กา วไปในบญุ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)
สารบญั
ไหวพระประธาน .................................................... ๑
กา วไปในบุญ .................................................๓
แกค วามเขา ใจ ความหมายของบญุ ทแี่ คบและเพ้ยี นไป ................๓
ใหท านอยา งไร จึงจะไดท ําบญุ อยางสมบูรณ ........................... ๖
ไปทําบญุ อยางเดยี ว แตไดกลับมาสามอยา ง ...........................๘
ถา จะทาํ บุญ กค็ วรทาํ ใหค รบทกุ ความหมาย ...........................๙
หนทางที่จะทําบุญ มอี ยูมากมาย.................................... ๑๒
ทําบญุ ตอ งใหส มบรู ณข ้ึนไปถงึ ปญ ญา .............................. ๑๕
บญุ ท่แี ทแ ผค วามสุขออกไป
ใหค วามงอกงามทั้งแกช วี ติ ของเราและทวั่ สังคม................... ๑๖
โยมทาํ บุญแลว พระก็อนุโมทนา
แตถ า โยมทาํ บญุ เพราะพระชวน อาจจะเสยี่ งตอ อเนสนา.............. ๑๙
ทําบุญ ทําทไ่ี หนกไ็ ด ไมวาทาํ อะไร ถา ทําเปน กไ็ ดบุญ ...............๒๒
ศกึ ษาบญุ ไป ใหป ญุ ญะกับปญ ญามาบรรจบกนั
กจ็ ะมผี ลสมบูรณ กลายเปนบุญอยา งสงู สุด ...................... ๒๕
ไหวพระประธาน∗
ญาติโยมจัดงานทําบุญบาํ เพ็ญกุศลกันวันนี้ โดยปรารภเร่ือง
อาตมภาพ แตกไ็ ดข อใหข ยายความหมายเปน งานบุญสาํ หรับอุโบสถ
และวดั น้ีทงั้ หมด ในโอกาสทว่ี ัดญาณเวศกวัน ต้งั มาถงึ ปท จี่ ะครบ ๕
นบั แตท่กี ระทรวงศึกษาธิการไดป ระกาศตง้ั เปนวดั ในพระพทุ ธศาสนา
เมอ่ื วนั ท่ี ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๗ และบัดนี้ไดมเี สนาสนะสําคัญ
เกิดข้ึน ซึ่งเพง่ิ สรางเสรจ็ คอื อโุ บสถหลงั ทโี่ ยมจดั พิธที าํ บญุ น้ี อนั เปน
ผลงานรวมกนั ของญาตโิ ยม พรอ มทง้ั พระประธาน ที่เพ่งิ หลอเสร็จ
เรยี บรอ ย แลวนาํ มาประดิษฐานในวันท่ี ๗ มกราคม และปดทองเสรจ็
เมอื่ วนั ท่ี ๑๒ มกราคม ที่ผานมานี้
พระประธานนีก้ ็สรา งเกอื บไมทัน เพราะท่ีวัดน้อี อกจะจจู มี้ าก
ไปดแู ละแกไขเทา ไรกไ็ มพ อใจสกั ที ชา งปนใหมใ หจ นในทสี่ ดุ ดู
เหมือนปน รวมทั้งหมด ๕ องค จงึ ไดอ งคน ี้ ซง่ึ ไดทราบวาโยมพอใจ
ท่วั กัน แตกอนน้ันกย็ ังมขี อ แยงกนั อยูอกี นิดหน่งึ คอื ตอนทห่ี ลอเสรจ็
แลวนาํ มาประดษิ ฐาน ยังไมไ ดปดทอง กท็ าสีขาวมา โยมก็ชอบมากวา
งามดเี หลือเกนิ แตพอปด ทองไปไดบ าง โยมก็เร่มิ ผิดหวังอีก บอกวา
ตอนเปนหลวงพอขาวงามกวามาก เปน ปญหาเนอื่ งจากแสงสะทอ น
เปนเงาแวววาว
∗
สัมโมทนยี กถา ในโอกาสทญ่ี าตโิ ยมจดั งานทาํ บุญ ในมงคลพรรษ ที่วดั ญาณเวศกวัน ตั้งมาจะ
ครบ ๕ ป มอี ุโบสถพรอ มพระประธาน และพระธรรมปฎ กมีอายุครบ ๕ รอบ ณ วนั อาทิตย ท่ี
๑๗ มกราคม ๒๕๔๒ ที่วัดญาณเวศกวนั พทุ ธมณฑล จ.นครปฐม
๒ กาวไปในบุญ
อยางไรก็ดี ตอนนี้สถาปนกิ บอกวาจะทดลองนําสปอตไลท
สามดวงหรือหาดวงมาฉายสองลองดวู า จะชวยใหแกไ ขปญหาเรอื่ งเงา
สะทอนออกไปไดแ คไหนเพียงใด และจะตองสรางฐานเสริมถาวรอีก
เพราะแทน ชกุ ชีขา งลางใหญ ตอนนีท้ ําฐานชว่ั คราวซอ นไว จะตอ งทาํ
ใหม ถา แกปญ หาโดยจดั สปอตไลทสองไดทด่ี ีแลว และออกแบบฐาน
ใหมนโ้ี ดยฝงสปอตไลทเขา ไปในฐานนน้ั กย็ งั เปน ความหวังวา จะ
แกปญหาเรอ่ื งเงาสะทอนนไี้ ด และทาํ ใหด เู หมาะสมดยี ง่ิ ข้นึ
พระประธานน้ัน ขอ สาํ คัญอยูที่เปน เครอื่ งส่อื พุทธคณุ คือ
พระปญญาคุณ พระวิสุทธคิ ุณ และทีเ่ รายํา้ กนั มากกค็ ือ พระมหากรณุ า
คณุ
เวลามาท่ีพระประธาน ไดก ราบไหวนมสั การ กท็ าํ ใหจิตใจ
ของเราเบกิ บานผอ งใส มีความสขุ เราอาจมีจิตใจวา วนุ เดอื ดรอนขนุ มวั
มาจากบาน หรือจากท่ีอน่ื ๆ ภายนอก พอเขามาท่ีวดั แลว เห็นพระ
ประธาน จิตใจของเราสบาย นั่นกค็ ือพทุ ธคณุ เกดิ ผลแกจ ติ ใจของเรา
คือเมตตาเกดิ มผี ล ทําใหจิตใจของเราสบาย มีความสขุ มปี ต ิ คอื ความ
อิ่มใจ และมคี วามสงบ
พูดโดยทวั่ ไป พระพุทธรูปนน้ั เราสรา งใหมีลกั ษณะสงบ ยิ้ม
ดว ยเมตตา และมีลักษณะหลดุ พน เปน อสิ ระ ไมย ดึ ตดิ ในโลก คือ
ทานพน อยเู หนอื โลก แตเปน ทพ่ี งึ่ แกเรา ถา พระพุทธรปู ส่อื พทุ ธคุณ
อยา งน้ไี ด ก็จะเกดิ ผลตอจิตใจของผนู มสั การ ทาํ ใหเ กดิ บุญกุศล อยา ง
นอ ยก็เกิดปสาทะ ซง่ึ เปนบญุ ขอ แรกทจ่ี ะมขี ึน้ ในจติ ใจของ
พทุ ธศาสนกิ ชน ในเวลาสัมผัสกบั พระศาสนา เริ่มแตไ ดพ บเหน็
พระสงฆ ตามหลกั ทว่ี า สมณานฺจ ทสสฺ นํ การเหน็ สมณะเปน อดุ ม
มงคล เมอ่ื เหน็ สมณะ กท็ าํ ใหจ ิตใจผองใส นี้เปนจดุ หนึง่ ท่ีบุญกุศลเร่ิม
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๓
ต้ังตน ได เพราะถา จิตใจไมผ อ งใส คอื ขุนมัวเศรา หมอง บญุ ก็เกิดยาก
และตัวความผอ งใสของจิตใจก็เปนบญุ อยใู นตัวแลว
กา วไปในบญุ
แกค วามเขา ใจ
ความหมายของบญุ ท่แี คบและเพย้ี นไป
บญุ กุศลน้ี มีทางทําใหเ กิดขนึ้ ไดม ากมาย แตข อสาํ คัญอยู
ท่จี ติ ใจของโยมเอง แตเมื่อเราตองการใหจ ิตใจผองใส อะไรจะมา
ชวยทําใหผองใสได ตอนน้ีเราอาศัยพระประธาน แตพ ระพทุ ธเจา
สอนไววา มวี ิธปี ฏิบตั หิ ลายอยางท่จี ะทําใหเกิดบุญกุศล วันนจี้ งึ ขอ
พดู เร่อื งบุญนิดๆหนอยๆ เพราะคําวา บุญเปนคําสาํ คัญใน
พระพทุ ธศาสนา และเวลานค้ี วามเขาใจเกยี่ วกบั คําวา “บญุ ” ก็
