พั ฒ น า ก า ร ข อ ง ไ ท ย ส มั ย รัต น โ ก สิ น ท ร์ใ น ด้ า น ต่ า ง ๆ
สังคมไทยสมัย
รัตนโกสินทร์
วิ ช า สั ง ค ม ศึ ก ษ า ศ า ส น า แ ล ะ วั ฒ น ธ ร ร ม
ชั้ น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ปี ที่ 3
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อ
ประกอบการสอน ในรายวิชาประวัติศาสตร์ เพื่อให้ได้
ศึกษาความรู้เรื่อง พัฒนาการของไทยสมัยรัตนโกสินทร์
ในด้านต่าง ๆ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ฉบับนี้ จะ
เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของนักเรียนและการจัดการ
เรียนการสอนสำหรับผู้สอนในกลุ่มสาระสังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม
จัดทำโดย
๐๐๔ , ๐๐๙ , ๐๑๒ , ๐๑๗ , ๐๒๐ รหัส ๖๓
สาขาสังคมศึกษา (สงขลา)
มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
เรื่อง หน้า
สังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ๑
การเผยแผ่คริสต์ศาสนาและการรับวิทยาการตะวันตกในสังคมไทย ๕
การปฏิรูปสังคมในสมัยปฏิรูปบ้านเมือง ๙
สังคมไทยสมัยประชาธิปไตย ๑๗
บรรณานุกรม ๒๑
๑
สังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์
สังคมไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือ ตั้งแต่ช่วงสมัยรัชกาลที่
๑-๓ (พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๙๔) ส่วนใหญ่ยังคงเป็นเช่นเดียวกับสมัยอยุธยา
เนื่องจากผู้นำชาติที่สร้างบ้านเมืองในสมัยรัตนโกสินทร์ คือเจ้านายและ
ขุนนางในสมัยอยุธยาตอนปลาย จึงได้นำรูปแบบการปกครอง
กฎหมาย เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของอยุธยามาปรับใช้ในสมัย
รัตนโกสินทร์ตอนต้น
การจัดระเบียบสังคมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยังคงเป็นแบบ
อยุธยาคือ การกำหนดสิทธิ และหน้าที่ความรับผิดชอบของบุคคลใน
สังคมตามจำนวนนาที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน เรียกว่า ศักดินา ระบบ
ศักดินาดังกล่าวนี้ทำให้สังคมไทยแบ่งออกเป็น ๒ ชนชั้น คือ ชนชั้น
ปกครอง ประกอบด้วย พระมหากษัตริย์ เจ้านาย และขุนนางที่มี
ศักดินา ๔๐๐ ขึ้นไป โดยพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะสูงสุดเหนือ
ศักดินาทั้งปวง ส่วนเจ้านายคือ พระบรมวงศานุวงศ์มีตำแหน่งลดหลั่น
กันลงมาตาม พระสกุลยศและพระอิสริยยศ ดังนี้ พระสกุลยศตาม
ลำดับคือ เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า และหม่อมเจ้า ส่วนพระอิสริยยศเป็น
ตำแหน่งที่เจ้านายจะได้เมื่อรับราชการมีความดีความชอบ โดยได้รับ
พระราชทาน ตำแหน่งให้เป็นเจ้าทรงกรมเพื่อให้ช่วยปกครองบ้านเมือง
รวมทั้งการควบคุมกำลังไพร่พล ในสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้นพระ
อิสริยยศของเจ้านายตามลำดับ คือ กรมพระยา กรมพระกรมหลวง
กรมขุน กรมหมื่น ลดหลั่นกันลงมาตามลำดับ
๒
สังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์
ส่วนขุนนางพระมหากษัตริย์จะพระราชทานยศศักดิ์ประกอบ
ด้วย ยศ ตำแหน่ง ราชทินนาม และศักดินา ในสมัยรัตนโกสินทร์
ตอนต้นบรรดาศักดิ์ของขุนนางตามลำดับ คือ สมเด็จเจ้าพระยา
เจ้าพระยา พระยา พระ หลวง ขุน หมื่น พัน ลดหลั่นกันลงมา
ตามลำดับ ยศ ตำแหน่ง ราชทินนาม และศักดินาของขุนนางไทย
เช่น เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์สมุหนายกอัครมหาเสนาบดี ถือ
ศักดินา ๑๐,๐๐๐ (เจ้าพระยา คือ ยศหรือบรรดาศักดิ์,
สมุหนายกอัครมหาเสนาบดี คือ ตำแหน่ง ส่วนราชทินนาม คือ
จักรีศรีองครักษ์) และชนชั้นใต้ปกครอง ประกอบด้วย ไพร่ ซึ่ง
