The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การละครตะวันตก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kanokkan1703, 2022-11-21 21:06:27

การละครตะวันตก

การละครตะวันตก

ก า ร ล ะ ค ร ต ะ วัน ต ก

จุดประสงค์การเรียนรู้

นักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับประเภทของละครตะวันตกได้
นักเรียนวิเคราะห์และสรุปประเภทของละครตะวันตกได้
นักเรียนมีความมุ่งมั่นในการทำงาน

ต่อมามีผู้คิดแต่ง ผู้นำการแสดงเป็นตัว
คำร้องเพื่อให้ผู้ ละครตัวแรกชื่อ เธสพิส
วิวัฒนาการละครตะวันตก ร้องหรือกลุ่ม จึงถือว่า เธสพิส เป็นตัว
นักร้องใช้ร่วมกัน ละครตัวแรกของโลก
เกิดจากการบูชาเทพ
เจ้าแห่งการเกษตร ตะวันตก

เพื่อขอความ
อุดมสมบูรณ์

เริ่มจากการ หลังจากนั้นมีการ
สวดสดุดี สร้างตัวละครให้มี
บทเจรจาโต้ตอบกับ

กลุ่มนักร้อง

ยุคกลาง

ยุคแห่งละครตะวันตก

ยุคเริ่มแรก

ยุคปัจจุบัน ยุคฟื้นฟูศิลป
วิทยา

ละครตะวันตกยุคเริ่มแรก

ยุคเริ่มแรกของละครตะวันตก ได้แก่ ละครกรีก
ละครโรมัน และละครอียิปต์ เป็นระยะเวลาเริ่มต้นในการ
วางรากฐานของละครตะวันตก ประมาณ 500 ปี
ก่อนคริสต์ศักราช

ละครตะวันตกยุคเริ่มแรก

ผู้ประพันธ์บทละครที่ชนะการประกวดคนแรก คือ เธสพิส
บทละครของเขาจะไม่ซับซ้อน ซึ่งเขารับบทเป็นไดโอนิซัส (ไดโอนิซุส)
และเป็นผู้แสดงคนแรกที่ออกมาขับร้องเดี่ยว นอกจากนี้เขายังแต่ง
บทเจรจาแทรกระหว่างตัวเขาที่ขับร้องเดี่ยวกับลูกคู่ นับได้ว่าเขาเป็น
ผู้ประพันธ์บทละครคนแรกที่ใส่ผู้แสดงเข้าไปรับบทเป็นตัวละคร
ในเรื่อง เขาจึงได้ชื่อว่าเป็นตัวละครตัวแรกของโลก

ละครสมัยกรีก

ในช่วงแรกๆจะเป็นละครแบบ
โศกนาฏกรรม (Tragedy) ทั้งสิ้น ผู้ประพันธ์
บทละครที่ประสบความสำเร็จจนได้รับยกย่อง
ให้เป็น “บิดาแห่งละครโศกนาฏกรรมกรีก”
คือ เอสคิลลัส (Aeschylus)

ละครสมัยกรีก

ละครโศกนาฏกรรมกรีก นับว่าเป็น
ละครที่สำคัญที่สุดของกรีก เป็นการเล่า
เรื่องชีวิตและความหมายของเทพเจ้า
ไดโอนิซัส และขยายไปสู่เรื่องอื่นๆ ตัว
ละครต้องต่อสู้กับชะตากรรมตั้งแต่ต้น
เรื่องและจบเรื่องด้วยความตาย หรือ
ความหายนะของตัวละคร

ละครสมัยกรีก

ละครสุขนาฏกรรมกรีก
นักประพันธ์บทละครแนวสุขนาฏกรรม
กรีกที่มีชื่อเสียง คือ อริสโตฟาเนส (Aristophanes)
ซึ่งเขาเป็นคนช่างสังเกต เป็นนักถากถางสังคม บท
ละครจึงมีโครงเรื่องที่ตลกขบขัน เสียดสีสังคม การ
แสดงยังคงมีลูกคู่ขับร้องและเต้นรำ ตัวละครเพิ่ม
มากขึ้นโดยไม่จำกัดจำนวน
ผู้แสดงเป็นชายล้วนและจะได้รับสิทธิ์
ยกเว้นไม่ต้องเป็นทหาร การแสดงละครสามารถ
ยึดเป็นอาชีพได้ และรัฐบาลก็ให้เกียรติผู้แสดง
ละครมาก เพราะถือว่าผู้แสดงเป็นทูตสันถวไมตรี

