The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ebook วิชาสังคมกฏหมาย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by mint10112550, 2024-02-17 12:27:22

ebook วิชาสังคมกฏหมาย

ebook วิชาสังคมกฏหมาย

โรงเรียนมัธยมประชานิเวศน์ สำ นักงานเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร น.ส.ญาณิศา ศรีทานันท์ ม.4/1 เลขที่ 15 น.ส.ปาลิตา งามสุวรรณ ม.4/1 เลขที่ 16 จัดทำ โดย เรื่อง กฏหมายเกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว ชุมชน และประเทศ E - BOOK นวัตกรรมสื่อการเรียนการสอน วิชาการเมืองการปกครอง ส 31106


คำ นำ หนังสือ ebook เล่มนี้จัดทำ ขึ้นเพื่อเป็นส่วน นึงของวิชากฏหมาย เพื่อให้ผู้อ่านได้รับความรู้ใน เรื่องของกฏหมายพื้นฐานมากขึ้น ebook เล่มนี้ ผู้จัดมีความประสงค์ให้ผู้อ่าน ได้อ่านเนื้อหาที่ครบ ถ้วน ถูกต้อง สนุก และได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อ เป็นประโยชน์กับการใช้ชีวิตนอกรั้วโรงเรียนและ การเรียน ผู้จัดทำ หวังว่า หนังสือ ebook เล่มนี้จะเป็น ประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักเรียน ที่กำ ลังหาข้อมูล เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ ที่หากมีข้อแนะนำ หรือข้อผิด พลาดประการใด ผู้จัดทำ ขอน้อมรับไว้และ ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


LAW AND FIRM SERVICE กฏหมายเกี่ยวกับภาษีอากร 1-2กฏหมายหมั้นการสมรส 3-10กฏหมายจราจร 11-17กฏหมายนิติกรรมสัญญา 20-26กฏหมายสินค้าออนไลน์ 27-29กฏหมายความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย 30-35กฏหมายเกี่ยวกับมรดกและการทำ พินัยกรรม 36-38กฏหมายเกี่ยวกับบัตรประจำ ตัวประชาชน 39-44กฏหมายความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ 45-48กฏหมายเกี่ยวกับบุตรบุญธรรม 49-53กฏหมายคุ้มครองผู้บริโภค 54-63กฏหมายพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ 64-66บรรณานุกรม 67หน้าสารบัญ


กฏหมายเกี่ยวกับภาษีอากร ภาษีอากรคืออะไร ? ภาษีอากร คือเงินที่รัฐบาลเรียกเก็บจากประชาชน ตามกฎหมายเพื่อเป็นรายได้ของรัฐ โดยรัฐกำ หนดว่า ประชาชนที่มีรายได้ต้องเสียภาษีให้กับรัฐ เพื่อรัฐจะ ได้ใช้เงินสำ หรับการใช้จ่ายในด้านต่างๆ ของรัฐบาล เพื่อเป็นการอำ นวยความสะดวก ความสุขต่างๆ ของ ประชาชน รายได้ของรัฐบาลที่เรียกเก็บเงินภาษีของ ประชาชนที่ต้องจ่ายให้รัฐ กรมที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษี 3 กรมหลักอยู่ในสังกัดกระทรวงการคลัง ประกอบ ด้วย กรมสรรพากร กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต ประมวลกฎหมายรัษฎากร เป็นกฎหมายที่ให้อำ นาจ กรมสรรพากร กระทรวงการคลังจัดเก็บภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่า เพิ่ม มีสาระสำ คัญดังนี้ 1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นภาษีที่เรียกเก็บ จากบุคคลผู้มีรายได้ เช่น ข้าราชการ พนักงานผู้ ประกอบอาชีพอิสระ เช่น ทนายความ นักร้อง นัก แสดง เป็นต้น ทั้งนี้จะเก็บจากเงินได้พึงประเมินที่ผู้เสียภาษีดัง กล่าวได้รับ หักด้วยค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อยเหลือ เป็นเงินได้สุทธิเท่าใด จึงนำ ไปคำ นวณภาษีตามอัตรา ที่กฎหมายกำ หนด ในปัจจุบันภาษีเงินได้บุคคล ธรรมดารัฐจะเรียกในอัตราก้าวหน้า ตั้งแต่ร้อยละ 5 ถึงร้อยละ 37 หมายถึง ผู้ที่มีรายได้มากย่อมต้องเสีย ภาษีมาก ผู้มีรายได้น้อยจะเสียภาษีน้อย 2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นภาษีที่จัดเก็บจากห้าง หุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล บริษัทจำ กัด บริษัทมหาชน ฯลฯ โดยจะเก็บจากกำ ไรสุทธิที่ผู้เสียภาษีดังกล่าวได้ รับในอัตราร้อยละ 30 ของกำ ไรสุทธิ 1


กฎหมายภาษีอากรทุกฉบับ มีหัวข้อสำ คัญอันเป็นโครงสร้างของกฎหมายฉบับนั้นๆ ซึ่งอาจแบ่งได้ เป็น 6 หัวข้อด้วยกัน คือ 1. ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากร หรือผู้อยู่ในข่ายเสียภาษีอากรจะเป็นใครบ้างย่อมแล้วแต่กฎหมายนั้นๆ จะกำ หนด แต่โดยทั่วไปมักได้แก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย 2. ฐานภาษีอากร ในความหมายอย่างกว้าง หมายถึงสิ่งที่เป็นมูลเหตุให้ต้องเสียภาษีอากร เช่น การมี รายได้ การมีทรัพย์สิน หรือการใช้จ่าย เป็นต้น ในความหมายอย่างแคบ หมายถึง สิ่งที่รองรับอัตรา ภาษีอากร 3. อัตราภาษีอากร แบ่งเป็น 3 แบบใหญ่ๆ คือ แบบคงที่ แบบก้าวหน้า แบบถดถอย 4. การประเมินจัดเก็บภาษีอากร ภาษีอากรส่วนใหญ่ในปัจจุบันผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรเป็นผู้ดำ เนิน การประเมินตนเอง โดยประเมินหรือคำ นวณตามวิธีการและตามกำ หนดเวลาที่กฎหมายกำ หนดไว้แล้ว ยื่นแบบแสดงรายการชำ ระภาษีอากรตามจำ นวนที่พึงต้องชำ ระ ถ้าผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรไม่ดำ เนิน การประเมินตนเอง หรือประเมินตนเองอย่างไม่ถูกต้อง หรือไม่สมบรูณ์ก็จะมีการประเมินโดยเจ้า พนักงานซึ่งในกรณีหลังนี้เจ้าพนักงานประเมินมีอำ นาจประเมินให้ผู้เสียภาษีอากรต้องรับผิดชำ ระเงิน เพิ่ม และหรือเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากภาษีอากรที่ต้องเสียในบางกรณีแม้ไม่ถึงกำ หนดเวลา ชำ ระภาษีอากร 5. การอุทธรณ์ภาษีอากร ในกรณีเกิดปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขัดแย้งพิพาทกันระหว่างผู้เสีย ภาษีอากรและผู้จัดเก็บภาษีอากร เกี่ยวกับจำ นวนภาษีอากรที่ต้องเสียหรืออำ นาจการประเมินเรียก เก็บภาษีอากร และผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรต้องการให้มีการพิจารณาทบทวนใหม่ กฎหมายมักกำ หนด ให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรต้องปฏิบัติตามขั้นตอน และวิธีหาข้อยุติให้ครบถ้วนเสียก่อน มิฉะนั้นผู้เสีย สิทธิในการนำ คดีขึ้นสู่ศาลได้ 6. เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และโทษ ผู้ไม่ชำ ระภาษีอากรจะต้องรับผิดชอบในจำ นวนภาษีอากรที่ไม่ชำ ระ พร้อมด้วยเบี้ยปรับ และหรือเงินเพิ่มเป็นจำ นวนเงินเพิ่มขึ้นต่างหากถ้าฝ่าฝืนไม่ยอมชำ ระ กฎหมายมัก ให้อำ นาจเจ้าพนักงานดำ เนินการยึดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรไปขายทอดตลาดเพื่อนำ เงินไปชำ ระ ภาษีอากรที่ค้างโดยไม่ต้องฟ้องคดีศาล 2


กฏหมายการหมั้นการสมรส การหมั้นการสมรสคืออะไร ? การหมั้นเป็นการสัญญาระหว่างชายหญิงที่จะทำ การ สมรสอยู่กินกันฉันสามีภริยาก่อร่างสร้างครอบครัวกันต่อ ไป การหมั้นแม้ว่าจะไม่ใช่เงื่อนไขที่กฎหมายบังคับให้ต้อง ทําก่อนสมรสแต่ถ้าชายหญิงทำ สัญญาหมั้นกันไว้และไม่ ได้ทำ การสมรสกันต่อไป ซึ่งโดยหลักการแล้วควรจะต้อง ทำ การสมรสกันตามสัญญาหมั้นที่ได้ทําไว้ แต่ในความ เป็นจริงก็อาจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างบางประการขึ้นได้ ทำ ให้ไม่เกิดการมีสมรสเช่นนี้ขึ้นมา จะมีผลในทางกฏ หมายประการใดถ้าชายหญิงตกลงจะทําการสมรสกันแต่ ต่อมาไม่มีการสมรสกันตามที่ตกลงเช่นนี้ ชายหรือหญิง จะดําเนินการทางกฎหมายกับอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ และการ สมรส หมายถึง " การที่ชายและหญิงสมัครใจเข้ามาอยู่ กินฉันสามีภริยากันชั่วชีวิตโดยจะไม่เกี่ยวข้องทางชู้สาว กับบุคคลอื่นใดอีก " ดังนั้นการทำ สัญญาหมั้นในแง่ของกฏหมายนั้นก็จะมี ประโยชน์ แต่การมีสัญญาหมั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะ นำ มาเป็นสัญญาที่จะฟ้องร้องบังคับให้ชำ ระหนี้ คือการ ทำ การสมรสกันก็หาไม่ เพราะการที่ชายหญิงจะทําการ สมรสอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาเป็นครอบครัว เป็นพื้น ฐานของสถาบันทางสังคมควรจะเป็นการอยู่กินร่วมกัน ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่การบังคับให้อยู่กินร่วมกันอัน เป็นการขัดต่อหลัการสิทธิมนุษย์ชนในเรื่องเสรีภาพของ บุคคล ดังนั้นในแง่มุมดังกล่าวจะนำ สัญญาหมั้นไปเปรียบ เทียบกับสัญญาโดยทั่วไปที่สามารถทำ การฟ้องร้องบังคับ ให้ชําระหนี้ แต่อย่างไรก็ดีสัญญาหมั้นก็เป็นสัญญาชนิด หนึ่งเมื่อมีการตกลงทําสัญญากันแล้ว ก็ควรที่จะต้อง ปฏิบัติตามสัญญา ถ้าไม่ทําตามสัญญาก็ควรจะมีผลตาม มาอย่างใดอย่างหนึ่ง มิใช่ว่าสัญญาหมั้นมีลักษณะพิเศษ จะบังคับให้อยู่กินกันไม่ได้ จึงไม่ทําตามสัญญาหมั้นได้ 3


ดังนั้นเมื่อมีสัญญาหมั้นแล้วอาจไม่มีการสมรสตามมาด้วยเหตุผลต่างๆได้หลายประการเราจึงต้อง พิจารณาว่าการที่ไม่ทำ การสมรสกันนั้น เกิดจากสาเหตุใดฝ่ายใด ควรจะต้องรับผิดมากน้อยเพียงใด หรือ ไม่ผลของการหมั้นนี้จึงเป็นเรื่องสำ คัญมากของการหมั้นว่าจะเกิดผลตามมาอย่างไร ถ้าไม่มีการสมรสซึ่ง จะแยกพิจารณาตามลำ ดับ คือ 1. การหมั้น การหมั้นบังคับให้ทําการสมรสไม่ได้มีการบังคับให้ชายหญิงอยู่กินร่วมกัน โดยไม่สมัครใจย่อมเป็นการ ขัดต่อหลักการ สิทธิมนุษยชนในเรื่องสิทธิครอบครัว ซึ่งตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง ค.ศ. 1966 ข้อ 23. อนุ 3 กําหนดไว้ว่า " การสมรสจะกระทําโดยปราศจากความ ยินยอมอย่างเต็มใจของผู้ที่มีเจตนาจะสมรสกันมิได้ " และตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทาง เศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม ค.ศ. 1966 ข้อ 10. อนุ 1 กำ หนดไว้ว่า " การสมรสจะต้องกระทำ โดย ความยินยอมอย่างเสรีของคู่บ่าวสาวผู้ที่ตั้งใจจะกระทำ การสมรส ” ดังนั้นการสมรสจะทำ ได้ด้วยความ เต็มใจ ยินยอม ผูกพันเป็นสามีภริยากัน จะบังคับขู่เข็ญด้วยวิธีการใดๆ อันขัดต่อหลักการเรื่องสิทธิและ เสรีภาพของบุคคลไม่ได้ นอกจากนี้มาตรา 1438 ยังบัญญัติไว้อีกว่า " ถ้าได้มีข้อตกลงกันไว้ว่าจะให้เบี้ยปรับในเมื่อผิดสัญญา หมั้น ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ " ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีการตกลงกันไว้ถึงกรณ์การตกลงให้ใช้เบี้ยปรับเมื่อ ผิดสัญญาหมั้น เพราะมิฉะนั้นแล้วคู่สัญญาหมั้นที่ไม่ต้องการสมรสด้วยอาจต้องจำ ใจทำ การสมรส เนื่อง มาจากจำ นวนเบี้ยปรับที่จะต้องชำ ระถ้าไม่ทำ การสมรส ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะก่อให้เกิดความไม่สงบสุข ในครอบครัวอันจะส่งผลถึงสังคมส่วนรวมในที่สุด ดังนั้นถ้ามีข้อตกลงดังกล่าว ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ ข้อ สังเกตประการหนึ่งเฉพาะแต่เพียงข้อตกลงในเรื่องเบี้ยปรับเท่านั้นที่เป็นโมฆะ สำ หรับสัญญาหมั้นนั้นยัง คงสมบูรณ์อยู่เหมือนเดิมซึ่งคู่สัญญาหมั้นอาจมีสิทธิเรียกค่าทดแทนอื่นๆ ได้ตามกฎหมายที่กำ หนดไว้ 2. การผิดสัญญาหมั้น การหมั้นแม้ว่าจะไม่สามารถฟ้องศาลบังคับให้ทำ การสมรสได้ก็จริง แต่ถ้ามีการทำ สัญญาหมั้นแล้วไม่ ยอมทำ การสมรสได้โดยไม่มีเหตุผลที่สมควรก็ดูจะไม่เป็นการถูกต้องนัก ดังนั้น ถ้ามีการทำ สัญญาหมั้น แล้วไม่ยอมทำ การสมรสโดยไม่มีเหตุผลก็น่าจะถือได้ว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้นเพราะเมื่อมีการทำ สัญญา แล้วไม่ทำ ตามสัญญาย่อมถือว่าเป็นการผิดสัญญา การผิดสัญญาจึงเป็นการทำ ให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความ เสียหายจึงควรที่จะต้องชดใช้ค่าเสียหายด้วย จากที่กล่าวมานี้เราอาจแยกพิจารณาได้เป็น 2 ส่วน คือ การผิดสัญญาหมั้นเป็นอย่างไร และความรับผิดหรือผลที่ตามมาของการผิดสัญญาหมั้นมีอะไรบ้าง 4


2.1 การผิดสัญญาหมั้น มาตรา 1439 บัญญัติไว้ว่า " เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับ ผิดใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย " เมื่อพิจารณา มาตรา 1439 แล้ว จะเห็นว่าไม่มีการอธิบายถึงการผิดสัญญาหมั้นว่าเป็นอย่างไรเพียงแต่กล่าวไว้ว่า " เมื่อ มีการหมั้นแล้วถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้น " ในที่นี้จึงเห็นได้ว่า การผิด สัญญาหมั้นจะเกิดขึ้นได้ต้องมีการ หมั้นก่อน แล้วจึงจะมีการผิดสัญญาหมั้นได้ ในส่วนนี้จึงขอแยกกล่าวถึงแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ 2.1.1 เมื่อมีการหมั้น การจะผิดสัญญาหมั้นได้จะต้องมีการทำ สัญญาหมั้นก่อน ดังที่กล่าวกันว่าสัญญาต้องเป็นสัญญา คือเมื่อ มีสัญญาแล้วต้องทำ ตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ ถ้าไม่มีการทำ สัญญากันไว้จะมีการผิดสัญญาได้ สำ หรับ สัญญาหมั้นเป็นไปตามมาตรา 1437 วรรคแรกนั่นเอง ถ้าไม่มีการทำ สัญญาหมั้นก็จะไม่เข้าองค์ประกอบ ของมาตรา 1439 ที่จะผิดสัญญาหมั้นได้ อาทิตัวอย่างคำ พิพากษาฎีกาต่างๆ คือ คำ พิพากษาฎีกาที่ 248/2519 สมรสตามพิธีมีสินสอด แต่ไม่มีการหมั้นแล้วชายไม่ไปจดทะเบียนสมรส ตามที่ตกลง กลับไปจดทะเบียนสมรสกับหญิงอื่นนั้นมิใช่เป็นการทำ ละเมิดต่อโจทก์ ชายจึงไม่ต้องใช้ สินไหมทดแทนให้ คำ พิพากษาฎีกาที่ 45/2532 ไม่มีบทมาตราใดบัญญัติว่า ในกรณีที่ไม่มีการหมั้น หากฝ่ายใดผิดสัญญา จะสมรสให้ฝ่ายนั้นรับผิดใช้ค่าทดแทนอย่างเช่นกรณีที่มีการหมั้น เพราะฉะนั้นเมื่อโจทก์และจำ เลยตกลง กันว่าจะสมรสหรือจดทะเบียนสมรสโดยไม่มีการหมั้นจึงอยู่นอกขอบเขต ที่กฎหมายรับรอง แม้จำ เลยไม่ ปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้โจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำ เลยได้ จากตัวอย่างคำ พิพากษาฎีกาต่างๆ เหล่านี้ จะเห็นได้ว่า การทำ แต่เพียงพิธีการสมรสเท่านั้น การตกลง กันเป็นบันทึกเป็นสัญญาไว้เฉยๆ โดยไม่มีการทำ ตามมาตรา 1437 ในเรื่องการหมั้น คือจะต้องมีการส่ง มอบ หรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสด้วยจะไม่เป็นสัญญาหมั้น ดังนั้น จะไปฟ้องร้องให้รับผิดฐานผิดสัญญาหมั้นไม่ได้ 5