แคบมาก หรือบางทกี ถ็ ึงกับเพ้ยี นไป
แงท ี่ ๑ ยกตวั อยาง ทวี่ า บุญมีความหมายแคบลงหรือ
เพ้ียนไปนี่ เชน เม่ือเราพดู วา ไปทําบญุ ทําทาน โยมก็นึกวา ทําบุญ
คอื ถวายขาวของแกพระสงฆ บุญก็เลยมกั จะจาํ กัดอยูแคท าน คือ
การให แลวกต็ อ งถวายแกพระเทานั้นจงึ เรียกวา บญุ ถาไปใหแก
ชาวบาน เชน ใหแ กค นยากจน คนตกทกุ ขยากไร เราเรยี กวาใหท าน
ภาษาไทยตอนหลังนี้จึงเหมอื นกบั แยกกนั ระหวา งทําบุญกับให
ทาน ทําบญุ คือถวายแกพระ ใหท าน คือใหแ กคฤหสั ถช าวบาน
โดยเฉพาะคนตกทกุ ขไ ดยาก
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๕
เม่อื เพ้ียนไปอยา งนนี้ านๆ คงตองมาทบทวนกันดู เพราะ
ความหมายท่ีเพย้ี นไปน้กี ลายเปนความหมายในภาษาไทยที่บางที
ยอมรบั กนั ไปจนคิดวาถกู ตองดว ยซํ้า แตพอตรวจสอบดวยหลกั
พระศาสนาแลวก็ไมจริง เพราะวา ทานน้ันเปน คํากลางๆ
การถวายของแกพระ ท่เี ราเรียกวา ทําบุญน้ัน เมอื่ วา เปน
ภาษาบาลี จะเหน็ ชดั วา ทานเรียกวาทานทัง้ นั้น แมแตทําบุญอยา ง
ใหญท ่มี ีการถวายของแกพระมากๆ เชนถวายแกส งฆ ก็เรยี กวา
สังฆทาน ทําบุญทอดกฐิน ก็เรียกวากฐินทาน ทาํ บุญทอดผา ปาก็
เปน บงั สกุ ุลจวี รทาน ไมว าถวายอะไรก็เปนทานทัง้ นั้น ถวาย
สิ่งกอสรา งในวัด จนถวายทั้งวัด ก็เรียกเสนาสนทาน หรือวหิ าร
ทาน ทานทั้งนน้ั
ในแงน ี้ จะตองจาํ ไววา ทานนเี้ ปนเพียงสว นหน่ึงของการ
ทําบญุ เม่อื เราพดู วาทําบุญ คอื ถวายของพระ บญุ ก็เลยแคบลง
มาเหลอื แคทานอยางเดียว ลืมนกึ ไปวา ยงั มีวิธที าํ บุญอน่ื ๆ อีก
หลายอยา ง นีก้ เ็ ปนแงห นึ่งละ
แงท ี่ ๒ ก็คือความแคบในแงท ี่เมอ่ื คิดวา ถา ใหแกคนตก
ทุกขไ ดยากหรอื แกช าวบานก็เปนทานแลว ถาเขาใจเลยไปวา ไม
เปนบุญ กจ็ ะยงุ กันใหญ ทีจ่ รงิ ไมวา ใหแกใ ครกเ็ ปนบุญทงั้ น้ัน จะ
ตา งกันก็เพยี งวาบุญมากบุญนอยเทา น้ันเอง
การวัดวาบุญมากบญุ นอ ย เชนในเรื่องทานนี้ ทา นมเี กณฑ
หรอื มีหลกั สําหรับวัดอยแู ลววา
๑. ตัวผใู ห คือทายกทายิกา มีเจตนาอยางไร
๒. ผูรับ คอื ปฏิคาหก มคี ุณความดีแคไหน
๖ กาวไปในบญุ
๓. วัตถุ หรือของที่ให คือไทยธรรม๑ บริสทุ ธ์ิ สมควร เปน
ประโยชนเพียงใด
ถาปฏิคาหก คือผรู ับ เปน ผมู ีศลี มคี ุณธรรมความดี ก็เปน
บญุ มากข้นึ ถาปฏคิ าหกเปน คนไมมศี ลี เชนเปนโจรผูรา ย เราก็ได
บุญนอ ย เพราะดีไมดีใหไปแลว เขากลบั อาศยั ผลจากของท่ีเราให
เชนไดอาหารไปกนิ แลว รางกายแขง็ แรง กย็ งิ่ ไปทาํ การรายไดมาก
ข้ึน กลับเกิดโทษ
วตั ถสุ ิ่งของท่ีถวาย ถา บริสุทธิ์ ไดม าโดยสุจรติ เปนของที่
เปน ประโยชน มีคณุ คา แกผูท ร่ี ับไป สมควรหรือเหมาะสมแกผ ูร ับ
น้นั เชน ถวายจีวรแกพ ระสงฆ แตใหเส้อื แกคฤหัสถ เปนตน ก็เปน
บญุ มาก
สว นตัวผใู หก ็ตอ งมเี จตนาทเ่ี ปนบุญเปนกศุ ล ตั้งใจดี ยง่ิ ถา
เจตนาน้ันประกอบดวยปญญา กม็ คี ุณสมบตั ดิ ปี ระกอบมากขึ้น ก็
ย่งิ ไดบญุ มาก
เปนอันวา การใหเ ปนทานทง้ั ส้ิน ไมวาจะถวายแกพระหรอื
จะใหแ กคฤหัสถชาวบาน จงึ ตองมาทบทวนความหมายกนั ใหม วา
๑. ไดบ ุญ ไมใ ชเ ฉพาะถวายแกพ ระ
๒. บญุ ไมใชแคทาน
๑ ไทยธรรม มาจากภาษาบาลีวา เทยฺยธมฺม แปลวา ส่ิงทีจ่ ะพึงให หรือของที่ควรให
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๗
ใหท านอยา งไร
จึงจะไดท าํ บญุ อยา งสมบูรณ
ทีนีก้ ม็ าดวู าบุญนัน้ แคไ หน การทําบุญ ทา นเรยี กวา บญุ
กิริยา หรือเรียกยาววา บุญกิริยาวตั ถุ คือเรอ่ื งของการทําบญุ ญาติ
โยมท่ีคนุ วัดจะนกึ ออกวา บุญกริ ิยาวตั ถุมี ๓ อยา ง คอื
๑. ทาน การให เผื่อแผ แบง ปน
๒. ศลี การประพฤติสจุ รติ มีความสมั พันธท ี่ดี ไม
เบยี ดเบียนกัน
๓. ภาวนา ฝกอบรมพฒั นาจิตใจ เจริญปญ ญา
ทานก็เปนบุญอยางหนึ่ง ศีลก็เปน บุญอยา งหนึง่ ภาวนาก็
เปนบุญอยา งหนึ่ง และสงู ขึ้นไปตามลําดบั ดว ย ศลี เปน บญุ ทสี่ ูง
กวาทาน ภาวนาเปนบญุ ทีส่ ูงกวาศีล แตเ ราสามารถทําไปพรอม
กันทง้ั ๓ อยาง
เหตุใดจงึ เรียกการถวายของแกพระท่ีวัดวาเปนการทาํ บญุ
แตใหแกช าวบานเรียกวาเปนทานเฉยๆ เรอื่ งนอ้ี าจจะเกดิ จากการ
ทีว่ า เวลาเราไปถวายพระท่ีวัด เราไมใชถวายทานอยางเดียว
เทานน้ั คือ ในเวลาท่ีเราไปถวายสิ่งของเครอื่ งไทยธรรม หรือทํา
อะไรที่วัดนัน้ นอกจากทานเปน อยา งท่ี ๑ แลว
๒. ศลี เรากไ็ ดรกั ษาไปดว ย คือเราตอ งสํารวมกายวาจาอยู
ในระเบียบแบบแผนวัฒนธรรมประเพณี เรอ่ื งมารยาทอากัปกิริยา
และการสํารวมวาจาตางๆ นเี้ ปนศีลทั้งสิ้น และเวลาน้นั เรางดเวน
ความไมส ุจริตทางกายวาจา ความไมเรียบรอ ย การเบยี ดเบียนทุก
๘ กาวไปในบญุ
อยางทางกายวาจา เราละเวนหมด เราอยูในกายวาจาท่ีดงี าม ที่
ประณตี ที่สํารวม ท่ีควบคุม นีค่ ือเปนศีล
๓. ในดานจิตใจ จะดวยบรรยากาศของการทําบุญก็ตาม
หรือดวยจิตใจท่เี รามคี วามเลอ่ื มใสตงั้ ใจไปดวยศรัทธาก็ตาม จติ ใจ
ของเรากด็ ีงามดวย เชน มีความสงบ มคี วามสดชืน่ เบิกบานผอ ง
ใส มีความอมิ่ ใจ ตอนนีเ้ ราก็ไดภ าวนาไปดวย ยิ่งถา พระไดอ ธิบาย
ใหเขาใจในเรื่องการทาํ ทานนั้นวาทําเพื่ออะไร มีประโยชนอยางไร
สัมพันธก ับบุญหรือการปฏิบตั ิธรรมอ่ืนๆ อยา งไร ฯลฯ เรามองเห็น
คุณคา ประโยชนนั้น และมีความรู ความเขา ใจธรรม เขา ใจเหตุผล