ละครสมัยกรีก

ในสมัยนี้ กรีกยังมีลักษณะเป็นนครรัฐ ไม่ได้
รวบรวมกันขึ้นเป็นอาณาจักร นครรัฐที่สำคัญ คือ
“เอเธนส์” (Athens) ซึ่งใช้เป็นสถานที่รวบรวม
ของศาสตร์ทุกแขนง

ในสถานที่แห่งนี้ได้จัดให้มีการเฉลิมฉลอง
บูชาเทพไดโอนิซัสหรือไดโอนิซุส (Dionysus) ซึ่ง
เป็นเทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นและความอุดมสมบูรณ์

ละครสมัยกรีก
ละครสมัยกรีกมีลักษณะเด่น ดังนี้

1. ตัวละครและวิธีแสดง เริ่มแสดง ตั้งแต่
รุ่งเช้าไปจนถึงพลบค่ำ ตัวละครพูดบทตาม เนื้อเรื่อง
ส่วนลูกคู่จะออกมาขับร้องและเต้นรำ ใช้ลูกคู่ออกมาพูด
คนเดียวเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง เรียกว่า “อารัมภบท"

2. การแต่งกาย เครื่องแต่งกายมีสี
ฉูดฉาด เสื้อคลุมยาวถึงพื้น ตัวละครสวมหน้ากาก ถ้า
เป็นละครแบบสุขนาฏกรรม (Comedy) จะแต่งกาย
ด้วยเสื้อผ้าพอดีตัว นุ่งกางเกงแนบเนื้อ

โรงละครสมัยกรีก

ละครสมัยโรมัน

ละครสมัยโรมัน ได้นำละครสมัยกรีกโบราณมาปรับปรุง เพื่อแสดงในงาน
บูชาเทพจูปิเตอร์ (Jupiter) และเทพเจ้าที่ชาวโรมันนับถืออีกหลายองค์ เช่น
เทพอพอลโล (Apollo) เทพเซเรส (Ceres) เป็นต้น นอกจากจะแสดงในงาน
เฉลิมฉลองเทพเจ้าเหมือนละครสมัยกรีกแล้ว ยังเป็นงานฉลองความมั่งคั่ง

และอำนาจของมนุษย์ด้วย โดยแบ่งเป็นละครแนวโศกนาฏกรรมและ
สุขนาฏกรรมเช่นเดียวกันกับละครสมัยกรีก

ละครสมัยโรมัน

ละครโศกนาฏกรรมโรมัน ในงาน ละครสุขนาฏกรรมโรมัน ได้นำแบบ
ละครลักษณะนี้ผู้แสดงจะต้องเป็น อย่างมาจากละครสุขนาฏกรรมของ
บุคคลที่มี ความสามารถสูง สามารถ กรีก เนื้อเรื่อง จะเน้นความสนุกสนาน
พูด ร้องเพลง และเต้นรำได้อย่างมี ตลกขบขัน ตัวละครเน้นพฤติกรรมที่
ประสิทธิภาพ เน้นภาพความโหดร้าย เกินจริง ใช้เทคนิคการสร้างอารมณ์ขัน
ทารุณ หยาบโลน มีฉากการสู้รบแบบ จากกิริยาท่าทางของตัวละครแทนคำ
นักรบโบราณ มีการแสดงบนเวที ทั้ง
พูด
การฆ่ามนุษย์และฆ่าสัตว์

