The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อการเรียนรู้ของนักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง
น.ส. นาราภัทร เอียดแก้ว 634316083
น.ส.ศริญทิพย์ จันทรโสฬส 634316084

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Cxn Sarinthip, 2023-03-14 01:58:28

วิจัยการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อการเรียนรู้

วิจัยการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อการเรียนรู้ของนักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง
น.ส. นาราภัทร เอียดแก้ว 634316083
น.ส.ศริญทิพย์ จันทรโสฬส 634316084

ชื่อวิจัย การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ชื่อผู้วิจัย นางสาวนาราภัทร เอียดแก้ว 634316083 นางสาวศริญทิพย์ จันทรโสฬส 634316084 การศึกษานี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามรายวิชาระเบียบวิจัยทางรัฐประศาสนศาสตร์เบื้องต้น หลักสูตร ปริญญาตรีรัฐประศาสนศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ หมาวิทยาลัยราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง พ.ศ.2566


Research Name: The use of social media to promote learning among public administration students. Muban Chom Bueng Rajabhat University Researcher's name Narapat AdiKeaw 634316083 Sarintip Chantansorod 634316084 This study was part of an introductory study in public administration. Bachelor of Public Administration Program Department of Public Administration Faculty of Humanities and Social Sciences Chom Bueng Village Rajabhat College, 2023


ก ชื่อวิจัย การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษาสาขารัฐประศาสน ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ชื่อนักศึกษา นางสาว นาราภัทร เอียดแก้ว นางสาว ศริญทิพย์ จันทรโสฬส รหัสประจำตัว 634316083 634316084 ปริญญา ปริญญาตรี สาขาวิชา รัฐประศาสนศาสตร์ อาจารย์ที่ปรึกษา ผศ.ดร.จีรพรรณ นอลทองคำ ปีการศึกษา 2566


ข กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยในครั้งนี้สามารถสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี ผู้วิจัยต้องกราบขอบพระคุณ ดร.ผศ.จีรพรรณ นิล ทองคำอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน ที่ให้ความกรุณาเมตตา ให้การอบรม สั่งสอน ชี้แนะ ช่วยเหลือในการศึกษา ทำวิจัย ตลอดจนให้การแนะนำในการเขียนและ ตรวจทานแก้ไข จนโครงงานเสร็จสมบูรณ์ ที่ให้ความช่วยเหลือ ในการศึกษาใช้สื่อออนไลน์ในการบริหารงานก่อสร้างและช่วยเหลือในการตอบแบบสอบถาม ของการท า โครงงานวิจัยในครั้งนี้กราบขอบพระคุณบิดา มารดา ที่กรุณาอุปการะเลี้ยงดู ตลอดจนส่งเสริมให้ได้รับ การศึกษา และให้กำลังใจเป็นอย่างดีเสมอมา จนกระทั่งโครงงานฉบับนี้สำเร็จ คณะผู้จัดทำวิจัย


ค acknowledgment This research work was successfully accomplished. The researcher must express his gratitude. Dr. Asst. Prof. Chirapan Nin Thongkham, Project Advisor for giving kindness, training, teaching, advising, assisting in study and research as well as giving advice on writing and reviewing until the project is complete who provide assistance in studying, using online media in construction management and assisting in answering project questionnaires acknowledgment This research work was successfully accomplished. The researcher must express his gratitude. Dr. Asst. Prof. Chirapan Nin Thongkham, Project Advisor for giving kindness, training, teaching, advising, assisting in study and research as well as giving advice on writing and reviewing until the project is complete who provide assistance in studying, using online media in construction management and assisting in answering project questionnaires research team


ง สารบัญ บทที่1 1 บทนำ 1 1.1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย 3 นิยามศัพท์เฉพาะในการวิจัย 3 บทที่2 4 แนวคิดทฤษฎี เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4 2.1. แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวกับเครือข่ายสังคมออนไลน์ 4 2.1.1. เครือข่ายสังคมออนไลน์ : Social Network 4 2.1.2. ประเภทของสื่อสังคมออนไลน์ 4 2.1.3. อุปกรณ์เครื่องมือทางสื่อสังคมออนไลน์ 6 2.1.4. การประยุกต์ใช้สื่อสังคมออนไลน์ 6 2.2. เป็นงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 8 2.3. กรอบแนวคิดในการวิจัย 10 2.4 นิยามศัพท์เฉพาะ 10 บทที่3 12 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 12 3.1.1 การวิจัยเชิงปริมาณ 12 3.1.2 การวิจัยเชิงคุณภาพ 13 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 13


จ 3.2.1 การวิจัยเชิงปริมาณ 13 3.3 การสร้างเครื่องมือ 14 3.4 การศึกษาคุณภาพของเครื่องมือการวิจัย 15 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล 15 3.5.1 การวิจัยเชิงปริมาณ 15 3.5.2 การวิจัยเชิงคุณภาพ 16 3.6 การจัดท าและการวิเคราะห์ข้อมูล 16 3.6.1 การวิจัยเชิงปริมาณ 16 บทที่4 21 ผลวิเคราะห์ข้อมูล 21 4.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาน 21 4.2 ผลการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ 21 4.1.2 การวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 22 4.1.3 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 23 บทที่ 5 25 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 25 5.1 สรุปผลการวิจัย 26 5.1.1 การวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 26 5.1.2 การวิเคราะห์ข้อมูลการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา 26 5.1.3 การวิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคลมีผลต่อการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา 26 5.2 อภิปรายผลการวิจัย 27 5.3 ข้อเสนอแนะจากการวิจัย 27 บรรณานุกรม 29 ภาคผนวก 30 ภาคผนวก ก 31


ฉ แบบสอบถามการวิจัย 31


1 บทที่1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา มนุษย์เป็นสังคมที่ต้องมีการสื่อสารข้อมูลถึงกันและกัน ซึ่งในสมัยโบราณมนุษย์สื่อสารข้อมูลด้วย วิธีการที่ไม่ชับช้อนนักเช่น ปากเปล่า ม้าเร็ว และนกพิราบสื่อสารต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนการสื่อสารข้อมูล เป็นจดหมาย โทรเลข โทรศัพท์ วิทยุ จากนั้น เมื่อเข้าสู่ยุคที่มีเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเข้ามา เกี่ยวข้อง การสื่อสารข้อมูลของมนุษย์มีการปรับเปลี่ยนเป็นสื่อที่เกี่ยวข้องกับอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เช่น บริการ IRC Internet Relay Cha!) โปรแกรมพูดคุย ( Chat programs) จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronicmail หรือ Email) และเว็บบอร์ด (Webboad) จวบจนถึงปัจจุบัน มนุษย์เริ่มมีการสื่อสารข้อมูลใน ชีวิตประจำวันถึงกันและกันด้วยการใช้สื่อสังคมออนไลน์ สื่อสังคมออนไลน์เป็นการสื่อสารข้อมูลของมนุษย์ประกอบไปด้วย ผู้ส่งสาร ข้อมูล และผู้รับสาร ซึ่งไม่ ว่าจะสื่อสารด้วยวิธีใด สิ่งที่ต้องการ คือ การที่ผู้รับสารได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และทันเวลา ในปัจจุบัน สังคมมีความซับซ้อนมากขึ้นรวมทั้งผู้คนมีการใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบการสื่อสารข้อมูลด้วยรูปแบบเก่าๆ อาจจะไม่ สามารถรองรับความต้องการการสื่อสารข้อมูลของมนุษย์ได้ สื่อสังคมออนไลน์เป็นหนึ่งในทางเลือกของการ สื่อสารข้อมูลในรูปแบบที่มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องที่มีรูปแบบการสื่อสารข้อมูลที่หลากหลาย เหมาะสำหรับผู้คนในโลกปัจจุบัน และโลกอนาคต ในปัจจุบันผู้คนเริ่มหันมาใช้สื่อสังคมออนไลน์แทนสื่อ แบบเดิมๆ กันมากขึ้น ในการสื่อสารข้อมูลถึงกันซึ่งในช่วงเริ่มแรก การใช้สื่อสังคมออนไลน์ มักใช้ในลักษณะ ของงานอดิเรกสื่อสารกันระหว่างตนเองกับคนรู้จักใกล้ตัว จากนั้นได้มีการขยาย การประยุกต์ใช้สู่ภาคธุรกิจซึ่ง ได้รับการตอบรับจากผู้คนอย่าง กว้างขวาง สาเหตุสำคัญที่ทำให้สื่อสังคมออนไลน์ ได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ มาจากการใช้งานที่ง่ายเข้าถึงกลุ่มคนได้รวดเร็วมีการแสดงความคิดเห็นไปมาและสื่อที่นำมาแบ่งปันมีลักษณะ หลากหลาย รวมทั้งการพัฒนาตลอดเวลาของเทคโนโลยีการ สื่อสารและอินเทอร์เน็ต ทำให้มีแนวโน้มค่อนข้าง ชัดเจนว่าสื่อสังคมออนไลน์ จะเป็นสื่อหลักของผู้คนในโลกอนาคตอย่างแท้จริง ปัจจุบันมีการนำสื่อสังคมออนไลน์มาประยุกต์ใช้เพื่องานด้านการศึกษาทุกระดับอย่างแพร่หลายเพื่อ อำนวยความสะดวกเกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ตลอดเวลา อย่างไร้ขีดจำกัดทั้งในเรื่องเวลาและสถานที่มุ่งให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และฝึกปฏิบัติทักษะได้ด้วยตนเอง ประกอบกับสถานการณ์ปัจจุบันเป็นตัวเร่งในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้มากขึ้น การพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อ รองรับการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ของหน่วยงานรวมถึงการผลิตสื่อการสอนออนไลน์ต่าง ๆ โดยจัดการ เรียนการสอนออนไลน์ผ่านโปรแกรมที่นิยมในปัจจุบันเช่น Microsoftteam, Zoom และ Google Meet เป็น


