาถึงบ้านก็เป็นไข้ป่าตาย
เมื่อพลายแก้วอายุได้ 15 ปี ก็บวชเณรเรียนวิชาอยู่ที่วัดส้มใหญ่ แล้วย้ายไปเรียนต่อที่วัดป่าเลไลย ต่อมา
ที่วัดป่าเลไลยจัดให้มีเทศน์มหาชาติ เณรพลายแก้วเทศน์กัณฑ์มัทรี ซึ่งนางพิมพิลาไลยเป็นเจ้าของกัณฑ์

เทศน์ นางพิมพิลาไลยเลื่อมใสมากจนเปลื้องผ้าสไบบูชากัณฑ์เทศ์ ขุนช้างเห็นเช่นนั้นก็เปลื้องผ้าห่มของตน
วางเคียงกับผ้าสไบของนางพิมพิลาไลย อธิฐานขอให้ได้นางเป็นภรรยา ทำให้นางพิมพิลาไลยโกรธมาก ต่อ
มาเณรพลพลายแก้วก็สึก แล้วให้นางทองประศรีมาสู่ขอนางพิมพิลาไลยและแต่งงานกัน
ทางกรุงศรีอยุธยาได้ข่าวว่ากองทัพเชียงใหม่ตีได้เมืองเชียงทอง ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา สมเด็จ
พระพันวษาจึงถามหาเชื้อสายของขุนไกร ขุนช้างซึ่งเข้าไปรับราชการอยู่จึงเล่าเรื่องราวความเก่งกล้า
สามารถของพลายแก้ว เพื่อหวังจะพรากพลายแก้วไปให้ไกลนางพิมพิลาไลย สมเด็จพระพันวษาจึงให้ไป

ตามตัวมา แล้วแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพไปรบกับเมืองเชียงใหม่และได้รับชัยชนะ นายบ้านแสนคำแมนแห่ง

หมู่บ้านจอมทอง เห็นว่าพลายแก้วกับพวกทหารไม่ได้เบียดเบียนให้ชาวบ้านเดือดร้อน จึงยกนางลาวทอง

ลูกสางของตนให้เป็ นภรรยาของพลายแก้ว
ส่วนนางพิมพิลาไลยเมื่อสามีไปทัพได้ไม่นานก็ป่วยหนักรักษาเท่าไรก็ไม่หาย ขรัวตาจูวัดป่าเลไลยแนะนำ

ให้เปลี่ยนชื่อเป็นวันทอง อาการไข้จึงหาย ขุนช้างทำอุบายนำหม้อใส่กระดูกไปให้นางศรีประจันกับนางวัน

ทองดูว่าพลายแก้วตายแล้ว และขู่ว่านางวันทองจะต้องถูกคุมตัวไว้เป็นม่ายหลวงตามกฏหมาย นางวันทอง
ไม่เชื่อ แต่นางศรีประจันคิดว่าจริง ประกอบกับเห็นว่าขุนช้างเป็นเศรษฐีจึงบังคับให้นางวันทองแต่งงานกับ
ขุนช้าง นางวันทองจำต้องตามใจแม่ แต่นางไม่ยอมเข้าหอ ขณะนั้นพลายแก้วกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยาและ
ได้บรรดาศักดิ์เป็นขุนแผนแสนสะท้าน จากนั้นก็พานางลาวทองกลับสุพรรณบุรี นางวันทองเห็นขุนแผนพา
ภรรยาใหม่มาด้วยก็โกรธด่าทอโต้ตอบกับนางลาวทองและลืมตัวพูดก้าวร้าวขุนแผน

4

ทำให้ขุนแผนโมโหพานางลาวทองไปอยู่ที่กาญจนบุรี ส่วนนางวันทองก็ตกเป็นภรรยาของขุนช้างอย่างจำใจ
ต่อมาขุนช้างและขุนแผนเข้าไปรับการอบรมในวังและได้เป็นมหาดเล็กเวรทั้ง 2 คน วันหนึ่งนางทอง

ประศรีให้คนมาส่งข่าวว่านางลาวทองป่วยหนัก ขุนแผนจึงฝากเวรไว้กับขุนช้างแล้วไปดูอาการของนางลาว
ทอง ตอนเช้าสมเด็จพระพันวษาถามถึงขุนแผนขุนช้างบอกว่าขุนแผนปีนกำแพงวังหนีไปหาภรรยา สมเด็จ
พระพันวษาโกรธตรัสให้ขุนแผนตระเวนด่านที่กาญจนบุรี ห้ามเข้าเฝ้ าและริบนางลาวทองเข้าเป็นม่ายหลวง

ขุนแผนได้ทราบเรื่องก็โกรธขุนช้าง คิดจะแก้แค้นแต่ยังมีกำลังไม่พอ จึงออกตระเวนป่าไปโดยลำพัง
คิดจะหาอาวุธ ม้า และ กุมารทอง สำหรับป้ องกันตัว ได้ตระเวนไปจนถึงถิ่นของหมื่นหาญนักเลงใหญ่ ได้

เข้าสมัครเข้าไปอยู่ด้วย เพราะหวังจะได้บัวคลี่ลูกสาวของหมื่นหาญ ได้ทำตัวนอบน้ อมและตั้งใจทำงานเป็น
อย่างดีจนเป็นที่รักใคร่ของหมื่นหาญถึงกับออกปากยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย พอได้แต่งงานกับบัวคลี่แล้ว

ขุนแผนก็ไม่ยอมทำงานร่วมกับหมื่นหาญ ทำให้หมื่นหาญโกรธคิดฆ่าขุนแผน เพราะขุนแผนอยู่ยง

คงกระพันจึงให้บัวคลี่ใส่ยาพิษลงในอาหารให้ขุนแผนกิน แต่ผีพรายมาบอกให้รู้ตัว ขุนแผนจึงทำอุบายเป็น
ไข้ไม่ยอมกินอาหารแล้วออกปากขอลูกจากบัวคลี่ นางไม่รู้ความหมายก็ออกปากยกลูกให้ขุนแผน พอกลาง
คืนขณะที่บัวคลี่นอนหลับขุนแผนก็ผ่าท้องนางแล้วนำลูกไปทำพิธีตอนเช้าหมื่นหาญและภรรยารู้ว่าลูกสาว

ถูกผ่าท้องตายก็ติดตามขุนแผนไป แต่ก็สู้ขุนแผนไม่ได้ ขุนแผนเสกกุมารทองสำเร็จ จึงออกเดินทางต่อไป
แล้วไปหาช่างตีดาบ หาเหล็ก และเครื่องใช้ต่าง ๆเตรียมไว้ตั้งพิธีตีดาบจนสำเร็จ ดาบนี้ให้ชื่อว่า ดาบฟ้ าฟื้ น

ใช้เป็ นอาวุธต่อไป
หลังจากนั้นเดินทางไปหาม้า ได้ไปพบคณะจัดซื้อม้าหลวง ได้เห็นลูกม้าลูกม้าตัวหนึ่งมีลักษณะถูกต้องตาม
ตำราก็ชอบใจ ได้ออกปากซื้อ เจ้าหน้ าที่ก็ขายให้ในราคาถูก ขุนแผนจึงเสกหญ้าให้ม้ากิน และนำมาฝึกจน

เป็นม้าแสนรู้ให้ชื่อว่า ม้าสีหมอก
เมื่อได้กุมารทอง ดาบฟ้ าฟื้ นและม้าสีหมอกครบตามความตั้งใจแล้วก็เดินทางกลับบ้าน คิดจะไปแก้แค้นขุน
ช้าง นางทองประศรีมารดาห้ามปรามก็ไม่ฟัง ได้เดินทางออกจากกาญจนบุรีไปยังสุพรรณบุรีขึ้นเรือนขุนช้าง
ได้นางแก้วกิริยาลูกสาวพระยาสุโขทัยที่นำมาเป็นตัวจำนำไว้ในบ้านขุนช้างเป็นภรรยา แล้วพาวันทองหนี

ออกจากบ้าน ขุนช้างตื่นได้ออกติดตามแต่ตามไม่ทัน ได้ไปทูลฟ้ องสมเด็จพระพันวษาให้กองทัพออก

ติดตามขุนแผน ขุนแผนไม่ยอมกลับได้ต่อสู้กับกองทัพทำให้ขุนเพชร ขุนรามถึงแก่ความตาย กองทัพต้อง
ถอยกลับกรุง ขุนแผนจึงกลายเป็นกบฏ ต้องเที่ยวเร่ร่อนอยู่ในป่า จนนางวันทองตั้งท้องแก่ใกล้คลอด

ขุนแผนสงสารกลัวนางจะเป็นอันตรายจึงยอมเข้ามอบตัวกับพระพิจิตร พระพิจิตรได้ส่งตัวเข้าสู้คดีในกรุง

ขุนแผนชนะคดีและได้นางวันทองคืน ขุนแผนมีความคิดถึงลาวทอง ได้ขอให้จมื่นศรีช่วยขอให้ ขุนแผนถูก
กริ้ว และถูกจำคุก แก้วกิริยาจึงตามไปปรนนิบัติในคุก

5

วันหนึ่งขณะที่นางวันทองมาเยี่ยมขุนแผน ขุนช้างได้มาฉุดนางวันทองไปจนนางวันทองคลอดลูกให้ชื่อว่า

พลายงาม เมื่อขุนช้างรู้ว่าไม่ใช่ลูกของตัวเองจึงหลอกพลายงามไปฆ่าในป่า แต่ผีพรายของขุนแผนช่วยไว้

นางวันทองบอกความจริงและได้ให้พลายงามเดินทางไปอยู่กับย่าทองประศรีที่กาญจนบุรี พลายงามอยู่กับ

ย่าจนโต ได้บวชเป็นเณรและเล่าเรียนวิชาความรู้เก่งกล้าทั้งเวทมนตร์ คาถา และการสงคราม เมื่อมีโอกาส
ขุนแผนได้ให้จมื่ นศรีนำพลายงามเข้าถวายตัวเป็ นมหาดเล็ก
เมื่อมีศึกเชียงใหม่ พลายงามได้อาสาออกรบและทูลขอประทานอภัยโทษให้พ่อเพื่อไปรบ ขุนแผนและนาง

ลาวทองจึงพ้นโทษ ขณะที่เดินทางไปทำสงครามนั้นผ่านเมืองพิจิตร ขุนแผนจึงแวะเยี่ยมพระพิจิตร เมื่อ

พลายงามได้พบนางศรีมาลาลูกสาวพระพิจิตรก็หลงรัก จึงได้ลอบเข้าหานาง ขุนแผนจึงทำการหมั้นหมายไว้
เมื่อชนะศึก พระเจ้าเชียงใหม่ได้ส่งสร้อยทอง และสร้อยฟ้ ามาถวาย พระพันวษาได้แต่งตั้งขุนแผนเป็นพระ
สุรินทรลือไชยมไหสูรย์ภักดี ไปรั้งเมืองกาญจนบุรี และได้แต่งตั้งพลายงามเป็น จมื่นไวยวรนาถ และ

ประทานสร้อยฟ้ าให้แก่พลายงาม จากนั้นก็ทรงจัดงานแต่งงานให้กับพลายงาม
ขณะที่ทำพิธีแต่งงานขุนช้างได้วิวาทกับพลายงาม ขุนช้างได้ทูลฟ้ อง จึงโปรดให้มีการชำระความโดนการดำ
น้ำพิสูจน์ ขุนช้างแพ้ความ พระพันวษาโปรดให้ประหารชีวิต แต่พระไวยขอชีวิตไว้ ต่อมาพระไวยมีความ

คิดถึงแม่จึงไปรับนางวันทองมาอยู่ด้วย ขุนช้างติดตามไป แต่พระไวยไม่ยอมให้ขุนช้างจึงถวายฎีกา พระ

พันวษาจึงตรัสให้นางวันทองเลือกว่าจะอยู่กับใคร นางมีความลังเล เลือกไม่ได้ว่าจะอยู่กับใคร พระพันวษา
ทรงโกรธจึงรับสั่งให้ประหารชีวิต แม้พระไวยจะขออภัยโทษได้แล้ว แต่ด้วยเคราะห์ของนางวันทอง ทำให้

เพชรฆาตเข้าใจผิดจึงประหารนางเสียก่อน

เมื่อจัดงานศพนางวันทองแล้ว ขุนแผนได้เลื่อนเป็นพระกาญจนบุรี นางสร้อยฟ้ าได้ให้เถรขวาดทำเสน่ห์ให้
พระไวยหลงใหลนางและเกลียดชังนางศรีมาลา พระกาญจนบุรีมาเตือน พระไวยโกรธลำเลิกบุญคุณกับพ่อ
ทำให้พระกาญจนบุรีโกรธ คบคิดกับพลายชุมพลลูกชายซึ่งเกิดจากนางแก้วกิริยาปลอมเป็นมอญยกทัพมาตี
กรุงศรีอยุธยา หวังจะให้พระไวยออกต่อสู้ จะได้แก้แค้นได้สำเร็จ พระไวยรู้ตัวเพราะผีเปรตนางวันทองมาบ
อก พระพันวษาทรงทราบเรื่องโปรดให้มีการไต่สวน พลายชุมพลพิสูจน์ได้ว่า นางสร้อยฟ้ ากับเถรขวาดได้

ทำเสน่ห์จริงแต่นางสร้อยฟ้ าไม่รับ จึงมีการพิสูจน์โดยการลุยไฟ สร้อยฟ้ าแพ้ พระพันวษาสั่งให้ประหาร แต่
นางศรีมาลาทูลขอไว้ นางสร้อยฟ้ าจึงถูกเนรเทศกลับไปเชียงใหม่ และคลอดลูกชื่อ พลายยง

ต่อมานางศรีมาลาก็คลอดลูกชาย ขุนแผนจึงตั้งชื่อให้ว่า พลายเพชร เถรขวาดมีความแค้นพลายชุมพล

จึงปลอมเป็นจระเข้ไล่กัดกินคนมาจากทางเหนือหวังจะแก้แค้นพลายชุมพล พระพันวษาโปรดให้พลาย

ชุมพลไปปราบ จระเข้เถรขวาดสู้ไม่ได้ถูกจับตัวมาถวายพระพันวษา และถูกประหารในที่สุด พลายชุมพล

ได้รับแต่งตั้งเป็นหลวงนายฤทธิ์ เหตุการณ์ร้ายแรงผ่านไป ทุกคนก็อยู่อย่างมีความสุข

6

วันหนึ่งขณะที่นางวันทองมาเยี่ยมขุนแผน ขุนช้างได้มาฉุดนางวันทองไปจนนางวันทองคลอดลูกให้ชื่อว่า

พลายงาม เมื่อขุนช้างรู้ว่าไม่ใช่ลูกของตัวเองจึงหลอกพลายงามไปฆ่าในป่า แต่ผีพรายของขุนแผนช่วยไว้

นางวันทองบอกความจริงและได้ให้พลายงามเดินทางไปอยู่กับย่าทองประศรีที่กาญจนบุรี พลายงามอยู่กับ

ย่าจนโต ได้บวชเป็นเณรและเล่าเรียนวิชาความรู้เก่งกล้าทั้งเวทมนตร์ คาถา และการสงคราม เมื่อมีโอกาส
ขุนแผนได้ให้จมื่ นศรีนำพลายงามเข้าถวายตัวเป็ นมหาดเล็ก
เมื่อมีศึกเชียงใหม่ พลายงามได้อาสาออกรบและทูลขอประทานอภัยโทษให้พ่อเพื่อไปรบ ขุนแผนและนาง

ลาวทองจึงพ้นโทษ ขณะที่เดินทางไปทำสงครามนั้นผ่านเมืองพิจิตร ขุนแผนจึงแวะเยี่ยมพระพิจิตร เมื่อ

พลายงามได้พบนางศรีมาลาลูกสาวพระพิจิตรก็หลงรัก จึงได้ลอบเข้าหานาง ขุนแผนจึงทำการหมั้นหมายไว้
เมื่อชนะศึก พระเจ้าเชียงใหม่ได้ส่งสร้อยทอง และสร้อยฟ้ ามาถวาย พระพันวษาได้แต่งตั้งขุนแผนเป็นพระ
สุรินทรลือไชยมไหสูรย์ภักดี ไปรั้งเมืองกาญจนบุรี และได้แต่งตั้งพลายงามเป็น จมื่นไวยวรนาถ และ

ประทานสร้อยฟ้ าให้แก่พลายงาม จากนั้นก็ทรงจัดงานแต่งงานให้กับพลายงาม
ขณะที่ทำพิธีแต่งงานขุนช้างได้วิวาทกับพลายงาม ขุนช้างได้ทูลฟ้ อง จึงโปรดให้มีการชำระความโดนการดำ
น้ำพิสูจน์ ขุนช้างแพ้ความ พระพันวษาโปรดให้ประหารชีวิต แต่พระไวยขอชีวิตไว้ ต่อมาพระไวยมีความ

คิดถึงแม่จึงไปรับนางวันทองมาอยู่ด้วย ขุนช้างติดตามไป แต่พระไวยไม่ยอมให้ขุนช้างจึงถวายฎีกา พระ

พันวษาจึงตรัสให้นางวันทองเลือกว่าจะอยู่กับใคร นางมีความลังเล เลือกไม่ได้ว่าจะอยู่กับใคร พระพันวษา
ทรงโกรธจึงรับสั่งให้ประหารชีวิต แม้พระไวยจะขออภัยโทษได้แล้ว แต่ด้วยเคราะห์ของนางวันทอง ทำให้

