The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หน่วยที่ 6 การสร้างสูตรคำนวณในงานอาชีพ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Orapin Jompang, 2019-06-06 02:04:52

หน่วยที่ 6 การสร้างสูตรคำนวณในงานอาชีพ

หน่วยที่ 6 การสร้างสูตรคำนวณในงานอาชีพ

หน่วยที่ 6 การสร้างสูตรคานวณในงานอาชพี 103
วชิ า การประยกุ ตใ์ ชค้ อมพวิ เตอรใ์ นงานอาชีพ

วชิ า การประยกุ ตใ์ ช้คอมพวิ เตอร์ในในงานอาชพี

รหัสวิชา 2501-2010 6
หลักสูตรประกาศนียบตั รวิชาชพี (ปวช.) พุทธศกั ราช 2556

หนว่ ยที่ 6 การสร้างสตู รคานวณในงานอาชีพ 103
วชิ า การประยกุ ต์ใช้คอมพวิ เตอร์ในงานอาชีพ

วชิ า การประยกุ ตใ์ ช้คอมพวิ เตอร์ในในงานอาชพี

หวั ข้อเรอ่ื ง
1. ความรู้พื้นฐานเกย่ี วกับสตู รคานวณ

1.1 องคป์ ระกอบสูตรคานวณ
1.2. ลาดบั การคานวณในสตู ร
1.3 ตวั ดาเนินการทใี่ ช้ในสตู ร
1.4 การสร้างสูตรคานวณ
1.5 การอา้ งอิงเซลล์
2. ความรู้พนื้ ฐานเกย่ี วกบั ฟงั กช์ นั
2.1 รปู แบบฟังกช์ นั
2.2 องค์ประกอบฟังกช์ ัน
2.3 ฟงั กช์ นั พ้นื ฐานท่ีควรรจู้ ัก
2.4 ความแตกต่างระหว่างสูตรคานวณและฟงั กช์ นั
3. การใช้ฟงั ก์ชนั และการสร้างสูตรคานวณในงานอาชพี
3.1 การคานวณยอดเงนิ ฝากธนาคาร
3.2 การคานวณยอดจานวนเงนิ ผ่อนชาระ
3.3 การคานวณจานวนงวดท่ีผ่อนชาระ
3.4 การสร้างสูตรคานวณในการสรุปยอดขาย
3.5 การสรา้ งสตู รคานวณในการพมิ พใ์ บเสรจ็ รับเงนิ
3.6 การสร้างสูตรคานวณในการทาบญั ชีรายรับ-รับจ่าย
3.7 การสร้างสตู รคานวณเงนิ รางวลั
4. ความผิดพลาดของสูตรคานวณ (Error Message)
5. บทสรุป

รหสั วชิ า 2501-2010 6
หลักสตู รประกาศนยี บัตรวิชาชพี (ปวช.) พุทธศักราช 2556

หนว่ ยท่ี 6 การสร้างสูตรคานวณในงานอาชีพ 103
วิชา การประยุกต์ใช้คอมพวิ เตอร์ในงานอาชีพ

สาระสาคญั
ในการดาเนินชีวิตประจาวันหรอื การทางานในอาชวีพิชา มกาีครวปาระมยจุกตา์ใเชป้ค็นอมจพะวิ ตเตอ้ องร์ใคนาในนงวานณอาขช้อีพมูลเพื่อ

ใชป้ ระกอบในการตัดสินใจหรือประเมินผลงาน โปรแกรม Microsoft Excel เป็นโปรแกรมสาเรจ็ รปู ที่
นิยมนามาใช้งานเก่ียวกับการคานวณ เพราะมีความสามารถคานวณข้อมูลได้หลายรูปแบบ เช่น
สามารถคานวณข้อมูลจากสูตรท่ีผู้ใช้สร้างข้ึนด้วยตนเอง หรือคานวณข้อมูลโดยการใช้สูตรแบบ
ฟังก์ชันที่โปรแกรมจัดเตรียมไว้ ซึ่งการสร้างสูตรแบบต่างๆ จะมีความยากง่ายแตกต่างกันไป ผู้ใช้
จาเป็นต้องมีความรูพ้ ้ืนฐานในการสร้างสูตรคานวณ และมีความรู้พ้ืนฐานในการใช้ฟังก์ชัน ซึ่งจะทาให้
สามารถนาโปรแกรม Microsoft Excel มาประยกุ ต์ใช้ในงานอาชพี ไดอ้ ยา่ งเตม็ ประสิทธิภาพ

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี น
1. มคี วามรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสูตรคานวณ
2. มคี วามรู้พืน้ ฐานเก่ยี วกับฟังก์ชัน
3. สามารถใช้ฟังกช์ ันคานวณในงานอาชีพได้
4. สามารถสร้างสตู รคานวณในงานอาชีพได้
5. สามารถบอกความผดิ พลาดของสูตรคานวณได้
6. มีจริยธรรมและกิจนิสยั ในการทางานอยา่ งเปน็ ระบบด้วยความรบั ผดิ ชอบ ประณตี

รอบคอบ อดทน และมีความคดิ สร้างสรรค์

รหัสวิชา 2501-2010 6
หลักสตู รประกาศนยี บตั รวชิ าชพี (ปวช.) พุทธศักราช 2556

หนว่ ยท่ี 6 การสร้างสูตรคานวณในงานอาชีพ 103
วิชา การประยุกตใ์ ช้คอมพวิ เตอรใ์ นงานอาชีพ

เนื้อหาสาระ วชิ า การประยุกตใ์ ช้คอมพวิ เตอรใ์ นในงานอาชพี
1. ความรู้พน้ื ฐานเกยี่ วกบั สตู รคานวณ

สูตรคานวณ หมายถึง สมการที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล (ศิวัช กาญจนชุม และคณะ, 2558

หน้า 125) การใช้สูตรในการคานวณเป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมมากท่ีสุด เพราะทาให้ได้ผลลัพธ์ท่ี

รวดเร็ว ตรงตามความต้องการท่ีจะนาไปใช้ ซ่ึงโครงสร้างหรือลาดับขององค์ประกอบจะเป็น

ตัวกาหนดผลลัพธ์ การสร้างสูตรคานวณจาเป็นจะต้องทราบหลักการและองค์ประกอบสาคัญ

ทปี่ ระกอบในสูตร รวมถงึ ลาดับการทางานดว้ ย

1.1 องค์ประกอบสตู รคานวณ

ในการสรา้ งสตู รใช้งานตา่ งๆ จาเป็นจะต้องทราบถึงหลักเกณฑแ์ ละองค์ประกอบสาคัญ

รวมถงึ ลาดบั ดาเนนิ การในสูตร ซึง่ เป็นสิง่ สาคัญทจี่ ะเปน็ ตวั กาหนดผลลัพธ์ องคป์ ระกอบสาคญั