ละครสมัยโรมัน

บทบาทของคอรัสเริ่มลดลงและในที่สุดละคร
ยุคนี้ก็เลิกใช้คอรัส ตัวละครสมัยโรมันจะ
แตกต่างจากตัวละครสมัยกรีก
ต่อมาในปี ค.ศ. 435 ผู้นำศาสนาคริสต์นิกาย
โปรเตสแตนต์ ได้ประกาศห้ามการแสดงละคร ทุก
ชนิด ผู้แสดงละครจึงหันมาเป็นนักเล่นมายากล เชิด
หุ่น เต้น และร้องเพลง นักประวัติศาสตร์เรียกยุคหลัง
ของอาณาจักรโรมันนี้ว่า “ยุคมืด” (Dark Ages)

ละครสมัยโรมัน
ละครสมัยโรมันมีลักษณะเด่น ดังนี้

1. ตัวละครและวิธีแสดง เริ่มจากตัวละครออกมายืน
กลางเวที แล้วมีตัวละครอีกตัวหนึ่ง ออกมาประกาศชื่อตลอดจน
บทบาทของตัวละครตัวนั้น เมื่อประกาศจบจะเดินเข้าหลังเวที ตัว
ละครก็ เริ่มแสดงบทบาท ถ้าเป็นละครโศกนาฏกรรม ตัวละครจะ
แสดงบทบาทที่โหดร้าย ทารุณ ต่อสู้กัน อย่างดุเดือด ฆ่าสัตว์ ฆ่าคน
ฯลฯ แต่ถ้าเป็นละครสุขนาฏกรรมตัวละครจะแสดงบทบาทตลก
ขบขัน หยาบโลน ฯลฯ

ละครสมัยโรมัน

2. การแต่งกาย ละครสมัยโรมันจะแต่งกาย
คล้ายละครสมัยกรีก แต่ดัดแปลงหน้ากาก ให้เป็น
เครื่องสวมศีรษะ คือ สวมลงไปทั้งศีรษะแทนที่จะ
ปิดแต่หน้า สวมวิกสีต่างๆ

สวมวิกดำ หมายถึง ผู้มีอายุน้อย
วิกสีขาว หมายถึง คนแก่ พ่อมด หมอผี
ปีศาจ ซึ่งแสดงให้เห็น ความขลังความมีอิทธิ
ปาฏิหาริย์
วิกสีแดง หมายถึง ทาส หรือผู้ร้าย

โรงละครสมัยโรมัน

ละครสมัยอียิปต์
หลักฐานการแสดงในยุคนี้ที่พอจะหาได้นั้น ได้จากประเทศอียิปต์
ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของศิลปะหลายแขนง อียิปต์มีศิลาจารึกมากกว่า
4,000 ปี จากภาพเขียน และภาพจารึกในหลุมฝังศพของกษัตริย์อียิปต์
โบราณภายในปิรามิต ได้ทราบกันว่ากษัตริย์อียิปต์ที่ทรงพระนามว่า
อีเทอร์โนเฟรต (Ethernofret) ได้จัดให้มีการแสดงกลางแจ้ง เป็นการ
แสดงภาพการทำสงครามติดต่อกันถึง 3 วัน โดยทรงแสดงเป็นตัวนำเอง
นอกจากนี้ได้นำขบวนเรือ และพิธีบูชาพระเจ้าโอซิริส เป็นเทพเจ้าแห่ง
สงคราม และจะปรากฏว่ามีภาพหนุ่มสาวเต้นรำฉลองในสงคราม

ละครสมัยอียิปต์

การละครของอียิปต์ แบ่งการละครได้
4 แบบ

1.การแสดงเรื่องราวของเทพโอซิริส
2.การแสดงเพื่อฉลองการครอง
ราชย์ของพระเจ้าแผ่นดิน
3.การแสดงยุทธกีฬา
4.การขับไล่ภูตผีปีศาจ

