The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตำนานเมืองชัยนาทRev2.1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by mthavatchai, 2021-03-18 09:20:24

ตำนานเมืองชัยนาทRev2.1

ตำนานเมืองชัยนาทRev2.1

เมืองชัยนาท

1

เมอื งชยั นาท รมิ แม่นา้ เจา้ พระยา พ.ศ. ๒๔๓๓

อรัมภบท

เร่ืองราวที่รวบรวมและเรียบเรียงมาน้ี เน่ืองมาจากความหลงั สาหรบั
เดก็ ใน พ.ศ. ๒๕๐๔ ปี น้าท่วมใหญ่ ที่ใคร่ขอเล่าถึงความนอ้ ยเน้ือต่าใจ ท่ี
เกิดในจงั หวดั ชยั นาท คงไม่น่าผดิ มากนกั หรอกท่จี ะระบายความรักใน
จงั หวดั ถิ่นกาเนิดของตน ถา้ ยงั จาได้ เดก็ ชยั นาทสมยั น้นั เวลาจะไปเท่ยี ว
หาปลากดั เรียกงา่ ย ๆ วา่ ไปซอ้ นปลากดั (โดยใชบ้ ุง้ ก๋ีที่สานดว้ ยตอกหวาย)
ก็ตอ้ งไปท่สี ระโรงเรียนฝึกหดั ครู ?? บางท่านคงลืมไปแลว้ วา่ ชยั นาทมี รร
นิ้ ปัจจุบนั กลายเป็นวทิ ยาลยั ครูนครสวรรค์ (รร ฝึกหดั ครู ชยั นาทปัจจบุ นั

2

คอื โรงเรียนประจาจงั หวดั ชยั นาท) ตอ่ มาภายหลงั ถา้ อยากไดป้ ลากดั ลูกทุ่ง
ก็ตอ้ งไปซอ้ นปลากดั กนั ทีห่ นองระแหง ซ่ึงข้นึ ชื่อวา่ มีปลิงชุกชุม

ศาลากลางจงั หวดั หลงั เดิมเป็นอาคารไม้ ก็เคยเป็นค่ายทหารของกอง
ทหารราบท่ี ๑๖ แต่ยา้ ยไปต้งั ที่จงั หวดั นครสวรรค์ โดยทางคณะราษฏร์
ฯ จะใชอ้ าคารเป็นศาลากลางจงั หวดั หรือท่ีทาการเมือง ทที่ อ้ แทใ้ จอีก
เร่ืองหน่ึงก็คอื วา่ ชยั นาทเป็นเมืองปิ ด เรียกกนั ในสมยั น้นั เพราะไม่มีทาง
รถไฟผา่ น (ส่วนใหญ่มีความเจริญมาก) ทาใหค้ วามเจริญชา้ กวา่ จงั หวดั
อ่ืน ๆ ก่อนจบช้นั ม.ศ. ๓ ไดข้ ่าววา่ จะมีวทิ ยาลยั เกษตรกรรม จะตอ้ งเกิดที่
ชยั นาท แตก่ ็ตอ้ งอกหกั อีก หรือถา้ อา่ นประวตั ิศาสตร์แลว้ จะรูว้ า่ ชยั นาท
เป็นเมืองท่ีรองรับขา้ ศึกเป็นเมืองกนั ชน รับการทาลายลา้ งจากขา้ ศกึ และ
การกวาดตอ้ นชาวบา้ นไปเป็นเชลยทุกยคุ ทุกสมยั

ชยั นาทยคุ ปัจจุบนั ก็ยงั เป็นเมืองที่สงบ เรียบง่าย นี่เป็นเอกลกั ษณ์
ของคนชยั นาทชอบที่จะอยกู่ บั ความสงบสุข ความเป็ นอยอู่ ยา่ งพอเพยี ง

เร่ืองราวทไ่ี ดร้ วบรวมเรียบเรียงเหล่าน้ี เพ่ือตอ้ งการใหอ้ นุชนรุ่น
หลงั ไดอ้ ่านศึกษาคน้ ควา้ เรื่องราวของถ่ินเกิด และทราบวา่ เมืองชยั นาทน้นั
มีความสาคญั และยง่ิ ใหญไ่ ม่นอ้ ยในสยามประเทศ

3

กาเนดิ เมืองชัยนาทยคุ ต่าง ๆ

เชื่อหรือไม่ ! เมืองชัยนาทของเรา มมี าแต่ศตวรรษท่ี ๑๑
ยคุ อารยธรรมทวารวดี

เมืองชยั นาทเกิดข้ึนเมื่อใดไม่พบหลกั ฐานระบุทช่ี ดั เจน พบแต่
เร่ืองราวจากการประเมินอายขุ องโบราณสถาน โบราณวตั ถุ ทีขดุ พบใน
พ้นื ที่ของจงั หวดั ชยั นาทนามาใชส้ นั นิษฐานวา่ น่าจะ เป็ นชุมชนท่ีมี
เจริญรุ่งเรืองในยคุ อารยธรรมทวารวดี มาต้งั แต่สมยั พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑–
๑๓ จากการพบร่องรอยแหล่งชุมชนโบราณก่อนประวตั ิศาสตร์กระจายอยู่
ตามลุ่มน้าเจา้ พระยาลุ่มน้าท่าจนี บา้ นอู่ตะเภา (มโนรมย)์ และปากแม่น้า
นอ้ ย (แพรกศรีราชา) ถึงเมืองสรรคใ์ นปัจจบุ นั

การขดุ พบภาชนะดินเผา อาวธุ โบราณ และเคร่ืองประดบั บริเวณ
บา้ นเขาพลอง ตาบลเขาท่าพระ อาเภอเมือง ทางดา้ นทิศตะวนั ออก บริเวณ
ป่ าละเมาะชายเขา พบภาชนะและเศษภาชนะดินเผาเน้ือหยาบทเี่ ผาใน
อุณหภมู ิต่า ช้ินส่วนของกาไลหินและลูกปัดโบราณ ชิ้นส่วนของอาวธุ
หอกท่ที าดว้ ยหิน และโลหะ และยงั พบโครงกระดูกมนุษยท์ ฝ่ี ังไวอ้ ีกหลาย

4

แห่ง หลกั ฐานแสดงวา่ บริเวณน้ีเคยเป็นท่อี ยอู่ าศยั ของชุมชนในยคุ ก่อน
ประวตั ศิ าสตร์
ยคุ อาณาจกั รละโว้

ยคุ อาณาจักรละโว้ หนงั สือประวตั ิศาสตร์มหาดไทย ระบวุ า่ ในช่วง
ปี พ.ศ. ๑๗๐๒ (พทุ ธศตวรรษที่ ๑๗) การทาสงครามระหวา่ งกษตั ริย์
เมืองเมาและอาณาจกั รโยนก เจา้ เมืองโยนกแพศ้ ึกตอ้ งอพยพผคู้ นลงมาอยู่
ทเี่ มืองแปป (กาแพงเพชร) แลว้ มาสร้างเมืองไตรตรึงค์ท่ีตาบลแพรกศรี
ราชา หลงั จากน้นั คงจะสรา้ ง “เมืองชัยนาท” ข้ึน

บทความเก่ียวเนื่องกบั อารยธรรมเขมรไดเ้ ขา้ สู่ประเทศไทย ราว
พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ - ๑๘ เรียกอารยธรรมและศิลปกรรมน้นั วา่ สมยั ลพบุรี
หรืออาณาจกั รละโว้ โดยไดเ้ ริ่มเขา้ สู่ดินแดนที่เป็ นประเทศไทยปัจจบุ นั
ทางภาคอีสานใตก้ ่อน แลว้ จึงขยายตวั ไปสู่ภาคกลาง และภาคเหนือของ
ไทยตามลาดบั ในระยะต่อมา พ้นื ท่ีจงั หวดั ชัยนาทไดพ้ บแหล่ง
โบราณสถานและโบราณวตั ถุยคุ อาณาจกั รละโวส้ มยั ลพบุรี หลายพ้นื ท่ใี น
เขตเมืองเก่าสรรคบุรี มโนรมย์ และชยั นาท เม่ืออาณาจกั รสุโขทยั ไดแ้ ผ่
อิทธิพลลงมาทางใตผ้ า่ น กาแพงเพชร พจิ ิตร นครสวรรค์ เร่ือยมาถึงเมือง
ชยั นาท พบเห็นการปรับเปล่ียนรูปแบบศาสนสถานเช่นเดียวกบั สุโขทยั

5

โดยมีการกลมกลืนระหวา่ งศลิ ปกรรมเขมรผสมสุโขทยั และสุพรรณภมู ิ ท่ี
มีอยใู่ นทอ้ งถิ่นเดิมเขา้ ดว้ ยกนั

6

หลกั ฐานท่ีแสดงถึงวฒั นธรรมเขมรแผก่ ระจายถึงเมืองชยั นาท
ไดแ้ ก่แผ่นศิลาทับหลังทาด้วยศิลาทราย สลกั เป็นรูปพระอินทร์ทรงชา้ ง
เอราวณั ศลิ ปกรรมเขมรสมยั บาปวน ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ อยตู่ ดิ กบั
พระพทุ ธรูปหลวงพอ่ ฉายอยดู่ า้ นหลงั องคพ์ ระ ทว่ี หิ ารวดั พระแกว้ อาเภอ
สรรคบุรีหรือเมืองแพรกศรีราชาสมยั น้ัน (เมืองคูแ่ ฝดกบั เมืองชยั นาท)
สนั นิษฐานวา่ เจดียท์ ี่วดั พระแกว้ อาจจะสร้างทบั ศาสนสถานแบบเขมรอยู่
น่าจะมีเหตุผลสนบั สนุนไดเ้ พยี งพอ

