The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

มุตโตทัย โดยหลวงพ่อวิริยังค์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-02-01 20:13:13

มุตโตทัย โดยหลวงพ่อวิริยังค์

มุตโตทัย โดยหลวงพ่อวิริยังค์

Keywords: มุตโตทัย,หลวงพ่อวิริยังค์

มตุ โตทยั ๑

พระธรรมเทศนาของ พระอาจารยม น่ั ภรู ิทตฺตเถระ

สวนท่ี ๑
บนั ทึกโดย พระอาจารยวริ ยิ ังค สริ นิ ฺธโร
ณ วัดปา บา นนามน กิ่ง อ. โคกศรีสพุ รรณ จ.สกลนคร

พ.ศ. ๒๔๘๖

๑. การปฏบิ ตั ิ เปน เครอื่ งยังพระสัทธรรมใหบริสทุ ธ์ิ

สมเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจาทรงแสดงวาธรรมของพระตถาคต เม่อื เขาไป
ประดิษฐานในสนั ดานของปถุ ุชนแลว ยอมกลายเปน ของปลอม (สัทธรรมปฏิรปู ) แตถา
เขาไปประดิษฐานในจิตสันดานของพระอริยเจาแลวไซร ยอมเปน ของบริสทุ ธแ์ิ ทจ ริง
และเปน ของไมล บเลือนดว ย เพราะฉะน้นั เมื่อยงั เพียรแตเ รียนพระปริยัตถิ า ยเดียว จึงยงั
ใชการไมไดด ี ตอเม่ือมาฝกหัดปฏิบัติจิตใจกําจดั เหลา กะปอมกา คือ อปุ กเิ ลส แลว น่ัน
แหละ จงึ จะยังประโยชนใ หสาํ เรจ็ เต็มท่ี และทาํ ใหพ ระสัทธรรมบริสุทธ์ิ ไมวปิ ลาส
คลาดเคล่ือนจากหลักเดิมดว ย

๒. การฝก ตนดีแลว จึงฝกผอู ืน่ ชือ่ วาทําตามพระพทุ ธเจา

ปุริสทมฺมสารถิ สตถฺ า เทวมนุสสฺ านํ พุทโฺ ธ ภควา

สมเดจ็ พระบรมศาสดาสมั มาสมั พุทธเจา ทรงทรมานฝกหัดพระองคจนไดตรัสรู
พระอนุตตรสัมมาสัมโพธญิ าณ เปน พทุ ฺโธ ผูรกู อนแลวจงึ เปน ภควา ผทู รงจาํ แนกแจก
ธรรมสงั่ สอนเวไนยสัตว สตฺถา จึงเปนครขู องเทวดาและมนษุ ย เปน ผูฝ ก บุรุษผูม อี ปุ นสิ ยั
บารมคี วรแกก ารทรมานในภายหลัง จึงทรงพระคุณปรากฏวา กลฺยาโณ กติ ตฺ สิ ทฺโท อพฺ
ภคุ ฺคโต ชือ่ เสยี งเกียรตศิ ัพทอ นั ดีงามของพระองคยอ มฟงุ เฟองไปในจตุรทศิ จนตราบเทา
ทุกวนั น้ี แมพระอรยิ สงฆส าวกเจาทั้งหลายทลี่ วงลบั ไปแลว กเ็ ชนเดียวกนั ปรากฏวา ทา น
ฝกฝนทรมานตนไดดีแลว จึงชวยพระบรมศาสดาจําแนกแจกธรรม สง่ั สอนประชุมชน
ในภายหลงั ทา นจึงมีเกยี รตคิ ณุ ปรากฏเชนเดียวกบั พระผูมีพระภาคเจา ถาบุคคลใดไม
ทรมานตนใหดีกอนแลว และทําการจําแนกแจกธรรมส่ังสอนไซร ก็จกั เปนผูมโี ทษ

ปรากฏวา ปาปโกสทฺโท คือเปนผมู ชี ่ือเสียงชั่วฟงุ ไปในจตรุ ทศิ เพราะโทษทีไ่ มท าํ ตาม
พระสัมมาสัมพุทธเจา และพระอรยิ สงฆส าวกเจาในกอนทัง้ หลาย