2 ต้น ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สำนักเทคโนโลยีเพื่อการ เรียนการสอน (สพฐ.) ดำเนินการจัดอบรมเพื่อกระตุ้นให้พัฒนาศักยภาพและส่งเสริมการใช้ social media ใน การจัดการเรียนรู้สื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทต่อการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตาม อัธยาศัย แต่มิได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการจัดการเรียนการสอนของครู ซึ่งการนำมาใช้มีข้อดีและข้อเสีย ดังนั้น ครู จะต้องนำคุณสมบัติต่าง ๆ ของสื่อสังคมออนไลน์ไปปรับใช้กับการเรี่ยนการสอนด้วยตนเอง โดยปัจจุบันนักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง มีการใช้สื่อสังคม ออนไลน์หลากหลายประเภทเพื่อมาประยุกต์ใช้ในการสื่อสาร ค้นคว้าหาข้อมูล และปรับใช้กับการเรียนการ สอนหรือนำเสนอในรูปแบบต่างๆ เช่น Microsoftteam , Zoom , GoogleMeet ซึ่งทำให้เกิดการเรียนการ สอนในรูปแบบที่ทันสมัยมากขึ้น เนื้อหามีความน่าสนใจ และสะดวกต่อการสื่อสารในรูปแบบออนไลน์ ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาเรื่องการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ซึ่งจะทำให้ทราบถึงปัจจัยปัญหา และการแก้ไขในด้านต่างๆ ที่มีผลต่อการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษาสาขารัฐ ประศาสนศาสตร์ ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.2.1. เพื่อให้ศึกษาถึงการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 1.2.2 เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคลมีผลต่อการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขา รัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 1.2.3 เพื่อเสนอแนวทางการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ในการ ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสน ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 1.3 ขอบเขตและข้อจำกัดของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยสนใจศึกษาการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตในการวิจัยไว้ 3 ด้าน ขอบเขตด้านเนื้อหา ขอบเขตด้านประชากร และขอบเขตด้ายระยะเวลา 1.3.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของ นักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง


3 1.3.2. ขอบเขตประชากร ประชากรที่ใช้ในการศึกษาวิจัย คือ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ระดับชั้นปีที่ 1 ถึงระดับชั้นปีที่ 4 สาขารัฐประศาสนศาสตร์ จำนวน 246 คน 1.3.3 ช่วงเวลาที่ใช้ในการศึกษารวบรวมและดำเนินการเก็บข้อมูลในช่วงเดือนธันวาคม 2565-มีนาคม2566 ปี การศึกษา 2/2565 และมีการประมวลผลการวิเคราะห์ข้อมูลในช่วงเดือนมีนาคม 2566 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย 1.5.1 ทราบถึงการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา ของนักศึกษาสาขารัฐประศาสน ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 1.5.2 ทราบถึงแรงจูงใจและความต้องการในการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา ของ นักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 1.5.3 ทราบถึงสภาพปัญหาเเละอุปสรรคที่มีผลต่อการในการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของ นักศึกษา ของนักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง นิยามศัพท์เฉพาะในการวิจัย 1. เครือข่ายสังคมออนไลน์หมายถึง สังคมหรือการรวมตัวกันสร้างความสัมพันธ์ของกลุ่มคน ในรูปแบบหนึ่ง ผู้คนสามารถท าความรู้จัก แลกเปลี่ยนความคิดเห็น แบ่งปันเรื่องราวประสบการณ์ หรือกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน รวมไปถึงมีการโต้ตอบ แชท ส่งข้อความ วีดีโอ เพลง อับโหลดรูป และอื่น ๆ ผ่านการเชื่อมโยงกับ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ได้แก่เฟซบุ๊ก (Facebook), ไลน์ (Line), ทวิตเตอร์ (Twitter), ยูทูบ (Youtube) และอิน สตราแกรม (Instragram) 2.จำนวนเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ใช้ หมายถึง จำนวนการใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ประเภท เฟซบุ๊ก (Facebook), ไลน์ (Line), ทวิตเตอร์(Twitter),ยูทูบ (Youtube) หรืออินสตราแกรม (Instragram) 3. มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง หมายถึง สถาบันทางการศึกษาที่มีการจัดการเรียนการสอนและการ ฝึกสอนภายใต้การดูแลของอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐบาลที่เปิดทำ การเรียนการสอนในระดับปริญญาตรี- ระดับปริญญาเอก ปัจจุบันอยู่ในการดูแลของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม 4.นักศึกษา หมายถึง นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ตั้งแต่ระดับชั้นปีที่ 1 -4 5.ปัจจัยส่วนบุคคล หมายถึง คุณลักษณะส่วนตัวของกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย เพศ อายุ ชั้นปีที่ศึกษา คณะ


4 บทที่2 แนวคิดทฤษฎี เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาวิจัยเรื่อง “การใช้สื่อสังคอมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสน ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง” มีสาระสำคัญดังนี้ 2.1. แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวกับเครือข่ายสังคมออนไลน์ 2.2. เป็นงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.3. เป็นกรอบแนวคิดในการวิจัย 2.4. นิยามศัพท์ปฏิบัติการในการวิจัย 2.1. แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวกับเครือข่ายสังคมออนไลน์ 2.1.1. เครือข่ายสังคมออนไลน์ : Social Network เครือข่ายสังคมออนไลน์(Social networks) คือ เว็บไซต์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้คน สามารถการสื่อสารและแบ่งปันข้อมูล บนอินเทอร์เน็ตโดยใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ (เคมบริดจ์, 2560) เครือข่ายสังคมออนไลน์(Social network) คือ รูปแบบของเว็บไซต์ ในการสร้างเครือข่ายสังคม สำหรับผู้ใช้งานในอินเทอร์เน็ต เขียนและอธิบายความสนใจ และกิจการที่ได้ทำ และเชื่อมโยงกับความสนใจ และกิจกรรมของผู้อื่น ในบริการเครือข่ายสังคมมักจะประกอบไปด้วย การแชท ส่งข้อความ ส่งอีเมล วิดีโอ เพลง อัปโหลดรูป บล็อก การทำงานคือ คอมพิวเตอร์เก็บข้อมูลพวกนี้ไว้ในรูปฐานข้อมูล sql ส่วน video หรือ รูปภาพ อาจเก็บเป็น ไฟล์ก็ได้ บริการเครือข่ายสังคมที่เป็นที่นิยมได้แก่ ไฮไฟฟ์ มายสเปซ เฟซบุ๊ก มัลติพลาย โดยเว็บเหล่านี้มีผู้ใช้มากมาย เช่น เฟสบุ๊คเป็นเว็บไซต์ที่คนไทยใช้มากที่สุด ปัจจุบัน บริการเครือข่ายสังคม มี ผลประโยชน์คือหาเงินจากการโฆษณา การเล่นเกมโดยใช้บัตรเติมเงิน (วิกิพีเดีย,2560) โดยสรุป เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social network) หมายถึง เว็บไซต์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ ช่วยให้คนสมารถสร้างเครือข่ายสังคม สำหรับผู้ใช้งานในอินเทอร์เน็ต เพื่อใช้ในการสื่อสารแบ่งปันข้อมูล เขียน และอธิบายความสนใจ และกิจการที่ได้ทำ และเชื่อมโยงกับความสนใจและกิจกรรมของผู้อื่น เช่น facebook 2.1.2. ประเภทของสื่อสังคมออนไลน์ สื่อสังคมออนไลน์มีหลายรูปแบบ ทั้งประเภทเครื่องมือ และการประยุกต์ใช้งานที่หลากหลาย ซึ่ง อาจแบ่งได้ดังนี้ (Williamson, Andy 2013: 9) (1) เครือข่ายสังคม (Social networking site) เป็นเว็บไซต์ที่บุคคลหรือ หน่วยงานสามารถสร้าง ข้อมูล และเปลี่ยนข้อมูล (สถานะของตน) เผยแพร่รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว โดยที่บุคคลอื่น