ตา งๆ มากข้ึน เราก็ไดป ญญาดว ย
ดว ยเหตุที่วามานี้ กจ็ ึงกลายเปนวา เม่ือเราไปท่ีวัดน้ัน แม
จะไปถวายทานอยา งเดยี ว แตเราไดหมดทุกอยาง ทานเราก็ทํา ศีล
เราก็พลอยรักษา ภาวนาเรากไ็ ด ท้งั ภาวนาดานจติ ใจ และภาวนา
ดา นปญญา
เพราะฉะน้นั เมอ่ื เราไปที่วดั ถา เราปฏบิ ัตถิ กู ตอ ง เราจึง
ไมไ ดถ วายทานอยา งเดยี ว แตเ ราไดมาครบ ตอนแรกเราตงั้ ใจไป
ถวายทานอยางเดยี ว แตเ มอ่ื ไปแลว เราไดม าครบทง้ั สาม ทีนี้เราจะ
บอกวา เราไปถวายทานมา เราก็พดู ไมครบ ก็เลยพดู วาเราไป
ทําบญุ เพราะวา เราไดท้งั สามอยาง ท่ีวามานี้ก็เปนเหตุใหการ
ถวายทานอยางเดียวกลายเปนมคี วามหมายเปนทําบุญ(ครบทั้ง
สามอยาง)
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๙
เม่ือโยมเขาใจอยางน้ีแลว ตอ ไป เวลาไปถวายทานท่ีวดั ก็
ตอ งทําใหไ ดบุญครบทงั้ ๓ อยาง คอื ถวายทานอยางเดยี ว แตต อง
ใหไดท้งั ศีลท้ังภาวนาดวย อยางนจ้ี งึ จะเรยี กวา “ทําบญุ ” ทแี่ ทจ ริง
ไปทําบญุ อยางเดยี ว
แตไ ดก ลบั มาสามอยา ง
คราวน้ีเรากม็ าตรวจสอบตัวเองวา ทานของเราไดผล
สมบูรณไหม เริ่มตั้งแตดา นจติ ใจวาเจตนาของเราดไี หม
เจตนาน้ันทานยงั แยกออกไปอีกเปน ๓ คือ
๑. บุพเจตนา เจตนากอนให คือตั้งแตตอนแรก เร่ิมตนก็
ตง้ั ใจดี มคี วามเลอ่ื มใส จิตใจเบิกบาน และตั้งใจจริง แข็งแรง มี
ศรทั ธามาก ตอ ไป
๒. มุญจนเจตนา ขณะถวายกจ็ รงิ ใจจรงิ จัง ตงั้ ใจทําดวย
ความเบิกบานผองใส มีปญ ญา รเู ขาใจ
๓. อปราปรเจตนา ถวายไปแลว หลังจากนัน้ ระลกึ ขึ้น
เม่อื ไรจติ ใจกเ็ อบิ อ่มิ ผองใส วาทีเ่ ราทําไปนด้ี ีแลว ทานน้ันเกิดผล
เปนประโยชน เชน ไดถวายบาํ รงุ พระศาสนา พระสงฆจ ะไดมกี าํ ลงั
แลวทา นก็จะไดป ฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ชวยใหพระศาสนาเจรญิ งอกงาม
ม่นั คงเปน ปจ จยั ใหส ังคมของเราอยูรมเย็นเปนสุข นึกข้ึนมาเมื่อไรก็
เอิบอ่มิ ปล้ืมใจ ทานใชค ําวา “อนุสรณดวยโสมนัส”
ถาโยมอนสุ รณดว ยโสมนัสทกุ คร้งั หลงั จากที่ทาํ บญุ ไปแลว
โยมกไ็ ดบญุ ทกุ คร้งั ท่อี นสุ รณน ั่นแหละ คือระลึกข้ึนมาคราวไหนก็
ไดบุญเพมิ่ คราวน้ัน
๑๐ กาวไปในบญุ
นคี่ อื เจตนา ๓ กาล ซ่งึ เปน เร่ืองสําหรับทายก
สว นปฏคิ าหก คอื ผรู ับ ถาเปนผมู ีศลี มคี ุณธรรมตา งๆ มาก
กถ็ ือวา เปนบุญเปน กุศลมาก เพราะจะไดเกดิ ประโยชนม าก เชน
พระสงฆ เปนผทู รงศีล ทรงไตรสิกขา ทานกส็ ามารถทาํ ใหทานของ
เราเกิดผลงอกเงยออกไปกวา งขวาง เปน ประโยชนแกประชาชน
ชวยใหธ รรมแผขยายไปในสังคม ใหประชาชนอยูรม เยน็ เปนสุข
และดาํ รงพระศาสนาไดจ รงิ
สว นไทยธรรมคือวัตถุทถี่ วาย ก็ใหเปนของบรสิ ุทธิ์ ไดมา
โดยสจุ ริต สมควรหรอื เหมาะสมแกผรู ับ และใชไ ดเ ปนประโยชน
นี้เปนองคประกอบตางๆ ทีจ่ ะใชพ จิ ารณาตรวจสอบ และ
ตอ งพยายามอยา งท่พี ดู ไปแลว วา แมว า เราจะไปทําทานอยา ง
เดยี ว ก็ตอ งใหไดทั้งศลี ทัง้ ภาวนามาดวย อยางนจ้ี ึงจะเรยี กวา
ทาํ บุญกันจริงๆ ชนิดพูดไดเต็มปาก มิฉะนั้นโยมกจ็ ะไดแ คไปถวาย
ทานเฉยๆ แลวกไ็ ปเรียกออมแอม วา ทําบุญ เพราะฉะนน้ั ถาโยมไป
วดั แลวบอกวา ฉันไปทาํ บุญมา ก็จะตองตรวจดดู วยวา เอ..ท่ีจริง
เราไดแ คทานหรอื เปลา หรือวา เราไดค รบเปนบุญเต็มจริงๆ ถา เปน
บุญก็คอื ไดค รบทั้ง ๓ ประการ ทง้ั ทาน ทั้งศีล ทง้ั ภาวนา
ถา จะทําบุญ
กค็ วรทําใหค รบทกุ ความหมาย
ถึงตอนนี้ กเ็ ลยถอื โอกาสเลาความหมายของ “บุญ” นดิ
หนอย คําวา “บุญ” นนั้ มาจากศพั ทภ าษาบาลวี า “ปุ ญฺ ” ปญุ ญะ
นีแ้ ปลวาอะไรบาง
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๑
๑. บญุ แปลวา ชาํ ระจติ ใจใหบริสทุ ธ์ิสะอาด ใจของเรา
กําลังเศรา หมอง ขุน มัวมา พอทาํ บุญอยางเชนถวายทาน เพียงเรมิ่
ตง้ั ใจ จิตใจของเราก็สะอาด บริสทุ ธ์ผิ องใสขนึ้
การชําระจิตใจใหบ รสิ ทุ ธิ์ กค็ อื กําจดั สิ่งเศรา หมองที่
เรยี กวากเิ ลสท้งั หลายออกไป เรม่ิ ตง้ั แตท านก็กําจัดความโลภ
ความเห็นแกตัว ความมใี จคบั แคบตระหนี่หวงแหน ความยึดติด
ลมุ หลงในวตั ถุสงิ่ ของ ทําใหจ ติ ใจเปนอสิ ระ พรอ มทจ่ี ะกา วตอข้ึน
ไปในคณุ ความดอี ยา งอ่นื หรอื เปด ชองใหนาํ เอาคณุ สมบัติอืน่ ๆ มา
ใสเ พิม่ แกชีวิตได ทาํ ใหช ีวิตจติ ใจเฟอ งฟขู ึน้
คนท่ีทาํ บุญคือทาํ ความดี จิตใจก็จะเฟองฟูข้นึ ในคุณงาม
ความดี เพิม่ พูนคุณสมบัตทิ ี่ดๆี ใหแกชีวิตจติ ใจของตน บุญน้ัน มี
มากมาย เด๋ียวจะพดู ตอไป ย่งิ เราทําบุญมาก เราก็เพิ่มคุณสมบัตทิ ี่
ดีใหแกชวี ิตของเรามาก
ภาษาสมยั น้ีมีคาํ หนงึ่ วา “คณุ ภาพชีวิต” คนสมยั โบราณ
เขาไมตอ งมคี ําน้ี เพราะเขามคี าํ วา “บุญ” อยแู ลว คําวาบญุ นี่
ครอบคลมุ หมด ทําบุญทหี นง่ึ กเ็ พ่มิ คุณสมบัตใิ หก ับชีวติ ของเราที
หนง่ึ ทง้ั คุณสมบตั ิในกาย ในวาจา และในใจ กายของเราก็ประณีต
ขน้ึ วาจาของเรากป็ ระณีตข้นึ จิตใจของเราก็ประณตี ข้ึน ปญ ญา
ของเราก็ประณตี ขึน้ ดีเพ่ิมขนึ้ ไปเรอ่ื ยๆ
๒. บุญ แปลวา ทาํ ใหเกิดภาวะนา บูชา บุญนั้นทําใหน า
บูชา คนทีม่ ีบุญก็เปนคนท่ีนาบูชา เพราะเปน คนท่ีมคี ณุ ธรรม มี
ความดี ถาไมมีคุณความดีกไ็ มน าบชู า
๑๒ กาวไปในบญุ
ท่ีวาบูชา กค็ ือยกยอง หรอื เชิดชู คนท่ีทาํ บญุ ทาํ กุศลจิตใจ
ดีงามมคี ุณธรรมมาก ก็เปนคนท่ีนา เชิดชู นา ยกยอง แลวก็ทําให