ในการสร้างสูตรคานวณ มดี งั น้ี (พนม บุญญ์ไพร, 2559 หนา้ 120)

1.1.1 เครือ่ งหมายเท่ากบั (=) จะเป็นตัวข้ึนต้นเสมอในการสร้างสูตร เพ่ือเปน็ การระบุ

ให้โปรแกรมร้วู า่ อักขระตวั ถัดไปเป็นอาร์กวิ เมนต์ และตัวดาเนินการ ดงั ภาพที่ 6.1

1.1.2 อาร์กิวเมนต์ (Argument) คอื องค์ประกอบทจ่ี ะถูกนามาคานวณ ไดแ้ ก่

อารก์ วิ เมนต์ ท่ีเปน็ ค่าคงที่ เช่น ตัวเลข 25,2 และอาร์กิวเมนตท์ เี่ ป็นการอ้างองิ เซลล์หรอื

ช่วงเซลล์ ปา้ ยชอ่ื ชอื่ หรอื ฟงั กช์ ันแผ่นงาน เชน่ A58, B5 เปน็ ตน้

1.1.3 ตวั ดาเนินการ (Operator) คือ เคร่ืองหมายหรือสัญลกั ษณ์ท่รี ะบุประเภทของ

การคานวณภายในนิพจน์ ได้แก่ ตัวดาเนินการทางคณิตศาสตร์ ตัวดาเนนิ การเปรียบเทียบ

ตวั ดาเนินการเชื่อมขอ้ ความ และตวั ดาเนนิ การอา้ งอิง

ตัวดาเนนิ การ เทา่ กบั ตวั ดาเนินการ
เทา่ กับ อากวิ เมนต์
อากวิ เมนต์

ภาพที่ 6.1 ตวั อย่างองคป์ ระกอบในสูตรคานวณ

ตารางท่ี 6.1 ตัวอยา่ งสูตรในการคานวณ

สตู ร ผลลัพธ์
=25*2 คณู 25 ด้วย 2 ได้ผลลพั ธ์ คือ 50
=25-5 ลบ 5 ออกจาก 25 ได้ผลลัพธ์ คือ 20
=10^2 หาค่ายกกาลัง 2 ของ 10 ได้ผลลัพธ์ คอื 100
=A58/B5 หารค่าของเซลล์ A58 ด้วยคา่ ของเซลล์ B5

รหสั วิชา 2501-2010 6
หลักสตู รประกาศนียบตั รวิชาชพี (ปวช.) พทุ ธศักราช 2556

หน่วยที่ 6 การสรา้ งสูตรคานวณในงานอาชพี 103
วชิ า การประยุกต์ใช้คอมพวิ เตอร์ในงานอาชีพ

1.2 ลาดับการคานวณในสตู ร
ตัวดาเนินการแต่ละตวั มีระดับความสาคัญไมเ่ ท่ากนัวชิ ากกราณรปสี รตูะยรกุมตีเ์ใคช้ครออ่ื มงพหวิ มเตาอยร์ใตนใัวนดงาานเนอาินชีพการ
มากกว่าหนึง่ โปรแกรม Microsoft Excel จะคานวณตามลาดบั ความสาคัญของตวั ดาเนนิ การ โดย
ตัวดาเนนิ การทม่ี ีระดับความสาคัญสงู จะถูกคานวณก่อน ตารางที่ 6.2 เป็นการเรยี งลาดับความสาคญั
ของตวั ดาเนนิ การในการคานวณ เรยี งจากมากไปหาน้อย

ตารางท่ี 6.2 ลาดับการคานวณในสูตร

ลาดับท่ี ตัวดาเนินการ คาอธบิ าย
1 : (เคร่ืองหมายจดุ คู)่ ตัวดาเนนิ การอา้ งอิง
2 (ทว่ี า่ งเดียว) ตัวดาเนินการอา้ งอิง
3 , (เคร่ืองหมายจุลภาค) ตัวดาเนนิ การอา้ งองิ
4- เครอ่ื งหมายลบ เช่น -6
5% เปอร์เซ็นต์
6^ เลขชีก้ าลงั
7 * และ / การคณู และการหาร
8 + และ - การบวกและการลบ
9& การเช่ือมสายอักขระของข้อความ
10 = < > >= <= <> การเปรยี บเทยี บ

ทม่ี า : จกั รทพิ ย์ ชีวพัฒน์, 2558 หนา้ 41

ในสตู รคานวณ หากตัวดาเนินการมลี าดับความสาคัญเท่ากัน โปรแกรม Microsoft Excel
จะคานวณจากซา้ ยไปขวา เช่น ตวั ดาเนนิ การมที ั้งคูณและหาร ตัวดาเนนิ การมที ั้งบวกและลบ และ
หากตอ้ งการเปลี่ยนลาดบั การคานวณใหใ้ ส่ วงเล็บ ครอบสว่ นทต่ี ้องการคานวณก่อน

1.2.1 ตวั อยา่ งสตู รคานวณทย่ี งั ไมไ่ ด้ใสว่ งเลบ็
=2*2+2-2 ได้ผลลัพธ์เท่ากบั 4 โดยโปรแกรมจะนา 2 X 2 = 4 แลว้ จึงนาคา่

4 + 2 = 6 หลงั จากน้นั นา 6 - 2 = 4
1.2.2 ตวั อย่างสตู รคานวณท่ใี สว่ งเลบ็
=2*(2+2)–2 ได้ผลลัพธ์เท่ากับ 6 โดยโปรแกรมจะนา 2 + 2 = 4 จากน้ันนา

4 X 2 = 8 หลังจากนน้ั นา 8 - 2 = 6

1.3 ตวั ดาเนินการที่ใชใ้ นสูตร
ตัวดาเนินการ คือ เครื่องหมายทร่ี ะบปุ ระเภทของการคานวณ โปรแกรม Microsoft Excel
จะแบ่งประเภทตัวดาเนนิ การออกเปน็ 4 ประเภท คือ ตวั ดาเนนิ การทางคณติ ศาสตร์ ตวั ดาเนนิ การ
เปรียบเทยี บ ตัวดาเนินการขอ้ ความ และตวั ดาเนินการอ้างอิง (จกั รทิพย์ ชวี พฒั น์, 2558 หนา้ 39)

