พทุ ธทาสภกิ ขุ
อยอู่ ยา่ งไมป่ ระมาทในโลกวัตถนุ ยิ ม
พทุ ธทาสภกิ ขุ
การบรรยาย ธรรมเทศนา ๒๕ พุทธศตวรรษ แสดงท่วี ดั พระบรมธาตไุ ชยา
ราชวรวหิ าร กณั ฑท์ ี่ ๑ เร่อื งวัตถุนยิ ม ปมตฺตโลกกถา หรือ
ภาวะปจั จุบนั ของโลกวัตถุนิยม
วนั ท่ีแสดง ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๐๐
รหัส BIA3.4/1 กลอ่ ง 1 หน้า 159 - 174
ผพู้ ิมพ์ รุง่ นภา บญุ สวน
ผ้ตู รวจทาน ฝา่ ยจดหมายเหตุ
ISBN 978-616-7574-65-3
พมิ พค์ รงั้ แรก มิถุนายน ๒๕๖๑ จ�ำนวน ๕,๐๐๐ เลม่
จดั พิมพโ์ ดย มูลนิธิหอจดหมายเหตพุ ทุ ธทาส อนิ ทปัญโญ
พิมพ์ท่ี บรษิ ทั พิมพด์ ี จ�ำกดั
สมทบการผลิต ๑๐ บาท
ประสงคร์ บั หนังสอื เพื่อใชใ้ นงานพิธีหรือเผยแผใ่ นวาระต่างๆ ตดิ ต่อท่ี
มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ
สวนวชิรเบญจทศั (สวนรถไฟ) ถนนนคิ มรถไฟสาย ๒
แขวงจตุจักร เขตจตุจกั ร กรุงเทพฯ ๑๐๙๐๐
โทรศพั ท์ : ๐ ๒๙๓๖ ๒๘๐๐ ต่อ ๕๑๐๑
โทรสาร : ๐ ๒๙๓๖ ๒๖๘๕
อีเมล : [email protected]
Facebook : bookclub.bia
www.bia.or.th
สารบัญ
ธรรมะนั้นเปน็ สิง่ ศักดิส์ ิทธิ์อยเู่ หนืออ�ำนาจของเวลา................. ๙
ความไม่ประมาทเปน็ พินัยกรรมช้นิ สุดท้าย
ของพระพทุ ธเจา้ ................................................................... ๑๙
คนทไ่ี ม่ประมาทยอ่ มไม่ตาย
คนทปี่ ระมาทแล้วย่อมตายอยแู่ ล้ว........................................ ๒๔
คนไร้หริ โิ อตตัปปะได้ช่ือวา่ เปน็ คนท�ำลายที่ร้ายกาจท่ีสุด...... ๓๑
เลิกบชู าความสขุ ทางเนื้อหนัง มาบูชาธรรมะ........................ ๓๗
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพทุ ธสั สะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธสั สะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธสั สะ
อปั ปะมาโท อะมะตงั ปะทงั ปะมาโท มัจจโุ นปะทัง
อปั ปะมตั ตา นิมิยยันติ เยปะมตั ตา ยะถามัตตาติ
ธัมโม สกั กัจจงั โสตัพโพ–ติ
...
ณ บดั น้ี อาตมาภาพ จะไดว้ สิ ชั นาธรรมเทศนา เพอื่ เปน็
เครื่องประดบั สตปิ ญั ญา สง่ เสรมิ ศรทั ธา –ความเชือ่ และวิรยิ ะ
–ความพากเพียร ของทา่ นท้ังหลายที่เป็นพุทธบรษิ ัท ให้เจรญิ
งอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรม
ศาสดา อนั เปน็ ทพ่ี งึ่ ของสตั วโลกทงั้ หลาย กวา่ จะยตุ ลิ งดว้ ยเวลา
7
...
การเตอื นซง่ึ กันและกนั ใหส้ �ำนึกถงึ ความไมป่ ระมาท
นั้น เปน็ ใจความส�ำคญั ของภาคสมัยเชน่ น้ี
...
ธรรมะน้นั เป็นสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ
อย่เู หนืออ�ำนาจของเวลา
...
ธรรมเทศนาในวันนี้ นับว่าเป็นธรรมเทศนาพิเศษ
ปรารภเหตุเน่ืองด้วยการฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ ดังที่ท่าน
ท้ังหลายทีไ่ ด้ทราบอยูแ่ ล้ว เพราะฉะนนั้ พระธรรมเทศนาเหลา่
ใดอันเป็นไปเหมาะสมแก่อภิลักขิตสมัยเช่นน้ี ย่อมเป็นธรรม
เทศนาสมควรที่จะน�ำมาวิสัชนา แต่ถ้าจะพิจารณาโดยท่ัวๆ
ไปแล้ว จะจับใจความส�ำคัญได้ว่า การเตือนซ่ึงกันและกันให้
สำ� นกึ ถงึ ความไมป่ ระมาทนนั้ เปน็ ใจความสำ� คญั ของภาคสมยั
เชน่ นี้ ทเ่ี รยี กวา่ ๒๕ พทุ ธศตวรรษ หรอื ทเ่ี รยี กวา่ บรมโบราณวา่
กึ่งพระพุทธกาลนั้น มีความหมายส�ำคัญอยู่ตรงที่เป็นเครื่อง
สะกดิ ใจใหเ้ กิดความไม่ประมาท
เมอ่ื มารู้สกึ ว่าเปน็ ก่งึ พุทธกาลกต็ าม ๒๕ พุทธศตวรรษ
ก็ตาม ย่อมท�ำให้เกิดความสะดุ้งกลัวในเวลาที่ล่วงไป และใน
ฐานะเป็นเวลาศักด์ิสิทธ์ิพิเศษ ถ้าผู้ใดถือเอาใจความในข้อน้ี
ให้ได้แลว้ จะเรียกว่า กงึ่ พุทธกาลกต็ าม จะเรียกว่า ๒๕ พทุ ธ-
ศตวรรษกต็ าม ยอ่ มมคี วามหมายทถี่ กู ตอ้ ง ยอ่ มสำ� เรจ็ ประโยชน์
9
ตรงความหมายน้ันๆ เพราะฉะน้ันเราจงพากันกระท�ำตนให้
สมบูรณ์ ด้วยความไม่ประมาท ดังพุทธภาษิตท่ีได้ยกข้ึนเป็น
นิกเขปบทเบ้ืองต้นวา่ อัปปะมาโท อะมะตัง ปะทัง เป็นอาทิ ซ่ึง
มใี จความวา่ ความไมป่ ระมาทเปน็ ทางแหง่ ความไมต่ าย ความ
ประมาทเป็นทางแห่งความตาย ผไู้ มป่ ระมาทชอื่ ว่าผ้ไู ม่ตาย
ผู้ประมาทแล้วได้ช่ือว่าผตู้ ายแล้ว ดงั น้ี
เวลาทีน่ ับได้ ๒๕ พุทธศตวรรษน้ี เปน็ เวลาทเ่ี รานับกนั
ในหมู่พุทธบริษัทเรา และคนโบราณยุคหน่ึงๆๆ ได้สมมติว่า
เป็นก่ึงพุทธศาสนายุกาล ข้อน้ีเป็นส่ิงที่ต้องท�ำความเข้าใจกัน
เป็นพิเศษสักหน่อย จึงจะถือเอาประโยชน์ได้ มิฉะนั้นแล้วจะ
เป็นไปเพ่ือความงมงาย ในข้อแรกน้ัน จึงเข้าใจให้ถูกต้องเสีย
ก่อนว่า พระธรรมหรือธรรมะ หรือศาสนาน้ันไม่มีอายุ ไม่มี
ผใู้ ดจะใหอ้ ายแุ กพ่ ระธรรมหรอื ธรรมะไดเ้ ลย เพราะวา่ สงิ่ ทเี่ รยี ก
ว่า ธรรมะหรือพระธรรมน้ัน ไมไ่ ดเ้ น่ืองกันกับเวลา สงิ่ ใดมีอายุ
สิ่งนัน้ เน่ืองกันอยู่กบั เวลา
สิ่งที่เรียกว่าธรรมะน้ัน เป็นส่ิงศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือ
อำ� นาจของเวลา เวลาไม่สามารถจะทำ� ให้ธรรมะร่อยหรอหรือ
วา่ มอี ายลุ ว่ งไปๆ ได้ เหมอื นกบั สงั ขารทงั้ หลายเหลา่ อน่ื กธ็ รรมะ
10
นั้นเป็นความจริงอยู่ในตัวเองเป็นส่ิงศักด์ิสิทธ์ิอยู่เหนืออ�ำนาจ
ของเวลา จึงไม่มอี ายุไปตามเวลา เพราะฉะน้นั ธรรมะหรอื พระ
ศาสนาจึงไม่มีอายุ การเข้าใจว่าพระศาสนามีอายุเท่าน้ันเท่าน้ี
เป็นความเข้าใจผิด ความเขา้ ใจถูกนั้นอยู่ตรงทวี่ า่ โลกทนี่ ับถอื
พระพทุ ธศาสนานน่ั แหละเปล่ยี นแปลงไปตามเวลา จงึ มีอายุ
และการประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นพระศาสนาของคนในโลกนน่ั แหละ
เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา เปลีย่ นแปลงไปตามยุคตามสมยั
การประพฤติพระธรรมในพระพุทธศาสนาของพุทธ-
บรษิ ทั เรานก้ี เ็ หมอื นกนั เปลยี่ นแปลงไปตามยคุ ตามสมยั ทลี่ ว่ งไป
ดังเราท่ีเห็นได้ว่า การประพฤติพระธรรมในคร้ังพระพุทธกาล
นน้ั ไมเ่ หมอื นกบั เดยี๋ วน้ี ขอ้ นม้ี มี ลู มาจากสง่ิ แวดลอ้ มหลายอยา่ ง
หลายทางดว้ ยกนั เชน่ วา่ ใหม้ พี ระอรหนั ตเ์ ปน็ ผสู้ งั่ สอนบา้ ง และ
โดยภายนอกนั้นโลกน้ีได้เปล่ียนแปลงไป จนนิสัยจิตใจของคน
โลกเปล่ียนแปลงไปในลักษณะอ่ืน ไม่เหมือนในคร้ังพุทธกาล
เพราะฉะนนั้ คนทเ่ี ปน็ อยใู่ นโลกทกุ วนั นจี้ งึ ไมเ่ หมอื นกนั กบั คนใน
ยคุ พทุ ธกาล
การประพฤติพระธรรมของคนในยุคนี้ จงึ ไมเ่ หมอื นกับ
การประพฤติพระธรรมของคนในยุคพุทธกาล เราจึงเห็นได้ว่า
11
ตวั ศาสนาทเ่ี นอื่ งกนั อยกู่ บั การประพฤตพิ ระธรรมของคนในโลก
นั่นแหละ เปล่ียนแปลงไปตามกาล เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา
จงึ ได้เกดิ มอี ายขุ ึ้น
อยากจะยกตัวอย่างง่ายๆ สักข้อหน่ึงว่า ในประเทศ
อินเดยี ซงึ่ เป็นท่ีเกดิ ของพระพุทธเจ้านั้น ก่อนพระพุทธเจ้าเกดิ
ประมาณ ๒๕๐๐ ปี กอ่ นพระพทุ ธเจา้ เกดิ คนโงจ่ นถอื รปู เคารพ
ไหว้รูปเคารพ ปั้นรูปเคารพขึ้นบูชา ข้อน้ีรู้ได้จากการขุดค้น
แผ่นดนิ ลึกตง้ั หลายวา ตัง้ ๒๐ วา ทใ่ี นแคว้นสงิ ดะ ทเ่ี รยี กวา่
แควน้ โมเฮนโจดาโร ไดพ้ บรูปเคารพเป็นอนั มาก ซ่ึงสร้างต้ังแต่
สมยั ๒๕๐๐ ปกี อ่ นพทุ ธกาล ถา้ มาถงึ บดั นก้ี ไ็ ด้ ๕๐๐๐ ปที เี ดยี ว
เพราะว่าก่อนพระพุทธเจ้า ๒ พันปี (หลังพระพุทธเจ้า) ก่อน
พระพุทธเจา้ ๒๕๐๐ ปี หลังพระพทุ ธเจ้ามาอกี ๒๕๐๐ ปีรวม
กันเป็น ๕๐๐๐ ปี ก่อนพระพุทธเจ้า ๒๕๐๐ ปนี ัน้ คนถอื รูป
เคารพกนั อย่างงมงาย แลว้ ค่อยมีความฉลาดเกิดขน้ึ ๆ เลกิ การ
ถอื รปู เคารพมาตามล�ำดับ
กระทั่งมาถึงยุคพระพุทธกาล คือยุคที่พระพุทธเจ้า
จะเกิดขึ้นหรือก่อนหน้าเล็กน้อยนั้น คนไม่ถือรูปเคารพเลย
ประณามว่าการไหว้รูปเคารพ รูปปั้น รูปเหมือนพระพุทธรูป
12
เป็นตน้ น้ี เปน็ ของโง่เขลางมงาย ยงั หา่ งไกลตอ่ ธรรมะ จงึ ไม่มี
การท�ำรูปเคารพข้ึนกราบไหว้บูชาในยุคพุทธกาล หลังจาก
พระพทุ ธกาลไมก่ ร่ี อ้ ยปี ความคดิ ไดเ้ ปลยี่ นไปนยิ มถอื รปู เคารพ
เพม่ิ ขน้ึ ๆ เปน็ ลำ� ดบั และมมี ากขนึ้ จนถงึ กบั วา่ เรยี กไดว้ า่ สมบรู ณ์
มาครบ ๒๕๐๐ ปี ในวันน้ี โดยเฉพาะในประเทศไทยเราเตม็ ไป
ด้วยรูปเคารพ เช่น พระพุทธรูปท่ีได้ท�ำข้ึนเป็นพระเครื่องราง
เป็นตน้ อยา่ งเดียวกนั กบั ๒๕๐๐ ปกี อ่ นพระพุทธเจ้าอกี
นเ้ี ราจะเหน็ ไดว้ า่ นา่ ประหลาด นา่ มหศั จรรยท์ รี่ ะยะกาล
เวลาต้องใช้จำ� นวน ๒๕๐๐ ด้วยกนั รูปเคารพดกดนื่ ในประเทศ
อินเดยี หรอื ว่าในโลกนี้ก็ตาม เมื่อ ๒๕๐๐ ปีก่อนพระพุทธเจ้า
เกดิ เมอ่ื พระพทุ ธเจ้าเกดิ ไมม่ รี ูปเคารพ และต่อมา ๒๕๐๐ ปี
คือยุคน้ีกลับเต็มดื่นไปด้วยรูปเคารพดังนี้ น้ีเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้
เห็นได้ว่า การถือลัทธศิ าสนาของคนนนั่ แหละไดเ้ ปลี่ยนไปตาม
กาลตามเวลา ตวั ธรรมะทถี่ กู ตอ้ ง เช่น หลักแหง่ อรยิ สจั เป็นต้น
นน้ั หาไดเ้ ปลยี่ นไปตามเวลาไม่ หาไดม้ อี ายไุ ม่ พระศาสนาทแ่ี ท้
จริงต้องไม่เน่อื งดว้ ยเวลา หากแต่วา่ จะปรากฏแกค่ น และคนก็
นบั ถอื ปฏบิ ตั ติ า่ งๆ กนั นแ่ี หละเปน็ ของเนอื่ งดว้ ยเวลา การปฏบิ ตั ิ
พระพุทธศาสนาจงึ เปลย่ี นแปลงไปตามยคุ ตามสมยั
13
ในบดั นโี้ ลกไดเ้ ปลย่ี นแปลงไปมาก คนมกี ารกระทำ� ทาง
กาย ทางวาจา ทางใจเปล่ียนแปลงไปมาก การปฏิบตั พิ ระพุทธ
ศาสนาจึงเปลี่ยนแปลงไปจากท่ีเคยปฏิบัติกันอยู่แต่สมัยครั้ง
พุทธกาลดังที่ได้กล่าวแล้ว จึงเป็นเรื่องท่ีเราจะต้องสนใจในข้อ
ท่ีวา่ เราจะต้องทำ� อยา่ งไรจงึ จะถูกต้องและเหมาะสมกับการที่
เรามีชวี ิตอยู่ในปจั จุบนั นีค้ อื พ.ศ. ๒๕๐๐ นีถ้ ้าเราจะพจิ ารณา
ดทู ว่ั ๆ ไปในภาวการณห์ รอื สถานการณต์ า่ งๆ ของโลกปัจจบุ ัน
นี้ เราจึงมีความรูส้ ึกอัศจรรยใ์ จอยา่ งหนึง่ วา่ โลกในปัจจบุ ันนี้มี
อะไรๆ ถึงท่สี ดุ เรียกไดว้ า่ ถงึ ท่สี ุดไปเสียทง้ั น้นั เช่น การรบฆา่
ฟนั กนั กม็ อี าวธุ ทจ่ี ะลา้ งชวี ติ กนั ทเี ดยี วตง้ั แสนตง้ั ลา้ น หรอื ทก่ี าร
จะเยยี วยารกั ษาไขเ้ จบ็ เรากม็ หี ยกู ยาหรอื วธิ บี ำ� บดั โรคทหี่ ายได้
อยา่ งนา่ ประหลาดน่าอัศจรรย์ ผดิ กบั สมยั โบราณ
การประพฤติปฏิบัติของคนเราที่เต็มไปด้วยทางทุจริต
คดโกงตา่ งๆ นานา จะเรยี กไดว้ า่ ถงึ ทส่ี ดุ ในทางทตี่ รงกนั ขา้ ม คน
ทตี่ อ้ งการศาสนาเปน็ เครอื่ งดบั ทกุ ข์ ตง้ั ใจจะประพฤตธิ รรมะให้
ย่ิงขึ้นไป นับว่ามีถึงท่ีสุดด้วยเหมือนกันแม้จะเป็นจ�ำนวนน้อย
ท่ีในคนท่ีมีความรู้สึกส�ำนึกในพระคุณของพระธรรมตั้งใจที่จะ
ศึกษาท่ีจะปฏิบัติให้ได้รับผลของพระธรรมถึงที่สุด กว้างขวาง
14
ออกไปนอกประเทศท่ีเคยเป็นท่ีเกิดของพระพุทธศาสนาจน
กล่าวไดว้ า่ ทัว่ โลก
พอท่จี ะกลา่ วได้วา่ ในปัจจุบนั น้เี วลานี้ว่า คนสนใจพุทธ
ศาสนากันท่ัวโลกถ้าเราจะพิจารณาดู การเป็นอยู่ของคนเรา
ก็นับว่าถึงท่ีสุดในการที่มีเคร่ืองอ�ำนวยความสะดวกสบายใน
บ้านในเรอื น การคมนาคมสัญจรไปมาต่างๆ ก็นบั วา่ ถึงทสี่ ุด มี
เครอื่ งมอื เครอ่ื งใชอ้ ำ� นวยความสะดวก เหมอื นอยา่ งวา่ เราไดพ้ ดู
ทน่ี ใ่ี ห้ได้ยินทง้ั โลกกย็ ังทำ� ได้ ไดอ้ าศัยเคร่ืองของสมยั นี้ เรยี กวา่
บรรดาอุปกรณ์แห่งการครองชีพหรือการด�ำรงชีพก็เป็นไปถึงที่
สดุ อะไรๆ พิจารณาดแู ล้ว ทัง้ ทางฝ่ายดแี ละทางฝา่ ยชว่ั ก็ร้สู กึ
วา่ ถึงที่สุด