เกดิ ผลท่ีนาเชดิ ชบู ชู าดว ย
ไปๆ มาๆ เดีย๋ วจะพดู ความหมายของบญุ มากไป ขอพูด
เพียงเปนตวั อยา ง ใหเ ห็นวาทีจ่ รงิ ศัพทเ หลานี้มคี วามหมายมาก
หลายประการ
ความหมายอกี อยา งหน่ึงที่พระพทุ ธเจาตรสั ไวคือ บญุ นั้น
เปน ชื่อของความสขุ พอทําบุญแลวจิตใจกส็ ุขเอิบอ่ิม เปน ความสุข
ที่ประณตี ลกึ ซึง้
การทําบญุ เปนความสุขท่ีมผี ลระยะยาว ไมเหมอื นอาหาร
ท่รี บั ประทาน หรอื สิง่ ภายนอกท่ีบํารุงบําเรอกาย พอผานไปแลวก็
หมด ก็หาย ความสขุ ก็สนิ้ ไป บางทีพอนึกใหมกลายเปนทุกข
เพราะมันไมมเี สียแลว มันขาดไป ตอ งหาใหม แตบุญเปนสุขท่เี ขา
ไปถึงเน้ือตัวของจติ ใจ เปนความสุขที่เตม็ อมิ่ ทําใหเ กดิ ปต ิในบุญ
และเม่ือเราทําไปแลวมันก็ไมห มด นกึ ถึงเมือ่ ไรกใ็ จเอิบอมิ่ ผองใส
เรอ่ื ยไป เปนความสุขทย่ี งั่ ยนื ยาวนาน
อีกประการหน่งึ บุญ เปน สง่ิ ทีพ่ ึงศกึ ษา พระพทุ ธเจา ตรัส
สอนใหศ กึ ษาบญุ คาํ วา “ศึกษา” กค็ อื ใหฝ ก ข้ึนมาน่ันเอง
หมายความวา บญุ นเี้ ราตอ งทาํ ใหเ พมิ่ ขึ้นและประณตี ขึน้ เรอ่ื ยๆ
อยา งทพี่ ดู เม่ือกี้วา มันเปนคุณสมบัติ มนั เปนความดี ทางกายบาง
ทางวาจาบา ง ทางใจบาง รวมไปถึงทางปญญา เราตองเพม่ิ โดย
ฝก ข้นึ มา เม่ือฝก กายวาจา จิตใจ และปญ ญา ชีวติ ของเราก็
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๓
ประณตี งอกงามขนึ้ เรื่อย เรยี กวาเปน การพัฒนาชวี ิตหรอื พัฒนา
ตนเอง
เพราะฉะนั้น บญุ นอ้ี ยาไปยุติหรือหยุดอยู เราตอ งศกึ ษา
บุญ มบี ญุ อะไร มคี ณุ สมบตั ิความดีอะไรท่ีเราควรจะทําเพ่ิม
เพ่อื ใหชวี ติ ของเราดีข้นึ และทําใหเกิดประโยชนกวา งขวางออกไป
เราก็กาวตอไป มฉิ ะน้นั เราจะตดิ อยู จมอยู หรือวา ชะงักตนั อยูกบั ท่ี
เทาเดมิ คนท่ีทําบุญไมควรจะตดิ อยูเทา เดมิ แตค วรจะกา วหนาไป
ในบญุ
น้เี ปนความหมายตางๆ ที่เกี่ยวขอ งกบั เร่ืองบญุ นาํ มาพดู
พอใหโยมไดเ ห็นแนวทาง ความจรงิ นนั้ แตละอยา งยงั สามารถ
ขยายออกไปไดมาก แตใ หเหน็ เคาวาตัง้ ตน อยา งนี้
หนทางทจ่ี ะทําบญุ มอี ยมู ากมาย
ไดบอกเมือ่ กวี้ า บุญน้ันมีมาก การทําบุญไมใ ชเ ฉพาะทาน
เทานั้น พระพทุ ธเจา ตรสั ไวโ ดยสรุปอยางสนั้ ที่สุดวา มี ๓ คือ บญุ
กริ ยิ าวัตถุ ๓ ไดแ ก
๑. ทาน
๒. ศลี
๓. ภาวนา
อยา งท่พี ูดไวตอนตนแลว
๑๔ กาวไปในบุญ
ทนี ีต้ อมาพระอรรถกถาจารย๑ คงอยากจะใหญ าติโยมเห็น
ตัวอยางมากๆ ทานจึงขยายความใหกวางออกไปอีก เพื่อเห็น
ชองทางในการทําบุญเพ่มิ ขึ้น ทานจึงเพิม่ เขา ไปอกี ๗ ขอ รวมเปน
บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ซึ่งขอนําเอามาทบทวนกับญาตโิ ยม ในฐานะที่
เปนผูท ําบญุ อยเู สมอ ตอจากบุญ ๓ คอื ทาน ศลี ภาวนา
๔. อปจายนมยั ทําบุญดวยการใหความเคารพ มีความ
ออนโยน สุภาพออ นนอม ใหเกยี รติแกกนั เคารพยกยอ งทานผูมี
ความเปนผใู หญ ผสู ูงดว ยคุณธรรมความดี เปน ตน หรอื ท่ีนิยมกัน
ในสังคมของเรา เคารพกันโดยวัยวุฒิ ชาติวฒุ ิ และคณุ วุฒิ แต
ในทางพระศาสนาถอื วา คุณวุฒิสาํ คัญทสี่ ดุ
อปจายนมัยนกี้ เ็ ปนบุญอยา งหนึ่ง เพราะเปนการชว ยกัน
รกั ษาสังคมนี้ ใหเ ราอยูกันดว ยความสงบรมเยน็ ถาสังคมของเรา
ไมมกี ารใหเ กียรติ ไมม ีความเคารพกัน ก็จะวุนวายมาก จิตใจก็แข็ง
กระดาง กาวราว กระทบกระทง่ั กันเรื่อย แตพอเรามีความเคารพ
ใหเกียรติแกกัน มคี วามสภุ าพออ นโยน จิตใจของเรากน็ ุมนวล การ
เปน อยูรวมกันก็ดี บรรยากาศก็ดี กจ็ ะงดงาม เปน สุข บุญกเ็ กดิ ข้ึน
๕. ไวยาวจั จมยั ทาํ บญุ ดวยการชวยเหลือ รับใช บริการ
คนไมม ีเงินก็ไมใ ชวา ทาํ บุญไมได ไวยาวจั จมัยกุศลนท้ี าํ ไดทุกคน
อยา งสมัยกอ นนีก้ ็นิยมมาลงแรงชวยกันในเวลามงี านสว นรวม
โดยเฉพาะสังคมไทยสมยั กอนมีศูนยกลางอยทู ี่วดั เวลามงี านวัด
๑ พระอรรถกถาจารย คือ พระอาจารยผ เู รยี บเรียงคัมภรี อ ธิบายความหมายของพุทธพจน
ในพระไตรปฎ ก
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๕
ชาวบานกม็ าลงแรง ชวยเหลือ รบั ใช ทําอะไรตอ อะไรคนละอยาง
สองอยาง ใหก ิจกรรมสว นรวมทว่ี ัดน้ันสาํ เรจ็ ดวยดี
วนั นี้ก็เปนตวั อยาง หลายทานมาทําบุญดว ยไวยาวัจจมัย
กุศล ชนดิ พรรณนาไดไมมที สี่ ิ้นสุด คอื มาชวยเหลือรบั ใชบ ริการ
บําเพญ็ ประโยชน ไมว าจะเปนตํารวจ ทหารเรอื ทหารทั้งหลาย หรอื
วา เด็กๆ นกั เรยี น ตลอดจนญาตโิ ยมก็มาทาํ กันท้งั นั้น ยอ นหลงั ไป
กอ นวนั นก้ี ็มาชว ยกนั ปลกู ตนไม มาทาํ ความสะอาด มาทาํ ถนน ฯลฯ
ตลอดจนมาชวยถายรูปเก็บไว ท้งั หมดน้ีก็เปน ไวยาวจั จมัยกุศล
พูดส้นั ๆ วา มาชว ยกัน คือเจตนาท่ีจะมาบําเพ็ญประโยชน
ชว ยเหลือ รับใช บรกิ าร ทาํ กจิ สว นรวมใหสาํ เร็จ เปนบุญอีกแบบ
หน่ึง
๖. ปตติทานมยั ทําบุญดวยการใหส ว นบญุ หมายความวา
ใหผูอ ่ืนมีสว นรว มในบุญหรือในการทําบุญดวย เวลาเราทําความดี
อะไรสักอยางกไ็ มหวงแหนไว เราเปด โอกาสใหคนอื่นไดมีสวนรว ม
บุญดว ยการทําความดดี ว ยกนั ทงั้ ผูมารวม และผูใ หโอกาส กไ็ ด
บญุ เพิม่ ท้งั สองฝาย คนท่ใี หเขารว มตัวเองบญุ กไ็ มไดลดลง เดยี๋ ว
จะนกึ วา คนอ่ืนมาแยงบุญ เปลา กลบั ยิง่ ไดม ากขนึ้ เพราะฉะนั้น
พระพุทธเจาจึงตรสั วา คนท่ีทาํ บุญดว ยตน กับคนทที่ ําบญุ ดว ยตน