2.1.2 การผิดสัญญาหมั้น เมื่อมีการหมั้นแล้วหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมทำ การสมรสด้วย โดยไม่มีเหตุผลแล้วก็ถือได้ว่า เป็นการผิดสัญญาหมั้น ทั้งนี้เพราะการทำ สัญญาหมั้นก็เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรส แต่การที่จะถือว่า ฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นนั้นอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องไม่มีส่วนร่วมด้วยในเหตุของการไม่ทำ การสมรสนั้น มิฉะนั้นแล้วจะกล่าวอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาหมั้นไม่ได้ เช่น คำ พิพากษาฎีกาที่ 1336/2518 หญิง สมัครใจอยู่กินแต่งงานกับชายได้พิเศษ โดยต่างไม่นำ พาต่อการจดทะเบียนสมรส ดังนี้ จะอ้างว่าฝ่าย หนึ่งฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นไม่ได้ หญิงจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าทดแทนเพื่อการเสียความบริสุทธิ์ของตน จากชาย เป็นต้น ลักษณะดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาก คือมีการหมั้นตามกฎหมาย แต่เมื่ออยู่กิน ฉันสามีภริยากันแล้วก็ไม่ได้สนใจที่จะไปจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย เมื่อต่อมาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะนำ เอาสาเหตุดังกล่าวมากล่าวอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งผิด สัญญาหมั้นจึงไม่ถูกต้องนัก เพราะต่างก็มีส่วนร่วมด้วย ที่ละเลยไม่นำ พาที่จะไปจดทะเบียนสมรสกันเอง ดังตัวอย่างเช่น คำ พิพากษาฎีกาที่ 172/2538 โจทก์หมั้นบุตรสาวจำ เลยโดยมอบสินสอดให้จำ เลยในวันทำ พิธี แต่งงาน แต่มิได้จดทะเบียนสมรสกันเพราะโจทก์ไม่ใส่ใจในการไปจดทะเบียนสมรสกับบุตรของจำ เลย โจทก์จึงจะอ้างขอสินสอดคืนว่าเมื่อไม่มีการสมรสโจทก์ย่อมเรียกสินสอดคืนได้โดยไม่ต้องพิจารณาว่า ฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกสินสอดคืน คำ พิพากษาฎีกาที่ 1392/2542 ภายหลังจากโจทก์กับจำ เลยที่ทำ สัญญาหมั้น และแต่งงานตาม ประเพณีแล้ว ได้อยู่กินร่วมหลับนอนกันที่บ้านของจำ เลยที่ 2 ซึ่งเป็นมารคาจำ เลยที่ 1 นานถึง 8 เดือน โดยโจทก์มิได้ประกอบอาชีพใด เอาแต่เที่ยวเตร่และเล่นการพนัน แสดงให้เห็นว่าจำ เลยที่ 1 มิได้รังเกียจ ในตัวโจทก์นอกจากความประพฤติ การที่ทั้งโจทก์และจำ เลยที่ 1 สมัครใจอยู่กินด้วยกันเป็นเวลานาน โดยมิได้ไปจดทะเบียนสมรส จึงเกิดจากการละเลยของทั้งสองฝ่ายที่มิได้ยึดถือเอาการจดทะเบียนสมเป็น เรื่องสำ คัญมากกว่า การที่จะได้อยู่กินด้วยกันตามประเพณีเท่านั้น จึงมิอาจกล่าวโทษได้ว่าการที่มิได้ไป จดทะเบียนสมรสเกิดจากความผิดของฝ่ายใด แม้ต่อมามีการทำ บันทึกตกลงกันว่าทั้งสองฝ่ายจะไปจด ทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป แต่เมื่อโจทก์ยังมิได้ปลูกบ้านในที่ดินของจำ เลยที่ 2 ตามข้อ ตกลงการที่จำ เลยที่ 1 ปฏิเสธไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรสกับโจทก์จึงยังไม่อาจถือว่าจำ เลยทั้งสองเป็น ฝ่ายผิดสัญญาหมั้น เป็นต้น 6


3.การสมรส การสมรสคือ “ การอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ” การสมรสในประเทศไทยนั้นได้ กำ หนดหลักเกณฑ์และสิทธิและหน้าที่ของคู่สมรสไว้ ตามหลักกฎหมายครอบครัวซึ่งบัญญัติไว้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 โดยมีเนื้อหา ดังนี้ 3.1 เงื่อนไขแห่งการสมรส 3.1.1 ชายและหญิงต้องมีอายุอย่างต่ำ 17 ปี บริบูรณ์ทั้งสองคน ( มาตรา 1448 ) 3.1.2 ชายหรือหญิงต้องไม่เป็นคนวิกลจริต ( มาตรา 1449 ) 3.1.3 ชายและหญิงต้องไม่เป็นญาติสืบสายโลหิตโดยตรงต่อกัน หรือเป็นพี่น้องกัน ( มาตรา 1450 ) 3.1.4 ผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรมจะสมรสกันไม่ได้ ( มาตรา 1451 ) 3.1.5 ชายหรือหญิงจะสมรสซ้อนกันไม่ได้ ( มาตรา 1452 ) 3.1.6 ชายและหญิงทั้งสองคนต้องยินยอมเป็นสามีภริยากัน ( มาตรา 1458 ) 3.1.7 หญิงหม้ายจะสมรสใหม่ได้ต่อเมื่อเวลาไม่น้อยกว่า 310 วัน นับแต่ขาดจากการสมรสเดิมได้ ผ่านพ้นไปแล้ว ( มาตรา 1453 ) 3.1.8 ผู้เยาว์ต้องได้รับความยินยอมของบิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองให้การสมรส ( มาตรา 1456 ) สรุปได้ว่าในประเทศไทย คู่สมรสฝ่ายหนึ่งจะต้องเป็นชายและอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องเป็นหญิง บุคคลเพศ เดียวกันสมรสกันไม่ได้ โดยเงื่อนไขข้อนี้แม้กฎหมายจะไม่ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนเหมือนเงื่อนไขข้อ อื่นๆ แต่จากถ้อยบัญญัติในมาตราที่กล่าวถึงเงื่อนไขการสมรส กฎหมายจะใช้คำ ว่า " ชายหญิง " แสดง ให้เห็น โดยปริยายว่าเงื่อนไขเรื่องเพศนี้มีอยู่อย่างแน่นอน 7


4. สิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายครอบครัวและมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ครอบครัว นอกจากจะได้วางหลักเกณฑ์และ เงื่อนไขในการสมรสไว้ ยังได้กำ หนดสิทธิและหน้าที่ของคู่สมรส ไว้ดังนี้ 4.1 ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 ได้บัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาว่า " สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา " ตามวัตถุประสงค์แห่งการสมรสก็เพื่อจะให้ชายหญิงได้อยู่ กินด้วยกันฉันสามีภริยา ทำ ให้เป็นครอบครัวมีลูกมีหลานสืบตระกูลต่อไป การอยู่กินด้วยกันฉันสามี ภริยาตามประเพณีย่อมเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า หมายถึง การอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ร่วมชีวิตในการครอง เรือน และทั้งร่วมประเวณีต่อกัน หากการอยู่กินร่วมกันนั้นจะส่งผลให้เป็นอันตรายต่อกายของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างมาก หรือเป็นอันตราย ต่อจิตใจของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างมาก หรือเป็นการทำ ลายความผาสุกของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างมาก คู่สมรส อีกฝ่ายอาจร้องขอต่อศาลให้อนุญาตให้ตนอยู่ลำ พังชั่วคราวก็ได้ กรณีนี้เรียกว่าขอศาลเพื่อแยกกันอยู่ การแยกกันอยู่แม้จะทำ ให้ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องอยู่กินร่วมกัน แต่ไม่ทำ ให้การสมรส สิ้นสุดลง และยัง มีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูกันและกันอยู่ 4.2 การอุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1461 นอกจากจะกำ หนดสิทธิหน้าที่ของสามีภริยาว่าต้อง อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาแล้ว และยังบัญญัติว่า " สามีภริยาต้อง ช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตาม ความสามารถและฐานะของตน " ดังนั้น ชายหญิงที่สมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายจึงเกิดหน้าที่ต้อง ช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งเพราะบุคคลที่เป็นสามีภริยาควรเป็นผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน หากฝ่ายใดไม่ทำ หน้าที่ดังกล่าวอีกฝ่ายหนึ่งสามารถฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูได้ 4.3 การเป็นผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ ในกรณีที่ศาลสั่งให้คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ คู่ สมรสอีกฝ่ายย่อมเป็นผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ เว้นแต่ในกรณีที่ศาลจะได้สั่งเป็นอย่างอื่น " ทั้งนี้เนื่องจาก คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งมีหน้าที่ต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามมาตรา 1461 วรรคสอง ฉะนั้นเมื่อจะ ตั้งผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ จึงกำ หนดให้ต้องตั้งคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งทำ หน้าที่นี้ 8


4.4 ห้ามทำ การสมรสซ้อน มาตรา 1452 บัญญัติว่า " ชายหรือหญิงจะทำ การสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้ " ดังนั้น การ ที่บุคคลใดได้ทำ การสมรสถูกต้องตามกฎหมายย่อมได้รับการคุ้มครอง ว่าคู่สมรสของตนจะไม่สามารถ ทำ การสมรสกับบุคคลอื่นได้อีก และหากมีการจดทะเบียนสมรสครั้งที่สองในขณะที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยัง ไม่หย่าขาดตามกฎหมายนั้น การสมรสครั้งที่สองย่อมไม่มีผลทางกฎหมาย ถือว่าการสมรสซ้อนเป็น โมฆะ เมื่อเป็นสามีภริยากันตามกฎหมายแล้ว สามีภริยาจะอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันกริยา หรือสามี มีชู้หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณไม่ได้ หากกระทำ การดังกล่าวอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ 4.5 ทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส ในเรื่องทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา เมื่อชายหญิงสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย กฎหมายได้จัดระบบ ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาโดยกำ หนดให้มีอยู่ 2 ประเภท ดังนี้ 4.5.1 สินส่วนตัว ( Separate Properry ) คือ ทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะ ได้แก่ ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส ทรัพย์สินที่เป็นเครื่องใช้ส่วนตัวเครื่องแต่ง กาย หรือเครื่องประดับกายตามควรแก่ฐานะ หรือเครื่องมือเครื่องใช้จำ เป็นในการประกอบอาชีพ หรือ วิชาชีพของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างการสมรสโดยการได้รับ มรดก หรือการให้โดยเสน่หา และทรัพย์สินที่เป็นของหมั้น กรณีเหล่านี้เป็นสินส่วนตัวของแต่ละฝ่าย ต่างมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่จะจำ หน่ายจ่ายโอนได้ โดยลำ พังเนื่องจากกฎหมายให้อำ นาจ จัดการได้โดยลำ พัง 4.5.2 สินสมรส ( Community Property ) คือ ทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันของคู่สมรส ได้แก่ ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรม หรือการให้เป็นหนังสือ เมื่อพินัยกรรม หรือหนังสือยกให้ระบุว่าเป็นสินสมรส และทรัพย์สินที่เป็นดอก ผลของสินส่วนตัว " ทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรสนี้ไม่คำ นึงว่า สามีหรือภริยาฝ่ายใดเป็นฝ่ายหาฝ่าย เดียว หรือหามาได้ทั้งสองฝ่ายมากน้อยแตกต่างกันอย่างไร หรือมีรายได้หรือเงินเดือนมากน้อยแตกต่าง กันอย่างไร สามีภริยาเป็นเจ้าของร่วมกันในเงินสินสมรสทั้งหมด และจะแบ่งแยกกันในระหว่างเป็นสามี ภริยาไม่ได้ เว้นแต่มีเหตุตามที่กฎหมายกำ หนดจึงจะแบ่งแยกสินสมรสได้ 9


4.6 สิทธิในการเรียกค่าเลี้ยงชีพ ตามกฎหมายไทยชายหญิงที่ทำ การสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมาย การสมรสจะสิ้นสุดถงด้วยเหตุ 3 ประการ คือความตาย การหย่า หรือศาลพิพากษาให้เพิกถอนโดยกรณีการหย่า อาจเป็นหย่าโดย ความยินยอมหรือหย่าโดยคำ พิพากษาของศาล ซึ่งก็คือเป็นกรณีที่สามีหรือภริยาฟ้องหย่าโดยต้องมีเหตุ ฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516 ถ้าเหตุหย่าเป็นความผิดของคู่สมรสฝ่าย ใดฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียวและการหย่านั้นทำ ให้ยากจนลง เพราะไม่มีรายได้พอจากทรัพย์สิน หรือจาก การงานตามที่เคยทำ อยู่ในระหว่างสมรส อีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะขอให้ฝ่ายที่ต้องรับผิดจ่ายค่าเลี้ยงชีพ " ซึ่ง ค่าเลี้ยงชีพ หมายถึงเงินหรือทรัพย์สินที่สามีภริยาคู่หย่าชำ ระให้แก่กันหลังการหย่าเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน ด้านที่พักอาศัย ค่าอาหาร ค่าเครื่องนุ่งห่ม และค่ารักษาพยาบาลจนกว่าจะสมรสใหม่ 4.7 การรับบุตรบุญธรรม ตามหลักกฎหมายไทยผู้ที่รับบุตรบุญธรรมได้ คือบุคคลที่มีอายุไม่ต่ำ กว่า 25 ปี แต่ผู้นั้น ต้องมีอายุ มากกว่าผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรมอย่างน้อย 15 ปี ผู้เยาว์ที่เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลใดอยู่ จะเป็น บุตรบุญธรรมของบุคคลอื่นอีกในขณะเดียวกันมิได้ เว้นแต่เป็นบุตรบุญธรรมของคู่สมรสของผู้รับบุตร บุญธรรม โดยจะต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสซึ่งเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมอยู่แล้ว 4.8 มรดก ตามกฎหมายไทยคู่สมรสมีสิทธิได้รับมรดกของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยถือว่าคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นเป็น ทายาทโดยธรรม ต้องพิจารณาหลักเกณฑ์ลำ ดับการรับมรดกของคู่สมรสตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 1635 และคู่สมรสที่มีสิทธิรับมรดกต้องเป็นคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย ทายาทโดยธรรมซึ่งจะมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลัง ดังต่อไปนี้ คือ 1. ผู้สืบสันดาน 2. บิดามารดา 3. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 4. พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน 5. ปู่ ย่า ตา ยาย 6. ลุง ป้า น้า อา 10


กฏหมายการจราจร กฏจราจรคืออะไร ? กฎหมายจราจรเป็นกฎหมายที่บัญญัติเพื่อความ ปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของผู้ขับขี่ ผู้ใช้รถใช้ ถนน ตลอดจนความประสงค์ที่จะให้เกิดความเป็น ระเบียบเรียบร้อยของการใช้รถใช้ถนน เพื่อมิให้เกิด ปัญหาการจราจรตามที่เป็นอยู่ ความผิดตามกฎหมาย จราจร จึงเป็นความผิดประเภทข้อห้ามอย่างหนึ่ง เมื่อ บุคคลได้มารวมกลุ่มเป็นสังคมแล้ว ความต้องการของ แต่ละคนก็ต่างกัน ความประพฤติและภูมิหลังการศึกษา ฐานะทางเศรษฐกิจ ความเชื่อทางศาสนา การประกอบ อาชีพของแต่ละคนก็แตกต่างกัน หากปล่อยให้แต่ละคน กระทำ การตามความต้องการ ก็คงจะเกิดความวุ่นวาย ยุ่งเหยิงขึ้นในสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สังคมจึงจำ เป็น ต้องมีระเบียบ กฎเกณฑ์ ให้สมาชิกทุกคนได้ปฏิบัติอย่าง เสมอภาค กฎหมายจราจรเป็นกฎหมายที่ไม่ได้ถูกบัญญัติขึ้นโดย เหตุผลทางด้านศีลธรรม แต่ได้ถูกบัญญัติขึ้นโดยเหตุผล ทางเทคนิค หรือ กฎหมายเทคนิค ( Technical Law ) การกระทำ ผิดตามกฎหมายจราจร จึงเป็นการกระทำ ผิด ตามที่กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดและกำ หนดโทษไว้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ความผิดตามกฎหมายจราจร เป็นความผิดที่จัดอยู่ในประเภทโดยธรรมชาติของการกระ ทำ ไม่ถือว่าเป็นความผิดทางอาญาโดยแท้ ( Truecrime ) และมีลักษณะเป็นความผิดเล็กๆน้อยๆมีลักษณะที่ไม่เป็น ความผิดในตัวมันเอง แต่มีลักษณะเป็นกฎระเบียบที่ต้อง ปฏิบัติตาม มิฉะนั้นจะต้องรับผิดซึ่งเรียกความผิดประเภท นี้ว่า ความผิดต่อกฎระเบียบ ( Regulatory Offence ) ส่วนความผิดที่บัญญัติขึ้นมาเพื่อความปลอดภัยในการ จราจร จะมีลักษณะของการกระทำ ที่อาจเกิดขึ้นในสังคม ได้ จะเห็นได้ว่าความผิดตามกฎหมายจราจรแบ่งลักษณะ ของความผิดเป็น 3 ประเภท คือ 11