เพชรฆาตเข้าใจผิดจึงประหารนางเสียก่อน

เมื่อจัดงานศพนางวันทองแล้ว ขุนแผนได้เลื่อนเป็นพระกาญจนบุรี นางสร้อยฟ้ าได้ให้เถรขวาดทำเสน่ห์ให้
พระไวยหลงใหลนางและเกลียดชังนางศรีมาลา พระกาญจนบุรีมาเตือน พระไวยโกรธลำเลิกบุญคุณกับพ่อ
ทำให้พระกาญจนบุรีโกรธ คบคิดกับพลายชุมพลลูกชายซึ่งเกิดจากนางแก้วกิริยาปลอมเป็นมอญยกทัพมาตี
กรุงศรีอยุธยา หวังจะให้พระไวยออกต่อสู้ จะได้แก้แค้นได้สำเร็จ พระไวยรู้ตัวเพราะผีเปรตนางวันทองมาบ
อก พระพันวษาทรงทราบเรื่องโปรดให้มีการไต่สวน พลายชุมพลพิสูจน์ได้ว่า นางสร้อยฟ้ ากับเถรขวาดได้

ทำเสน่ห์จริงแต่นางสร้อยฟ้ าไม่รับ จึงมีการพิสูจน์โดยการลุยไฟ สร้อยฟ้ าแพ้ พระพันวษาสั่งให้ประหาร แต่
นางศรีมาลาทูลขอไว้ นางสร้อยฟ้ าจึงถูกเนรเทศกลับไปเชียงใหม่ และคลอดลูกชื่อ พลายยง

ต่อมานางศรีมาลาก็คลอดลูกชาย ขุนแผนจึงตั้งชื่อให้ว่า พลายเพชร เถรขวาดมีความแค้นพลายชุมพล

จึงปลอมเป็นจระเข้ไล่กัดกินคนมาจากทางเหนือหวังจะแก้แค้นพลายชุมพล พระพันวษาโปรดให้พลาย

ชุมพลไปปราบ จระเข้เถรขวาดสู้ไม่ได้ถูกจับตัวมาถวายพระพันวษา และถูกประหารในที่สุด พลายชุมพล

ได้รับแต่งตั้งเป็นหลวงนายฤทธิ์ เหตุการณ์ร้ายแรงผ่านไป ทุกคนก็อยู่อย่างมีความสุข

เนื้อเรื่องเต็ม (แบบเรียน) 7

จมื่นไวยฯ แม้จะอยู่บ้านอย่างสุขสบายพร้อมพรั่งทั้งญาติมิตรและภรรยา แต่ก็เกิดคิดถึงแม่ซึ่งก็คือ
นางวันทอง แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโกรธที่แม่ต้องไปอยู่กับคนเลว ๆ อย่างขุนช้าง ทั้ง ๆ ที่พ่อของตน
เป็นถึงขุนนาง จมื่นไวย ฯ จึงคิดหาทางพาแม่กลับมาอยู่ด้วยกัน แต่บ้านของทั้งสองอยู่ห่างไกลกันมาก
จมื่นไวย ฯ จึงต้องใช้วิชาอาคมในการเดินทางไปหาแม่จมื่นไวย ฯ ใช้วิธีดูฤกษ์ยาม เอาเหล้าเซ่นผีพราย
เสกว่านยาทาตัว หยิบยันต์มาแปะไว้บนอก สวมมงคลที่ศีรษะ รวมไปถึงเป่ามนตร์ลงที่ดาบคู่ใจ
เพื่อเดินทางไปหานางวันทองที่เรือนของขุนช้าง นอกจากเป่าคาถาอาคมสำหรับหายตัวแล้ว
จมื่นไวย ฯ ยังเสกคาถาให้ผีที่คุ้มครองบ้านเรือนของขุนช้างหายไปทั้งหมด และยังเป่ามนตร์
ให้คนในเรือนหลับใหลไม่ได้สติ ซึ่งทำให้จมื่นไวยฯ เข้าไปหาแม่ที่ห้องของขุนช้างได้ แต่เมื่อ
ไปถึงก็เห็นภาพบาดตาบาดใจของแม่ตัวเองกับขุนช้าง แม้จะเดือดดาลมาก แต่จมื่นไวย ฯ
ก็สามารถสงบสติอารมณ์เพื่อให้ภารกิจสำเร็จได้หลังจากนั้น จมื่นไวย ฯ ก็เป่ามนตร์เพื่อ
ให้แม่ตื่นจากการหลับใหล เมื่อนางวันทองเห็นลูกชายก็สะดุ้งโหยง จมื่นไวย ฯ เข้าไปก้มกราบแม่
ทั้งคู่กอดกันตามประสาแม่ลูกจากเนื้ อหาที่ผ่านมาเราจะเห็นได้ว่าคนโบราณโดยเฉพาะคนในสังคม
อยุธยามีความเชื่อด้านไสยศาสตร์เป็นอย่างมาก คนที่จะมีคาถาอาคมในสมัยก่อนจึงต้องเป็นผู้ที่
ประพฤติดีจึงจะสามารถรักษาคาถาไว้ได้กุศโลบายเรื่องไสยศาสตร์จึงออกมาเพื่อกำกับ
พฤติกรรมของคนให้ประพฤติแต่เรื่องดี ละเรื่องชั่ว ซึ่งทำให้คนสมัยก่อนอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
นางวันทองถามไถ่จมื่นไวย ฯ ถึงวัตถุประสงค์ในการมาครั้งนี้ ซึ่งก็ทำให้รู้ว่าลูกนั้นผูกใจเจ็บขุนช้าง
และมีความคิดถึงตนเอง จึงหวังว่าจะพาตนเองไปอยู่ด้วย นางวันทองรู้ทันทีว่าการกระทำแบบนี้
จะต้องนำปัญหามาสู่ตนและผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างแน่นอน นางวันทองจึงทัดทานลูกชาย เมื่อรู้ว่า
แม่ไม่เต็มใจไปกับตน เพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหา และยังเสนอให้ไปเพ็ดทูลขอต่อพระพันวษา
จมื่นไวย ฯ กลับไม่สนใจคำพูดของแม่ แถมยังขู่แม่กลับด้วยคำพูดที่ไม่สุภาพจมื่นไวย ฯ
ตัดพ้อนางวันทองว่าไม่รักตนที่เป็นลูก แต่ไม่ว่าอย่างไร ลูกผู้ชายอย่างตนจะพาแม่ไปด้วยให้ได้
แม้จะต้องตัดศีรษะแล้วทิ้งตัวแม่ไว้ที่นี่ก็จะทำ สุดท้ายนางวันทองเองก็ต้องยอม เหตุเพราะรักลูก
และก็กลัวว่าลูกจะฟันคอของตน เมื่อมนต์คาถาเริ่มเสื่อมคลาย ขุนช้างเริ่มได้สติตื่นมาและรู้สึกงงงวย
มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นนางวันทองอยู่ข้างตัว ขุนช้างที่ยังไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าเลยแม้แต่น้ อย
ก็ลุกขึ้นอาละวาด จากนั้นก็รีบออกไปตะโกนให้ข้าทาสออกตามหานางวันทองทั่วทั้งเรือน
แต่ก็ไม่พบ ขุนช้าจึงสงสัยว่าอาจจะมีคนมาลักพานางวันทองไปอีก และรู้สึกโมโห
สุดขีด ฝ่ายจมื่นไวย ฯ เมื่อพาแม่กลับมาเรือนของตนเองได้สำเร็จแล้ว ก็เกิดรู้สึกตัวขึ้นมาว่า
จะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ ๆ ดังนั้นจึงคิดหาทางแก้ปัญหาโดยให้หมื่นวิเศษผลลูกน้ องของตนเอง
ไปที่เรือนของขุนช้างเพื่อไปแจ้งว่าจมื่นไวย ฯ เกิดป่วยและอยากให้แม่ไปดูแลเมื่อได้ฟังข่าว
จากหมื่นวิเศษผลขุนช้างก็รู้ทันทีว่าเป็นเรื่องโกหกและแค้นใจมากที่จมื่นไวย ฯ มากระทำแบบนี้

8

เนื้อเรื่องเต็ม (แบบเรียน)

บนเรือนของตน ขุนช้างเพิ่งไปพูนทองสมเด็จพระพันวษาแม้พระพันวษาจะรับฎีกาของขุนช้าง
แต่ก็ทรงกริ้วมากจึงให้คนนำตัวขุนช้างไปโบยเพื่อเป็นการทำโทษ และตั้งแต่นั้นพระพันวษา
ได้ตั้งกฎเกณฑ์ในการเข้าเฝ้ าโดยห้ามให้ใครเข้าใกล้พระมหากษัตริย์โดยไม่ได้รับอนุญาต และมีโทษ
ประหารชีวิตเมื่อขุนแผนรู้ว่านางวันทองมาอาศัยอยู่ที่เรือนของลูกชายก็เกิดคิดถึง เมื่อนางลาวทอง
และนางแก้วกิริยาหลับก็แอบย่องไปหานางวันทองถึงห้อง โดยขุนแผนได้เล้าโลมนางวันทอง
อีกทั้งยังพูดคุยถึงเรื่องราวเก่า ๆ เพื่อปรับความเข้าใจกัน แต่นางวันทองไม่ได้ยินดีที่ขุนแผน
มาทำเยี่ยงนี้ เพราะเกรงว่าจะมีโทษทัณฑ์ จึงได้บอกให้ขุนแผนไปกราบทูลขอต่อพระพันวษา
คุยกันไปมาทั้งสองก็พล็อยหลับไปและนางวันทองก็เกิดฝั นร้ายนางวันทองตกใจตื่ นและร้องไห้หนักมาก
จากนั้นก็เล่าความฝันให้ขุนแผนฟัง โดยขุนแผนได้ดูดวงตามตําราประกอบกับเวลายามที่นางวันทองฝัน
จึงรู้ทันทีว่านางวันทองรวมถึงฆาตเสียแล้ว ขุนแผนจึงคิดสะเดาะเคราะห์ให้นางวันทองในตอนเช้า
ฝ่ายพระพันวษาเมื่อออกราชการแล้วเห็นหน้ าขุนช้าง ก็นึกถึงความที่ขุนช้างนำมาฟ้ องจึงเปิดฎีกาออก
อ่านแล้วก็เกิดโมโหจึงสั่งให้พระหมื่นศรีไปตามคู่ความมาพบที่ท้องพระโรงขุนแผนนั้น
รู้ดีอยู่แก่ใจว่านางวันทองมีชะตาถึงฆาต จึงพยายามใช้คาถาเมตตามหานิยม ทาขี้ผึ้งที่ริมฝีปาก
และกินหมาก เพื่อหวังให้โชคชะตาที่ร้ายนั้นบรรเทาลง จากนั้น ขุนแผน จมื่นไวยวรนาถ
และนางวันทองก็เดินทางมาเข้าเฝ้ าตามพระราชโองการข้างต้นเมื่อทั้งสามไปถึงพระพันวษา
ได้ต่อว่าจมื่นไวย ฯ ที่ทำอะไรไม่เกรงใจกฎหมายบ้านเมือง ไม่เห็นแก่หน้ าตาของพระพันวษาบ้าง
จากนั้นจึงสอบสวนนางวันทองถึงสาเหตุที่ต้องไปอยู่กับขุนช้าง นางวันทองได้ตอบไปตามความจริงว่า
เมื่อขุนแผนติดคุกและตนเองท้องแก่ ขุนช้างได้เข้ามาอ้างว่าเป็นพระราชประสงค์ของพระพันวษา
ที่ต้องการให้ตนเองไปอยู่กับขุนช้าง ตนกลัวพระราชอำนาจจึงไปอยู่กับขุนช้างโดยไม่เต็มใจ
พระพันวษาได้ยินดังนั้นก็โกรธมาก จึงต้องการชำระความนี้ให้เด็ดขาดด้วยการให้นางวันทอง
เลือกว่าจะอยู่กับใครพระพันวษามองว่านางวันทองก็เหมือนกับ “รากแก้ว” ของปัญหานี้
ถ้าตัดรากแก้วออกไป ใบไม้ซึ่งเปรียบได้กับปัญหาต่าง ๆ ก็จะเหี่ยวตายไปแต่คงเป็นเวรกรรม
ของนางวันทองที่ดวงถึงฆาต จึงเกิดความประหม่าเลือกไม่ได้ กลัวว่าเลือกแล้วจะไม่ถูกพระทัย
พระพันวษา เพราะขุนแผนก็เป็นรักแรกและนางวันทองยังคงรู้สึกกับขุนแผนเหมือนเดิม
ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ส่วนขุนช้างก็ดูแลนางวันทองให้อยู่สุขสบายมาหลายปี ในขณะที่พลายงามเอง
ก็เป็นลูกชายในไส้พระพันวษาเห็นนางวันทองลังเลใจ ก็โมโหสุดขีด ติดเครื่องด่านางวันทองอย่างหนัก

9

เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถ
วายฎีกา

๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม เมื่ อเป็ นความชนะขุนช้างนั่น

กลับมาอยู่บ้านสำราญครัน เกษมสันต์สองสมภิรมย์ยวน

พร้อมญาติขาดอยู่แต่มารดา นึกนึกตรึกตราละห้อยหวน

โอ้ว่าแม่วันทองช่างหมองนวล ไม่สมควรเคียงคู่กับขุนช้าง

เออนี่เนื้ อเคราะห์กรรมมานำผิด น่าอายมิตรหมองใจไม่หายหมาง

ฝ่ ายพ่อมีบุญเป็ นขุนนาง แต่แม่ไปแนบข้างคนจัญไร

รูปร่างวิปริตผิดกว่าคน ทรพลอัปรีย์ไม่ดีได้

ทั้งใจคอชั่วโฉดโหดไร้ ช่างไปหลงรักใคร่ได้เป็ นดี

วันนั้นแพ้กูเมื่อดำน้ำ ก็กริ้วซ้ำจะฆ่าให้เป็ นผี

แสนแค้นด้วยมารดายังปรานี ให้ไปขอชีวีขุนช้างไว้

แค้นแม่จำจะแก้ให้หายแค้น ไม่ทดแทนอ้ายขุนช้างบ้างไม่ได้

หมายจิตคิดจะให้มันบรรลัย ไม่สมใจจำเพาะเคราะห์มันดี

อย่าเลยจะรับแม่กลับมา ให้อยู่ด้วยบิดาเกษมศรี

พรากให้พ้นคนอุบาทว์ชาติอัปรีย์ ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความโกรธา

อัดอึดฮึดฮัดด้วยขัดใจ เมื่อไรตะวันจะลับหล้า

เข้าห้องหวนละห้อยคอยเวลา จวนสุริยาเลี้ยวลับเมรุไกร

เงียบสัตว์จัตุบททวิบาท ดาวดาษเดือนสว่างกระจ่างไข

น้ำค้างตกกระเซ็นเย็นเยือกใจ สงัดเสียงคนใครไม่พูดจา

ได้ยินเสียงฆ้องย่ำประจำวัง ลอยลมล่องดังถึงเคหา

คะเนนับย่ำยามได้สามครา ดูเวลาปลอดห่วงทักทิน

ฟ้ าขาวดาวเด่นดวงสว่าง จันทร์กระจ่างทรงกลดหมดเมฆสิ้น

จึงเซ่นเหล้าข้าวปลาให้พรายกิน เสกขมิ้นว่านยาเข้าทาตัว

ลงยันต์ราชะเอาปะอก หยิบยกมงคลขึ้นใส่หัว

เป่ ามนตร์เบื้ องบนชอุ่มมัว พรายยั่วยวนใจให้ไคลคลา

จับดาบเคยปราบณรงค์รบ เสร็จครบบริกรรมพระคาถา

ลงจากเรือนไปมิได้ช้า รีบมาถึงบ้านขุนช้างพลัน ฯ

10

เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา

๏ เห็นคนนอนล้อมอ้อมเป็นวง ประตูลั่นมั่นคงขอบรั้วกั้น

กองไฟสว่างดังกลางวัน หมายสำคัญตรงมาหน้ าประตู

จึงร่ายมนตรามหาสะกด เสื่ อมหมดอาถรรพ์ที่ฝั งอยู่

ภูตพรายนายขุนช้างวางวิ่งพรู คนผู้ในบ้านก็ซานเซอะ

ทั้งชายหญิงง่วงงมล้มหลับ นอนทับคว่ำหงายก่ายกันเปรอะ

จี่ปลาคาไฟมันไหลเลอะ โงกเงอะงุยงมไม่สมประดี

ใช้พรายถอดกลอนถอนลิ่ม รอยทิ่มถอดหลุดไปจากที่

ย่างเท้าก้าวไปในทันที มิได้มีใครทักแต่สักคน

มีแต่หลับเพ้อมะเมอฝั น ทั้งไฟกองป้ องกันทุกแห่งหน

ผู้คนเงียบสำเนียงเสียงแต่กรน มาจนถึงเรือนเจ้าขุนช้าง

จุดเทียนสะกดข้าวสารปราย ภูตพรายโดดเรือนสะเทือนผาง

สะเดาะดาลบานเปิดหน้ าต่างกาง ย่างเท้าก้าวขึ้นร้านดอกไม้

หอมหวนอวลอบบุปผาชาติ เบิกบานก้านกลาดกิ่งไสว

เรณูฟูร่อนขจรใจ ย่างเท้าก้าวไปไม่โครมคราม

ข้าไทนอนหลับลงทับกัน สะเดาะกลอนถอนลั่นถึงชั้นสาม

กระจกฉากหลากสลับวับแวมวาม อร่ามแสงโคมแก้วแววจับตา

ม่านมู่ลี่มีฉากประจำกั้น อัฒจันทร์เครื่องแก้วก็หนักหนา

ชมพลางย่างเยื้องชำเลืองมา เปิดมุ้งเห็นหน้ าแม่วันทอง

นิ่งนอนอยู่บนเตียงเคียงขุนช้าง มันแนบข้างกอดกลมประสมสอง

เจ็บใจดังหัวใจจะพังพอง ขยับจ้องดาบง่าอยากฆ่าฟั น

จะใคร่ถีบขุนช้างที่กลางตัว นึกกลัวจะถูกแม่วันทองนั่น

พลางนั่งลงนอบนบอภิวันท์ สะอื้นอั้นอกแค้นน้ำตาคลอ

โอ้แม่เจ้าประคุณของลูกเอ๋ย ไม่ควรเลยจะพรากจากคุณพ่อ

เวรกรรมนำไปไม่รั้งรอ มิพอที่จะต้องพรากก็จากมา

มันไปฉุดมารดาเอามาไว้ อ้ายหัวใสข่มเหงไม่เกรงหน้ า

ที่ทำแค้นกูจะแทนให้ทันตา ขอษมาแม่แล้วก็ขับพราย

เป่ าลงด้วยพระเวทวิทยา มารดาก็ฟื้ นตื่นโดยง่าย

ดาบใส่ฝั กไว้ไม่เคลื่ อนคลาย วันทองรู้สึกกายก็ลืมตา ฯ

11

เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา

๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง ต้องมนต์มัวหมองเป็ นหนักหนา