แลว ยังชวนคนอนื่ มาทําดวยน้ัน คนหลงั ไดบ ุญมากกวา เมือ่ ให
สวนรวมแกผ ูอ่นื มาทาํ ความดดี ว ยกัน บุญกศุ ลก็ยิ่งเพ่ิมมาก
๗. ปต ตานโุ มทนามัย ทําบญุ ดวยการอนุโมทนาสวนบุญ
คือพลอยชื่นชมยินดี หรอื แสดงความยินดี ยอมรับ เห็นชอบในการ
๑๖ กาวไปในบญุ
ทาํ ความดี คือในการทําบุญของผูอื่น เมื่อเขาทําบญุ ทาํ ความดี เรา
ก็พลอยชน่ื ใจอนุโมทนาดว ย
เชน สมยั กอนนี้ เวลาญาติโยมบางทา นไปทําบญุ ที่วดั ก็
อาจจะเดนิ ไปผานบานโนนบา นน้ี พอเดนิ ผานบานนี้ เห็นคนที่รูจกั
กันก็บอกวา ฉันไปทําบญุ มานะ แบงบุญใหดวย บานทไี่ ดฟงก็บอก
วา ขอโมทนาดวยนะ นีค่ ือคติปต ตานโุ มทนา ซ่ึงเปนการฝกนสิ ัย
จิตใจ ใหเราพลอยยนิ ดีในการทําความดขี องคนอื่น ไมข ้ึงเคยี ด
ริษยาหรือหม่ันไส แตใหม ีจิตใจชืน่ บานดว ยการเห็นคนอนื่ ทําความ
ดี เม่ือเราพลอยชนื่ บาน อนุโมทนาดว ย เราก็ไดบ ุญดวย นีค้ ือบุญที่
เกิดจากการอนุโมทนา
ทําบญุ ตองใหส มบูรณขึ้นไปถงึ ปญ ญา
๘. ธรรมสวนมยั ทาํ บุญดวยการฟง ธรรม ธรรมะเปน เร่ือง
สาํ คัญทีจ่ ะทําใหเรามีปญญา ทาํ ใหเรามีหลักในการประพฤติ
ปฏิบตั ิและดําเนินชวี ิตที่ดี ถา เราไมม กี ารฟงธรรม ไมมีการอา น
หนงั สือธรรมะ เปนตน ความกาวหนา ในธรรมของเราอาจจะชะงกั
แลว การท่จี ะเจริญในบุญก็จะเปนไปไดย าก จึงตองมขี อ นม้ี าชว ย
ทา นจงึ สอนใหม ีธรรมสวนมัย คือทําบุญดว ยการฟงธรรม ซงึ่ จะทํา
ใหร ูหลกั มองเหน็ ชองทางแมแตในการทําบญุ เพ่ิมขึ้นอกี
๙. ธรรมเทศนามัย ทําบุญดว ยการแสดงธรรม การแสดง
ธรรมใหผอู ่นื ฟง ก็เปน บญุ แตใ นเวลาแสดงธรรมใหผ อู ืน่ ฟง ตอ ง
ต้งั ใจใหถกู ตอง ทานวาถา มเี จตนาหาลาภ หาเสยี ง ถือวา เจตนาไม
ดี มงุ ทผี่ ลสว นตวั จะไมม ผี ลมาก แตถา ต้งั เจตนาวา เราจะแสดง
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๗
ธรรมไปเพอื่ ใหโ ยมไดรเู ขาใจถูกตอง ใหมีสมั มาทฐิ ิ ใหโยมไดรบั
ประโยชน ใหโยมไดพัฒนาชวี ิตขึ้นไป ผูที่แสดงธรรมก็ไดบุญดวย
ถงึ โยมก็เหมือนกัน ก็ทาํ บุญขอ ธรรมเทศนามยั น้ีได โดยนาํ
ธรรมไปบอก ไปเผ่ือแผ ไปสอนลกู สอนหลาน ใหร ูจกั สิ่งท่ถี กู ตอ งดี
งาม ใหเขาเจริญในทาน ศลี ภาวนาดวย เรมิ่ ตง้ั แตไปแนะนาํ ใน
ครอบครวั ของตัวเอง ทําบญุ กับลกู กับหลานก็ได ดว ยธรรมเทศนา
มัยนี้ ย่ิงเปนเร่อื งทีย่ าก หรอื เขาไมเคยสนใจ เรากไ็ ดฝกตัวเอง
หาทางที่จะสอนที่จะแนะนําอธบิ ายใหไดผ ล ทําใหเขามีปญ ญา ทํา
ใหเ ขาทาํ ดี เปน คนดไี ด กย็ ่ิงไดบ ญุ มาก
๑๐. ทิฏุชกุ รรม ทาํ บุญดวยการทําความเหน็ ใหต รง คอื ให
ถกู ตอง ความเห็นถูกตองน้ตี อ งทาํ กันอยเู สมอ ไมวา จะทาํ อะไร
ควรพจิ ารณาตรวจสอบกิจกรรมทุกอยา งวา เราทาํ ดวยความรู
เขาใจถูกตอ งหรอื เปลา เชน เมอ่ื ทําทานก็พิจารณาวาเราทําดว ย
ความเขาใจถูกตอ งไหม เรอ่ื งนี้เปน ไปไดม ากวา โยมหลายทาน
อาจจะทําดว ยความเขา ใจผดิ อยกู ไ็ ด
ไมว า อะไร เชนอยา งรักษาศลี บางทกี ็รักษาไปตามตัวบท
พยญั ชนะ หรือตามที่ยึดถือกนั มา ไมเ ขาใจจรงิ เมอื่ เราไปฟง ธรรม
เรากม็ าปรบั ความเหน็ ของตวั ใหถูกตอ ง การทาํ บุญขอ อ่ืนๆ ก็
พลอยถกู ตอ งไปดวย เพราะฉะน้ัน เรอ่ื งทฏิ ุชกุ รรม หรือการทํา
ความเหน็ ใหตรงใหถ กู ตอ งนจ่ี ึงเปน เรือ่ งสาํ คญั ตองพฒั นาอยู
เสมอ ไมว า จะทาํ อะไร ตอ งมคี วามเขา ใจทถ่ี กู ตองประกอบอยู
๑๘ กา วไปในบญุ
ท้งั หมดน้ีรวมเปน ๑๐ ขอ แตใ น ๑๐ ขอน้ี ท่เี ปนหลัก กค็ อื
ทาน ศีล ภาวนา สว นท่ีเตมิ มา ๗ ขอนน้ั เปนการขยายจาก ๓ ขอ
ตน เพ่ือใหเห็นความหมายและชอ งทางทจี่ ะทาํ บญุ เพม่ิ ข้ึน
บญุ ท่ีแทแผความสุขออกไป
ใหความงอกงามทงั้ แกช วี ิตของเราและท่ัวสงั คม
ขอ ที่ขยายเพ่ิมขนึ้ นั้น อปจายนมัย ก็ดี ไวยาวัจจมัย กด็ ี อยู
ในหมวดศลี คือ การทม่ี คี วามสภุ าพ ออ นโยน นบไหว ใหเกียรติแก
กัน และการชวยเหลือรบั ใชบริการ กเ็ ปนเรื่องดานความสมั พันธกบั
ผอู น่ื ในสงั คม จึงเปนเรือ่ งของศีล จดั อยูในหมวดศลี ตอนนเี้ รียกวา
สงเคราะห คือจดั ประเภท
ตอไป ปตติทานมยั การใหส ว นบุญแกผูอื่น หรอื ใหผ ูอนื่ มี
สวนรวมบญุ นี่จัดอยูในทาน จะเห็นวาทานมคี วามหมายกวาง
ไมใ ชเฉพาะใหของเทา น้ัน แตการใหค วามมสี ว นรวมในการทํา
ความดี หรือใหโ อกาสผอู ่ืนทําความดี กเ็ ปนบญุ เปนการใหทาน
ชนดิ หนึ่งเหมือนกัน รวมท้ัง ปต ตานุโมทนา อนุโมทนาบุญท่ผี ูอ น่ื
ทาํ ก็อยูในหมวดทานดว ย
ตอไป ขอ ๘. ธรรมสวนมัย ฟงธรรม กด็ ี ขอ ๙. ธรรม
เทศนามยั แสดงธรรมแกผูอ ื่น ก็ดี รวมอยูในขอ ๓ คือ ภาวนามยั
เพราะเปนการพฒั นาจิตใจ และพฒั นาปญญา โดยเฉพาะปญ ญา
ซง่ึ จะไปสงผลแกข อสดุ ทายดวย
ขอสดุ ทา ย คือ ทิฏชุ กุ รรม ทานบอกวาเขากบั ทุกขอ เวลา
ทาํ บุญทกุ อยางใหมที ิฏชุ ุกรรมประกอบ คอื มคี วามเหน็ ที่ถูกตอ ง
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๙
ดวย มฉิ ะนน้ั บญุ ของเรากจ็ ะบกพรอง เพราะอะไร เพราะบางที
เวลาทาํ บญุ นั้น ใจของเราซกี หน่ึงไดบญุ แตอกี ซกี หนง่ึ มีโลภะเปน
ตน ปนอยู นึกถึงบุญแตใจประกอบดว ยความโลภ อยากได
ผลตอบแทนอยา งโนน อยางนี้ อยา งนี้บญุ กไ็ ดแ ตบาปกไ็ ดดวย คือ
มโี ลภะประกอบอยู เพราะฉะนั้นจึงตองระวงั เหมอื นกัน
แตถ า เรามี ทิฏชุ ุกรรม ประกอบอยู คอยทําความเห็นให