แตแ่ ลว้ ทำ� ไมปญั หาจงึ มอี ยวู่ า่ คนเราในโลกในยคุ นเ้ี ดอื ด
ร้อนถึงท่ีสุด เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เหมือนกับว่าความ
ตายมาโบกอยขู่ า้ งบนฟ้า พร้อมทจี่ ะครอบง�ำคนเมื่อไรกไ็ ด้ ให้
สญู หายไปจากโลกในพริบตาเดยี วกไ็ ด้ มีความหวาดระแวงตอ่
อันตรายในการท่ีจะเบียดเบียนกันอยู่ โดยไม่รู้สึกตัวด้วยอาวุธ
อันร้ายกาจนั้น มีความระส�่ำระส่ายเพราะรายได้ไม่พอกับราย
จา่ ยไปทกุ หวั ระแหง ไม่มใี ครมคี วามสงบเยน็ ไม่มีใครทีม่ ีหวั ใจ
15
สะอาด สวา่ ง สงบเหมอื นครง้ั พระพทุ ธกาล นเี้ รยี กวา่ ความรอ้ น
ทง้ั ข้างนอก ความร้อนทงั้ ข้างใน ได้เปน็ ไปถึงทส่ี ดุ ไดเ้ หมอื น
กนั เรียกว่าอะไรๆ กล็ ้วนแตถ่ งึ ที่สดุ ดังน้ี
เราจะท�ำประการใดดี จึงจะเป็นประโยชน์มากที่สุดใน
การทจ่ี ะมีชีวิตเปน็ มนษุ ยอ์ ยู่ในโลก ในสมัยปัจจุบนั นี้ การถงึ ที่
สดุ ในฝา่ ยตำ่� หรอื ทางฝา่ ยชว่ั นนั้ เปน็ สงิ่ ทไี่ มพ่ งึ ปรารถนา เพราะ
ฉะนนั้ เราไมต่ อ้ งทจี่ ะพจิ ารณา แตก่ ารทจี่ ะใหถ้ งึ ทส่ี ดุ ในทางฝา่ ย
ดีที่จะเป็นที่พ่ึงแก่เราได้น่ันแหละ เป็นส่ิงท่ีต้องเอาใจใส่ พินิจ
พิจารณาให้สมกับท่ีว่า เราเกิดอยู่ในยุคก่ึงพุทธกาล อายุก็จะ
ไม่มากมายเท่าใดนักก็จะต้องแตกดับสังขารนี้ไป เราจะถือเอา
ประโยชนอ์ ยา่ งไรกนั จงึ จะไดร้ บั ประโยชนส์ งู สดุ เตม็ ทท่ี นั เวลานี้
ถา้ เราจะพจิ ารณาตามความหมายของคำ� วา่ กง่ึ พทุ ธกาล
ในแง่ดี ค�ำเช่ือกันมาว่า หลังจากกึ่งพุทธกาลคือปีน้ีเป็นต้นไป
แลว้ จะมแี ตจ่ ะเปน็ ไปในทางดี คอื จะเจรญิ งอกงามขน้ึ ไปในทางดี
พระศาสนาจะกลบั รุ่งเรอื ง เปน็ ทพ่ี ่งึ แก่สัตวท์ ั้งหลายมากยิ่งขนึ้
ตามล�ำดับๆ จนกว่าจะสมบูรณ์ดังเดิม ท่านได้เปรียบลักษณะ
ของความเป็นไปในหมู่บุคคลผู้นับถือพระพุทธศาสนานี้ว่า กิ่ว
เหมือนกับสากต�ำข้าว คือว่าสากท่ีใช้กันอยู่ในประเทศไทยเรา
16
สำ� หรบั ตำ� ขา้ วนน้ั กว่ิ คอดตรงกลาง ใหญท่ ง้ั ขา้ งหวั และขา้ งทา้ ย
ตรงก่ิวท่สี ุดนัน้ คอื กง่ึ กลาง
การปฏิบัติพระศาสนาของมนุษย์จะกิ่วสุดเพียงเท่านี้
แลว้ แล้วจะกลับขยายตัวเจริญงอกงามยิ่งข้ึนตามล�ำดับกว่าจะ
สมบรู ณด์ งั เดมิ ทพ่ี จิ ารณาดใู นลกั ษณะเชน่ นห้ี รอื ในทศั นะอนั น้ี
ยอ่ มทำ� ใหเ้ กดิ กำ� ลงั ใจ ยอ่ มทำ� ใหเ้ กดิ ความหวงั วา่ เปน็ การไดท้ ดี่ ี
ไดม้ าเกดิ อยใู่ นปนี ้ี เพราะวา่ อะไรๆ กม็ าถงึ ทส่ี ดุ เพยี งเทา่ นี้ และ
เรายงั ไมต่ าย เปน็ อนั วา่ เรายงั ไมต่ ายในบดั นี้ ในปนี ี้ เราจะมชี วี ติ
ลืมตาอยู่ดูความเจริญของพระพุทธศาสนา ต่อไปตามล�ำดับๆ
เป็นวนั เป็นเดอื น เป็นปีไปจนกวา่ จะสนิ้ อายุของเรา
เราควรจะได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของพระศาสนา
พร้อมกันไปกับความสงบสุขของคนในโลกจนถึงที่สุด เหมือน
กับท่ีเราเคยได้หวังไว้ ท้ังนี้ที่จะส�ำเร็จได้ด้วยการท่ีเราทุกคน
ถืออุดมคติ อันน้ีตรงกนั ดงั ทีก่ ล่าวแล้ววา่ หลังแตน่ ี้ตอ่ ไปขอให้
เปน็ สว่ นทจ่ี ะเจรญิ งอกงามยง่ิ ขนึ้ ตามลำ� ดบั ความคอด ความกว่ิ
ส้ินสุดลงแต่เพียงเท่าน้ี มีแต่ความเจริญเบิกบานไปตามล�ำดับ
จนกว่าจะถึงท่สี ุดของความเจริญ เพือ่ จะใหเ้ ปน็ ดงั นี้ เพื่อจะให้
สมกับหลักเกณฑอ์ ันนี้ เราควรจะตอ้ งทำ� อย่างไร
17
...
อปั ปะมาเทนะ สัมปาเทถะ
พวกทา่ นทัง้ หลายจงท�ำความไม่ประมาทให้สมบรู ณ์
เตม็ เปย่ี มเถิด
...
ความไม่ประมาทเปน็ พนิ ัยกรรม
ชนิ้ สุดท้ายของพระพุทธเจา้
...
บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายนับว่าเป็นผู้มีโชคดี ข้อแรก
ท่ีสุดและอย่างน้อยที่สุดก็มีโชคดีตรงที่เราได้เป็นพุทธบริษัท
นนั่ เอง เราไดถ้ อื พระธรรมคำ� สอนในพระพทุ ธศาสนา ซงึ่ สมบรู ณ์
อยา่ งยงิ่ ในการทำ� ความดบั ทกุ ข์ ไมม่ รี ะเบยี บพธิ ขี องศาสนาไหน
ที่จะท�ำความดับให้ดีย่ิงไปกว่าพระพุทธศาสนา เม่ือเรานับถือ
พระพทุ ธศาสนาอยแู่ ล้ว กเ็ ปน็ อนั วา่ เป็นโชคดที ไ่ี ดเ้ คร่อื งมอื ท่ีดี
อยใู่ นกำ� มอื เหลอื อยกู่ แ็ ตเ่ ราจะใชอ้ ยา่ งไร ใชเ้ มอ่ื ไร ใชใ้ หบ้ รสิ ทุ ธิ์
บรบิ รู ณ์ได้อยา่ งไร น่ันเอง
เพราะฉะน้ันปัญหายังเหลืออยู่แต่ว่า เราจะต้องเป็น
ผู้ไม่ประมาท ค�ำว่า ไม่ประมาทน้ีมีความหมายกว้างขวางอยู่
ไม่น้อยเลย คือจะต้องตีความรู้ที่ถูกต้อง จะต้องเป็นผู้มีความ
พากเพียร กระท�ำให้สมบูรณ์ตามความรู้ท่ีถูกต้องตลอดเวลา
ไม่เผลอตัว ไม่ลืมตัว ไม่เสียสติ ท�ำได้อย่างนี้จึงจะเรียกว่า
เป็นผู้ไม่ประมาท ถ้าเป็นคนโง่ไม่มีความรู้อะไร ก็ไม่สามารถ
19
จะประพฤติให้ถูกต้องได้ แม้จะมีความขยันหม่ันเพียรอย่างไร
จะไม่ลืมตวั อย่างไร มนั กท็ �ำไปไมถ่ ูก
ขอ้ แรกเราจงึ ต้องอย่าดือ้ อยา่ อวดดี อย่าถอื ร้ันปรมั ปรา
คือจะต้องรีบศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจถูกต้องในหลักของ
พระพทุ ธศาสนาเสยี กอ่ น วา่ เราจะดบั ทกุ ขก์ นั อยา่ งไร ใหม้ คี วาม
รู้ความเข้าใจที่เป็นพื้นฐานที่ถูกต้อง ในเร่ืองศีลก็ตาม ในเร่ือง
สมาธกิ ต็ าม ในเรือ่ งปญั ญากต็ าม จะต้องมีการศกึ ษาใหถ้ กู ต้อง
มีความเข้าใจถูกต้อง มีการประพฤติปฏิบัติถูกต้อง เรามีความ
ขยนั หมนั่ เพยี รไมท่ อดธรุ ะ มสี ตไิ มล่ มื ตวั ในการกระทำ� ทถี่ กู ตอ้ ง
นน้ั ๆ นแ่ี หละคือความไม่ประมาท
ค�ำว่า ความไม่ประมาท นี้เป็นพินัยกรรมช้ินสุดท้าย
ที่สมเด็จพระพุทธเจ้าประทานให้เป็นมรดกแก่เราทุกคน
เพราะเหตทุ พี่ ระพทุ ธองคไ์ ดท้ รงดำ� รสั สงั่ เปน็ คำ� สดุ ท้ายในขณะ