ตื่นพลางทางชำเลืองนัยน์ตามา เห็นลูกยานั้นยืนอยู่ริมเตียง

สำคัญคิดว่าผู้ร้ายให้นึกกลัว กอดผัวร้องดิ้นจนสิ้นเสียง

ซวนซบหลบลงมาหมอบเมียง พระหมื่นไวยเข้าเคียงห้ามมารดา

อะไรแม่แซ่ร้องทั้งห้องนอน ลูกร้อนรำคาญใจจึงมาหา

จะร้องไยใช่โจรผู้ร้ายมา สนทนาด้วยลูกอย่าตกใจ ฯ

๏ ครานั้นวันทองผ่องโสภา ครั้นรู้ว่าลูกยาหากลัวไม่

ลุกออกมาพลันด้วยทันใด พระหมื่นไวยเข้ากอดเอาบาทา

วันทองประคองสอดกอดลูกรัก ซบพักตร์ร้องไห้ไม่เงยหน้ า

เจ้ามาไยปานนี้นี่ลูกอา เขารักษาอยู่ทุกแห่งตำแหน่งใน

ใส่ดาลบ้านช่องกองไฟรอบ พ่อช่างลอบเข้ามากะไรได้

อาจองทะนงตัวไม่กลัวภัย นี่พ่อใช้ฤๅว่าเจ้ามาเอง

ขุนช้างตื่ นขึ้นมิเป็ นการ เขาจะรุกรานพาลข่มเหง

จะเกิดผิดแม่คิดคะนึงเกรง ฉวยสบเพลงพลาดพล้ำมิเป็ นการ

มีธุระสิ่งไรในใจเจ้า พ่อจงเล่าแก่แม่แล้วกลับบ้าน

มิควรทำเจ้าอย่าทำให้รำคาญ อย่าหาญเหมือนพ่อนักคะนองใจ ฯ

๏ จมื่นไวยสารภาพกราบบาทา ลูกมาผิดจริงหาเถียงไม่

รักตัวกลัวผิดแต่คิดไป ก็หักใจเพราะรักแม่วันทอง

ทุกวันนี้ลูกชายสบายยศ พร้อมหมดเมียมิ่งก็มีสอง

มีบ่าวไพร่ใช้สอยทั้งเงินทอง พี่น้ องข้างพ่อก็บริบูรณ์

ยังขาดแต่แม่คุณไม่แลเห็น เป็ นอยู่ก็เหมือนตายไปหายสูญ

ข้อนี้ที่ทุกข์ยังเพิ่มพูน ถ้าพร้อมมูลแม่ด้วยจะสำราญ

ลูกมาหมายว่าจะมารับ เชิญแม่วันทองกลับคืนไปบ้าน

แม้นจะบังเกิดเหตุเภทพาล ประการใดก็ตามแต่เวรา

มาอยู่ไยกับไอ้หินชาติ แสนอุบาทว์ใจจิตริษยา

ดังทองคำทำเลี่ยมปากกะลา หน้ าตาดำเหมือนมินหม้อมอม

เหมือนแมลงวันว่อนเคล้าที่เน่าชั่ว มาเกลือกกลั้วปทุมาลย์ที่หวานหอม

ดอกมะเดื่อฤๅจะเจือดอกพะยอม ว่านักแม่จะตรอมระกำใจ

แม่เลี้ยงลูกมาถึงเจ็ดขวบ เคราะห์ประจวบจากแม่หาเห็นไม่

จะคิดถึงลูกบ้างฤๅอย่างไร ฤๅหาไม่ใจแม่ไม่คิดเลย

ถ้าคิดเห็นเอ็นดูว่าลูกเต้า แม่ทูนเกล้าไปเรือนอย่าเชือนเฉย

ให้ลูกคลายอารมณ์ได้ชมเชย เหมือนเมื่อครั้งแม่เคยเลี้ยงลูกมา ฯ

เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา 12

๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง เศร้าหมองด้วยลูกเป็ นหนักหนา

พ่อพลายงามทรามสวาดิของแม่อา แม่โศกาเกือบเจียนจะบรรลัย

ใช่จะอิ่มเอิบอาบด้วยเงินทอง มิใช่ของตัวทำมาแต่ไหน

ทั้งผู้คนช้างม้าแลข้าไท ไม่รักใคร่เหมือนกับพ่อพลายงาม

ทุกวันนี้ใช่แม่จะผาสุก มีแต่ทุกข์ใจเจ็บดังเหน็บหนาม

ต้องจำจนทนกรรมที่ติดตาม จะขืนความคิดไปก็ใช่ที

เมื่อพ่อเจ้าเข้าคุกแม่ท้องแก่ เขาฉุดแม่ใช่จะแกล้งแหนงหนี

ถึงพ่อเจ้าเล่าไม่รู้ว่าร้ายดี เป็ นหลายปี แม่มาอยู่กับขุนช้าง

เมื่อพ่อเจ้ากลับมาแต่เชียงใหม่ ไม่เพ็ดทูลสิ่งไรแต่สักอย่าง

เมื่ อคราวตัวแม่เป็ นคนกลาง ท่านก็วางบทคืนให้บิดา

เจ้าเป็ นถึงหัวหมื่ นมหาดเล็ก มิใช่เด็กดอกจงฟั งคำแม่ว่า

จงเร่งกลับไปคิดกับบิดา ฟ้ องหากราบทูลพระทรงธรรม์

พระองค์คงจะโปรดประทานให้ จะปรากฏยศไกรเฉิดฉัน

อันจะมาลักพาไม่ว่ากัน เช่นนั้นใจแม่มิเต็มใจ ฯ

๏ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม ฟั งความเห็นว่าแม่หาไปไม่

คิดบ่ายเบี่ยงเลี่ยงเลี้ยวเบี้ยวบิดไป เพราะรักไอ้ขุนช้างกว่าบิดา

จึงว่าอนิจจาลูกมารับ แม่ยังกลับทัดทานเป็ นหนักหนา

เหมือนไม่มีรักใคร่ในลูกยา อุตส่าห์มารับแล้วยังมิไป

เสียแรงเป็ นลูกผู้ชายไม่อายเพื่ อน จะพาแม่ไปเรือนให้จงได้

แม้นมิไปให้งามก็ตามใจ จะบาปกรรมอย่างไรก็ตามที

จะตัดเอาศีรษะของแม่ไป ทิ้งแต่ตัวไว้ให้อยู่นี่

แม่อย่าเจรจาให้ช้าที จวนแจ้งแสงศรีจะรีบไป ฯ

๏ ครานั้นวันทองผ่องโสภา เห็นลูกยากัดฟั นมันไส้

ถือดาบฟ้ าฟื้ นยืนแกว่งไกว ตกใจกลัวว่าจะฆ่าฟั น

จึงปลอบว่าพลายงามพ่อทรามรัก อย่าฮึกฮักว้าวุ่นทำหุนหัน

จงครวญใคร่ให้เห็นข้อสำคัญ แม่นี้พรั่นกลัวแต่จะเกิดความ

ด้วยเป็ นข้าลักไปไทลักมา เห็นเบื้องหน้ าจะอึงแม่จึงห้าม

ถ้าเห็นเจ้าเป็ นสุขไม่ลุกลาม ก็ตามเถิดมารดาจะคลาไคล

ว่าพลางนางลุกออกจากห้อง เศร้าหมองโศกาน้ำตาไหล

พระหมื่นไวยก็พามารดาไป พอรุ่งแจ้งแสงใสก็ถึงเรือน ฯ

13

เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา

๏ จะกล่าวถึงเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง นอนครางหลับกรนอยู่ป่นเปื้ อน

อัศจรรย์ฝั นแปรแชเชือน ว่าขี้เรื้อนขึ้นตัวทั่วทั้งนั้น

หาหมอมารักษายาเข้าปรอท มันกินปอดตับไตออกไหลลั่น

ทั้งไส้น้ อยไส้ใหญ่แลไส้ตัน ฟั นฟางก็หักจากปากตัว

ตกใจตื่นผวาคว้าวันทอง ร้องว่าแม่คุณแม่ช่วยผัว

ลุกขึ้นงกงันตัวสั่นรัว ให้นึกกลัวปรอทจะตอดตาย

ลืมตาเหลียวหาเจ้าวันทอง ไม่เห็นน้ องห้องสว่างตะวันสาย

ผ้าผ่อนล่อนแก่นไม่ติดกาย เห็นม่านขาดเรี่ยรายประหลาดใจ

ตะโกนเรียกในห้องวันทองเอ๋ย หาขานรับเช่นเคยสักคำไม่

ทั้งข้าวของมากมายก็หายไป ปากประตูเปิ ดไว้ไม่ใส่กลอน

พลางเรียกหาข้าไทอยู่ว้าวุ่น อีอุ่นอีอิ่มอีฉิมอีสอน

อีมีอีมาอีสาคร นิ่งนอนไยหวามาหากู

บ่าวผู้หญิงวิ่งไปอยู่งกงัน เห็นนายนั้นแก้ผ้ากางขาอยู่

ต่างคนทรุดนั่งบังประตู ตกตะลึงแลดูไม่เข้ามา

ขุนช้างเห็นข้าไม่มาใกล้ ขัดใจลุกขึ้นทั้งแก้ผ้า

แหงนเถ่อเป้ อปังยืนจังก้า ย่างเท้าก้าวมาไม่รู้ตัว

ยายจันงันงกยกมือไหว้ นั่นพ่อจะไปไหนพ่อทูนหัว

ไม่นุ่งผ่อนนุ่งผ้าดูน่ากลัว ขุนช้างมองดูตัวก็ตกใจ

สองมือปิ ดขาเหมือนท่าเปรต ใครมาเทศน์เอาผ้ากูไปไหน

ให้นึกอดสูหมู่ข้าไท ยายจันไปเอาผ้าให้ข้าที

ยายจันตกใจเต็มประดา เข้าไปฉวยผ้าเอามาคลี่

หยิบยื่นส่งไปให้ทันที เมินหนีอดสูไม่ดูนาย

ขุนช้างตัวสั่นทาวบอกบ่าวไพร่ วันทองไปไหนอย่างไรหาย

เอ็งไปดูให้รู้ซึ่งแยบคาย พบแล้วอย่าวุ่นวายให้เชิญมา ฯ

๏ ข้าไทได้ฟังขุนช้างใช้ ต่างเที่ยวค้นด้นไปจะเอาหน้ า

ทั้งห้องนอกห้องในไม่พบพา ทั่วเคหาแล้วไปค้นจนแผ่นดิน

เห็นประตูรั้วบ้านบานเปิ ดกว้าง ผู้คนนอนสล้างไม่ตื่นสิ้น

เสาแรกแตกต้นเป็ นมลทิน กินใจกลับมาหาขุนช้าง

บอกว่าได้ค้นคว้าหาพบไม่ แล้วเล่าแจ้งเหตุไปสิ้นทุกอย่าง

ข้าเห็นวิปริตผิดท่าทาง ที่นวลนางวันทองนั้นหายไป ฯ

14

เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา

๏ ครานั้นขุนช้างฟังบ่าวบอก เหงื่อออกโซมล้านกระบานใส

คิดคิดให้แค้นแสนเจ็บใจ ช่างทำได้ต่างต่างทุกอย่างจริง

สองหนสามหนก่นแต่หนี พลั้งทีลงไม่รอดนางยอดหญิง

คราวนั้นอ้ายขุนแผนมันแง้นชิง นี่คราวนี้หนีวิ่งไปตามใคร

ไม่คิดว่าจะเป็ นเห็นว่าแก่ ยังสาระแนหลบลี้หนีไปไหน

เอาเถิดเป็ นไรก็เป็ นไป ไม่เอากลับมาได้มิใช่กู ฯ

๏ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม เกรงเนื้ อความนั่งนึกตรึกตรองอยู่

อ้ายขุนช้างสารพัดเป็ นศัตรู ถ้ามันรู้ว่าลักเอาแม่มา

มันก็จะสอดแนมแกมเท็จ ไปกราบทูลสมเด็จพระพันวษา

ดูจะระแวงผิดในกิจจา มารดาก็จะต้องซึ่งโทษภัย

คิดแล้วเรียกหมื่นวิเศษผล เอ็งเป็ นคนเคยชอบอัชฌาสัย

จงไปบ้านขุนช้างด้วยทันใด ไกล่เกลี่ยเสียอย่าให้มันโกรธา

บอกว่าเราจับไข้มาหลายวัน เกรงแม่จะไม่ทันมาเห็นหน้ า

เมื่ อคืนนี้ซ้ำมีอันเป็ นมา เราใช้คนไปหาแม่วันทอง

พอขณะมารดามาส่งทุกข์ ร้องปลุกเข้าไปถึงในห้อง

จึงรีบมาเร็วไวดังใจปอง รักษาจนแสงทองสว่างฟ้ า

ไม่ตายคลายคืนฟื้ นขึ้นได้ กูขอแม่ไว้พอเห็นหน้ า

แต่พอให้เคลื่อนคลายหลายเวลา จึงจะส่งมารดานั้นคืนไป ฯ

๏ หมื่นวิเศษรับคำแล้วอำลา รีบมาบ้านขุนช้างหาช้าไม่

ครั้นถึงแอบดูอยู่แต่ไกล เห็นผู้คนขวักไขว่ทั้งเรือนชาน

ขุนช้างนั่งเยี่ยมหน้ าต่างเรือน ดูหน้ าเฝื่ อนทีโกรธอยู่งุ่นง่าน

จะดื้ อเดินเข้าไปไม่เป็ นการ คิดแล้วลงคลานเข้าประตู ฯ

๏ ครานั้นเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง นั่งคาหน้ าต่างเยี่ยมหน้ าอยู่

เห็นคนคลานเข้ามาเหลือบตาดู นี่มาล้อหลอกกูฤๅอย่างไร

อะไรพอสว่างวางเข้ามา เด็กหวาจับถองให้จงได้

ลุกขึ้นถกเขมรร้องเกนไป ทุดอ้ายไพร่ขี้ครอกหลอกผู้ดี ฯ

๏ ครานั้นวิเศษผลคนว่องไว ยกมือขึ้นไหว้ไม่วิ่งหนี

ร้องตอบไปพลันในทันที คนดีดอกข้าไหว้ใช่คนพาล

ข้าพเจ้าเป็ นบ่าวพระหมื่ นไวย เป็ นขุนหมื่ นรับใช้อยู่ในบ้าน

ท่านใช้ให้กระผมมากราบกราน ขอประทานคืนนี้พระหมื่นไวย

เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา 15

เจ็บจุกปั จจุบันมีอันเป็ น แก้ไขก็เห็นหาหายไม่

ร้องโอดโดดดิ้นเพียงสิ้นใจ จึงใช้ให้ตัวข้ามาแจ้งการ

พอพบท่านมารดามาส่งทุกข์ ข้าพเจ้าร้องปลุกไปในบ้าน

จะกลับขึ้นเคหาเห็นช้านาน ท่านจึงรีบไปในกลางคืน

พยาบาลคุณพระนายพอคลายไข้ คุณอย่าสงสัยว่าไปอื่น

ให้คำมั่นสั่งมาว่ายั่งยืน พอหายเจ็บแล้วจะคืนไม่นอนใจ ฯ

๏ ครานั้นขุนช้างได้ฟังว่า แค้นดังเลือดตาจะหลั่งไหล

ดับโมโหโกรธาทำว่าไป เราก็ไม่ว่าไรสุดแต่ดี

การไข้เจ็บล้มตายไม่วายเว้น ประจุบันอันเป็ นทั้งกรุงศรี

ถ้าขัดสนสิ่งไรที่ไม่มี ก็มาเอาที่นี่อย่าเกรงใจ

ว่าแล้วปิดบานหน้ าต่างผาง ขุนช้างเดือดดาลทะยานไส้

ทอดตัวลงกับหมอนถอนฤทัย ดูดู๋เป็ นได้เจียววันทอง

เพราะกูแพ้ความจมื่นไวย มันจึงเหิมใจทำจองหอง

พ่อลูกแม่ลูกถูกทำนอง ถึงสองครั้งแล้วเป็ นแต่เช่นนี้

อ้ายพ่อไปเชียงใหม่มีชัยมา ตั้งตัวดังพระยาราชสีห์

อ้ายลูกเป็ นหมื่ นไวยทำไมมี เห็นกูนี้คนผิดติดโทษทัณฑ์

มันจึงข่มเหงไม่เกรงใจ จะพึ่งพาใครได้ที่ไหนนั่น

ขุนนางน้ อยใหญ่เกรงใจกัน ถึงฟ้ องมันก็จะปิดให้มิดไป

ตามบุญตามกรรมได้ทำมา จะเฆี่ยนฆ่าหาคิดชีวิตไม่

ยิ่งคิดเดือดดาลทะยานใจ ฉวยได้กระดานชนวนมา

ร่างฟ้ องท่องเทียบให้เรียบร้อย ถ้อยคำถี่ถ้วนเป็ นหนักหนา

ลงกระดาษพับไว้มิได้ช้า อาบน้ำผลัดผ้าแล้วคลาไคล

วันนั้นพอพระปิ่ นนรินทร์ราช เสด็จประพาสบัวยังหากลับไม่

ขุนช้างมาถึงซึ่งวังใน ก็คอยจ้องที่ใต้ตำหนักน้ำ ฯ

๏ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงเดช เสด็จคืนนิเวศน์พอจวบค่ำ