5 สามารถเข้ามาแสดงความชอบ หรือส่งต่อ หรือเผยแพร่ หรือ แสดงความเห็น โต้ตอบการ สนทนา หรือแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ เช่น Facebook, Badoo, Google+ (2) ไมโครบล็อก (Micro-blog) เป็นเว็บไซต์ที่ใช้เผยแพร่ข้อมูล หรือข้อความสั้น ในเรื่องที่สนใจ เฉพาะด้าน รวมทั้งสามารถใช้เครื่องหมาย # (hashtag) เพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มคนที่มีความสนใจใน เรื่องเดียวกันได้ เช่น Twitter, Blauk, Weibo, Tout, Tumblr (3) เว็บไซต์ที่ให้บริการแบ่งปันสื่อออนไลน์ (Video and photo sharing website) เป็นเว็บไซต์ที่ให้ ผู้ใช้สามารถฝาก หรือนําสื่อข้อมูล รูปภาพ วีดีโอ ขึ้นเว็บไซต์เพื่อแบ่งปัน แก่ผู้อื่น เช่น Flicker, Vimero, Youtube, Instagram, Pinteres (4) บล็อก ส่วนบุคคลและองค์กร (Personal and corporate blogs) เป็นเว็บไซต์ที่ผู้เขียนบันทึก เรื่องราวต่าง ๆ เสมือนเป็นบันทึกไดอารีออนไลน์สามารถเขียนในลักษณะไม่เป็นทางการ และ แก้ไขได้บ่อย ซึ่งบล็อกสามารถใช้ได้ทั้งส่วนบุคคล และกลุ่ม หรือองค์กร เช่น Blogger, WordPress, Bloggang, Exteen (5) บล็อกที่มีสื่อสิ่งพิมพ์เป็นเจ้าของเว็บไซต์ (Blogs hosted by media outlet)เป็นเว็บไซต์ที่ใช้ใน การนำเสนอข่าวสารของสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งมีความเป็นทางการน้อยกว่าสื่อสิ่งพิมพ์แต่มีรูปแบบ และ ความเป็นทางการมากกว่าบล็อก เช่น theguardian.com เจ้าของคือ หนังสือพิมพ์ The Gardian (6) วิกิและพื้นที่สาธารณะของกลุ่ม (Wikis and online collaborative space)เป็นเว็บไซต์ที่เป็น พื้นที่สาธารณะ ออนไลน์เพื่อรวบรวมข้อมูล และเอกสาร เช่น Wikipedia, Wikia (7) กลุ่มหรือพื้นที่แสดงความคิดเห็น (Forums, discussion board and group) เป็นเว็บไซด์หรือ กลุ่มจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการแสดงความเห็นหรือเสนอแนะ มีทั้งที่ เป็นกลุ่มส่วนตัวและ สาธารณะ เช่น Google Groups, Yahoo Groups, Pantip (8) เกมส์ออนไลน์ที่มีผู้เล่นหลายคน (Online multiplayer gaming platform) เป็นเว็บไซด์ที่เสนอ รูปแบบการเล่นเกมส์ออนไลน์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สามารถเล่นได้คน เดียวหรือเป็นกลุ่ม เช่น Second life, World of Warcraft (9) ข้อความสั้น (Instant messaging) การรับส่งข้อความสั้นจากมือถือ เช่น SMS (text messaging) (10) การแสดงตนว่าอยู่ ณ สถานที่ใด (Geo-spatial tagging) เป็นการแสดงตําแหน่งที่อยู่ พร้อม ความเห็นและรูปภาพ ในสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook, Foursquare สื่อสังคมออนไลน์บางสื่อมีความสามารถและให้บริการการใช้มากกว่าหนึ่งอย่าง เช่น Facebook เป็นทั้งเครือข่ายสังคมออนไลน์และสามารถแบ่งปันรูปภาพ ภาพเคลื่อนไหวด้วย และแสดง ตำแหน่งที่ตั้ง หรือ Twitter ที่เป็นทั้งเครือข่ายสังคมออนไลน์และไมโครบล็อกและการแบ่งปัน สถานะ เป็นต้น


6 2.1.3. อุปกรณ์เครื่องมือทางสื่อสังคมออนไลน์ คอมพิวเตอร์ คือ เครื่องคำนวณ อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานคำนวณผลและเปรียบเทียบค่าตาม ชุดคำสั่งด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องและอัตโนมัติ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ได้ให้คำ จำกัดความของคอมพิวเตอร์ไว้ค่อนข้างกะทัดรัดว่า เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือนสมอง กล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์ หรืออาจกล่าวได้ว่า เครื่อง คอมพิวเตอร์หมายถึง เครื่องมือที่ช่วยในการคำนวณและการประมวลผลข้อมูล สมาร์ทโฟน (SmartPhone) คือ โทรศัพท์มือถือที่นอกเหนือจากใช้โทรออก-รับสายแล้วยังมี แอพพลิเคชั่นให้ใช้งานมากมาย สามารถรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่าน 3G, Wi-Fi และสามารถใช้งาน โซเชียลเน็ตเวิร์คและแอพพลิเคชั่นสนทนาชั้นนำ เช่น LINE, Youtube, Facebook, Twitter ฯลฯ โดยที่ผู้ใช้ สามารถปรับแต่งลูกเล่นการใช้งานสมาร์ทโฟนให้ตรงกับความต้องการได้มากกว่ามือถือธรรมดา ผู้ผลิตสมาร์ท โฟนรุ่นใหม่ๆ นิยมผลิตสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอระบบสัมผัส, ใส่กล้องถ่ายรูปที่มีความละเอียดสูง, ออกแบบดีไซน์ ให้สวยงามทันสมัย, มีแอพพลิเคชั่นและลูกเล่นที่น่าสนใจ แท็บเล็ต (Tablet) คือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีหน้าจอระบบสัมผัสขนาดใหญ่ มีขนาดหน้าจอ ตั้งแต่ 7 นิ้วขึ้นไป พกพาได้สะดวก สามารถใช้งานหน้าจอผ่านการสัมผัสผ่านปลายนิ้วได้โดยตรง มี แอพพลิเคชั่นมากมายให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะรับ-ส่งอีเมล์, เล่นอินเทอร์เน็ต, ดูหนัง, ฟังเพลง, เล่นเกม หรือ แม้กระทั่งใช้ทำงานเอกสารออฟฟิต ข้อดีของแท็บเล็ต คือมีหน้าจอที่กว้าง ทำให้มีพื้นที่การใช้งานเยอะ มี น้ำหนักเบา พกพาได้สะดวกกว่าโน๊ตบุ๊คหรือ คอมพิวเตอร์ สามารถจดบันทึกหรือใช้เป็นอุปกรณ์เพื่อการศึกษา ได้เป็นอย่างดี 2.1.4. การประยุกต์ใช้สื่อสังคมออนไลน์ ปัจจุบันมีการประยุกต์ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในงานด้านต่างๆอย่างแพร่หลาย โดยมีตัวอย่างการ ประยุกต์ใช้ ดังนี้ จุลมณีสุระโยธิน (2554,148:160) ในการศึกษา ผลของการจัดการเรียนรู้ร่วมกันทางอินเทอร์เน็ตด้วย การเขียนสะท้อนคิดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่มีต่อทักษะทางสังคมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้ทำ การประยุกต์ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในฐานะเครื่องมือในการจัดเก็บข้อมูล ทั้งแบบประเมินทางสังคม แบบสอบถามความคิดเห็น และแบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ ธนิพร จุลศักดิ์ (2555) ได้ศึกษาการเผยแพร่ธรรมะผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี พบว่า รูปแบบของการเผยแพร่ธรรมะผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ของพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธีนั้น มีการใช้ เฟสบุ๊ค แฟนเพจ (Facebook Fan Page) โดยมีการใช้มัลติมีเดียอย่างสมบูรณ์ทุกรูปแบบ โดยเป็นการกระจายไปยัง เมนูต่างๆอย่างครบถ้วน โดยมีการใช้ข้อความตัวอักษร มากที่สุด รองลงมาคือการใช้รูปภาพ วิดีโอ ลิงค์ดาวน์ โหลด และการใช้เสียง และยังพบว่าแต่ละเมนูมีการนำเสนอมัลติมีเดียมากกว่า 1 ชนิด ซึ่งเป๋นการผสมผสาน เพื่อให้เกิดความน่าสนใจ และดึงดูดกลุ่มผู้ใช้ให้เข้าไปใช้งาน วิลเลี่ยมสัน (2556) ได้นำเสนอการประยุกต์ใช้สื่อสังคมออนไลน์ ในการดำเนินการของรัฐสภา ดังนี้