ตรง ก็จะแกปญ หานไี้ ด คอื ทาํ บญุ ดวยความเขาใจวา ทานน้ีทํา
เพื่ออะไร เมอื่ รเู ขา ใจวาทานทําเพอ่ื อะไร แลว ความเห็นของเรา
ถกู ตอง บุญของเราก็สมบูรณ แลวบุญนนั้ จะมีความหมายที่ครบ
กาย วาจา จิต ปญ ญา
กายก็ทาํ ชดั อยแู ลว วาจากเ็ ปลง เชน ชกั ชวนกัน ปรึกษา
กัน จติ กส็ งบผองใส มีเจตนาประกอบดวยศรัทธาเปนตน ปญญาก็
มคี วามรูเขา ใจ วาสิง่ ทต่ี นทําน้ีทาํ เพือ่ อะไร ยิง่ ถา มองเหน็
ความหมายและประโยชนชดั เจนแลว กจ็ ะยง่ิ มจี ิตใจกวา งขวาง
และบุญกุศลกย็ ่งิ เพิ่ม
อยา งเวลาทําทานน่เี รารเู ขาใจมองเหน็ วา ทเ่ี ราถวาย
ภัตตาหาร และถวายทนุ การศกึ ษาแกพระสงฆ พระสงฆทา นมี
หนา ทอ่ี ะไร โยมลองถามตวั เอง แลว กม็ องเห็นวา พระสงฆท า นมี
หนาทเ่ี ลาเรียนพระธรรมวินัย มีหนาท่ที ี่จะปฏิบัติตามหลักธรรม
วนิ ยั ที่ไดเ ลาเรียนน้ันแลว ก็มหี นาที่ท่ีจะเผยแพรธรรม ออ..ทา นมี
หนาทใ่ี หญ ๓ อยา งนี้
การท่ีเราถวายปจ จัยแกพระสงฆน้ี ก็เพอ่ื ใหทา นมีกาํ ลังไป
ทาํ ศาสนกิจ คือหนาที่ ๓ อยา งนัน้ เม่ือทานทําหนาท่สี ามอยางนั้น
๒๐ กา วไปในบุญ
ตวั ทานเองก็เจรญิ งอกงามในไตรสิกขาดว ย ธรรมะที่ทา นไดรูได
เรยี นมาก็จะเกิดประโยชนแกประชาชนกวางขวางออกไปดว ย แลว
เปนอยา งไร พระศาสนาของเรากอ็ ยูไ ด เราไดมีสว นชวยพระ
ศาสนา การทีเ่ ราทําบุญนี้ จึงเปนการชวยดํารงพระพุทธศาสนาให
เจรญิ มน่ั คง
ถงึ ตอนนโ้ี ยมกร็ วู า บุญของเราไมไดอ ยูเ ฉพาะแคพ ระองค
ทีเ่ ราถวายเทานน้ั แตบ ุญไปถึงพระศาสนาทัง้ หมด เมอ่ื พระศาสนา
อยไู ด ธรรมกอ็ ยไู ด แลว ธรรมกเ็ ผยแพรออกไป ก็เกดิ เปนประโยชน
แกประชาชน เม่ือประชาชนไดรูเ ขา ใจประพฤตปิ ฏิบตั ิธรรม สงั คม
กร็ ม เย็นเปนสุข สงั คมท่ีอยูไ ดนี่กเ็ พราะยงั มีคนประพฤติปฏิบตั ิ
ธรรม รธู รรมกันอยบู า ง อยางนอยก็ยงั พอประคับประคองกันไป
เมอื่ โยมนกึ วา ทานที่เราถวายน้ี ใหแ กพระองคเดียวน้ี มีผล
ไปถึงพระพทุ ธศาสนาและประชาชนทั่วสงั คมทง้ั หมดดวย เม่ือมอง
ดว ยความเขาใจอยา งนี้ ใจก็ย่ิงปลอดโปรงกวางขวาง มปี ต ิอิ่มใจ
นกึ ข้ึนมาเม่ือไรก็ยิง่ มีความสุข นแ่ี หละท่ีเรยี กวาทิฏุชุกรรม เกดิ
จากมปี ญ ญาประกอบเขามา บญุ ก็ยิง่ กวา งขวาง
ยง่ิ กวาน้ัน ตอไปมันจะเปน ปจจัยใหเราเห็นทางทําบุญท่ี
ถกู ตอ งยิ่งขนึ้ วา ทาํ บญุ อยางไรจึงจะเกดิ ประโยชนเ กดิ คุณคา
กวางขวาง โยมกจ็ ะได วิไจยทาน คือทานที่เกิดจากการวจิ ัยข้ึนมา
ดวย คือพจิ ารณาไตรตรองแลว จงึ ใหทาน ทง้ั หมดน้กี ็ขอนาํ มา
กลาวใหโ ยมไดฟง ในเร่ืองวธิ ีทาํ บญุ ซ่งึ ทจ่ี ริงไมมที ี่ส้ินสดุ เพราะมี
เรอ่ื งท่ีควรทราบอีกมาก แตเราฟงกันไปทีละนอยๆ กจ็ ะเหน็
แนวทางปฏิบัติในการทาํ บุญมากขึ้นทุกทีๆ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๒๑
โยมทาํ บุญแลว พระกอ็ นุโมทนา
แตถา โยมทาํ บญุ เพราะพระชวน อาจจะเสีย่ งตออเนสนา
เวลาโยมทําบุญเสร็จแลว พระก็จะอนโุ มทนา ทีว่ าอนโุ มทนา
ก็คอื แสดงความพลอยยินดดี ว ยกับโยมทีไ่ ดท ําบุญ เพราะโยมทําดี
งามถูกตองแลว พระกย็ อมรบั หรือแสดงความเห็นชอบ
ในการอนุโมทนานน้ั พระก็จะบอกวา บุญท่ีทํานเี้ กดิ ผลเกิด
อานิสงสอยา งไร ทานมีผลอยางไร ศลี มผี ลอยางไร ภาวนามผี ล
อยางไร เราเรียกสั้นๆ วา “อนุโมทนา” แตอ นโุ มทนานีพ้ ระจะพูด
เมือ่ โยมทาํ แลว วาท่ีโยมทําจะเกดิ ผลอยางนน้ั อยา งนี้ มผี ลดที ้ังใน
โลกน้แี ละโลกหนา ดังท่ีพระพุทธเจาก็ไดตรสั แสดงอานิสงสข อง
บุญไว หมายความวา บญุ ประเภททานก็ดี บญุ ประเภทศีลก็ดี บุญ
ประเภทภาวนาก็ดี พระองคไดแสดงอานสิ งสไ ว
อานิสงสน ัน้ พระพุทธเจา ตรสั เนน ประโยชนท่มี องเห็นกอน
แลวจึงลงทายดวยผลในภพหนา วาตายแลว ไปสวรรค เชน ในเรอื่ ง
ศีล พระพุทธเจาก็ไดต รัสอานสิ งสข องศลี ๕ วา
๑. คนท่ีมีศลี อาศยั ความไมป ระมาท จะทาํ ใหเ กิดโภคะได
มาก คนไมมศี ลี อยา งคนทีเ่ ตม็ ไปดวยอบายมุข ยอมปลอยชวี ิต
ตกต่ํา มวั หมกมุน วุนวายมัวเมาในเรื่องของส่งิ เหลวไหล จึงไมเ อา
ใจใส ไมข ยันทํามาหากิน เรยี กวาตกอยูในความประมาท ก็เสอ่ื ม
ทรัพยอ ับชวี ติ แตคนทม่ี ีศีล เวนจากทุจรติ เวนจากอบายมุขและ
เรื่องชัว่ ชา เสียหายแลว เมื่อมคี วามไมป ระมาท ก็ขยันหม่ันเพยี รทํา
การงาน ใจอยกู ับการประกอบอาชีพ ก็ทาํ ใหเกดิ โภคะไดม าก
๒๒ กาวไปในบญุ
๒. กิตตศิ ัพทอันดงี ามกร็ ะบือไป คนท่ีประพฤติดีมีศลี มี
ความสุจริต คนก็นิยมชมชอบ ยง่ิ สังคมปจจบุ ันนเ้ี ราถอื เปน สําคัญ
มากวา ในบานในเมืองนท้ี ําอยา งไรจะหาคนทม่ี ศี ีล คือคนสจุ รติ มา
บริหารบา นเมือง ถา คนไหนมีศลี สุจริต มคี วามบรสิ ุทธิ์ มคี วาม
ซื่อสตั ย ก็ไดก ติ ตศิ พั ทดีไปดานหนงึ่ แตไมไดห มายความวา ท้ังหมด
อยางนอ ยดา นศีลก็ไดก ิตติศัพทเ ปนเคร่ืองประดบั รองรบั ตวั เอง
ขน้ึ มา เปนฐานทส่ี ําคัญ
๓. ความมีศีลทําใหม ีความแกลวกลา ถาเรามีศีล เปน คน
ประพฤติซอ่ื สัตยส ุจริตแลว จะเขา สมาคมไหนก็มีความแกลวกลา
ไมคร่ันครา ม
๔. เวลาตายกม็ สี ติ ไมห ลงตาย ตอ จากน้นั
๕. ขอ สดุ ทาย ตายแลว ไปเกดิ ในสวรรค
อานิสงส ๕ ขอของความมีศลี น้เี ปนตวั อยา ง พระพุทธเจา
ทรงแสดงอานิสงสแบบน้ี พระก็อาจจะเอามาเทศน หรอื พูดขยาย