ฝี พายรายเล่มมาเต็มลำ เรือประจำแหนแห่เซ็งแซ่มา

พอเรือพระที่นั่งประทับที่ ขุนช้างก็รี่ลงตีนท่า

ลอยคอชูหนังสือดื้อเข้ามา ผุดโผล่โงหน้ ายึดแคมเรือ

เข้าตรงบโทนอ้นต้นกัญญา เพื่อนโขกลงด้วยกะลาว่าผีเสื้อ

มหาดเล็กอยู่งานพัดพลัดตกเรือ ร้องว่าเสือตัวใหญ่ว่ายน้ำมา

ขุนช้างดึงดื้อมือยึดเรือ มิใช่เสือกระหม่อมฉานล้านเกศา

สู้ตายขอถวายซึ่งฎีกา แค้นเหลือปัญญาจะทานทน ฯ

16

เสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา

๏ ครานั้นสมเด็จพระพันวษา ทรงพระโกรธาโกลาหล
ทุดอ้ายจัญไรมิใช่คน บนบกบนฝั่งดังไม่มี
ใช่ที่ใช่ทางวางเข้ามา ฤๅอ้ายช้างเป็ นบ้ากระมังนี่
เฮ้ยใครรับฟ้ องของมันที ตีเสียสามสิบจึงปล่อยไป
มหาดเล็กก็รับเอาฟ้ องมา ตำรวจคว้าขุนช้างหาวางไม่
ลงพระราชอาญาตามว่าไว้ พระจึงให้ตั้งกฤษฎีกา
ว่าตั้งแต่วันนี้สืบต่อไป หน้ าที่ของผู้ใดให้รักษา
ถ้าประมาทราชการไม่นำพา ปล่อยให้ใครเข้ามาในล้อมวง
ระวางโทษเบ็ดเสร็จเจ็ดสถาน ถึงประหารชีวิตเป็ นผุยผง
ตามกฤษฎีการักษาพระองค์ แล้วลงจากพระที่นั่งเข้าวังใน ฯ
เรืองฤทธิฦๅจบพิภพไหว
๏ จะกล่าวถึงขุนแผนแสนสนิท สมสนิทพิสมัยด้วยสองนาง
อยู่บ้านสุขเกษมเปรมใจ ปรนนิบัติวัตถาไม่ห่างข้าง
ลาวทองกับเจ้าแก้วกิริยา คืนนั้นในกลางซึ่งราตรี
เพลิดเพลินจำเริญใจไม่เว้นวาง ขุนแผนกลับผวาตื่นฟื้ นจากที่
นางแก้วลาวทองทั้งสองหลับ พระพายพัดมาลีตรลบไป
พระจันทรจรแจ่มกระจ่างดี นิจจาเจ้าเหินห่างร้างพิสมัย
คิดคะนึงถึงมิตรแต่ก่อนเก่า ดังเด็ดใจจากร่างก็ราวกัน
ถึงสองครั้งตั้งแต่พรากจากพี่ไป ละวางให้วันทองน้ องโศกศัลย์
กูก็ชั่วมัวรักแต่สองนาง จะเพ็ดทูลคราวนั้นก็คล่องใจ
เมื่อตีได้เชียงใหม่ก็โปรดครัน อ้ายขุนช้างไหนจะโต้จะตอบได้
สารพัดที่จะว่าได้ทุกอย่าง บัดนี้เล่าเจ้าไวยไปรับมา
ไม่ควรเลยเฉยมาไม่อาลัย เจ้าวันทองจะคอยละห้อยหา
จำกูจะไปสู่สวาดิน้ อง น้ำอบทาหอมฟุ้งจรุงใจ
คิดพลางจัดแจงแต่งกายา ถึงเรือนลูกยาหาช้าไม่
ออกจากห้องย่องเดินดำเนินมา เห็นนางหลับใหลนิ่งนิทรา
เข้าห้องวันทองในทันใด เตือนต้องด้วยความเสนหา
ลดตัวลงนั่งข้างวันทอง พี่มาหาแล้วอย่านอนเลย ฯ
สั่นปลุกลุกขึ้นเถิดน้ องอา

เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา 17

๏ นางวันทองตื่นอยู่รู้สึกตัว หมายใจว่าผัวก็ทำเฉย
นิ่งดูอารมณ์ที่ชมเชย จะรักจริงฤๅจะเปรยเป็ นจำใจ
แต่นิ่งดูกิริยาเป็ นช้านาน หาว่าขานโต้ตอบอย่างไรไม่
ทั้งรักทั้งแค้นแน่นฤทัย ความอาลัยปั่นป่วนยวนวิญญาณ์ ฯ
เจ้าหลับใหลกะไรเลยเป็ นหนักหนา
๏ โอ้เจ้าแก้วแววตาของพี่เอ๋ย ฤๅขัดเคืองคิดว่าพี่ทอดทิ้ง
ดังนิ่มน้ องหมองใจไม่นำพา พี่ไม่คลาศคลายรักแต่สักสิ่ง
ความรักหนักหน่วงทรวงสวาดิ จะนอนนิ่งถือโทษโกรธอยู่ไย
เผอิญเป็ นวิปริตพี่ผิดจริง จูบพลางชวนชิดพิสมัย
ว่าพลางเอนแอบลงแนบข้าง เป็นไรจึงไม่ฟื้ นตื่นนิทรา ฯ
ลูบไล้พิไรปลอบให้ชอบใจ โอนอ่อนวอนไหว้พิไรว่า
ใช่ตัวข้านี้จะงอนค่อนพิไร
๏ เจ้าวันทองน้ องตื่นจากที่นอน อันตัวน้ องมลทินหาสิ้นไม่
หม่อมน้ อยใจฤๅที่ไม่เจรจา พบไหนก็เป็ นแต่เช่นนั้น
ชอบผิดพ่อจงคิดคะนึงตรอง คงคิดคืนที่หม่อมเป็ นแม่นมั่น
ประหนึ่ งว่าวันทองนี้สองใจ คราวนั้นก็ไปอยู่เพราะจำใจ
ที่จริงใจถึงไปอยู่เรือนอื่น ยามมีที่เชยเฉยเสียได้
ด้วยรักลูกรักผัวยังพัวพัน กินผลไม้ต่างข้าวทุกเพรางาย
แค้นคิดด้วยมิตรไม่รักเลย ก็เพราะหากหม่อมมีซึ่งที่หมาย
เสียแรงร่วมทุกข์ยากกันกลางไพร เอ็นดูน้ องอย่าให้อายเขาอิกเลย ฯ
พอได้ดีมีสุขลืมทุกข์ยาก เหมือนลืมน้ องหลงเลือนทำเชือนเฉย
ว่านักก็เครื่องเคืองระคาย เงยหน้ าเถิดจะเล่าอย่าเฝ้ าแค้น
ต้องกลืนกล้ำโศกเศร้านั้นเหลือแสน
๏ พี่ผิดจริงแล้วเจ้าวันทอง มันดูแคลนว่าพี่นี้ยากยับ
ใช่จะเพลิดเพลินชื่นเพราะอื่นเชย คิดจะหนีไปตามเอาเจ้ากลับ
เมื่อติดคุกทุกข์ถึงเจ้าทุกเช้าค่ำ แต่ขยับอยู่จนได้ไปเชียงอินท์
ซ้ำขุนช้างคิดคดทำทดแทน พอเจ้าไวยเป็ นความก็ค้างสิ้น
อาลัยเจ้าเท่ากับดวงชีวิตพี่ ไม่เดือดดิ้นเท่าพี่กับวันทอง
เกรงจะพากันผิดเข้าติดทับ เห็นช้ากว่าจะได้มาร่วมห้อง
กลับมาหมายว่าจะไปตาม
หัวอกใครได้แค้นในแผ่นดิน
คิดอยู่ว่าจะทูลพระพันวษา

เสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา 18

จะเป็ นความอิกก็ตามแต่ทำนอง จึงให้ลูกรับน้ องมาร่วมเรือน
จะเป็ นตายง่ายยากไม่ยากรัก จะฟูมฟั กเหมือนเมื่ ออยู่ในกลางเถื่ อน

ขอโทษที่พี่ผิดอย่าบิดเบือน เจ้าเพื่อนเสนหาจงอาลัย

พี่ผิดพี่ก็มาลุแก่โทษ จะคุมโกรธคุมแค้นไปถึงไหน

ความรักพี่ยังรักระงมใจ อย่าตัดไมตรีตรึงให้ตรอมตาย

ว่าพลางทางแอบเข้าแนบอก ประคองยกของสำคัญมั่นหมาย

เจ้าเนื้ อทิพหยิบชื่ นอารมณ์ชาย ขอสบายสักหน่อยอย่าโกรธา ฯ

๏ ใจน้ องมิให้หมองอารมณ์หม่อม ไม่ตัดใจให้ตรอมเสนหา

ถ้าตัดรักหักใจแล้วไม่มา หม่อมอย่าว่าเลยว่าฉันไม่คืนคิด

ถึงตัวไปใจยังนับอยู่ว่าผัว น้ องนี้กลัวบาปทับเมื่อดับจิต

หญิงเดียวชายครองเป็ นสองมิตร ถ้ามิปลิดเสียให้เปลื้องไม่ตามใจ

คราวนั้นเมื่ อตามไปกลางป่ า หน้ าดำเหมือนหนึ่งทามินหม้อไหม้

ชนะความงามหน้ าดังเทียนชัย เขาฉุดไปเหมือนลงทะเลลึก

เจ้าพลายงามตามรับเอากลับมา ทีนี้หน้ าจะดำเป็นน้ำหมึก

กำเริบใจด้วยเจ้าไวยกำลังฮึก จะพาแม่ตกลึกให้จำตาย

มิใช่หนุ่มดอกอย่ากลุ้มกำเริบรัก เอาความผิดคิดหักให้เหือดหาย

ถ้ารักน้ องป้ องปิดให้มิดอาย ฉันกลับกลายแล้วหม่อมจงฟาดฟั น

ไปเพ็ดทูลเสียให้ทูลกระหม่อมแจ้ง น้ องจะแต่งบายศรีไว้เชิญขวัญ

ไม่พักวอนดอกจะนอนอยู่ด้วยกัน ไม่เช่นนั้นฉันไม่เลยจะเคยตัว ฯ

๏ นิจจาใจเจ้าจะให้พี่เจ็บจิตร ดังเอากฤชแกระกรีดในอกผัว

เกรงผิดคิดบาปจึงหลาบกลัว พี่นี้ชั่วเพราะหมิ่นประมาทความ

อื่นไกลไหนพี่จะละเล่า นี่เจ้าว่าดอกจะยั้งไว้ฟั งห้าม

เสียแรงมาว่าวอนจงผ่อนตาม อย่าหวงห้ามเสนหาให้ช้าวัน

ว่าพลางคลึงเคล้าเข้าแนบข้าง จูบพลางทางปลอบประโลมขวัญ

ก่ายกอดสอดเกี่ยวพัลวัน วันทองกั้นกีดไว้ไม่ตามใจ

พลิกผลักชักชวนให้ชื่นชิด เบือนบิดแบ่งรักหาร่วมไม่

สยดสยองพองเสียวแสยงใจ พระพายพัดมาลัยตรลบลอย

แมลงภู่เฝ้ าเคล้าไม้ในไพรชัฏ ไม่เบิกบานก้านกลัดเกสรสร้อย

บันดาลคงคาทิพกะปริบกะปรอย พรมพร้อยท้องฟ้ านภาลัย

อสนีครื้นครั่นสนั่นก้อง น้ำฟ้ าหาต้องดอกไม้ไม่

กระเซ็นรอบขอบสระสมุทไท หวิวใจแล้วก็หลับกับเตียงนอน ฯ

เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา 19

๏ ครั้นเวลาดึกกำดัดสงัดเงียบ ใบไม้แห้งแกร่งเกรียบระรุบร่อน
พระพายโชยเสาวรสขจายจร พระจันทรแจ่มแจ้งกระจ่างดวง
ดุเหว่าเร้าเสียงสำเนียงก้อง ระฆังฆ้องขานแข่งในวังหลวง
วันทองน้ องนอนสนิททรวง จิตรง่วงระงับสู่ภวังค์
ฝั นว่าพลัดไปในไพรเถื่ อน เลื่อนเปื้ อนไม่รู้ที่จะกลับหลัง
ลดเลี้ยวเที่ยงหลงในดงรัง ยังมีพยัคฆร้ายมาราวี
ทั้งสองมองหมอบอยู่ริมทาง พอนางดั้นป่ ามาถึงที่
โดดตะครุบคาดคั้นในทันที แล้วฉุดคร่าพารี่ไปในไพร
สิ้นฝั นครั้นตื่ นตกประหม่า หวีดผวากอดผัวสะอื้นไห้
เล่าความบอกผัวด้วยกลัวภัย ประหลาดใจน้ องฝันพรั่นอุรา
ใต้เตียงเสียงหนูก็กุกกก แมลงมุมทุ่มอกที่ริมฝา
ยิ่งหวาดหวั่นพรั่นตัวกลัวมรณา ดังวิญญาณ์นางจะพรากไปจากกาย ฯ
ฟั งความตามนิมิตก็ใจหาย
๏ ครานั้นขุนแผนแสนสนิท ฝั นร้ายสาหัสตัดตำรา
ครั้งนี้น่าจะมีอันตราย ก็บันดาลฤกษ์แรงเป็ นหนักหนา
พิเคราะห์ดูทั้งยามอัฐกาล กอดเมียเมินหน้ าน้ำตากระเด็น
มิรู้ที่จะแถลงแจ้งกิจจา ฝั นอย่างนี้มิใช่จะเกิดเข็ญ
จึงแกล้งเพทุบายทำนายไป เนื้ อเย็นอยู่กับผัวอย่ากลัวทุกข์
เพราะวิตกหมกไหม้จึงได้เป็ น แล้วทำมิ่งสิ่งขวัญให้เป็ นสุข
พรุ่งนี้พี่จะแก้เสนียดฝั น อย่าเป็นทุกข์เลยเจ้าจงเบาใจ ฯ
มิให้เกิดราคีกลียุค
สุริยาแย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล
๏ ครั้นว่ารุ่งสางสว่างฟ้ า เนาในพระที่นั่งบัลลังก์รัตน์
จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงชัย หมอบประนมเฝ้ าแหนแน่นขนัด
พร้อมด้วยพระกำนัลนักสนม ทรงเคืองขัดขุนช้างแต่กลางคืน
ประจำตั้งเครื่องอานอยู่งานพัด ทุกอย่างที่จะชั่วอ้ายหัวลื่น
แสนถ่อยใครจะถ่อยเหมือนมันบ้าง น้ำยืนหยั่งไม่ถึงยังดึงมา
เวียนแต่เป็ นถ้อยความไม่ข้ามคืน นี่มันฟ้ องใครอิกไอ้ชาติข้า
คราวนั้นฟ้ องกันด้วยวันทอง ออกมาพระที่นั่งจักรพรรดิ
ดำริพลางทางเสด็จยาตรา

20

เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา

พระสูตรรูดกร่างกระจ่างองค์ ขุนนางกราบราบลงเป็ นขนัด
ทั้งหน้ าหลังเบียดเสียดเยียดยัด หมอบอัดถัดกันเป็ นหลั่นไป
ทอดพระเนตรมาเห็นขุนช้างเฝ้ า เออใครเอาฟ้ องมันไปไว้ไหน
พระหมื่นศรีถวายพลันในทันใด รับไว้คลี่ทอดพระเนตรพลัน
พอทรงจบแจ้งพระทัยในข้อหา ก็โกรธาเคืองขุ่นหุนหัน
มันเคี่ยวเข็ญทำเป็ นอย่างไรกัน อีวันทองคนเดียวไม่รู้แล้ว
ราวกับไม่มีหญิงเฝ้ าชิงกัน ฤๅอีวันทองนั้นมันมีแก้ว
รูปอ้ายช้างชั่วช้าตาแบ้งแบว ไม่เห็นแววที่ว่ามันจะรัก
ใครจะเอาเป็ นผัวเขากลัวอาย หัวหูดูเหมือนควายที่ตกปลัก
คราวนั้นเป็ นความกูถามซัก ตกหนักอยู่กับเถ้าศรีประจัน
วันทองกูสิให้กับไอ้แผน ไยแล่นมาอยู่กับอ้ายช้างนั่น
จมื่นศรีไปเอาตัวมันมาพลัน ทั้งวันทองขุนแผนอ้ายหมื่นไวย ฯ
ถอยหลังออกมาไม่ช้าได้
๏ ฝ่ายพระหมื่นศรีได้รับสั่ง ตำรวจในวิ่งตะบึงมาถึงพลัน
สั่งเวรกรมวังในทันใด แจ้งข้อรับสั่งไปขมีขมัน
ขึ้นไปบนเรือนพระหมื่นไวย ให้หาทั้งสามทั่นนั้นเข้าไป ฯ
ขุนช้างฟ้ องร้องฎีกาพระทรงธรรม์ ได้ฟั งความคร้ามครั่นหวั่นไหว
ไม่ไว้ใจจึงเสกด้วยเวทมนตร์
๏ ครานั้นวันทองเจ้าพลายงาม ซึ่งวิเศษสารพัดแก้ขัดสน
ขุนแผนเรียกวันทองเข้าห้องใน เคยคุ้มขังบังตนแต่ไรมา
สีขี้ผึ้งสีปากกินหมากเวท คนเห็นคนทักรักทุกหน้ า
น้ำมันพรายน้ำมันจันทน์สรรเสกปน เสร็จแล้วก็พาวันทองไป ฯ
แล้วทำผงอิทธิเจเข้าเจิมพักตร์ ครั้นได้แจ้งกิจจาไม่นิ่งได้
เสกกระแจะจวงจันทน์น้ำมันทา ลงบันไดงันงกตกนอกชาน
กูมิใช่ช้างขี่ดอกลูกหลาน
๏ ครานั้นทองประศรีผู้มารดา ซมซานโฮกฮากอ้าปากไป
เด็กเอ๋ยวิ่งตามมาไวไว ผู้รับสั่งเร่งรุดไม่หยุดได้
พลายชุมพลกอดก้นทองประศรี เข้าไปเฝ้ าองค์พระภูมี ฯ
ลุกขึ้นโขย่งโก้งโค้งคลาน
ครั้นถึงยั้งอยู่ประตูวัง
ขุนแผนวันทองพระหมื่นไวย