7 (1) ใช้เพื่อการให้ข้อมูล เพื่อให้ข้อมูลพื้นฐานและแหล่งข้อมูลต่าง ๆ แก่สาธารณชน รวมถึงการ แลกเปลี่ยนและการส่งเสริมประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกี่ยวกับกิจการของรัฐสภา เช่น การดำเนินการ เกี่ยวกับกระบวนการตรากฎหมาย การติดตามกระทู้ถาม การประชุมกรรมาธิการกิจการพิเศษ การเยี่ยมชมรัฐสภา และรายงานการศึกษาที่น่าสนใจ (2) ใช้เพื่อให้ความรู้ เป็นแหล่งในการค้นคว้า ติดตาม เอกสารประกอบการอบรม และแหล่งข้อมูล ต่าง ๆ ของครูอาจารย์และนักเรียน รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับรายงานการศึกษาของรัฐสภา บทความ เอกสารต่าง ๆ ของรัฐสภา (3) ใช้เพื่อการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ เพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรต่าง ๆ เพื่อเป็นช่องทางสาธารณะสำหรับการติดต่อกับรัฐสภา (4) ใช้ในการสร้างความร่วมมือ และติดต่อกับประชาชน เป็นช่องทางที่ได้ผลดีในการให้ข้อมูล และ ติดต่อกับประชาชน การส่งความคิดเห็น และสร้างความสนใจต่อกระบวนการนิติบัญญัติรวมถึง การให้คำปรึกษาโดยตรงแก่สาธารณะ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนิติบัญญัตินโยบาย และ กลยุทธ์ในการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการนิติบัญญัติ คเชนทร์กองพิลา (2558 ) ได้นำเสนอการประยุกต์ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการเรียนการสอนเป็นการ นำแหล่งข้อมูล ภาพ เสียง และปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในเครือข่ายสังคมมาเป็นสื่อ เครื่องมือ และใช้แหล่ง ความรู้ที่หลากหลายบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นสื่อกลางหรือช่องทางในการเรียนการสอนส่งผลให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายตามความสนใจ ทำให้การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ แต่ในปัจจุบันสื่อสังคม ออนไลน์มีจำนวนมากมาย ดังนั้น เมื่อจะนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนจะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบ ของสื่อสังคมออนไลน์มาเป็นกรอบในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ดังนี้ (1) การร่วมมือ (Collaboration) เป็นการแบ่งกลุ่มผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อยตามประเด็นหัวข้อที่ นักเรียนสนใจ มีการกำหนดบทบาท หน้าที่และความรับผิดชอบ โดยสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ต้องร่วมมือกันในการเรียนรู้หรือทำกิจกรรมโดยใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นเครื่องมือ เช่น Group (กลุ่มร่วมมือกันเรียนรู้ตามหัวข้อที่นักเรียนสนใจ) และ Member (การเป็นสมาชิกใน กลุ่ม) (2) การสื่อสาร (Communication) เป็นการใช้ช่องทางของสื่อสังคมออนไลน์ในการติดต่อสื่อสาร พูดคุย แลกเปลี่ยน สอบถาม ติดตาม แสดงความคิดเห็นเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ในสถานที่ และเวลาที่แตกต่างกัน เครื่องมือสื่อสารควรเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการและสภาพ การใช้งานของผู้เรียนและสอดคล้องกับลักษณะกิจกรรม เช่น Facebook จดหมาย อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) กระดานสนทนา (WebBoard) การพูดคุย(Chat) (3) บริบททางสังคม (Social Context) เป็นองค์ประกอบด้านสภาพแวดล้อม ความสัมพันธ์ ช่องทาง สถานที่ เวลา และสถานการณ์หรือเรื่องราวที่กำหนดให้ผู้เรียนเข้าไปร่วมทำกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้พื้นที่ของสื่อสังคมออนไลน์ที่มีระบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นโดย


8 สมาชิกทุกคนในห้องต้องเข้าร่วมกลุ่มจึงจะสามารถทำกิจกรรมได้ และมีการเชื่อมโยงเพื่อการ สื่อสารกับกลุ่มในเฟสบุ๊ค (Facebook) (4) เทคโนโลยี (Technologies) เป็นการจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้หรือสิ่งอำนวยความสะดวก โดยอาศัยเทคโนโลยีเครือข่ายในรูปแบบของสื่อสังคมออนไลน์ เป็นสื่อกลางในการ ติดต่อสื่อสารเพื่อเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้ การสื่อสารในลักษณะของการโต้ตอบ เช่น Facebook , Blog , YouTube , E-mail (Disscusion , Web Board , Chat , Comment , Reply) แบบทดสอบออนไลน์ รวมถึงการเชื่อมโยงไปยังแหล่งทรัพยากรสารสนเทศ อื่นๆ (5) การแบ่งปัน (Sharing) หรือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นกระบวนการสำคัญในการจัดการ ความรู้ ข้อมูล แหล่งข้อมูล ภาพ เสียง เนื้อหาผ่านสื่อสังคมออนไลน์เพื่อแบ่งปันให้กับสมาชิก ในกลุ่มโครงงานและในเครือข่าย เช่น การแบ่งปันโดยใช้ Google Drive , Google Docs , Google Forms , Google Sheets , Google Presentation อื่นๆ (6) ความสัมพันธ์ (Connections) โดยการให้สมาชิกทุกคนได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมทั้งใน ส่วนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันทั้งภายในกลุ่ม ระหว่างกลุ่มทุกคนอย่าง สม่ำเสมอ โดยกิจกรรมจะมุ่งเน้นการนำความรู้มาแลกเปลี่ยนกัน ร่วมแสดงความคิดเห็น รวมถึงการตั้งประเด็นการศึกษา คำถาม วัตถุประสงค์และหัวข้อนั้นๆ เช่น Group (กลุ่มตาม หัวข้อโครงงานของนักเรียนแต่ละกลุ่ม และกลุ่มแต่ละห้องเรียน) (7) การใช้เครื่องมือร่วมกันสร้างเนื้อหา (Content co-creation Tools) โดยการที่สมาชิกใน กลุ่ม นอกกลุ่มและในเครือข่ายมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ (Co-Creation) และนำเสนอ ข้อมูลเนื้อหา (Content) แสดงความคิดเห็นด้วยการโพสต์คอมเม้นต์ โต้ตอบกันได้อย่าง อิสระ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยนักเรียนจะเป็นทั้งผู้รับและผู้ให้ เช่น การแบ่งปัน (Sharing) การแสดงความคิดเห็น(Comment) การโต้ตอบ (Reply) การนำเสนอ (YouTube) การทำแผนที่ความคิด (Mind Map) โดยสรุป การประยุกต์ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในปัจจุบันนั้น มีการประยุกต์ใช้ในหลายรูปแบบทั้ง ใช้เป็น เครื่องมือในการจัดเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิจัย ใช้เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ แบ่งปันข้อมูลข่าวสาร ใช้เป็น เครื่องมือในการติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยงานของรัฐกับประชาชน และใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการเรียน การสอน ทั้งในรูปแบบของสื่อการสอน แหล่งข้อมูลการเรียนรู้ และสภาพแวดล้อมการเรียนรู้รวมไปถึงการ สืบค้นข้อมูลต่างๆในสื่อออนไลน์ ซึ่งรวบรวมแหล่งความรู้ไว้ในแต่ละเว็บไซต์ที่ให้ความรู้ในการสืบค้นได้อย่าง ครบถ้วน 2.2. เป็นงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นายจักรกริช ปิยะ :2557 ได้ศึกษาเรื่อง การศึกษาการใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social media) เพื่อการ บริหารงานก่อสร้างกรณีศึกษา ห้างหุ้นส่วนจำกัด เทคโนบิวเดอร์ (2001) ด้านการสื่อสารแบบทางเดียว (การ