ละครสมัยอียิปต์

การละครในยุคนี้ เป็นละครที่แสดงออกของ
อารมณ์ มีการขับร้องเพลงเกี่ยวกับศาสนา มีหลัก
ฐานบางอย่างสนับสนุนให้เห็นว่า เมื่อ 1350 ปี
ก่อนคริสตกาล พระเจ้าอิคนาทอน ฟาร์โรห์
ผู้ยิ่งใหญ่ของอียิปต์ มีรับสั่งให้แต่งทำนองเพลง
และบทสรรเสริญพระอาทิตย์ซึ่งมีความไพเราะ
ลึกซึ้ง เป็นที่ยกย่องของโลกมาจนถึงปัจจุบัน

ละครตะวันตกยุคกลาง

ละครตะวันตกยุคกลาง

ละครตะวันตกในยุคกลางเกิดขึ้นจากวัดและโบสถ์ พระจะ
สอนศาสนาด้วยการแสดงละครประกอบ ทำให้ชาวบ้านเข้าใจ
และสนใจในศาสนามากขึ้น จนขยายตัวออกเป็นวงกว้างออก
มาเล่น นอกวัด โดยให้ประชาชนเป็นผู้จัดการแสดง มีสมาคม
อาชีพที่เรียกว่า “กิลด์” (Guild) เป็นผู้อุปการะการแสดงละคร
และจะแสดงกันบนเกวียนที่มี ล้อเลื่อนตกแต่งประดับประดา
ให้เป็นฉากละคร มักแสดงในสถานที่ชุมชน หรือลานวัด
ละครตะวันตกในยุคกลาง 2 รูปแบบ ดังนี้

ละครศาสนา

พัฒนามาจากการขับร้องเพลงในโบสถ์ จัดแสดงโดยสมาชิกของนักบวชและนักร้องประสานเสียงใน
โบสถ์ แต่เดิมจัดแสดงภายในบริเวณวัด ในช่วงหลังปรับเปลี่ยนเป็นจัดการแสดงในโบสถ์ มีพื้นที่
สำหรับแสดงและที่นั่งผู้ชม ผู้แสดงเป็นชายล้วน อาศัยเครื่องแต่งกายซึ่งเป็นเสื้อผ้าที่ใช้ในพิธี บท
ละครเขียนด้วยภาษาละตินจึงทำให้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ สนทนาของตัวละคร

ต่อมาได้มีการนำออกมาแสดงภายนอก เนื้อเรื่องนำมาจากพระคัมภีร์ไบเบิล เปลี่ยนภาษาพูดเป็น
ภาษาพื้นเมือง โดยส่วนมากจะจูงใจผู้ชมด้วยมุกตลกก่อนที่จะกล่าวถึงประวัติของพระเยซู ละคร
ศาสนาที่จะ ยกตัวอย่างเป็นกรณีศึกษา ได้แก่ บทละครเรื่อง คนเลี้ยงแกะ (Second Shepherd's
Play) ของ เวคฟิลด์ (Wakefield)

ละครที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา

1.ละครพื้นบ้าน (Folk Play)เป็นละคร 2.ละครตลกชวนหัว (Farce
ที่กล่าวถึงวีรกรรมของวีรบุรุษ การ ผจญภัย Play) เป็นละครที่มีความนิยมสูงสุดใน
บทบาทในการแสดงเป็นการต่อสู้ด้วยการ ยุคกลาง เพราะเป็นการล้อเลียน เสียดสี
ดวลดาบ การเต้นรำ เรื่องราวที่เป็นที่นิยม ใน สังคม จึงเป็นลักษณะของละครที่ตรง
สมัยนั้น เช่น โรบินฮูด (Robin Hood) เป็นต้น ข้ามกับละครศาสนา

ละครตะวันตกยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา

ละครอิตาลี

ละครของอิตาลี จะแยกตัวออกมาจาก
ศาสนา เป็นละครที่ชาวบ้านให้ความนิยม เพราะ
มีลักษณะตลกชวนหัวเราะ มีเนื้อเรื่องสั้นๆ คล้าย
จำอวดของไทย สามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ
คือ คอมเมอเดีย เดลา เต้ (Commedia Dell'arte)
และอุปรากร (Opera)