๓. มลู มรดกอนั เปน ตนทุนทําการฝก ฝนตน

เหตุใดหนอ ปราชญท้งั หลาย จะสวดกด็ ี จะรับศีลก็ดี หรอื จะทําการกุศลใดๆ กด็ ี จึง
ตองต้ัง นโม กอน จะทิ้ง นโม ไมไดเ ลย เมอื่ เปน เชน น้ี นโม กต็ อ งเปน ส่ิงสําคัญ จึงยกข้ึน
พิจารณา ไดความวา น คือธาตนุ ํ้า โม คือ ธาตดุ ิน พรอ มกับบาทพระคาถา ปรากฏขึ้นมา
วา มาตาเปติกสมภุ โว โอทนกุมฺมาสปจจฺ โย สมั ภวธาตขุ องมารดาบดิ าผสมกัน จึงเปน
ตัวตนข้นึ มาได น เปน ธาตขุ อง มารดา โม เปน ธาตุของ บดิ า ฉะนัน้ เมอื่ ธาตุท้งั ๒ ผสม
กนั เขาไป ไฟธาตุของมารดาเค่ยี วเขา จนไดนามวา กลละ คือ นา้ํ มันหยดเดียว ณ ที่น้ีเอง
ปฏิสนธิวญิ ญาณเขา ถอื ปฏิสนธิได จติ จึงไดถอื ปฏิสนธิในธาตุ นโม นั้น เม่ือจิตเขาไป
อาศยั แลว กลละ ก็คอ ยเจริญข้นึ เปน อัมพชุ ะ คอื เปนกอนเลอื ด เจรญิ จากกอนเลอื ดมา
เปน ฆนะ คือเปน แทง และ เปสี คอื ชน้ิ เน้อื แลว ขยายตัวออกคลา ยรปู จงิ้ เหลน จงึ เปน
ปญ จสาขา คือ แขน ๒ ขา ๒ หวั ๑ สว นธาตุ พ คือลม ธ คอื ไฟ นั้นเปน ธาตเุ ขา มาอาศัย
ภายหลงั เพราะจิตไมถอื เมอื่ ละจากกลละน้ันแลว กลละก็ตองท้งิ เปลาหรอื สูญเปลา ลม
และไฟกไ็ มม ี คนตาย ลมและไฟก็ดบั หายสาปสูญไป จงึ วาเปนธาตุอาศยั ขอสําคัญจึงอยู
ท่ธี าตุทงั้ ๒ คือ นโม เปนเดิม

ในกาลตอมาเม่ือคลอดออกมาแลวกต็ อ งอาศยั น มารดา โม บิดา เปนผทู ะนุถนอม
กลอมเกลี้ยงเลี้ยงมาดวยการใหขาวสกุ และขนมกมุ มาส เปนตน ตลอดจนการแนะนําสัง่
สอนความดีทกุ อยา ง ทานจึงเรยี กมารดาบิดาวา บุพพาจารย เปน ผูสอนกอ นใครๆ ทั้งสนิ้
มารดาบดิ าเปน ผูมเี มตตาจติ ตอ บุตรธิดาจะนบั จะประมาณมิได มรดกท่ีทาํ ใหกลา วคอื รปู
กายน้แี ล เปนมรดกดงั้ เดมิ ทรพั ยสนิ เงินทองอันเปนของภายนอกก็เปน ไปจากรูปกายนี้
เอง ถารปู กายน้ีไมม ีแลวกท็ ําอะไรไมได ช่ือวา ไมม ีอะไรเลยเพราะเหตนุ ้นั ตัวของเราท้งั
ตวั นเ้ี ปน “มลู มรดก” ของมารดาบดิ าทั้งส้ิน จงึ วาคุณทา นจะนับจะประมาณมไิ ดเลย
ปราชญท งั้ หลายจึงหาไดละท้งิ ไม เราตองเอาตัวเราคือ นโม ตัง้ ขน้ึ กอนแลวจงึ ทาํ กิรยิ า
นอ มไหวล งภายหลงั นโม ทานแปลวานอบนอมน้ันเปน การแปลเพยี งกิริยา หาไดแ ปล
ตน กิริยาไม มูลมรดกนี้แลเปน ตน ทนุ ทําการฝกหัดปฏิบัตติ นไมตองเปน คนจนทรัพย
สําหรับทาํ ทุนปฏิบัติ