21

เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา

๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช ปิ่ นปั กนัคเรศเรืองศรี
เห็นสามราเข้ามาอัญชลี พระปรานีเหมือนลูกในอุทร
ด้วยเดชะพระเวทวิเศษประสิทธิ เผอิญคิดรักใคร่พระทัยอ่อน
ตรัสถามอย่างความราษฎร ฮ้าเฮ้ยดูก่อนอีวันทอง
เมื่ อมึงกลับมาแต่ป่ าใหญ่ กูสิให้ไอ้แผนประสมสอง
ครั้นกูขัดใจให้จำจอง ตัวของมึงไปอยู่แห่งไร
ทำไมไม่อยู่กับอ้ายแผน แล่นไปอยู่กับอ้ายช้างใหม่
เดิมมึงรักอ้ายแผนแล่นตามไป ครั้นยกให้สิเต้นกลับเล่นตัว
อยู่กับอ้ายช้างไม่อยู่ได้ เกิดรังเกียจเกลียดใจด้วยชังหัว
ดูยักใหม่ย้ายเก่าเฝ้ าเปลี่ยนตัว ตกว่าชั่วแล้วมึงไม่ไยดี ฯ
๏ ครานั้นวันทองได้รับสั่ง ละล้าละลังประนมก้มเกศี
หัวสยองพองพรั่นทันที ทูลคดีพระองค์ผู้ทรงธรรม์
ขอเดชะละอองธุลีบาท องค์หริรักษ์ราชรังสรรค์
เมื่อกระหม่อมฉันมาแต่อารัญ ครั้งนั้นโปรดประทานขุนแผนไป
ครั้นอยู่มาขุนแผนต้องจำจอง กระหม่อมฉันมีท้องนั้นเติบใหญ่
อยู่ที่เคหาหน้ าวัดตะไกร ขุนช้างไปบอกว่าพระโองการ
มีรับสั่งโปรดปรานประทานให้ กระหม่อมฉันไม่ไปก็หักหาญ
ยื้อยุดฉุดคร่าทำสามานย์ เพื่อนบ้านจะช่วยก็สุดคิด
ด้วยขุนช้างอ้างว่ารับสั่งให้ ใครจะขัดขืนไว้ก็กลัวผิด
จนใจจะมิไปก็สุดฤทธิ ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา ฯ
ฟั งจบกริ้วขุนช้างเป็ นหนักหนา
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ อ้ายบ้าเย่อหยิ่งอ้ายลิงโลน
มีพระสิงหนาทตวาดมา มึงถือใจว่าเป็ นเจ้าที่โรงโขน
ตกว่ากูหาเป็ นเจ้าชีวิตไม่ เที่ยวทำโจรใจคะนองจองหองครัน
เป็ นไม่มีอาญาสิทธิคิดดึงโดน ชอบแต่เฆี่ยนสองหวายตลอดสัน
เลี้ยงมึงไม่ได้อ้ายใจร้าย เออเมื่อมันฉุดคร่าพามึงไป
แล้วกลับความถามข้างวันทองพลัน ครั้งนี้ทำไมมึงจึงมาได้
ก็ช้านานประมาณได้สิบแปดปี ฤๅว่าใครไปรับเอามึงมา ฯ
นี่มึงหนีมันมาฤๅว่าไร

22

เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา

๏ วันทองฟังถามให้คร้ามครั่น บังคมคัลประนมก้มเกศา
ขอเดชะพระองค์ทรงศักดา พระอาญาเป็ นพ้นล้นเกล้าไป
ครั้งนี้จมื่นไวยนั้นไปรับ กระหม่อมฉันจึงกลับคืนมาได้
มิใช่ย้อนยอกทำนอกใจ ขุนแผนก็มิได้ประเวณี
แต่มานั้นเวลาสักสองยาม ขุนช้างจึงหาความว่าหลบหนี
ขอพระองค์จงทรงพระปรานี ชีวีอยู่ใต้พระบาทา ฯ
๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช ฟั งเหตุขุ่นเคืองเป็ นหนักหนา
อ้ายหมื่นไวยทำใจอหังการ์ ตกว่าบ้านเมืองไม่มีนาย
จะปรึกษาตราสินให้ไม่ได้ จึงทำตามน้ำใจเอาง่ายง่าย
ถ้าฉวยเกิดฆ่าฟั นกันล้มตาย อันตรายไพร่เมืองก็เคืองกู
อีวันทองกูให้ไอ้แผนไป อ้ายช้างบังอาจใจทำจู่ลู่
ฉุดมันขึ้นช้างอ้างถึงกู ตะคอกขู่อีวันทองให้ตกใจ
ชอบตบให้สลบลงกับที่ เฆี่ยนตีเสียให้ยับไม่นับได้
มะพร้าวห้าวยัดปากให้สาใจ อ้ายหมื่นไวยก็โทษถึงฉกรรจ์
มึงถือว่าอีวันทองเป็ นแม่ตัว ไม่เกรงกลัวเว้โว้ทำโมหันธ์
ไปรับไยไม่ไปในกลางวัน อ้ายแผนพ่อนั้นก็เป็ นใจ
มันเหมือนวัวเคยขาม้าเคยขี่ ถึงบอกกูว่าดีหาเชื่อไม่
อ้ายช้างมันก็ฟ้ องเป็นสองนัย ว่าอ้ายไวยลักแม่ให้บิดา
เป็ นราคีข้อผิดมีติดตัว หมองมัวมลทินอยู่หนักหนา
ถ้าอ้ายไวยอยากจะใคร่ได้แม่มา ชวนพ่อฟ้ องหาเอาเป็นไร
อัยการศาลโรงก็มีอยู่ ฤๅว่ากูตัดสินให้ไม่ได้
ชอบทวนด้วยลวดให้ปวดไป ปรับไหมให้เท่ากับชายชู้
มันเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะหญิง จึงหึงหวงช่วงชิงยุ่งยิ่งอยู่
จำจะตัดรากใหญ่ให้หล่นพรู ให้ลูกดอกดกอยู่แต่กิ่งเดียว
อีวันทองตัวมันเหมือนรากแก้ว ถ้าตัดโคนขาดแล้วก็ใบเหี่ยว
ใครจะควรสู่สมอยู่กลมเกลียว ให้เด็ดเดี่ยวรู้กันแต่วันนี้
เฮ้ยอีวันทองว่ากะไร มึงตั้งใจปลดปลงให้ตรงที่
อย่าพะวังกังขาเป็ นราคี เพราะมึงมีผัวสองกูต้องแค้น
ถ้ารักใหม่ก็ไปอยู่กับอ้ายช้าง ถ้ารักเก่าเข้าข้างอ้ายขุนแผน
อย่าเวียนวนไปให้คนมันหมิ่นแคลน ถ้าแม้นมึงรักไหนให้ว่ามา ฯ

23

เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา

๏ ครานั้นวันทองฟังรับสั่ง ให้ละล้าละลังเป็ นหนักหนา

ครั้นจะทูลกลัวพระราชอาชญา ขุนช้างแลดูตายักคิ้วลน

พระหมื่นไวยใช้ใบ้ให้แม่ว่า บุ้ยปากตรงบิดาเป็ นหลายหน

วันทองหมองจิตรคิดเวียนวน เป็นจนใจนิ่งอยู่ไม่ทูลไป ฯ

๏ ครานั้นพระองค์ทรงธรณินทร์ หาได้ยินวันทองทูลขึ้นไม่

พระตรัสความถามซักไปทันใด ฤๅมึงไม่รักใครให้ว่ามา

จะรักชู้ชังผัวมึงกลัวอาย จะอยู่ด้วยลูกชายก็ไม่ว่า

ตามใจกูจะให้ดังวาจา แต่นี้เบื้องหน้ าขาดเด็ดไป ฯ

๏ นางวันทองรับพระราชโองการ ให้บันดาลบังจิตรหาคิดไม่

อกุศลดลมัวให้ชั่วใจ ด้วยสิ้นในอายุที่เกิดมา

คิดคะนึงตะลึงตะลานอก ดังตัวตกพระสุเมรุภูผา

ให้อุทัจอัดอั้นตันอุรา เกรงผิดภายหน้ าก็สุดคิด

จะว่ารักขุนช้างกะไรได้ ที่จริงใจมิได้รักแต่สักหนิด

รักพ่อลูกห่วงดังดวงชีวิต แม้นทูลผิดจะพิโรธไม่โปรดปราน

อย่าเลยจะทูลเป็ นกลางไว้ ตามพระทัยท้าวจะแยกให้แตกฉาน

คิดแล้วเท่านั้นมิทันนาน นางก้มกรานแล้วก็ทูลไปฉับพลัน

ความรักขุนแผนก็แสนรัก ด้วยร่วมยากมานักไม่เดียดฉันท์

สู้ลำบากบุกป่ ามาด้วยกัน สารพันอดออมถนอมใจ

ขุนช้างแต่อยู่ด้วยกันมา คำหนักหาได้ว่าให้เคืองไม่

เงินทองกองไว้มิให้ใคร ข้าไทใช้สอยเหมือนของตัว

จมื่นไวยเล่าก็เลือดที่ในอก ก็หยิบยกรักเท่ากันกับผัว

ทูลพลางตัวนางระเริ่มรัว ความกลัวพระอาญาเป็นพ้นไป ฯ

๏ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ ฟั งจบแค้นคั่งดังเพลิงไหม้

เหมือนดินประสิวปลิวติดกับเปลวไฟ ดูดู๋เป็นได้อีวันทอง

จะว่ารักข้างไหนไม่ว่าได้ น้ำใจจะประดังเข้าทั้งสอง

ออกนั่นเข้านี่มีสำรอง ยิ่งกว่าท้องทะเลอันล้ำลึก

จอกแหนแพเสาสำเภาใหญ่ จะทอดถมเท่าไรไม่รู้สึก

เหมือนมหาสมุทรสุดซึ้งซึก น้ำลึกเหลือจะหยั่งกระทั่งดิน

อิฐผาหาหาบมาทุ่มถม ก็จ่อมจมสูญหายไปหมดสิ้น

อีแสนถ่อยจัญไรใจทมิฬ ดังเพชรนิลเกิดขึ้นในอาจม

24

เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา

รูปงามนามเพราะน้ อยไปฤๅ ใจไม่ซื่อสมศักดิเท่าเส้นผม
แต่ใจสัตว์มันยังมีที่นิยม สมาคมก็แต่ถึงฤดูมัน
มึงนี่ถ่อยยิ่งกว่าถ่อยอีท้ายเมือง จะเอาเรื่องไม่ได้สักสิ่งสรรพ์
ละโมบมากตัณหาตาเป็ นมัน สักร้อยพันให้มึงไม่ถึงใจ
ว่าหญิงชั่วผัวยังคราวละคนเดียว หาตามตอมกันเกรียวเหมือนมึงไม่
หนักแผ่นดินกูจะอยู่ไย อ้ายไวยมึงอย่านับว่ามารดา
กูเลี้ยงมึงถึงให้เป็ นหัวหมื่ น คนอื่นรู้ว่าแม่ก็ขายหน้ า
อ้ายขุนช้างขุนแผนทั้งสองรา กูจะหาเมียให้อย่าอาลัย
หญิงกาลกิณีอีแพศยา มันไม่น่าเชยชิดพิสมัย
ที่รูปรวยสวยสมมีถมไป มึงตัดใจเสียเถิดอีคนนี้
เร่งเร็วเหวยพระยายมราช ไปฟั นฟาดเสียให้มันเป็ นผี
อกเอาขวานผ่าอย่าปรานี อย่าให้มีโลหิตติดดินกู
เอาใบตองรองไว้ให้หมากิน ตกดินจะอัปรีย์กาลีอยู่
ฟั นให้หญิงชายทั้งหลายดู สั่งเสร็จเสด็จสู่ปราสาทชัย ฯ

คุณค่าด้านเนื้อหา 25

๑) รูปแบบ กลอนเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน กวีเลือกใช้คำประพันธ์ประเภทกลอนเสภา ซึ่งมี
ลักษณะเหมือนกลอนสุภาพ กลอนเสภาอาจจะมีบางวรรดที่มีจำนวนคำไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่
กับเนื้อความหรือกระบวนกลอนและจังหวะในการขับเสภา ซึ่งกลอนเสภานี้เหมาะที่จะใช้ใน
การเล่าเรื่องและขับเป็นทำนองลำนำ คือการขับเสภานั่นเอง
๒) องค์ประกอบของเรื่อง จำแนกตามหัวข้อต่างๆ ได้ ดังนี้

๒.๑) สาระ
เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน เสนอข้อคิดว่าการตกเป็นทาสของอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความ
รัก ความโกรธ ความหลง ย่อมทำให้มนุษย์ขาดสติกระทำสิ่งต่างๆ โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา
ว่าจะดีหรือร้ายแก่ตนหรือแก่ผู้อื่น เมื่อเกิดความพลั้งพลาดจากการตัดสินใจก็นำไปสู่หายนะได้
เตือนเราให้ครองชีวิตด้วยสติหลังจากที่พลายงามลอบขึ้นเรือนขุนช้างแล้วพามารดามาอยู่ด้วย
ก็เกิดเกรงขุนช้างจะเอาผิด วันรุ่งขึ้นจึงให้บ่าวใช้ไปบอกว่าตนป่วยอยากดูหน้ าแม่ จะขอให้แม่
มาอยู่ด้วยสักพักแล้วจึงจะพาไปส่งกลับแต่ขุนช้างโกรธถวายฎีกาต่อพระพันวษาพระองค์กล่าว
โทษพลายงามที่ลอบขึ้นเรือนผู้อื่นโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทรงสั่งให้นางวันทองเข้าเฝ้ า แล้ว
ตรัสถามนางวันทองว่าจะเลือกอยู่กับใครนางวันทองตกประหม่าไม่อาจตัดสินใจได้เลยยกเรื่อง
ให้พระพันวษาตัดสินใจแทนพระพันวษาเข้าใจว่านางวันทองเลือกไม่ได้เพราะหลายใจ จึงทรง
รับสั่งประหารชีวิตนางวันทอง

๒.๒) โครงเรื่อง
เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวความรักของชายสองคนกับหญิงหนึ่งคน ชายคนหนึ่งเป็นคนรูปงามมี
วิชาอาคมแต่เจ้าชู้ชายอีกคนหนึ่งเป็นคนหน้ าตาอัปลักษณ์แต่มีฐานะร่ำรวยทั้งสองคนปรารถนา
ผู้หญิงคนเดียวกันจึงเกิดการแย่งชิง เพราะความรักความใคร่จึงสร้างความทุกข์ใจให้กับทั้ง
สามคน ปมปัญหาของเรื่องนี้คือ นางผู้นั้นจะตกเป็นของชายใดเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนเป็น
ตอนที่สำคัญที่สุดของเรื่ องเพราะเป็ นตอนคลี่คลายปมปั ญหาว่านางวันทองจะตกเป็ นของผู้ใด
ระหว่างขุนแผนกับขุนช้าง
เริ่มจากที่พลายงามอยากให้มารดามาอยู่ด้วย จึงได้ลอบขึ้นเรือนขุนช้างแล้วพานางวันทองไป
กับตนเมื่อขุนช้างรู้ว่านางวันทองอยู่กับพลายงามก็โกรธมากไปถวายฎีกาพระพันวษา เรื่องได้
หักมุมจบลงตรงที่นางวันทองถูกประหารชีวิต นับเป็นเรื่องน่าสลดใจและสร้างความสะเทือน
อารมณ์ให้แก่ผู้อ่านเป็ นอย่างยิ่ง

26

๒.๓) ฉากและบรรยากาศ

ฉากที่ปรากฎในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน คือ สภาพสังคมไทยในสมัยอยุธยาและ

รัตนโกสินทร์ตอนต้นของชาวบ้าน ชาววัด และชาววัง ซึ่งผู้แต่งได้บรรยายฉากและ

บรรยากาศต่างๆ ได้สมจริงสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง เช่น เรือนของขุนช้างที่แสดงถึงความ