9 สั่งงาน, การรายงานความคืบหน้า, การแจ้งข่าวสาร)การสื่อสารแบบทางเดียว โดยใช้สื่อออนไลน์ Facebook มีความรวดเร็วและสามารถตรวจสอบได้ว่าผลการส่งสาร ผู้รับสารได้รับข่าวสารหรือไม่ อีกทั้งยังมีโอกาสแสดง ความคิดเห็นส่งผลต่อการท างานให้ดีขึ้น การเปิดโอกาสให้ทีมงานได้แสดงความคิดเห็นต่องาน เป็นส่วนหนึ่งที่ ส่งผลให้การทำงานออกมามีประสิทธิภาพ เพราะทีมงานทุกคนได้มีส่วนร่วมในการแสดงออกกับงานนั้นๆ โสภณ พินิจกิจเจริญกุล และ ปณิธาร บัวเผื่อน : 2560 ได้ศึกษาเรื่อง พฤติกรรมการใช้สื่อสังคม ออนไลน์ของบุคลากรในการเข้าถึงสารสนเทศของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม นการท าวิจัยเรื่อง พฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของบุคลากรในการเข้าถึงสารสนเทศของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จากบุคลากรสายวิชาการ สายสนับสนุน และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จำนวน 230 คน สามารถสรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ 1. บุคลากรมีพฤติกรรมการใช้สื่อสังคอมออนไลน์ในการเข้าถึงสารสนเทศทั่วๆไปหลายช่องทาง โดย ส่วนใหญ่ใช้ Facebook เป็นสื่อในการเข้าถึงสารสนเทศ คิดเป็นร้อยละ 54.42 และส่วนใหญ่มี ประสบการณ์การใช้สื่อสังคมออนไลน์ มากกว่า 4 ปี คิดเป็นร้อยละ 80.44 2. บุคลากรมีพฤติกรรมการใช้สื่อสังคอมออนไลน์ในการเข้าถึงสารสนเทศมหาวิทยาลัยฯ ทาง Facebook มีจำนวนมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 78.17 3. บุคลากรส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ออนไลน์ในการเข้าถึงสารสนเทศ คิดเป็น ร้อยละ 77.83 4. เมื่อสอบถามเรื่องการจัดอบรมการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ บุคลากรส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่าควรมี การจัดอบรมการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ คิดเป็นร้อยละ 74.78 จันจิรา แก้วขวัญ : 2561 ได้ศึกษาเรื่อง พฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างเหมาะสมของ นักเรียนมัธยมศึกษา ผลการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง พบว่านักเรียนส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 263 คน คิดเป็นร้อยละ 68.7 ระดับชั้นส่วนใหญ่ เป็น นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 218 คน คิดเป็นร้อยละ 56.9 การพักอาศัยส่วนใหญ่ อาศัยอยู่กับพ่อแม่ จำนวน 285 คน คิดเป็นร้อยละ 74.4 ค่าใช้จ่ายที่นักเรียนได้รับในแต่ละเดือน พบว่าส่วนใหญ่ได้รับค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ 3,000-5,000 บาท จำนวน 216 คน คิดเป็นร้อยละ 56.4 จำนวนเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ใช้ พบว่า ส่วนใหญ่ ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ 4-5 เครือข่าย จำนวน 225 คน คิดเป็นร้อยละ 58.7


10 2.3. กรอบแนวคิดในการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยใช้กรอบแนวคิดเทคโนโลยีสารสนเทศสนับสนุนการจัดการความรู้ (สัญญา เคณาภูมิ, 2558) โดยกำ หนดสถานภาพทั่วไปของประชากร และการใช้สื่อสังคม ออนไลน์เพื่อส่งเสริมการ เรียนรู้ของนักศึกษาเป็นตัวแปรต้น และ ปัจจัยเอื้อต่อการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของ นักศึกษาเป็นตัวแปรตาม เพื่อนำ ไปสู่แนวทางการส่งเสริม การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสนับสนุนการจัดการ ความรู้ฯ ดังภาพที่ 1 ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ปัจจัยส่วนบุคคล - เพศ -อายุ - ชั้นปีที่ศึกษา - คณะ 1. การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อ ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา 2. ปัจจัยเอื้อต่อการใช้สื่อ สังคม ออนไลน์ เพื่อส่งเสริม การเรียนรู้ของ นักศึกษา แนวทางการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของ นักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ หมู่บ้านจอมบึง


11 2.4 นิยามศัพท์เฉพาะ ปัจจัยส่วนบุคคล หมายถึง คุณลักษณะส่วนตัวของกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย เพศ ชั้นปีที่ศึกษา คณะ ปัจจัยด้านการรับรู้และทัศนคติ อาชีพ รายได้ ลักษณะปัจจัยส่วนบุคคลที่เป็นลักษณะที่สำคัญ เพศ หมายถึง เพศสภาพ ชาย หญิง และเพศที่สามของนักศึกษาที่บ่งบอกถึงตัวตนของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ชั้นปีที่ศึกษา หมายถึง ข้อมูลระดับชั้นปีที่นักศึกษากำลังศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง คณะ หมายถึง ข้อมูลนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สื่อสังคมออนไลน์หมายถึง สื่อที่ผู้ส่งสารหรือแบ่งสาร ซึ่งอยู่ในรูปแบบต่างๆ ไปยังผู้รับสารผ่าน เครือข่ายออนไลน์ โดยสามารถตอบโต้กันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร หรือผู้รับสารด้วยกันเอง แนวทางการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของนักศึกษา หมายถึง ทางเลือกที่นักศึกษาจะใช้สื่อสังคมออนไลน์ ในการศึกษาค้นคว้า ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้


12 บทที่3 การศึกษาวิจัยเรื่อง การใช้สื่อสังคมออนไลน์ การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขา รัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงเป็นการศึกษาวิจัยเชิงผสมโดยใช้ข้อมูลทั้ง เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ซึ่งผู้วิจัยมีวิธีดําเนินการวิจัยดังมีรายละเอียด ต่อไปนี้ 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.3 การสร้างเครื่องมือและการตรวจสภาพเครื่องมือ 3.4 การศึกษาคุณภาพของเครื่องมือการวิจัย 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.6 การจัดทําและการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.1.1 การวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ นักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ตั้งแต่ระดับชั้นปีที่ 1 ถึงระดับชั้นปีที่ 4 จํานวน 246 คน (สำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง, 2565) ซึ่งผู้วิจัยได้กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ ทาโร่ ยามาเน่ (Taro yamane) ได้ระดับความเชื่อมั่น 95% โดยเกิดความคาดเคลื่อนได้ไม่เกิน 5 % ซึ่งจะได้กลุ่ม ตัวอย่าง คน ดังนี้ สูตร = 1+ⅇ 2 เมื่อ n = จำนวนกลุ่มตัวอย่างที่จะต้องทำการสุ่ม N = จำนวนประชากรทั้งหมด


13 e = ค่าความคลาดเคลื่อนของการสุ่มตัวอย่าง แทนค่าสูตรได้ดังนี้ = 246 1+246(0.5) 2 n = 157 ดังนั้น กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ คือ 157 คน 3.1.2 การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการสัมภาษณ์เชิงลึก (in-depth interview) สำหรับการเก็บข้อมูลได้เก็บข้อมูล จากนักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญา ตรี ภาคปกติ ชั้นปีที่1-4 จำนวน 8 คน ชั้นปีละ 2 คน 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ในการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงผสมโดยใช้ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพซึ่งได้ ประยุกต์มาจากการทบทวนวรรณกรรมแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 3.2.1 การวิจัยเชิงปริมาณ ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามข้อมูลลักษณะส่วนตัวของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ อายุชั้นปีที่ศึกษา ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ของนักศึกษา สาขารัฐ ประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงลักษณะเป็นคําถามปลายปิดแบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale) ตามแบบของลิเคอร์ท (Likert Scale) 5 ระดับคือ 5 หมายถึง ระดับมากที่สุด 4 หมายถึง ระดับมาก 3 หมายถึง ระดับปานกลาง 2 หมายถึง ระดับน้อย 1 หมายถึง ระดับปรับปรุง เกณฑ์ในการแปลผลคะแนนความหมายของค่าเฉลี่ยมีดังนี้ (สุจิตรา บุณยรัตพันธ์, 2542) 1.00-1.49 หมายถึง ประสิทธิภาพการเรียนออนไลน์อยู่ในระดับปรับปรุง 1.50-2.49 หมายถึง ประสิทธิภาพการเรียนออนไลน์อยู่ในระดับน้อย


14 2.50-3.49 หมายถึง ประสิทธิภาพการเรียนออนไลน์อยู่ในระดับปานกลาง 3.50-4.49 หมายถึง ประสิทธิภาพการเรียนออนไลน์อยู่ในระดับมาก 4.50-5.00 หมายถึง ประสิทธิภาพการเรียนออนไลน์อยู่ในระดับมากที่สุด ตอนที่ 3 เป็นคําถามเกี่ยวกับข้อคิดเห็น ปัญหา และข้อเสนอแนะในทางการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อ ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ มีลักษณะเป็นคําถามแบบ ปลายเปิดสําหรับให้ผู้ตอบแบบสอบถามเติมข้อเสนอแนะ เพื่อนําไปพัฒนาปรับปรุงการเรียนการสอนออนไลน์ ให้มีประสิทธิภาพต่อไป 3.2.2 การวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยคือแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง (Semi-Structured) เป็นลักษณะ ปลายเปิดและมีความยืดหยุ่น เพื่อนําไปใช้ในการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) ซึ่งจะมี ทั้งหมด 1 ชุด แนวคําถามในแบบสมภาษณ์ ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ถูกสัมภาษณ์ ส่วนที่ 2 ข้อเสนอแนะในเรื่องของการให้บริการ 3.3 การสร้างเครื่องมือ เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยสร้างตามกรอบที่จะศึกษาโดยมีขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ ตามลําดับ ดังนี้(ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2539) 1. ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกรอบที่จะศึกษาตามหลักการให้บริการของ สำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างเครื่องมือ 2. สร้างแบบสอบถามที่ใช้เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล โดยการพิจารณาประเด็นคําถามครอบคลุม วัตถุประสงค์ของการศึกษา 3. นําเครื่องมือที่สร้างขึ้นไปขอคําแนะนําจากอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบ แก้ไขปรับปรุงให้ ครอบคลุมและเหมาะสมกับกรอบที่จะศึกษามากที่สุด