ละครอิตาลี

คอมเมอเดีย เดลา เต้ (Commedia Dell'arte) เป็นภาษา
อิตาเลียนที่ใช้เรียก คณะละครกลุ่มอาชีพ ซึ่งเดินทางไป
แสดงในสถานที่ต่างๆ เป็นละครตลกที่มีตัวละครเป็นคนรับ
ใช้ เป็นตัวละครที่ผู้ชมชอบมาก เพราะคนรับใช้ในละครทุก
ชาติ ทุกภาษาจะมีความสำคัญเหมือนกันหมด ลักษณะการ
แสดงคล้ายกับละครใบ้ของกรีกและโรมัน ผู้แสดงจะสวม
หน้ากาก บทละครจะมีเฉพาะ โครงเรื่อง ผู้แสดงต้องใช้
ปฏิภาณไหวพริบ คิดบทสนทนาสดๆ คล้ายการแสดงละคร
สด (Improvisation)

ละครอิตาลี

อุปรากร (Opera) เกิดขึ้นในประเทศอิตาลีช่วง
ปลายศตวรรษที่ 16 ณ สถาบัน ฟลอเรนไทน์
(Florentine Academy) ซึ่งพัฒนามาจากละคร
โศกนาฏกรรมของกรีก โดยผสมผสาน ดนตรี
และการแสดงละครเข้าด้วยกัน

ละครอังกฤษ

ประชาชนในอังกฤษจะนิยมดูละครกันมาก ลักษณะการ
แสดงเริ่มเปลี่ยนรูปแบบโดยใช้ผู้หญิงรับบทเป็นนางเอกแทนเด็ก
ผู้ชาย ซึ่งถือเป็นแบบมาตรฐานของละครตะวันตกมาจนถึงปัจจุบัน
โดยนักประพันธ์บทละครที่มีชื่อเสียงทั่วโลกของอังกฤษ
คือ วิลเลียม เชกสเปียร์ (William Shakespeare)
และจอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ (George
Bernard Shaw)

ละครฝรั่งเศส ยึดหลักเอกภาพ 3 ประการ
คือ เรื่องราว, เวลา และ
การละครในฝรั่งเศสรักษาลักษณะตามแบบละครยุคกลาง
จนมาถึงประมาณ พ.ศ.2100 จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คือ สถานที่
เกิดละครนีโอคลาสสิค (Neoclassicism) ขึ้น ซึ่งมีลักษณะแตกต่างไป
จากละครยุคกรีกและโรมัน 5 ประการ คือ

ต้องมีความสมจริง แบ่งแยกเด็ดขาดระหว่าง ให้แง่คิดแก่ผู้ชม ต้องมีความเหมาะสมใน
การวางบุคลิกตัวละคร
แทรเจดีกับคอมเมดี

ละครตะวันตกยุคปัจจุบัน

ละครเพลง (Musical Comedy)

ละครเพลงเป็นการแสดงที่มี การขับร้อง
แล้วทำท่าทางประกอบการแสดงนั้นๆ นิยมใช้แสดง
ในงานรื่นเริงและงานเทศกาลต่างๆ ไม่ใช่แค่เพียง
แสดงเฉพาะภายในโบสถ์และพระราชวังเท่านั้น
นับได้ว่าชาวโรมันเป็นชาติแรกที่ริเริ่ม ให้มีการแสดง
ละครเร่ที่นำคณะละครไปแสดงในสถานที่ต่างๆ เช่น
หมู่บ้าน ตลาดนัด แหล่งชุมชน เป็นต้น เป็นการแลก
เปลี่ยนการแสดงและดนตรีกับชาวบ้าน แนวคิดนี้เป็น
ที่นิยมจนกลายเป็น แบบแผนของการแสดงละคร
และดนตรีของยุโรปในเวลาต่อมา

ละครเพลง (Musical Comedy)