ร่ำรวย

ดังบทประพันธ์

ข้าไทนอนหลับลงทับกัน สะเดาะกลอนถอนลั่นถึงชั้นสาม

กระจกฉากหลากสลับวับแวมวาม อร่ามแสงโคมแก้วแววจับตา

ม่านมู่สี่มีฉากประจำกั้น อัฒจันทร์เครื่องแก้วก็หนักหนา

ชมพลางย่างเยื้องชำเลืองมา เปิดมุ้งเห็นหน้ าแม่วันทอง

๒.๔) กลวิธีการแต่ง
กวีมีกลวิธีในการนำเสนอเรื่องราวผ่านตัวละครโดยการเล่าด้วยถ้อยคำภาษาที่ไพเราะงดงาม
ทั้งการใช้คำที่ทำให้เห็นภาพและการใช้ความเปรียบสะท้อนให้เห็น วิถีชีวิตของคนไทยสมัย
ก่อน สภาพความเป็นอยู่ การพิพากษาคดีรวมถึงการตัดสินประหารชีวิต กวีถ่ายทอดเรื่องราว
ได้สมจริงน่าประทับใจและชวนติดตาม ดังบทประพันธ์

ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ ฟั งจบแค้นคั่งดังเพลิงไหม้
เหมือนดินประสิวปลิวติดกับเปลวไฟ ดูดูเป็ นได้อีวันทอง
จะว่ารักข้างไหนไม่ว่าได้ น้ำใจจะประดังเข้าทั้งสอง
ออกนั่นเข้านี่มีสำรอง ยิ่งกว่าท้องทะเลอันล้ำลึก
จอกแหนแพเสาสำเภาใหญ่ จะทอดถมเท่าไรไม่รู้สึก
เหมือนมหาสมุทรสุดซึ้งซีก น้ำลึกเหลือจะหยั่งกระทั่งดิน
อิฐผาหาหาบมาทุ่มถม ก็จ่อมจมสูญหายไปหมดสิ้น
อีแสนถ่อยจัญไรใจทมิฬ ดังเพชรนิลเกิดขึ้นในอาจม
รูปงามนามเพราะน้ อยไปฤา ใจไม่ซื่อสมศักดิ์เท่าเส้นผม
แต่ใจสัตว์มันยังมีที่นิยม สมาคมก็แต่ถึงฤดูมัน
มึงนี้ถ่อยยิ่งกว่าถ่อยอีท้ายเมือง จะเอาเรื่องไม่ได้สักสิ่งสรรพ์

27

๒.๕) ตัวละครสำคัญ ดังนี้
๑) นางวันทอง

นางพิมพิลาไลยเป็นหญิงรูปงามแต่ปากจัดเป็นบุตรของพันศรโยธาและนางศรีประจัน ต่อมา
ได้แต่งงานกับพลายแก้วซึ่งภายหลังมีลูกชายด้วยกัน คือ พลายงาม และได้เปลี่ยนชื่อเป็นนางวัน
ต่อมานางถูกแม่บังคับให้แต่งงานใหม่กับขุนช้างทำให้ถูกประนามว่าเป็นหญิงสองใจ นางวันทอง
เป็นคนที่ไม่กล้าที่จะตัดสินใจ เมื่อมีคดีฟ้ องร้องถึงสมเด็จพระพันวษา ซึ่งพระองค์ให้นางเลือกว่าจะ
อยู่กับใครแต่นางตัดสินใจไม่ถูกจึงถูกสั่งประหารชีวิต

นางวันทองมีลักษณะสาวชาวบ้านจึงเป็นคนซื่อ ไม่ค่อยฉลาดเท่าใดนัก ทำอะไรก็ทำตาม
ประสาหญิงชาวบ้าน แต่สังคมไทยมีความจำกัดให้ผู้หญิงอยู่ในกรอบของประเพณี จึงทำให้ดูเหมือน
ว่านางวันทองไม่รักนวลสงวนตัว อย่างไรก็ตาม นางวันทองก็ยังมีภาพลักษณ์ด้านดีที่เห็นได้ชัด คือ
ความละเอียดอ่อน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการรับรู้ถึงความดีของผู้อื่นที่ปฏิบัติต่อนาง ดังจะเห็นได้จาก
ถึงแม้นางจะไม่ได้รักขุนช้างแต่ด้วยความดีของขุนช้างและความผูกพันที่อยู่กันมา 15 ปี ทำให้นาง
เป็นห่วงเป็นใยความทุกข์สุข และความรู้สึกของขุนช้างไม่น้ อย นางวันทองยังเป็นแม่ที่ดี คือเมื่อ
เห็นลูกกำลังกระทำผิดก็ไม่เห็นดีเห็นงามด้วย ดังจะเห็นได้จากตอนที่พลายงามบุกขึ้นเรื่อนขุนช้าง
ในยามวิกาล นอกจากนี้นางวันทองยังเป็นคนกล้าที่จะยอมรับชะตากรรมของตัวเอง มีน้ำใจเมตตา
และให้อภัยโดยไม่เคียดแค้น

28

ซึ่งเเต่เดิมวันทองเป็นเด็กสาวไร้เดียงสา ไม่ค่อยมีโอกาสตัดสินใจด้วยตนเอง เมื่อเข้าสู่วัย
ผู้ใหญ่ที่ผ่านความทุกข์มามากมาย นางวันทองมีความสุขุมรอบดอบ รู้จักยับยั้งชั่งใจ คิดก่อนทำ ดัง
จะเห็นได้จากตอนที่ขุนแผนเข้ามาหานางในห้องนอนวันทองมิได้ยินยอมที่จะมีความสัมพันธ์ฉัน
สามีภรรยากับขุนแผน และนางยังกล่าวถึงเรื่องควรไม่ควรและเตือนให้ขุนแผนกราบทูลพระพัน
วษาให้ทรงทราบเรื่องก่อน ดังความว่า

มิใช่หนุ่มดอกอย่ากลุ้มกำเริบรัก เอาความผิดคิดหักให้เหือดหาย
ถ้ารักน้ องป้ องปิดให้มิดอาย ฉันกลับกลายแล้วหม่อมจงฟาดฟั น
น้ องจะแต่งบายศรีไว้เชิญขวัญ ไปเพ็ดทูลเสียให้ทูลกระหม่อมแจ้ง
ไม่พักวอนดอกจะนอนอยู่ด้วยกัน ไม่เช่นนั้นฉันไม่เลยจะเคยตัว

29

๒) พลายงาม

พลายงาม มีลักษณะนิสัยที่รักแม่วันทองและเป็นห่วงแม่มาก สังเกตได้จากตอนที่นาง
วันทองพาพลายงามมาอยู่วัดจนกระทั่งมืดค่ำพลายงามต้องบอกให้นางวันทองรีบกลับ
บ้านเพราะกลัวขุนช้างจะทำร้ายนางวันทอง ลักษณะนิสัยอีกอย่างของพลายงามคือ
เป็ นกล้าหาญอดทนโดยเฉพาะตอนเดินทางจากแม่วันทองไปกาญจนบุรีเพียงลำพังใน
ป่าซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ที่อันตรายแต่พลายงามก็กล้าหาญมาก และฉลาดอีกด้วยโดย
สังเกตได้จากตอนที่พลายงามออกอุบายให้เด็กเลี้ยงควายพาไปบ้านย่าโดยเสนอว่าจะ
ขึ้นต้นมะยมหวานเป็ นการแลกเปลี่ยน

ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม ฟั งความเห็นว่าแม่หาไปไม่
คิดบ่ายเบี่ยงเลี่ยงเลี้ยวเบี้ยวบิดไป เพราะรักอ้ายขุนช้างกว่าบิดา
จึงว่าอนิจจาลูกมารับ แม่ยังกลับทัดทานเป็ นหนักหนา
เหมือนไม่มีรักใครในลูกยา อุตส่าห์มารับแล้วยังมีไป
เสียแรงเป็ นลูกผู้ชายไม่อายเพื่ อน จะพาแม่ไปเรือนให้จงได้
แม้นมีไปให้งามก็ตามใจ จะบาปกรรมอย่างไรก็ตามที่
จะตัดเอาศีรษะของแม่ไป ทิ้งแต่ตัวไว้ให้อยู่นี่
แม่อย่าเจรจาให้ช้าที จวนแจ้งแสงศรีจะรีบไป

30

(๓) ขุนช้าง

ขุนช้างมีลักษณะรูปชั่วตัวดำหัวล้านมาแต่กำเนิด นิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบายเป็นบุตรของขุนศรี

วิชัยและนางเทพทองซึ่งมีฐานะร่ำรวยมาก ขุนช้างแม้จะเกิดมาเป็นลูกเศรษฐีแต่ก็อาภัพถูกแม่

เกลียดชังเพราะอับอายที่มีลูกหัวล้าน จึงมักถูกแม่ด่าว่าอยู่เสมอและไม่ว่าจะเดินไปทางใดก็จะ

เป็นที่ขบขันล้อเลียนของชาวบ้านทั่วไปเสมอ พอเป็นหนุ่มก็ได้นางแก่นแก้วเป็นภรรยาอยู่ด้วย

กันได้ปีกว่านางก็ตาย จึงหันมาหมายปองนางพิมพิลาไลยแต่นางไม่ยินดีด้วยและได้แต่งงาน

กับพลายแก้ว แต่ขุนช้างก็ยังไม่ลดความพยายามคงใช้อุบายจนได้แต่งงานกับนางสมใจ

ปรารถนา ข้อดีของขุนช้าง คือรักเดียวใจเดียวและเลี้ยงดูนางวันทองเป็นอย่างดีทำให้นางวัน

ทองเริ่มเห็นใจขุนช้าง

ดังความว่า

ครานั้นขุนช้างฟั งบ่าวบอก เหงื่อออกโซมล้านกบาลใส
คิดคิดให้แค้นแสนเจ็บใจ ช่างทำได้ต่างต่างทุกอย่างจริง
สองหนสามหนก่นแต่หนี พลั้งทีลงไม่รอดนางยอดหญิง
คราวนั้นอ้ายซุนแผนมันแง้นชิง นี่คราวนี้หนีวิ่งไปตามใคร
ไม่คิดว่าจะเป็ นเห็นว่าแก่ ยังสาระแนหลบลี้หนีไปไหน
เอาเถิดเป็ นไรก็เป็ นไป ไม่เอากลับมาได้มีใช่กู

31

(๔) ขุนแผน

ขุนแผนเดิมชื่อพลายแก้วเป็นบุตรของขุนไกรพลพ่ายและนางทองประศรีมีรูปร่างหน้ าตา
งดงามคมสัน สติปัญญาเฉลียวฉลาด ด้วยลักษณะนิสัยเป็นคนเจ้าชู้และมีคารมคมคาย จึงง่ายต่อ
การพิชิตใจหญิงสาวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของพลายแก้ว มีดาบฟ้ าฟื้ นเป็นอาวุธประจำตัว พาหนะ
คู่ใจคือม้าสีหมอก ได้บวชเณรและเรียนวิชาที่วัดส้มใหญ่ แล้วย้ายไปเรียนต่อที่วัดป่าเลไลยจน
สุดท้ายไปเป็นศิษย์สมภารคง วัดแค มีความรู้ทางโหราศาสตร์ ปลุกผี อยู่ยงคงกระพันคาถามหา
ละลวยทำให้ผู้หญิงรักตลอดจนวิชาจากตำรับพิชัยสงคราม และยังมีความสามารถเทศนได้ไพเราะ
จับใจอีกด้วย ต่อมาสึกจากเณรแล้วแต่งงานกับนางพิมพาลาไลย ไม่นานก็ถูกเรียกตัวไปเป็น
แม่ทัพรบกับเชียงใหม่ ครั้นได้ชัยชนะกลับมาก็ได้เป็นขุนแผนแสนสะท้านแต่ปรากฎว่าภรรยา
แต่งงานใหม่กับขุนช้าง ภายหลังขุนแผนต้องโทษถูกจำคุกถึง ๑๕ ปี จึงพ้นโทษ และทำสงคราม
กับเชียงใหม่อีกครั้งเมื่อชนะกลับมาก็ได้ตำแหน่งเป็นพระสุรินทรฤาไชย เจ้าเมืองกาญจนบุรี
ดังบทประพันธ์

นางแก้วลาวทองทั้งสองหลับ ขุนแผนกลับผวาตื่นฟื้ นจากที่
พระจันทรจรแจ่มกระจ่างดี พระพายพัดมาลีตลบไป
คิดคะนึงถึงมิตรแต่ก่อนเก่า นิจจาเจ้าเหินห่างร้างพิสมัย
ถึงสองครั้งตั้งแต่พรากจากพี่ไป ดังเด็ดใจจากร่างก็ราวกัน
กูก็ชั่วมัวรักแต่สองนาง ละวางให้วันทองน้ องโศกศัลย์
เมื่อตีได้เชียงใหม่ก็โปรดครัน จะเพ็ดทูลคราวนั้นก็คล่องใจ
สารพัดที่จะว่าได้ทุกอย่าง อ้ายขุนช้างไหนจะโต้จะตอบได้
ไม่ควรเลยเฉยมาไม่อาลัย บัดนี้เล่าเจ้าไวยไปรับมา
จำกูจะไปสู่สวาทน้ อง เจ้าวันทองจะคอยละห้อยหา
คิดพลางจัดแจงแต่งกายา น้ำอบทาหอมฟุ้งจรุงใจ
ออกจากห้องย่องเดินดำเนินมา ถึงเรือนลูกยาหาช้าไม่
เข้าห้องวันทองในทันใด เห็นนางหลับใหลนิ่งนิทรา

32

(๕) สมเด็จพระพันวษา

สมเด็จพระพันวษา เป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยายุคนี้เป็นยุคที่บ้านเมืองเจริญ
รุ่งรือง มีความอุดมสมบูรณ์ราษฎรทั้งหลายอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข บรรดาประเทศใกล้เคียงก็
อ่อนน้ อมเพราะยำเกรงบารมี ครั้งสมเด็จพระพันวษานารากร ครองนครกรุงศรีอยุธยา เกษมสุข
แสนสนุกดังเมืองสวรรค์ พระเดชนั้นแผ่ไปในทิศา เป็นปิ่นภพลบโลกโลกาครอบครองไพร่ฟ้ า
ประชากร เมืองขึ้นน้ อยใหญ่ในอาณาเขตเกรงพระเดชทั่วหมดสยดสยอน ต่างประเทศขอบเขต
พระนครชลีกรอ่อนเกล้าอภิวันท์ พร้อมด้วยโภไคยไอศูรย์ สมบูรณ์พูนสุขเกษมสันต์
พระองค์ทรงทศพิราชธรรม์ ราษฎรทั้งนั้นก็ยินดี

สมเด็จพระพันวษามีนิสัยโกรธง่าย แต่พระองค์ก็นับว่าเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีความ
ยุติธรรมต่อพวกทหาร เสนาอำมาตย์ และราษฎรพอสมควร เมื่อมี คดีฟ้ องร้องกัน ก็จะให้มีการ
ไต่สวนและพิสูจน์ความจริง
ตัวอย่างบทประพันธ์

ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช ฟั งเหตุขุ่นเคืองเป็ นหนักหนา
อ้ายหมื่นไวยทำใจอหังการ์ ตกว่าบ้านเมืองไม่มีนาย
จะปรึกษาตราสินให้ไม่ได้ จึงทำตามน้ำใจเอาง่ายง่าย
ถ้าฉวยเกิดฆ่าฟั นกันล้มตาย อันตรายไพร่เมืองก็เคืองกู
อีวันทองกูให้อ้ายแผนไป อ้ายช้างบังอาจใจทำจู่ลู่
ฉุดมันขึ้นช้างอ้างถึงกู ตะคอกขู่อีวันทองให้ตกใจ

33

คุณค่าด้านวรรณศิลป์

การพิจารณาคุณคำด้านวรรณศิลปั เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ใช้กลอนเสภามาเล่าเรื่อง
นับว่าเหมาะสมกับเนื้อเรื่องมาก เพราะเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนมีลักษณะเป็นนิทาน ความ
งามในด้านร้อยกรองจึงมีอยู่มากทั้งดวามไพเราะลึกซึ้งกินใจ ดังนี้
๑) การสรรคำ กวีเลือกใช้คำในลักษณะต่างๆ เพื่อให้เกิดความไพเราะ สื่อความคิด
ความรู้สึก และอารมณ์ได้ ดังนี้

๑.๑) การเลือกใช้ดำได้ถูกต้องตรงตามความหมายที่ต้องการ กวีเลือกใช้คำไวพจน์ได้
ถูกต้องตรงตามความหมายที่ต้องการ การใช้คำไวพจน์แสดงให้เห็นสติปัญญาของกวีที่เลือก
ใช้ดำได้หลากหลายโดยไม่เสียความและทำให้บทประพันธ์มีสัมผัสคล้องจองเกิดความไพเราะ
เช่น

อัดอึดยึดฮัดด้วยขัดใจ เมื่อไรตะวันจะลับหล้า
เข้าห้องหวนละห้อยคอยเวลา จนสุริยาเลี้ยวลับเมรุไกร

จากบทประพันธ์คำว่า ตะวันและสุริยา หมายถึง พระอาทิตย์ ถือว่ากวีเลือกใช้คำได้หลาก
หลายเหมาะกับบริบท

๑.๒) การเลือกใช้คำที่เหมาะแก่เนื้อเรื่องและฐานะของบุคคลในเรื่อง เช่น

จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงเดช เสด็จคืนนิเวศน์พอจวนค่ำ
ฝี พายรายเล่มมาเต็มลำ เรือประจำแหนแห่เซ็งแช่มา
พอเรือพระที่นั่งประทับที่ ขุนช้างก็รี่ลงตีนท่า
ลอยคอชูหนังสือดื้อเข้ามา ผุดโผลโงหน้ ายึดแคมเรือ

กวีเลือกใช้คำเหมาะกับฐานะของบุคคลได้แก่คำว่าพระองค์ผู้ทรงเดชเสด็จนิเวศน์เรือพระที่นั่ง
ประทับใช้กับพระมหากษัตริย์ส่วนคำว่ารื่ตีนท่าลอยดอชูผุดโผล่โงหน้ าจะใช้กับขุนช้าง