ใหโ ยมฟง วา ทําบญุ แลว เกิดผลอะไร มีอานิสงสอ ยางไร ก็ทาํ ให
โยมมจี ิตใจช่ืนบานผอ งใส บุญก็จะมากขึ้น เพราะเกดิ ความเขา ใจ
มปี ญญาประกอบดว ย
แตถ าพระไปพดู กอ น คือไปพูดใหโ ยมทาํ บญุ โดยชวนวา
โยมทําโนนทํานนั่ ที่นี่แลว จะไดผ ลมากมายอยา งน้ี ๆ ชักเขาหาตัว
กก็ ลบั ตรงกันขาม คอื ถาโยมทาํ บุญกอน แลวพระพูดถึงผลดีที
หลงั น่ีเปน อนโุ มทนา แตถาพระพูดกอ นเพ่อื ใหโ ยมถวาย ก็
กลายเปนเส่ียงตอ อเนสนา
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๓
“อเนสนา” แปลวาการแสวงหาลาภหรือหาเลีย้ งชีพโดยทาง
ไมถ กู ตอ ง ทางพระถือวาเปนมจิ ฉาชีพ คําวามจิ ฉาชีพนีใ่ ชไดทัง้ พระ
ทัง้ คฤหัสถ แตสําหรับพระ มจิ ฉาชีพก็ไดแกก าร กระทําจําพวกท่ี
เรยี กวา อเนสนา เชน พูดลอ พดู จงู หรอื เลยี บเคยี งใหโ ยมมาถวาย
ของหรือบริจาคอะไร อยางนี้เส่ยี งมาก เพราะฉะนั้นกใ็ ชคําส้ันๆ วา
ถา พูดทีหลงั เปน อนโุ มทนา แตถ าพดู กอ น เส่ียงตออเนสนา
ตามปกตินน้ั พระไดแตอนุโมทนาเม่ือโยมทาํ บุญแลว อันน้โี ยมควร
ทราบไว
ทาํ บญุ ทาํ ทไ่ี หนกไ็ ด
ไมว าทาํ อะไร ถา ทําเปน กไ็ ดบญุ
เวลาทาํ บญุ เราสามารถทาํ ทัง้ ๓ อยางพรอ มกันอยา งทีว่ า
แลว ซง่ึ ก็ควรจะเปน อยางนั้น ไมใ ชวาตอ งทําเฉพาะทานหรือเฉพาะ
ศลี หรอื เฉพาะภาวนา ควรทาํ ทีเดยี วพรอม ๓ อยางเลย อยา งท่ียํ้า
ไวต ัง้ แตต น แลว วา โยมมาถวายทานที่วดั อยาใหไ ดแ ตทานอยาง
เดยี ว ตองใหไ ดศลี ไดภาวนาดวยพรอมกนั หมด เราจึงจะพูดไดเตม็
ปากวา “ทาํ บุญ” มิฉะนนั้ เราก็ไดแ คส ว นหนง่ึ ของบุญคอื ทาน
เทาน้นั
ไมว า ทําอะไรกท็ ําบญุ ๓ อยา งไดพ รอ มกนั ไมเ ฉพาะไป
ถวายทานท่ีวัด แมแ ตใ นการประกอบการงานทานยังอธิบายไวเลย
วา อาชพี การงานท้งั หลายทีญ่ าตโิ ยมทํากันน้ี ก็ทําบญุ ไปดว ยกัน
พรอมทัง้ ๓ อยางได เชน ในการทําอาชีพการงานนั้น พอไดเงิน
โยมกค็ ิดตั้งใจข้นึ มาวา โอ..น่ีเราไดท รัพยเพม่ิ ขนึ้ แลว เราจะเอา
๒๔ กา วไปในบุญ
ทรพั ยนส้ี ว นหนึ่ง ไปใหท าน ทาํ บุญกศุ ล ชว ยเหลือเผื่อแผแ กเพ่อื น
มนุษย ทําใหเปน ประโยชนข ้ึนมา พอคิดอยา งนี้จติ ใจดงี ามผองใส
ทานเรยี กวา ทานเจตนาเกิดข้นึ ขณะทําอาชีพอยนู ั้นก็ไดทาํ ทานไป
ดวย
เวลาทําการงานนั้น ทาํ ดวยความต้งั ใจใหเปนไปโดยสุจริต
ทํางานของเราใหต รงตอ หนาท่ีของอาชพี ใหถ กู ตองตามจรรยา-
บรรณ ทาํ ดวยความตง้ั ใจตรงตามหนาทขี่ องตน โดยสัตยส จุ ริต
เวลานั้นก็เรียกวา ไดรกั ษาศีล
เวลาทํางานนั้น ฝกใจของตวั เองไปดว ย มีความเพยี ร
พยายาม มีสมาธิ ทําจิตใจของเราใหสงบ ใหมสี ติ แมจ ะมีอารมณ
กระทบกระท่ังเขามารบกวน กฝ็ กใจใหสงบมัน่ คงได รกั ษาเมตตา
ไมตรี และความมีใจผองใสเอาไว อยางน้กี เ็ รียกวา ไดทําภาวนาไป
ในตัว ภาวนาอยางนเ้ี ปนสว นจติ
สูงข้ึนไปอกี ยงั สามารถทําภาวนาในสวนปญ ญาดวย คือ
ทาํ งานดว ยวิจารณญาณ พจิ ารณาไตรต รองเหตุผลท่ีจะใหไ ดผลดี
วาทาํ งานอยางไรจงึ จะเกดิ ประโยชนท่ีแทจ รงิ
สงู ขึน้ ไปอกี ในภาวนาสว นปญญานั้น เม่อื ทํางานไป
มองเห็นความเปลี่ยนแปลงเปนไป ของเหตกุ ารณก ็ดี ของผูคนที่
พบเห็นเกี่ยวของก็ดี รจู ักพิจารณา รจู ักมนสกิ าร กเ็ กิดความรูความ
เขาใจโลกและชวี ิตนีม้ ากข้ึน มองโลกดวยความเขา ใจรเู ทา ทนั และ
วางทาทีไดถูกตอ ง
ยกตัวอยา ง เชนคุณหมอตองสัมพันธก ับคนไข มองคนไข
คนโนนเปนอยางน้นั คนน้ีเปนอยางน้ี คนนั้นหนาบ้งึ คนนี้หนาย้ิม
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๒๕
คนนีพ้ ูดไปแลว เขา ใจดี คนน้ีพูดไปแลวไมเอาไหน คนนน้ั กําลังใจ
เขมแข็งดี คนน้ีไมม ีกําลงั ใจ เรากไ็ ดรูเ หน็ ชีวิตและอาการของผูคน
ที่เปนไปตา งๆ
เมือ่ รูจ กั มอง คือมองเปนประสบการณท ่เี ราไดม ีโอกาสพบ
เหน็ ไมมองในแงเปนอารมณท ่มี ากระทบตวั ตน ก็เกดิ ความเขา ใจ
โลกและชีวิตตามความเปนจรงิ วา โลกน้เี ปนอยางนี้ ชีวติ เปน อยาง
น้ี ในจิตใจแทนทจ่ี ะเกิดความรสู กึ ไมดี กเ็ กิดปญ ญา ทาํ ใหว างใจ
ถกู ตองตอสง่ิ ทั้งหลาย ไดปญญาภาวนาอกี
อยา งเปนผสู ่ือขาวนี่ก็ชดั เม่ือมาที่วดั หรือไปหาขาวที่ไหน
๑. ทําดว ยความต้งั ใจวาเราจะเผยแพรข า วสาร คือให
ขาวสารหรอื ใหความรูทีเ่ ปนประโยชนแกประชาชน เมอื่ ตั้งใจดี
อยา งนก้ี เ็ ปนทาน คอื ไมใชคิดแตเพยี งวา เราจะมาทําอาชีพของเรา
วนั น้ีจะไดเงนิ เทาไร ทําอยางไรจะไดเ งินมากๆ ถาคดิ แบบนัน้ อยาง
เดยี ว บุญกไ็ มเกิด แตใ นเวลาทํางาน ถาเรามีจติ ใจเก้ือกลู หวังดี
ตอ ผูอ่ืน โดยตัง้ ใจวา เราจะหาขาวสารใหเปนประโยชนแก
ประชาชน ที่จะไดร ขู อมูลมีปญญามากขนึ้ เมื่อตง้ั ใจอยางนี้ ขอ ๑
คือทานมาแลว
๒. ทาํ หนาท่ขี องเราโดยซอ่ื สตั ยสุจริต เราจะลงขาวให
ถกู ตอง ใหต รงตามความเปนจริง ไมใ หม กี ารบิดเบือน ไมใ ห
ผิดพลาด จะทําโดยสจุ ริต น่ศี ีลมาแลว
๓. ตอ ไป เวลาเราไปทําขาวนีอ่ าจจะมีการกระทบกระทั่ง
คนฝายนัน้ ฝา ยนีอ้ าจจะไมพอใจ แตไ มว าจะมอี ะไรกระทบกระท่ัง
มา เราจะฝกใจของเราใหมนั่ คง ไมว ูวาม ถา เราฝกจิตใจของเราให
๒๖ กา วไปในบญุ
เขม แขง็ มั่นคงได รบั กระทบไดท ุกอยาง สามารถต้ังตวั อยใู นสตทิ ่ี
มั่นคง ดํารงกิรยิ าอาการที่ดีไวได นี่เราไดแ ลว นะ ภาวนาดานจิต
สวนปญ ญาภาวนาน้นั แนนอน อาชีพของเราเก่ียวกับ