เป็นพลเมืองไทยโดยทั่วไป เป็นชนชั้นที่มีอิสระในการดำเนินชีวิต
และเป็นแรงงานสำคัญของบ้านเมือง มีศักดินาต่ำกว่า ๔๐๐
ลงมา และทาสซึ่งเป็นชนชั้นที่ไม่มีอิสระในการดำเนินชีวิต มี
ศักดินา ๕ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มพระสงฆ์ สามเณร และพราหมณ์ที่
ทำหน้าที่ประสานความร่วมมือของผู้คนในสังคม ได้รับการ
ยกเว้นจากภาระการเป็น ไพร่ที่ต้องผูกพันกับบ้านเมืองเสมอ
ศักดินา ๑๐๐-๒,๔๐๐ ตามความสำคัญของบรรพชิตแต่ละรูป
ที่มา : HTTPS://WWW.SORBDEE.NET/ARTICLE/354/
๓
สังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์
ขุนนางที่มีศักดินาตั้งแต่ ๔๐๐ ขึ้นไป จะมีฐานะเป็น
“มูลนาย” มีบทบาทในการควบคุม กำลังคนที่เรียกว่าไพร่ การ
ควบคุมกำลังคนเป็นไปตามลำดับชั้น มูลนายและไพร่มีความ
สัมพันธ์กัน ในระบบ “อุปถัมภ์” คือ มูลนายจะควบคุมดูแลไพร่
และให้ความช่วยเหลือไพร่ในสังกัดเมื่อถูกกดขี่ ข่มเหงหรือมีคดี
ความ ส่วนไพร่จะตอบแทนด้วยการให้แรงงานหรือผลผลิตของ
ตน มูลนายที่มีไพร่ สังกัดมากก็จะมีผลประโยชน์มากตามไปด้วย
การควบคุมกำลังไพร่พลถือเป็นการบริหารราชการแผ่นดินที่
สำคัญยิ่งกว่าการถือครองที่ดิน เพราะคนเป็นทรัพยากรที่สำคัญ
ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ สามัญชนทั้ง
ชาย และหญิงมีฐานะเป็นไพร่ ซึ่งประกอบด้วยไพรหลวง คือ ไพร่
ที่ขึ้นต่อส่วนกลางและพระมหากษัตริย์ โดยไพร่หลวงที่ไม่
สามารถมารับราชการได้จะส่งเงินและสิ่งของแทนการรับราชการ
เรียกว่าไพร่ส่วย และไพร่สมเป็นไพร่ในสังกัดของเจ้านายและ
ขุนนาง ไพร่ทุกคนต้องขึ้นสังกัดมูลนาย
ไพร่หลวงในสมัยอยุธยาต้องถูกเกณฑ์ไปรับราชการปีละ ๖
เดือน คือ รับราชการ ๑ เดือน ออกมาทำมาหากิน ๑ เดือน
เรียกว่า เข้าเดือนออกเดือน ในสมัยรัตนโกสินทร์การเกณฑ์
แรงงานไพร่ มีการเปลี่ยนแปลงตามสภาพทางเศรษฐกิจ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเห็นความ
ทุกข์ยากของราษฎร
๔
สังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์
จึงทรงผ่อนผันให้ไพร่รับราชการปีละ ๔ เดือน ออกมาทำมา
หากิน ๘ เดือน คือ รับราชการ ๑ เดือน ทำมาหากิน ๒ เดือน
เรียกว่า เข้าเดือนออกสองเดือน ในรัชกาลที่ ๒ ภาวะสงคราม
เริ่มลดน้อยลง บ้านเมืองสงบเรียบร้อยขึ้น จึงทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้ไพร่รับราชการ ปีละ ๓ เดือน ออกมาทำมา
หากิน ๙ เดือน เรียกว่า เข้าเดือนออกสามเดือน รัชกาลที่ ๓
พระองค์ พระราชทานตราภูมิคุ้มห้าม ให้ไพร่หลวงได้รับยกเว้น
เงินอากรค่าน้ำ อากรตลาด และอากรสมพัตสร (เก็บจาก
จำนวนไม้ผลยืนต้น) และเริ่มมีการเกณฑ์ลูกหมู่บางกรมมาฝึก
ทหาร นอกจากนี้ยังจ้างแรงงาน ชาวจีนแทนการเกณฑ์แรงงาน
ไพร่ อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการควบคุมกำลังคนด้วยระบบ
ไพร่ ในเวลาต่อมา
สังคมในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น นอกจากชาวไทยแล้ว
ยังมีผู้คนหลายชาติหลายศาสนา รวมอยู่ด้วย เช่น ชาวมอญ
ชาวเขมร ชาวลาว ชาวญวน ที่มาอยู่ในไทยหลายลักษณะ ทั้งลี้
ภัย ทางการเมืองและการถูกกวาดต้อนในฐานะเชลยสงคราม
ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะมีฐานะเป็นไพร่ เช่นเดียวกับคนไทย ส่วน
คนจีนที่อพยพเข้ามาอยู่ในไทยมีจำนวนมาก ในสมัย
รัตนโกสินทร์ตอนต้น ชาวจีนจะเสียภาษีด้วยการผูก หรือถ้า
ไม่มีเงินจ่ายก็จะทำงานให้ทางราชการแทน นอกจากนี้ ยังมี
ชาวตะวันตก เช่น หมอสอนศาสนา พ่อค้า ซึ่งได้เผยแพร่
วิทยาการต่าง ๆ ให้แก่สังคมไทย
๕