1. ความผิดที่เป็นความผิดต่อกฎระเบียบ ความผิดต่อกฎระเบียบ จัดเป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนที่เป็นกฎระเบียบ รวมถึงพฤติกรรมซึ่งโดย ปกติทั่วไปจะไม่ถูกพิจารณว่าเป็นการผิดศีลธรรมและจะถูกตำ หนิเพียงเล็กน้อย ( Little Stigma ) เท่านั้น และเนื่องจากเป็นความผิดซึ่งโดยธรรมชาติไม่ใช่ความผิดอาญา จึงมีโทษไม่รุนแรง โทษจำ คุก จึงไม่มีความจำ เป็น ดังนั้นบทลงโทษจึงเป็นเพียงการปรับเท่านั้น หรือโทษอย่างอื่นซึ่งอาจนำ มาเทียบ เคียงได้กับโทษปรับ และจากการที่มีผลเป็นความผิดเล็กน้อย ทำ ให้วิธีการพิจารณาความผิดและการ ตัดสินลงโทษ แตกต่างไปจากที่เป็นความผิดทางอาญา เป้าหมายของการบัญญัติความผิดต่อกฎระเบียบ ( Regulatory Legislation ) คือ การปกป้อง สังคมในวงกว้าง จากผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายที่เกิดจากการฝ่าฝืนการกระทำ ที่ผิด กฎหมาย ( Unlawful Activity ) และรวมถึงการเปลี่ยนแปลงจากการใช้ความคุ้มครอง และผล ประโยชน์ส่วนบุคคล และการลงโทษการกระทำ ที่มีลักษณะผิดศีลธรรมมาเกี่ยวข้องและมาตรการที่ เป็นกฎระเบียบ ( Regulatory Measure ) โดยทั่วไปแล้ว จะควบคุมดูแลเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิด ในอนาคต และเป็นอันตรายต่อคุณธรรมทางกฎหมาย โดยผ่านการบังคับใช้ให้มีความระมัดระวัง และ วามประพฤติตามข้อกำ หนดขั้นต่ำ ดังนั้น แนวความคิดของความผิดต่อกฎระเบียบ มีรากฐานมาจาก การระมัดระวังอย่างมีเหตุผล และเรื่องดังกล่าวไม่ได้แสดงเป็นนัยว่า สมควรจะได้รับการถูกตำ หนิทาง จิตใจในลักษณะเช่นเดียวกับความผิดทางอาญา ด้วยเหตุผลดังกล่าว ความผิดต่อกฏระเบียบเหล่านี้ โดยปกติทั่วไปจะไม่ถูกพิจารณาว่าเป็นการทำ ผิด ศีลธรรม ดังนั้น ผู้กระทำ ความผิดอาจจะเพียงถูกตำ หนิจากสังคม และเป็นความผิดที่มุ่งคุ้มครอง ประโยชน์ในด้านต่างๆ ในการจัดความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคมเพื่อประโยชน์ในทางปกครอง บริหาร ความผิดเหล่านี้มีความมุ่งหมายที่จะยกระดับมาตรฐานของความปลอดภัยและระงับความ รุนแรงที่อาจเกิดจากการอยู่ร่วมกัน เช่น ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการจราจรกฎหมายว่าด้วยการ ขนส่ง เป็นต้น 12


2. ลักษณะของความผิดที่เป็นการก่ออันตราย วัตถุประสงค์หลักในการบัญญัติกฎหมายจราจรขึ้นมา มิใช่เพียงเพื่อความสะดวกในการจราจรเพียง อย่างเดียว แต่ยังเป็นการบัญญัติขึ้นมาเพื่อความปลอดภัยในการจราจรด้วย ฉะนั้นจึงมีการลงโทษ การกระทำ ความผิดที่มีลักษณะเป็นการก่อให้เกิดอันตรายด้วย ความผิดที่มีลักษณะก่อให้เกิดอันตราย เป็นการกระทำ ที่ใกล้จะก่อให้เกิดผลเป็นอันตรายต่อคุณธรรมทางกฎหมาย ที่บุคคลอื่นได้รับความ คุ้มครอง แม้ว่าผลเป็นเพียงความเสียหายที่จะยังไม่เกิดขึ้นสามารถลงโทษได้แล้ว ดังนั้นความผิดที่ เป็นการก่ออันตรายจึงมี " ความสมควรการลงโทษ " อยู่ในตัวเองเหมือนความผิดอาญาที่เป็นการทำ อันตราย จึงได้มีการบัญญัติความผิดอาญาที่เป็นการก่ออันตรายขึ้น โดยพิจารณาจากความเป็นไปได้ ของผลที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีการบัญญัติความผิดดังกล่าวไว้ในกฎหมายลำ ดับรอง ซึ่งนับ วันจะมีเพิ่มมากขึ้น เช่นกฎหมายว่าด้วยการจราจร เป็นต้น ทั้งนี้เพราะว่าในความสัมพันธ์ของชีวิต ปัจจุบันโดยทั่วไปแล้วได้นำ ไปสู่ความจำ เป็นจะต้องป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะเป็นผลให้ ต้องจำ กัด หรือละเลยต่อหลักนิติรัฐเสรีนิยมไปบ้างก็ตามความผิดอาญาที่เป็นการก่ออันตราย เกิดจาก แนวความคิดที่ว่า การกระทำ อย่างใดอย่างหนึ่งของผู้กระทำ ความผิด ที่เป็นอันตรายต่อคุณธรรมทาง กฎหมายที่บุคคลอื่นได้รับการคุ้มครองโดยที่การกระทำ ดังกล่าวไม่จำ เป็นต้องปรากฏผลของอันตราย ในองค์ประกอบความผิดเท่านั้น ไม่จำ เป็นต้องวินิจฉัยว่ามีผลของอันตรายเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เช่น การ ขับรถยนต์ขณะเมาสุราเพียงเล็กน้อย ก็ถือว่าเป็นความผิด หรือการขับรถยนต์ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง แม้ว่าการกระทำ นั้นยังไม่ก่อให้เกิดความเสียหายก็ตาม แต่จะเห็นว่าอาจเกิดอันตรายขึ้นจากการกระ ทำ ดังกล่าวต่อบุคคลทั่วไปได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของการจราจรและ คุณธรรมทางกฎหมายของส่วนรวม ด้วยเหตุนี้เองความผิดอาญาที่เป็นการก่ออันตรายจึงไม่ได้ถูก บัญญัติขึ้นมาเพื่อลงโทษการกระทำ ที่เกิดความเสียหาย แต่ถูกบัญญัติขึ้นมาเพื่อให้เกิดความมั่นคงและ ความปลอดภัยในสังคม 13


3. ความผิดที่เป็นการกระทำ โดยประมาท พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ถือว่าเป็นกฎหมายอาญาประเภทหนึ่งเพราะเป็น กฎหมายที่ว่าด้วยความผิดและกำ หนดโทษไว้ ด้วยเหตุนี้ความรับผิดในทางอาญาของผู้กระทำ ความผิด ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกเมื่อปีพ.ศ. 2522 จึงต้องพิจารณา " เจตนา " ตามมาตรา 59 วรรค แรก แห่งประมวลกฎหมายอาญาด้วย แสดงว่าผู้กระทำ ความผิดจะต้องรับผิดตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 จะต้องมีเจตนาด้วย แต่มีบางฐานความผิด แม้ว่าผู้กระทำ ความผิดจะกระทำ โดยประมาทก็ต้องรับผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ได้แก่ ความผิดฐานขับรถโดย ประมาทตามมาตรา 43 ( 4 ) ที่บัญญัติว่า " ห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจ เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน " จะเห็นได้ว่าพระราชบัญ ญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ( 4 ) ใช้คำ ว่า " อันอาจเกิด " แสดงว่าผลของการกระทำ ยังไม่เกิดอันตราย ผู้กระทำ ความผิดก็ต้อง รับโทษแล้ว แม้จะเป็นการกระทำ โดยประมาท แนวความคิดเกี่ยวกับใบอนุญาตขับขี่นั้น ใบอนุญาตขับขี่ใบแรกของโลกนั้นออกให้แก่ Karl Benz ซึ่ง เป็นผู้ผลิตรถยนต์สมัยใหม่ ( Modern Automobile ) ในปี ค.ศ. 1888 เนื่องจากประชาชนในเมือง Mannheim ที่ Benz ผลิตขึ้น Benz จึงได้ขออนุญาตจากทางการของประเทศเยอรมันในสมัยนั้นเพื่อ ที่จะทำ การวิ่งรถของเขาในทางสาธารณะได้ ใบอนุญาตขับขี่จึงเป็นหลักประกันความสามารถในการขับขี่รถ ซึ่งเป็นการคัดกรองผู้ขับขี่โดยกฎ เกณฑ์ที่รัฐตั้งขึ้นว่าได้มีการตรวจสอบความสามารถทั้งในด้านการขับขี่ และความรู้เรื่องกฎหมายจราจร มาแล้วอย่างดี ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงเป็นที่มาของกฎหมายจราจรว่าผู้ที่จะขับรถจะต้องได้รับใบ อนุญาตขับขี่ตามประเภทรถที่ขับขี่ เพื่อเป็นการคัดกรองป้องกันบุคคลที่มีอายุที่ยังไม่ถึงเกณฑ์ บุคคล ไม่มีความพร้อมด้านร่างกาย เช่น ร่างกายพิการ บุคคลที่ไม่ได้ผ่านการทดสอบความรู้ด้านกฎหมาย จราจร ไม่ให้สามารถขับยานพาหนะได้ เพราะหากปล่อยให้บุคคลเหล่านี้สามารถขับยานพาหนะได้ แล้วย่อมจะก่อให้เกิดปัญหาการเกิดอุบัติเหตุจำ นวนมาก รัฐจึงต้องกันบุคคลเหล่านี้ไม่ให้สามารถขับขี่ ยานพาหนะจนอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่นได้ 14


กฎหมายจราจรของประเทศไทยก็ได้สะท้อนถึงวัตถุประสงค์ของใบอนุญาตขับขี่ไว้ในหลายๆส่วน เช่น พระราชบัญญัติรถยนต์ มาตรา 42 ที่กำ หนดให้ ผู้ขับรถต้องได้รับใบอนุญาตขับรถและต้องมีใบอนุญาตขับ รถและสำ เนาภาพถ่ายใบคู่มือจดทะเบียนรถ เพื่อแสดงต่อเจ้าพนักงานได้ทันที และมาตรา 46 ที่กำ หนดให้ ผู้จะขอใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนตัว ผู้ขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคล หรือรถจักรยานยนต์ชั่วคราวจะต้องมี คุณสมบัติตามที่กฎหมายกำ หนด คือ มีอายุไม่ต่ำ กว่า 18 ปีบริบูรณ์สำ หรับรถยนต์ และมีอายุไม่ต่ำ กว่า 15 ปีบริบูรณ์สำ หรับรถจักรยานยนต์ นอกจากนี้ยังกำ หนดให้ต้องมีความรู้และความสามารถในการขับรถ และ รู้กฎหมายจราจรอีกด้วย รวมถึงจะต้องมีสภาพร่างกายที่พร้อมที่จะขับรถได้ เช่น ไม่เป็นผู้ร่างกายพิการ ไม่ เป็นโรคประจำ ตัวที่อาจเป็นอันตรายต่อการขับรถ ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต เป็นต้น ทฤษฎีเกี่ยวกับการลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎหมายจราจร เนื่องจากโดยทั่วไป " กฎหมายนั้นจะมีผลสมบูรณ์ยิ่งขึ้นตามเจตนารมณ์ของการออกกฎหมาย จะต้องมี การวางข้อกำ หนดโทษเอาแก่บุคคลซึ่งไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือข้อบังคับนั้นหรือปฏิบัติเกินไปกว่าที่ตน จะต้องทำ ซึ่งข้อกำ หนดโทษนี้จะก่อให้เกิดความกลัวแก่บุคคลซึ่งฝ่าฝืน ข้อกำ หนดของกฎหมาย " ใน ทำ นองเดียวกันกฎหมายจราจรเองก็มีการกำ หนดเรื่องโทษแก่ผู้ที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเช่นเดียวกับ กฎหมายอื่นๆ เพียงแต่สถานภาพของผู้ฝ่าฝืนกฎหมายจราจรกับผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายอื่นๆ เช่น กฎหมาย อาญา จะมีความแตกต่างกันในมุมมองของทางกฎหมายกับมุมมองของทางสังคม โดยที่ในมุมมองทาง กฎหมายจะมองว่าการกระทำ ที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งบัญญัติเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะทุก ประเภทเป็นการก่ออาชญากรรม ดังนั้นผู้ขับขี่ฝ่าฝืนกฎจราจรในมุมมองของกฎหมายจึงมีลักษณะเป็นการ ก่ออาชญากรรม แต่ในทางความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ในสังคมกลับไม่เห็นว่าการฝ่าฝืนกฎจราจรเป็นการก่อ อาชญากรรม 15


การบังคับใช้กฎหมายจราจร 1. ความหมายการบังคับใช้กฎหมายจราจร การบังคับใช้กฎหมายจราจร หมายถึง การบังคับให้ผู้ใช้รถใช้ถนนได้ปฏิบัติตามกฎหมายข้อบังคับเกี่ยวกับ การจราจรการขนส่งทางบก เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม และเพื่อเป็นการสร้างวินัยในการขับขี่ แก่ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ทั้งนี้เพราะวินัยจราจรมีความสำ คัญและมีบทบาทอย่างยิ่งในการควบคุมกำ กับให้ บุคคลปฏิบัติตามเงื่อนไขเพราะหากสมาชิกในสังคมทุกคน มีระเบียบวินัยและถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดแล้ว ก็ ย่อมจะทำ ให้สังคมสงบสุข มีความเจริญก้าวหน้า อันเป็นสิ่งสำ คัญยิ่งในการพัฒนาสังคม ในทางตรงกันข้าม หากสมาชิกในสังคมต่างประพฤติปฏิบัติตามอำ เภอใจ โดยไม่คำ นึ่งถึงกฎเกณฑ์ของสังคม คำ นึ่งถึงผล ประโยชน์ ความสะดวกสบายของฝ่ายตน โดยไม่คำ นึงถึงกฎเกณฑ์ของสังคมแล้ว บ้านเมืองที่ไร้ระเบียบวินัย กฎหมายไร้ความศักดิ์สิทธิ์ ย่อมจะก่อให้เกิดผลเสียหายต่อประเทศชาติ ปัญหาการจราจรในกรุงเทพมหานคร ส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่มีระเบียบวินัยความเห็นแก่ตัวของผู้ขับขี่ยวดยาน ซึ่งไม่เคารพและไม่ถือปฏิบัติตาม กฎหมายจราจร เพราะฉะนั้น นโยบายหรือมาตรการ "การสร้างวินัยจราจร " จึงเป็นเรื่องจำ เป็นเช่น เน้นในการกวดขัน จับกุมผู้ใช้รถใช้ถนน ให้เป็นผู้ที่ต้องรักษากฎระเบียบและวินัยอย่างเคร่งครัด ผู้ใดฝ่า ฝืนก็ควรจะมีมาตรการที่ ลงโทษเฉียบขาดยิ่งขึ้น การบังคับใช้กฎหมายจราจร เป็นตัวจักรสำ คัญวิธีหนึ่งในการแก้ไขปัญหาจราจร หมายถึงการบังคับด้วย กฎหมายให้ผู้ใช้รถใช้ถนนปฏิบัติตามกฎหมายจราจร เพื่อ ให้เกิดความเรียบร้อยในสังคม โดยมีจุดประสงค์ เพื่อที่จะเป็นการข่มขู่มากกว่าจะเป็นการแก้แค้นผู้กระทำ ความผิด กฎหมายจราจรที่ออกมาใช้บังคับนี้ เพื่อ ความสะดวกและปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนนซึ่งเป็นธรรมดาใน สังคมที่จะต้องมีผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย ทำ ให้เกิด ผลเสียหายต่อสังคมจะร้ายแรงหรือหนักเบาประการใดย่อมแล้วแต่กรณีที่กระทำ เมื่อมีผู้ฝ่าฝืนที่จะทำ ให้ สังคมเดือดร้อน ก็จะต้องมีบทกำ หนดโทษ เพื่อปกป้องสมาชิกในสังคมให้อยู่ในครรลองเดียวกันให้มากที่สุด การบังคับใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ แสดงถึงจุดบอดของกระบวนการนิติบัญญัติที่ออกกฎหมายมา แล้วไร้ผลบังคับ และทำ ให้ฝ่ายบริหารซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการบังคับใช้กฎหมายไร้สมรรถภาพ ทั้งนี้เพราะ กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย กล่าวคือ ไม่สามารถควบคุมความประพฤติของคนในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ 16