34

๑.๓) การเลือกใช้คำได้เหมาะแก่ลักษณะคำประพันธ์
ดำประพันธ์เรื่ องขุนช้างขุนแผนคือกลอนเสภาที่ใช้ขับเสภาในงานมงคลเนื้ อเรื่ องแม้จะมี
ขนาดยาวแต่ก็ใช้คำง่ายๆ ส่วนใหญ่เป็นคำไทยแท้ ผู้อ่านหรือผู้ฟังสามารถเข้าใจตำที่กวีใช้ได้
ดีโดยไม่ต้องตีความหมายอย่างลึกซึ้ง เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนจึงได้รับความนิยมมาจนถึง
ปัจจุบัน นับว่ากวีเลือกใช้คำได้เหมาะแก่ลักษณะของคำประพันธ์ เช่น

แม่เลี้ยงลูกมาถึงเจ็ดขวบ เคราะห์ประจวบจากแม่หาเห็นไม่
จะคิดถึงลูกบ้างฤอย่างไร ฤหาไม่ใจแม่ไม่คิดเลย
ถ้าคิดเห็นเอ็นดูว่าลูกเต้า แม่ทูนเกล้าไปเรือนอย่าเชือนเฉย
ให้ลูกคลายอารมณ์ได้ชมเชย เหมือนเมื่อครั้งแม่เคยเลี้ยงลูกมา

จากบทประพันธ์ข้างดันเป็ นตอนที่พลายงามขึ้นเรือนขุนช้างเพื่ อพาแม่มาอยู่ด้วยจึงได้
พยายามพูดโน้ มน้ าวให้แม่เห็นใจกลับมาอยู่ด้วยกัน หลังจากต้องจากกันเมื่อพลายงามอายุ
เพียงเจ็ดขวบ

35

๒) การใช้โวหาร คือ การใช้ถ้อยคำอย่างมีชั้นเชิงในการเขียน เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจและรับ
รู้อารมณ์ความรู้สึก ความคิด ประสบการณ์ หรือเรื่องที่เกิดจากจินตนาการได้ตรงตามจุด
มุ่งหมายของกวี ในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา มีการใช้โวหารที่ก่อ
ให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจหลายอารมณ์ กรีใช้โวหารต่างๆ ถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละคร
ทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจเนื้ อเรื่ องได้เป็ นอย่างตี

๒.๑) อุปมาโวหาร เป็นการใช้ถ้อยดำแสดงการเปรียบเทียบอย่างมีชั้นเชิง โดย
การนำสิ่งที่คล้ายคลึงกันมาเปรียบเทียบ ดังเหตุการณ์ตอนที่พลายงามขึ้นเรือนขุนช้าง
เพื่อพานางวันทองมาอยู่บ้านกับตน พลายงามได้กล่าวเปรียบเทียบนางวันทองกับขุนช้าง
ว่าไม่มีความเหมาะสมคู่ควรกัน ความว่า

มาอยู่ใยกับอ้ายหินชาติ แสนอุบาทว์ใจจิตริษยา
ดังทองคำทำเลี่ยมปากกะลา หน้ าตาดำเหมือนมินหม้อมอม
เหมือนแมลงวันว่อนเคล้าที่เน่าชั่ว มาเกลือกกลั้วปทุมมาลย์ที่หวานหอม
ดอกมะเดื่อฤๅจะเจือดอกพะยอม ว่านักแม่จะตรอมระกำใจ

พลายงามได้กล่าวเปรียบเทียบการที่นางวันทองอยู่กับขุนช้างว่า เหมือนกับนำสิ่งที่มีค่า
อย่างทองคำคือนางวันทองมาเลี่ยมปากกะลา ซึ่งกะลาเป็นภาชะด้อยดู่หมายความถึงขุน
ช้างนอกจากจะเรียบขุนช้างว่าด้อยคำแล้ว ยังเปรียบขุนช้างว่าหน้ าตาดำเหมือนเขม่าติด
กันหม้อขุนช้างเหมือนแมลงวันที่บินตอมของเน่าเหม็นแล้วมาตอมดอกบังามอย่างนาง
วันทอง และเปรียบดวามแตกต่างของขุนช้างกับนางวันทองว่า ขุนช้างเป็นเหมือนดอก
มะเดื่อที่ไม่มีกลิ่นและไม่อาจติดกลิ่นหอมจากดอกพะยอมซึ่งหมายถึงนางวันทองได้ ถ้า
นางวันทองยังอยู่กับขุนช้างก็ต้องซ้ำใจเพราะความไม่คู่ควรกัน กวีเปรียบเทียบดวามแตก
ต่างอย่างชัดเจนระหว่างนางวันทองกับขุนช้าง

36

๒.๒) บรรยายโวหาร เป็นกระบวนการแต่งที่มีเนื้อเรื่อง มีบทบาท ดำเนินเรื่องว่าใครทำอะไร
ทำอย่างไร ที่ไหน และเมื่อไหร่ บรรยายโวหารใช้ในการเล่าเรื่อง เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนมีลักษณะ
เล่าเป็นเรื่องยาว จึงใช้บรรยายวหารในการดำเนินเรื่อง ดังบทประพันธ์

ขอเดชะละอองธุลีบาท องค์หริรักษ์ราชรังสรรค์
เมื่อกระหม่อมฉันมาแต่อารัญ ครั้งนั้นโปรดประทานขุนแผนไป
ครั้นอยู่มาขุนแผนต้องจำจอง กระหม่อมฉันมีท้องนั้นเติบใหญ่
อยู่ที่เคหาหน้ าวัดตะไกร ขุนข้างไปบอกว่าพระโองการ
มีรับสั่งโปรดปรานประทานให้ กระหม่อมฉันไม่ไปก็หักหาญ
ยื้อยุดฉุดคร่ำทำสามานย์ เพื่อนบ้านจะช่วยก็สุดคิด
ด้วยขุนช้างอ้างว่ารับสั่งให้ ใครจะขัดขืนไว้ก็กลัวผิด
จนใจจะมีไปก็สุดฤทธิ์ ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา

จากบทประพันธ์เป็ นตอนที่พระพันวษารับสั่งถามนางวันทองว่าทำไมไปอยู่กับขุนช้างทั้งที่พระองค์
ทรงประทานนางให้ขุนแผน นางวันทองจึงอธิบายเรื่องราวว่า ขุนช้างมาฉุดกระชากลากไปโดยอ้างคำ
สั่งของพระองค์ กวีใช้การบรรยายโวหารช่วยให้ผู้อ่านลำดับเหตุการณ์ได้ดีและ
เข้าใจเรื่องราวได้ แม้จะเล่าย้อนความในอดีต

37

๓) การใช้ภาพพจน์ เป็นการใช้กลวิธีการเรียบเรียงถ้อยคำลักษณะคำลักษณะต่างๆที่ผู้
ประพันธ์ตั้งใจใช้ เพื่อให้เกิดผลทางจินตภาพหรือทำให้เกิดความซาบซึ้งใจได้มากกว่าการ
เขียนธรรมดา

๓.๑) การใช้ภาพพจน์อุปมา เป็นภาพพจน์ที่ใช้การเปรียบเทียบอธิบายลักษณะของสิ่งใด
สิ่งหนึ่ง โดยสิ่งที่นำมาใช้เป็นความเปรียบนั้นเป็นสิ่งที่รู้จักกันตี นำมาเปรียบเทียบเพื่อให้เห็น
ลักษณะดลักษณะหนึ่งเพียงด้านเดียว และจะมีคำเชื่อมแสดงการเปรียบเทียบไว้อย่างชัดเจน
เช่นคล้าย เหมือน ดัง ราว ราวกับ ดุจ เปรียบปาน เป็นตัน ดังบทประพันธ์

ครานั้นขุนช้างได้ฟังว่า แค้นดังเลือดตาจะหลั่งไหล

ดับโมโหโกรธาทำว่าไป เราก็ไม่ว่าไรสุดแต่ดี

จากบทประพันธ์เป็นตอนที่ข้ารับใช้ของจมื่นไวยฯ มาบอกขุนช้างว่า ที่นางวันทองหายไป
เพราะไปดูแลจมื่นไวยฯ ที่ไม่สบายมาก ขุนช้างรู้ทันทีว่าเป็นเรื่องโกหกจึงโกรธมาก กวีเปรียบ
ให้เห็นว่าขุนช้างทั้งโกรธทั้งแค้ จนเหมือนว่าเลือดจะไหลออกจากตา

๓.๒) การใช้ภาพพจน์อุปลักษณ์ เป็นภาพพจน์ที่ใช้ในการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่ง
หนึ่ง ดำที่ใช้เปรียบ ได้แก่ คำว่า เป็น คือ เท่า เรียกให้เข้าใจง่ายว่า การเปรียบเป็น
ดังบทประพันธ์

ครานั้นขุนช้างได้ฟังว่า แค้นดังเลือดตาจะหลั่งไหล

ดับโมโหโกรธาทำว่าไป เราก็ไม่ว่าไรสุดแต่ดี

กวีกล่าวถึงตอนที่นางวันทองบอกแก่พลายงามที่มาตามนางไปอยู่ด้วย จะทำให้นางอับอาย
ขายหนำไม่กล้ำพบหน้ าใครอีก โดยใช้ภาพพจน์อุปลักษณ์เปรียบหน้ าของนางวันทองที่มีความ
อับอายจนหมองคล้ำจนดำเป็นน้ำหมึก ทำให้ผู้อ่านจินตนาการได้ว่าจะอับอายขายหน้ าเพียงใด

๓.๓) การใช้ภาพพจน์บุคคลวัต เป็นการสมมติสิ่งไม่มีชีวิตหรือสัตว์ให้มีกิริยาอาการ
ความรู้สึกเหมือนมนุษย์ เช่น

หลังคาโบสถ์โอดครวญเม่ือจวนผุ เสาอิฐปูนทรุดเซตามเวลา
ระแนงลุล่วงหล่นบนพื้นหญ้า พระประธานส่ันหน้ าระอาใจ

38

๔) ลีลาการประพันธ์ กระบวนการแต่งคำประพันธ์ของกวีอย่างมีแบบแผน เสภาเรื่องขุนช้าง
ขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา มีเนื้อความที่พรรณนาได้งดงามอยู่หลายตอน ทั้งนี้เพราะกวี
สามารถดำเนินเรื่องได้สมจริงและแทรกรสวรรณคดีต่างๆ เข้าถึงอารมณ์ได้เป็นอย่างดี

๔.๑) เสาวรจนี เป็นบทชมความงามที่กวีเลือกใช้ถ้อยคำที่ไพเราะกล่าวถึงความงามจาก
เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา มีบทชมความงามของเรือนขุนช้างสั้นๆใน
ตอนที่พลายงามขึ้นเรือนขุนช้าง แต่กวีก็เลือกสรรคำได้ไพเราะชวนอ่าน ดังบทประพันธ์

จุดเทียนสะกดข้าวสารปราย ภูตพรายโดดเรือนสะเทือนผาง
สะเดาะตาลบานเปิดหน้ าต่างกาง ย่างเท้าก้าวขึ้นร้านดอกไม้
หอมหวนอวลอบบุปผาชาติ เบิกบานก้านกลาดกิ่งไสว
เรณูฟูร่อนขจรใจ ย่างเท้าก้าวไปไม่โครมคราม

๔.๒) นารีปราโมทย์ เป็นบทเกี้ยว บทโอ้โลม แสดงความรักใคร่ ตังตอนที่ขุนแผนเข้าหา
นางวันทอง แล้วนางวันทองติดถึงความหลังเกิดน้ อยใจจึงแกลังหลับ ขุนแผนจึงโอ้โลมแสดง
ความรักใคร่และยอมรับผิดเพื่อให้นางวันทองยอมพูดจาด้วยดังบทประพันธ์

โอ้เจ้าแก้วแววตาของพี่เอ๋ย เจ้าหลับใหลกระไรเลยเป็ นหนักหนา
ตังนิ่มน้ องหมองใจไม่นำพา ฤๅขัดเคืองคิดว่าพี่ทอดทิ้ง
ความรักหนักหน่วงทรวงสวาท พี่ไม่คลาดคลายรักแต่สักสิ่ง
เผอิญเป็ นวิปริตพี่ผิดจริง จะนอนนิ่งถือโทษโกรธอยู่ไย

39

๔.๓) พิโรธวาทัง คือ กระบวนความตัดพ้อต่อว่า หึงหวง โกรธ ว่ากล่าวประชดประชัน

กวีถ่ายทอดอารมณ์ต่างๆ ของตัวละครได้อย่างกินใจ ดังเช่น เหตุการณ์ตอนที่ขุนแผนแอบ

มาหานางวันทอง นางกล่าวดำตัดพ้อต่อว่าขุนแผน ขุนแผนจึงพยายามขอโทษขอคืนดี คำ

ตัดพ้อของนางนั้นกวีใช้สำนวนโวหารที่ไพเราะคมคาย แสดงถึงความน้ อยเนื้อต่ำใจของ

นางวันทองความขมขื่นใจที่ต้องทนทุกข์ทรมานมาโดยตลอดก็ใด้ระบายออกมา

ดังความว่า

ที่จริงใจเห็นไปอยู่เรือนอื่น คงคิดคืนที่หม่อมเป็ นแม่นมั่น
ด้วยรักลูกรักผัวยังพัวพัน คราวนั้นก็ไปอยู่เพราะจำใจ
แค้นคิดด้วยมิตรไม่รักเลย ยามมีที่เชยเฉยเสียได้
เสียแรงร่วมทุกข์ยากกันกลางไพร กินผลไม้ต่างข้าวทุกเพรางาย
พอได้ดีมีสุขลืมทุกข์ยาก ก็เพราะหากหม่อมมีซึ่งที่หมาย
ว่านักก็เครื่องเคืองระคาย เอ็นดูน้ องอย่าให้อายเขาอีกเลย

๔.๔) สัลลาปังคพิสัย เป็นบทแสดงความเศร้าโศก คร่ำครวญ เช่น เหตุการณ์ที่พลาย
งามไปหานางวันทองที่บ้านขุนช้าง ดังบทประพันธ์

ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง เศร้าหมองด้วยลูกเป็ นหนักหนา
พ่อพลายงามทรามสวาทของแม่อา แม่โศกาเกือบเจียนจะบรรลัย
ใช่จะอิ่มเอิบอาบด้วยเงินทอง มิใช่ของตัวทำมาแต่ไหน
ทั้งผู้คนช้างม้าแลข้าไท ไม่รักใคร่เหมือนกับพ่อพลายงาม
ทุกวันนี้ใช่แม่จะผาสุก มีแต่ทุกข์ใจเจ็บดังเหน็บหนาม
ต้องจำจนทนกรรมที่ติดตาม จะขืนความคิดไปก็ใช่ที่

หลังจากที่พลายงามอ้อนวอนแม่ให้ไปอยู่ด้วย โดยเท้าถึงความหลังที่ตัวเองต้องจากแม่
ตั้งแต่เด็กไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วย เมื่อเติบโตรับราชการมียศศักดิ์จึงอยากให้แม่มาอยู่ด้วย
พลายงามตัดพ้อว่าแม่คงไม่รักไม่คิดถึงลูก นางวันทองได้ฟังลูกตัดพ้อจึงคร่ำครวญเศร้า
โศกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่อาจเป็นได้ดังใจคิดอยากให้พลายงามเข้าใจ กวีได้แสดงให้เห็น
ความเศร้าโศกและความอึดอัดลำบากใจของผู้เป็นแม่ และให้เห็นความจำเป็นจึงต้องทน
อยู่กับคนที่ไม่ได้รัก

40

คุณค่าด้านสังคม

การอ่านวรรณคดีเพื่ อพิจารณาคุณค่าทางสังคมเป็ นการอ่านที่ต้องใช้กระบวนการวิเคราะห์
ความสัมพันธ์กันทั้งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม ได้แก่ จริยธรรมในสังคมและสภาพความ
เป็นอยู่เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นนิทานพื้นบ้านของจังหวัดสุพรรณบุรี และเป็นนิทานที่
มีเนื้อเรื่องยาว สถานที่ต่างๆ ในเรื่องเป็นสถานที่จริงซึ่งยังปรากฎอยู่จนทุกวันนี้
เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นวรรณคดีที่สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ค่านิยม
ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปะ การปกครอง การศึกษา ศาสนา การคมนาคม จริยธรรม
และภูมิศาสตร์ของไทยในอดีต ทำให้เห็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดจน
กระทั่งตายของคนในสังคมไทยสมัยอยุธยาตอนปลายและสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้
เป็นอย่างดี สามารถพิจารณาคุณค่าด้านสังคมตามแนวทางได้ ดังนี้

๑) สะท้อนสภาพชีวิตความเป็ นอยู่ของคนในสังคม
ดังตัวอย่างบทประพันธ์ต่อไปนี้

หอมหวนอวลอบบุปผาชาติ เบิกบานก้านกลาดกิ่งไสว
เรณูฟูร่อนขจรใจ ย่างเท้าก้าวไปไม่โครมคราม
ข้าไทนอนหลับลงทับกัน สะเดาะกลอนถอนลั่นถึงชั้นสาม
กระจกฉากหลากสลับวับแวมวาม อร่ามแสงโคมแก้วแววจับตา
ม่านมู่ลี่มีฉากประจำกั้น อัฒจันทร์เครื่องแก้วก็หนักหนา
ชมพลางย่างเยื้องชำเลืองมา เปิดมุ้งเห็นหน้ าแม่วันทอง