๔. มลู ฐานสาํ หรบั ทําการปฏิบตั ิ

นโม นี้ เม่อื กลาวเพียง ๒ ธาตุเทานั้น ยงั ไมส มประกอบหรอื ยงั ไมเตม็ สว น ตอง
พลกิ สระพยญั ชนะดังนี้ คอื เอาสระอะจากตัว น มาใสต ัว ม เอาสระ โอ จากตัว ม มาใส
ตัว น แลว กลับตัว มะ มาไวห นา ตวั โน เปน มโน แปลวาใจ เมอื่ เปน เชน นจี้ งึ ไดท้ังกาย
ท้งั ใจเตม็ ตามสว น สมควรแกก ารใชเ ปนมลู ฐานแหงการปฏิบัตไิ ด มโน คอื ใจนเ้ี ปน
ด้งั เดิม เปน มหาฐานใหญ จะทาํ จะพดู อะไรกย็ อมเปนไปจากใจน้ที ้ังหมด ไดใ นพระพทุ ธ
พจนว า มโนปุพพฺ งคฺ มา ธมมฺ า มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทง้ั หลายมีใจถึงกอ น มใี จเปน
ใหญ สําเรจ็ แลว ดว ยใจ พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัตพิ ระธรรมวินัย กท็ รงบัญญตั ิ
ออกไปจาก ใจ คอื มหาฐาน นีท้ งั้ ส้นิ เหตุน้เี มื่อพระสาวกผไู ดมาพจิ ารณาตามจนถงึ รูจกั
มโน แจม แจงแลว มโน กส็ ุดบญั ญัติ คอื พนจากบัญญตั ิทัง้ ส้นิ สมมตทิ ้ังหลายในโลกนี้
ตองออกไปจากมโนทั้งสนิ้ ของใครกก็ อนของใคร ตางคนตางถือเอากอนอันน้ี ถอื เอา
เปน สมมติบัญญตั ิตามกระแสแหงน้ําโอฆะจนเปนอวชิ ชาตวั กอ ภพกอ ชาตดิ วยการไม
รูเทา ดว ยการหลง หลงถอื วาเปน ตัวเรา เปน ของเราไปหมด

๕. มูลเหตุแหง สิ่งท้ังหลายในสากลโลกธาตุ

พระอภิธรรม ๗ คมั ภรี  เวน มหาปฏ ฐาน มีนยั ประมาณเทา นัน้ เทาน้ี สว นคัมภรี ม หา
ปฏฐาน มนี ัยหาประมาณมไิ ดเปน “อนันตนยั ” เปน วิสยั ของพระสัมมาสัมพุทธเจาเทา น้นั
ทจ่ี ะรอบรูได เมื่อพิจารณาพระบาลีที่วา เหตุปจฺจโย น้ันไดความวา เหตซุ ่ึงเปนปจจยั
ด้งั เดมิ ของส่ิงท้ังหลายในสากลโลกธาตนุ นั้ ไดแก มโน นนั่ เอง มโน เปน ตัวมหาเหตุเปน
ตวั เดิม เปนส่ิงสําคญั นอนนัน้ เปนแตอาการเทาน้นั อารมฺมณ จนถงึ อวิคฺคต จะเปนปจจัย
ไดกเ็ พราะมหาเหตุคอื ใจเปน เดิมโดยแท ฉะนน้ั มโนซง่ึ กลา วไวในขอ ๔ ก็ดี ฐีติ ภตู ํ ซึง่
จะกลาวในขอ ๖ กด็ ี และมหาธาตุซึ่งกลาวในขอนก้ี ด็ ี ยอ มมีเนื้อความเปน อันเดยี วกนั
พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัตพิ ระธรรมวินัยกด็ ี รอู ะไรๆ ไดดวย ทศพลญาณ ก็ดี รอบรู
สรรพเญยยฺ ธรรม ทง้ั ปวงกด็ ี กเ็ พราะมมี หาเหตนุ น้ั เปน ด้ังเดมิ ทเี ดยี ว จึงทรงรอบรูไดเ ปน
อนันตนยั แมส าวท้ังหลายก็มมี หาเหตุนแ้ี ลเปนเดิม จึงสามารถรตู ามคําสอนของพระองค
ไดดวยเหตนุ ี้แลพระอสั สชิเถระผูเ ปน ท่ี ๕ ของพระปญจวัคคียจึงแสดงธรรมแก อปุ ตสิ ฺส
(พระสารบี ุตร) วา เย ธมมฺ า เหตปุ ภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต เตสฺจ โย นโิ รโธ จ เอวํ วาที
มหาสมโณ ความวา ธรรมทง้ั หลายเกิดแตเหตุ...เพราะวา มหาเหตุน้เี ปนตัวสําคญั เปนตัว