2. แนวทางการบังคับใช้กฎหมายจราจร แนวทางการบังคับใช้กฎหมายซึ่งเน้นที่การลงโทษ เป็นแนวทางที่มาจากความเชื่อของสำ นักความคิดทาง อาชญาวิทยา สำ นักคลาสสิก ที่เชื่อว่า คนทำ ผิดเพราะไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย หรือการลงโทษ เนื่องจากการ บังคับใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิภาพหรือมีโทษไม่เหมาะสมกับการกระทำ ความผิดทำ ให้โทษ และกฎหมาย ไม่มีผลในการข่มขู่หรือยับยั้งตามวัตถุประสงค์ของการลงโทษ จึงทำ ให้ผู้กระทำ ความผิดกล้าพอที่จะเลี่ยงต่อ การกระทำ ความผิดเพราะมนุษย์มีเจตจำ นงอิสระ คือมีเหตุผลพอที่จะไตร่ตรอง ถึงผลดีผลเสียจากการกระ ทำ ความผิดของตน หากทำ แล้วคุ้มค่าก็จะเลือกกระทำ หากไม่คุ้มค่าก็จะไม่เลือกกระทำ ดังนั้นหากการบังคับ ใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ ก็เท่ากับทำ ให้โอกาสที่จะทำ ให้ได้รับประโยชน์จากการกระทำ ความผิด มี มากกว่าโอกาสที่จะถูกจับกุมลงโทษ มนุษย์ก็จะเลือกกระทำ ความผิดโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ดังนั้นการป้องกันการกระทำ ความผิดตามแนวนี้ จึงต้องทำ ให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพเพื่อให้มี ผลในการข่มขู่ ยับยั้ง ให้คนที่คิดจะทำ ผิดเกิดความเกรงกลัวไม่กล้าเสี่ยงกระทำ ผิด วิธีในการที่จะทำ ให้การ บังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพ ก็โดยผ่านการดำ เนินการตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งหมายความว่าหน่วย งานในกระบวนการยุติธรรม คือ ตำ รวจ อัยการ ศาลและราชทัณฑ์ จะต้องประสานกันในการที่จะทำ ให้การ บังคับใช้กฎหมายมีความแน่นอน รวดเร็วเสมอภาค และมีโทษที่เหมาะสม ประเภทของใบอนุญาตขับขี่ ประเภทของใบอนุญาตขับขี่ ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 43 แบ่งประเภทของใบ อนุญาตขับขี่ไว้เป็น 10 ชนิด คือ 1. ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล หรือรถจักรยานยนต์ชั่วคราว 2. ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล 3. ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคล 4. ใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ 5. ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อสาธารณะ 6. ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ 7. ใบอนุญาตขับรถบดถนน 8. ใบอนุญาตขับรถแทรกเตอร์ 9. ใบอนุญาตขับรถชนิดอื่นนอกจาก 1 - 8 10. ใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศสำ หรับรถยนต์ส่วนบุคคลหรือรถจักรยานยนต์ 17


กฏหมายเกี่ยวกับผู้เยาว์ ผู้เยาว์คืออะไร ? ผู้เยาว์ หมายถึง บุคคลผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หลาย ประเทศมักไม่นิยามคำ ว่า " ผู้เยาว์ " ไว้อย่างเด็ดขาด เช่น อายุสำ หรับความรับผิดทางอาญา อายุอย่างต่ำ ที่จะให้ ความยินยอมในการมีเพศสัมพันธ์ อายุที่จะต้องผ่านการ ศึกษาภาคบังคับ อายุที่สามารถทำ นิติกรรมด้วยตนเองได้ เป็นต้น “ผู้แทนโดยชอบธรรม” หมายถึง บุคคลซึ่งตาม กฎหมายมีสิทธิที่จะทำ การแทนผู้เยาว์ หรือหมายถึง บุคคลซึ่งต้องให้คำ อนุญาต หรือความยินยอมแก่ผู้เยาว์ใน อันที่จะกระทำ อย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ 1) ผู้ใช้อำ นาจปกครอง หมายถึง บิดามารดา 2) ผู้ปกครอง หมายถึง บุคคลอื่นนอกเหนือจากบิดา หรือ มารดา ซึ่งถูกแต่งตั้งขึ้นเพื่อปกครองผู้เยาว์ตามคำ สั่งศาล ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย ไม่ได้นิยามคำ ว่าผู้เยาว์ไว้ อย่างไรก็ตามมาตรา 19 และ 20 ได้กำ หนดเหตุ พ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะไว้ดังนี้ " มาตรา ๑๙ บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุ นิติภาวะเมื่อมีอายุยี่สิบปีบริบูรณ์ " " มาตรา ๒๐ ผู้เยาว์ย่อม บรรลุนิติภาวะเมื่อทำ การสมรส หากการสมรสนั้นได้ทำ ตาม บทบัญญัติมาตรา ๑๔๔๘ " ดังนั้น บุคคลจึงบรรลุนิติภาวะและไม่เป็นผู้เยาว์ได้เมื่ออายุ ครบยี่สิบปี หรือสมรสโดยถูกต้องตามกฎหมาย ผู้เยาว์จะถูก จำ กัดความสามารถในการทำ นิติกรรมต่างๆไว้ หากผู้เยาว์จะ ทำ นิติกรรมใดๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดย ชอบธรรมก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ ซึ่งผู้แทนโดยชอบ ธรรมนั้นโดยปกติก็คือ บิดามารดาของผู้เยาว์นั่นเอง ส่วน ปู่ย่าตายาย ญาติ หรือผู้ปกครองตามความเป็นจริงนั้นไม่ใช่ผู้ แทนโดยชอบธรรมและไม่มีอำ นาจให้ความยินยอมผู้เยาว์ใน การทำ นิติกรรม 18


นิติกรรมตกเป็นโมฆียะ นิติกรรมตกเป็นโมฆียะ หมายถึงนิติกรรมนั้นสมบูรณ์อยู่จนกว่าจะถูกบอกล้างโดยผู้แทนโดยชอบธรรมหรือ โดยตัวผู้เยาว์เองเมื่อบรรลุนิติภาวะแล้ว และเมื่อถูกบอกล้างแล้วจะถือว่านิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆะมาตั้งแต่เริ่ม แรกโดยให้คู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนไม่มีการทำ นิติกรรมดังกล่าวมาก่อนเลย ทั้งนี้ คำ ว่า " ผู้เยาว์ " จะแตกต่างจากคำ ว่า " เด็ก " และ " เยาวชน " ซึ่งแต่ละกฎหมายก็กำ หนดไว้แตกต่าง กันไป เช่น ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก กำ หนดนิยามคำ ว่าเด็กไว้ว่าบุคคลที่มีอายุต่ำ กว่าสิบแปดปี ในขณะ ที่พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัว และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว กลับนิยามคำ ว่าเด็กไว้ ว่าบุคคลที่ยังอายุไม่เกินสิบห้าปี ส่วนเยาวชน คือบุคคลที่อายุเกินสิบห้าปีแล้วแต่ยังไม่ถึงสิบแปดปี เด็กกระทำ ความผิดก่อให้เกิดความเสียหายใครต้องรับผิดชอบ? ความรับผิดในทางแพ่ง คือการชดใช้ค่าเสียหายที่เป็นทั้งตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงิน จริงอยู่แม้เด็กที่กระทำ ผิดจะ ไม่ต้องรับโทษทางอาญา แต่อาจต้องมีความรับผิดในฐานะเป็นผู้กระทำ ละเมิดตามประมวลกฏหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 420 ที่บัญญัติว่า “ ผู้ใดจงใจ หรือประมาทเลินเล่อทำ ต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฏหมายให้เขาเสีย หายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้น ทำ ละเมิด จำ ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น ” ส่วนบิดามารดา หรือผู้ปกครองจะต้องรับผิดร่วมกับเด็กนั้นด้วย ตามประมวลกฏหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 429 ที่บัญญัติว่า “ บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์ หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิด ใน ผลที่ตนทำ ละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำ อยู่นั้น ” ( คำ พิพากษาที่ 13789 / 2555 คำ พิพากษาที่ 9774 / 2544 ) ดังนั้น การที่เด็กและเยาวชน หากได้กระทำ ความผิดทางอาญา แม้จะไม่ต้องรับโทษอาญาตามกฏหมาย แต่ ยังต้องรับผิดในทางแพ่ง และบิดามารดา หรือผู้ปกครองจะต้องร่วมรับผิดกับเด็กด้วย เว้นแต่จะใช้ความ ระมัดระวังในการดูแลเด็กแล้ว จึงเป็นอุทาหรณ์ให้บิดามารดาหรือผู้ปกครองเด็กทั้งหลายที่จะต้องระมัดระวัง ดูแลเด็กในการปกครองของตนเป็นอย่างดี เพราะมิฉะนั้น จะต้องเป็นคดีความทั้งในทางแพ่งและทางอาญาได้ 19


กฏหมายนิติกรรมสัญญา นิติกรรมสัญญาคืออะไร ? นิติกรรม คือ การกระทำ ของบุคคลโดยชอบด้วย กฎหมายและมุ่งต่อผลในกฎหมายที่จะเกิดขึ้น เพื่อการ ก่อสิทธิ เปลี่ยนแปลงสิทธิ โอนสิทธิ สงวนสิทธิ สงวนสิทธิ และระงับซึ่งสิทธิ เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญากู้เงิน สัญญา จ้างแรงงาน สัญญาให้และพินัยกรรม เป็นต้น นิติกรรมฝ่ายเดียว ได้แก่ นิติกรรมซึ่งเกิดขึ้นโดย การแสดงเจตนาของบุคคลฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียวและมีผล ตามกฎหมาย ซึ่งบางกรณีก็ทำ ให้ผู้ทำ นิติกรรมเสียสิทธิได้ เช่น การก่อตั้งมูลนิธิ คำ มั่นโฆษณาจะให้รางวัล การรับ สภาพหนี้ การผ่อนเวลาชำ ระหนี้ให้ลูกหนี้ คำ มั่นจะซื้อ หรือจะขาย การทำ พินัยกรรม การบอกกล่าวบังคับ จำ นอง การทำ คำ เสนอ การบอกเลิกสัญญา เป็นต้น นิติกรรมสองฝ่าย ( นิติกรรมหลายฝ่าย ) ได้แก่ นิติกรรมซึ่งเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาของบุคคลตั้งแต่ สองฝ่ายขึ้นไป และทุกฝ่ายต่างต้องตกลงยินยอม ระหว่างกัน กล่าวคือ ฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาทำ เป็นคำ เสนอ แล้วอีกฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาเป็นคำ สนอง เมื่อคำ เสนอและคำ สนองถูกต้องตรงกันจึงเกิดมีนิติกรรมสอง ฝ่ายขึ้น หรือเรียกกันว่า สัญญา เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญากู้ยืม สัญญาแลกเปลี่ยน สัญญาขายฝาก จำ นอง จำ นำ เป็นต้น สัญญาจึงจะเกิดขึ้น เมื่อคําเสนอและคํา สนองต้องตรงกัน ปพพ ม.149 “ นิติกรรม หมายความว่า การใดๆ อัน ทําลงโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร มุ่ง โดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะ ก่อการเปลี่ยนแปลง กสรโอน การสงวน หรือการระงับ ซึ่งสิทธิ ” สามารถแยกอธิบายลักษณะทั่วไปของนิตอ กรรม ดังนี้ 20


1. ลักษณะของนิติกรรม 1.1 ต้องมีการกระทำ โดยแสดงเจตนาภายในของบุคคลให้ปรากฏ เพื่อให้ผู้อื่นทราบถึงเจตนาภายในของ บุคคลนั้นว่าประสงค์ให้เกิดผลทางกฎหมายอย่างไร เช่น ตกลงซื้อด้วยวาจา ทำ หนังสือสัญญาซื้อขาย การ แสดงเจตนาโดยปริยาย 1.2 เป็นการแสดงเจตนาโดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องกระทำ ให้ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ( เช่น ความสามารถผู้ทำ นิติกรรมหรือแบบของนิติกรรม ) 1.3 ต้องแสดงเจตนาโดยสมัครใจ เป็นการแสดงเจตนาโดยสมัครใจมิได้สำ คัญผิด หลอกลวง หรือบังคับข่มขู่ 1.4 เจตนามุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ผู้ทำ นิติกรรม ต้องการให้เกิดผลทางกฎหมายอย่าง แท้จริง มิใช่เพียงล้อเล่น หรือตามมรรยาท 1.5 ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ 1.5.1 การก่อสิทธิ หมายถึง การทำ ให้เกิดสิทธิ 1.5.2 การเปลี่ยนแปลงสิทธิ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงสิทธิที่เคยมีอยู่แล้วเป็นสิทธิอย่างอื่น 1.5.3 การโอนสิทธิ หมายถึง การโอนสิทธิที่มีอยู่ในบุคคลอื่น 1.5.4 การสงวนสิทธิ หมายถึง การกระทำ ให้สิทธิที่มีอยู่เดิมคงอยู่ต่อไป 1.5.5 การระงับสิทธิ หมายถึง การทำ ให้หมดสิ้นไปซึ่งสิทธิที่มีอยู่เดิม 2. นิติกรรม มี 2 ประเภท 2.1 นิติกรรมฝ่ายเดียว เกิดจากการแสดงเจตนาของบุคคลฝ่ายเดียว เช่น การทำ พินัยกรรม การบอกเลิก สัญญา เป็นต้น 2.2 นิติกรรมหลายฝ่าย เกิดจากการแสดงเจตนาของบุคคลตั้งแต่ 2 ฝ่ายขึ้นไป ที่เรียกว่าสัญญา เช่น สัญญา เช่า สัญญากู้ยืม สัญญาซื้อขาย การก่อตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัท เป็นต้น 21


3. นิติกรรมที่ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย นิติกรรมที่ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายทำ ให้นิติกรรมนั้นไม่สมบูรณ์ซึ่งเป็นไปได้ 2 กรณี คือ 3.1 โมฆะกรรม นิติกรรมที่มีผลเสียเปล่ามาตั้งแต่ต้น 3.2 โมฆียกรรม นิติกรรมที่ยังคงสมบูรณ์จนกว่าจะถูกบอกล้าง 3.3 เหตุที่ทำ ให้นิติกรรมเป็นโมฆะกรรม ปพพ ม.154 " การแสดงเจตนาใดแม้ในใจจริงผู้แสดงจะมิได้เจตนาให้ตน ต้องผูกพันตามที่แสดงออกมา ก็ตาม หาเป็นมูลเหตุให้การแสดงเจตนานั้นเป็นโมฆะ ไม่เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง จะได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ ในใจของผู้แสดงนั้น " เช่น นายแอนต้องการยืมรถนายออมไปอวดคนรัก แต่เกลรงว่านายออมจะไม่ให้ยืมจึง แสร้งแสดงเจตนาซื้อรถจากนายออม โดยสัญญาว่าจะชำ ระราคาในเดือนหน้า ถ้านายออมรู้ว่าแท้จริงแล้ว นายแอนมีเจตนาภายในต้องการยืมรถเท่านั้น สัญญาซื้อขายตกเป็นโมฆะ ปพพ ม.155 " การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ แต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคล ภายนอก ผู้กระทำ การโดยสุจริต และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาผิดจากเจตนาที่แท้จริง โดยไม่ได้ตั้งใจ ให้มีผลทางกฎหมาย เพื่อหลอกบุคคลภายนอกไม่ได้ " เช่น นาย ก สมทบกับนาย ข โอนที่ดินให้นาย ข โดย ไม่เจตนาขายจริง แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหนี้ นาย ก มาบังคับคดี สัญญาซื้อระหว่างนาย ก กับนาย ข เป็น โมฆะ ม.155 วรรค 2 " ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรค 1 ทำ ขึ้นเพื่ออำ พรางนิติกรรมอื่น ทำ ให้นำ บทบัญญัติ ของกฎหมายเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำ พรางมาบังคับใช้ " เช่น นาย ก ต้องการยกรถยนต์ให้นาย ข แต่เกรง ภรรยาโกรธจึงทำ สัญญาขายรถยนต์อำ พราง สัญญาให้ สัญญาขายเป็นโมฆะ 3.4 เหตุที่ทำ ให้นิติกรรมเป็น โมฆียกรรม 3.4.1 บุคคลย่อนความสามารถ 3.4.2 การแสดงเจตนาโดยวิปริต ได้แก่ ความสำ คัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน การแสดง เจตนาเพราะถูกฉ้อฉล การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่ 22