จากบทประพันธ์สะท้อนสภาพความเป็นอยู่ของผู้ที่มีฐานะร่ำรวย จะประดับประดาบ้าน
เรือนอย่างสวยงาม พรั่งพร้อมด้วยข้าทาสบริวาร และตกแต่งต้นไม้ดอกไม้อย่างสวยงาม
ข้าทาสในบ้านนอนเกยกันอยู่ โดยลงกลอนไว้แน่นหนาถึงสามชั้น ภายในเรือนมีกระจก
เป็นฉากต้องแสง โคมไฟแวววับจับตา ม่านมูลี่จัดแต่งเป็นฉากและเครื่องแก้ววางเป็นชั้นๆ
มากมาย

ได้ยินเสียงฆ้องย่ำประจำวัง ลอยลมล่องดังถึงเคหา
คะเนนั บย่ำยามได้สามครา ดูเวลาปลอดห่วงทักทิน

ในสมัยโบราณจะตีฆ้องเพื่อบอกเวลา คะเนนับย่ำยามได้สามครา เป็นการบอกเวลาสาม
ยามหรือตีสาม

41

๒) สะท้อนความเชื่อของคนในสังคม

ความเชื่อซึ่งมีอยู่คู่กับวิถีชีวิตของคนไทยมา

โดยตลอดจะปรากฎในวรรณคดีส่วนใหญ่ของไทย โดยเฉพาะเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน

เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยความเชื่อในด้านต่างๆ ของคนในสังคม นักเรียนจะเห็นได้จากตอน

ขุนช้างถวายฎีกานี้ เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร์ ความเชื่อเกี่ยวกับความฝัน ความ

เชื่อเรื่องกรรม เป็นต้น

๒.๑) สะท้อนความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร์
ตอนที่พลายงามคิดที่จะขึ้นเรือนขุนช้างเพื่อพานางวันทองมาอยู่ด้วย พลายงาม

ต้องเตรียมตัวหลายประการ เริ่มจากดูเวลาฤกษ์ยาม เช่นพรายเสกขมิ้น ลงยันต์ ใส่มงคล
เป่ามนตร์ และบริกรรมคาถาก่อนที่จะลงเรือนของตน ดังความว่า

คะเนนับย่ำยามได้สามครา ดูเวลาปลอดห่วงทักทิน
ฟ้ าขาวดาวเด่นดวงสว่าง จันทร์กระจ่างทรงกลดหมดเมฆสิ้
จึงเช่นเหล้าข้าวปลาให้พรายกิน เสกขมิ้นว่านยาเข้าทาตัว
ลงยันต์ราชะเอาปะอก หยิบยกมงคลขึ้นใส่หัว
เป่ ามนตร์เบื้ องบนชอุ่มมัว พรายยั่วยวนใจให้ไคลคลา
จับดาบเคยปราบณรงค์รบ เสร็จครบบริกรรมพระคาถา
ลงจากเรือนไปมีได้ช้า รีบมาถึงบ้านขุนช้างพลัน

๒.๒) สะท้อนความเชื่อเกี่ยวกับความฝั น
ก่อนที่นางวันทองจะถูกตัดสินประหารชีวิต นางวันทองฝันว่าตนพลัดหลงเข้าป่า

และหาทางกลับไม่ได้ จนกระทั่งมีเสือสองตัวตะครุบพานางเข้าไปในป่านางจึงตกใจตื่น
ผวากอดขุนแผน ดังความว่า

ดุเหว่าเร้าเสียงสำเนียงก้อง ระฆังข้องขานแข่งในวังหลวง
วันทองน้ องนอนสนิททรวง จิตง่วงระงับสู่ภวังค์
ฝั นว่าพลัดไปในไพรเถื่ อน เลื่อนเปื้ อนไม่รู้ที่จะกลับหลัง
ลดเลี้ยวเที่ยวหลงในดงรัง ยังมีพยัคฆ์ร้ายมาราวี
ทั้งสองมองหมอบอยู่ริมทาง พอนางดั้นป่ ามาถึงที่
โดดตะครุบคาบคั้นในทันที แล้วฉุดคร่าพารี่ไปในไพร
สิ้นฝั นครั้นตื่ นตกประหม่า หวีดผวากอดผัวสะอื้นไห้

๒.๓)สะท้อนความเชื่ อเกี่ยวกับเรื่ องกรรม
ตัวละครในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนเมื่อประสบชะตากรรมที่ทำให้ตนแองพบกับ

ความทุกข์ มักลงความเห็นว่าเป็นเรื่องของเวรกรรม ดังเช่น พลายงามที่เชื่อว่าสาเหตุที่
ทำให้นางวันทองต้องไปครองคู่กับขุนช้างเป็นเพราะเคราะห์กรรม ดังความว่า

พร้อมญาติขาดอยู่แต่มารดา นึกนึกตรีกตราละห้อยหวน 42
โอ้ว่าเม่วันทองช่างหมองนวล
เออนี่เนื้ อเคราะห์กรรมมานำผิด ไม่สมควรเคียงคู่กับขุนช้าง
ฝ่ ายพ่อมีบุญเป็ นขุนนาง
น่าอายมิตรหมองใจไม่หายหมาง

แต่แม่ไปแนบข้างคนจัญไร

๓) สะท้อนค่านิยมของคนในสังคม
เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน สะท้อนค่านิยมของสังคมไทยหลายประการ เช่น

๓.๑) ค่านิยมเกี่ยวกับการมีสัมมาคารวะ ดังความว่า

จะใคร่ถีบขุนช้างที่กลางตัว นึกกลัวจะถูกแม่วันทองนั่น
พลางนั่งลงนอบนบอภิวันทน์ สะอื้นอั้นอกแค้นน้ำตาคลอ

พลายงามรู้จักแสดงความเคารพนบน้ อมมีสัมมาคารวะ แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้
ขุ่นเคืองใจ แต่เมื่อมาเห็นมารดาก็ยังระลึกถึงพระคุณเข้าไปกราบไหว้

๓.๒) ค่านิยมเกี่ยวกับผู้หญิงต้องมีสามีคนเดียว
ไม่นิยมผู้หญิงที่มีพฤติกรรมเยี่ยงนางวันทอง คือมีสามีสองคนในเวลาเดียวกันแม้

โดยจริงแท้แล้วการที่นางต้องมีสามีสองคนนั้นมิใช่เกิดจากความปรารถนาของนางเอง แต่
ในจุดนี้สังคมก็มองข้ามเห็นได้แต่เพียงผิวเผินว่านางเป็นคนที่ไม่น่านิยม น่ารังเกียจ คำ
พิพากษาให้ได้รับพระราชอาญาถึงประหารย่อมเป็ นเครื่ องยืนยันถึงผลของค่านิยมด้านนี้
ของสังคมไทย ดังคำกลอนที่สมเด็จพระพันวษาทรงบริภาษนางว่า

ว่าหญิงชั่วผัวยังคราวละคนเดียว หาตามตอมกันเกรียวเหมือนมึงไม่
หนักแผ่นดินกูจะอยู่ไย อ้ายไวยมึงอย่านับว่ามารดา
กูเลี้ยงมึงถึงให้เป็ นหัวหมื่ น คนอื่นรู้ว่าแม่ก็ขายหน้ า
อ้ายขุนช้างขุนแผนทั้งสองรา กูจะหาเมียให้อย่าอาลัย
หญิงกาลกิณีอีแพศยา มันไม่น่าเชยชิดพิสมัย
ที่รูปรวยสวยสมมีถมไป มึงตัดใจเสียเถิดอีคนนี้

ในทางตรงกันข้าม ค่านิยมเกี่ยวกับการมีภรรยาหลายคนในเวลาเดียวกันนั้นกลับปรากฏ
อยู่ในหมู่คนชั้นสูง โดยเฉพาะผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ของไทย เช่นในเรื่องนี้ ขุนแผน พลาย
งามก็มีลักษณะดังกล่าวนี้ แต่สังคมไม่รังเกียจ กลับนิยมและยกย่อง เพราะค่านิยมกำหนด
ว่าลักษณะเช่นนี้เป็ นเครื่ องเสริมบารมีและความเป็ นบุรุษชาติอาชาไนยให้มากยิ่งขึ้น

43

๔) สะท้อนขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม
๔.๑) บทบาทของพระมหากษัตริย์ต่อประชาชนในสังคมไทย

สมเด็จพระพันวษานั้น ถ้าพิจารณาวิเคราะห์อย่างละเอียด ก็จะเห็นว่าแม้จะทรง
เป็นเจ้าชีวิต มีพระราชอำนาจอันล้นพ้น แต่ก็มิได้ทรงใช้พระราชอำนาจอย่างปราศจาก
เหตุผลหรือด้วยพระอารมณ์ หากได้ทรงปฏิบัติพระองค์อย่างเหมาะสม และทรงเมตตา
ครอบครัวขุนแผน เพราะเห็นแก่ความดีความชอบที่เคยสร้างไว้ให้แก่บ้านเมือง นอกจากนี้
ทรงดำรงพระองค์อยู่ในฐานะของกษัตริย์ปกครองประเทศซึ่งจะต้องแก้ปั ญหาระดับ
ประเทศแล้ว ยังต้องแก้ปัญหาระดับครอบครัวของไพร่ฟ้ าข้าแผ่นดินอีกด้วย ทรงเปรียบ
เสมือนพ่อหรือผู้ใหญ่ในครอบครัว เวลาคนในครอบครัวมีเรื่องเดือดร้อนหรือเกิดเหตุการณ์
วุ่นวายมาฟ้ องร้อง พระองค์ทรงมีหน้ าที่ตัดสินคลี่คลายปัญหา เช่น ในกรณีที่ขุนช้างมา
ถวายฎีกา ครั้งนี้แม้จะทรงกริ้ว ด้วยทรงรู้สึกว่าขุนช้างก่อเรื่องวุ่นวายไม่จบสิ้น แต่ก็มิได้
ทรงละเลย ทรงนำมาพิจารณา ดังบทประพันธ์

อีวันทองกูให้อ้ายแผนไป อ้ายช้างบังอาจใจทำจู่ลู่
ฉุดมันขึ้นช้างอ้างถึงกู ตะคอกขู่อีวันทองให้ตกใจ
ชอบตบให้สลบลงกับที่ เฆี่ยนตีเสียให้ยับไม่นับได้
มะพร้าวห้าวยัดปากให้สาใจ อ้ายหมื่นไวยก็โทษถึงฉกรรจ์
มึงถือว่าอีวันทองเป็ นแม่ตัว ไม่เกรงกลัวเว้โว้ทำโมหันธ์
ไปรับไยไม่ไปในกลางวัน อ้ายแผนพ่อนั้นก็เป็ นใจ
มันเหมือนวัวเคยขาม้าเคยขี่
อ้ายช้างมันก็ฟ้ องเป็นสองนัย ถึงบอกกูว่าดีหาเชื่อไม่
เป็ นราคีข้อผิดมีติดตัว ว่าอ้ายไวยลักแม่ให้บิดา
ถ้าอ้ายไวยอยากจะใครได้แม่มา หมองมัวมลทินอยู่หนักหนา
อัยการศาลโรงก็มีอยู่ ชวนพ่อฟ้ องหาเอาเป็นไร
ชอบทวนด้วยลวดให้ปวดไป ฤว่ากูตัดสินให้ไม่ได้
ปรับไหมให้เท่ากับชายชู้

เมื่อทรงทราบสาเหตุที่มาฟ้ องก็โปรดให้ไต่สวนด้วยความเป็นธรรมแก่ทุกคน มีพระราช-
ประสงค์จะระงับเหตุร้าวฉานทั้งปวงให้สิ้นไป ด้วยการเปิดโอกาสให้นางวันทองเป็นผู้ดัดสิน
ใจเอง แต่นางวันทองตกอยู่ในภาวะลำบาก ตื่นเต้นหวาดหวั่น เพราะอยู่ต่อหน้ าพระที่นั่ง
ทั้งเกิดความขัดแย้งในใจอย่างรุนแรงที่มิสามารถตัดสินใจได้ทันที

44

สมเด็จพระพันวษาทรงกริ้วด้วยเข้าพระทัยว่านางมักมากในทางตัณหาราคะ ตรัสบริภาษ
นางอย่างรุนแรง เหตุการณ์การตัดสินคดีในครั้งนี้แสดงถึงพระราชภาระที่ดูเหมือนจะอยู่
นอกเหนือจากบทบาทของพระมหากษัตริย์ แต่สมเด็จพระพันวษาก็ยังทรงถือเป็นหน้ าที่
ด้วยพระเมตตาซึ่งคำตัดสินนั้น ถ้าอ่านแต่เพียงผิวเผิน อาจตำหนิว่าพระองค์ทรงใช้พระ
อารมณ์ แต่ถ้าพินิจพิเคราะห์ให้ดีก็จะเข้าใจและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสก
นิกร ก็จะเห็นว่าพระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะยุติปัญหาชายสองหญิงหนึ่งที่เป็นความกัน
ไม่จบไม่สิ้นนี้ อีกทั้งพระองค์ทรงไม่พอพระทัยในการกระทำของจมื่นไวยที่ลอบขึ้นเรือนผู้
อื่นทั้งที่ตนเป็นขุนนางมียศศักดิ์กลับไม่รักษากฎหมายบ้านเมือง ดังนั้นพระองค์จึงทรง
ตัดสินคดีให้เด็ดขาดเพื่อให้จบเรื่องวุ่นวาย พสกนิกรทุกหมู่เหล่าจะได้เห็นเป็นแบบอย่างว่า
ไม่ก่อปั ญหาให้ต้องเดือดร้อนวุ่นวายจะได้อยู่กันอย่างสงบสุขเพราะนอกจากนางวันทองจะ
มีส่วนผลักดันให้เหตุการณ์เป็นไปแล้ว ยังมีปัจจัยมากมายทางสังคมที่ผลักดันให้พระองค์
ทรงตัดสินไปเช่นนั้น เช่น หน้ าที่ของพระมหากษัตริย์ที่จะต้องจรรโลงไว้ซึ่งแบบแผน
จริยธรรมอันดีาม ปัจจัยด้านค่านิยมของสังคม เป็นต้น

๔.๒) บทบาทของสตรีในสังคมไทย
นางวันทองเป็นตัวอย่างของสตรีไทยโบราณโดยแท้ คือเกิดมาเพื่อรับบทของบุตรี

ภรรยา และมารดา ตามที่ธรรมชาติและสังคมเป็นผู้กำหนดและเมื่อต้องรับบทพลเมืองก็
เป็นพลเมืองตามที่ผู้ปกครองพึงปรารถนาให้เป็น ทั้งบทบาทและการปฏิบัติตามบทดัง
กล่าวมานี้ นางวันทองไม่เคยมีโอกาสได้เลือก อาจได้เพียงแต่คิดแต่ไม่เคยปฏิบัติตามใจ
คิด ความไม่เคยเป็นตัวของตัวเองของนางวันทองนั้น จะเห็นได้จากตอนที่นางกล่าวกับ
จมื่นไวยว่า

45

จะเห็นได้ว่า นางวันทองถูกกำหนดเส้นทางเดินของชีวิตให้เป็นไปตามความปรารถนา
ของผู้อื่นทั้งสิ้น นางจำใจต้องทนรับภาวะนั้นๆ เพราะถึงนางจะขืนความคิดไปก็ใช่ที่ ไม่มี
ความหมาย การที่กวีใช้คำว่า วางบท ได้แสดงให้เห็นว่านางวันทองต้องแสดงไปตามบทที่ผู้อื่น
หยิบยื่นให้ด้วย ความเคยชินจากการที่เป็นผู้ปฏิบัติตามและเป็นที่รองรับควาปรารถนาของผู้
อื่นมาโดยตลอดนี้เอง เมื่อสมเด็จพระพันวษาทรงเปิดโอกาสให้นางได้เลือกทางเดินชีวิตของ
ตนเองนางก็ว้าวุ่นใจไม่อาจตัดสินใจได้ จึงก่อให้เกิดเหตุการณ์อันเศร้าสะเทือนใจในที่สุด

ทุกวันนี้ใช่แม่จะผาสุก มีแต่ทุกข์ใจเจ็บดังเหน็บหนาม
ต้องจำจนทนกรรมที่ติดตาม จะขืนความคิดไปก็ใช่ที
เมื่อพ่อเจ้าเข้าคุกแม่ท้องแก่ เขาฉุดแม่ใช่จะแกล้งแหนงหนี
ถึงพ่อเจ้าเล่าไม่รู้ว่าร้ายดี เป็ นหลายปี แม่มาอยู่กับขุนช้าง
เมื่อพ่อเจ้ากลับมาแต่เชียงใหม่ ไม่เพ็ดทูลสิ่งไรแต่สักอย่าง
เมื่ อคราวตัวแม่เป็ นคนกลาง ท่านก็วางบทคืนให้บิดา

46

บรรณานุกรม

หนังสือเรียนรายวิชาภาษาไทยวรรณคดีวิจักษ์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ พิมพ์ครั้งที่ ๑๒
กรุงเพท โรงพิมพ์สกสค.ลาดพร้าว (วันที่สืบค้นข้อมูล ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕)
ข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง. (ออนไลน์).เข้าถึงได้จาก https://blog.startdee.com (วันที่
สืบค้นข้อมูล ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๕)
ข้อมูลเกี่ยวกับการวิเคราะห์คุณค่า.(ออนไลน์).เข้าถึงได้
จากhttp://academic.obec.go.th/textbook/web/images/book/1002418_example.
pdf (วันที่สืบค้นข้อมูล ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๕)
ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติผู้แต่ง.(ออนไลน์).เข้าถึงได้จาก
http://academic.obec.go.th/textbook/web/images/book/1002418_example.pdf
(วันที่สืบค้นข้อมูล๑๕สิงหาคม ๒๕๖๕)


Click to View FlipBook Version