การคน้ พบโบราณวตั ถุสมยั ลพบุรี อีกหลายแห่งในเขตเมือง
ชยั นาทเก่า แถบวดั บรมธาตุ วดั ส่องคบ บริเวณปากแม่น้านอ้ ย ไดแ้ ก่
พระพทุ ธรูปศิลาทรายปางนาคปรกหลายองคพ์ ระพทุ ธรูปปางน้ีเป็ นคติ
ความเชื่อในพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายานทเี่ รียกวา่ รัตนไตรมหายานซ่ึงสลกั
เป็นรูป พระโพธิสตั วอ์ วโลกิเตศวรและ พระปรัชญาปารมิตาขนาบสอง
ขา้ งพระพทุ ธรูปปางนาคปรก ซ่ึงเป็ นศลิ ปะแบบเขมรแบบบายน มีอายอุ ยู่
ประมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ (จดั เกบ็ ไวท้ ่พี พิ ธิ ภณั ฑส์ ถานแห่งชาติ
ชยั นาทมุนี)

7

เจดียว์ ดั บรมธาตุ เปรียบเทยี บกบั พระธาตไุ ชยา ยคุ ศรีวชิ ยั

8

นอกจากน้ียงั พบหินบดยา ทาดว้ ยศลิ าทรายทีเ่ มืองอู่ตะเภา (มโนรมย)์
เมืองดงคอน (สรรคบ์ ุรี) ซ่ึงอาจกล่าวไดว้ า่ เมืองชยั นาทเก่า เมืองสรรคบุรี
และแหล่งชุมชนโบราณ เคยไดร้ บั อิทธิพลเขมรมาก่อนและเมื่อไดร้ ับ
อิทธิพลของสุโขทยั กบั สุพรรณภูมิมากข้นึ ศลิ ปเขมรก็เสื่อมสลายไปโดย
ปริยาย

ยคุ อาณาจกั รสุโขทัย
สนั นิษฐานวา่ เมืองชยั นาทมีอยกู่ ่อนแลว้ ซ่ึงอยใู่ นกลุ่มอิทธิพล

อารยธรรมของ แควน้ สุพรรณภูมิ และแควน้ กมั โพช (ละโว)้ อาจเป็นเมือง
รา้ งหรือเสื่อมสภาพ พอ่ ขนุ รามคาแหงไดม้ าบรู ณะปฏสิ งั ขรณ์ วดั วาอาราม
ใหเ้ รียบร้อยสมบรู ณ์ ระหวา่ ง พ.ศ.๑๘๖๐-๑๘๙๗ และตอ่ จากน้นั พระเจา้
เลอไทเห็นความสาคญั ของเมืองชยั นาทจงึ ไดร้ วบรวมใหเ้ ป็นเมืองหนา้
ด่านของอาณาจกั รสุโขทยั

"เมืองแพรก" ในหนงั สือจามเทววี งศไ์ ดก้ ล่าวถึงเมืองทวสี าขนคร ซ่ึง
สมเดจ็ กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงสนั นิษฐานไวว้ า่ น่าจะเป็ น "เมือง
แพรก" หรือ "เมืองสรรค์บรุ ี " อนั เป็นเมืองท่ีอยใู่ กล้ "เมืองชัยนาท"
จนถึงกบั จะเรียกวา่ เป็นเมืองเดียวกนั ก็ได้ ส่วนหนงั สือชินกาลมาลีน้นั มี

9

ขอ้ ความกล่าวไวช้ ดั เจนวา่ "ชยนาทปรุ ม ทุพภิกภย ชาต" ซ่ึงหมายถึง
ทุพภกิ ขภยั ไดบ้ งั เกิดมีในเมืองชยั นาทบุรี ซ่ึงกล่าววา่ ทางพระราชอาณาจกั ร
อยธุ ยาไดส้ ่งอามาตย์ หรือพระราชโอรสมีนามวา่ "เดชะ" มาครอง "เมือง
ชัยนาท" ในรัชสมยั พระมหาธรรมราชา (ลิไท) แห่งอาณาจกั รกรุงสุโขทยั

ส่วนในตานานพระพทุ ธสิหิงค์ ไดก้ ล่าวถึงเมืองชัยนาทภายใตก้ าร
ปกครองของกรุงสุโขทยั รชั สมยั พระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (ลิไท) น้นั คร้ัง
หน่ึงเกิดภาวะขา้ วยากหมากแพง พระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจา้ อู่ทอง) ทรง
ออกอุบายนาขา้ วมาขายที่เมืองชยั นาทแลว้ ยดึ เมืองไดจ้ ึงโปรดใหอ้ ามาตย์
ชื่อ วตั ติเดช (ขนุ หลวงพะงวั่ ) ปกครองเมืองชยั นาท ซ่ึงตรงกนั กบั
พงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยาไดก้ ล่าววา่ "เมืองชัยนาทบุรี" ปรากฏชื่อในราวๆ
รัชสมยั สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๑ แห่งกรุงศรีอยธุ ยาซ่ึงตรงกบั พ.ศ. ๑๘๙๗
เป็ นท่ีพญาเลอไทสวรรคต กรุงสุโขทยั เกิดการแยง่ ชิงราชสมบตั ิ สมเด็จ
พระรามาธิบดีท่ี ๑ ทรงเห็นโอกาสเหมาะ จงึ โปรดใหข้ นุ หลวงพะงวั่ ซ่ึง
ขณะน้นั ครองเมืองสุพรรณบรุ ียกทพั ข้ึนไปยดึ ครอง "เมืองชัยนาทบุรี"
และอยรู่ กั ษาเมืองไวโ้ ดยข้นึ ตรงตอ่ กรุงศรีอยธุ ยา ต่อมากรุงสุโขทยั สงบลง
แลว้ พญาลิไทข้ึนครองราชย์ ไดส้ ่งทูตมาเจรจาขอ "เมืองชัยนาทบุรี" คนื

10

จากกรุงศรีอยธุ ยา โดยต่างฝ่ายจะเป็นอิสระ และมีความสมั พนั ธไมตรีอนั ดี
ตอ่ กนั ในทส่ี ุดกรุงศรีอยธุ ยากไ็ ดค้ นื "เมืองชัยนาทบรุ ี" ให้แก่กรุงสุโขทยั

สมยั สุโขทยั น้นั มีเมืองสาคญั ทางใตอ้ ยสู่ องเมืองคือ เมืองชัยนาท
และเมืองสรรค์ มีชยั ภูมิทีเ่ หมาะสมสาหรับการเป็ นเมืองกนั ชน เมือง
ชยั นาทแต่เดิมต้งั อยใู่ นเขตตาบลชยั นาท แถบวดั บรมธาตุ วดั ส่องคบปาก
แม่น้านอ้ ย อยรู่ ิมฝั่งตะวนั ตกของแมน่ ้าเจา้ พระยา โดยใชล้ าน้าเจา้ พระยา
เป็ นคูเมืองและกาแพงเมืองทางดา้ นทิศตะวนั ออก ทางดา้ นเหนืออยตู่ ิดกบั
ปากแม่น้านอ้ ย (ปากคลองแพรกศรีราชา) จึงอาศยั ลาน้านอ้ ยเป็ นคูเมือง
และกาแพงเมืองดา้ นทิศตะวนั ตก ทางดา้ นทศิ ใตแ้ ตก่ ่อนมีแนวกาแพงเมือง
เป็ นมูลดินแต่ปัจจบุ นั ถูกทาลายไปหมดแลว้ เม่ือคร้งั สรา้ งประตูน้าพระ
บรมธาตุ เมืองชยั นาทเก่าน่าจะเป็ นเมืองโบราณมากอ่ น ในลกั ษณะเมือง
ซอ้ นเมืองดงั จะสงั เกตไดจ้ ากองคพ์ ระบรมธาตุที่วัดบรมธาตวุ รวิหาร ที่
สรา้ งดว้ ยศลิ าแลงท้งั องคเ์ ป็ นสถาปัตยกรรมอู่ทองผสมกับสุโขทัย

หนงั สือชินกาลมาลี และตานานพระพทุ ธสิหิงค์ ท่กี ล่าวถึงเมือง
ชยั นาทภายใตก้ ารปกครองของกรุงสุโขทยั และยงั มีพงศาวดารกรุงศรี
อยธุ ยา ทกี่ ล่าวถึงชื่อ “เมืองชัยนาทบุรี” ปรากฏในรชั สมยั สมเดจ็ พระ

11

รามาธิบดีที่ 1 ตรงกบั พ.ศ. ๑๘๙๗ อยา่ งไรกต็ าม ในสมยั กรุงศรีอยธุ ยา
ประมาณรัชสมยั สมเด็จพระนารายณ์ มีบนั ทกึ กล่าวถึง “เมืองชัยนาทบุรี”
วา่ ไดร้ บั การสถาปนาใหเ้ ป็นเมืองลูกหลวง