การเผยแผ่คริสต์ศาสนาและการรับ
วิทยาการตะวันตกในสังคมไทย
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้มีคณะมิชชันนารีนิกาย
โปรเตสแตนต์เข้ามาเผยแผ่คริสต์ศาสนา หลายคณะ โดยได้นำ
วิทยาการความรู้ใหม่ ๆ เข้ามาสู่สังคมไทย คือ การเริ่มการ
ศึกษาแบบใหม่ การพิมพ์ กิจการหนังสือพิมพ์ การแพทย์และ
สาธารณสุข การศึกษาภาษาอังกฤษ ที่สำคัญคือ นายแพทย์
คาร์ล กุสตาฟ (Carl Gustav) มิชชันนารีชาวดัตช์ และ
ศาสตราจารย์จาคอบ ทอมลิน (Jacob Tomlin) มิชชันนารี
ชาวอังกฤษได้ทำหนังสือสอนคริสต์ศาสนาเป็นภาษาจีนเพื่อ
สอนให้คนจีนที่อาศัยอยู่ในไทย
มิชชันนารีอเมริกันคนแรกที่เข้ามาในไทย คือ ศาสตราจารย์
เดวิด เอ. บีล (David A. Beale) ได้ตั้งศูนย์กลางเผยแผ่ศาสนา
คริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ในเมืองไทย โดยครูสอนศาสนาเหล่า
นี้มีทั้ง แพทย์ ครู นักวิทยาศาสตร์ และนักหนังสือพิมพ์ ซึ่ง
นอกจากสอนศาสนาแล้ว มิชชันนารีเหล่านี้ ยังช่วยรักษาโรค
รวมทั้งแจกจ่ายยาให้ประชาชน ทำให้ชาวไทยเรียกพวกมิชชัน
นารีเหล่านี้ว่าหมอเป็นส่วนใหญ่ นายแพทย์แดน บีช แบรดเลย์
(Dan Beach Breadley) หรือหมอบรัดเลย์ ได้นำ เครื่องพิมพ์
และจัดตั้งโรงพิมพ์ขึ้น โดยพิมพ์พระราชโองการประกาศห้าม
สูบฝิ่นจำนวน ๙,๐๐๐ ฉบับ นับเป็นครั้งแรกที่ประกาศของ
ทางราชการพิมพ์ด้วยตัวพิมพ์ หมอบรัดเลย์ได้ชื่อว่าเป็น “บิดา
แห่ง การพิมพ์และหนังสือพิมพ์” ได้ริเริ่มการออกหนังสือพิมพ์
แถลงข่าวรายปักษ์เป็นภาษาไทย ชื่อหนังสือ จดหมายเหตุ
The Bangkok Recorder
๖
การเผยแผ่คริสต์ศาสนาและการรับ
วิทยาการตะวันตกในสังคมไทย
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๗ แห่งเมืองไทย นอกจากนี้ หมอบรัดเลย์ยัง
ได้ ทำประโยชน์ทางด้านสาธารณสุขคือ ทำการปลูกฝีป้องกัน
ไข้ทรพิษได้สำเร็จ วิทยาการตะวันตก ได้รับความสนใจและ
ยอมรับจากคนในสังคมไทยโดยทั่วไป มีกลุ่มคนไทยโดยเฉพาะ
ชนชั้นสูงพยายาม เรียนรู้วิทยาการตะวันตกให้ก้าวหน้าและนำ
ความรู้มาใช้ให้เป็นประโยชน์กับตนเองและสังคม
ใน พ.ศ. ๒๓๗๓ คณะบาทหลวงนิกายโรมันคาทอลิกได้เข้า
มาเผยแผ่คริสต์ศาสนาในเมืองไทย บาทหลวงคาทอลิกที่มี
บทบาทสำคัญ คือ บาทหลวงปาลเลอกัวซ์ (Pallegoix) ซึ่งได้
แต่งหนังสือ เกี่ยวกับเมืองไทยด้านต่าง ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ใน
การศึกษาค้นคว้าเป็นอย่างมาก
ศาสตราจารย์เดวิด เอ. บีล
ที่มา : https://hmong.in.th/wiki/David_Abeel
๗
การเผยแผ่คริสต์ศาสนาและการรับ
วิทยาการตะวันตกในสังคมไทย
แม้ว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่เลื่อมใสในคริสต์ศาสนาแต่คนไทย
ก็ยอมรับความเจริญทางด้าน วิทยาการตะวันตก โดยเฉพาะ
ด้านการแพทย์สมัยใหม่ คนไทยในกลุ่มผู้นำที่เรียกว่า “กลุ่ม
ชนชั้นนำ หัวก้าวหน้า” เป็นคนรุ่นใหม่ที่สนใจศึกษาวิทยาการ
ต่าง ๆ ของชาวตะวันตกและเห็นความสำคัญ ของความจำเป็น
ที่จะเรียนรู้ภาษาต่างประเทศเพื่อการสมาคมติดต่อกับชาวต่าง
ชาติ มีทั้งเจ้านายและ ขุนนางที่สำคัญคือ สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ
(ต่อมาคือรัชกาลที่ ๔) ซึ่งทรงพระผนวชเป็นพระวชิรญาณภิกขุ
ก็ทรงศึกษาภาษาละตินกับบาทหลวงปาลเลอกัวซ์ หมอบรัด
เลย์ และเจซซี คาสแวล (Jesse Caswell) มิชชันนารีอเมริกัน
นอกจากนี้ยังทรงสนพระทัยทางด้านดาราศาสตร์และ
คณิตศาสตร์ รวมทั้ง ติดตามสถานการณ์โลกและประเทศใกล้
เคียงจากหนังสือพิมพ์ต่างประเทศเป็นประจำ
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณีกรมขุนอิศเรศรัง
สรรค์ (ต่อมาคือพระบาทสมเด็จ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรง
พระเกียรติยศเสมอพระเจ้าแผ่นดิน) ทรงศึกษาภาษาอังกฤษ
จากมิชชันนารีชาวอเมริกันและทรงศึกษาวิทยาการแบบใหม่
โดยเฉพาะกิจการทหารเรือ การสร้างป้อม ป้องกันข้าศึกทาง
ทะเล การต่อเรือรบกลไฟ การฝึกหัดทหารหัดยิงปืนใหญ่ เป็น
ผลให้ได้ทรงกำกับ กรมสำคัญ เช่น กรมทหารปืนใหญ่ กรม
ทหารแม่นปืนหน้า กรมทหารแม่นปืนหลัง
๘
การเผยแผ่คริสต์ศาสนาและการรับ
วิทยาการตะวันตกในสังคมไทย
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวงศาธิราชสนิท ทรงสนพระทัย
ในวิชาแพทย์ โดยทรงเรียนรู้กิจการ แพทย์แผนใหม่กับหมอบรัด
เลย์ และหมอเฮาส์
ขุนนางไทยที่ศึกษาวิทยาการตะวันตก เช่น จมื่นไวยวรนาถ
(ช่วง บุนนาค) ศึกษาภาษาอังกฤษ และการต่อเรือกำปั่นตาม
แบบตะวันตก ซึ่งต่อมาได้มีบทบาทสำคัญทางการเมืองการ
ปกครองของไทย นายโหมด อมาตยกุล (ต่อมาได้เป็นพระยากษา
ปน์กิจโกศล) ศึกษาวิชาช่างกล และหม่อมราโชทัย
(ม.ร.ว. กระต่าย อิศรางกูล) ศึกษาภาษาอังกฤษจนเชี่ยวชาญได้
ทำหน้าที่เป็นล่ามของคณะทูตไทย ในลอนดอนในรัชกาลที่ ๔
หม่อมราโชทัย (ม.ร.ว. กระต่าย อิศรางกูล
ที่มา : https://www.silpa-mag.com/history/article_34040
๙
การปฏิรูปสังคมในสมัยปฏิรูปบ้านเมือง
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครอง
ราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุง
รัตนโกสินทร์ พระองค์ พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางไทย
หลายคนได้นำ ความรู้และวิทยาการของตะวันตกมาใช้ในการ
ปฏิรูปสังคมไทย ดังนี้
การปรับปรุงขนบธรรมเนียม และสังคมไทย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรับปรุง
เปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมไทยเพื่อให้สอดคล้องกับความเจริญ
ของชาวตะวันตก เช่น การแต่งกายของขุนนางในการเข้าเฝ้าฯ
ทรงอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าเฝ้าฯ ได้เปลี่ยนแปลงธรรมเนียม
การถวายฎีกา ให้ราษฎรมาเฝ้าฯ รับเสด็จได้เมื่อเสด็จฯ ทาง
สถลมารค และให้คนไทยเลือกนับถือศาสนาได้
ที่มา : https://www.silpa-mag.com/history/article_31446
๑๐
การปฏิรูปสังคมในสมัยปฏิรูปบ้านเมือง
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบ
าทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิรูปสังคม เพื่อให้สังคมไทยมีความทันสมัย
ตามแบบตะวันตก เช่น ทรงยกเลิกธรรมเนียมการหมอบคลาน
เป็นยืนหรือนั่งแทน ธรรมเนียมการถวายบังคมและกราบไหว้
เปลี่ยนเป็นการโค้งศีรษะแทน พร้อมกำหนดระเบียบการแต่ง
กาย ของพระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง เมื่อเข้าเฝ้าฯ ในโอกาส
ต่าง ๆ การปฏิรูปสังคมที่สำคัญคือ การยกเลิกระบบไพร่และ
ทาส ดังนี้
การยกเลิกระบบไพร่
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็น
ว่าการมีไพร่ ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์บ้านเมือง เนื่องจาก
บ้านเมืองมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจมาจากการค้า เสรี ไพร
ซึ่งเป็นราษฎรส่วนใหญ่ของประเทศยังต้องสังกัดมูลนายจึงขาด
อิสระในการประกอบอาชีพ และยังถูกเกณฑ์แรงงานโดยไม่ได้
เงินตอบแทน บางครั้งก็ถูกกดขี่ข่มเหงจากมูลนายอีกด้วย ดัง
นั้น พระองค์จึงทรงดำเนินการเพื่อเลิกระบบไพร่อย่างมีขั้น
ตอนโดยไม่ให้ทุกฝ่ายเดือดร้อน เช่น ให้ไพร่ เสียเงินแทนการ
รับราชการปีละ ๖ บาท จนกระทั่งไพร่ถูกยกเลิกอย่างสมบูรณ์
ใน พ.ศ. ๒๔๔๘ เมื่อมีการออกพระราชบัญญัติลักษณะการ