3.5 ผลของนิติกรรมที่เป็นโมฆะ 3.5.1 นิติกรรมนั้นนั้นเสียเปล่า คือ ไม่มีผลใดๆ ในทางกฎหมายไม่ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ 3.5.2 ไม่อาจให้สัตยาบันได้ ถ้าคู่กรณีต้องการให้มีผลผูกพันกันตามกฎหมายให้ทำ นิติกรรมใหม่ให้ถูกต้อง ตามกฎหมาย 3.5.3 ผู้มีส่วนได้เสียคนใดคนหนึ่งมีสิทธิอ้างความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมได้ 3.5.4 ต้องคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรม 3.6 ผลของนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ 3.6.1 การบอกล้างโมฆียกรรม หมายถึง แสดงเจตนาให้โมฆียกรรม ตกเป็นโมฆะ โดยการบอกกล่าวด้วย วาจาหรือลายลักษณ์อักษรแก่คู่กรณี 3.6.2 การให้สัตยาบันโมฆียกรรม หมายถึง แสดงเจตนารับรองโฆฆียกรรม เพื่อให้นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ 4. การเกิดสัญญา สัญญา คือ นิติกรรมประเภทหนึ่งที่เกิดจากการแสดงเจตนาของบุคคลตั้งแต่ 2 ฝ่ายขึ้นไป โดยมี วัตถุประสงค์ที่จะก่อให้เกิดผลผูกพันกันในทางกฎหมาย ตามที่คู่สัญญาประสงค์หรือทำ ให้เกิดความเป็นเจ้า หนี้และลูกหนี้ต่อกัน สัญญาจึงเกิดขึ้นเมื่อคำ เสนอและคำ สนองต้องตรงกัน คำ เสนอ หมายถึง การแสดงเจตนาไปยังบุคคลหนึ่งหรือหลายบุคคลเพื่อทำ สัญญาด้วยกัน คำ สนอง หมายถึง การแสดงเจตนาตอบตกลงที่จะเข้าทำ สัญญาตามคำ เสนอคำ สนองมีลักษณะเป็นการ แสดงต่อเจตนาผู้ทำ คำ เสนอโดยตรง 23


5. มัดจำ มัดจำ หมายถึง สิ่งที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งส่งมอบไว้ให้แก่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเมื่อเข้าทำ สัญญา 5.1 ประโยชน์ของมัดจำ 5.1.1 เป็นหลักฐานในการทำ สัญญา 5.1.2 เป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญา 5.2 ลักษณะของมัดจำ 5.2.1 เงินหรือทรัพย์สินอย่างอื่น 5.2.2 ต้องส่งมอบให้คู่สัญญาอีกฝ่าย 5.2.3 จะต้องเป็นสิ่งส่งมอบให้ไว้แก่คู่สัญญาอีกฝ่ายในขณะทำ สัญญา 5.3 ผลของมัดจำ ถ้ามิได้กำ หนดไว้อย่างอื่น การมัดจำ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ดังนี้ 5.3.1 ถ้าผู้วางมัดจำ ได้ชำ ระหนี้ตามกฎหมายครบถ้วนถูกต้อง กฎหมายกำ หนดให้ผู้รับมัดจำ ส่งมัดจำ นั้น คืนหรือจัดเป็นการชำ ระหนี้บางส่วน 5.3.2 ถ้าผู้มัดจำ ไม่ชำ ระหนี้กรณีดังต่อไปนี้ให้รับมัดจำ ได้ 5.4 ถ้าผู้รับมัดจำ ละเลยไม่ชำ ระหนี้หรือการชำ ระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย เพราะความผิดของผู้รับมัดจำ ผู้รับมัดจำ ต้องส่งคืนมัดจำ นั้น 6. เบี้ยปรับ หมายถึง ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่คู่สัญญากำ หนดกันไว้ล่วงหน้า คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะให้คู่สัญญา อีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อตนไม่ชำ ระหนี้ หรือชำ ระหนี้ไม่ถูกต้องตามสัญญา 24


7. การค้ำ ประกัน การค้ำ ประกัน คือ การที่บุคคลหนึ่งเรียกว่า ผู้ค้ำ ประกัน ตกลงรับหน้าที่จ่าย ค่าเสียหายให้แก่เจ้าหนี้แทน ลูกหนี้ที่ผิดสัญญาต่อเจ้าหนี้ เจ้าหนี้จึงเป็น " ผู้รับประโยชน์ " ตามสัญญาค้ำ ประกัน ส่วนลูกหนี้เป็น " ผู้ ร้องขอการค้ำ ประกัน " โดย ที่มีเจ้าหนี้และลูกหนี้เข้าทำ สัญญาต่อกัน อันเป็นต้นเหตุการณ์ร้องขอให้มีการค้ำ ประกันดังกล่าว 7.1 ประเภทของการค้ำ ประกัน 7.1.1 การค้ำ ประกันตามแบบพิธี หมายถึง การค้ำ ประกันที่ลูกหนี้มีสิทธิยก ข้อต่อสู้ของตนที่มีต่อเจ้าหนี้มา ยับยั้งมิให้ผู้ค้ำ ประกันจ่ายเงินค่าเสียหายแก่เจ้าหนี้ จึง มักลงเอยด้วยการนำ คดีเข้าต่อสู้ศาลเพื่อตัดสินว่าใคร ผิดใครถูก หรือเจ้าหนี้ตกลงกับ ลูกหนี้ให้ยอมรับผิด และยินยอมให้ผู้ก้ำ ประกันจ่ายค่าเสียหายแทนลูกหนี้ไป ก่อน 7.1.2 การค้ำ ประกันที่มีค่าเสมือนเงินสด หมายถึง การค้ำ ประกันที่ผู้ก้ำ ประกันไม่จำ เป็นต้องรับฟังมูลเหตุ ที่ลูกหนี้อาจจะยกมายับยั้งหน้าที่การจ่าย ค่าเสียหายของผู้ก้ำ ประกัน และให้สิทธิแก่ผู้ค้ำ ประกันที่จะเรียกคืน จากลูกหนี้ได้การค้ำ ประกันประเภทนี้มักจะมีธนาคารหรือสถาบันการเงินออกเป็นหนังสือให้ 7.2 ความรับผิดชอบของผู้ค้ำ ประกัน 7.2.1 ผู้ค้ำ ประกันต้องรับผิดชอบ จ่ายค่าเสียหายแก่เจ้าหนี้แทนลูกหนี้แล้วจึงมาสิทธิไล่เบี้ยคืนจากลูกหนี้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงผู้ค้ำ ประกันจึงกำ หนดให้ลูกหนี้นำ ทรัพย์สินของตนมาจำ นองไว้ต่อผู้ค้ำ ประกัน หรือ จัดหาผู้น่าเชื่อถือมาค้ำ ประกัน ผู้ค้ประกันอีกทอดหนึ่ง นอกจากนั้นผู้ค้ำ ประกันยังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจาก ผู้ร้องขอการค้ำ ประกัน ( ลูกหนี้ ) 7.2.2 ผู้ค้ำ ประกันรับผิดชอบในมูลค่าเงินค่าเสียหาย และขอบเขตของเวลาความรับผิดชอบ 7.3 การประกันด้วยทรัพย์ มี 2 ประเภท คือ 7.3.1 จำ นำ 7.3.2 จำ นอง 8. จำ นำ หมายถึง การที่เจ้าของทรัพย์ส่งมอบทรัพย์สิ่งของไปอยู่ในความครอบครองของเจ้าหนี้เพื่อเป็นหลักประกัน การชำ ระหนี้ ทรัพย์ที่จำ นำ ได้จะเป็นสิ่งของอะไรก็ได้ที่มีราคาเพียงพอที่เจ้าหนี้ผู้รับจำ นำ จะไปขายทอดตลาด แลกเป็นเงิน เพื่อนำ มาใช้หนี้ลูกหนี้ค้างชำ ระแก่ตน ในทางการค้าการลงทุนทรัพย์ที่จะนำ มาจำ นำ ประกันการ ชำ ระหนี้เป็นตราสารแสดงสิทธิต่างๆ เรียกว่า " สิทธิที่มีตราสาร " 25


สิทธิที่มีตราสาร สิทธิที่มีตราสาร หมายถึง หนี้หรือสิทธิเรียกร้องที่แสดงออกโดยใช้ตราสารหนังสือ ซึ่งต้องจัดทำ ขึ้นตาม แบบแผนเฉพาะอย่าใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าแบบแผนตามกฎหมายกำ หนด หรือตามจารีตประเพณีปฏิบัติใน ทางการค้าธุรกิจ ได้แก่ 8.1 ตั๋วเงิน 3 ประเภท ( ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน เช็คเงิน ) 8.2 บัตรเงินฝากประจำ ประเภทโอนเปลี่ยนมือได้ 8.3 ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ 8.4 ใบตราส่ง ( ผู้รับขนส่งสินค้าออกให้ ) 8.5 ใบประทวนสินค้า ( ผู้รับฝากสินค้าในคลังออกให้ ) 9. จำ นอง คือ การที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ อันได้แก่ ที่ดิน อาคาร บ้านเรือน และ สังหาริมทรัพย์บางอย่างมาจด ทะเบียนจำ นอง อันได้แก่ เครื่องจักร เรือ และสัตว์พาหนะที่จดทะเบียนแล้วตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นมา จดทะเบียนจำ นองเพื่อประกันการชำ ระหนี้แก่เจ้าหนี้ การจำ นองนี้เป็นการให้บุริมสิทธิเหนือหลักทรัพย์ที่ จำ นองโดยการจดทะเบียนรับรู้สิทธิของเจ้าหนี้ที่จะบังคับขายทอดตลาดทรัพย์นั้นเพื่อเอาราคาขายมาชำ ระ หนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นๆ 10. สรุป นิติกรรม คือ การกระทำ โดยชอบด้วยกฎหมาย ด้วยใจสมัครมุ่งโดยตรง ต่อการผูกนิติกรรมสัมพันธ์ขึ้น ระหว่างบุคคล นิติกรรมมี 2 ประเภท คือ นิติกรรมฝ่ายเดียว กับนิติกรรมหลายฝ่าย นิติกรรมที่ไม่สมบูรณ์ อาจเกิดเป็นโมฆะหรือโมฆียกรรม สัญญาคือ นิติกรรมประเภทหนึ่ง เกิดจากการแสดงเจตนาของบุคคลตั้งแต่ 2 ฝ่ายขึ้นไป โดยมีวัตถุประสงค์ ที่จะก่อให้เกิดผลผููกพันทางกฎหมายตามที่คู่สัญญาประสงค์ สัญญาจึงเกิดขึ้นเมื่อคำ เสนอและคำ สนอง ต้อง ตรงกัน เพื่อให้สัญญามีผลบังคับในทางปฏิบัติมักกำ หนดให้มีการวางมัดจำ การค้ำ ประกันสัญญา การค้ำ ประกันสัญญาอาจใช้บุคคลค้ำ ประกัน หรือค้ำ ประกันด้วยทรัพย์ อันได้แก่ สัญญาจำ นำ สัญญาจำ นอง 26


กฏหมายสินค้าออนไลน์ สินค้าออนไลน์คืออะไร ? ผู้ประกอบการธุรกิจร้านออนไลน์ ควรทำ ความเข้าใจ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของกฎระเบียบ การดูแล ความปลอดภัยต่อข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภค และ การเตรียมพร้อมรับมือการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ หรือป้องกัน การไปนำ ข้อมูลเนื้อหาที่อยู่ในความครอบครองของผู้อื่น มาใช้แสวงหาประโยชน์ ตามกฎหมาย หากจะเปิดร้าน ขายของออนไลน์ต้องไปจดทะเบียนพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ กฎหมายนี้บังคับทั้งการขายของ ออนไลน์แบบบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ทั้งแบบมีหน้า ร้านและไม่มีหน้าร้าน หากไม่ทำ ตามก็มีโทษปรับสูงสุดไม่ เกิน 2,000 บาท และปรับไม่เกินวันละ 100 บาท จนกว่าจะไปจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย หลายคนหันมาหาช่องทางเพิ่มรายได้ด้วยการขายของ ออนไลน์กันมากขึ้น แม้การแข่งขันจะสูง แต่ก็ถือว่าขาย ง่าย ลูกค้าเยอะ และเป็นอาชีพที่เหมาะกับสถานการณ์ใน ช่วงนี้มากที่สุด แต่การขายของออนไลน์ที่ดูเหมือนจะเริ่มต้นง่ายนั้น อันที่จริงก็มีข้อกฎหมายบังคับเอาไว้ว่าจะต้องจดทะเบียน ขึ้นเป็นร้านค้าออนไลน์ถูกกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ส่วนใหญ่มักมองข้ามไป สินค้าบาง ประเภทจำ เป็นต้องได้รับอนุญาตหรือขึ้นทะเบียนก่อนจึง สามารถ “ ผลิต ” “ จำ หน่าย ” หรือ “ นำ เข้า ” ได้โดย การอนุญาต หรือขึ้นทะเบียนนั้น ก็เป็นไปตามกฎ ระเบียบของแต่ละหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ผู้ประกอบ การจึงควรศึกษาหรือตรวจสอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ แน่ชัดการแสดงรายละเอียดของสินค้า 27


1. บุคคลธรรมดา 1.1 สำ เนาบัตรประชาชนของผู้ประกอบการ 1.2 สำ เนาทะเบียนบ้านของผู้ประกอบการ 1.3 แบบฟอร์มจดทะเบียนพาณิชย์ ( ทพ. ) ข้อ 1 - 8 1.4 เอกสารประกอบการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 1.5 Print หน้าแรกของเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์ วิธีการสั่งซื้อ วิธีการชำ ระเงิน และวิธีการ จัดส่งสินค้า 1.6 แผนที่สถานที่ประกอบการ หากไม่ใช่เจ้าของบ้านต้องมีเอกสารยินยอมให้ใช้สถานที่ สำ เนาทะเบียน บ้าน หรือหนังสือสัญญาเช่าแนบไปด้วย 1.7 หากผู้ประกอบการไม่ได้มาดำ เนินการด้วยตัวเอง ต้องมีหนังสือมอบอำ นาจและสำ เนาบัตรประชาชน ผู้รับมอบอำ นาจแนบไปด้วย 2. นิติบุคคล 2.1 สำ เนาบัตรประชาชนของผู้ประกอบการ 2.2 สำ เนาทะเบียนบ้านของผู้ประกอบการ 2.3 แบบฟอร์มจดทะเบียนพาณิชย์ ( ทพ. ) ข้อ 1 - 8 และ ข้อ 12 2.4 เอกสารประกอบการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 2.5 Print หน้าแรกของเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์ วิธีการสั่งซื้อ วิธีการชำ ระเงิน และวิธีการ จัดส่งสินค้า 2.6 แผนที่สถานที่ประกอบการ หากไม่ใช่เจ้าของบ้านต้องมีเอกสารยินยอมให้ใช้สถานที่ สำ เนาทะเบียน บ้าน หรือหนังสือสัญญาเช่าแนบไปด้วย 2.7 หนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน 2.8 หากผู้ประกอบการไม่ได้มาดำ เนินการด้วยตัวเอง ต้องมีหนังสือมอบอำ นาจและสำ เนาบัตรประชาชน ผู้รับมอบอำ นาจแนบไปด้วย 28


3. ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 3.1 จดทะเบียนใหม่ 50 บาท 3.2 เปลี่ยนแปลงรายการ 20 บาท 3.3 ยกเลิกการจดทะเบียน 20 บาท 4. เครื่องหมาย DBD Registered และ DBD Verified เครื่องหมายทั้งสองนี้ ออกโดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เป็นเครื่องหมายสำ หรับแสดงบนหน้าเว็บไซต์ช่วย เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับร้านขายของออนไลน์และ E-Marketplace 1. เครื่องหมาย DBD Registered เป็นเครื่องหมายรับรองการมีตัวตนของร้านขายของออนไลน์และ EMarketplace 2. เครื่องหมาย DBD Verified เป็นเครื่องหมายการันตีความน่าเชื่อถือ หากอยากได้เครื่องหมาย DBD Verified มีเงื่อนไข คือ จะต้องจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และมีเครื่องหมาย DBD Registered ติด บนหน้าเว็บไซต์นานเกิน 6 เดือน เรียกว่าเป็นการยกระดับขึ้นมาจากเครื่องหมาย DBD Registered นั่นเอง 5. จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้วต้องเสียภาษีแบบไหน? มาถึงเรื่องของการเสียภาษี ร้านขายของออนไลน์ที่จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้วไม่ต้องเสียภาษี เพิ่มเติม แต่ในกรณีที่ประกอบกิจการแล้วเกิดรายได้ ก็ให้เสียภาษีเงินได้ตามปกติในเกณฑ์ที่กฎหมายกำ หนด ไว้เท่านั้น อีกเรื่องหนึ่ง คือ สำ หรับบุคคลธรรมดาที่เปิดร้านขายของออนไลน์ โดยปกติแล้วไม่จำ เป็นต้องจดทะเบียน นิติบุคคล แต่การจดทะเบียนนิติบุคคลจะช่วยให้ร้านขายของออนไลน์เสียภาษีต่อปีน้อยลง เพราะอัตราภาษี ของนิติบุคคลนั้นน้อยกว่าอัตราภาษีของบุคคลธรรมดานั่นเอง เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการช่วยประหยัดค่าใช้ จ่ายในส่วนของภาษีสำ หรับร้านขายของออนไลน์ 29