ขอ มูลความรูและการใชป ญญา เราจะพยายามทําขาวสารของเรา
ใหเ ปน ไปดวยวิจารณญาน เลือกประเด็นจบั ประเด็นใหถูกตอ ง ส่ือ
ออกไปใหเ กิดประโยชนไดอยางแทจ ริง ยิ่งใชป ญญาเทาไรก็เกดิ
ประโยชนม ากเทานน้ั น่ีกไ็ ดภาวนาดานปญญา
แตปญญาภาวนาอยางสาํ คัญทผ่ี ูสือ่ ขาวมีโอกาสจะ
ไดม าก ดูเหมอื นจะมีโอกาสมากกวาคนอืน่ ๆ ก็คือนักขาวนนั้ ได
พบเห็นผคู นมากมาย ตา งพวก ตางหมู ทุกชนั้ ทุกเพศ ทกุ วัย ทุก
อาชพี มีนิสยั ใจคอตา งๆ กนั พฤตกิ รรมตา งๆ กัน มคี วามดคี วาม
ชว่ั ไมเ หมอื นกนั ความคิดเห็นกต็ า งๆ กัน และเหตุการณกแ็ ปลกๆ
มากมาย ซึ่งถา รูจกั ไตรตรองพิจารณามองดวยทา ทีท่ีถูกตอง ก็จะ
ทาํ ใหเขา ใจผูคน ทําใหมองเหน็ ความจริงของโลกและชวี ติ แลวก็
ทําใหสามารถวางใจตอ สิง่ ตา งๆ ไดด ี จิตใจจะโปรงโลงเปนอสิ ระ
ซึ่งจะเปน ประโยชนทง้ั แกชวี ติ ของตนเอง และเปนประโยชนตอ การ
ปฏบิ ัติหนาที่ดวย
ตามทว่ี ามาน้ี ผูส่อื ขาวจงึ ไดท าํ ท้งั ทานทั้งศลี และภาวนา
เปน อันวา ที่พระทา นพดู ไว ทางทีจ่ ะใหท านมเี ยอะ เรื่อง
บุญกม็ ากมายครอบคลมุ ไปหมด รวมท้ังคาํ วา “คณุ ภาพชีวติ ” ก็
อยใู นบุญหมด คนโบราณจงึ ไมต องหาคาํ อะไรมาพูด เขาใชคํา
เดียววา “บุญ” กจ็ บเลย เพราะมันคลมุ หมดทกุ อยา ง ฉะนัน้ ขอ
สาํ คัญอยทู ่พี วกเราเองอยาไปทาํ ใหมันแคบ เวลาน้คี ําวาบุญมี
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๒๗
ความหมายแคบลงเหลือนิดเดยี ว และตอนนี้เม่อื ทาํ ดวยปญญา มี
ความเขาใจ ความหมายของบุญกจ็ ะเพ่ิมพนู สมบูรณยง่ิ ขน้ึ
ศกึ ษาบญุ ไป ใหปญุ ญะกบั ปญ ญามาบรรจบกัน
ก็จะมผี ลสมบูรณ กลายเปน บุญอยา งสงู สุด
พูดมายดื ยาวแลว ควรจะจบได ขอยา้ํ ขอ สุดทายทว่ี า
ทฏิ ุชุกรรมควรใหมีประกอบกับการทาํ บุญทุกคร้ัง เพราะมันเขาได
ทกุ ขอ เริ่มแตท ําบุญขอ ทานเราก็มีทฏิ ชุ ุกรรม เชนถามตัวเองวา
เรามีความเห็นถูกตอ งไหมในการทาํ บุญ เราเขาใจถูกตองไหม
อยา งนอ ยรูวาการทําทานมีความมุง หมายเพื่ออะไร พระพทุ ธเจา
สอนใหเรารูวา ถา เราจะถวายสังฆทาน คุณคาประโยชน
จดุ มงุ หมายของมนั อยูทไี่ หน เม่ือพจิ ารณาอยางน้ี
๑. ใจของเราจะกวา งข้ึน และบุญกเ็ พ่ิมข้นึ
๒. เราจะพฒั นา จะไมจมตดิ อยแู คเ ดิม
เปน อนั วา ทิฏุชุกรรมนี้ เปนเร่ืองใหญเรื่องหนึ่ง วนั นี้นํามา
พดู เปนเคา ไวใหโยมทราบวา ตองพยายามใหประกอบกบั การ
ทาํ บญุ ทุกอยาง ใหเปนการกระทําทีม่ ีความเขาใจรูเห็นถูกตอง
แลว กป็ รบั ทิฐิของเราอยเู สมอ การทจ่ี ะปรบั ทฐิ ิไดถูกตอ งก็คอื ตอง
เรยี นรูอยเู สมอ ตองฟง ตองอา นธรรมอยเู สมอ
ขอพูดเพิ่มอีกนิดหนึ่งส้นั ๆวา บุญน้ีทานยงั แบงอกี วา มี ๒
ประเภท คือโอปธกิ บุญ กับ นิรปู ธิบุญ หรืออโนปธกิ บญุ
โอปธกิ บญุ แปลวา บุญทยี่ ังมอี ปุ ธิ ยังกอใหเกิดขันธ
หมายความวาเปน บญุ ของคนทอี่ ยใู นโลก ซ่งึ จิตใจยังหวังผลอยา ง
๒๘ กา วไปในบุญ
นัน้ อยางนอี้ ยู ยงั เปนบุญท่ีระคนดว ยกิเลส ทานยอมใหส าํ หรบั ญาติ
โยม
แตทานเตือนไวอ ยาลืมวาเราจะตอ งเดินหนา ตอ เพ่ือไปให
ถึงอโนปธิกบญุ คอื บญุ ทไ่ี มป ระกอบดว ยอปุ ธิ อนั เปน บุญท่บี ริสุทธิ์
เกิดจากเจตนาท่ไี มม กี เิ ลส มคี วามผองใส ทําดว ยจติ ใจบรสิ ุทธิ์
จริงๆ ตรงตามความมงุ หมาย คอื ทาํ เพ่ือความมุงหมายของบุญน้ัน
แทๆ ไมม ีโลภะ ไมมโี ทสะ ไมม โี มหะ
แตก ารที่จะฝกใหไ มมโี มหะนี้ ตอ งทําไปเรื่อยๆ อยาหยดุ ก็
แลวกนั ขอใหเดินหนาไป แลว กจ็ ะถงึ บญุ ท่ีจะทาํ ใหเ ราหมดอุปธนิ ้ี
แนนอน
บญุ ตัวสาํ คญั กค็ อื ปญญา บญุ แปลวาชําระจิตใจใหบริสทุ ธ์ิ
แตบุญจะชําระจติ ใจไดจ ริงก็ตอ งมาถงึ ข้ันปญญา จึงจะชําระดวย
วปิ สสนาใหส ะอาดไดจ ริง ฉะนน้ั บญุ จงึ รวมคาํ วาปญญาอยูดวย
และบญุ ข้ันสงู สดุ กจ็ งึ มาถงึ ปญญา มาเปน ปญญา ในท่สี ุดปุญญะ
กบั ปญญากเ็ ลยมาบรรจบกัน
ถา โยมทําอะไรแลว ไดท งั้ ปญุ ญะ ไดท้งั ปญญา
พระพทุ ธศาสนากเ็ ดนิ หนาในตัวโยม และโยมก็เดินหนาใน
พระพุทธศาสนา เพราะฉะนนั้ เมอื่ เราทําบญุ ไป ก็อยาใหไดเ ฉพาะ
ปญุ ญะ แตใหไ ดป ญญาดวย ใหป ุญญะกับปญญามาบรรจบกัน
แลวปญญาจะมาเปน ตัวทําใหบ ญุ ของเราน้มี ีผลสมบูรณอยา ง
แทจ รงิ จนกระทง่ั กลายเปนบญุ ทสี่ ูงสดุ คือเปน อโนปธกิ บญุ
วันนี้กเ็ ลยพดู กับโยมมายืดยาวพอสมควรในเรือ่ งบญุ
เพอ่ื ใหเ ห็นตัวอยา งวา เร่ืองของถอยคํา และกิจกรรมทีเ่ ราทําใน
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๒๙
พระพุทธศาสนานี้ ยงั มีอะไรทคี่ วรจะศึกษาอีกมาก ทา นจงึ บอกให
ศกึ ษาบญุ ดงั ท่ตี รัสไวในพระสูตรวา ดวยบญุ กิริยาวัตถุวา บุญ
กริ ิยาวัตถุ มีอยู ๓ อยาง คือ
๑. ทานมัย บญุ กิริยาวัตถุ
๒. ศีลมัย บุญกริ ิยาวตั ถุ
๓. ภาวนามยั บุญกิริยาวัตถุ
แลว พระองคก็ตรสั เปนคาถาสรปุ ทา ยยาวหนอ ย แตทอ น
ตนบอกวา ปฺุญเมว โส สิกฺเขยฺย บุคคลนั้นพึงศึกษาบุญ คือ
เรียนรฝู กทําใหก าวหนาตอไป อยาหยุดอยแู คบ ญุ ท่ีเราทําอยเู ปน
ทุนเทาน้นั บุญจงึ จะเกิดผลสมบรู ณอ ยางทไ่ี ดก ลา วมา
ไดแ สดงธรรมกถาเรือ่ งบญุ มาพอสมควรแกเวลา ขอ
อนุโมทนาคุณโยมทุกทานอกี ครั้งหนึ่ง ในการท่ไี ดมาปรารภ
เหตุการณหนึ่งซ่งึ จะเรยี กวากรณีตุกตาแปง หรืออะไรกแ็ ลว แต
แลว มารวมกันทาํ บญุ ข้นึ