เดิม เมอื่ ทานพระอสั สชิเถระกลาวถึงทนี่ ี้ (คอื มหาเหตุ) ทา นพระสารบี ตุ รจะไมหย่งั จติ ลง
ถงึ กระแสธรรมอยา งไรเลา ? เพราะอะไร ทุกสง่ิ ในโลกกต็ องเปนไปแตม หาเหตุถึงโล
กตุ ตรธรรม กค็ ือมหาเหตุ ฉะนั้น มหาปฏฐาน ทา นจึงวาเปน อนันตนยั ผูมาปฏิบตั ใิ จคอื
ตัวมหาเหตจุ นแจมกระจา งสวางโรแลว ยอ มสามารถรอู ะไรๆ ทงั้ ภายในและภายนอกทกุ
ส่งิ ทกุ ประการ สุดจะนบั จะประมาณไดด ว ยประการฉะนี้

๖. มลู การของสังสารวัฏฏ

ฐีตภิ ตู ํ อวชิ ชฺ า ปจจฺ ยา สงฺขารา อปุ าทานํ ภโว ชาติ

คนเราทุกรปู นามทไี่ ดก ําเนิดเกดิ มาเปนมนษุ ยลว นแลวแตมที ีเ่ กดิ ทัง้ สิ้น กลา วคอื มี
บดิ ามารดาเปนแดนเกดิ กแ็ ลเหตใุ ดทานจึงบญั ญตั ิปจ จยาการแตเ พยี งวา อวิชฺชา ปจจฺ ยา
ฯลฯ เทาน้นั อวชิ ชา เกิดมาจากอะไรฯ ทา นหาไดบ ัญญัติไวไม พวกเรากย็ งั มบี ิดามารดา
อวิชชาก็ตองมพี อ แมเหมือนกัน ไดความตามบาทพระคาถาเบื้องตนวา ฐตี ิภูตํ นั่นเองเปน
พอ แมของอวิชชา ฐตี ิภูตํ ไดแก จิตดัง้ เดิม เมือ่ ฐตี ิภูตํ ประกอบไปดว ยความหลง จึงมี
เครื่องตอ กลา วคอื อาการของอวชิ ชาเกดิ ขึ้น เมอ่ื มีอวิชชาแลวจึงเปนปจจยั ใหป รุงแตง
เปนสงั ขารพรอ มกบั ความเขา ไปยึดถือ จึงเปนภพชาติคอื ตองเกดิ กอตอ กันไป ทานเรยี ก
ปจจยาการ เพราะเปนอาการสบื ตอกัน วิชชาและอวชิ ชากต็ องมาจากฐีตภิ ตู ํเชนเดยี วกัน
เพราะเมื่อฐีติภูตกํ อปรดว ยวชิ ชาจึงรูเทาอาการท้ังหลายตามความเปน จริง นี่พิจารณา
ดว ยวุฏฐานคามนิ ี วปิ สสนา รวมใจความวา ฐีติภูตํ เปน ตัวการดง้ั เดิมของสังสารวัฏฏ
(การเวียนวายตายเกดิ ) ทา นจงึ เรียกชอื่ วา “มูลตันไตร” (หมายถึงไตรลกั ษณ)
เพราะฉะนน้ั เมอ่ื จะตดั สงั สารวัฏฏใหข าดสูญ จึงตองอบรมบมตัวการดัง้ เดิมใหม ีวิชชา
รเู ทาทันอาการท้งั หลายตามความเปนจริง กจ็ ะหายหลงแลวไมกอ อาการทั้งหลายใดๆ อกี
ฐีตภิ ตู ํ อันเปนมูลการกห็ ยุดหมนุ หมดการเวยี นวายตายเกดิ ในสงั สารวฏั ฏดว ยประการ
ฉะน้ี