ดร.ประเสริฐ ณ นคร ราชบณั ฑติ ไดแ้ สดงหลกั ฐานช้ีใหเ้ ห็นจน
เป็นที่ยอมรับกนั ในวงการประวตั ศิ าตร์ไทยวา่ ชื่อ “ชัยนาท” ในหนงั สือท้งั
สองเล่มน้ีเป็นอีกชื่อหน่ึงของเมืองสองแคว หาใช่เมืองชยั นาททเ่ี ป็น
จงั หวดั ชยั นาทในปัจจุบนั ไม่ และมีหลกั ฐานเพม่ิ ข้ึนคอื ศิลาจารึกวดั สร
ศกั ด์ิ สุโขทยั กล่าววา่ เจา้ สามพระยาเคยเสดจ็ มาทาบุญทีเ่ มืองสุโขทยั พร้อม
กบั พระมารดาและนา้ เวลาที่เสดจ็ มาทาบญุ ทสี่ ุโขทยั น้นั เป็นเวลาทีท่ รง
ครองอยทู่ ีเ่ มืองชยั นาทในฐานะลูกหลวง การทเี่ จา้ สามพระยาทรงมีเช้ือสาย
ทางราชวงศส์ ุโขทยั ดว้ ย จึงสมเหตุผลวา่ ทรงไดค้ รองเมืองชัยนาท ซึ่ง
หมายถงึ เมอื งทพี่ ษิ ณโุ ลกหรือเมืองสองแควเดิม สรุปแลว้ เมือง ชัยนาทบรุ ี

จงึ ไม่ใช่เมืองชัยนาทในปัจจบุ นั
หลกั ฐานจารึกวดั ส่องคบ (พ.ศ. ๑๙๕๒-๑๙๕๓) ซ่ึงต้งั อยบู่ ริเวณ

ปากน้าแพรกศรีราชา บรมธาตุ สนั นิษฐานวา่ เมืองชยั นาทช่ือเดิม
คือ “เมืองไชยสถาน” ตอ่ มาเปลี่ยนมาเป็ น “ชัยนาท” เปล่ียนเมื่อไหร่ไม่
ทราบ แต่ทแี่ น่ๆ ช่ือชยั นาทในสมยั โบราณ หมายถึงเมืองพษิ ณุโลก

12

เพราะฉะน้นั หมายความวา่ ที่ “ไชยสถาน” เปลี่ยนไปเป็ นชยั นาท กเ็ มื่อ
“ชยั นาท” เปลี่ยนช่ือมาเป็นพษิ ณุโลก ไชยสถานจึงเปล่ียนมาเป็นชยั นาท
ซ่ึงหลกั ฐานตรงน้ีเขา้ ใจวา่ น่าจะเปล่ียนช่วงรัชกาลพระบรมไตรโลกนาถ
ลงมา เพราะวา่ ชยั นาทเปลี่ยนเป็นพษิ ณุโลก คือช่วงพระบรมไตรโลกนาถ
..”

สมเดจ็ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรงสนั นิษฐานวา่ น่าจะ
เป็น “เมืองแพรก” หรือ “เมืองสรรคบรุ ี “ เมืองทีอ่ ยใู่ กล้ “เมืองชยั นาท”
จนถึงกบั จะเรียกวา่ เป็นเมืองเดียวกนั กไ็ ด้

13

ม.ร.ว.คึกฤทธ์ิ ปราโมช เมื่อคร้งั ไปปาฐกถาท่ี อ.สรรคบรุ ี ปี
๒๕๑๐ สนั นิษฐานวา่ สาเหตทุ ส่ี ถาปนาใหเ้ มือง “ชยั นาทบุรี” เป็นเมือง
ลูกหลวงน้นั อาจเป็ นเหตุผลทางทหาร การป้องกนั ขา้ ศกึ นบั แตส่ มยั ท่ี
สมเด็จพระอินทราชาข้ึนครองราชย์ อาจยงั ไม่ไวว้ างใจราชอาณาจกั รทาง
ฝ่ ายเหนือ ดงั น้นั จึงทรงใหพ้ ระราชโอรส 3 พระองค์ ไปครองหวั เมือง
รอบๆ กรุงศรีอยธุ ยา เพอ่ื คอยรับสถานการณ์ โดยใหเ้ จา้ อา้ ยไปครองเมือง
สุพรรณบุรี เจา้ ยไี่ ปครองเมืองสรรคบรุ ี และเจา้ สามพระยาไปครองเมือง
ชยั นาทบรุ ี

การสันนิษฐานในยคุ ตา่ ง ๆ ลว้ นมีขอ้ มูล และเหตผุ ลที่น่าเช่ือถือใน
แต่ละยคุ แต่จะสรุปโดยชดั เจนยงั ไม่สามารถสรุปไดแ้ น่ชดั วา่ ชยั นาทน้นั
กาเนิดในยคุ สมยั ใด ทมี่ ีหลกั ฐานรองรับอยา่ งน่าเชื่อถือได้ เช่น
โบราณวตั ถุท่ขี ดุ ได้ ซากโบราณสถานทรี่ ะบรุ ูปพรรณสญั ฐานวา่ มีรูปแบบ
ตามอารยธรรมทีก่ าเนิด แตท่ ่เี ห็นไดช้ ดั เมืองชยั นาทก็ยงั เป็นเมืองทส่ี าคญั
ในแตล่ ะยคุ ไม่วา่ จะเป็นเมืองหนา้ ด่าน เมืองโท เมืองตรี หรือแมก้ ระทงั่
เมือจตั วา เป็ นเมืองกนั ชนตา้ นขา้ ศกึ ทมี่ ารุกราน ตา่ งก็เป็ นเมืองทมี่ ีคุณคา่
ทางประวตั ศิ าสตร์ที่สาคญั ตลอดเวลาท่ีผา่ นมา

14

ชัยนาทเป็ นเมืองโบราณจริงหรือ ?

จากการคน้ ควา้ ขอ้ มูลของนกั โบราณคดี สนั นิษฐานไดว้ า่ ทวารวดี ยงั ไม่
พบหลกั ฐานระบุวา่ เป็นอาณาจกั ร (มีผปู้ กครอง มีเมืองหลกั ในการบริหาร
แควน้ ต่าง ๆ) พบแต่วตั ถุโบราณทส่ี นั นิษฐานวา่ อยใู่ นยคุ ท่เี รียกกนั วา่ ทวาร
วดี บทความน้ีจงึ ขออนุญาตเรียกอาณาจกั รทวารวดี วา่ เป็น อารยธรรม
ทวารวดี

หลกั ฐานทางโบราณคดีทีพ่ บในสมยั พทุ ธศตวรรษที่ ๑๑–๑๓ คือ
เหรียญเงนิ เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง ๑๙ ม.ม. พบที่นครปฐม และอู่ทอง
น้นั พบวา่ มีอกั ษรจารึกไวว้ า่ “ศรีทวารวดีศวร”และ มีรูปหมอ้ น้ากลศอยู่
อีกดา้ นหน่ึง น่าเชื่อไดว้ า่ ชนชาตมิ อญโบราณ เป็นชนกลุ่มด้งั เดิมทร่ี บั เอา
อารยธรรมทวารวดี (บางแห่งเรียกทวาราวดี) ในภาคกลางของดินแดน
สุวรรณภมู ิ และมีชุมชนเมืองสมยั ทวาราวดีสาคญั หลายแห่ง ไดแ้ ก่

เมืองนครชยั ศรี (นครปฐมโบราณ น่าจะเป็นแควน้ ศูนยก์ ลางในลุ่ม
แม่น้าทา่ จนี ) เมืองอู่ทอง (จงั หวดั สุพรรณบุรีในลุ่มแม่น้าท่าจีน) เมืองคูบวั
(จงั หวดั ราชบุรี เมืองพงตึก(จงั หวดั กาญจนบรุ ี ในลุ่มแม่น้าแม่กลอง)

15

เมืองละโว(้ จงั หวดั ลพบรุ ีใน ลุ่มแม่น้าลพบุรี) โคกสาโรง อาเภอ
บา้ นหม่ี จงั หวดั ลพบรุ ี

เมืองอู่ตะเภา (บ้านอู่ตะเภา อ.มโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ในล่มุ แม่นา้
เจ้าพระยา) เมืองบ้านด้าย(ต.หนองเต่า อ.เมืองจ.อุทยั ธานี ในแควตากแดด)
เมืองซับจาปา(บ้านซับจาปา จังหวดั ลพบรุ ีในลุ่มแม่นา้ ป่ าสัก) เมือง
ขดี ขนิ (อยใู่ นจงั หวดั สระบุรี) และบา้ นคูเมือง(ท่อี าเภออินทรบรุ ี จงั หวดั
สิงหบ์ รุ ี)
นอกจากน้นั ยงั แพร่อารยธรรมทวารวดีไปทางตอนใตอ้ ีกหลายแห่ง เช่น ที่
บา้ นหนองปรง อาเภอเขายอ้ ย จงั หวดั เพชรบรุ ี

16

อารยธรรมยคุ ทวารวดที ช่ี ัยนาท

บ้านเขาขยาย อยใู่ นเขตตาบลท่าพระ อาเภอเมือง พ้นื ที่เป็ นป่ าละเมาะชาย
เขา พบเศษภาชนะดินเผาต่าง ๆ สนั นิษฐานวา่ น่าจะเป็ นแหล่งชุมชน
โบราณมาก่อน เน่ืองจากอยใู่ กลก้ บั แหล่งชุมชนโบราณเขาพลอง