เกณฑ์ทหาร โดยกำหนดให้ชายไทยที่มีอายุครบ ๑๘ ปี
บริบูรณ์จะต้องรับราชการเป็นทหาร ดังนั้นจึงทำให้ประชาชน
หรือชายไทยมีอิสระในการประกอบอาชีพ และการดาเนินชีวิต
ของคน
๑๑
การปฏิรูปสังคมในสมัยปฏิรูปบ้านเมือง
การเลิกทาส
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าการ
ที่ประเทศไทย มีทาส เป็นการถ่วงความเจริญของบ้านเมือง และ
ทำให้ต่างชาติดูถูกว่าไทยเป็นประเทศป่าเถื่อน ด้อยความเจริญ
ซึ่งอาจทำให้ประเทศมหาอำนาจอ้างได้ว่าจำเป็นต้องเข้ายึดครอง
เพื่อช่วยพัฒนา ให้ทัดเทียมกัน ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงออกพระ
ราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไทขึ้น กำหนดให้ลูกทาสที่
เกิดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๑๑ เป็นต้นมา มีค่าตัวลดลงไปจนหมดเมื่อ
อายุครบ ๒๐ ปี และห้ามการซื้อขายทาสกับผู้ที่เกิดตั้งแต่ปีนี้
เป็นต้นไปด้วย เพื่อป้องกันผู้ที่เป็นไทแล้วกลับมา เป็นทาสอีก
และใน พ.ศ. ๒๔๔๘ ได้ออกพระราชบัญญัติทาส รัตนโกสินทร์
ศก ๑๒๔ เป็นผลให้ ลูกทาสทุกคนไม่ว่าเกิดปีใดเป็นอิสระ
ทั้งหมด ทาสจึงหมดไปจากสังคมไทย กลายเป็นอิสรชนใน ระยะ
เวลาอันรวดเร็ว
ที่มา : https://guru.sanook.com/28057/
๑๒
การปฏิรูปสังคมในสมัยปฏิรูปบ้านเมือง
การปรับปรุงทางด้านสาธารณูป
โภค
การเข้าสู่สมัยใหม่ได้เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างงาน
สาธารณูปโภคที่เอื้อประโยชน์แก่ประชาชนทางด้านความสะดวก
ในการเดินทางและการค้า นอกจากนี้ยังเป็นประโยชน์ทางด้าน
การปกครองหัวเมืองด้วย ได้แก่ การสร้างถนน การขุดคลอง รวม
ทั้งสร้างสะพานหลายแห่งในกรุงเทพฯ เป็นผลให้เขตเมืองขยาย
ออกไปทั้งทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกและภาคใต้ ส่วนการ
ติดต่อกับหัวเมืองนั้นได้มีการสร้างทางรถไฟ ทั้งสายตะวันออก
เฉียงเหนือ สายเหนือ และสายใต้ ซึ่งเป็นเส้นทางการคมนาคม
แบบใหม่ เส้นทางรถไฟสายแรกคือ สายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา
โดยมีกรมรถไฟหลวงทำหน้าที่ควบคุมดูแล การสร้าง ส่วนรถไฟ
ของเอกชนสายแรกคือ สายกรุงเทพฯ-สมุทรปราการ ของบริษัท
เดนมาร์ก นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมไปรษณีย์โทรเลข
และกรมแผนที่
การส่งเสริมการศึกษา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงส่งเสริม
การศึกษา โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียน สำหรับการศึกษาขั้นพื้น
ฐานแบบตะวันตก เริ่มจากโรงเรียนในวังสำหรับเจ้านายและบุตร
หลาน ของขุนนาง ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ โดยได้ตั้ง
โรงเรียนลักษณะเดียวกันสำหรับราษฎรขึ้นเป็น โรงเรียนหลวง
โดยอาศัยสถานที่ของวัดต่าง ๆ เริ่มจากวัดมหรรณพารามใน
พ.ศ. ๒๔๒๗ หลังจากนั้น ก็มีโรงเรียนเชลยศักดิ์ (โรงเรียน
เอกชน)
๑๓
การปฏิรูปสังคมในสมัยปฏิรูปบ้านเมือง
นอกจากนี้หน่วยงานกรม
กองต่าง ๆ ได้ตั้งโรงเรียนเพื่อ
ผลิตบุคลากรเฉพาะทางเข้ารับราชการ ในหน่วยงานของตน เช่น
โรงเรียนไปรษณีย์โทรเลข โรงเรียนแผนที่ โรงเรียนกฎหมาย
เป็นต้น ทรงตั้งกรมศึกษาธิการเพื่อดูแลจัดการเรื่องการศึกษา
โดยเฉพาะและยกฐานะเป็นกระทรวงธรรมการ ใน พ.ศ. ๒๔๓๕
ต่อมารัชกาลที่ ๖ ทรงเปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงศึกษาธิการและ
ตราพระราชบัญญัติ เกี่ยวกับการจัดการศึกษาหลายฉบับ เช่น
พระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ พ.ศ. ๒๔๖๑ พระราชบัญญัติ
ประถมศึกษา พ.ศ. ๒๔๖๔ จัดกิจกรรมเสริมวิชาการ เช่น งาน