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 การเต้นรำ
แบบบอลรูมกำลังเป็นที่นิยม ทำให้เกิดลักษณะ การ
แสดงละครเพลงขึ้น โดยมีหญิงสาวออกมาเต้นรำ มีฉาก
ประกอบการแสดงสวยงามตระการตา แต่ไม่ได้เน้นที่
โครงเรื่องมากนัก จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1931 ละครเพลง
เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยสนใจในโครงเรื่องและแนว
การศึกษาจิตวิทยาของตัวละครเพิ่มมากขึ้น สำหรับ
ละครเพลง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในสมัยนั้น ได้แก่
ละครเพลงเรื่อง “มายแฟร์เลดี้ (My Fair Lady) เปิด
แสดง ครั้งแรกในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
เมื่อปี ค.ศ. 1956

ละครเพลง (Musical Comedy)

ละครเพลงเป็นการแสดงที่มีการร้องเพลง
เต้นรำในรูปแบบที่หลากหลาย ไม่เคร่งครัดต่อระเบียบ
แบบแผนมากเหมือนการแสดงอุปรากร (Opera) และ
บัลเลต์ (Ballet) เนื้อหาของเพลงที่ขับร้องจะมีลักษณะ
เสียดสีสังคม เป็นเพลงที่กำลังได้รับความนิยมอย่าง
แพร่หลายในขณะนั้น บางครั้งก็นำละครที่มีเนื้อเรื่อง
ตลกขบขัน เบาสมอง มีฉากสวยงาม เค้าโครงเรื่อง
ตัดตอนมาจากเทพนิยายมาใส่บทร้องและแสดง
ท่าทางประกอบ

ละครสมัยใหม่ (Modern Drama)

เกิดขึ้นครั้งแรกในยุโรประหว่าง
ปี ค.ศ. 1870 - 1879 เป็นละครที่มุ่งแสดง
ปัญหาของสังคมตามสถานการณ์ความเป็นจริง
ทดแทนนิยายที่ฟุ้งเฟ้อไร้สาระ ที่มีลักษณะเป็น
นิยายประโลมโลก ไม่มีความดีอื่นในเชิงศิลปะ
และวรรณกรรม เฮนริค อิบเซ่น (Henrik Ibsen)
นักประพันธ์ละครชาวนอร์เวย์เป็นผู้ปฏิรูปการ
ละครสมัยใหม่เป็นคนแรก จนได้รับสมญานาม
ว่า เป็น “บิดาแห่งการละครสมัยใหม่”

ละครสมัยใหม่มีหลายแนว แต่แนวที่บุกเบิกละครสมัยใหม่มี
2 แนว คือ

ละครแนวเรียลลิสม์ ละครแนวเนเชอรัลลิสม์
หรือสัจนิยม หรือธรรมชาตินิยม
(Realism) (Naturalism)

ละครแนวเรียลลิสม์ หรือสัจนิยม (Realism)



เป็นละครที่พยายามมอง ชีวิตด้วย
ความเป็นกลาง แล้วสะท้อนออกมาในรูป
ของละครตามความเป็นจริง โดยไม่เสริมแต่ง
หรือบิดเบือน เนื้อเรื่องของละครแนวสัจนิยม
จะเน้นเรื่องราวในชีวิตประจำวันของผู้คน
โดยหลีกเลี่ยง เรื่องราวเกี่ยวกับ
ประวัติศาสตร์

ละครแนวเนเชอรัลลิสม์ หรือธรรมชาตินิยม (Naturalism)



เกิดขึ้นในเวลา ใกล้เคียงกันและมีความ
หมายคล้ายกับละครแนวสัจนิยม คือ มี
วัตถุประสงค์ที่จะแสดงความ เป็นจริงของชีวิต
ด้วยเหตุผลที่ว่าชีวิตจริงจะพบได้จากประสาท
สัมผัสทั้ง 5 ศิลปะต้องสำเร็จด้วย วิธีการทาง
วิทยาศาสตร์ พฤติกรรมทั้งปวงของมนุษย์มีผลมา
จากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม

ละครสมัยใหม่ (Modern Drama)