กฎหมายความผิดเกี่ยวกับ ชีวิตและร่างกาย ความผิดเกี่ยวกับชีวิต คืออะไร ? ความผิดต่อชีวิตมีบัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา ว่าด้วยเรื่องความผิดเกี่ยวกับชีวิตร่างกาย มีฐานความผิด ที่เกี่ยวข้องต่างๆ ดังต่อไปนี้ 1. ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามมาตรา 288 และ มาตรา 289 2. ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา ตามมาตรา 290 3. ความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 291 4. ความผิดฐานกระทำ อันทารุณเพื่อให้บุคคลซึ่งต้องพึ่งผู้ กระทำ เพื่อให้บุคคลนั้นฆ่าตนเองหรือพยายาม 5. ฆ่าตนเอง ตามมาตรา 292 6. ยุยงให้เด็กอายุไม่เกิน 16 ปี ให้ฆ่าตนเองหรือพยายาม ฆ่าตนเอง ตามมาตรา 293 7. ความผิดฐานชุลมุนต่อสู้จนเป็นเหตุให้มีบุคคลใดถึงแก่ ความตาย ตามมาตรา 294 บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำ โดย เจตนา เว้นแต่จะได้กระทำ โดยประมาท ในกรณีที่ กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำ โดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ ต้องรับผิดแม้ได้กระทำ โดยไม่มีเจตนา ตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง 1. กระทำ โดยเจตนา ได้แก่กระทำ โดยรู้สำ นึกในการที่ กระทำ และผู้กระทำ ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผล ของการกระทำ นั้น ตามมาตรา 59 วรรคสอง 2. ถ้าผู้กระทำ มิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของ ความผิดจะถือว่าผู้กระทำ ประสงค์ต่อผล หรือย่อม เล็ง เห็นผลของการกระทำ นั้นมิได้ ตามมาตรา 59 วรรคสาม 3. การกระทำ ให้หมายรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใด ขึ้นโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำ เพื่อป้องกันผล นั้นด้วย ตามมาตรา 59 วรรคท้าย 30


1. ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เป็นที่มาของคุณค่าพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ในทางส่วนตัว การกระทำ ต่อ คุณธรรมทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคุณค่าที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ในทางส่วนตัวจึงถือเป็นการกระทำ ที่ละเมิด ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น ความผิดต่อบุคคล คือความผิดฐานต่างๆ ที่กระทำ ต่อคุณธรรมทางกฎหมายที่ เกี่ยวข้องกับคุณค่าและเป็นคุณค่าพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ความผิดต่อชีวิตและความผิดต่อร่างกาย เป็น บทบัญญัติส่วนหนึ่งของประมวลกฎหมายอาญาโดยคุณธรรมทางกฎหมายที่บทบัญญัติของกฎหมายนั้น ประสงค์ให้ความคุ้มครองซึ่งถือว่ามีคุณค่าสูงมากคือ ชีวิตมนุษย์และความปลอดภัยในร่างกายมนุษย์ โดย ความผิดดังกล่าวได้บัญญัติอยู่ในลักษณะ 10 หมวด 1 และหมวด 2 ในมาตรา 288 ถึงมาตรา 300 องค์ ประกอบความผิดที่สำ คัญของฐานความผิดต่างๆ ในประมวลกฎหมายอาญาที่เกือบทุกฐานความผิดจะต้องมี คือ เจตนา ซึ่งในเบื้องต้นจะเป็นเจตนาที่จะกระทำ สิ่งใด และองค์ประกอบที่สำ คัญต่อมาคือ เจตนาที่กระทำ นั้นจะกระทำ ต่อสิ่งใดหรืออาจเรียกว่า " กรรมของการกระทำ " เช่น ชีวิตมนุษย์ มนุษย์ผู้อื่น หรือทรัพย์ของผู้ อื่น เป็นต้น 2. ทฤษฎีความรับผิดทางอาญา การที่จะกำ หนดให้บุคคลใดมีความผิดทางอาญาหรือไม่นั้น มีแนวความคิดที่เกี่ยวข้องในการกำ หนดความ รับผิดทางอาญาซึ่งมี 3 ทฤษฎี คือ 2.1 ทฤษฎีความรับผิดที่ต้องอาศัยการกระทำ และความผิดของจิต ทฤษฎีนี้ให้ความสำ คัญในเรื่องความ รู้สึกนึกคิดในจิตใจของผู้กระทำ โดยถือว่าความรู้สึกในทางที่ผิดของจิตใจเป็นปัจจัยสำ คัญในการกำ หนดความ รับผิดทางอาญา ดังนั้น ในการกำ หนดความรับผิดทางอาญาจึงต้องคำ นึงถึงปัจจัย 2 ประการ คือ การกระทำ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสังคม และสภาวะของจิตใจที่มีลักษณะควรแก่การลงโทษ ซึ่งสภาวะของจิตใจก็คือ " เจตนา "' ซึ่งเป็นการรู้ถึงการกระทำ ของตน และขณะเดียวกันก็ต้องประสงค์ต่อผล หรือเล็งเห็นผลของการ กระทำ นั้น หรือ " ประมาท " คือไม่คิดหรือไม่นึกถึงอันตรายที่เกิดจากการกระทำ ของตน หรือการเพิกเฉย ไม่แยแสต่อผลร้ายที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำ นั้น 31


2.1.2 ทฤษฎีความรับผิดโดยเคร่งครัด ทฤษฎีนี้กำ หนดความรับผิดทางอาญาโดยถือเอาการกระทำ เพียง อย่างเดียว ไม่คำ นึงถึงสภาวะทางจิตใจ ทฤษฎีความรับผิดโดยเคร่งครัดนี้ไม่คำ นึงถึงสภาวะของจิต ดังนั้น จึง ไม่คำ นึงถึงเฉพาะเจตนาของผู้กระทำ เท่านั้น กล่าวคือ ถึงแม้กระทำ โดยไม่มีเจตนาก็ต้องรับผิดทางอาญา 2.1.3 ทฤษฎีความรับผิดในการกระทำ ของผู้อื่น ทฤษฎีนี้ไม่คำ นึงถึงทั้งการกระทำ ความผิดและสภาวะทาง จิตใจของผู้ที่ต้องรับผิดเลย ความรับผิดตามทฤษฎีนี้เป็นการบังคับให้บุคคลต้องรับผิดในการกระทำ ของผู้อื่น แม้ว่าบุคคลนั้นจะไม่ได้กระทำ ความผิดด้วยตนเอง ทฤษฎีนี้จะเหมาะสมหากนำ ไปใช้กับกฎหมายแพ่ง โดย เฉพาะกฎหมายลักษณะละเมิด 3.หน้าที่ของกฎหมายอาญา กฎหมายอาญามีหน้าที่ที่สำ คัญ 3 ประการ คือ 3.1 หน้าที่ในการคุ้มครองสังคม กฎหมายอาญามีหน้าที่ในการคุ้มครองการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในสังคม เพราะกฎหมายอาญามีสภาพบังคับมากกว่าระเบียบของสังคม แต่การใช้กฎหมายอาญาเพื่อคุ้มครองในการ อยู่ร่วมกันของมนุษย์ในสังคมต้องกระทำ เฉพาะเท่าที่จำ เป็นและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เท่านั้น เพราะหากมีการ บัญญัติกฎหมายอาญาอย่างพร่ำ เพรื่อ แล้วสิทธิเสรีภาพของบุคคลอาจถูกกระทบกระเทือนจนเกินความ จำ เป็น ดังนั้น กฎหมายอาญาจึงไม่เพียงแต่จะมุ่งจำ กัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลเท่านั้น แต่กฎหมายอาญา จะต้องให้หลักประกันสิทธิและเสรีภาพของบุคคลด้วย 3.2 หน้าที่ในการปราบปราม และในการป้องกันการกระทำ ความผิด เมื่อมีการกระทำ ความผิดอาญาเกิด ขึ้นก็จะต้องใช้กฎหมายอาญาในการปราบปรามการกระทำ ความผิดที่เกิดขึ้น ซึ่งในการใช้กฎหมายอาญาใน การปราบปรามการกระทำ ความผิดนั้นยังเป็นการป้องกันมิให้ความผิดนั้นเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย การ ลงโทษหรือการใช้กฎหมายอาญาในการปราบปรามการกระทำ ความผิดจะต้องกระทำ เพื่อให้เกิดความรู้สึกทั้ง ต่อผู้กระทำ ความผิดและบุคคลทั่วไป 3.3 หน้าที่ในการคุ้มครองคุณธรรมทางกฎหมาย สิ่งที่หล่อหลอมให้การอยู่ร่วมกันของมนุษย์เป็นไปโดย ปกติสุขเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่อาจสัมผัสได้โดยการใช้ประสาทสัมผัส แต่เป็นสิ่งที่เป็น " คุณค่า " และเป็น คุณค่าที่จำ เป็นที่เป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ เช่น ชีวิต ความปลอดภัยของร่างกาย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิ เป็นต้น คุณค่าพื้นฐานเหล่านี้ไม่เพียงแต่ได้รับการรับรองและคุ้มครองในทางแพ่งเท่านั้น ในทางอาญาก็มีการรับรองและคุ้มครองชีวิตมนุษย์ ความปลอดภัยของร่างกาย เสรีภาพ ทรัพย์สินหรือสิทธิ อย่างหนึ่งอย่างใดด้วยโดยการบัญญัติ 32


4. ลักษณะของกฎหมายอาญา กฎหมายอาญา หมายถึง บรรดากฎหมายทั้งหลายที่ระบุถึงความผิดอาญา โทษ วิธีการเพื่อความปลอดภัย และมาตรการบังคับทางอาญาอื่น และเป็นกฎหมายที่กำ หนดให้ความผิดอาญาเป็นเงื่อนไขของการใช้โทษ วิธี การเพื่อความปลอดภัยและมาตรการบังคับทางอาญาอื่นนั้น โดยกฎหมายอาญามีหลักที่สำ คัญที่เป็นหลัก ประกันในกฎหมายอาญา คือ " ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ โดยไม่มีกฎหมาย " หลักนี้แสดงให้เห็นว่ากฎหมาย อาญามีหลักความสำ คัญมาจากการบัญญัติกฎหมาย การบัญญัติกฎหมายอาญามีผลมาจากอำ นาจการลงโทษ ของรัฐ เนื่องจากรัฐมีความจำ เป็นต้องมีกฎหมายเพื่อควบคุมดูแลการอยู่รวมกันของคนในรัฐไม่ให้มีการกระ ทบกระเทือนได้โดยง่าย รัฐจึงได้กำ หนดกฎเกณฑ์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย นั่นคือการบัญญัติกฎหมาย อาญากฎหมายอาญามีลักษณะที่สำ คัญดังต่อไปนี้ 4.1 เป็นกฎหมายมหาชน เหตุที่เป็นกฎหมายมหาชนก็เพราะว่าเป็นบทบัญญัติถึงความเกี่ยว กันระหว่าง เอกชนกับรัฐ การกระทำ ความผิดบางอย่างจะได้กระทำ โดยตรงต่อเอกชนให้ได้รับอันตรายหรือเสียหายก็ตาม แต่การกระทำ ความผิดนั้นก็มีผลกระทบกระเทือนต่อมหาชนเป็น ส่วนรวมถึงขนาดที่รัฐต้องเข้าดำ เนินการ ป้องกันและปราบปรามได้เองโดยไม่ต้องให้ผู้ใดมาร้อง ทุกข์กล่าวโทษก่อน ยกเว้นความผิดอันยอมความได้ 4.2 เป็นกฎหมายว่าด้วยความผิดและโทษ 4.2.1 ความผิดในทางอาญาอาจแยกออกได้เป็นหลายประเภท กล่าวคือ 1. แบ่งแยกประเภทความผิดในแง่การกระทำ 2. แบ่งแยกประเภทความผิดที่ต้องมีผลปรากฏกับความผิดที่ไม่ต้องมีผลปรากฏ 3. แบ่งแยกประเภทความผิดธรรมดากับ ความผิดซับซ้อน 4.3 ตามปกติบังคับเฉพาะการกระทำ ในราช อาณาเขต ตามปกติแล้วกฎหมายอาญาจะใช้บังคับเฉพาะ ภายในพระราชอาณาเขตเท่านั้น เว้นแต่การกระทำ ความผิดนอกราชอาณาจักรตามมาตรา 7มาตรา 8 และ มาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายอาญา 4.4 บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร กฎหมายอาญาจะต้องบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร 4.5 กฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด เมื่อรัฐได้บัญญัติกฎหมายไว้ชัดแจ้งแล้วว่าการกระทำ หรืองด เว้นการกระทำ อย่างใดเป็นความผิดอาญาแล้ว จะต้องถือว่าตามบทบัญญัตินั้นเท่านั้น 4.6 ไม่มีผลย้อนหลัง กฎหมายอาญาต้องไม่มีผลย้อนหลังในทางที่เป็นโทษ 33


5. การบัญญัติความผิดฐานชุลมุนต่อสู้ ความผิดฐานชุลมุนต่อสู้เป็นความผิดที่เกี่ยวข้องกับความผิดต่อชีวิตและความผิดต่อร่างกาย เนื่องจากมี เงื่อนไขเกี่ยวกับการตาย และการบาดเจ็บสาหัสเป็นองค์ประกอบของความผิดหากการกระทำ ที่เป็นการ ชุลมุนต่อสู้ แต่ไม่มีการตายหรือการบาดเจ็บสาหัสของบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว ผู้ที่เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ก็ ไม่มีความผิดฐานนี้ ดังนั้น ความผิดฐานชุลมุนต่อสู้นี้จึงมีความเกี่ยวข้องกับความผิดต่อชีวิตและความผิดต่อ ร่างกาย ซึ่งความเป็นมาของความผิดต่อชีวิตและความผิดต่อร่างกายในประเทศไทยก่อนใช้ประมวลกฎหมาย อาญาฉบับปัจจุบัน อาจแยกพิจารณาความเป็นมาและแนวคิดของความผิดฐานความผิดต่อชีวิตและความผิด ต่อร่างกายตามกฎหมายที่เคยใช้ โดยแบ่งเป็นสองช่วงคือ ความผิดต่อชีวิตและความผิดต่อร่างกายตาม กฎหมายตราสามดวงและความผิดต่อชีวิตและความผิดต่อร่างกายตามกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 5.1 ความผิดต่อชีวิตและความผิดต่อร่างกายตามกฎหมายตราสามดวง กฎหมายตราสามดวงเป็นกฎหมายที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และได้รับการชำ ระใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 1 โดยการรวบรวมตรวจสอบกฎหมายที่กระจัดกระจายให้มาอยู่รวมกันเป็นหมวดหมู่และตัดทอนส่วนที่ขัดแย้ง ซ้ำ ซ้อนกันออกไปเพื่อให้มีความเหมาะสมกับสภาพของ สังคมไทยในยุคนั้น ซึ่งกฎหมายตราสามดวง กำ หนดการกระทำ อันเป็นความผิดและกำ หนดโทษสำ หรับความผิดต่อชีวิตและความผิดต่อร่างกายไว้ 5.2 ความผิดต่อชีวิตและความผิดต่อร่างกายตามกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 กฎหมายลักษณะ อาญา ร.ศ. 127 นับเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกของประเทศไทย โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจชำ ระและร่างประมวลกฎหมายขึ้น และทรง ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2451 การร่างกฎหมายลักษณะอาญานี้กล่าวได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลง กฎหมายอาญาของไทย ที่ใช้มาแต่ดั้งเดิมเข้าสู่ระบบแบบรัฐสมัยใหม่ ในส่วนของความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายยังแบ่งออกเป็น 4 หมวด ประกอบด้วยหมวด 1 ความผิดต่อ ชีวิต หมวด 2 ความผิดต่อร่างกาย หมวด 3 ความผิดฐานทำ ให้แท้งลูก และหมวด 4 ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วยเจ็บหรือคนชรา ซึ่งความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายนี้จะ มีทั้งความผิดที่เกิดจากการกระทำ โดย เจตนา ไม่เจตนา และประมาท รวมทั้งความผิดในลักษณะฉกรรจ์ ความผิดฐานชุลมุนต่อสู้เป็นความผิดที่มี บัญญัติอยู่ทั้งในหมวดความผิดต่อชีวิตและหมวดความผิดต่อร่างกาย โดยจะแตกต่างกันในส่วนของผลที่เกิด จากการกระทำ ความผิดซึ่งได้แก่ความตายและการได้รับอันตรายสาหัส 34