กาชาด เน้นการศึกษาด้านวิชาชีพ และที่สำคัญคือ ขยายการ
ศึกษาขั้นอุดมศึกษา คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พระองค์ทรงส่งเสริมการศึกษาต่อยังต่างประเทศ ทรงส่ง
พระโอรสตลอดจนบุตรหลาน ของขุนนางไปศึกษาวิชาการแขนง
ต่าง ๆ รวมทั้งจัดทุนเล่าเรียนหลวงให้แก่บุตรหลานของราษฎร ที่
มีความสามารถได้มีโอกาสศึกษาต่อต่างประเทศด้วย
การปฏิรูปการศึกษาและการที่สามัญชนได้มีโอกาสรับการ
ศึกษาสมัยใหม่ทำให้มีการเลื่อน ฐานะทางสังคม บางส่วนกลาย
เป็นชนชั้นกลางที่เข้ารับราชการและมีบทบาทสำคัญในการ
เปลี่ยนแปลง บ้านเมือง โดยเฉพาะคณะราษฎรที่ทำการ
เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕
๑๔
การปฏิรูปสังคมในสมัยปฏิรูปบ้านเมือง
ศึกษาใตน่อพม.าศใ.น๒รัช๔ก๖า๔ลทที่ ำ๖ใหไ้ด้กมีา
กราศึรกอษอากรพะรดัะบรปารชะบัถญมญศัึกติษปารขะยถามยไป
ทั่วราชอาณาจักร ส่วนการศึกษาระดับสูงได้ขยายไปถึงระดับ
มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย คือ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙ โดยสถาปนาโรงเรียน
ข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย การปรับปรุงประเทศในรัชกาลที่ ๖ ตามแบบ
ตะวันตกอีกประการหนึ่งคือ การมี พระราชบัญญัติขนานนามสกุล
เพื่อสะดวกในการลงชื่อตนในสำมะโนครัวและเป็นแบบเดียวกับ
อารยประเทศ นอกจากนี้ยังกำหนดคำนำหน้าชื่อว่านาย นางสาว
นาง เด็กหญิง เด็กชาย
การสร้างจิตสำนึกความเป็นชาติในสังคมไทย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงส่งเสริมให้
คนไทยรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่น และ
ความอยู่รอดของประเทศ โดยทรงพระราชนิพนธ์บทความหลาย
เรื่อง และมีพระราชดำรัสในวาระต่าง ๆ เช่น บทพระราชนิพนธ์
เรื่อง เมืองไทยจงตื่นเถิด หัวใจนักรบ เทศนาเสือป่า เพื่อให้คนไทย
มีความรักชาติ และทำหน้าที่ปกป้องรักษาสมบัติของชาติ
นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรง
ปรับปรุงธงชาติไทยโดยการ เปลี่ยนธงชาติจากธงที่มีรูปช้าง เป็น
ธงชาติที่มี ๓ สี คือ สีแดง ขาว น้ำเงิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ แทน
สถาบันหลักของประเทศ คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
เป็นธงไตรรงค์ เพื่อให้ทหารอาสา นำไปร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรใน
สงครามโลกครั้งที่ ๑ ด้วย ธงไตรรงค์ดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์ความ
เป็น ชาติไทยสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้
๑๕
การปฏิรูปสังคมในสมัยปฏิรูปบ้านเมือง
ศึกษาใตน่อพม.าศใ.น๒รัช๔ก๖า๔ลทที่ ำ๖ใหไ้ด้กมีา
กราศึรกอษอากรพะรดัะบรปารชะบัถญมญศัึกติษปารขะยถามยไป
ทั่วราชอาณาจักร ส่วนการศึกษาระดับสูงได้ขยายไปถึงระดับ
มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย คือ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙ โดยสถาปนาโรงเรียน
ข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย การปรับปรุงประเทศในรัชกาลที่ ๖ ตามแบบ
ตะวันตกอีกประการหนึ่งคือ การมี พระราชบัญญัติขนานนามสกุล
เพื่อสะดวกในการลงชื่อตนในสำมะโนครัวและเป็นแบบเดียวกับ
อารยประเทศ นอกจากนี้ยังกำหนดคำนำหน้าชื่อว่านาย นางสาว
นาง เด็กหญิง เด็กชาย
การสร้างจิตสำนึกความเป็นชาติในสังคมไทย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงส่งเสริมให้
คนไทยรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่น และ
ความอยู่รอดของประเทศ โดยทรงพระราชนิพนธ์บทความหลาย