ที่ปรินิพพานว่า พวกท่านทั้งหลายจงท�ำความไม่ประมาทให้
สมบูรณ์ เต็มเปี่ยมเถิด ตรัสดังน้ีแล้วก็เงียบไป คือปรินิพพาน
จึงถือว่าเป็นพินัยกรรม เป็นค�ำสั่งค�ำสุดท้าย เป็นการมอบ
มรดกใหแ้ กเ่ ราอยา่ งมหาศาล คอื ความไมป่ ระมาทนน่ั เอง ความ
ไมป่ ระมาททพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงมอบใหน้ นั่ แหละจะเปน็ ทพี่ งึ่ ของ
20
เรา คือเปน็ ตวั ธรรมะโดยตรง ท่ีจะดับความทุกข์ท้งั หลายได้ ท่ี
จะท�ำให้เราเป็นอยู่อย่างสงบเย็น ต่อสู้อุปสรรคศัตรูทั้งหลายที่
จะเกิดขึน้ ในโลกนไ้ี ดโ้ ดยสน้ิ เชิง
เมอ่ื ผใู้ ดมคี วามไมป่ ระมาทเตม็ เปย่ี มถงึ พรอ้ มแลว้ ยอ่ ม
หมายความวา่ ผนู้ น้ั เอาตวั รอดได้ เพราะไดก้ ลา่ วมาแลว้ วา่ ความ
ไม่ประมาทน้ันมีความรู้ ความเข้าใจถูกต้อง ความเพียร มีสติ
ไม่ขาดสาย และคนชนิดนี้จะไม่เอาตัวรอดได้อย่างไร ผู้ที่ไม่
ประมาทย่อมไม่อยู่นิ่ง ไม่อยู่น่ิงเพราะท�ำอะไร เพราะท�ำที่พึ่ง
ใหแ้ กต่ วั เปน็ ผู้ประพฤติศีล สมาธิ ปญั ญา ควบคมุ กาย วาจา
ให้อยู่ในลักษณะท่ีสงบแล้ว ท�ำใจให้สงบด้วย เอาใจท่ีสงบน้ัน
สอดส่องหาความจรงิ ในส่ิงทั้งปวง จนรูค้ วามจรงิ ของสิ่งทงั้ ปวง
แลว้ ปฏบิ ตั ถิ กู ตอ่ สงิ่ ทง้ั ปวง ความทกุ ขก์ ไ็ มเ่ กดิ ขน้ึ จากสง่ิ ทง้ั ปวง
มแี ต่สิ่งไม่ทกุ ข์ นแ่ี หละคือผลของการเป็นบคุ คลท่ีไม่ประมาท
เมื่อเป็นผู้ท่ีไม่ประมาทอยู่ดังนี้ กระท�ำอยู่ดังนี้ก็ย่อม
ก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาตามล�ำดับ ท่ีเรียกว่า เป็นการ
บรรลมุ รรคผลนพิ พาน บรรลนุ พิ พานนนั้ หมายถงึ การหมดกเิ ลส
หมดความทกุ ข์ ไมม่ กี ิเลสเหลอื อยู่อีกตอ่ ไป ไม่มีสง่ิ ใดที่จะเป็น
ความทุกขเ์ บียดเบียนย่ำ� ยีจิตใจของบคุ คลน้ันอีกต่อไป
21
เพราะว่าในบรรดาไฟที่แผดเผาเราอยู่น้ันมีเพียง ๒
ชนดิ คอื มีไฟกิเลส กับ ไฟทกุ ข์ ไฟกเิ ลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ
เปน็ ตน้ เปน็ ประธาน ราคะ โทสะ โมหะ เกิดขึน้ แล้วย่อมเผาใจ
ให้เรา่ ร้อนไมม่ อี ะไรจะมาดับได้ ใหแ้ ชอ่ ยใู่ นนำ�้ แข็ง ราคะ โทสะ
โมหะ กย็ งั เผาบุคคลน้นั ใหร้ อ้ นอยู่น่นั เอง น้เี รยี กวา่ ร้อนเพราะ
ไฟราคะ โทสะ โมหะ
ไฟคือความทุกข์น้ัน ได้แก่ การบีบคั้นของความเกิด
ความแก่ ความเจบ็ ความตาย โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส
อุปายาส และอ่ืนๆ ซ่ึงเน่ืองกัน เราต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ
ตอ้ งตาย มปี ญั หาตา่ งๆ นานา เกิดขึน้ มาจากการเกิด แก่ เจ็บ
ตาย เป็นการได้ทนทรมานอยู่ในการเกดิ แก่ เจบ็ ตาย นับว่า
เป็นของร้อนด้วยเหมือนกัน อย่างนี้เรียกว่า ไฟทุกข์ เม่ือใด
ไฟกเิ ลสและไฟทุกข์ดบั ไปแล้ว เมอื่ นนั้ ชื่อวา่ นพิ พาน ถ้าดบั
สน้ิ เชงิ กเ็ ปน็ นพิ พานโดยสนิ้ เชงิ สว่ นรา่ งกายจะแตกดบั หรอื ยงั
นน่ั ไมเ่ ปน็ ปญั หาอะไร ขอแตใ่ หไ้ ฟกเิ ลสและไฟทกุ ขด์ บั ไปเทา่ นน้ั
ก็จะเป็นการนพิ พานโดยสมบูรณ์
เมอ่ื เปน็ ผดู้ บั กเิ ลสโดยสน้ิ เชงิ แลว้ ขอใหค้ ดิ ดเู ถดิ วา่ ผนู้ น้ั
จะเป็นอย่างไร การดับโมหะและอวิชชาเสียได้น้ัน ท�ำให้รู้
22
ความจริงของส่ิงทั้งปวงวา่ ไมม่ ีอะไรท่เี ป็นตัวเปน็ ตน ทไ่ี ปหลง
วา่ เปน็ ตวั เปน็ ตน เปน็ หญงิ เปน็ ชาย ทนี่ นั่ ทน่ี ี่ คนนนั้ คนนนี้ นั้ คอื
ความโง่ หรอื อวชิ ชา เมอ่ื มตี วั มตี นคนนนั่ คนนข้ี นึ้ มาแลว้ กม็ คี นน้ี
คนน้ีแหละท่เี กดิ ทีแ่ ก่ ทเี่ จบ็ ที่ตาย
เมอ่ื ถอนความโง่น้อี อกไปเสยี ได้ ไม่มีตวั ตนแล้ว ก็ไมม่ ี
ใครเกิด ใครแก่ ใครเจ็บ ใครตาย อยูเ่ หนือความเกดิ ความแก่
ความเจบ็ ความตาย เปน็ อนั วา่ ขนึ้ ถงึ สภาพทอี่ ยเู่ หนอื ความเกดิ
ความแก่ ความเจบ็ ความตายไดด้ ว้ ยความไมป่ ระมาท ดงั ทที่ า่ น
ไดก้ ลา่ ววา่ ความไมป่ ระมาทเปน็ หนทางแหง่ ความไมต่ าย ความ
ไมป่ ระมาทในที่นกี้ ค็ อื การปฏบิ ัตธิ รรมตามลำ� ดบั ถึงทสี่ ุด ความ
ไมต่ ายในทน่ี ี้ ก็คือพระนพิ พาน ความไมป่ ระมาทเป็นทางแห่ง
ความไมต่ าย ก็คอื เปน็ ทางแหง่ พระนพิ พานน่ันเอง
23
คนที่ไมป่ ระมาทย่อมไม่ตาย
คนทีป่ ระมาทแลว้ ยอ่ มตายอยู่แลว้
...
กล่าวให้ชัดเจนได้ว่า การปฏิบัติธรรมโดยสมบูรณ์น้ัน
เป็นหนทางแห่งการที่จะดับเสียได้ ซึ่งไฟกิเลสและไฟทุกข์
โดยส้ินเชิง จึงเป็นผู้อยู่เหนือของการแผดเผาของกิเลสและ
ความทุกข์ จึงไม่ตาย ส่วนข้อที่ว่าความประมาทเป็นทางแห่ง
ความตายนั้น ทุกคนจงก้มดูตัวเองก็แล้วกัน เพราะว่ายังรู้สึก
ว่าเราต้องตาย น่ังเตรียมตัวส�ำหรับจะตายอย่างนั้น จะตาย
อย่างนี้ ตามภาษาท่ตี ัวอยากจะตาย จงึ อยากจะมีเงินไว้ทำ� ศพ
มากๆ ก็มีเหล่านี้ซ่ึงเป็นความประมาท คือหลงใหลย่ิงข้ึนไป
อีก คือแทนที่จะท�ำความไม่ตายกลับสมัครตาย และก็จะตาย
ใหแ้ ปลกๆ วติ ถารพิสดาร มอี ะไรๆ มาทำ� ให้ยงุ่ ยากลำ� บากมาก
ข้ึนไปอีก ล�ำบากแต่น้อยไม่พอ อยากจะให้มากขึ้นไปอีกจึงได้
คดิ มากไปแตท่ จ่ี ะตอ้ งตายอยา่ งนนั้ ตายอยา่ งนี้ แลว้ กใ็ หเ้ ขาจดั
อยา่ งนัน้ แล้วก็ใหเ้ ขาจดั อย่างน้ี น้ีเรียกว่า เปน็ ผปู้ ระมาทโดย
แท้จริง ไม่สมท่ีจะเป็นพุทธบริษัทผู้นับถือพระพุทธศาสนาเลย
24
ปลอ่ ยใหเ้ ปน็ ลกั ษณะอาการของบถุ ชุ นคนหนา ไปตามธรรมชาติ
ธรรมดาในโลกนีเ้ ถดิ
บุถุชนหนาไปด้วยกิเลส หนาไปด้วยฝ้าที่ปิดบังดวงตา
จงึ ไมม่ ปี ญั ญาทจ่ี ะรวู้ า่ อะไรเปน็ อะไร จงึ ไมร่ จู้ กั ความไมป่ ระมาท
ไม่ร้คู วามไมต่ าย และไมร่ สู้ ิง่ อน่ื ที่ควรรู้ เพราะฉะนัน้ ความหลง
ของบุคคลนั้น จึงเป็นมูลเหตุแห่งการตาย หรือความทุกข์ของ