17

บ้านโพธ์ิงาม อยใู่ นเขตตาบลบางหลวง อาเภอสรรพยา พน้ื ทส่ี ่วน
หน่ึงเป็ นพ้นื ทข่ี องวดั โพธิงาม ในพน้ื ท่บี ริเวณวดั ไดพ้ บกระดูกชา้ งเป็ น
จานวนมาก พบเศษภาชนะดินเผา หอกโลหะและโครงกระดูกมนุษย์
บริเวณฝ่ังตรงขา้ มกบั วดั เป็นพน้ื ที่ที่เรียกวา่ คลองโพมีสระน้าโบราณ
เรียกวา่ สระกด สภาพพน้ื ทีเ่ ป็นเนินดิน และคูเมือง พอใหเ้ ห็นร่องรอยอยู่
บา้ งเคยพบพระพทุ ธรูป และศลิ ปะวตั ถุสมยั ละโวล้ พบุรีในบริเวณคลองโพ
สระกรด และพน้ื ทใ่ี กลเ้ คยี งสนั นิษฐานวา่ บริเวณน้ีเป็นแหล่งชุมชน
โบราณ ที่พฒั นาตวั เองมาจนถึงสมยั ลพบุรี

18

เมืองนางเหลก็ อยทู่ บ่ี า้ นเขาแหลม ตาบลไร่พฒั นา อาเภอมโนรมย์
ลกั ษณะเป็นพน้ื ทร่ี าบมีแหล่งแร่เหล็กอยทู่ ว่ั ไปพบตะกรันแร่เหล็ก และ
ซากเตาถลุงเหลก็ ตวั เมืองเป็นรูปส่ีเหล่ียมผนื ผา้ มีพ้นื ทีป่ ระมาณ ๗๔ ไร่
ยงั คงสภาพเมืองโบราณใหเ้ ห็นไดช้ ดั

เมืองนครน้อย อยทู่ ี่บา้ นหวั ถนน ตาบลไร่พฒั นา อาเภอมโนรมย์
ตวั เมืองมีขนาดกวา้ ง ๒๕๐ เมตร ยาว ๓๐๐ เมตร มีร่องรอยการเป็นเมือง
โบราณ

19

เมืองอู่ตะเภา อยทู่ ่ีบา้ นอู่ตะเภา ตาบลอู่ตะเภา อาเภอมโนรมย์ ตดิ
กบั ลาน้าอู่ตะเภา ผงั เมืองเป็นรูปส่ีเหลี่ยมคางหมูมีพ้นื ทปี่ ระมาณ ๒,๙๐๐
ไร่ มีคูน้ากวา้ ง ๑๕ เมตร คนั ดินทเ่ี ป็ นกาแพงเมืองสูง๙ เมตร บนกาแพง
บางตอน มีหินกอ้ นใหญ่อยดู่ ว้ ย ทางดา้ นตะวนั ตกของตวั เมืองขนานไปกบั
ลาน้าอู่ตะเภาบนกาแพงดินดา้ นตะวนั ออกมีช่องกาแพงดินกวา้ ง ๕ เมตร มี
ผเู้ คยพบเสาหินสีเขียวสูงจากพน้ื ดิน๑ เมตร กวา้ ง ๕๐ เซ็นติเมตร พน้ื ที่
บริเวณตวั เมืองสูงต่าไม่เทา่ กนั

พบร่องรอยสระน้าปรากฏอยบู่ ริเวณใกลเ้ คยี ง ซากโบราณสถาน
กระจายอยทู่ วั่ ไปทาดว้ ยศลิ าแลง และอิฐดินเผา พบเตาถลุงเหล็กหลายแห่ง
ระฆังหิน หินบดยา ลูกปัด กาไลหิน หอกโลหะ โครงกระดูกมนุษยฝ์ ังอยู่
ตามแนวเนินดินทว่ั ไปชาวบา้ น ไดข้ ดุ พบเหรียญเงินหลายร้อยเหรียญ ใน
บริเวณเมืองแห่งน้ี ตวั เหรียญประทบั ตราพระอาทติ ยค์ ร่ึงดวงตราสงั ข์ และ

20

มีตราอ่ืน ๆ อีกเลก็ นอ้ ย มีอายปุ ระมาณพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑ บริเวณนอก
กาแพงเมืองอู่ตะเภาทางดา้ นทิศตะวนั ออกห่างจากกาแพงเมืองออกไป
ประมาณ ๕๐๐ เมตร มีซากโบราณสถานก่อดว้ ยศลิ าแลง และอิฐปัจจุบนั
เหลืออยเู่ พยี งส่วนท่ีเป็นฐานและเนินดิน ไดม้ ีการขดุ พบช้ินส่วนธรรมจกั ร
พบร่วมกับเสาแปดเหลี่ยมมีฐานก่อด้วยอฐิ มีลกั ษณะเป็นรูปวงกลม
เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง๒ เมตร มีการแกะสลกั ลวดลายท่ีกงดา้ นนอกท่ซี ่ีกาทุกซ่ีมี
ตวั อกั ษร ทพ่ี ้นื กงทุกซี่โดยรอบดา้ นขา้ งธรรมจกั รและสลกั เป็นรูปสิงห์
แบกท้งั สองดา้ น อกั ษรท่จี ารึกเป็นอกั ษรปัลลวะ ภาษาบาลีมอี ายอุ ยใู่ นพทุ ธ
ศตวรรษที่ ๑๒ นอกจากน้ียงั พบพระพทุ ธรูปและเทวรูปในบริเวณใกลเ้ คียง
อีกดว้ ย

จากการศกึ ษาผงั เมือง ซากโบราณสถานคนั ดินก้นั น้า ซ่ึงอยทู่ างดา้ น
ทิศเหนือของตวั เมืองเพอ่ื กกั และทดน้า ใหไ้ หลมาเก็บไวใ้ นสระภายในตวั
เมือง เมืองอู่ตะเภาน่าจะเป็นแหล่งชุมชนท่ีเจริญและอุดมสมบรู ณ์ยง่ิ แห่ง
หน่ึงในเขตภูมิภาคน้ี

บ้านหนองบัว อยใู่ นเขตตาบลเทยี่ งแทอ้ าเภอสรรคบุรี สภาพ
พ้นื ทเ่ี ดิมเป็ นป่ าละเมาะ โบราณวตั ถุท่พี บมีเศษภาชนะดินเผาเคร่ืองมือ
อาวธุ ทาจากหิน แหวนดีบุก แว ลูกปัดหิน และกาไลสาริด

21

22

เมืองดงคอน อยใู่ นเขตตาบลดงคอน อาเภอสรรคบุรี มีผงั เมือง
เป็นรูปสี่เหลี่ยมผนื ผา้ มุมมนกวา้ งในแนวตะวนั ออก- ตะวนั ตก ประมาณ
๕๕๐ เมตร ยาวในแนวเหนือใต้ ประมาณ ๗๕๐ เมตร คูเมืองกวา้ ง
ประมาณ ๒๐ เมตร ไม่พบซากกาแพงเมือง พบซากโบราณสถานอยนู่ อก
เมือง ๑ แห่ง ชาวบา้ นเรียกวา่ โคกปราสาทมีแผน่ อิฐท่มี ีขนาดใหญ่กวา่ ท่ี
พบในเมืองอ่ืน ๆ มีขนาดกวา้ ง ๒๖ เซ็นติเมตรยาว ๕๑ เซ็นตเิ มตร พบ
ภาพสลกั นูนต่าบนแผน่ ศิลา เป็ นภาพพระพทุ ธรูปปางสมาธิ ขนาบขา้ งซา้ ย
ดว้ ยธรรมจกั รดา้ นซา้ ยเป็นรูปสถูป พบฐานพระพทุ ธรูปทาดว้ ยศลิ าขนาด
ใหญ่เป็นรูปดอกบวั บาน ศีรษะตกุ๊ ตาดินเผาเศษภาชนะดินเผาหลายชนิด
ตะเกียงน้ามนั ดินเผา แทง่ หินบดยา ระฆงั หิน ส่ิงของท่ีทาดว้ ยโลหะเช่น
กาไล ลูกกระพวน ใบหอก ขวาน เหรียญประทบั ตรามีอกั ษรปัลลวะ
ประทบั อยดู่ ว้ ยเช่นตราสงั ข์ และศรีวตั สะ ตราพระอาทิตยค์ ร่ึงดวง และ
ตราสงั ข์ ตราแม่ววั ลูกววั และอกั ษรปัลลวะ มีอายอุ ยปู่ ระมาณ พทุ ธ
ศตวรรษท่ี ๑๒

23

วัดท่าเสา (วัดร้าง)
แนวตะวนั ออก- ตะวนั ตก ประมาณ ๕๕๐ เมตร ยาวในแนวเหนือ
ใต้ ประมาณ ๗๕๐ เมตร คูเมืองกวา้ งประมาณ ๒๐ เมตร ไม่พบซากกาแพง
เมือง พบซากโบราณสถานอยนู่ อกเมือง ๑ แห่ง ชาวบา้ นเรียกวา่ โคก
ปราสาทมีแผน่ อิฐทม่ี ีขนาดใหญก่ วา่ ที่พบในเมืองอื่น ๆ มีขนาดกวา้ ง ๒๖
เซ็นติเมตรยาว ๕๑ เซ็นตเิ มตร
พบภาพสลกั นูนต่าบนแผน่ ศิลา เป็นภาพพระพทุ ธรูปปางสมาธิ
ขนาบขา้ งซา้ ยดว้ ยธรรมจกั รดา้ นซา้ ยเป็นรูปสถูป พบฐานพระพทุ ธรูปทา
ดว้ ยศิลาขนาดใหญเ่ ป็นรูปดอกบวั บาน ศรี ษะตุก๊ ตาดินเผาเศษภาชนะดิน
เผาหลายชนิด ตะเกียงน้ามนั ดินเผา แทง่ หินบดยา ระฆงั หิน ส่ิงของทีท่ า
ดว้ ยโลหะเช่น กาไล ลูกกระพวน ใบหอก ขวาน เหรียญประทบั ตรามี