1.3.1 ตัวดาเนนิ การทางคณิตศาสตร์ (Arithmetic Operator)

รหัสวิชา 2501-2010 6
หลกั สตู รประกาศนียบตั รวิชาชพี (ปวช.) พทุ ธศกั ราช 2556

หนว่ ยที่ 6 การสร้างสูตรคานวณในงานอาชพี 103
วชิ า การประยกุ ตใ์ ช้คอมพวิ เตอรใ์ นงานอาชีพ

ตวั ดาเนินการทางคณติ ศาสตร์ ใชค้ านวณดว้ ยวธิ กี ารทางคณิตศาสตรข์ ัน้ พ้ืนฐาน เชน่
การบวก การลบ การคูณ การหาร และการหาผลลวพัชิ าธกต์ า่ารงปๆระยดกุ งั ตตใ์ ชาค้ รอามงพทวิ เ่ี ต6อ.ร3ใ์ นในงานอาชีพ

ตารางที่ 6.3 แสดงตัวดาเนินการทางคณติ ศาสตร์

ตวั ดาเนนิ การทางคณติ ศาสตร์ ความหมาย ตวั อย่างสตู ร
+ บวก =20+10 จะได้ผลลพั ธเ์ ท่ากับ 30
- ลบ =20-10 จะไดผ้ ลลัพธเ์ ทา่ กับ 10
x คณู =20*2 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 40
/ หาร =20/2 จะได้ผลลัพธ์เทา่ กบั 10
% เปอรเ์ ซน็ ต์ =20% จะไดผ้ ลลพั ธ์เท่ากบั 0.2
^ ยกกาลัง =20^2 จะได้ผลลพั ธเ์ ทา่ กับ 400

ทม่ี า : มนัสชัย กรี ติผจญ, 2557 หนา้ 105

1.3.2 ตวั ดาเนนิ การเปรยี บเทยี บ (Comparison Operator)
ตวั ดาเนนิ การเปรยี บเทียบ ใช้เปรยี บเทียบคา่ สองคา่ โดยผลลพั ธจ์ ะได้คา่ ทาง
ตรรกศาสตร์ คือ จรงิ (True) หรือ เท็จ (False) ดงั ตารางท่ี 6.4

ตารางท่ี 6.4 แสดงตัวดาเนนิ การเปรยี บเทียบ

ตัวดาเนนิ การเปรียบเทียบ ความหมาย ตวั อย่างสตู ร
=40=30 จะได้ผลลัพธ์เทา่ กับ False
= เทา่ กับ =40>30 จะได้ผลลพั ธเ์ ท่ากับ True
=40<30 จะไดผ้ ลลพั ธ์เท่ากับ False
> มากกวา่ =40>=30 จะไดผ้ ลลัพธเ์ ท่ากับ False
=40<= 30 จะได้ผลลพั ธ์เท่ากบั False
< น้อยกวา่ =40<>30 จะไดผ้ ลลัพธเ์ ท่ากับ True

>= มากกวา่ หรือเทา่ กบั

<= น้อยกวา่ หรอื เทา่ กับ

<> ไม่เท่ากับ

ท่มี า : มนสั ชยั กรี ตผิ จญ, 2557 หนา้ 105

1.3.3 ตวั ดาเนินการเชอื่ มข้อความ (Text Operator)
ตวั ดาเนนิ การเชือ่ มข้อความจะใชเ้ คร่ืองหมาย & ในการรวมขอ้ ความหรือคา 2 คาข้ึนไป
เพ่อื ใหเ้ ป็นข้อความเดียวกัน ดงั ตารางท่ี 6.5

ตารางที่ 6.5 แสดงตวั ดาเนนิ การเชื่อมข้อความ

ตวั ดาเนนิ การเปรยี บเทียบ ความหมาย ตัวอย่างสตู ร
& (เคร่ืองหมาย “และ")
เช่ือมหรอื นาคาสองคามาต่อ =“ยนิ ดี” & “ตอ้ นรบั ” จะได้
กนั ใหเ้ กิดขอ้ ความต่อเนอื่ งที่ ผลลพั ธเ์ ทา่ กบั ยินดีต้อนรบั
เป็นคาเดียว

ท่ีมา : มนสั ชัย กรี ตผิ จญ, 2557 หน้า 105 6
1.3.4 ตัวดาเนินการอ้างองิ (Text Operator)

รหัสวิชา 2501-2010
หลกั สตู รประกาศนยี บัตรวชิ าชพี (ปวช.) พุทธศกั ราช 2556

หนว่ ยที่ 6 การสร้างสตู รคานวณในงานอาชพี 103
วิชา การประยุกต์ใช้คอมพวิ เตอรใ์ นงานอาชพี

ตวั ดาเนนิ การอ้างองิ จะใช้เพอ่ื รวมชว่ งของเซลล์สาหรับการคานวณ ดงั ตารางท่ี 6.6
วชิ า การประยกุ ต์ใช้คอมพวิ เตอรใ์ นในงานอาชพี
ตารางท่ี 6.6 แสดงตวั ดาเนินการอ้างองิ

ตวั ดาเนินการอา้ งองิ ความหมาย ตัวอย่างสตู ร

: (จุดค)ู่ -ช่วงอา้ งองิ จากเซลล์อา้ งองิ ท่ีหนึ่งกบั เซลล์ทส่ี อง =(B1:B5)

, (จลุ ภาค) -การรวมเซลล์อ้างองิ หลายๆ ชุดเข้าด้วยกันเปน็ =SUM(B1:C1,D1:E5)

เซลล์อา้ งอิงหนงึ่ ชุด

ทม่ี า : มนัสชยั กีรตผิ จญ, 2557 หนา้ 106

1.4 การสรา้ งสตู รคานวณ
การสรา้ งสตู รคานวณในโปรแกรม Microsoft Excel มขี นั้ ตอนดงั น้ี ดังภาพที่

6.2-6.4
(1) พิมพเ์ ครื่องหมายเท่ากบั (=) ในชอ่ งเซลล์ที่ต้องการใหผ้ ลลัพธ์ปรากฏ หรือ

พมิ พ์ลงในแถบสตู ร (Formula Bar) เพ่ือให้โปรแกรมรวู้ า่ อักขระถดั ไป คือ อาร์กิวเมนต์
และตวั ดาเนินการในสูตร

(2) พิมพอ์ ารก์ ิวเมนต์ ซึ่งอาจเปน็ ตวั เลข หรืออ้างอิงเซลล์ทต่ี อ้ งการคานวณ
(3) พมิ พต์ ัวดาเนินการหรือเครอื่ งหมายในการคานวณ