เรื่อง และมีพระราชดำรัสในวาระต่าง ๆ เช่น บทพระราชนิพนธ์
เรื่อง เมืองไทยจงตื่นเถิด หัวใจนักรบ เทศนาเสือป่า เพื่อให้คนไทย
มีความรักชาติ และทำหน้าที่ปกป้องรักษาสมบัติของชาติ
นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรง
ปรับปรุงธงชาติไทยโดยการ เปลี่ยนธงชาติจากธงที่มีรูปช้าง เป็น
ธงชาติที่มี ๓ สี คือ สีแดง ขาว น้ำเงิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ แทน
สถาบันหลักของประเทศ คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
เป็นธงไตรรงค์ เพื่อให้ทหารอาสา นำไปร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรใน
สงครามโลกครั้งที่ ๑ ด้วย ธงไตรรงค์ดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์ความ
เป็น ชาติไทยสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้
๑๖
การปฏิรูปสังคมในสมัยปฏิรูปบ้านเมือง
ในสมัยหลังการเปลี่ยน
แปลงการปกครอง พ.ศ.
๒๔๗๕ รัฐบาลสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม(พ.ศ.
๒๔๘๑-๒๔๘๗) ได้ใช้นโยบายชาตินิยมส่งเสริมให้คน
ไทยมีความรักชาติ โดยสร้างชาติทางด้าน วัฒนธรรม
เพื่อให้ประเทศไทยมีความเจริญทัดเทียมกับ
อารยประเทศอื่น ๆ
และมีการเปลี่ยนแปลงทาง วัฒนธรรมหลาย
อย่าง เช่น การยกเลิกบรรดาศักดิ์และยศข้าราชการ
พลเรือน กำหนดระเบียบต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิตด้วย
การออกประกาศรัฐนิยมหลายฉบับ เช่น ห้ามประชาชน
กินหมาก ขอให้ผู้หญิงไทย เลิกนุ่งโจงกระเบน เปลี่ยน
มานุ่งผ้าถุงและสวมหมวกสวมรองเท้า รวมทั้งปรับปรุง
ภาษาไทยมีการตัด พยัญชนะและสระบางตัวออกไปเพื่อ
ให้สะดวกกับการศึกษาเล่าเรียน การตั้งชื่อบุคคลให้
เหมาะสม กับเพศ การกำหนดให้มีสภาวัฒนธรรมแห่ง
ชาติ เพื่อให้ทำหน้าที่ปรับปรุงวัฒนธรรมไทยให้เหมาะ
สม กับกาลสมัย การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมบางอย่างที่
ไม่สอดคล้องกับนิสัยของคนไทยในเวลาต่อมาจึงได้
ยกเลิกไป
๑๗
สังคมไทยสมัยประชาธิปไตย
ภายหลังการปฏิรูปบ้านเม
ืองในสมัยรัชกาลที่ ๕ โครงสร้าง
สังคมไทยที่เคยแบ่งคนในสังคม เป็นเจ้านายขุนนาง ไพร่และทาส
มีการเปลี่ยนแปลงโดยไพร่และทาสถูกยกเลิก ส่วนระบบความ
สัมพันธ์ ในระบบอุปถัมภ์ระหว่างผู้ใหญ่กับผู้น้อย หรือผู้สูงศักดิ์กับ
ผู้ศักดิ์กว่ายังคงอยู่ในสังคมไทยสืบต่อมา แม้ว่าการเปลี่ยนแปลง
การปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ จะไม่ยอมรับระบบเจ้าขุนมูลนาย
ก็ตาม แต่ระบบ อุปถัมภ์ในสังคมไทยยังได้รับความนิยมอยู่จนถึง
ปัจจุบัน
เปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕
ที่มา : https://www.clipmass.com/story/12002
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สถานการณ์โลกมีความ
ตึงเครียดจากการขยายตัวของลัทธิ คอมมิวนิสต์ซึ่งลุกลามไปทั่ว
ทุกภูมิภาคของโลกโดยเฉพาะเอเชีย รัฐบาลไทยได้เร่งดำเนิน
นโยบาย พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเพื่อต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์
ด้วยการเปิดสัมพันธ์กับโลกเสรีซึ่งนำโดย สหรัฐอเมริกา การ
ดำเนินนโยบายดังกล่าวนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหลาย
ประการ ดังนี้
๑๘
สังคมไทยสมัยประชาธิปไตย
การเปลี่ยนแปลงด้านการศ
ึกษาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
รัฐบาลได้ขยายการศึกษา ภาคบังคับออกไปอย่างต่อเนื่อง มีการตั้ง
โรงเรียนเพิ่มขึ้น จัดตั้งมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาค ขึ้นหลายแห่ง