การแสดงละครแนวสัจนิยมและแนวธรรมชาตินิยม จะแสดง
ความเป็นจริงในชีวิตจริง มากที่สุด จะไม่ใช่การแสดงที่ตีสีหน้า
ทำท่าทาง พูดจาด้วยเสียงสูงบ้างต่ำบ้าง หรือทอดเสียงเป็น
จังหวะแบบเล่นละคร
ในการเขียนบทละครทั้ง 2 แนว จึงมี หลักสำคัญว่าตัวละครต้อง
เหมือนคนจริงๆ มิใช่ตัวละครที่ดีพร้อมจนผิดมนุษย์และบทเจรจา
จะใช้ ภาษาร้อยแก้ว หรือภาษาถิ่น

ละครแนวเอปิค หรือมหากาพย์ (Epic Theatre)

เป็นละครเพื่อสังคมที่มีแนวคิด ในการกระตุ้นจิตสำนึกทางสังคม มี
จุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ชมละครมองเห็นปัญหาของสังคมและ นำไปสู่การปฏิรูป
สังคม จุดสำคัญ คือ ต้องการให้ผู้ชมเกิดความคิดใคร่ครวญ ไตร่ตรอง และ
ตระหนัก ในความถูกต้อง เหมาะสม เพื่อนำไปแก้ไขสังคมให้ดีขึ้น

ละครแนวเอปิค หรือมหากาพย์ (Epic Theatre)

บุคคลสำคัญที่เป็นผู้ให้กำเนิดละครแนวเอปิค
คือ แบรโทสท์ เบรชท์ (Bertolt Brecht) เป็น
นักการละครชาวเยอรมัน
ละครแนวเอปิคนี้จะตรงกันข้ามกับละครแนว
สัจนิยม (Realism) และธรรมชาตินิยม
(Naturalism) ที่พยายามโน้มน้าวอารมณ์ให้ผู้
ชมละครเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการแสดง
นั้นเป็นเรื่องจริง

ละครแนวเอปิค หรือมหากาพย์ (Epic Theatre)

ละครแนวเอปิค เป็นละครแนวใหม่ที่เขาต้องการ
กระตุ้นให้ผู้ชมละครตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา การดำเนิน
เรื่องใช้เพลงและดนตรีที่ไปกันคนละทาง ไม่ค่อยจะ
ผสมผสานกัน ใช้วิธีการแทรก โดยให้คนออกมาเล่า
เรื่อง หรือออกมาวิจารณ์เหตุการณ์ในละครที่เพิ่งแสดง
จบไปบ้าง บางเรื่องก็ มีการฉายภาพยนตร์ประกอบ
การแสดง

ละครแนวเอปิค หรือมหากาพย์ (Epic Theatre)

เขาต้องการให้ละครแนวเอปิคมีการนำเสนอที่มีแนวแปลกกว่า
ละครแบบเดิมๆ บทสนทนาจะเป็นมหากาพย์แทนคำพูดแบบธรรมดา
สลับกับการเล่าเรื่อง เรื่องทั้งหมดแสดงด้วยความเห็นของผู้เล่าแต่เพียง
ผู้เดียว เพราะฉะนั้นจึงเปลี่ยนเรื่อง เวลา สถานที่ อย่างอิสระไม่ได้

ละครแนวเอปิค หรือมหากาพย์ (Epic Theatre)

บางทีในขณะที่เล่าเรื่อง จะมีภาพล้อเลียนฉายเต็มจอขนาดใหญ่
โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อยั่วยุผู้ชมละครให้เกิดความ
รู้สึกกระฉับกระเฉง ตื่นตาตื่นใจอยู่เสมอ ขณะ
เดียวกันก็เพื่อให้ผู้ชม มีแนวคิดที่จะได้นำไปสร้าง
สังคมให้ดีขึ้น บทละครที่เป็นที่นิยมและรู้จักกันอย่าง
แพร่หลาย เช่น เรื่องโอเปราราคาสามเพนนี (The
Threepenny Opera) เป็นต้น

จ บ แ ล้ว จ้า า า า า า า


Click to View FlipBook Version