 
ภาพที่ 6.2 การสร้างสตู รคานวณโดยใช้จานวนตวั เลข

ภาพท่ี 6.3 การสร้างสตู รคานวณโดยการอ้างอิงเซลล์

รหัสวิชา 2501-2010 6
หลักสตู รประกาศนียบัตรวิชาชพี (ปวช.) พุทธศกั ราช 2556

หน่วยท่ี 6 การสรา้ งสูตรคานวณในงานอาชีพ 103
วิชา การประยุกตใ์ ช้คอมพวิ เตอรใ์ นงานอาชีพ

 วิชา การประยุกต์ใช้คอมพวิ เตอร์ในในงานอาชพี
 






ภาพท่ี 6.4 ตัวอยา่ งการคานวณโดยการสร้างสตู ร

1.5 การอา้ งอิงเซลล์
สูตรคานวณในโปรแกรม Microsoft Excel การยา้ ยและคัดลอกสูตรหรอื ฟงั ก์ชนั ในการ
คานวณเป็นเรื่องปกติ ซง่ึ การยา้ ยหรือคัดลอกสตู รจากตาแหน่งเซลล์ต้นทางไปยังตาแหน่งเซลล์
ปลายทาง ถ้าหากคา่ การอ้างองิ เซลล์เปลยี่ นจะสง่ ผลทาให้ผลลัพธข์ องการคานวณเปล่ยี นไปด้วย
โดยการอา้ งองิ เซลล์สามารถแบง่ ออกเป็น 2 วธิ ี คอื การอ้างองิ แบบสัมพัทธ์ และการอ้างอิงแบบ
สมั บูรณ์ (มนัสชยั กรี ตผิ จญ, 2557 หน้า 110)

1.5.1 การอ้างอิงแบบสมั พัทธ์ (Relative Reference) คือ การอา้ งอิงเซลล์หรือ
ช่วงเซลล์ไปทเ่ี ซลล์ใดจะทาให้คา่ เซลล์อา้ งองิ ผนั แปรตามการย้ายหรอื คดั ลอก เปน็ การย้าย
หรอื คดั ลอกท่ีเกดิ สูตรขึ้นใหม่ตามตาแหน่งของเซลล์โดยอัตโนมัติ ผลลพั ธ์ท่ไี ดจ้ ะเปล่ียนไป
ตามคา่ ของเซลล์อ้างองิ เชน่ ตอ้ งการคดั ลอกสตู รคานวณแบบสัมพทั ธ์ในเซลล์ D3 สตู รคือ
=B3*C3 โดยทาการคัดลอกสูตรไปทเี่ ซลล์ D4 สตู รจะเปล่ียนเป็น =B4*C4 ใหโ้ ดยอัตโนมตั ิ
ซง่ึ การคดั ลอกสูตรสามารถทาได้ทั้งตามแนวต้งั (Column) และตามแนวนอน (Row)

รหสั วิชา 2501-2010 6
หลกั สูตรประกาศนยี บตั รวิชาชพี (ปวช.) พทุ ธศักราช 2556

หน่วยที่ 6 การสรา้ งสูตรคานวณในงานอาชีพ 103
วชิ า การประยุกตใ์ ชค้ อมพวิ เตอร์ในงานอาชีพ

การอ้างองิ แบบสัมพัทธ์ มขี ัน้ ตอนดังน้ี ดังภาพที่ 6.5
(1) คลกิ เมาส์ชอ่ งเซลล์ที่ต้องการคัดวลิชอากกาตรปวั รอะยยุกา่ ตง์ใคช้คืออมเซพวิลเตลอ์ รDใ์ น3ในงานอาชพี
(2) หลงั จากนน้ั นาเมาส์ไปชที้ ี่ตาแหนง่ มมุ ลา่ งดา้ นขวาของเซลล์ที่ต้องการ

คดั ลอกคือ เซลล์ D3 เมอ่ื ตัวชี้เมาส์เปล่ยี นเปน็ รปู เครือ่ งหมายบวก (+)
(3) ให้ทาการคลกิ เมาส์ซ้ายแล้วลากเมาสค์ ลุมพื้นที่เซลล์ทตี่ อ้ งการคัดลอกสตู ร
(4) เมื่อปลอ่ ยเมาสจ์ ะได้ผลลัพธ์ตามภาพหมายเลข 4
(5) ส่วนสูตรท่ีใช้คานวณตามภาพหมายเลข 5

 +  +





ภาพท่ี 6.5 ภาพแสดงการอา้ งองิ แบบสัมพทั ธ์

1.5.2 การอ้างออิงvแiบrbบoสัมบรู ณ์ (Absolute Reference) คอื การล็อกตาแหน่งเซลล์
อ้างอิงไม่ให้ผันแปรไปตามตาแหน่งการอ้างอิงเซลล์ของการย้ายหรือคัดลอก โดยการใส่
เคร่ืองหมายสตริง ($) หน้าอักษรกากับคอลัมน์และเลขกากับแถว เป็นการอ้างอิงถึงเซลล์ใด
เซลล์หนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหน่ึงแบบเจาะจง การอ้างอิงแบบนี้จะเป็นการอ้างอิงเซลล์เดิม
ไมว่ ่าจะยา้ ยการทางานไปที่เซลล์ใด

ตัวอยา่ ง การให้สว่ นลด 2% ในการส่ังจองผักทุกชนดิ ซ่ึงเกบ็ คา่ 2% ในเซลล์ E3 ดังน้ัน
จะต้องใช้ค่าของเซลล์ E3 ในการคานวณหาส่วนลด การคานวณจึงต้องใช้การอ้างอิงแบบ
สัมบูรณ์ คือใส่เครื่องหมายสตริงหน้าอักษรกากับคอลัมน์คือ E และเลขกากับแถวคือ 3 ซึ่ง
เรียกว่าการล็อกเซลล์หรือการตรึงคา่ เซลล์ E3 ตัวอย่าง =$E$3

รหัสวชิ า 2501-2010 6
หลักสตู รประกาศนียบตั รวิชาชพี (ปวช.) พุทธศกั ราช 2556

หน่วยท่ี 6 การสร้างสูตรคานวณในงานอาชีพ 103
วชิ า การประยกุ ตใ์ ชค้ อมพวิ เตอร์ในงานอาชพี