24

อกั ษรปัลลวะประทบั อยดู่ ว้ ยเช่นตราสังข์ และศรีวตั สะ ตราพระอาทติ ย์
ครึ่งดวง และตราสงั ข์ ตราแม่ววั ลูกววั และอกั ษรปัลลวะ มอี ายอุ ยปู่ ระมาณ
พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒

แหล่งชุมชนโบราณอ่ืน ๆ ยงั มีแหล่งชุมชนโบราณอีกหลายแห่ง
เช่นท่ีบา้ นท่าราบ ตาบลธรรมามูล อาเภอเมอื งฯ เมืองโบราณทดี่ อน
กลาง และ เมืองโบราณไร่ตากี๋ อยทู่ ี่บา้ นวดั ใหม่ตาบลหนองบวั อาเภอวดั
สิงห์ เมืองโบราณที่หนองหว้ ยตาบลหนองบัว อาเภอวดั สิงห์ เมืองโบราณ
บา้ นหนองไอง้ อนตาบลหนองขนุ่ อาเภอวดั สิงห์ เมืองโบราณบา้ นไร่-
สวนลาว ตาบลบา้ นเชี่ยน อาเภอหนั คา

25

เมืองโบราณอารยธรรมทวารวดี ในพ้นื ทจี่ งั หวดั ชยั นาท ส่วนใหญ่
เป็นชุมชนหรือเมืองขนาดเล็ก มีเมืองอู่ตะเภา และเมืองดงคอนท่ีเป็น
เมืองใหญ่ เมืองอู่ตะเภาคงเป็นเมืองท่เี จริญมากในระยะหน่ึงแลว้ เส่ือม
ไป การพบร่องรอยเครื่องมือเครื่องใชต้ ่าง ๆ ทาใหท้ ราบถึงวถิ ีชีวติ ของ
ผคู้ นในช่วงเวลาน้นั

การนบั ถือพระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมทวาราวดี ในเขตจงั หวดั
ชยั นาท จากการขดุ พบหลกั ฐาน ธรรมจกั รศิลาพบพระพทุ ธรูปสาริด ภาพ
แกะสลกั พระพทุ ธรูปบนแผน่ ศลิ าแบบนูนต่า และไดท้ ราบการรับเอาอารย

26

ธรรมจากอินเดียและการตดิ ตอ่ คา้ ขายกบั เมืองต่าง ๆ ในสมยั น้นั อา้ งอิง
จากการขดุ พบเหรียญเงนิ เก่าสมยั ทวารดีท่ีเมืองอู่ตะเภาและเมืองดงคอน

ชัยนาทยคุ อาณาจกั รสุโขทยั

หลงั จากอาณาจกั รละโว้ พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ สวรรคตใน พ.ศ. ๑๗๓๒
อานาจก็เร่ิมเส่ือมลง ทาใหบ้ รรดาเมืองประเทศราช ทอี่ ยใู่ นอิทธิพลของ
ขอมต่างพากนั ต้งั ตวั เป็นอิสระ ดงั น้นั ในปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ พอ่ ขนุ
บางกลางหาว เจา้ เมืองบางยาง และพอ่ ขนุ ผาเมือง เจา้ เมืองราด ซ่ึงไดพ้ ระ
นางสิขรเทวพี ระธิดาขอม เป็นมเหสีและไดร้ ับพระนามวา่ ”ขนุ ศรีอินทรา
ทติ ย”์ พรอ้ มพระขรรคช์ ยั ศรี ไดร้ ่วมกนั ทาการยดึ อานาจจากขอม และให้
พอ่ ขนุ บางกลางหาว สถาปนาเป็น พอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย์ และประกาศต้งั
อาณาจกั รสุโขทยั เป็นอิสระจากการปกครองของขอม พอ่ ขนุ รามคาแหง
พระราชโอรสของขนุ ศรีอินทราทิตย์ ไดค้ รองราชยแ์ ละทรงดดั แปลงอกั ษร
ขอมและ มอญ มาประดิษฐเป็นลายสือไทย
ในศิลาจารึกสุโขทยั หลกั ที่ ๑ ของพ่อขุนรามคาแหง ได้ระบุช่ือเมืองทีอ่ ย่ใู น
อานาจของสุโขทยั หลายเมือง ก่อนน้ันเมอื งเหล่านี้ เคยอยู่ในอาณาจักร
ทวารวดโี บราณ เช่นเมืองสุพรรณภูม(ิ สุพรรณบรุ ี) เมืองราชบรุ ี เมือง

27

เพชรบรุ ี เมืองแพรก(ชัยนาท) เป็ นต้น ชยั นาทจึงกลายเป็นเมืองบริวาร
เมืองหน่ึงของอาณาจกั รสุโขทยั ต้งั น้นั มา

ชัยนาทยุคอาณาจกั รกรุงศรีอยธุ ยา

เมื่อพระเจา้ อู่ทองทรงสถาปนากรุงศรีอยธุ ยาเป็ นราชธานี เมื่อปี
พ.ศ. ๑๘๙๓ และต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๑๘๙๖ พระเจา้ เลอไท สวรรคต กรุง
สุโขทยั เกิดความไม่สงบ พระเจา้ อู่ทองเห็นเป็นโอกาสจงึ ทรงยกกองทพั ไป
ตียดึ เมืองชัยนาทได้ แลว้ โปรดเกลา้ ฯ ให้ ขนุ หลวงพะงว่ั ซ่ึงครองเมือง
สุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) มาครองเมืองชยั นาท ต่อมาเมื่อเหตุการณ์ท่กี รุง
สุโขทยั สงบลงพระมหาธรรมราชาท่ี ๑ ข้ึนครองราชยจ์ ึงไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ
ใหร้ าชทูตนาเครื่องราชบรรณาการมาถวายพระเจา้ อู่ทอง และขอเจรจาขอ
เมืองชยั นาทคืน พระเจา้ อู่ทองก็ทรงคืนใหข้ นุ หลวงพะงวั่ จึงตอ้ งกลบั ไป
ครองเมืองสุพรรณภมู ิตามเดิม

ในรชั สมยั สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (พ.ศ. ๑๙๑๓ - ๑๙๓๑)
เมื่อพระองคข์ ้นึ ครองราชยแ์ ลว้ ในปี พ.ศ. ๑๙๑๔ ไดเ้ สดจ็ ยกกองทพั ไปตี
หวั เมืองฝ่ายเหนือ ตไี ดเ้ มืองชยั นาทไปจนถึง เมืองพระบาง(นครสวรรค)์
และในปี พ.ศ. ๑๙๑๖ ไดท้ รงยกกองทพั ไปตี เมืองชากงั ราวแต่ไม่สาเร็จ ใน

28

ปี พ.ศ. ๑๙๑๘ ไดท้ รงยกกองทพั ไปตี เมืองสองแคว(พษิ ณุโลก) ไดแ้ ลว้
กวาดตอ้ นชาวเมืองมากรุงศรีอยธุ ยาเป็นอนั มาก สมเด็จพระบรมราชาธิราช
ที่๑ ไดย้ กทพั ไปตีเมืองชากงั ราวอีกสองคร้ัง ในปี พ.ศ. ๑๙๑๙ และ ๑๙๒๑
จงึ ไปตีเมืองชากงั ราวไดพ้ ระมหาธรรมราชาแห่งกรุงสุโขทยั สูไ้ ม่ไดต้ อ้ ง
ยอมเจรจา ยอมใหก้ รุงศรีอยธุ ยามีอานาจเหนือกรุงสุโขทยั เมืองชัยนาทจึง
ตกอยใู่ นฐานะเมืองลูกหลวงของกรุงศรีอยธุ ยา

เมืองสรรคห์ รือเมืองแพรกเป็นเมืองโบราณอยใู่ นเขตตาบลศรีราชา
อาเภอสรรคบ์ รุ ี และเมืองชยั นาทตกอยใู่ นอิทธิพลของกรุงสุโขทยั เป็ นส่วน
ใหญ่ ตอ่ มาเมื่ออารยธรรมสุโขทยั เริ่มอ่อนตวั ลงกลุ่มชนทางตอนใต้
เจริญรุ่งเรืองมากข้นึ จนมีศลิ ปกรรมต่าง ๆ เป็ นของตนเอง โดยเฉพาะกลุ่ม
ชนทางสุพรรณภมู ิและคงจะขยายมาถึงเมืองชยั นาท เมืองแพรก หรือเมือง
สรรคบ์ รุ ีดว้ ย จนเกิดวฒั นธรรมศิลปกรรมแบบผสมผสานระหวา่ งสกลุ ช่าง
สุพรรณภูมิ สุโขทยั และอยธุ ยาข้ึน เช่นเจดียว์ ดั พระแกว้ เจดียว์ ดั พระยา
แพรกพระปรางคท์ รงกลีบมะเฟืองทวี่ ดั มหาธาตุ เมืองสรรคบุรี พระปรางค์
แบบอยธุ ยาทวี่ ดั สองพนี่ อ้ งรวมถึงเจดียท์ รงพมุ่ ขา้ วบิณฑศ์ ลิ ปะสุโขทยั ท่ีวดั
โตนดหลาย เมืองสรรคบรุ ี เป็นตน้