นโยบายที่มุ่งขยายการศึกษาให้กับประชาชนทุกส่วนของประเทศ
ทำให้อัตราการรู้หนังสือ ของคนไทยเพิ่มมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
การขยายตัวของ การลงทุนต่าง ๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
แรงงานในภาคเกษตรกรรมเข้ามาสู่ภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น เกิด
การขยายตัวของชุมชนอันเป็นผลจากการเพิ่มของประชากรและ
การย้ายถิ่น โดยเฉพาะ การย้ายถิ่นจากชนบทเข้าสู่เมืองเพราะ
ความจำเป็นทางเศรษฐกิจก่อให้เกิดปัญหาตามมา เช่น การว่างงาน
การขาดแคลนที่อยู่อาศัย ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาการขยายตัว
ของเมืองหรือชีวิต แบบเมือง ซึ่งทำให้เกิดปัญหาตามมาอีก
นานัปการ เช่น ปัญหาความแออัด ปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น วิถี
ชีวิตในชนบทและสังคมเกษตรแต่เดิมซึ่งมีความเอื้ออาทร ช่วยเหลือ
ซึ่งกันและกันเกิดการเปลี่ยนแปลง ไปจากเดิม เป็นชีวิตแบบเมืองที่
ต้องแก่งแย่งแข่งขันกันและใช้สาธารณูปโภคที่มีอยู่อย่างจำกัด
ที่มา : https://www.matichon.co.th/columnists/news_1121421
๑๙
สังคมไทยสมัยประชาธิปไตย
การเปลี่ยนแปลงทางสถ
าบันครอบครัว การขยายตัว
ของประชากรทำให้โครงสร้าง ของครอบครัวคนไทยเปลี่ยนแปลง
ไปมาก เช่น โครงสร้างของครอบครัวเปลี่ยนจากครอบครัวใหญ่ ที่
มีคนหลายวัยอยู่ในครัวเรือน เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย ลูกหลาน พ่อแม่
กลายเป็นครอบครัวเดียว ที่มีเฉพาะพ่อ แม่ ลูก มากขึ้น เป็นผล
จากการที่ครอบครัวมิใช่ฐานหรือหน่วยการผลิตที่สำคัญ อีกต่อไป
การที่ครอบครัวในชนบทต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจทำให้
แรงงานส่วนหนึ่งของครอบครัว ต้องออกไปหางานทำภายนอก
ครอบครัวขนาดใหญ่จึงไม่สามารถรักษารูปแบบเดิมไว้ได้
อิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตกกับสังคมไทยยุคใหม่ สังคม
ไทยในยุคปัจจุบัน ก้าวเข้าสู่ ความเป็นสากลมากขึ้น เนื่องจาก
อิทธิพลของวิทยาการก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสาร และผล
จาก การพัฒนาเศรษฐกิจตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง
ชาติ เป็นผลให้วัฒนธรรมตะวันตก เช่น ภาษาอังกฤษ การนับถือ
ศาสนาคริสต์ ค่านิยมแบบประชาธิปไตย เช่น สิทธิ เสรีภาพและ
ความเสมอภาค รวมทั้งเศรษฐกิจระบบทุนนิยมเสรี มีอิทธิพลใน
สังคมไทย เงินตรากลายเป็นสิ่ง สำคัญที่สุดในการดำเนินชีวิต
ปัจจุบัน ผู้ที่มีรายได้สูงและฐานะทางเศรษฐกิจดี จะได้รับการ
ยกย่องจาก สังคม ทำให้เกิดลัทธิบริโภคนิยม และวัตถุนิยมขึ้นใน
สังคมไทย ซึ่งทำให้เกิดปัญหานานาประการขึ้น
๒๐
สังคมไทยสมัยประชาธิปไตย
โครงสร้างของสังคมไท
ยยุคใหม่เปลี่ยนแปลงไปจาก
เดิม คือ จากเดิมสังคมไทย มีลักษณะชนชั้นตามระบบศักดินา
และตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ มาเป็นการจัดชนชั้นโดยมีเรื่อง
วงศ์ตระกูล ตำแหน่งทางการเมือง ตำแหน่งทางราชการ อำนาจ
ทางเศรษฐกิจ ระดับการศึกษาและ อาชีพมาเกี่ยวข้อง อนึ่ง การ
จัดระเบียบชนชั้นดังกล่าวไม่เป็นที่แน่นอน เพราะสังคมไทยเปิด
กว้างให้ บุคคลสามารถเปลี่ยนแปลงฐานะในสังคมได้
ที่มา :https://themomentum.co/education-problems-and-solutions/1
๒๑
ศิริพร กรอบทอง, สักกะ จราวิวัฒน์. (๒๕๕๕). ประวัติศาสตร์ ๓
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เอมพันธ์
แถมสุข นุ่มนนท์. เจาะเวลาของอดีต หลักฐานประวัติศาสตร์ไทย.
กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์, ๒๕๔๕