1) วิธีการพมิ พ์สตู รและการใส่เคร่ืองหมายสตรงิ ในสูตรคานวณ มีขั้นตอนดังน้ี
วิชา การประยกุ ต์ใชค้ อมพวิ เตอรใ์ นในงานอาชีพ
ดงั ภาพท่ี 6.6

(1) คลกิ เมาสช์ ่องเซลล์ทตี่ ้องการคานวณ ตัวอยา่ งคือ เซลล์ F3 หลังจาก

น้ันพิมพส์ ูตรการคานวณ สามารถทาได้ 2 วิธี คือ

วิธที ่ี 1 =D3*$E$3

วิธที ่ี 2 =D3*E3

(2) หากเลือก วธิ ที ี่ 2 =D3*E3 ให้นาเมาส์ไปคลิกท่ี อาร์กวิ เมนต์ E3

(3) จากน้ันกดปมุ่ F4 โปรแกรมจะข้ึนเครื่องหมายสตรงิ ($) ให้โดย

อตั โนมตั ิ





ภาพท่ี 6.6 การพิมพส์ ตู รและการใสเ่ คร่อื งหมายสตริงในการอ้างอิงแบบสมั บรู ณ์

หมายเหตุ อvกirดboF4 จานวน 1 ครัง้ จะได้ผลดงั น้ี =$E$3 คือการตรึงเซลล์
กด F4 จานวน 2 คร้งั จะได้ผลดงั น้ี =E$3 คือการตรึงแถว
กด F4 จานวน 3 คร้งั จะได้ผลดงั น้ี =$E3 คือการตรงึ คอลัมน์
กด F4 จานวน 4 ครง้ั จะไดผ้ ลดังนี้ =E2 (จะกลบั มาเป็นเหมือนเดิม)

รหัสวิชา 2501-2010 6
หลกั สูตรประกาศนียบตั รวิชาชพี (ปวช.) พุทธศกั ราช 2556

หน่วยที่ 6 การสร้างสูตรคานวณในงานอาชพี 103
วชิ า การประยกุ ตใ์ ช้คอมพวิ เตอร์ในงานอาชพี

2) การอา้ งองิ แบบสมั บูรณ์ มขี นั้ ตอนดงั น้ี ดังภาพท่ี 6.7
(1) นาเมาสไ์ ปชท้ี ี่ตาแหน่งมมุ ล่าวงิชดาา้ กนารขปวราะยขกุ อตงใ์ ชเซค้ อลมลพ์ทวิ เต่ีตอ้อรง์ในกใานรงคานดั อลาชอพี ก
คอื เซลล์ F3 เมอ่ื ตัวชีเ้ มาสเ์ ปลี่ยนเปน็ รปู เครอ่ื งหมายบวก (+)
(2) ให้ทาการคลกิ เมาสซ์ า้ ยแล้วลากเมาส์คลุมพื้นท่ีเซลล์ที่ตอ้ งการ
คดั ลอกสูตร คือ จากเซลล์ F3 ถงึ F5
(3) เมอื่ ปลอ่ ยเมาสจ์ ะได้ผลลพั ธด์ งั หมายเลข 3
(4) ส่วนสตู รทีใ่ ช้คานวณดังหมายเลข 4

ในการคานวณ สตู รจะแปลงคา่ ของเซลล์อา้ งองิ คือ เซลล์ D3, D4
และ D5 ตามลาดบั สว่ นคา่ เซลล์ E3 จะคงท่ีไม่เปล่ียนแปลงเมือ่ ทาการคดั ลอกสตู ร
เพราะเป็นการอ้างองิ เซลล์แบบสัมบรู ณ์ ดงั สตู รหมายเลข 4

+ 
+




ภาพที่ 6.7 การอ้างองิ แบบสมั บรู ณ์

2. ความรู้พน้ื ฐานเกย่ี วกบั ฟงั กช์ อันvirbo
ฟังก์ชนั (Function) คือ สูตรสาเร็จท่ีกาหนดไวล้ ว่ งหน้า (พนม บุญญ์ไพร,2559 หนา้ 120)

ถูกสร้างให้เหมาะกบั งานเฉพาะอย่าง ในโปรแกรม Microsoft Excel มีฟังกช์ นั ให้เลือกใช้มากมายทา
ให้สะดวกต่อการคานวณ ซงึ่ มีตัง้ แตฟ่ ังกช์ ันพนื้ ฐานไปจนถึงฟังกช์ นั ช้ันสูง

รหัสวิชา 2501-2010 6
หลกั สูตรประกาศนียบัตรวชิ าชพี (ปวช.) พุทธศักราช 2556

หน่วยที่ 6 การสรา้ งสตู รคานวณในงานอาชพี 103
วิชา การประยกุ ต์ใชค้ อมพวิ เตอร์ในงานอาชพี

2.1 รูปแบบฟงั ก์ชัน (พนม บุญญไ์ พร, 2559 หนา้ 120)

วิชา การประยุกต์ใช้คอมพวิ เตอรใ์ นในงานอาชพี

=ชอื่ ฟงั ก์ชนั (อาร์กวิ เมนต์ที่1,อารก์ วิ เมนต์ท่2ี ,อาร์กิวเมนต์ท่ี3...)

2.2 องคป์ ระกอบของฟังก์ชัน ประกอบดว้ ยดงั น้ี (พนม บุญญไ์ พร, 2559 หนา้ 120)
2.2.1 เครื่องหมายเท่ากับ (=) ให้พมิ พ์ในชอ่ งเซลล์ทต่ี ้องการแสดงผลลัพธ์
2.2.2 ช่อื ฟงั ก์ชนั ให้พิมพต์ ิดกบั เครื่องหมายเท่ากับ
2.2.3 วงเลบ็ หรือตวั ควบคมุ ซึง่ จะตอ้ งมีต่อจากชื่อฟังก์ชนั ทุกๆ ฟังกช์ ัน โดยใหพ้ ิมพ์

ตดิ กับชอ่ื ฟงั ก์ชัน ห้ามเวน้ วรรค
2.2.4 อารก์ ิวเมนต์ คือ ค่าท่ีจะนามาคานวณ จะพิมพ์อยู่ในวงเล็บ สามารถเป็นตวั เลข

การอา้ งอิงเซลล์ ข้อความ หรือคา่ ตรรกะ
2.2.5 ตวั ดาเนนิ การหรอื เคร่ืองหมายในการคานวณ ดงั ภาพท่ี 6.8