บุคคลน้ัน เป็นผู้ถูกแผดเผาอยู่ด้วยไฟกิเลสและไฟทุกข์ตลอด
เวลา ทงั้ กลางวัน กลางคนื ท้งั หลับ ท้งั ต่นื
ที่ว่าท้ังหลับและท้ังตื่นนั้น หมายความว่า แม้แต่หลับ
แล้วมันก็ยังฝัน ฝันไปตามความอยากได้นั่นได้นี่ ร่างกายนอน
ดน้ิ อยทู่ ต่ี รงนี้ แตจ่ ติ ใจนนั้ เลอ่ื นลอยไปตามกเิ ลสตณั หา จงึ ไดฝ้ นั
ตา่ งๆ นานา นจ่ี งึ ไดเ้ รยี กวา่ ทงั้ หลบั ทง้ั ตน่ื เปน็ ผทู้ นทกุ ขท์ รมาน
เป็นผู้ทนทุกข์ทรมานในลักษณะเช่นนี้ ท้ังกลางวันและกลาง
คืน จะผิดกันอยู่บ้างก็แต่ว่ากลางคืนน้ันอัดเอาไว้ กลางวันนั้น
วง่ิ พล่านไปไมม่ ีทห่ี ยุด กลางคืนได้แตค่ ิดวติ กกงั วลต่างๆ นานา
นอนก่ายหน้าผากว่าจะท�ำอย่างน้ันว่าจะท�ำอย่างนี้ แต่ก็ยังท�ำ
ไมไ่ ดเ้ พราะยงั มดื อยู่ ยงั ไมส่ วา่ ง จงึ เหมอื นกบั อดั ควนั ไวก้ อ่ น พอ
รงุ่ ขนึ้ กว็ ง่ิ ไปทำ� ตามทตี่ นอดั ไว้ เหมอื นกบั ลกุ เปน็ ไฟขนึ้ มาทเี ดยี ว
25
เพราะฉะน้ันจงึ เห็นไดว้ ่า คนหนาๆ เหลา่ น้ันมีลกั ษณะ
เปน็ กลางคนื อดั ควนั กลางวนั เปน็ ไฟกนั อยตู่ ลอดเวลา ไมย่ กเวน้
คนใด ถ้าเปน็ คนหนาแลว้ ต้องเป็นอยา่ งน้ี จะหม่ เหลอื งหรือหม่
เขียว ห่มขาว ห่มแดง จะโกนหัวหรือไม่โกนหัวก็ตามใจ ถ้ามี
ลักษณะเป็นคนหนาเช่นนั้นแล้ว จะกลางคืนอัดควัน กลางวัน
เปน็ ไฟอย่เู สมอหนา้ กันหมด ไม่มีเสยี เปรยี บได้เปรียบกันที่ตรง
ไหนเลย
น่ีแหละจงดูอันตรายของความประมาท ดูโทษอัน
ร้ายกาจของความประมาท ดูพิษสงของความประมาทว่าเป็น
อย่างไร มันท�ำให้ตายไปจากความดี ตายไปจากความสงบ ตาย
ไปจากเป็นพุทธบริษัท เรียกตัวเองเป็นอุบาสกก็ไม่เป็นได้จริง
เรยี กตวั เองวา่ เปน็ บรรพชติ ภกิ ษสุ ามเณรกไ็ มเ่ ปน็ ไดจ้ รงิ เพราะ
ความประมาทน่ันเอง จึงเป็นการตายโดยสิ้นเชิง ตายจากการ
เป็นมนษุ ย์ หรือตายจากการเปน็ อบุ าสกอบุ าสกิ า ตายจากเปน็
ภกิ ษสุ ามเณร ตายจากเปน็ ทกุ ๆ อยา่ งทเี่ ชดิ ชบู ชู ากนั วา่ เปน็ การ
ไดก้ ารเปน็ ทด่ี ี ความเสอื่ มเสยี เหล่านมี้ มี ลู มาจากความประมาท
โดยตรง ทา่ นจงึ ถอื วา่ ความประมาทนน้ั เปน็ ทางแหง่ ความตาย
ทั้งสองข้อนี้ คือข้อที่ว่าความไม่ประมาทเป็นทางแห่ง
26
ความไม่ตาย ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย น้ีเรียก
วา่ กล่าวโดยธรรมาธิษฐาน คือชี้ทตี่ วั ธรรมะ เม่อื ทา่ นไดก้ ลา่ ว
โดยธรรมาธิษฐานแล้ว ท่านได้กล่าวโดยบุคคลาธิษฐานต่อไป
วา่ อัปปะมัตตา นะ มียันติ เย ปะมตั ตา ยะถา มะตา –คนที่
ไม่ประมาทย่อมไม่ตาย คนที่ประมาทแล้ว ย่อมตายอยู่แล้ว
ขอให้พิจารณาดูอีกเถิดว่า ผู้ท่ีไม่ประมาทว่าไม่ตายนั้นเป็น
อย่างไร ผู้ไม่ประมาทชื่อว่าไม่ตายน้ันว่า มีสติปัญญาท�ำลาย
กเิ ลสและความทุกข์ได้ ของความยดึ ถือวา่ ตัวตนได้ มแี ตส่ งั ขาร
ซึ่งเปล่ียนแปลงไปตามธรรมชาติตามธรรมดา มีความรู้สึกอยู่
ดงั น้ี ไมม่ ตี วั ตนทไี่ หนจงึ ไมม่ กี ารตาย ไมม่ ผี ใู้ ดตาย ผนู้ น้ั กไ็ มร่ สู้ กึ
ว่าตัวตาย ผู้รทู้ ้ังหลายกไ็ ม่กล่าวว่าบุคคลนน้ั ตาย
นี่อย่างหน่ึง หรือถ้าจะกล่าวลงมาเป็นภาษาโลกๆ เรา
กก็ ลา่ วไดว้ า่ ผใู้ ดไม่ประมาทแลว้ ผนู้ ้ันกเ็ อาตัวรอดได้ ไม่ตอ้ ง
มีความเสื่อมเสียแต่ประการใด สามารถจะรักษาเกียรติยศ
เกียรติคุณของตนไวไ้ ด้ เรยี กชือ่ ตวั เองว่าเป็นอบุ าสกอบุ าสกิ าก็
เปน็ ไดจ้ ริง เรียกชือ่ ตัวเองว่า สมณะ ภิกษุ สามเณรก็เปน็ ไดจ้ รงิ
น้ีก็เรยี กว่า ไม่ตายไดเ้ หมอื นกัน
แลว้ ทส่ี ดุ แตว่ า่ คนไมป่ ระมาทแลว้ ขยนั หมน่ั เพยี ร ตง้ั ตวั
27
ได้ด้วยทรพั ย์ ดว้ ยยศ ด้วยไมตรี ดงั น้ีก็ชอ่ื วา่ ไมต่ าย คือไมต่ าย
จากความดี ไม่มีค่าเท่ากับคนตาย สามารถท�ำให้เกิดความ
เจรญิ ก้าวหนา้ ไปได้ หรอื สามารถปอ้ งกนั อันตรายที่เกดิ แกช่ ีวิต
ได้ เปน็ ผตู้ ง้ั อยไู่ ดด้ ว้ ยดี ไมม่ อี ะไรมาทำ� ลายทงั้ ทางกาย ทางชวี ติ
ทางคณุ ความดจี นคณุ สมบตั ิอนื่ ๆ แล้ว กช็ ่ือวา่ ผู้น้ันไมต่ ายโดย
สน้ิ เชงิ รา่ งกายเกดิ ขน้ึ และดบั ไปนน้ั ไมถ่ อื วา่ ความตาย เพราะวา่
ความดีของเขานั้นยังอยู่หรือว่าผู้น้ันเป็นผู้ไม่ถือว่าร่างกายเป็น
ผเู้ กิดผู้ตายดังนี้
ส่วนข้อที่ว่า ผู้ประมาทแล้วเท่ากับตายแล้วนั้น ข้อน้ี
อธิบายว่าผู้ท่ีหลงใหลไม่รู้ความจริง ไม่มีความเพียร ไม่มีสติ
เปน็ เครอ่ื งบำ� รงุ ตนแลว้ แมย้ งั หายใจอยู่ แมย้ งั นงั่ ฟงั เทศนอ์ ยทู่ น่ี ่ี
ก็เท่ากับตายแล้ว เพราะเหตใุ ด กเ็ พราะเหตวุ ่าไม่มคี วามหมาย
อะไร ไม่มีคุณค่าอะไร มีค่าเท่ากับก้อนหินก้อนดิน หรือมีค่า
เท่ากบั ซากศพและยงิ่ จะรา้ ยไปกว่าน้นั
เพราะว่าคนท่ีประมาทแล้วนั้น เบียดเบียนตัวเองก็ได้
เบียดเบียนผู้อื่นก็ได้ ซากศพเบียดเบียนใครไม่ได้ ก้อนหิน
ก็เบียดเบียนใครไม่ได้ แต่คนท่ีประมาทน่ีแหละเบียดเบียน
ตัวเองก็ได้ เบียดเบียนผู้อ่ืนก็ได้ ไม่มีความดีแล้วยังท�ำลาย
28
ความดขี องบคุ คลอน่ื ดว้ ย จงึ เปน็ การเสอ่ื มเสยี ความพนิ าศ เปน็
ความฉิบหายโดยประการท้ังปวง มีค่าน้อยกว่าคนตายเสียด้วย
ซำ�้ ไป เพราะวา่ ซากศพนนั้ กย็ งั ไมท่ ำ� ใครอะไรใหเ้ ดอื ดรอ้ น แตค่ น
ประมาทนี้ท�ำให้ทุกคนเดือดร้อน เพราะฉะน้ันจึงร้ายกาจหรือ
เลวทรามไปกว่าซากศพ ท่านจึงถือวา่ คนประมาทแลว้ เทา่ กับ
คนตายแลว้ น้ยี งั มีความหมายที่ยงั ไม่เขา้ กับความจรงิ ดว้ ยซำ้� ไป
29
...
โลกน้ีระสำ�่ ระสายเดือดรอ้ นทัว่ ไปหมด
ทกุ หย่อมหญ้า เพราะความทคี่ นส่วนมากเหลา่ นนั้
ตกเปน็ บา่ วเป็นทาสของปีศาจแห่งความสุข
ทางเนื้อทางหนงั
...
คนไร้หริ ิโอตตัปปะไดช้ ือ่ วา่
เปน็ คนทำ� ลายที่รา้ ยกาจทสี่ ุด
...