15 4. แก้ไขปรับปรุงข้อบกพร่อง และให้ครอบคลุมตามแนวทางการสร้างเครื่องมือ 5. นําแบบสอบถามไปหาค่าความเชื่อมั่น 6. นําเครื่องมือที่ได้ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา 3.4 การศึกษาคุณภาพของเครื่องมือการวิจัย 1. การวิเคราะห์ค่าความสอดคล้องของแบบสอบถามใช้สถิติค่าเฉลี่ยจากคะแนนที่ได้จากผู้กรอก แบบสอบถาม 2. การวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับของแบบสอบถามแบบมาตรวัด 3 ระดับ ใช้การหาค่า สัมประสิทธิ์แอลฟา (Cronbach’s Alpha Coefficient) โดยนําแบบสอบถามไปทดสอบใช้(try out) กับกลุ่ม ตัวอย่างจํานวน 30 คน จากนั้นนําแบบสอบถามมาวิเคราะห์หาความเชื่อมั่นของแบบสอบถามโดยวิธีใช้การ ทดสอบค่าความเชื่อมั่นของครอนบาค (Cronbach, L. J., 1977; อ้างถึงในยุทธ มะลิรส, 2555:78) 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ดําเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั้นตอน ดังนี้ 3.5.1 การวิจัยเชิงปริมาณ 1. ผู้วิจัยประสานงานผ่านอาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการดําเนินการ วิจัยและรวบรวมข้อมูล 2. ทําการชี้แจงรายละเอียดในการเก็บรวบรวมข้อมูลแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ หมู่บ้านจอมบึง 3. ผู้วิจัยแจกแบบสอบถามให้กลุ่มตัวอย่างทุกคนด้วยตนเองโดยวิธีการสุ่มแบบตามสะดวกจํานวน 351 ชุด และนัดหมายการเก็บแบบสอบถามคืน 4. ผู้วิจัยติดตามเก็บแบบสอบถามคืนจากกลุ่มตัวอย่างให้ได้แบบสอบถามคืนมา จํานวน246ชุด 5. นําแบบสอบถามที่เก็บรวบรวมได้มาจัดกระทํา ตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วนของการตอบ แบบสอบถามแล้ว จึงนําไปทําการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ


16 3.5.2 การวิจัยเชิงคุณภาพ การรวบรวมข้อมูลใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกซึ่งได้กำหนดคำถามไว้อย่างกว้าง ๆ โดยการสังเคราะห์จาก ผลการวิจัยเชิงปริมาณเป็นแนวทางการกำหนดคำถามบูรณาการร่วมกับแนวคิดทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง กับกรอบแนวคิดการวิจัย จากนั้นได้ร่างชุดคำถามที่จะนำไปใช้ในการสัมภาษณ์ขอคำปรึกษาแนะนำจาก อาจารย์ที่ปรึกษาเกี่ยวกับรูปแบบชุดคำถามแบบสัมภาษณ์เชิงลึก และปรับแก้ไขข้อคำถามที่ใช้ในการสัมภาษณ์ ต่อจากนั้นผู้วิจัยได้นำชุดคำถามที่ใช้ในการสัมภาษณ์ไปใช้ในการเก็บข้อมูลโดยเจาะจงนักศึกษาสาขารัฐ ประศาสนศาตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง 3.6 การจัดทําและการวิเคราะห์ข้อมูล 3.6.1 การวิจัยเชิงปริมาณ ในการวิเคราะห์ข้อมูลครั้งนี้ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล โดยการนําคะแนนที่ได้จาก การทดสอบมาวิเคราะห์ทางสถิติดังนี้ 1. วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามโดยการหาค่าความถี่และร้อยละ 2. วิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่อการให้บริการ โดยการหาค่าเฉลี่ย ( ̅ ) และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เป็นรายด้าน และรายข้อ 3. วิเคราะห์ข้อมูลความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการให้บริการ โดยการหาค่าเฉลี่ย ( ̅ ) และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) เป็นรายด้าน และรายข้อ 4. วิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของนักศึกษาสาขารัฐประศาสน ศาตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง โดยการหาค่าเฉลี่ย ( ̅ ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เป็นรายด้าน และรายข้อ โดยการแปล ความหมายของคะแนน ค่า t-test และค่า F-test 5. วิเคราะห์ข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของนักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง โดยใช้ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (r) ใช้ เกณฑ์การแปลความหมาย (สุจิตรา บุณยรัตพันธ์, 2542) ดังนี้ 0.90 ขึ้นไป หมายถึง มีความสัมพันธ์กันสูงมาก 0.70 - 0.89 หมายถึง มีความสัมพันธ์กันสูง


17 0.50 - 0.69 หมายถึง มีความสัมพันธ์กันปานกลาง 0.30 - 0.49 หมายถึง มีความสัมพันธ์กันต่ำ ต่ำกว่า 0.30 หมายถึง มีความสัมพันธ์กันต่ำมาก 3.6.2 การวิจัยเชิงคุณภาพ หัวใจสำคัญยิ่งของการวิจัยเชิงคุณภาพเน้นการที่ตีความหมายจากการปรากฎการณ์และสัญลักษณ์ ตลอดจนเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยหลักการอุปนัยเป็นหลัก นั่นคือการให้เหตุผลโดยอาศัยข้อสังเกต หรือผลการทดลองจากหลายๆ ตัวอย่าง มาสรุปเป็นข้อตกลง หรือข้อคาดเดาทั่วไป หรือคำพยากรณ์ ซึ่งจะเห็น ว่าการจะนำเอาข้อสังเกต หรือผลการทดลองจากบางหน่วยมาสนับสนุนให้ได้ข้อตกลง หรือ ข้อความทั่วไปซึ่ง กินความถึงทุกหน่วย ย่อมไม่สมเหตุสมผล เพราะเป็นการอนุมานเกินสิ่งที่กำหนดให้ ซึ่งหมายความว่า การให้ เหตุผลแบบอุปนัยจะต้องมีกฎของความสมเหตุสมผลเฉพาะของตนเอง นั่นคือ จะต้องมีข้อสังเกต หรือผลการ ทดลอง หรือ มีประสบการณ์ที่มากมายพอที่จะปักใจเชื่อได้แต่ก็ยังไม่สามารถแน่ใจในผลสรุปได้เต็มที่ เหมือนกับการให้เหตุผลแบบนิรนัย ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการให้เหตุผลแบบนิรนัยจะให้ความแน่นอน แต่การให้ เหตุผลแบบอุปนัย จะให้ความน่าจะเป็น


18 แบบสอบถามการวิจัย เรื่องการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราช ภัฏหมู่บ้านจอมบึง คำชี้แจง แบบสอบถามนี้จัดทำขึ้นเพื่อสำรวจความคิดเห็น เรื่องการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของ นักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (1) เพื่อให้ศึกษาถึงการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคลมีผลต่อการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (3) เพื่อเสนอแนวทางการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ในการ ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสน ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป เพศ ( ) หญิง ( ) ชาย ( ) เพศทางเลือก อายุ ( ) ต่ำกว่า 18 ปี ( ) 19 ปี ( ) 20 ปี ( ) 21 ปี ( ) 22 ปี ( ) มากกว่า 22 ปี ชั้นปีที่ศึกษา


19 ( ) ปีที่1 ( ) ปีที่2 ( ) ปีที่3 ( ) ปีที่4 ตอนที่2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ข้อกำหนดต่อการให้คะแนนต่อระดับความเห็นต่อการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้วย วิธีการกำหนดเอง 5 หมายถึง ระดับมากที่สุด 4 หมายถึง ระดับมาก 3 หมายถึง ระดับปานกลาง 2 หมายถึง ระดับน้อย 1 หมายถึง ระดับปรับปรุง ปัจจัยการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ระดับความคิดเห็น / การยอมรับ จากการเรียนรู้ด้วยวิธีการกำหนดเอง (5) (4) (3) (2) (1) 1. นักศึกษาคิดว่าสื่อสังคมออนไลน์มี ความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของนักศึกษา มากหรือน้อยเพียงใด 2. นักศึกษาคิดว่าตนเองใช้สื่อออนไลน์เพื่อ ความบันเทิงในชีวิตประจำวันมากหรือน้อย เพียงใด 3. นักศึกษาคิดว่าตนเองใช้สื่อสังคมออนไลน์ เพื่อการศึกษามากหรือน้อยเพียงใด ปัจจัยการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ระดับความคิดเห็น / การยอมรับ จากการเรียนรู้ด้วยวิธีการกำหนดเอง (5) (4) (3) (2) (1) 4. นักศึกษาคิดว่าสามารถนำความรู้จากสื่อ สังคมออนไลน์มาปรับใช้กับการเรียนการ สอนมากหรือน้อยเพียงใด


20 5. นักศึกษาคิดว่าคิดว่าสื่อสังคมออนไลน์ที่ นำมาใช้ประกอบการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ มากหรือน้อยเพียงใด 6. นักศึกษามีความรู้เกี่ยวกับการใช้สื่อสังคม ออนไลน์ที่ถูกต้องมากหรือน้อยเพียงใด 7. การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการ เรียนรู้ของนักศึกษามีประโยชน์มากหรือ น้อยเพียงใด ตอนที่3 ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะในทางการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................