ฟงั ก์ชัน ตัวควบคุม ตัวดาเนินการ
เทา่ กับ อารก์ ิวเมนต์

ภาพท่ี 6.8 องคป์ ระกอบของฟงั ก์ชนั SUM

2.3 ฟงั กช์ ันพนื้ ฐานทค่ี วรร้จู กั
โปรแกรม Microsoft Excel มฟี งั กช์ นั มากมายสามารถนาไปประยกุ ต์ใช้กับงานด้านต่างๆ
ไดอ้ ย่างดี การใช้งานทาได้สะดวกรวดเรว็ ในทนี่ ีจ้ ะนาเสนอเฉพาะฟังกช์ ันพนื้ ฐานที่ใช้งานบ่อยๆ ดงั น้ี
(มนัสชัย กีรติผจญ, 2557 หน้า 108)

2.3.1 ฟังกช์ ัน SUM เป็นฟงั ก์ชันที่ใชใ้ นการหาผลรวมของข้อมูล
รูปแบบ =SUM(Number1,Number2,…)
ไวยากรณข์ องฟงั ก์ชนั SUM มอี าร์กิวเมนต์ ดังน้ี
Number คือ กลุม่ ของข้อมูลที่ตอ้ งการหาผลรวม ซึ่งจะใส่ได้มากกวา่ 1 กลมุ่

โดยใช้เครอ่ื งหมายจลุ ภาคคั่นกลางแตล่ ะกลุม่ ข้อมลู เชน่ หาผลรวมต้งั แต่
เซลล์ A1 ถึง A10 และ 5 ดงั ภาพท่ี 6.9

ภาพท่ี 6.9 การคานวณโดยการใชฟ้ งั ก์ชัน SUM

รหัสวิชา 2501-2010 6
หลกั สตู รประกาศนยี บัตรวิชาชพี (ปวช.) พทุ ธศักราช 2556

หนว่ ยท่ี 6 การสรา้ งสูตรคานวณในงานอาชีพ 103
วชิ า การประยกุ ตใ์ ช้คอมพวิ เตอร์ในงานอาชพี

2.3.2 ฟังกช์ ัน SUMIF เป็นฟังก์ชันทใ่ี ช้ในการหาผลรวมของข้อมูลแบบมเี ง่ือนไข
รูปแบบ =SUMIF(Range,Criteria,Sum_Raวชิnาgกeา)รประยุกตใ์ ช้คอมพวิ เตอร์ในในงานอาชีพ
ไวยากรณ์ของฟังกช์ ัน SUMIF มีอาร์กิวเมนตด์ ังนี้

1) Range คอื ขอบเขตของข้อมลู ที่ต้องการตรวจสอบตามเงื่อนไข
2) Criteria คือ เงื่อนไขท่กี าหนดให้คานวณหาผลรวม
3) Sum range คือ ช่วงของเซลล์ที่ตรวจสอบตามเงือ่ นไขเพ่ือนามาคานวณ
เช่น ให้หาผลรวมยอดขายเฉพาะพนกั งานขายชื่อ “จริ ดา” โดยเซลล์ทอ่ี ้างอิง คอื
C4 ถึง C9 และอ้างเซลล์ราคาสนิ คา้ ท่ี G4 ถึง G9 ดงั ภาพท่ี 6.10

เครอ่ื งพ่นยา

ฮอร์โมนเรง่ ดอก

โปยุ๋ อนิ ทรีย์

เครอ่ื งสบู น้า
รถตดั หญ้า
ป้ัมนา้

ภาพท่ี 6.10 การคานวณโดยการใช้ฟงั ก์ชัน SUMIF

2.3.3 ฟังกช์ นั อMvirINboเป็นฟังก์ชนั ทใ่ี ชใ้ นการหาคา่ ตา่ สดุ ของจานวน
รูปแบบ =MIN(Number1,Number2,…)
ไวยากรณ์ของฟงั กช์ นั MIN มีอารก์ วิ เมนต์ ดังน้ี

Number คือ กลุ่มของข้อมลู ทตี่ ้องการหาคา่ ต่าสดุ เชน่ ตอ้ งการหาค่าต่าสุด
ของเซลล์ B3 ถึง B12 ดงั ภาพที่ 6.11

ภาพที่ 6.11 การคานวณโดยการใช้ฟงั กช์ ัน MIN

รหัสวิชา 2501-2010 6
หลกั สตู รประกาศนียบตั รวชิ าชพี (ปวช.) พุทธศักราช 2556

หนว่ ยที่ 6 การสรา้ งสูตรคานวณในงานอาชีพ 103
วิชา การประยุกต์ใช้คอมพวิ เตอรใ์ นงานอาชพี

2.3.4 ฟังก์ชนั MAX เป็นฟงั ก์ชนั ในการหาค่าสูงสดุ ของจานวน
รูปแบบ =MAX(Number1,Number2,…)วชิ า การประยกุ ตใ์ ชค้ อมพวิ เตอร์ในในงานอาชพี
ไวยากรณ์ของฟงั ก์ชนั MAX มีอารก์ วิ เมนต์ ดังน้ี

Number คอื กล่มุ ของขอ้ มูลทตี่ อ้ งการหาคา่ สงู สดุ เชน่ หาค่าสงู สุด
ของเซลล์ B1 ถงึ B9 ดงั ภาพท่ี 6.12

ภาพที่ 6.12 การคานวณโดยการใช้ฟังก์ชนั MAX

2.3.5 ฟงั กอ์ชvันirbAoVERAGE เป็นฟังก์ชันในการหาคา่ เฉลีย่ ของข้อมลู
รูปแบบ = AVERAGE(Number1,Number2,…)
ไวยากรณข์ องฟงั กช์ ัน AVERAGE มอี าร์กิวเมนต์ ดงั น้ี

Number คือ กลุ่มของขอ้ มูลทต่ี ้องการหาคา่ เฉล่ีย เช่น หาคา่ เฉลี่ยของ
เซลล์ F1 ถงึ F12 ดงั ภาพท่ี 6.13

ภาพท่ี 6.13 การคานวณโดยการใช้ฟังกช์ ัน AVERAGE

2.3.6 ฟงั อกv์ชirันboCOUNT เป็นฟงั กช์ ันที่ใช้นับขอ้ มูลที่เปน็ ตัวเลข
ไวยากรณ์ของฟงั ก์ชนั COUNT มีอาร์กวิ เมนต์ ดังน้ี (มนัสชัย, 2557 หนา้ 109)
รูปแบบ = COUNT(Value1,Value2,…)