29

ในสมยั กรุงศรีอยธุ ยา ชยั นาทน่าจะมีเมืองสาคญั อยสู่ องเมืองคือ
เมืองชยั นาท และเมืองสรรคต์ อ่ มาในรชั สมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช
ไดเ้ กิดเมืองมโนรมย์ข้นึ อกี เมืองหน่ึงเป็นเมืองเลก็ ๆ อยรู่ ะหวา่ งเมือง
ชยั นาทกบั เมืองพระบาง (นครสวรรค)์

ในปี พ.ศ. ๑๙๕๒ สมเด็จพระบรมราชาธิราช (พ.ศ.๑๙๓๘ -
๑๙๕๒) ไดส้ ละราชสมบตั ถิ วายใหเ้ จา้ นครอินทร์หลานขนุ หลวงพะงว่ั ท่ี
ครองเมืองสุพรรณบรุ ีอยเู่ ดิม และไดพ้ ระนามวา่ สมเด็จพระนครินทราธิ
ราช (พ.ศ.๑๙๕๒ - ๑๙๖๗) พระองคไ์ ดส้ ่งราชโอรส ๓ องค์ ไปครองเมือง
๓ เมือง คือ เจา้ อา้ ยพระยาครองเมืองสุพรรณบรุ ี เจา้ ยพี่ ระยาครองเมือง
สรรค์ และเจา้ สามพระยาครองเมืองชยั นาท ตอ่ มาเจา้ สามพระยาไดข้ ้ึน
ครองราชยก์ รุงศรีอยธุ ยาตอ่ จากพระราชบิดา เมื่อปี พ.ศ.๑๙๖๑

30

ในรัชสมยั สมเด็จพระมหาจกั รพรรด์ิ (พ.ศ.๒๐๗๒ - ๒๑๑๑)
พระองคไ์ ดก้ ระทาพธิ ีมธั ยมกรรมทต่ี าบลชยั นาทบรุ ี ซ่ึงอยทู่ างฝ่ัง
ตะวนั ออกของแม่น้าเจา้ พระยาตรงขา้ มกบั เมืองชยั นาทเดิม แลว้ ทรง
สถาปนาเมืองชยั นาทใหม่ข้นึ ในปี พ.ศ. ๒๐๗๗

ในรชั สมยั สมเด็จพระมหาธรรมราชา (พ.ศ.๒๑๑๒ - ๒๑๓๓)
กองทพั พระเจา้ เชียงใหม่ไดย้ กลงมาถึงเมอื งชยั นาทและต้งั ทพั ลงท่เี มืองน้ี
ดว้ ย ใหก้ องทพั หนา้ ต้งั ทพั ที่ ปากน้าบางพทุ ราแขวงเมืองพรหม สมเด็จ
พระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถทรงยกกองทพั ไปตที พั ที่ บา้ นชะ
ไวแขวงเมืองวเิ ศษชยั ชาญ แลว้ ทรงใหพ้ ระราชมนู และขนุ รามเดชะคุม
กองทพั หนา้ ยกเขา้ ตีขา้ ศกึ แตกพา่ ยกลบั ไปเมืองชยั นาทพระเจา้ เชียงใหม่จงึ
ถอยทพั กลบั

ในรชั สมยั สมเด็จพระนครินทราธิราช เมืองชยั นาท และเมืองสรรค์
อยใู่ นฐานะเมืองลูกหลวง ตอ่ มาในรชั สมยั สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ
เมืองลูกหลวงไดเ้ ล่ือนไปอยทู่ ่ีเมืองพษิ ณุโลกเมืองชยั นาท และเมืองสรรค์
จงึ ลดความสาคญั ลงไป ในรัชสมยั สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช(พ.ศ.
๒๑๓๓ - ๒๑๕๖) เมืองชยั นาท และเมืองสรรคน์ ่าจะอยใู่ นฐานะเมืองจตั วา

31

เท่าน้นั เจา้ เมืองท้งั สองจงึ กลบั มาเป็นเมืองทา้ ยพระยามหานคร ผวู้ า่ ราชการ
เมืองมีบรรดาศกั ด์ิเป็นพระยาตามนามเมืองเช่นพระยาสรรค์ พระยาชยั นาท
พระยาไชยนฤนาท ตลอดมาจนถึงรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระ
จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ในสมยั รตั นโกสินทร์ สาหรับเมืองมโนรมยก์ ็น่าจะ
อยใู่ นฐานะเดียวกนั

ชัยนาทสมยั กรุงธนบุรี

สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช (พ.ศ. ๒๓๑๐ - ๒๓๒๕) พระองค์
ทรงใช้เมืองชัยนาทเป็นชยั ภูมิในการต้งั รบั พม่าทยี่ กมาทางเหนือ เม่ืออะ
แซหวนุ่ ก้ี แม่ทพั พม่ายกทพั มาตเี มืองเหนือของไทย สมเด็จพระเจา้ ตากสิน
มหาราชทรงยกทพั หลวงโดยขบวนเรือไปต้งั ณ เมืองชยั นาท แลว้ โปรด
เกลา้ ฯ ให้ แลว้ จดั กองทพั ไปตีทพั พม่าท่ีเมืองนครสวรรคแ์ ลว้ พระองค์
เสดจ็ กลบั กรุงธนบุรี ต่อมาทรงเห็นวา่ การรบทนี่ ครสวรรคต์ ิดพนั อยหู่ ลาย
วนั พระองคจ์ งึ ไดเ้ สด็จยกทพั ออกจากกรุงธนบุรีอีกคร้ังในวนั ท่ี ๒๘
กรกฎาคม ๒๓๑๙ พอเสด็จไปถึงเมืองชยั นาท พม่ากท็ ง้ิ คา่ ยทน่ี ครสวรรค์
หนีไปทางเมืองอุทยั ธานีจึงไดม้ ีรับสงั่ ใหก้ องทหารไทย และกองทหาร

32

มอญ ตดิ ตามไปทนั ทพั พม่าท่บี า้ นเดิมบางนางบวช แขวงเมืองสุพรรณบุรี
ต่อเมืองสรรค์ ฝ่ายไทยตที พั พม่าแตกพา่ ยไป
ด้วยเหตนุ ีจ้ งั หวัดชัยนาทจึงถือเอาวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ของทุกปี เป็ นวัน
คล้ายวนั สถาปนา จงั หวัดชัยนาท
สมัยรัตนโกสินทร์

ในสมยั รตั นโกสินทร์ตอนตน้ ไดม้ ีการกวาดตอ้ นครัวชาวลาว และ
ชาวเขมรมาต้งั ถ่ินฐานในพน้ื ท่ีแถบน้ีเช้ือสายชาว ลาวเวยี ง (เวยี งจนั ทน)์
คร้งั แรกไดม้ าต้งั บา้ นเรือนอยทู่ ีต่ าบลบา้ นโคง้ ปัจจุบนั คือตาบลพลบั พลา
ชยั อาเภออู่ทอง จงั หวดั สุพรรณบรุ ี และท่ีบา้ นหนองแหว้ ก่ิงอาเภอเนิน
ขาม จงั หวดั ชยั นาจตอ่ มาไดแ้ ยกยา้ ยไปอยทู่ ่ีตาบลกะบกเตยี้ ตาบลสุขเดือน
ห้า ก่ิงอาเภอเนินขามและทีต่ าบลสะพานหิน กง่ิ อาเภอหนองมะโมง กล่มุ
เชื้อสาย ลาวคง่ั มาจากเมืองหลวงพระบางเขา้ มาอยใู่ นรชั สมยั
พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ภายหลงั การปราบกบฎเจา้ อนุวงศ์
การท่ไี ดช้ ่ือน้ีเนื่องจากเดิมชนกลุ่มน้ี อาศยั อยแู่ ถบ ภคู งั ที่หลวงพระบางคน
ทวั่ ไปจงึ เรียกวา่ ลาวภคู งั ตอ่ มาจงึ เพ้ยี นเป็น ลาวคงั เม่ืออพยพมาคร้งั แรก

33

ไดม้ าอยทู่ บ่ี า้ นหนองดินแดงและบา้ นโพรงมะเด่ือ อาเภอเมือง ฯ จงั หวดั
นครปฐม แลว้ ไดอ้ พยพไปอยทู่ ีเ่ ขากระจิวจงั หวดั กาญจนบุรี ไดอ้ พยพเขา้
มาอยใู่ นเขตเมืองชยั นาท ที่ตาบลกดุ จอก กิ่งอาเภอหนองมะโมงตอ่ มาได้
แยกยา้ ยไปอยทู่ ี่ตาบลหนองมะโมง ตาบลวงั ตะเคยี น ตาบลสะพานหินก่ิง
อาเภอหนองมะโมง และท่ีบา้ นหนองพงั นาค ตาบลเสือโฮก อาเภอเมือง