6. ลักษณะของการกระทำ ที่ใกล้เคียงกัน ความผิดฐานชุลมุนต่อสู้นอกจากจะมีผลของการกระทำ อันมีลักษณะเป็นความผิดเกี่ยวกับชีวิต และ ร่างกายแล้ว ยังมีลักษณะของการกระทำ ที่ใกล้เคียงกับความผิดฐานก่อการจลาจล หรือก่อความไม่สงบตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 และมาตรา 216 ด้วย กล่าวคือ ตามมาตรา 215 วรรคแรกซึ่งบัญญัติว่า ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำ ลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญ ว่าจะใช้กำ ลังประทุษร้าย หรือกระทำ การ อย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกิน หนึ่งพันบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ คำ ว่า " มั่วสุม " ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานหมายความว่า ชุมนุมกัน ซึ่งจะต้องมีลักษณะที่มี การนัดหมายกันมาก่อน ดังจะเห็นได้จากคำ พิพากษาฎีกาที่ 593/2462 ซึ่งวินิจฉัยไว้ว่า ความผิดฐานก่อการ จลาจลนั้น จะต้องประกอบด้วยคนมีจำ นวนตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปรวบรวมกันไปทำ ร้ายโดยมีความตกลงหรือ ความพร้อมใจช่วยเหลือกัน พวกของจำ เลย 2 ถึง 3 คน เกิดปากเสียงและวิวาทกันขึ้นด้เรื่องเข็นรถตู้บรรทุก ของ และพวกของจำ เลยราว 30 คน เกิดชุลมุนวิวาทตีและขว้างปากัน การที่บุคคลทำ มาหาเลี้ยงชีพอยู่อยู่ โดยชอบด้วยกฎหมาย และเกิดทะเลาะกันขึ้น โดยทันทีเช่นนั้นบุคคลที่เข้า ช่วยเหลือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยมิได้ ตกลงกันมาก่อนนั้นแม้จะมีจำ นวนในข้างหนึ่งเกิน 10 คน บุคคลเหล่านี้หามีความผิดฐานก่อการจลาจลไม่ และ คำ พิพากษาฎีกาที่ 698/2462 การที่จะเป็นความผิดฐานก่อการจลาจลนั้น เพียงแต่ปรากฏว่าบุคคลเกิน 10 คน วิวาททำ ร้ายกันเท่านั้นยังไม่พอ ต้องปรากฏว่ามีการประชุมนัดหมายกันมาก่อนด้วย จะเห็นได้ว่าความผิดฐานชุลมุนต่อสู้ซึ่งจะต้องมีการชุลมุนต่อสู้กัน ส่วนความผิดฐานก่อการจลาจลหรือก่อ ความไม่สงบนี้จะต้องมีการมั่วสุมกัน ซึ่งมีลักษณะที่คล้ายๆกันเพียงแต่ความผิดฐานชุลมุนต่อสู้ไม่จำ ต้องมีการ นัดหมายกันดังความผิดฐานนี้และนอกจากจำ นวนของผู้กระทำ ที่ต่างกัน ข้อแตกต่างที่สำ คัญคือความมุ่ง หมายของการกระทำ ความผิดที่ความผิดฐานก่อการจลาจลหรือก่อความไม่สงบนี้จะต้องกระทำ เพื่อให้เกิด ความวุ่นวาย ขึ้นในบ้านเมืองด้วย 35


กฏหมายเกี่ยวกับมรดกและ การทำ พินัยกรรม มรดกและการทำ พินัยกรรม คืออะไร ? มรดก หมายถึง ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบต่าง ๆ เช่นส้ทธิหน้าที่และความรับผิดชอบต่าง ๆ เช่น สิทธิตามสัญญาซื้อขาย สิทธิในการไถ่ถอนการขาย ฝาก เป็นต้น เมื่อบุคคลได้ถึงแก่ความตายทรัพย์สิน ทุกอย่าง รวมทั้งที่มีในขณะนั้นถือว่าเป็นมรดกของ บุคคลนั้นที่จะคกทอดไปยังลูกหลานหรือญาติสนิท ที่ทายาท เว้นแต่สิทธิบางอย่างซึ่งเป็นลัทธิเฉพาะตัว ถือว่าสิทธินั้นเป็นอันสิ้นไปเมื่อบุคคลนั้นได้ตายไป ไม่ถือว่าเป็นมรดก ทายาทโดยธรรมและผู้รับพินัยกรรม คือ ผู้ที่มีสิทธิ รับมรดกผู้ตาย ทายาทโดยธรรมและผู้รับพินัยกรรม มีลักษณะแตก ต่างกัน ดังนี้ ทายาทโดยธรรม คือทายาทประเภทญาติ และ ประเภทคู่สมรส ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ทายาทโดยธรรมประเภทญาติ คือ ผู้ที่มีสาย สัมพันธ์ทางสายโลหิต ซึ่งมี 6 ลำ ดับด้วยกันคือ 1. ผู้สืบสันดาน 2. บิดามารดา 3. พี่น้องร่วม บิดามารดาเดียวกัน 4. พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วม มารดาเดียวกัน 5. ปู่ ย่า ตา ยาย และ 6. ลุง ป้า น้า อา ผู้รับพินัยกรรม หมายถึง บุคคลซึ่งผู้ตายทาง พินัยกรรมยกทรัพย์สิน อันเป็นทรัพย์มรดกให้ผู้รับ พินัยกรรมนั้นอาจเป็นญาติพี่น้องของผู้ตายหรือ บุคคลภายนอกก็ได้ และอาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือ นิติบุคคลก็ได้ 36


การทำ พินัยกรรม ในการทำ พินัยกรรม จะต้องเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นหนังสือพินัยกรรม ซึ่งมีแบบพิธีในการทำ 3 แบบดังนี้ 1. พินัยกรรมธรรมดา เป็นหนังสือพินัยกรรมที่ลง วัน เดือน ปี ทีทำ มี พยานรับรอง 2 คน และผู้ทำ พินัยกรรมต้องลงชื่อไว้ด้วย ถ้า ลงเขียนหนังสือไม่ได้ให้ประทับตราหัวแม่มือขวาลงในพินัยกรรมแทนการ ลงชื่อ 2. พินัยกรรมเขียนเอง ผู้ทำ พินัยกรรมต้องเขียนด้วยลายมือตัวเองทั้ง ฉบับ แล้วลงชื่อ และวันเดือนปี ที่ทำ พินัยกรรมด้วย 3. พินัยกรรมทําที่อำ เภอ ผู้ทำ พินัยกรรมต้องไปหานายอำ เภอ หรือผู้ อำ นวยการเขตให้ทำ พินัยกรรมให้ และต้องลงชื่อไว้ใน พินัยกรรมนั้น ด้วยพร้อมพยานอีก 2 คน ในการพินัยกรรมไม่ว่าจะเป็นแบบใดนั้น ผู้ทำ พินัยกรรมจะ สามารถยกเลิก เมื่อใดก็ได้ และพินัยกรรมจะมีผลใช้บังคับก็ต่อเมื่อผู้ทำ พินัยกรรมได้ถึงแก่ความตายไปแล้ว เท่านั้น การตัดทายาทโดยธรรมมิให้รับมรดก คำ อธิบายขั้นตอนการตัดทายาทโดยธรรมมิให้รับมรดกให้ผู้ประสงค์จะตัดทายาทโดยธรรมมิให้รับมรดก ให้ ผู้นั้นยื่น คำ ร้องแสดงความจำ นงตามแบบ ของเจ้าพนักงานต่อนายอำ เภอ ที่ว่าการอำ เภอ กิ่งอำ เภอ การตัด ทายาทโดยธรรมมิให้รับมรดกนั้น อาจทำ ได้ 2 วิธี 1. โดยพินัยกรรม 2. โดยทำ เป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่การตัดทายาทโดยธรรมตามข้อ 1 จะทำ ตามแบบ พินัยกรรมแบบใด ๆ ก็ได้ โดยระบุตัดทายาท ที่ถูกตัดไว้ให้ชัด แจ้ง การตัดทายาทโดยธรรมตามข้อ 2 นั้น ผู้ทำ พินัยกรรมจะทำ เป็นหนังสือด้วยตนเอง แล้วนำ ไป มอบแก่นาย อำ เภอ หรือจะให้นายอำ เภอจัดทำ ไว้ ให้ก็ได้ 37


การถอนการตัดทายาทโดยธรรมมิให้รับมรดก คำ อธิบายขั้นตอนการถอนการตัดทายาทโดยธรรมมิให้รับมรดก ผู้ประสงค์จะถอนการตัดทายาทโดยธรรม ของตนมิให้รับมรดก ซึ่งได้แสดงเจตนาไว้แล้ว สามารถกระทำ ได้ดังนี้ 1. ถ้าการตัดมิให้รับมรดกนั้นได้ทำ โดยพินัยกรรม จะถอนเสียได้ก็แต่โดยพินัยกรรมเท่านั้น 2. ถ้าการตัดมิให้รับมรดกได้ทำ เป็นหนังสือมอบให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ การถอนจะทำ โดย พินัยกรรม หรือทำ เป็นหนังสือมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ก็ได้ การสละมรดก คำ อธิบายขั้นตอนการสละมรดกเมื่อมีผู้ประสงค์จะทำ การสละมรดก ให้ทำ คำ ร้องแสดงความจำ นงตามแบบ ของเจ้าพนักงานต่อ นาย อำ เภอ ณ ที่ว่าการอำ เภอ หรือกิ่งอำ เภอ การแสดงเจตนาสละมรดกทำ ได้ 2 วิธี คือ 1. ทำ เป็นหนังสือมอบ ไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งอาจทำ เอง หรือให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำ ให้ก็ได้ 2. ทำ เป็นสัญญา ประนีประนอมยอมความ การสละมรดกนั้นจะทำ แต่เพียงบางส่วน หรือทำ โดยมีเงื่อนไข หรือมีเงื่อนเวลาไม่ ได้ และเมื่อสละแล้ว จะถอนไม่ได้ อัตราค่าธรรมเนียม 1. ทำ พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองในที่ว่าการอำ เภอ กิ่งอำ เภอ หรือเขต ฉบับละ 50 บาท ถ้าทำ เป็นคู่ ฉบับ ฉบับละ 10 บาท 2. ทำ พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองนอกที่ว่าการอำ เภอ กิ่งอำ เภอ หรือเขต ฉบับละ 100 บาท ถ้าทำ เป็นคู่ฉบับ ฉบับละ 20 บาท 3. ทำ พินัยกรรมแบบเอกสารลับ ฉบับละ 20 บาท 4. ทำ หนังสือตัดทายาทหรือถอนการตัดทายาทโดยธรรม มิให้ได้รับมรดก ฉบับละ 20 บาท หรือสละ มรดก 5. ค่ารับมอบเก็บรักษาเอกสารที่ระบุไว้ใน (4) ฉบับละ 20 บาท 6. ค่าคัดและรับรองสำ เนาพินัยกรรมหรือเอกสารที่ระบุไว้ใน (4) ฉบับละ 10 บาท 7. ค่าป่วยการพยานและล่าม ให้ได้แก่พยานและล่ามเฉพาะที่ทางอำ เภอจัดหาให้ โดยพิจารณาจ่ายตาม รายได้และฐานะของพยานและล่าม ซึ่งสมควรได้รับ ค่าป่วยการในการมาอำ เภอ ไม่เกินวันละ 50 บาท 38


กฏหมายเกี่ยวกับบัตรประจำ ตัว ประชาชน ความสำ คัญของบัตร บัตรประจำ ตัวประชาชนเป็นเอกสารราชการที่ออกให้ สำ หรับคนไทยที่มีชื่อในทะเบียนบ้านเท่านั้น เพื่อใช้เป็น หลักฐานในการแสดงตน ใช้พิสูจน์และยืนยันตัวบุคคลใน การติดต่อราชการ การขอรับบริการหรือสวัสดิการในด้าน ต่างๆ จากหน่วยงานของรัฐรวมทั้งใช้ประกอบการทำ ธุรกรรมต่างๆ ทำ นิติกรรม ฯลฯ เช่น การสมัครงาน การขอเปิดบัญชีเพื่อทำ ธุรกรรมกับธนาคาร การโอน อสังหาริมทรัพย์/อุสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น คุณสมบัติของผู้ที่ต้องมีบัตรประจำ ตัวประชาชน 1. มีสัญชาติไทย 2. ต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน (ท.ร.14) 3. มีอายุตั้งแต่ 7 ปี แต่ไม่เกิน 70 ปี สำ หรับผู้มีอายุเกิน 70 ปี และผู้ได้รับการยกเว้น จะขอมีบัตรประจำ ตัว ประชาชนได้ บุคคลที่กฎหมายยกเว้นไม่ต้องมีบัตรประจำ ตัว ประชาชน 1. สมเด็จพระบรมราชินี 2. พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป 3. ภิกษุ สามเณร นักพรต และนักบวช 4. ผู้มีกายพิการเดินไม่ได้ หรือเป็นใบ้ หรือตาบอดทั้ง สองข้าง หรือจิตฟันเฟือน ไม่สมประกอบ 5. ผู้อยู่ในที่คุมขังโดยชอบด้วยกฎหมาย 6. บุคคลซึ่งกำ ลังศึกษาวิชา ณ ต่างประเทศ และไม่ สามารถยื่นคำ ขอมีบัตรประจำ ตัวประชาชนได้ กรณีขอทำ บัตรประจำ ตัวประชาชนครั้งแรก เมื่อมีอายุ 7 ปีบริบูรณ์ และมีชื่อในทะเบียนบ้าน (ท.ร.14) ต้องทำ บัตรประจำ ตัวประชาชนภายใน 60 วัน หากพ้นกำ หนดจะเสียค่าปรับ ไม่เกิน 100 บาท 39


หลักฐานที่ต้องใช้ในการทำ บัตรประจำ ตัวประชาชน 1. สูติบัตร หรือหลักฐานอื่นที่ราชการออกให้ เช่น ใบ สุทธิ สำ เนาทะเบียน นักเรียน หนังสือเดินทาง เป็นต้น เพื่อแสดงว่าเป็นบุคคล เดียวกับผู้มีชื่อใน ทะเบียนบ้าน 2. หากเด็กเคยเปลี่ยนชื่อตัว ชื่อสกุล ต้องนำ ใบสำ คัญ มาแสดงด้วย และหากบิดา มารดาของเด็กเคย เปลี่ยนชื่อตัวชื่อสุกล ต้องนำ ใบสำ คัญมาแสดง ด้วย 3. หากไม่มีเอกสารตามข้อ 2 ให้นำ เจ้าบ้านหรือ บุคคลผู้น่าเชื่อถือมาให้การ รับรอง 4. กรณีบิดามารดาเป็นคนต่างด้าว ให้นำ ใบสำ คัญ ประจำ ตัวคนต่างด้าวของ บิดา มารดามาแสดงด้วย ใด ฝ่ายหนึ่งที่ถึงแก่กรรม ไปแสดง หรือนำ ใบมรณบัตรของฝ่าย 5. การขอมีบัตรครั้งแรกเมื่ออายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ต้องนำ เอกสารหลักฐาน ที่กำ หนดตามข้อ 1,2,3,4 และ ให้นำ เจ้าบ้านและบุคคลที่ น่าเชื่อถืออย่างน้อย 2 คน ไปพบเจ้าหน้าที่เพื่อสอบสวน และให้การรับรอง * บุคคลน่าเชื่อถือ หมายถึง “บุคคลใดๆ ซึ่งมีภูมิลำ เนา ที่อยู่แน่นอน มีอาชีพมั่นคง และมีความรู้จักคุ้นเคย กับผู้ขอมีบัตรเป็นอย่างดี อาจ เกี่ยวข้องเป็นญาติกันหรือ ไม่ก็ได้” การทำ บัตรประจำ ตัวประชาชนไม่เสียค่าธรรมเนียม 2. กรณีบัตรเดิมหมดอายุ เมื่อบัตรเดิมหมดอายุให้ทำ บัตรใหม่ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่บัตรเดิมหมด อายุ หากพ้นกำ หนดจะต้องเสีย ค่าปรับไม่เกิน 100 บาท ผู้ถือบัตรสามารถขอทำ เดิมหมดอายุก็ได้ โดยให้ยื่น คำ ขอภายใน 60 วัน ก่อนวัน ที่บัตรเดิมหมดอายุ หลักฐาน 1. บัตรประจำ ตัวประชาชนเดิมที่หมดอายุ 2. หากบัตรเดิมหมดอายุเป็นเวลานาน ต้องนำ เจ้าบ้าน หรือพยานบุคคลที่น่า เชื่อถือมารับรองด้วยไม่เสียค่า ธรรมเนียม 3. กรณีบัตรหาย หรือถูกทำ ลาย เมื่อบัตรประจำ ตัวประชาชนหาย หรือถูกทำ ลายให้ ไปแจ้งความไว้เป็นหลัก คาวากาเป็นเหล็กสำ นักงาน เขตเทศบาลหรือเมือง ฐาน ณ ที่ว่าการอำ เภอ พัทยา แล้วแต่กรณี สำ นักงานเขตเทศบาลหรือเมือง และขอ ทำ บัตรใหม่ภายใน 60 วันนับแต่วันที่บัตรหาย หรือถูกทำ ลาย หากพ้น กำ หนดจะต้องเสียค่าปรับไม่เกิน 100 บาท 40