Value คือ ช่วงของกลมุ่ เซลล์ท่ีนามาใช้นับจานวนเฉพาะตัวเลข เช่น
นบั จานวนผ้เู รยี นท่มี ีคะแนนสอบปลายภาควา่ มกี ค่ี นจะไม่นบั
ผู้เรียนที่ตดิ ขส. หรือ มส. โดยอา้ งองิ เซลล์ C2 ถงึ C10
ดงั ภาพที่ 6.14

ภาพที่ 6.14 การคานวณโดยการใชฟ้ ังกช์ ัน COUNT

รหสั วิชา 2501-2010 6
หลักสตู รประกาศนียบตั รวชิ าชพี (ปวช.) พุทธศักราช 2556

หนว่ ยท่ี 6 การสรา้ งสตู รคานวณในงานอาชีพ 103
วิชา การประยุกต์ใช้คอมพวิ เตอรใ์ นงานอาชีพ

2.3.7 ฟงั กช์ นั COUNTA คือ ฟังกช์ ันทใ่ี ช้ในการนับข้อมูลทเี่ ป็นท้ังข้อความและตัวเลข
รูปแบบ = COUNTA(Value1,Value2,…ว)ชิ (ามกนาัสรปชรยัะย,กุ 2ต5ใ์ ช5ค้ 7อมหพนวิ เา้ตอ1ร์ใ0น9ใน)งานอาชีพ
ไวยากรณ์ของฟงั กช์ ัน COUNTA มีอาร์กิวเมนต์ ดังนี้

Value คือ ช่วงของกลุ่มเซลล์ทน่ี ามาใช้ในการนับจานวน เชน่ นบั จานวน
ผู้เรียนท่มี ีคะแนนวา่ มีก่คี น รวมผ้เู รียนทีต่ ิด ขส. หรอื มส. โดย
อา้ งองิ เซลล์ B2 ถึง B20 ดงั ภาพที่ 6.15

ภาพท่ี 6.15 การคานวณโดยการใช้ฟงั ก์ชัน COUNTA

2.3.8 ฟงั กอ์ชviนั rbCoOUNTIF คือ ฟังก์ชนั ที่ใช้นับข้อมูลแบบมเี งอื่ นไข
รูปแบบ = COUNTIF(Range,Criteria) (มนัสชัย, 2557 หน้า 109)
ไวยากรณ์ของฟังกช์ ัน COUNTIF มอี าร์กิวเมนต์ ดงั น้ี

1) Range คือ ชว่ งของเซลล์ทตี่ ้องการนบั ตามเงื่อนไข
2) Criteria คอื เงอื่ นไขท่ีใชต้ รวจสอบและนบั จานวนของเซลล์ตามเงอ่ื นไข

เชน่ นบั เฉพาะผู้เรยี นทีส่ อบผา่ น โดยอ้างองิ ที่เซลล์ D2 ถงึ D20
ดงั ภาพที่ 6.16

ภาพที่ 6.16 การคานวณโดยการใชฟ้ งั ก์ชัน COUNTIF

รหสั วชิ า 2501-2010 6
หลกั สตู รประกาศนยี บตั รวิชาชพี (ปวช.) พุทธศกั ราช 2556

หนว่ ยท่ี 6 การสรา้ งสตู รคานวณในงานอาชพี 103
วชิ า การประยุกตใ์ ชค้ อมพวิ เตอรใ์ นงานอาชพี

2.3.9 ฟงั ก์ชัน IF คือ ฟังก์ชนั ทใ่ี ชใ้ นการหาคา่ จริงหรอื เท็จจากเงอ่ื นไขที่ระบุ
รูปแบบ = IF(Logical,Value_if True,Vaวlิชuาeก_าiรfป_รFะaยกุlsตe์ใช)ค้ (อมมนพวิัสเตชอัยร,์ใน2ใน5ง5า7นอหาชนีพ้า 109)
ไวยากรณ์ของฟังกช์ ัน IF มีอารก์ วิ เมนต์ ดงั น้ี

1) Logical คือ เงื่อนไขท่ีใช้ในการเปรยี บเทยี บหรอื ตรวจสอบข้อมลู
2) Value_if_True คือ คา่ ของเง่ือนไขท่ีถูกต้อง (จริง)
3) Value_if_False คอื ค่าของเงื่อนไขทไ่ี ม่ถูกตอ้ ง (เท็จ) เชน่ ถา้ ค่าเซลล์

B2 มากกว่า 60 ใหแ้ สดงผ่าน ถ้าคา่ เซลล์ B2 นอ้ ยกวา่ หรอื เทา่ กับ 60
ให้แสดงไม่ผ่าน ดงั ภาพท่ี 6.17

ภาพท่ี 6.17 การคานวณโดยการใชฟ้ ังกช์ นั IF

2.3.10 ฟังกอ์ชvันirbNoOW เป็นฟงั กช์ นั ในการแสดงวนั ท่แี ละเวลาปัจจุบัน
รปู แบบ =NOW() ดงั ภาพที่ 6.18

ภาพท่ี 6.18 การคานวณโดยการใช้ฟงั กช์ ัน NOW

2.3.11 ฟงั ก์ชัน TODAY เป็นฟงั กช์ ันในการแสดงวันท่ีปัจจบุ นั
รปู แบบ =TODAY() ดงั ภาพที่ 6.19

ภาพท่ี 6.19 การคานวณโดยการใช้ฟงั ก์ชัน TODAY

รหัสวชิ า 2501-2010 6
หลกั สูตรประกาศนียบัตรวิชาชพี (ปวช.) พทุ ธศักราช 2556

หน่วยที่ 6 การสรา้ งสตู รคานวณในงานอาชพี 103
วิชา การประยกุ ตใ์ ชค้ อมพวิ เตอรใ์ นงานอาชีพ

2.3.12 ฟงั กช์ นั VLOOKUP เป็นฟงั ก์ชันในการคน้ หาและแสดงข้อมลู
รูปแบบ LOOKUP(lookup_value,Tableว_ิชaาrกraารyป,รCะoยกุl_ต์ใinช้คdอeมxพ_วิ เnตuอรm์ใน,ใRนaงnานgeอ_าชLีพookup)