กลุ่มคนไทยเช้ือสายเขมร อยทู่ ่หี มู่บา้ นทงุ่ โพธิ ตาบลกะบกเต้ีย กิ่ง
อาเภอเนินขาม สนั นิษฐานวา่ อพยพเขา้ มากรุงธนบรุ ี ในปี พ.ศ. ๒๓๒๑ ที่
เจา้ พระยาสุรสีห์ลงไปเกณฑพ์ ลเมืองเขมร๑๐,๐๐๐ คน ตอ่ เรือรบ แลว้ ยก
กาลงั ไปสมทบกองทพั เจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ กึ ท่ยี กไปตีเมืองเวยี งจนั ทน์

รัชกาลท่ี ๔ ใหส้ ร้างศาลากลางจงั หวดั ชยั นาทข้ึนท่ี ต.บ้านกล้วย
ต่อมารชั กาลท่ี 5 พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ ฯ ทรงจดั ต้งั การปกครอง
เป็ นแบมณฑลเทศาภบิ าล ใหย้ บุ และรวมหวั เมืองทางริมฝ่ังแม่น้าเจา้ พระยา
ตอนเหนือข้ึนไปจนถึงแม่น้าปิ ง คือ เมืองชยั นาท สรรคบรุ ี เมืองมโนรมย์
เมืองพยหุ ครี ี เมืองนครสวรรค์ เมืองกาแพงเพชร เมืองตาก รวม 8 หวั เมือง
ข้ึนตรงต่อขา้ หลวงเทศาภิบาลและต้งั ที่วา่ การ “มณฑลนครสวรรค”์

34

รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ในปี พ.ศ.
๒๔๓๖ ไดม้ ีการจดั ระเบยี บการปกครองส่วนภูมิภาคใหม่จากระบบกิน
เมืองท่เี ป็นอยเู่ ดิม มาเป็นระบบเทศาภบิ าล โดยการรวมการปกครองหวั
เมืองเป็นมณฑลเทศาภิบาลสาหรับมณฑลนครสวรรค์ ไดร้ วมหัวเมืองทาง
ริมฝ่ังแม่น้าเจา้ พระยาตอนเหนือข้ึนไปจนถึงแม่น้าปิ งไดแ้ ก่ เมืองชยั นาท
เมืองสรรคบุรี เมืองมโนรมย์ เมืองอุทยั ธานี เมืองพยหุ คีรีเมืองนครสวรรค์
เมืองกาแพงเพชร เมืองตาก รวม ๘ หวั เมือง ข้นึ เป็ นมณฑลนครสวรรค์
โดยต้งั ทีท่ าการทีเ่ มืองนครสวรรค์ (ปากน้าโพ) ในคร้งั น้นั เมืองมโนรมย์
และเมืองนครสวรรคไ์ ดเ้ ป็ นอาเภอข้นึ กบั เมอื งชยั นาทเรียกวา่ อาเภอ
มโนรมย์ และอาเภอสวรรค์ ส่วนอาเภอเมืองชยั นาท ขณะน้นั เรียกว่า
อาเภอบ้านกล้วย
ตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้จัดต้งั อาเภอสรรพยา และอาเภอบ้านเช่ียนข้ึน

พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ เมืองชยั นาทสาม
คร้ัง คร้งั แรกเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๔๔ คร้ังท่ีสองเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๔๙ และคร้ังท่ี
สามเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๕๑

35

36

พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดม้ ีการวา่ จา้ ง
ผเู้ ช่ียวชาญจากต่างประเทศใหศ้ ึกษาการควบคุมภาวะน้าท่วมน้าหลากใน
พ้นื ทร่ี าบลุ่มตอนล่างของแมน่ ้าเจา้ พระยา และจดั การชลประทานสาหรับ
พน้ื ทีท่ าการเกษตร ในปี ๒๔๔๕ คณะสารวจของนาย เย โฮมนั วนั เดอร์ไฮ
เด ผเู้ ช่ียวชาญการชลประทานชาวฮอลนั ดา ซ่ึงเขา้ รบั ราชการเป็นอธิบดี
กรมคลองคนแรก ไดเ้ สนอใหม้ ีการวางระบบแหล่งน้าขนาดใหญ่ ใหม้ ี
ปริมาณกกั เกบ็ น้าไวใ้ ชไ้ ดต้ ลอดท้งั ปี เรียกวา่ “โครงการเจา้ พระยาใหญ่”

37

โดยใหส้ ร้างเขอื่ นขวางลาน้าเจา้ พระยาข้นึ ทอ่ี าเภอสรรพยา จงั หวดั ชยั นาท
แตใ่ นขณะน้นั ประเทศไทยอยใู่ นช่วงเร่งปรับปรุงประเทศในหลายดา้ น ไม่
มีงบประมาณพอที่จะทาโครงการใหญ่ขนาดน้ีได้

รัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (พ.ศ. ๒๔๕๓
- ๒๔๖๘) ไดเ้ ปลี่ยนคาวา่ เมืองเป็นจงั หวดั และอาเภอเมืองเป็นอาเภอ เช่น
อาเภอเมืองสวรรค์ เป็ นอาเภอสรรค์ อาเภอเมอื งมโนรมยเ์ ป็นอาเภอ
มโนรมย์
“เมืองชัยนาทนี้ เป็นเมืองร่วมสมยั กบั สุพรรณบรุ ีและอโยธยา ถือวา่ เป็ น
นครรัฐทส่ี าคญั ซ่ึงในตอนน้นั มีสามเมืองดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ สุพรรณภูมิ แพรก
ศรีราชา และเมืองอโยธยา”

คร้ันสมัยรัชกาลที่ ๘ ประเทศไทยเขา้ สู่สงครามโลกคร้งั ที่ 2 โดยเขา้
ร่วมกบั ญป่ี ่ ุน และยนิ ยอมใหญ้ ีป่ ่ นุ ยกกองทพั ผา่ นประเทศไทยไปยงั พม่า
และยอมใหใ้ ชท้ ่าเรือทีจ่ งั หวดั ชยั นาท เป็นเสน้ ทางขนส่งเสบียงสมั ภาระไป
ยงั ฐานบินตาคลีนานถึง 4 ปี เศษ ขณะเดียวกนั เมืองชยั นาทก็เป็นเขตปฏิบตั ิ
ของหน่วยก่อวนิ าศกรรมสงั กดั ขบวนการเสรีไทยดว้ ย

38

สมัยรัชกาลที่ ๙ ไดม้ ีการนาโครงการเจา้ พระยาใหญ่ ซ่ึงริเร่ิมข้นึ เมื่อ
สมยั รัชกาลท่ี ๕ นาข้ึนมาพจิ ารณาอีกคร้งั และเสนอโครงการตอ่
ธนาคารโลกในปี ๒๔๙๒ ขอกเู้ งนิ จานวน ๑๘ ลา้ นดอลลาร์สหรฐั
ประกอบกบั ในปี ๒๔๙๑ ไดเ้ กิดการขาดแคลนอาหารไปทว่ั โลก องคก์ าร
อาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ )FAO) จงึ สนบั สนุนโครงการ
เจา้ พระยาใหญอ่ ยา่ งเตม็ ที่ ธนาคารโลกไดส้ ่งผเู้ ชี่ยวชาญมาศึกษาวา่ จะ
คุม้ คา่ กบั การลงทุนหรือไม่ ผลสารวจเป็นทพ่ี อใจมาก ธนาคารโลกจงึ
อนุมตั ิ และเร่ิมจดั ซ้ือทีด่ ิน ประกวดราคา จนลงมือก่อสรา้ งไดใ้ นปี ๒๔๙๕
ปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ในการเสด็จพระราชดาเนินเยยี่ มราษฎร ๔ ภาคของ
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รัชกาลที่ ๙ และพระบรมราชินีนาถ ในวนั ท่ี
๒๗ กนั ยายน ๒๔๙๘ ในหมายกาหนดการเยย่ี มภาคกลาง ท้งั สองพระองค์
ไดเ้ สดจ็ โดยเครื่องบินจากสนามบนิ ดอนเมือง มุ่งไปสนามบินตาคลี
จงั หวดั นครสวรรค์ ก่อนลงสู่สนามบนิ เครื่องบนิ พระที่นง่ั ไดน้ าเสด็จชม
ภูมิประเทศบริเวณตน้ น้าเจา้ พระยาและบงึ บอระเพด็ เป็นเวลาพอสมควร

จากสนามบนิ ตาคลี ไดป้ ระทบั รถยนตพ์ ระท่นี ง่ั ผา่ นซุม้ ถวายพระพร
ของจงั หวดั นครสวรรคแ์ ละชยั นาทท่ามกลางการเฝา้ รบั เสดจ็ ของ
ประชาชนตลอดเสน้ ทางอยา่ งแน่นขนดั หลงั จากทท่ี รงทกั ทายประชาชน

39

แลว้ ไดเ้ สดจ็ ประทบั เรือเร็วจากทา่ ศาลากลางจงั หวดั ชยั นาท ไปตามลาน้า
เจา้ พระยา เสดจ็ พระราชดาเนินทอดพระเนตร ทอดพระเนตร “โครงการ
ส่งน้าบรมธาตุ” ของกรมชลประทาน จน ๑๔.๐๐ น.จงึ เสด็จไป
ทอดพระเนตรการก่อสร้างเขือ่ นเจา้ พระยา ถึงเวลา ๑๘.๐๐ น.จงึ เสด็จ
ประทบั แรม ณ บริเวณสร้างเข่ือน