21 บทที่4 ผลวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่อง การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง ผู้วิจัยตั้งวัตถุประสงค์ไว้ 3 ประการ คือ (1) เพื่อให้ศึกษาถึงการใช้สื่อสังคม ออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคลมีผลต่อการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐ ประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (3) เพื่อเสนอแนวทางการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ในการ ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม/แบบสัมภาษณ์กับกลุ่มตัวอย่างวิจัยเชิง คุณภาพและกลุ่มตัวอย่างวิจัยเชิงปริมาณ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์และนำเสนอ เป็น ตอน ๆ เพื่อตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 4.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาน 4.1.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.1.2 การวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 4.1.3 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสน ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 4.1.4 การวิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคลมีผลต่อการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของ นักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 4.1.6 การวิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคลมีผลต่อความพึงพอใจต่อการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริม การเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 4.1.7 สรุปผลการวิจัยและทดสอบสมมติฐานของการวิจัย 4.2 ผลการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ 4.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาน 4.1.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันในการแปลความหมายข้อมูล จึงกำหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผล การวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ ̅ แทน ค่าเฉลี่ย S.D แทน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง


22 4.1.2 การวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ในการวิจัยเรื่องนี้กลุ่มตัวอย่างที่วิจัยคือ นักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอม บึง ซึ่งมีข้อมูลทั่วไปของ ผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ อายุ คณะ ระดับชั้นปี โดยใช้การวิเคราะห์โดยการแจกแจงค่าความถี่ (Frequency) และค่าร้อยละ (Percentage) แล้วนำเสนอในรูปตารางประกอบการบรรยายปรากฏดังตารางที่ ตารางที่ 4.1 การแสดงค่าความถี่ (Frequency) และค่าร้อยละ (Percentage) ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบ แบบสอบถาม เพศ จำนวน ร้อยละ ชาย 69 43.7 หญิง 89 56.3 เพศทางเลือก อายุ ต่ำกว่า 18 ปี 7 4.4 19 ปี 21 13.3 20 ปี 35 22.2 21 ปี 47 29.7 22 ปี 23 14.6 มากกว่า22 ปี 25 15.8 ชั้นปีที่ศึกษา ชั้นปีที่ 1 26 16.5 ชั้นปีที่ 2 26 16.5 ชั้นปีที่ 3 69 47.3 ชั้นปีที่ 4 37 23.4 จากตารางที่ 4.1 พบว่ากลุ่มตัวอย่างนักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาเพศหญิงเป็นส่วนใหญ่ คิดเป็นร้อยละ 56.3 ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา อายุ 21 ปี คิดเป็นร้อยละ 29.7 ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาชั้นปีที่3 คิดเป็นร้อยละ 47.3


23 4.1.3 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสน ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ใช้การวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (̅ ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) แล้วนำเสนอ ในรูปตารางประกอบการบรรยาย ดังตาราง 4.2 - 4.6 เพศ จำนวน ร้อยละ Valid Percent Cumulative Percent Valid หญิง 88 56.1 56.1 56.1 ชาย 59 37.6 37.6 93.6 เพศที่ 3 10 6.4 6.4 100.0 Total 157 100.0 100.0 จากตารางพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 56.1 อายุ จำนวน ร้อยละ Valid Percent Cumulative Percent Valid ต่ำกว่า 18 ปี 7 4.5 4.5 4.5 19 ปี 20 12.7 12.7 17.2 20 ปี 35 22.3 22.3 39.5 21 ปี 47 29.9 29.9 69.4 22 ปี 23 14.6 14.6 84.1 มากกว่า 22 ปี 25 15.9 15.9 100.0 Total 157 100.0 100.0 จากตารางพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อายุ21ปี คิดเป็นร้อยละ 84.1 ชั้นปี


24 จำนวน ร้อยละ Valid Percent Cumulative Percent Valid ชั้นปี่ที่ 1 25 15.9 15.9 15.9 ชั้นปีที่ 2 26 16.6 16.6 32.5 ชั้นปีที่ 3 69 43.9 43.9 76.4 ชั้นปีที่ 4 37 23.6 23.6 100.0 Total 157 100.0 100.0 จากตารางพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ศึกษาอยู่ชั้นปีที่3 คิดเป็นร้อยละ46.4 ̅ s.d. Descriptive Statistics N Minimum Maximum ̅ s.d. a1 157 2 5 3.92 .869 a2 157 2 5 3.89 .670 a3 157 2 5 3.88 .710 a4 157 2 5 4.00 .725 a5 157 1 5 3.94 .786 a6 157 1 5 3.85 .726 a7 157 2 5 3.87 .731 aa 0 Valid N (listwise) 0 ค่า F six เพศ เพศ a1 a2 a3 a4 a5 a6 a7 หญิง ̅ 4.09 3.97 4.00 4.07 4.01 3.93 4.02 N 88 88 88 88 88 88 88 s.d. .879 .596 .678 .724 .795 .691 .694


25 ชาย ̅ 3.76 3.83 3.75 3.98 3.93 3.80 3.73 N 59 59 59 59 59 59 59 s.d. .773 .723 .685 .656 .691 .738 .691 เพศที่ 3 ̅ 3.30 3.50 3.60 3.50 3.40 3.40 3.40 N 10 10 10 10 10 10 10 s.d. .949 .850 .966 .972 1.075 .843 .966 Total ̅ 3.92 3.89 3.88 4.00 3.94 3.85 3.87 N 157 157 157 157 157 157 157 s.d. .869 .670 .710 .725 .786 .726 .731 4.1.7 สรุปผลการวิจัยและทดสอบสมมติฐานของการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยการใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นเพศหญิงส่วนใหญ่ คิดเป็นร้อยละ 56.1 อายุ 21 ปี คิดเป็นร้อยละ 84.1 ชั้นปีที่3 คิดเป็นร้อยละ46.4 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ผู้วิจัยตั้งวัตถุประสงค์ไว้ 3 ประการ (1) เพื่อให้ศึกษาถึงการใช้สื่อสังคม ออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคลมีผลต่อการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐ ประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (3) เพื่อเสนอแนวทางการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ในการ ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม/แบบสัมภาษณ์กับกลุ่มตัวอย่างวิจัย เชิง คุณภาพและกลุ่มตัวอย่างวิจัยเชิงปริมาณ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์และนำเสนอ เป็น ตอน ๆ เพื่อตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 5.1 สรุปผลการวิจัย 5.2 อภิปรายผลการวิจัย


26 5.3 ข้อเสนอแนะจากการวิจัย 5.1 สรุปผลการวิจัย ผลการวิจัยเชิงปริมาณ 5.1.1 การวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม การตอบแบบสอบถามพบว่ากลุ่มตัวอย่างนักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ หมู่บ้านจอมบึงผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาเพศหญิงเป็นส่วนใหญ่กลุ่มอายุ 21 ปี อยู่ชั้นปีที่ 3 5.1.2 การวิเคราะห์ข้อมูลการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูลการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา พบว่าความคิดเห็น ส่วนมากในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในด้านของความบันเทิงมากที่สุด ควบคู่ไปกับการมีความรู้เกี่ยวกับการใช้ สื่อสังคมออนไลน์ที่ถูกต้องและเหมาะสม ต่อมาเป็นการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อการเรียนรู้อยู่ในระดับปาน กลาง และการนำสื่อสังคมออนไลน์มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันอยู่ในระดับน้อยที่สุด 5.1.3 การวิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคลมีผลต่อการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา ผู้วิจัยได้ตั้งสมมติฐานการวิจัยไว้ว่านักศึกษาที่ปัจจัยส่วนบุคคลมีผลต่อความพึงพอใจของนักศึกษาที่มี ต่อ การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราช ภัฏหมู่บ้านจอมบึงที่มีเพศ อายุ ระดับชั้นปีพบว่ามีความแตกต่างกัน หากพิจารณาเป็นรายด้านจะพบว่า เพศ พบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้งเพศชาย เพศหญิง และเพศทางเลือกมีความเห็นว่าการใช้สื่อสังคม ออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง แตกต่างกัน จำแนกตามเพศโดยภาพรวมกลุ่มตัวอย่างที่มีเพศที่แตกต่างกันมีความเห็นที่ไม่แตกต่างกัน ซึ่งไม่ เป็นไปตาม สมมติฐานที่ตั้งไว้ อายุพบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้งอายุต่ำกว่า 18 ปีอายุ 19 ปี อายุ 20 ปี อายุ 21 ปี อายุ 22 ปีและมากกว่า 22 ปี มีความเห็นว่าการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงแตกต่างกันจำแนกตามอายุโดยภาพรวมกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุที่แตกต่างกัน มีความเห็นที่ไม่แตกต่างกัน ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ชั้นปีพบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้งชั้นปีที่ 1 ชั้นปีที่ 2 ชั้นปีที่ 3 และชั้นปีที่ 4มีความเห็นว่าการใช้สื่อสังคม ออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง แตกต่างกันจำแนกตามอายุโดยภาพรวมกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุที่แตกต่างกันมีความเห็นที่ไม่แตกต่างกัน ซึ่งไม่ เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ผลการวิจัยเชิงคุณภาพ