ไวยากรณ์ของฟงั ก์ชนั VLOOKUP มีอาร์กวิ เมนต์ ดังน้ี (มนสั ชัย, 2557 หนา้ 109)
1) lookup_value คือ ค่าที่ใชใ้ นการค้นหา
2) Table_array คอื ตารางข้อมลู ที่ใชส้ าหรบั แสดงผลและคน้ หาขอ้ มูล
3) Col_index_num คอื คอลัมนท์ ่ีต้องการข้อมลู โดยคอลัมน์แรกมีค่า
เป็น 1 และคอลมั น์ต่อไปจะมีคา่ เปน็ 2 และ 3 ตามลาดบั
4) Range_Lookup คอื คา่ ทางตรรกะท่ีกาหนดในการคน้ หามี 2 รปู แบบ
(1) False ใช้คน้ หาคา่ ท่ตี รงกับค่าทใี่ ช้ในการคน้ หา
(2) True ใช้คน้ หาคา่ ทีม่ ีค่านอ้ ยกว่าหรอื เท่ากับค่าท่ีใชค้ ้นหา
เช่น เซลล์ E4 ถงึ E10 คือ เซลล์ที่เก็บรหัสสินค้า และเซลล์ F4 ถึง
F10 คอื เซลล์ท่เี กบ็ รายชอื่ สินคา้ หากต้องการอ้างองิ รหสั สนิ ค้า
และรายชอ่ื สนิ คา้ ในเซลล์ดังกลา่ ว โดยต้องการใหค้ น้ หาและแสดง
รายช่อื สินคา้ ลงไปในเซลล์ G3 ดงั ภาพที่ 6.20

ภาพท่ี 6.20 การคน้ หาและแสดงขอ้ มลู ด้วยฟังก์ชัน VLOOKUP คน้ หาและแสดงรายชื่อสนิ ค้า

2อ.3v.i1rb3oฟงั ก์ชัน BAHTTEXT เป็นฟงั กช์ ันทใ่ี ชใ้ นการแปลงตัวเลขเป็นจานวนเงนิ
ภาษาไทย (บาท)

รูปแบบ = BAHTTEXT(number)

ไวยากรณ์ของฟังกช์ ัน BAHTTEXT มีอาร์กิวเมนต์ คือ
number คือ ตัวเลขที่ต้องการแปลงเปน็ จานวนเงนิ บาท เช่น ตอ้ งแปลงค่าตวั เลข
จานวนเงนิ 250 บาท ในเซลล์ A2 ใหเ้ ปน็ จานวนเงินภาษาไทย ดังภาพท่ี 6.21

ภาพท่ี 6.21 การแปลงจานวนเงินตวั เลขเปน็ ตวั อักษร ดว้ ยฟังก์ชนั BAHTTEXT

อvirbo

รหัสวชิ า 2501-2010 6
หลกั สตู รประกาศนยี บัตรวชิ าชพี (ปวช.) พุทธศักราช 2556

หนว่ ยที่ 6 การสร้างสูตรคานวณในงานอาชพี 103
วิชา การประยุกต์ใชค้ อมพวิ เตอร์ในงานอาชีพ

2.4 ความแตกต่างระหวา่ งสูตรคานวณและฟงั ก์ชัน
สตู รคานวณ คือ สตู รที่ผใู้ ช้งานสร้างข้ึนเพื่อหาผลลวิชัพาธก์ทาร่ีผปู้ใรชะย้ตกุ ้อตงใ์ ชก้คาอรมพอวิ าเตรอ์กร์ใวิ นเใมนนงาตนอ์ทาี่ใชชีพ้อาจจะ
เป็นข้อมลู ตัวเลข ข้อความ วันท่ี เวลา หรือช่ือเซลล์ โดยมีตวั ดาเนินการเขา้ มารว่ มด้วย และอาจจะใช้
ฟังก์ชันในการคานวณดว้ ยหรือไมต่ ามแตผ่ ูส้ รา้ งสูตรจะออกแบบ
ฟังก์ชัน คอื สูตรสาเร็จรปู ที่โปรแกรม Microsoft Excel เตรยี มไว้เพอื่ อานวยความสะดวกใน
การคานวณ ผู้ใช้งานสามารถนาฟังก์ชันไปใช้ได้ทันที โดยจะต้องใช้อาร์กิวเมนต์ให้ถูกรูปแบบของ
แต่ละฟังกช์ ันที่โปรแกรมกาหนดไว้ มเิ ชน่ นนั้ การคานวณจะเกิดขอ้ ผิดพลาด
สตู รคานวณและฟังก์ชันแตกตา่ งกนั ตรงท่ีมา คือ สูตรคานวณผใู้ ช้งาน Microsoft Excel เป็น
ผู้สร้างขึ้นมาใช้งานเพื่อคานวณหาผลลัพธ์ท่ีผู้ใช้ต้องการ ส่วนฟังก์ชัน เป็นสูตรสาเร็จรูปท่ีโปรแกรม
Microsoft Excel เตรียมไว้เพื่ออานวยความสะดวกในการคานวณ โดยต้องเลือกใช้ให้ถูกรูปแบบของ
ฟงั ก์ชันและใช้ให้เหมาะสมกับงานคานวณ

3. การใช้ฟงั กช์ นั และการสรา้ งสตู รคานวณในงานอาชพี
3.1 การคานวณยอดเงนิ ฝากธนาคาร
การคานวณยอดเงินฝากธนาคาร เพ่อื ให้ทราบวา่ เม่ือครบกาหนดการฝากเงินจะได้

ผลตอบแทนเปน็ เงินเท่าไร สามารถนาข้อมูลไปใช้ประกอบในการตดั สนิ ใจลงทุนทางดา้ นการเงนิ
การคานวณยอดเงินฝากธนาคารใชฟ้ งั ก์ชัน FV ซึง่ เป็นฟังกช์ ันทางการเงินที่ใช้คานวณหาจานวนเงิน
ท่ีจะไดร้ ับในอนาคต (มนสั ชัย กีรติผจญ, 2557 หน้า 195)

สตู รการคานวณยอดเงนิ ฝากธนาคาร คอื ฟังก์ชัน FV
รปู แบบฟังก์ชัน =FV(rate,nper,pv)
ไวยากรณ์ของฟังก์ชนั FV มอี ารก์ ิวเมนต์ ดงั นี้
Rate คือ อตั ราดอกเบย้ี อัตราดอกเบ้ยี ท่ีคดิ เป็นรายปีตอ้ งหารดว้ ย 12 เดือน
nper คอื ระยะเวลาฝากเงิน หากระยะเวลาการฝากเงนิ เป็นปตี ้องคูณด้วย 12 เดือน
pv คอื ยอดเงนิ ฝากต่อเดือนทเี่ ท่ากนั ทุกเดือนตลอดระยะเวลาทีก่ าหนด

รหสั วิชา 2501-2010 6
หลักสตู รประกาศนยี บัตรวิชาชพี (ปวช.) พทุ ธศกั ราช 2556


Click to View FlipBook Version