เขอ่ื นเจา้ พระยา เริ่มสร้างเม่ือ พ .ศ.2495 แลว้ เสร็จในปี พ .ศ.2500
โดยเป็ นเขอ่ื นทดน้า ทีไ่ ม่ใช่สาหรับกกั เกบ็ น้า สร้างขวางแม่น้าเจา้ พระยา
ทาหนา้ ท่ยี กระดบั น้าใหส้ ูงข้นึ +16.50 เมตร จากระดบั น้าทะเล เพอื่ ส่งน้า
เขา้ ไปยงั ลาคลอง ในพ้นื ที่การเกษตร ท้งั ฝั่งซา้ ยและขวาของแม่น้า
เจา้ พระยา ในวนั ท่ี ๗ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๐๐ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั
จึงเสด็จพระราชดาเนินมาทรงทาพธิ ีเปิ ดเขอ่ื นแห่งน้ี

40

เป็ นท่ีน่าสงั เกตวา่ เมืองชยั นาทต้งั อยใู่ นพ้นื ทส่ี าคญั บนลาน้าถึงสามสาย จงึ
เป็ นเมืองเก่าแก่ทางตอนเหนือของภาคกลาง และต้งั อยรู่ ะหวา่ งกรุงสุโขทยั
กรุงศรีอยธุ ยา ยามใดทีก่ รุงสุโขทยั เรืองอานาจกจ็ ะยดึ เอาเมืองชยั นาทเป็ น
เมืองหนา้ ด่าน แต่ยามใดที่กรุงศรีอยธุ ยาเจริญรุ่งเรือง กรุงสุโขทยั เส่ือม
อานาจลง “ชยั นาท” กจ็ ะกลายเป็ นเมืองลกู หลวง และเป็นเมืองที่ใชส้ ะสม
เสบยี งอาหารและอาวธุ ในการรบระหวา่ งไทยและพม่า เป็ นสมรภมู ิ
สงครามทุกยคุ ทกุ สมยั

41

เมืองชัยนาท พ.ศ. ๒๕๖๓

ต้งั อยใู่ นภาคกลางตอนบน มีแม่น้าสาคญั สายหลกั ไหลผา่ นคอื
แม่น้าเจา้ พระยา มีแม่น้าสายรองอีกสองแม่น้า ไดแ้ ก่ แม่น้ามะขามเฒ่า
(ทา่ จนี ) แยกจากแม่น้าเจา้ พระยาฝ่ังขวา ที่ปากคลองมะขามเฒ่า อาเภอวดั
สิงห์ ทางตอนบนของชยั นาท ส่วนอีกสายหน่ึงแยกจากแม่น้าเจา้ พระยาฝ่ัง
ขวาเช่นกนั ท่ีปากน้าแพรกศรีราชา (บรมธาตุ) บริเวณ เหนือเขื่อน
เจา้ พระยาเล็กนอ้ ย เรียกวา่ แม่น้านอ้ ย ไหลผา่ นเขา้ ไปทิศตะวนั ตกของ
ชยั นาท ผา่ นอาเภอสรรคบ์ ุรี เขา้ จงั หวดั สิงห์บุรี เขตพ้นื ท่ีตดิ ต่อกบั จงั หวดั
อ่ืน ทิศเหนือติดเขตจงั หวดั นครสวรรค์ และจงั หวดั อุทยั ธานี ทศิ ตะวนั ออก
ติดตอ่ กบั จงั หวดั นครสวรรค์ และจงั หวดั สิงห์บุรี ทิศใตต้ ิดตอ่ กบั จงั หวดั
สิงห์บรุ ี และทศิ ตะวนั ตกติดต่อกบั จงั หวดั อุทยั ธานีและจงั หวดั สุพรรณบรุ ี

ลกั ษณะภมู ิประเทศโดยทว่ั ไปเป็ นที่ราบลุ่มเกือบท้งั หมด มีลกั ษณะ
เป็ นทีร่ าบจนถึงพน้ื ท่ลี อนลาดมีเนินเขาเล็ก ๆ ขนาดกวา้ วประมาณ ๑ - ๓
กิโลเมตร กระจายอยทู่ วั่ ไป ทส่ี าคญั ไดแ้ ก่ เขาธรรมามูล ซ่ึงถือเป็น
สญั ลกั ษณ์สาคญั ของจงั หวดั ชยั นาท เขาบา้ นกรา เขาพลอง เขาขยาย เขา
ท่าพระ เขาพลอง เขากระดี่ เขาใหญ่ เขารัก เขาดิน เขาหลกั เขาช่อง

42

ลม เขาไก่หอ้ ย เขาสารพดั ดี เขาราวเทียน เขาสรรพยา เขาแกว้ เขาพนม
เกิน และเขานอ้ ย เป็นตน้

ป่ าไมใ้ นเขตจงั หวดั ชยั นาทเหลืออยนู่ อ้ ยมาก จากขอ้ มูลเมื่อปี พ.ศ.
๒๕๓๖ มีป่ าไมอ้ ยเู่ พยี งประมาณ ๖๑ ตารางกิโเมตร หรือประมาณ
๓๘,๐๐๐ ไร่ มีป่ าสงวนอย๒ู่ แห่ง ส่วนใหญ่มีสภาพเส่ือมโทรม

- ป่ าสงวนแห่งชาติ เขาหลกั - เขาช่องลม มีพ้นื ทป่ี ระมาณ ๕๕
ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ ๓๔,๔๐๐ ไร่ อยใู่ นอาเภอวดั สิงห์และกิ่ง
อาเภอหนองมะโมง

- ป่ าสงวนแห่งชาติ เขาราวเทียน มีพ้นื ทปี่ ระมาณ ๗๐ ตาราง
กิโลเมตรหรือประมาณ ๔๔,๐๐๐ ไร่ อยใู่ นเขตอาเภอหนั คาและกิ่งอาเภอ
เนินขาม

นอกจากน้ียงั มีป่ าไมข้ ้ึนอยปู่ ระปรายในส่วนทเี่ ป็นลาดเขาสูง เช่น
ในเขตอาเภอหนั คามีเขาดู่ เขาราบ เขากล่า เขานอ้ ยและเขาสารพดั ดี มีป่ า
เตง็ รังข้นึ อยทู่ วั่ ไป ในเขตอาเภอเมือง ฯ มีสภาพป่ าบริเวณเขาธรรมามูล
และเขากระดี่ อาเภอมโนรมยท์ เ่ี ขาแหลมมีไมข้ นาดเลก็ ส่วนพ้นื ทีล่ ่างเป็ น
ไมไ้ ผร่ วก และไมเ้ ล้ือยทว่ั ไป

43

แหล่งน้าผวิ ดินทสี่ าคณั ไดแ้ ก่แม่น้า ๓ สายคอื
- แม่น้าเจา้ พระยา ไหลผา่ นอาเภอมโนรมย์ อาเภอวดั

สิงห์ อาเภอเมือง ฯ และอาเภอสรรพยา มีความยาวช่วงน้ีประมาณ ๗๔
กิโลเมตร

- แม่น้าทา่ จนี หรือ คลองมะขามเฒ่า (ช่ือเดิมชาวชยั นาท
เรียก) เร่ิมจากอาเภอวดั สิงห์ และอาเภอหนั คา มีความยาวในช่วงน้ี
ประมาณ ๗๔ กิโลเมตร เขา้ เขตจงั หวดั สุพรรณเรียกชื่อใหม่วา่ แม่น้า

สุพรรณ จากสุพรรณเขา้ นครปฐมช่วงน้ีชื่อเปลี่ยนเป็นแม่นา้ นครไชยศรี
ไหลลงสู่อ่าวไทยท่ีจงั หวดั สมุทรสาคร เรียกช่ือวา่ แม่น้าท่าจนี

- แม่น้านอ้ ย เป็นแม่น้าทีแ่ ยกจากแม่น้าเจา้ พระยาท่บี รมธาตุ ไหล
จากอาเภอเมือง และอาเภอสรรคบุรี มีความยาวในช่วงน้ีประมาณ ๓๐
กิโลเมตร ไหลไปบรรจบกบั แม่น้าเจา้ พระยาที่อาเภอบางไทร อยธุ ยา

นอกจากน้ียงั มีบงึ และหนองน้าธรรมชาติกระจายอยทู่ วั่ ไปประมาณ
๑๕๒ แห่ง เป็นพน้ื ทีป่ ระมาณ๑๓,๐๐๐ ไร่ ส่วนใหญ่มีสภาพต้นื เขิน ไม่
สามารถเก็บน้าไวใ้ ชไ้ ดต้ ลอดปี มีบึงสาคญั ทใ่ี ชใ้ นการเพาะพนั ธุป์ ลา
ไดแ้ ก่ บงึ ฉวาก(บางส่วน) บึงละหานบวั บงึ ประจารังและ บงึ ละหานใหญ่
เป็ นตน้

44

ชัยนาทเป็ นเมืองท่นี ่าอยู่ สงบเงยี บ อยู่อย่างพอเพยี ง ไม่ใช่แต่คนชัยนาท
เท่าน้ัน แม้คนต่างถน่ิ ที่สัมผสั เมืองชัยนาท ต่างก็อดทจ่ี ะหลงไหลไม่ได้

และพร้อมท่จี ะฝากชีวติ บ้นั ปลายใว้กบั เมืองชัยนาท สวสั ดี

หมายเหตุ
สามารถสืบคน้ เพมิ่ เติมทพ่ี พิ ธิ ภณั ฑส์ ถานแห่งชาติ ชยั นาทมุนี วดั บรมธาตุ
วรวหิ าร

45

46


Click to View FlipBook Version