๗. อรรคฐาน เปนท่ีต้ังแหงมรรคนิพพาน

อคฺคํ ฐานํ มนุสเฺ สสุ มคฺคํ สตฺตวิสทุ ธิยา ฐานะอันเลศิ มีอยใู นมนษุ ย ฐานะอันดีเลิศ
นน้ั เปนทางดาํ เนนิ ไปเพ่ือความบริสุทธข์ิ องสัตว โดยอธบิ ายวา เราไดรบั มรดกมาแลว จาก
นโม คอื บดิ ามารดา กลา วคือตวั ของเรานีแ้ ล อนั ไดกาํ เนดิ เกดิ มาเปนมนุษย ซง่ึ เปนชาติ
สงู สุด เปนผูเลิศตัง้ อยใู นฐานะอันเลิศดวยดคี อื มีกายสมบัติ วจีสมบตั ิ แลมโนสมบัติ

บรบิ รู ณ จะสรา งสมเอาสมบตั ิภายนอก คือ ทรัพยสินเงินทองอยา งไรก็ได จะสรางสมเอา
สมบัติภายในคอื มรรคผลนิพพานธรรมวเิ ศษกไ็ ด พระพทุ ธองคทรงบัญญตั ิพระธรรม
วินัย ก็ทรงบญั ญตั แิ กมนษุ ยเรานีเ้ อง มไิ ดท รงบญั ญตั ิแก ชาง มา โค กระบอื ฯลฯ ที่ไหน
เลย มนษุ ยนีเ้ องจะเปนผูปฏิบัตถิ ึงซงึ่ ความบรสิ ทุ ธ์ไิ ด ฉะน้นั จงึ ไมควรนอ ยเน้ือต่าํ ใจวา
ตนมบี ุญวาสนานอย เพราะมนษุ ยทําได เมือ่ ไมมี ทาํ ใหม ีได เมือ่ มแี ลว ทําใหย งิ่ ไดสมดว ย
เทศนานยั อนั มาในเวสสันดรชาดาวา ทานํ เทติ สลี ํ รกฺขติ ภาวนํ ภาเวตฺวา เอกจโฺ จ สคคฺ ํ
คจฉฺ ติ เอกจโฺ จ โมกฺขํ คจฉฺ ติ นสิ ฺสสํ ยํ เมือ่ ไดท าํ กองการกศุ ล คอื ใหทานรกั ษาศลี เจรญิ
ภาวนาตามคําสอนของพระบรมศาสดาจารยเจา แลว บางพวกทํานอยก็ตองไปสสู วรรค
บางพวกทํามากและขยนั จรงิ พรอ มทง้ั วาสนาบารมแี ตหนหลังประกอบกนั ก็สามารถเขา
สพู ระนิพพานโดยไมตองสงสัยเลย พวกสตั วด ริ ัจฉานทานมิไดก ลาววาเลิศ เพราะจะมา
ทําเหมือนพวกมนษุ ยไ มได จงึ สมกบั คาํ วามนุษยน้ตี ั้งอยูใ นฐานะอนั เลิศดว ยดสี ามารถนํา
ตนเขา สมู รรคผล เขา สูพ ระนิพพานอันบรสิ ทุ ธิ์ไดแ ล

๘. สติปฏฐาน เปน ชยั ภมู ิ คอื สนามฝกฝนตน

พระบรมศาสดาจารยเจา ทรงตั้งชัยภูมไิ วใ นธรรมขอ ไหน? เม่ือพจิ ารณาปญหาน้ีได
ความข้นึ วา พระองคทรงตัง้ มหาสติปฏฐานเปนชัยภมู ิ

อุปมาในทางโลก การรบทพั ชงิ ชัย มุง หมายชัยชนะจําตองหา ชยั ภมู ิ ถา ไดช ยั ภูมิทดี่ ี
แลวยอมสามารถปอ งกันอาวุธของขาศึกไดดี ณ ท่นี ้นั สามารถรวบรวมกําลังใหญเ ขา ฆา
ฟน ขาศกึ ใหปราชัยพา ยแพไ ปได ทเ่ี ชน นนั้ ทานจึงเรยี กวา ชยั ภมู ิ คอื ทท่ี ป่ี ระกอบไปดวย
คายคปู ระตแู ละหอรบอนั มั่นคงฉนั ใด