ขอใหเ้ ราพจิ ารณาดใู หด้ ใี นขอ้ นแ้ี ลว้ จงไดร้ งั เกยี จเกลยี ด
กลวั ความประมาทอยเู่ ปน็ อยา่ งยงิ่ เถดิ ความทเ่ี กดิ ความเกลยี ด
กลวั ในการทต่ี นเปน็ คนประเภทนี้ เรยี กวา่ หริ แิ ละโอตตปั ปะ คอื
เปน็ คนไมห่ นา้ ดา้ น ถา้ เปน็ พทุ ธบรษิ ทั ไมม่ หี ริ แิ ละโอตตปั ปะ ไม่
เกลียดกลวั กเิ ลส ไม่เกลยี ดกลัวความทกุ ข์ ไม่เกลียดกลัวความ
ประมาทแล้ว ย่งิ กวา่ คนหน้าดา้ น
คนหน้าด้านตามธรรมดายังท�ำอะไรท�ำให้คนอื่นเดือด
ร้อนน้อย แต่คนไม่ละอายบาปไม่กลัวกรรมนี้ท�ำให้ตัวเองให้
ล�ำบากตลอดชาติ ทำ� คนอ่ืนให้เดอื ดรอ้ นไปท้งั โลกก็ได้ ท�ำลาย
พระศาสนาของพระศาสดาให้เส่ือมเสียเกียรติคุณช่ือเสียง ไม่
เป็นที่ตั้งแห่งการเคารพนับถือก็ได้ คนไร้ความหิริโอตตัปปะ
ไม่กลัวความประมาท จึงได้ช่ือว่า เป็นคนท�ำลายท่ีร้ายกาจ
ที่สดุ
การมีหิรโิ อตตปั ปะจงึ เป็นของจ�ำเป็นอย่างยง่ิ ว่าพุทธ-
31
บรษิ ทั เราถา้ เราไมไ่ ดร้ บั อะไรใหส้ มกบั ทเ่ี ราไดเ้ กดิ มา เราควรจะ
ละอายใหม้ าก ถา้ เราไมไ่ ดร้ บั อะไรใหส้ มกบั ปนี เี้ ปน็ ปี ๒๕๐๐ เรา
ก็ควรจะละอายให้มาก อยา่ ขนื เปน็ คนหนา้ ดา้ น เคยทำ� อยา่ งไร
ก็ดันทุรังอยู่อย่างนั้น เห็นแก่ความสุขทางเน้ือทางหนัง ความ
เอรด็ อรอ่ ยทางตา ทางหู ทางจมกู ทางล้นิ ทางกาย ไม่ไดเ้ อาใจ
ใส่กับพระธรรมที่จะเป็นที่พ่ึงแก่ตนได้ จะไปเอาใจใส่กับกิเลส
หรือส่ิงที่จะท�ำอันตรายแก่ตน ให้พินาศล่มจมไปหรือเรียกว่า
คนไม่มีหิริโอตตัปปะโดยส้ินเชิง ไม่มีค�ำพูดที่จะมาเรียกบุคคล
นี้ให้เหมาะสมได้ เพราะว่าเขาก�ำลังตกจมอยู่ในความหลงใหล
ความสขุ ทางเนอ้ื ทางหนัง
เราพิจารณาดูไปท่ัวๆ โลก เราจะเห็นได้ว่าส่วนมาก
ของคนในโลกในเวลาน้ี เปน็ คนไรห้ ริ ิโอตตัปปะ คือวา่ เป็นผทู้ ี่
จะสมคั รทจ่ี ะเปน็ ทาสของความสขุ ทางกามารมณ์ ทางเนอื้ ทาง
หนงั หลงใหลบชู าความสขุ ทางเนอ้ื หนงั เชน่ นนั้ ไมบ่ ชู าพระธรรม
คำ� สอนในพระศาสนาของตนๆ ไมว่ า่ ตนจะถอื ศาสนาอะไร ยนิ ดี
ทีจ่ ะไปดหู นังดูละคร กินเหล้าเมายา กว่าท่จี ะมาวดั มาฟงั ธรรม
เทศนาทำ� ทพ่ี ่ึงให้แก่ตน เราจึงไดเ้ หน็ โรงหนงั โรงละครเกิดข้นึ
หนาแน่นเต็มไปหมด จนกระทั่งหาคนท่ีจะมาศึกษาพระธรรม
32
ค�ำสอนปฏิบัติตนให้พ้นจากทุกข์ยากเต็มที แล้วโลกน้ีจะเป็น
อย่างไร
ถา้ โลกนเี้ ตม็ ไปแตบ่ คุ คลทเี่ ปน็ ทาสของความสขุ ทางเนอื้
ทางหนงั มันก็ต้องแยง่ ชงิ ความสุขทางเนอื้ ทางหนงั ของกันและ
กนั มนั จะตอ้ งกดั กนั เหมอื นกบั สนุ ขั เปน็ ตน้ ในการแยง่ ชงิ ความ
สุขทางเนอ้ื ทางหนงั แกก่ นั และกนั โดยส่วนบุคคล โดยส่วนหมู่
คณะ โดยส่วนประเทศชาติ แบ่งกันเป็นครึ่งโลก สองคร่ึงโลก
แล้วก็กัดกัน เพ่ือแย่งชิงความสุขทางเน้ือทางหนัง หรือวัตถุ
ปัจจัยซ่ึงเป็นอุปกรณ์แก่การได้มาซึ่งความสุขทางเน้ือทางหนัง
มันจึงเป็นการท�ำให้โลกนี้ระส่�ำระสายเดือดร้อนทั่วไปหมด
ทุกหย่อมหญ้า เพราะความที่คนส่วนมากเหล่านั้น ตกเป็น
บา่ วเปน็ ทาสของปีศาจแห่งความสขุ ทางเนือ้ ทางหนังนน่ั เอง
นน่ั แหละคือพวกคนหน้าด้าน ทีม่ อี ยู่ในโลกน้ีเตม็ ไปหมด หรือ
แทบเตม็ ไปหมด เรียกวา่ ผไู้ ร้หิรโิ อตตัปปะโดยสนิ้ เชิง
ท่านท้ังหลายจงมองเห็นโทษอันร้ายกาจของความ
ไม่มีหิริโอตตัปปะดังว่ามา ก็จะเกิดความสลดสังเวชในการท่ี
จะตกเป็นบ่าวเป็นทาสของความสุขทางเน้ือทางหนังเหมือน
เขา แลว้ เราจะพยายามถอนตนออกมาเสยี ควบคมุ ตนใหด้ ำ� เนนิ
33
มาแตใ่ นทางทจ่ี ะดบั ทุกข์ เอาตวั รอดจากความทกุ ข์ให้ได้ อยา่
ไปถือศาสนาเป็นบ่าวเป็นทาสของความสุขทางเนื้อทางหนัง
เหมอื นคนโดยมากในสมยั นเี้ ลย เขาถอื ศาสนาความสขุ ทางเนอ้ื
ทางหนงั นั้น เขามบี ทสวดมนต์ส�ำหรับสวดว่า จงดม่ื จงกิน จง
รา่ เรงิ สนกุ สนานกัน บนั เทิงกนั ให้เตม็ ท่ี เพราะวา่ พรุ่งนี้เราอาจ
จะตายเสีย
เขาไดแ้ ตท่ อ่ งบน่ มนตบ์ ทนกี้ นั อยทู่ งั้ นน้ั และเปน็ ประจำ�
ใจ จงึ ไดเ้ สาะแสวงหาแตค่ วามสขุ สนกุ สนาน เอรด็ อรอ่ ยทางเนอื้
หนัง คือทางตา ทางหู ทางจมกู ทางล้ิน ทางกาย ได้มาเทา่ ใดก็
สง่ เสรมิ กเิ ลสตัณหาให้ใหญ่ใหโ้ ต ให้มากขึ้นเพียงน้ัน เมือ่ กิเลส
ตัณหามันใหญ่ มันโตมากข้นึ ไปอีก มนั กต็ ้องการเหยอื่ ทีม่ ากท่ี
ใหญย่ ง่ิ ขน้ึ ไปอกี เลยเลก็ ๆ นอ้ ยๆ แตก่ อ่ นนนั้ ไมพ่ อแกใ่ จเสยี แลว้
ไม่พอแกค่ วามอยากเสยี แล้ว จึงต้องเสาะแสวงหาเหยื่อท่ยี ง่ิ ขน้ึ
ไป เมอื่ ได้เหย่ือท่ยี ่งิ ขึน้ ไปมาอกี มันก็มาส่งเสรมิ กเิ ลสตัณหาให้
ใหญข่ ้ึนไปกว่าน้ันอีก จึงจำ� เปน็ ที่จะตอ้ งหาเหยือ่ ท่ใี หญ่กวา่ นน้ั
อกี เปน็ ชนั้ ที่ ๓ ที่ ๕ ท่ี ๖ ตามลำ� ดบั ไปไมม่ ที สี่ น้ิ สดุ คนเหลา่ นน้ั
จมอยู่ในความเป็นทาสเป็นบ่าวของความสุขทางกามคุณ เห็น
แก่ความสุขทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
34
จนมนึ เมายง่ิ กวา่ เมาเหลา้ เมาเหลา้ กย็ งั ไมม่ ากกวา่ เมาความสขุ
ทางเนือ้ หนังดังทกี่ ลา่ วมา
เราจงึ เหน็ คนอยทู่ โี่ รงหนงั โรงละคร ทางทจ่ี ะสนกุ สนาน
กว่าคนท่ีจะเข้ามาในขอบเขตบริเวณของพระพุทธเจ้า นี่ก็เป็น
ตัวอย่างประจักษ์ชัดอยู่แล้ว แล้วในหมู่พุทธบริษัท แม้ในเขต
วัดของพุทธบริษัทก็ยังเป็นอย่างน้ีแล้ว ที่นอกวัดออกไปจะ
เป็นอย่างไร ที่ในประเทศไทยก็ยังเป็นอย่างน้ีเสียแล้ว ท่ีไม่ใช่
ประเทศไทยหรือประเทศท่ีไม่ได้นับถือพุทธศาสนานั้นจะเป็น
อยา่ งไรก็ลองมาเทียบเคียงกันดู
จึงเป็นการแสดงอยู่ในโลกน้ีแล้ว ให้เห็นชัดว่าโลกเรา
น้ีตกอยู่ในสภาวะเช่นไร ในยุคท่ีสมมติกันว่าเป็นก่ึงพุทธกาลน้ี
เปน็ สงิ่ ทน่ี า่ หวาดเสยี วเทา่ ไร นา่ วติ กกงั วลเทา่ ไร และใครจะเปน็
ผู้แก้ไข เมื่อคนทุกคนเป็นผู้ประมาท เป็นไร้หิริและโอตตัปปะ
เป็นผไู้ มม่ ีความพากเพียรที่จะบงั คับตวั เอง ไม่มสี ตสิ ัมปชัญญะ
เปน็ เคร่ืองครองตวั เห็นกงจักรเป็นดอกบัวบูชา สง่ิ ท่เี ปน็ ข้าศึก
ในฐานะว่าเป็นสรณะท่ีพึ่งดังน้ีแล้ว ความล่มจมก็จะต้องมีโดย
ไมต่ ้องสงสยั เลย
35
...
เลกิ เปน็ บ่าวเป็นทาสของกิเลส
เลกิ บูชาความสุขทางเน้ือทางหนังเสยี
มาบชู าธรรมะ มาบชู าศาสนา บชู าพระศาสดา
เหมือนอย่างทเี่ คยเป็นมาแล้วในคร้งั พทุ ธกาลนั่นเถดิ
โลกน้กี ็จะหมดความรอ้ น จะมคี วามสงบ
เปน็ สนั ตภิ าพอนั ถาวรไดต้ ามท่ที ุกคนหวงั
...
36
เลิกบชู าความสขุ ทางเนอ้ื หนงั
มาบชู าธรรมะ
...