หลักฐาน 1. เอกสารที่มีรูปถ่ายของผู้ขอมีบัตรใหม่ที่ทาง ราชการออกให้ เช่น ใบอนุญาตขับขี่ หลักฐานการศึกษา หรือหนังสือเดินทาง เป็นต้น 2. หากไม่มีหลักฐานตามข้อ 2 ให้นำ เจ้าบ้านหรือ บุคคลผู้น่าเชื่อถือมาให้การ รับรอง เสียค่าธรรมเนียม 20 บาท 4. กรณีเปลี่ยนชื่อตัวหรือชื่อสกุลแล้วต้องเปลี่ยนบัตร เมื่อผู้ถือบัตรเปลี่ยนชื่อตัว/ชื่อสกุล ภายใน 60 วัน นับแต่วันต้องเปลี่ยนบัตร ที่แก้ไขชื่อตัว ชื่อสกุล ใน ทะเบียนบ้าน หากพ้นกำ หนด จะต้องเสียค่าปรับไม่เกิน 100 บาท หลักฐาน 1. บัตรประจำ ตัวประชาชนเดิมที่ต้องการเปลี่ยน 2. หลักฐานการเปลี่ยนชื่อตัวหรือชื่อสกุล แล้วแต่กรณี เสียค่าธรรมเนียม 20 บาท 5. กรณีบัตรเดิมชำ รุดในสาระสำ คัญ บัตรถูกทำ ลาย หากบัตรเดิมชำ รุดในสาระสำ คัญ บัตรถูกทำ ลาย เช่น บัตรถูกไฟไหม้บางส่วน บัตรชำ รุด เลอะเลือน เป็นต้น ต้องเปลี่ยนบัตรภายใน 60 วัน นับแต่วันที่บัตร เดิมชำ รุดหรือถูกทำ ลาย หากพ้นกำ หนดจะต้องเสียค่า ปรับ ไม่เกิน 100 บาท หลักฐาน 1. บัตรประจำ ตัวประชาชนเดิมที่ชำ รุดหรือถูกทำ ลาย 2. เอกสารที่มีรูปถ่ายของผู้ขอมีบัตรใหม่ที่ทาง ราชการออกให้ เช่น ใบอนุญาตขับขี่ หลักฐานการศึกษา หรือหนังสือเดินทาง เป็นต้น 3. หากไม่มีเอกสารตามข้อ 2 ให้นำ เจ้าบ้านหรือ บุคคลผู้น่าเชื่อถือมาให้การรับรอง เสียค่าธรรมเนียม 20 บาท กรณีบุคคลที่ได้รับการยกเว้นการมีบัตรประจำ ตัว ประชาชน เช่นพระภิกษุสามเณร ฯลฯ จะขอทำ บัตรประจำ ตัวประชาชนก็ได้ กรณีพระภิกษุ หรือสามเณร ต้องย้ายชื่อเข้าทะเบียนแล้วแก้ไขคำ นำ หน้านาม ในทะเบียนบ้านเป็นพระ สามเณร หรือสมศักดิ์ ก่อนจึงจะขอมีบัตรได้ หรือหลักฐานที่แสดงว่าเป็นบุคคลซึ่งได้รับการยกเว้นไม่ ต้องมีบัตร เช่นหนังสือสุทธิของพระ หรือ หนังสือเดินทาง กรณีเป็นผู้ที่ อยู่ระหว่างการศึกษา ณ ต่างประเทศไม่เสียค่าธรรมเนียม 41


6. กรณีบุคคลที่พ้นสภาพได้รับการยกเว้นขอทำ บัตร ผู้ซึ่งพ้นสภาพได้รับการยกเว้นไม่ต้องมีบัตรประจำ ตัว ประชาชนเช่น ผู้พ้นโทษจากเรือนจำ หรือทัณฑสถาน เป็นต้น ต้องไปขอ งูพนเทษจากเรือนจาหรอ ทำ บัตรประชาชนภายใน 60 วัน นับแต่วันพ้นสภาพได้รับการ ยกเว้น หากพ้น กำ หนดจะต้องเสียค่าปรับ ไม่เกิน 100 บาท หลักฐาน 1. หลักฐานที่แสดงว่าพ้นสภาพจากการยกเว้นไม่ต้องมี บัตร เช่น หนังสือสำ คัญของเรือนจำ หรือทัณฑสถาน (ร.ท.5) หรือหนังสือเดินทาง และเอกสารที่แสดงว่าเป็นผู้สำ เร็จการศึกษาจากต่างประเทศ มีบัตรประจำ ตัว ข้าราชการพนักงานรัฐวิสาหกิจแล้วแต่กรณี เป็นต้น 2. หากไม่ปรากฏข้อมูลการทำ บัตร หรือบัตรเดิมได้ หมดอายุนานแล้ว ต้องนำ เจ้าบ้านและบุคคลน่าเชื่อถือ มารับรองด้วย ไม่เสียค่าธรรมเนียม 7. กรณีผู้ถือบัตรย้ายที่อยู่ เพื่อให้รายการที่อยู่ที่ปรากฏในบัตรประจำ ตัว ประชาชนตรงกับรายการ ในทะเบียนบ้านผู้ถือบัตรผู้ใดย้าย ที่อยู่จะขอเปลี่ยนบัตร โดยที่บัตรเดิมยังไม่หมด อายุสามารถทำ ได้แต่หากไม่ขอเปลี่ยนบัตรก็สามารถใช้ อายุสามารถทา บัตรนั้นได้ต่อไปจนกว่าบัตรจะหมดอายุ หลักฐาน 1. บัตรประจำ ตัวประชาชนเดิมเสียค่าธรรมเนียม 20 บาท 8. กรณีผู้ซึ่งมีอายุเกิน 70 ปี ขอมีบัตร คนสัญชาติไทยซึ่งมีอายุเกิน 70 ปี จะขอมีบัตรประจำ ตัวประชาชนก็ได้ หลักฐาน 1. สำ เนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน 2. บัตรประจำ ตัวประชาชนเดิม (ถ้ามี) 3. หากไม่ปรากฏข้อมูลการทำ บัตร หรือบัตรเดิมได้ หมดอายุนานมากแล้วต้องนำ เอกสารอื่นที่ทางราชการ ออกให้มาแสดง พร้อม ทั้งนำ เจ้าบ้านและบุคคลที่น่าเชื่อถือมารับรอง ไม่เสียค่าธรรมเนียม 42


การขอมีบัตรกรณีเป็นบุคคลได้รับการเพิ่มชื่อใน ทะเบียนบ้าน ต้องยื่นขอมีบัตรประจำ ตัวประชาชนภายใน 60 วัน นับ แต่วันที่เพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน หากพ้นกำ หนดมี โทษปรับไม่เกิน 100 บาท หลักฐาน 1. เพิ่มชื่อกรณีแจ้งเกิดเกินกำ หนด ใช้หลักฐานสูติบัตร และสอบสวนเจ้าบ้านหรือบุคคลน่าเชื่อถือ 2. เพิ่มชื่อกรณีชื่อตกสำ รวจให้สำ เนาทะเบียนบ้านที่ผู้ นั้นเคยมีชื่ออยู่ก่อนหลักฐานการเพิ่มชื่อหรือหลักฐาน ที่ทางราชการออกให้ และสอบสวนเจ้าบ้านหรือบุคคลผู้น่าเชื่อถือ ไม่เสียค่าธรรมเนียม การขอมีบัตรกรณีบุคคลซึ่งได้สัญชาติไทย หรือได้รับอนุมัติให้มีสัญชาติไทย หรือได้กลับคืนสัญชาติไทย ยื่นคำ ขอมีบัตรภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับ สัญชาติไทย หากเกิน กำ หนดมีโทษปรับไม่เกิน 100 บาท หลักฐาน 1. กรณีได้ได้รับอนุมัติให้มีสัญชาติไทยโดยการแปลง สัญชาติ หรือได้กลับคืน สัญชาติไทย ใช้หนังสือสำ คัญ การแปลงสัญชาติเป็นไทย หรือหนังสือสำ คัญแสดงการได้กลับคืนสัญชาติเป็นไทยแล้วแต่กรณี 2. หลักฐานอื่นๆ ที่ทางราชการออกให้ และสอบสวนเจ้า บ้านหรือบุคคลผู้น่าเชื่อถือ ขอเปลี่ยนบัตร กรณีเปลี่ยนคำ นำ หน้านาม หลักฐาน 1. บัตรประจำ ตัวประชาชนเดิม 2. หลักฐานแสดงการเปลี่ยนคำ นำ หน้านาม เช่น ทะเบียนสมรส ทะเบียนอย่า เป็นต้น ไม่เสียค่าธรรมเนียม 43


ความผิดที่เกี่ยวกับบัตรประชาชนที่ควรรู้ สำ หรับความผิดที่เกี่ยวกับบัตรประชาชนที่ทุกๆ คนควรรู้ ควรทำ ความเข้าใจมีด้วยกันทั้งหมด 10 ข้อ ดังนี้ - มีอายุ 15 ปีขึ้นไป แล้วไม่ทำ บัตรประชาชน ปรับไม่เกิน 100 บาท หรืออายุ 15 ปีขึ้นไป แล้วไม่พกบัตร ประชาชน ปรับไม่เกิน 200 บาท - เปิดเผยข้อมูลในบัตรบัตรประชาชนของผู้อื่นโดยไม่ได้รับ อนุญาต ต้องโทษจำ คุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่ เกิน100,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ (ยกเว้นศาล/หน่วยงานราชการใช้ในการปฏิบัติ หน้าที่) - ไม่มีสัญชาติไทยแต่แสดงหลักฐานเท็จเพื่อขอมีบัตร ประชาชน ต้องโทษจำ คุก 1 - 5 ปี หรือปรับ 20,000 - 100,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ - มีสัญชาติไทยแต่แสดงหลักฐานเท็จเพื่อขอมีบัตร ประชาชน ต้องโทษจำ คุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 หรือทั้งจำ ทั้งปรับ (ยกเว้นบัตรหาย/ถูกทำ ลาย) - ปลอมบัตรประชาชน/ใบรับ/ใบแทนใบรับ ต้องโทษจำ คุก 1 - 10 ปี หรือปรับ 20,000 - 200,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ -ใช้หรือแสดงบัตรประชาชน/ใบรับ/ใบแทนใบรับ ปลอม ต้องโทษจำ คุก 1 - 10 ปี หรือปรับ 20,000 - 200,000 บาทหรือทั้งจำ ทั้งปรับ - เจ้าหน้าที่ใช้/สนับสนุนการออกบัตรประชาชนผิด กฎหมาย ต้องโทษจำ คุก 3 - 15 ปี และปรับ 60,000 - 300,000 บาท -ใช้หรือแสดงบัตรประชาชน/ใบรับ/ใบแทนใบรับของผู้อื่น ว่าเป็นของตนเอง ต้องโทษจำ คุก 6 เดือน - 5 ปี และปรับ10,000 - 100,000 บาท -ยึดบัตรประชาชน/ใบรับ/ใบแทนใบรับเพื่อประโยชน์ของ ตนเองที่ผิดกฎหมาย ต้องโทษจำ คุกไม่เกิน 6 เดือน และปรับไม่เกิน 10,000 บาท -ยินยอมให้ผู้อื่นนำ บัตรบัตรประชาชน/ใบรับ/ใบแทน ใบรับไปทำ ผิดกฎหมาย ต้องโทษจำ คุก 3 เดือน - 3 ปี และปรับ5,000 - 60,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ 44


กฏหมายความผิดเกี่ยวกับทรัพย์การลักทรัพย์ คืออะไร ? การลักทรัพย์ คือ การเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่น เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไป โดยต้องการจะครอบครอง ทรัพย์นั้นไว้เพื่อตนเองเอาไปขายหรือให้กับบุคคลอื่น ก็ตามแต่ ผู้ที่กระทำ ความผิดฐานลักทรัพย์จะต้อง ถูก ระวางโทษ : จำ คุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 60,000 บาท การลักทรัพย์นั้นถ้าผู้กระทำ ได้กระทำ ในเวลากลาง คืนหรือในบริเวณที่มีเหตุเพลิงไหม้ การระเบิด หรือใน บริเวณที่มีอุบัติเหตุผู้ที่เข้าไปลักทรัพย์ในบริเวณดังกล่าว จะต้องถูกระวางโทษหนักขึ้นกว่าการลักทรัพย์ใน เวลา สถานที่หรือเหตุการณ์ปกติ เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะ เหตุการณ์ หรือช่วงเวลาดังกล่าวเจ้าของทรัพย์ กำ ลังได้ รับความเดือดร้อนไม่สามารถที่จะดูแลทรัพย์ของตนเอง ได้และการกระทำ ในเหตุการณ์หรือช่วงเวลานั้นเป็นการ กระทำ ที่ซ้ำ เติมเจ้าของทรัพย์ที่กำ ลังได้รับความเดือดร้อน การวิ่งราวทรัพย์เป็นการลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอา ซึ่งหน้า หมายถึง เป็นการขโมยเจ้าของรู้ตัวและ ทรัพย์จะต้องอยู่ใกล้ชิดตัวเจ้าทรัพย์ ผู้กระทำ การวิ่ง ราวทรัพย์จะต้องถูกระวางโทษ จำ คุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่ เกิน 100,000 บาทอย่างไรก็ตามถ้าการ วิ่งราวทรัพย์ทำ ให้ผู้อื่นได้รับอันตรายหรือเสียชีวิต เช่น กระชาก สร้อยจากเจ้าของแล้วสร้อยบาดคอ เจ้าของสร้อย ผู้ที่กระทำ จะต้องถูกระวางโทษหนักขึ้น ด้วย ชิงทรัพย์ คือ การลักทรัพย์ที่ประกอบด้วยการใช้ กำ ลังเข้าทำ ร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำ ลังเข้าทำ ร้ายใน ทันที ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ที่ครอบครองทรัพย์นั้นอยู่ยินยอม ให้ทรัพย์ไป หรือกระทำ ไปเพื่อให้เกิดความสะดวกใน การนำ ทรัพย์นั้นไป เช่นขณะที่นายเอกกำ ลังเดินเล่น อยู่ นาย โท ก็เข้ามาบอกให้สร้อยทองให้ถ้าไม่ให้จะ ทำ ร้ายหรือจะเอาปืนยิงให้ตายจนนายเอกต้องยอม ถอดสร้อยของตนให้ เป็นต้น 45


มาตรา 339 ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำ ลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญในทันใดนั้นว่าจะใช้กำ ลังประทุษร้าย เพื่อ (1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือพาทรัพย์ไป (2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์ (3) ยึดทรัพย์ไว้ (4) ปกปิดการกระทำ ความผิดนั้น (5) ให้พ้นจากการจับกุม มีความผิดฐานชิงทรัพย์ : จำ คุก 5 - 10 ปี และปรับ 100,000 - 200,000 บาท การปล้นทรัพย์ มี ลักษณะ เช่นเดียวกับการชิงทรัพย์ต่างกันเพียงว่ามีผู้ร่วมชิงทรัพย์ตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ผู้ที่กระทำ ความผิด ฐานปล้น ทรัพย์จะต้องถูกระวางโทษ: จำ คุก 10 - 15 ปี และปรับ 200,000 - 300,000 บาท หากการ ปล้นทรัพย์ผู้ ปล้นคนใดคนหนึ่งมีอาวุธติดตัวไปด้วยหรือในการปล้นเป็นเหตุให้เจ้าทรัพย์หรือบุคคลอื่นได้ รับถูกทำ ร้ายหรือ เสียชีวิต ผู้กระทำ ความผิดทุกคนแม้จะไม่ได้พกอาวุธหรือร่วมทำ ร้ายเจ้าทรัพย์หรือบุคคล อื่น กฎหมายก็ถือว่า ทุกคนมีส่วนร่วมในการกระทำ ความผิดด้วย ซึ่งมีผลให้จะต้องรับโทษหนักขึ้นกว่าการ ปล้นทรัพย์โดยไม่มี อาวุธหรือไม่ได้มีการทำ ร้ายผู้ใด การยักยอกทรัพย์ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 “ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่ง ผู้ อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำ ความผิด ฐานยักยอก มีโทษจำ คุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ ถ้า ทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ ในความครอบครองของผู้กระทำ ความผิด เพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำ คัญผิดไป ด้วยประการใด หรือเป็น ทรัพย์สินหายซึ่งผู้กระทำ ความผิดเก็บได้ ผู้กระทำ ต้องระวางโทษ : จำ คุกไม่ เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ องค์ประกอบภายนอก 1.ครอบครอง 2.ทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของ รวมอยู่ด้วย 3.เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคล ที่สาม องค์ประกอบภายใน 1.เจตนาธรรมดา 2.เจตนาพิเศษ โดยทุจริต ถ้าการกระทำ นั้นครบ ทั้งองค์ประกอบภายนอกและองค์ประกอบ ภายในแล้ว ผู้กระทำ มีความผิดฐาน ยักยอก ทรัพย์ 46


การรับของโจร มาตรา 357 “ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำ หน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำ นำ หรือรับ ไว้โดย ประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำ ความผิด ถ้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์ วิ่ง ราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอก ทรัพย์ ผู้นั้น กระทำ ความผิดฐานรับของโจร : จำ คุกไม่เกิน5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ ถ้าการกระ ทำ ความผิดฐานรับของโจรนั้น ได้กระทำ เพื่อค้ากำ ไรหรือได้กระทำ ต่อ ทรัพย์อันได้มาโดยการลักทรัพย์ตาม มาตรา 335 (10) ชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ ผู้กระทำ ต้องระวางโทษ : จำ คุก 6 เดือน - 10 ปี และปรับ 10,000 – 200,000 บาท ถ้าการกระทำ ความผิดฐานรับ ของโจรนั้น ได้กระทำ ต่อทรัพย์อันได้มาโดยการลัก ทรัพย์ตามมาตรา 335 ทวิ การชิงทรัพย์ตาม มาตรา 339 ทวิ หรือการปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 ทวิ ผู้กระทำ ต้องระวางโทษ : จำ คุก 5 - 15 ปี และปรับ 100,000 300,000 บาท องค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร 1. ผู้ใด 2. ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำ หน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำ นำ หรือรับไว้โดยประการใด 3. ทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำ ความผิด ถ้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอา ทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ 4. เจตนา (องค์ประกอบภายใน) ความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ ม338 เป็นการขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับและเมื่อเปิดเผยแล้วก็ไม่คำ นึงว่าจะ เสีย หายต่ออะไร ความผิดฐานรีดเอาทรัพย์มีองค์ประกอบความผิดเหมือนกับความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ทุกประการ แตกต่าง กันแต่เพียงในความผิดฐานรีดเอาทรัพย์เป็นการขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับ (Disclose the secret) ไม่ได้ เป็นการขู่เข็ญในเรื่องทั่ว ๆ ไป 47


Click to View FlipBook Version