27 สำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก การประชุม แลกเปลี่ยน ความคิดเห็นกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่เป็นตัวแทนกลุ่มนักศึกษา ในการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อ ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงที่มีผลต่อแนว ทางการนำสื่อออนไลน์มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันให้เกิดประโยชน์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในวัตถุประสงค์สำคัญ ของ การศึกษาครั้งนี้ทั้งนี้รายละเอียดผลการศึกษาปรากฏ ดังนี้ 1. ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับ การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง สรุปผลด้านความคิดเห็นการการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา การใช้สื่อสังคมออนไลน์มีความสำคัญเป็นอย่างมากในชีวิตประจำวัน เพราะมีการนำสื่อสังคมออนไลน์ มาประยุกต์ใช้ทั้งในด้านการเรียนรู้ทั้งภายในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ในด้านความบันเทิงต่างๆ เช่นการดู หนัง ฟังเพลง และเล่นเกม สื่อสังคมออนไลน์ที่ดีจะต้องมีความน่าเชื่อถือและถูกต้อง สื่อสังคมออนไลน์ยัง สามารถสืบค้นได้อย่างรวดเร็วตอบสนองความต้องการได้ดี ดังนั้น การใช้สื่อสังคมออนไลน์ให้ความรู้และใน ขณะเดียวกันควรใช้อย่างมีสติและรอบคอบ ในการหาความรู้ อ่านข่าวสาร หรือเพื่อความบันเทิงในด้านอื่นๆ เพราะสื่อในออนไลน์มีทั้งดีและโทษ หากใช้ผิดประเภทก็อาจจะส่งผลด้านลบให้กับตัวผู้ใช้ 5.2 อภิปรายผลการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูลการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง พบว่าความคิดเห็นในการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของ นักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงโดยรวมอยู่ในระดับมากและการ วิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยการใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นเพศหญิงส่วนใหญ่ คิดเป็นร้อยละ 56.1 อายุ 21ปี คิดเป็น ร้อยละ 84.1 ชั้นปีที่3 คิดเป็นร้อยละ46.4 5.3 ข้อเสนอแนะจากการวิจัย 5.3.1 ข้อเสนอแนะที่ได้จากการศึกษาวิจัย (1) ควรมีการตรวจสอบเนื้อหาของสื่อสังคมออนไลน์ให้มีความน่าเชื่อถือ และความถูกต้องเนื้อหา (2) ควรมีความรอบคอบและใช้สื่อสังคมออนไลน์ด้วยสติ (3) ควรนำสื่อออนไลน์มาประยุกต์ในทางสร้างสรรค์ 5.3.2 ข้อเสนอแนะในการศึกษาวิจัยครั้งต่อไป


28 (1) ควรมีการศึกษาประเมินผลที่ได้จากงานวิจัยการศึกษาการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการ เรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ที่ได้จาก การศึกษาเพื่อจะ เป็นประโยชน์ในการปรับปรุงและพัฒนาแนวทางต่อไป (2) ควรมีการศึกษาผลที่การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐ ประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง เพื่อจะได้นำผลที่ได้รับนั้นไปปรับปรุงแก้ไข (3) ควรมีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐ ประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ให้มีความ ครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งจะได้นำเอาข้อมูลที่ ได้รับนั้นไปปรับปรุงแก้ไขการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น


29 บรรณานุกรม


30 กนิษฐ์ทิพ ศรีสิมารัตน์. (2561). ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาบล็อกเกอร์ ด้านการท่องเที่ยวกับการรับรู้ของ ผู้ติดตามผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์. (การค้นคว้าอิสระหลักสูตรนิเทศศาสตรมหาบัณฑิต). ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยกรุงเทพ. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร. (2559). Smart social mediaรู้เท่าทัน สื่อสังคมออนไลน์. เข้าถึงได้จาก www.ops.go.th/main/index.php/knowledge-base/ictcbook/158smart- social-media กัลยา เขียวเปลื้อง. (2563). พฤติกรรมของประชาชนในการรับรู้เครือข่าย สื่อสังคมออนไลน์ของ สำนักงานประชาสัมพันธ์ จังหวัดกาญจนบุรี. วารสารบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราช ภัฏ จันทรเกษม, 16(2), 79-93. ภาคผนวก


31 ภาคผนวก ก แบบสอบถามการวิจัย


32 แบบสอบถาม การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง คำชี้แจง 1. แบบสอบถามนี้จัดทำขึ้นเพื่อทราบความคิดเห็นและแนวการศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อ การใช้สื่อสังคมออนไลน์ของนักศึกษาสาจารัฐประศาสนศาสตร์ หมาวิทยาลัยราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง กรุณาตอบตามความเป็นจริง และตอบให้ครบทุกข้อ คำตอบของท่านจะเป็นประโยชน์ในการ ศึกษาวิจัย เพื่อนำผลมาใช้ในการพัฒนาการให้บริการ ต่อไปให้ดียิ่งขึ้น 2. ข้อมูลที่ได้จากท่านจะได้รับการรักษาไว้เป็นความลับ ฉะนั้นแบบสอบถามทุกชุดจะไม่ระบุชื่อผู้ตอบ แบบสอบถาม และจะไม่ส่งผลต่อผู้ตอบแบบสอบถามแต่ประการใด การวิเคราะห์ข้อมูลและเสนอ ผลงานผู้ศึกษาจะทำในภาพรวม คณะผู้วิจัย นักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง


33 แบบสอบถามการวิจัย เรื่องการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราช ภัฏหมู่บ้านจอมบึง คำชี้แจง แบบสอบถามนี้จัดทำขึ้นเพื่อสำรวจความคิดเห็น เรื่องการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของ นักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (4) เพื่อให้ศึกษาถึงการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (5) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคลมีผลต่อการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (6) เพื่อเสนอแนวทางการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ในการ ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา สาขารัฐประศาสน ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป เพศ ( ) หญิง ( ) ชาย ( ) เพศทางเลือก อายุ ( ) ต่ำกว่า 18 ปี ( ) 19 ปี ( ) 20 ปี ( ) 21 ปี ( ) 22 ปี ( ) มากกว่า 22 ปี ชั้นปีที่ศึกษา


34 ( ) ปีที่1 ( ) ปีที่2 ( ) ปีที่3 ( ) ปีที่4 ตอนที่2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ข้อกำหนดต่อการให้คะแนนต่อระดับความเห็นต่อการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้วย วิธีการกำหนดเอง 5 หมายถึง ระดับมากที่สุด 4 หมายถึง ระดับมาก 3 หมายถึง ระดับปานกลาง 2 หมายถึง ระดับน้อย 1 หมายถึง ระดับปรับปรุง ปัจจัยการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ระดับความคิดเห็น / การยอมรับ จากการเรียนรู้ด้วยวิธีการกำหนดเอง (5) (4) (3) (2) (1) 8. นักศึกษาคิดว่าสื่อสังคมออนไลน์มี ความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของนักศึกษา มากหรือน้อยเพียงใด 9. นักศึกษาคิดว่าตนเองใช้สื่อออนไลน์เพื่อ ความบันเทิงในชีวิตประจำวันมากหรือน้อย เพียงใด 10. นักศึกษาคิดว่าตนเองใช้สื่อสังคมออนไลน์ เพื่อการศึกษามากหรือน้อยเพียงใด ปัจจัยการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ระดับความคิดเห็น / การยอมรับ จากการเรียนรู้ด้วยวิธีการกำหนดเอง (5) (4) (3) (2) (1) 11. นักศึกษาคิดว่าสามารถนำความรู้จากสื่อ สังคมออนไลน์มาปรับใช้กับการเรียนการ สอนมากหรือน้อยเพียงใด


35 12. นักศึกษาคิดว่าคิดว่าสื่อสังคมออนไลน์ที่ นำมาใช้ประกอบการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ มากหรือน้อยเพียงใด 13. นักศึกษามีความรู้เกี่ยวกับการใช้สื่อสังคม ออนไลน์ที่ถูกต้องมากหรือน้อยเพียงใด 14. การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการ เรียนรู้ของนักศึกษามีประโยชน์มากหรือ น้อยเพียงใด ตอนที่3 ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะในทางการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................


Click to View FlipBook Version