นีด้ ีแต่วา่ ในโลกนี้ ยงั มีคนบางพวกทลี่ ืมหลู มื ตา ท่เี รียก
ได้ว่าเป็นพุทธบริษัทหรือเป็นสมาชิกของพระพุทธเจ้า มีความ
รู้ว่าอะไรเป็นความทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์อยู่บ้างใน
โลกน้ีจ�ำนวนหน่ึง คนเหล่าน้ีแหละเป็นเครื่องถ่วงโลกน้ีเอาไว้
ไม่ให้คว�่ำลงไป มันจึงอยู่มาได้ในลักษณะเช่นนี้ เราจงตั้งจิต
อธิษฐานในการที่จะให้บุคคลชนิดนี้มีมากข้ึน ในการที่จะให้
ก�ำลังใจของบุคคลประเภทน้ีแผ่ไปครอบง�ำโลก ให้มากย่ิงข้ึน
เพอ่ื เปลย่ี นแปลงจติ ใจของคนในโลก ใหเ้ ดนิ มาถกู ทาง ใหล้ ะมา
เสยี จากการเดนิ ผิดทาง มาเดนิ ในทางทถ่ี ูก ใหร้ ูว้ ่าความสุขทาง
เนือ้ หนังน่นั แหละ เปน็ มลู เหตขุ องความทกุ ข์ ความยาก ความ
ลำ� บาก หรอื ความล่มจมของโลกทง้ั สิน้
เลกิ เปน็ บา่ วเปน็ ทาสของกเิ ลส เลกิ บชู าความสขุ ทาง
เนอ้ื ทางหนงั เสยี มาบชู าธรรมะ มาบชู าศาสนา บชู าพระศาสดา
เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาแล้วในคร้ังพุทธกาลน่ันเถิด โลกนี้ก็
37
จะหมดความรอ้ น จะมีความสงบเป็นสันติภาพอันถาวรได้ตาม
ท่ที กุ คนหวัง ถ้าผิดไปจากนแ้ี ลว้ ไม่ตอ้ งสงสัยเลย เป็นไปในทาง
ทต่ี รงกันข้าม เพราะฉะนัน้ ขอให้พทุ ธบรษิ ัทเรา จงอธิษฐานจติ
ปักใจ ในการที่จะท�ำตนให้เป็นเหมือนกับเป็นค่ายม่ัน คือว่าที่
เปน็ คา่ ยทมี่ น่ั คง ทขี่ า้ ศกึ จะดไี มแ่ ตก ขา้ ศกึ คอื กเิ ลสแหง่ การบชู า
ความสุขทางเนอ้ื หนัง
เราจะมีค่ายอันมั่นคง คือว่าเราจะไม่ยอมเป็นบ่าว
เป็นทาสของความสุขทางเนื้อทางหนัง เราจะยึดหลักความ
ดีความจริง ความงาม ความถูกต้อง ความยุติธรรม หรือ
ธรรมะอ่ืนๆ ไว้ให้แน่นแฟ้น ไมป่ ล่อยตา ปลอ่ ยหู ปลอ่ ยจมกู
ปล่อยลน้ิ ปล่อยกาย ปล่อยใจไปตามทางของกเิ ลส แตเ่ ราจะ
ควบคมุ ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ ใหอ้ ยใู่ นรอ่ งรอยของพระพทุ ธเจา้
เราเปน็ สตั วท์ รี่ จู้ กั บญุ คณุ ไมใ่ ชเ่ ปน็ สตั วท์ อี่ กตญั ญทู ไ่ี มร่ บู้ ญุ คณุ
เพราะว่าเปน็ มนษุ ยม์ ใี จสูง
เรารอู้ ยดู่ วี ่าพระพทุ ธเจา้ ต้องการใหเ้ ราท�ำอะไรบา้ ง แต่
โดยเฉพาะในสมยั ทโี่ ลกปน่ั ปว่ นเชน่ น้ี ถา้ พระพทุ ธองคย์ งั ทรงอยู่
จะทรงทำ� อย่างไร หรอื วา่ จะทรงพระประสงคใ์ หเ้ ราทำ� อย่างไร
เราพอจะคาดคะเนได้ด้วยสติปัญญาของเราเอง ว่าพระองค์ก็
38
ทรงมงุ่ หมายท่ีจะช่วยก�ำจัดทกุ ขข์ องโลกน้ี ตามปรกตินสิ ัยของ
พระพทุ ธเจ้าทว่ั ไป จึงมากไปด้วยพระมหากรุณา จะทรงหวงั ที่
จะให้สาวกทั้งหลายช่วยกันท�ำอย่างเดียวกัน เพ่ือช่วยโลกน้ีให้
ปลอดภยั นีค้ วรจะถือได้วา่ เปน็ สงิ่ ทีไ่ ม่ต้องสงสัย
เพราะฉะน้นั เราทกุ คนจงไดพ้ ยายามทุกวิถีทางในการ
ทจี่ ะถอนตนออกมาจากความทกุ ข์ แลว้ ชว่ ยถอนบคุ คลอน่ื ให้
ออกมาจากความทกุ ขด์ ว้ ย ดว้ ยการชกั ชวนกนั ชแี้ จงกนั ปรกึ ษา
หารอื กนั ชว่ ยเหลอื รว่ มกนั กระทำ� ทกุ อยา่ งทกุ ทางทจ่ี ะไมป่ ลอ่ ย
ให้เราตกไปในอ�ำนาจของกิเลส แต่ให้มาคงอยู่ในร่องรอยของ
พระพทุ ธเจา้ คอื พระธรรม แลว้ ดำ� เนนิ ไปในทางดบั ทกุ ข์ จนดบั
ทกุ ขไ์ ดส้ นิ้ เชงิ จรงิ ไดล้ ถุ งึ สงิ่ ทด่ี ที ส่ี ดุ ทมี่ นษุ ยเ์ ราควรจะได้ ขอให้
คิดดูเถิดว่า มีอะไรอีกบ้างท่ีจะดีประเสริฐไปกว่านี้ การได้เงิน
ได้ของ ได้ชื่อเสียง ไดอ้ �ำนาจวาสนานน้ั ไม่เคยดับทกุ ข์ได้เลย ได้
มามากเท่าไร มันกม็ ีราคะ โทสะ โมหะ มากข้ึนอกี ยิง่ ร้อนเปน็
ไฟมากขึน้ อีก ย่ิงรอ้ นเป็นไฟมากข้ึนอีก
น้ีเหน็ ได้วา่ ไดเ้ งิน ไดข้ อง ไดอ้ �ำนาจวาสนานนั้ ไมเ่ คย
ดับทุกข์ได้เลย เราควรจะได้อะไรจึงจะเป็นการดับทุกข์ได้ เรา
ควรจะได้สิ่งนี้แหละ คือได้การท�ำตนให้อยู่ในร่องรอยของ
39
พระพุทธเจ้าจนกระท่ังมีจิตใจ สะอาด สว่าง สงบ ความ
สะอาด สว่าง สงบของจิตใจน่ันแหละคือสิ่งท่ีมีคุณค่าเหนือ
ส่ิงใดๆ ทง้ั หมด เป็นส่ิงท่มี นษุ ยค์ วรจะไดห้ รอื เปน็ สง่ิ ทด่ี ีที่สุดที่
มนษุ ยค์ วรจะได้ เพราะวา่ เมอ่ื ไดส้ ่ิงนีม้ าแล้วมนั ดบั ทุกขไ์ ด้ ผิด
จากได้เงนิ ไดข้ อง ได้อ�ำนาจวาสนาเปน็ ตน้ น้ัน ซึ่งมันไมเ่ คยดับ
ทุกข์ไดเ้ ลย
เราจึงจะได้พิจารณาให้เห็นความจริงข้อนี้กันทุกๆ คน
กจ็ ะเป็นผทู้ ่ีมศี รัทธาอันแนน่ แฟ้นไมก่ ลบั กลอกในพระพุทธ ใน
พระธรรม ในพระสงฆ์ จงึ มคี วามเขา้ ใจถกู ตอ้ งวา่ อะไรเปน็ ความ
ทุกข์ อะไรเป็นความทุกข์ จะเกิดก�ำลังใจในการทีจ่ ะขยันหมน่ั
เพียร มีสติสัมปชัญญะ ควบคุมตัวเอง ด�ำเนินอยู่แต่ในร่องใน
รอยทีค่ วามทุกขจ์ ะไม่ตกทบั หัวใจได้
ไม่ว่าสิ่งทั้งหลายจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร หัวใจนี้ก็
ไม่ทุกข์ รา่ งกายจะถกู เฉอื นออกไปเป็นทอ่ นๆ จิตใจน้กี ไ็ ม่ทุกข์
เขาจะรบราฆ่าฟันกันระเบิดโลกนี้ให้เป็นละอองธุลีสูญสิ้นไป
จติ ใจนกี้ ไ็ มท่ กุ ข์ ยงั คงอยกู่ ไ็ มท่ กุ ข์ ดบั ไปกไ็ มท่ กุ ข์ คงมแี ตค่ วาม
ไมท่ กุ ข์ เปน็ ความสดชน่ื เปน็ ความสะอาด สวา่ ง สงบ ตลอดเวลา
ท่ียังตัง้ อยู่ จนกระทงั่ ถึงเวลาท่ดี บั ไปนีเ้ รยี กว่า ผลของอานิสงส์
40
ท่ีเราจะพงึ ไดจ้ ากสง่ิ ท่ีดีท่ีสดุ ทีม่ นษุ ยเ์ ราควรจะไดด้ งั กล่าวแลว้
ถ้าผิดไปจากนี้แล้ว คนหนาๆ เหล่าน้ันจะสบายดีอยู่ก็
ทกุ ข์ มกี นิ อยู่ก็ทกุ ข์ มีใชอ้ ยู่ก็ทกุ ข์ บรโิ ภคกามอยกู่ ็ทกุ ข์ ยงั ไงๆ
เสียก็ต้องเป็นทุกข์ทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งหลับทั้งต่ืน ต้องมี
ลักษณะกลางคืนอัดควัน กลางวันเป็นไฟอยู่ตลอดเวลาน่ันเอง
ถา้ เป็นบถุ ุชนหนาไปดว้ ยกเิ ลสแลว้ จะเปน็ มนุษย์ก็ตาม จะเปน็
เทวดาก็ตาม ต้องมลี กั ษณะกลางคนื อดั ควัน กลางวันเปน็ ไฟไป
ดว้ ยกนั ทง้ั นนั้ เพราะฉะนนั้ จงึ เปน็ ผทู้ เ่ี สวยทกุ ขเ์ สมอกนั หมดทง้ั
เทวดาและมนษุ ย์ ถา้ หากวา่ เปน็ คนหนาไปดว้ ยกเิ ลส คอื ตกเปน็
บ่าวเป็นทาสของความสุขทางเน้ือหนังดังกล่าวแล้ว นี่ก็เพราะ
ขาดอะไร นก่ี เ็ พราะขาดดวงแกว้ คอื พระรตั นตรยั มคี วามหมาย
อยูท่ ตี่ รงความสะอาด สวา่ ง สงบนนั่ เอง
ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคน จงได้พิจารณาในความจริง
ข้อนี้ ให้รู้เรื่องความทุกข์ และความดับทุกข์ และเครื่องมือ
ส�ำหรับจะดับทุกข์ ใหเ้ ห็นแจ้งชัดเจนตามทเี่ ป็นจรงิ เถิด ความ
ประมาทท้ังหลายจะสูญหายไปในชั่วพริบตาเดียว ความไม่
ประมาทกจ็ ะเกดิ ขนึ้ โดยสมบรู ณ์ ทำ� ตนใหเ้ ปน็ บคุ คลชนดิ ทต่ี รง
ตามพุทธประสงค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้รับมรดกอันน้ัน
41
อันเป็นพินัยกรรมที่พระพุทธองค์ทรงประทานให้ โดยไม่ต้อง
สงสัยเลย โดยไม่ต้องเช่ือบุคคลอื่นเลย เพราะว่าอาจรู้แจ้ง
เห็นจริงด้วยจิตใจของตนเอง ว่าเราได้เราถึง ว่าเราดับทุกข์ได้
เพราะความทุกข์สิ้นไปดังนี้ เพราะอาศัยส่ิงประเสริฐสุด คือ
พระรัตนตรยั เป็นเคร่ืองกำ� จดั ทกุ ข์โดยนัยยะดงั วา่ มา สำ� เร็จผล
เป็นบุคคลท่ีไม่ประมาท เป็นผู้ไม่ตายอยู่ตลอดกาลนิรันดร
เหมอื นกับพระธรรมน้นั
ความปรารถนาดังนี้ย่อมเป็นผลส�ำเร็จได้ เพราะความ
ทเ่ี ราท้งั หลายมีความไมป่ ระมาทเป็นอย่างยง่ิ โดยเฉพาะในยุค
น้ี ที่จะต้ังจิตอธิษฐานให้หลังจากวันนี้เป็นต้นไป มีแต่ความ
เจรญิ งอกงามยิ่งข้ึนๆ ความคอดความกวิ่ น้นั จงสน้ิ สดุ ลงเสียแต่
เพยี งเทา่ น้ี จงมแี ตค่ วามเจรญิ เบกิ บานขยายออกไปในทางทจ่ี ะ
สะอาด สวา่ ง และสงบ ใหส้ มตามความมงุ่ หมายของพระพทุ ธ
ศาสนา เพราะฉะนั้นทุกคนจงช่วยกันคิดอยู่เป็นนิจ เพ่ือจะ
ปรึกษาหารือด้วยการเป็นที่พ่ึงให้แก่กันและกัน ช่วยเหลือกัน
และกันท�ำความเข้าใจถูกต้องให้กันและกันก่อน และจะได้
พยายามประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ หก้ า้ วหนา้ ขน้ึ ไปตามลำ� ดบั ๆ คงจะได้
บรรลผุ ลเปน็ ทพี่ อใจกอ่ นแตท่ จ่ี ะตายเสยี เป็นแน่นอน
42
ขอให้ความปรารถนาอันนี้ จงเป็นผลอันส�ำเร็จ เป็น
ส�ำเร็จตามที่เราทุกคนได้ปักใจม่ัน ยึดถือว่าปีน้ีเป็นปีศักด์ิสิทธิ์
ในฐานะเป็นปีกึ่งพุทธกาล และได้บวชพระบวชชีกันเป็นการ
ใหญ่ กลับจิตกลับใจเพื่อหวังว่าจะท�ำให้ดีที่สุด จะเป็นการ
รื้อฟื้นส่ิงที่ตกต่�ำทรุดโทรมนั้นให้เฟื่องฟูข้ึนดังเดิม ด้วยความ
มานะพากเพียร อดกลั้นอดทนเต็มตามความสามารถของตน
จงทุกๆ คนเถดิ จะเปน็ การไดช้ อื่ วา่ บชู าพระบรมศาสดาดว้ ย
ปฏิบัติบูชา อันเป็นบูชาอย่างย่ิง ไม่มีการบูชาอันใดที่ย่ิงไป
กว่าการบชู านี้แลว้
ขอใหร้ ะลกึ ถงึ เหตุการณ์ในคราวปรินิพพานว่า ดอกไม้
มันคารวะตกลงมาจากสวรรค์บูชาพระพุทธเจ้าในวันท่ี
ปรินิพพานน้ัน เต็มไปทั่วทั้งอุทยานสูงตั้งแต่เข่า พระพุทธเจ้า
ท่านยังตรัสว่าไม่มีค่าเลย ไม่มีความหมายเลยท่ีดอกไม้สวรรค์
จะตกลงมาบูชาสรีระของตถาคตมากถึงปานน้ัน แต่พวก
พุทธบริษัท ภกิ ษุ ภิกษุณี อบุ าสก อบุ าสกิ า พากนั ตั้งหน้าต้งั ตา
ประพฤติปฏิบัติตามค�ำสอนแล้ว การอดกล้ันอดทนปฏิบัติ
นั่นแหละ เป็นการบูชาอันสูงสุด เป็นการบูชาอันแท้จริง
เปน็ การบชู าท่ีมีความหมาย
43
เพราะฉะนนั้ ขอใหเ้ ราทงั้ หลายจงมสี ตสิ มั ปชญั ญะ พนิ จิ
พจิ ารณาดใู หด้ ี แลว้ กระท�ำกาย วาจา ใจ ชวี ติ ร่างกายนี้ ให้เป็น
เครื่องบูชาแด่สมเด็จพระบรมศาสดา ด้วยการอุทิศเสียสละ
ในการที่จะปฏบิ ตั ิธรรมด้วยตนเอง ในการท่ีจะช่วยเหลือซ่งึ กัน
และกัน ให้เกิดความรู้ความเข้าใจถูกต้อง แล้วปฏิบัติถอนตน
ออกจากทกุ ขด์ ว้ ยกนั ทกุ คน ไดช้ อ่ื วา่ ทกุ คนเปน็ เพอ่ื นเกดิ เพอื่ น
เจบ็ เพื่อนตาย เปน็ ญาตใิ นพระพทุ ธศาสนา มีพระพุทธเจ้าเปน็
บดิ ารว่ มกนั แลว้ ทกุ คนกร็ ว่ มกนั ถอนตนออกจากทกุ ข์ ถอนโลก
นี้ออกจากความทกุ ข์ สมตามความมุ่งหมาย สมตามหนา้ ท่ีของ
พทุ ธบริษทั แล้ว ทุกประการ
ขอให้ท่านทั้งหลายต่างเอาความจริงข้อนี้ เป็นเคร่ือง
ตกั เตอื นตนใหเ้ กดิ กำ� ลงั ใจ อทุ ศิ เสยี สละดว้ ยกำ� ลงั ใจทงั้ หมดนนั้
ประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ หต้ รงตามความมงุ่ หมาย โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ใน
ยคุ ทถี่ อื กันวา่ เปน็ เวลาอนั ศักด์ิสิทธิ์ คือปี ๒๕๐๐ นใ้ี ห้สมกบั ท่ี
สมมติวา่ เปน็ ปอี นั ศักด์สิ ทิ ธ์ิยิง่ นนั้ จงทกุ ๆ คนเทอญ
ธรรมเทศนา ก็สมควรแก่เวลา เอวัง ก็มีด้วยประการ
ฉะน.ี้
44
...
ให้รเู้ รอ่ื งความทุกข์ และความดับทุกข์
และเครือ่ งมือสำ� หรับจะดับทกุ ข์
ให้เห็นแจง้ ชัดเจนตามทเ่ี ปน็ จรงิ เถดิ
ความประมาททงั้ หลายจะสูญหายไปในชั่วพริบตาเดยี ว
ความไม่ประมาทก็จะเกิดขึ้นโดยสมบรู ณ์
...
45
...
การอดกลนั้ อดทนปฏิบตั ิน่นั แหละ
เป็นการบูชาอนั สงู สดุ เป็นการบชู าอันแทจ้ รงิ
เป็นการบูชาท่มี ีความหมาย
...
ใบสมัครสมาชิกธรรมะใกล้มอื
ข้อมลู สมาชกิ นามสกุล
ชือ่ อเี มล
โทรศพั ท์
มคี วามประสงคบ์ อกรับเป็นสมาชกิ หนงั สือธรรมะใกลม้ ือ
สมคั รใหม ่ ตอ่ อายสุ มาชกิ สมาชกิ อปุ ถมั ภ์ แบบระบอุ งคก์ ร
สมาชกิ อปุ ถมั ภ์ แบบไมร่ ะบอุ งคก์ ร ตามแต่มูลนิธิฯ จดั สรร
๑ ปี (๑๒ เลม่ ) ๑๘๐ บาท ปี ( เล่ม) บาท
ตอ้ งการรับหนงั สอื ต้งั แตฉ่ บับ เดือน ปี
ทอ่ี ยู่ส�ำหรบั จัดสง่
ผ้รู ับ
ที่อยู่
สมทบการผลติ โทรศัพท์
ณ สโมสรธรรมทาน จำ� นวน บาท
โอนเงิน จ�ำนวน บาท
เข้าบัญชี มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อนิ ทปญั โญ
ประเภท ออมทรพั ย์ เลขที่ ๑๑๑-๒-๙๖๒๙๕-๘
ธนาคาร ไทยพาณิชย์ สาขา ส�ำนกั รชั โยธิน
พรอ้ มส่งหลกั ฐานการโอนเงนิ มาทาง
ไปรษณีย์ : จา่ หน้าซองถึง สโมสรธรรมทาน (สมัครสมาชกิ ธรรมะใกลม้ ือ)
มลู นิธิหอจดหมายเหตุพทุ ธทาส อินทปัญโญ สวนวชิรเบญจทัศ
ถ.นิคมรถไฟสาย ๒ แขวงจตุจักร เขตจตุจกั ร กรุงเทพฯ ๑๐๙๐๐
โทรสาร : ๐-๒๙๓๖-๒๖๘๕ อีเมล : [email protected]
กล่องข้อความ : www.facebook.com/bookclub.bia
อน่ื ๆ (ระบุ) :
สอบถามเพิม่ เติม โทร. ๐-๒๙๓๖-๒๘๐๐ ต่อ ๕๑๐๑ 47
โลกนรี้ ะส่�ำระสำยเดอื ดร้อนทวั่ ไปหมด
ทุกย่อมหญำ้ เพรำะควำมทค่ี นสว่ นมำก
เหล่ำนนั้ ตกเปน็ บำ่ วเปน็ ทำสของปีศำจ
แห่งควำมสุขทำงเนื้อทำงหนัง...
ธรรมะใกลม้ อื