อปุ ไมยในทางธรรมก็ฉันนน้ั ทเี่ อามหาสติปฏฐานเปนชยั ภูมกิ โ็ ดยผทู ่จี ะเขา สู
สงครามรบขาศกึ คือ กเิ ลส ตองพจิ ารณากายานปุ สสนาสตปิ ฏฐานเปนตนกอ น เพราะ
คนเราท่ีจะเกิด กามราคะ เปน ตน ขนึ้ กเ็ กดิ ท่กี ายและใจ เพราะตาแลไปเหน็ กายทําใหใจ
กําเริบ เหตนุ น้ั จงึ ไดค วามวา กายเปนเคร่ืองกอเหตุ จงึ ตองพิจารณากายนี้กอ น จะไดเปน
เครอ่ื งดบั นิวรณทําใหใ จสงบได ณ ที่นพ้ี งึ ทาํ ใหมาก เจรญิ ใหม าก คอื พจิ ารณาไมต อ ง
ถอยเลยทีเดียว ในเมือ่ อคุ คหนิมิตปรากฏ จะปรากฏกายสว นไหนกต็ าม ใหพ ึงถอื เอากาย
สวนทไี่ ดเห็นนน้ั พจิ ารณาใหเปน หลกั ไวไมตองยายไปพจิ ารณาที่อื่น จะคดิ วาทน่ี ่ีเราเห็น
แลว ที่อ่ืนยงั ไมเ ห็น ก็ตองไปพิจารณาทีอ่ ื่นซิ เชนนห้ี าควรไม ถึงแมจ ะพิจารณาจนแยก

กายออกมาเปนสว นๆ ทกุ ๆอาการอันเปนธาตุ ดนิ น้ํา ลม ไฟ ไดอ ยา งละเอยี ด ท่ีเรยี กวา
ปฏภิ าคก็ตาม กใ็ หพ จิ ารณากายท่เี ราเห็นทแี รกดวยอคุ คหนมิ ติ นน้ั จนชํานาญ ท่ีจะชาํ นาญ
ไดกต็ อ งพิจารณาซํ้าแลว ซา้ํ อกี ณ ที่เดียวนั้นเอง เหมอื นสวดมนตฉะนัน้ อนั การสวดมนต
เมอ่ื เราทองสูตรน้ีไดแ ลว ทิ้งเสียไมเลาไมสวดไวอ ีก กจ็ ะลมื เสียไมสาํ เรจ็ ประโยชนอ ะไร
เลย เพราะไมท าํ ใหช ํานาญดวยความประมาทฉนั ใด การพิจารณากายก็ฉนั นน้ั เหมอื นกนั
เม่อื ไดอ คุ คหนิมิตในที่ใดแลว ไมพ จิ ารณาในท่นี น้ั ใหม ากปลอยทิ้งเสียดวยความประมาท
กไ็ มสาํ เรจ็ ประโยชนอ ะไรอยางเดียวกัน

การพจิ ารณากายนมี้ ที อ่ี า งมาก ดั่งในการบวชทุกวนั นี้ เบ้อื งตน ตองบอกกรรมฐาน
๕ ก็คือ กายน้เี อง กอนอ่ืนหมดเพราะเปนของสําคัญ ทานกลา วไวใ นคมั ภรี พระธรรม
บทขุทฺทกนกิ ายวา อาจารยผไู มฉลาด ไมบอกซ่ึงการพจิ ารณากาย อาจทําลายอุปนสิ ยั แหง
พระอรหนั ตของกลุ บตุ รได เพราะฉะนนั้ ในทกุ วนั นจ้ี งึ ตอ งบอกกรรมฐาน ๕ กอน

อกี แหงหน่ึงทานกลาววา พระพทุ ธเจาทงั้ หลาย พระขณี าสวเจาท้งั หลาย ช่ือวา จะ
ไมกาํ หนดกาย ในสวนแหง โกฏฐาส (คอื การพจิ ารณาแยกออกเปนสว นๆ) ใดโกฏฐาสห
นงึ่ มิไดม ีเลย จึงตรัสแกภกิ ษุ ๕๐๐ รปู ผูก ลาวถึงแผนดนิ วา บา นโนนมดี ินดาํ ดินแดงเปน
ตน น้นั วา นนั่ ชอ่ื วา พหทิ ฺธา แผน ดนิ ภายนอกใหพวกทา นท้ังหลายมาพจิ ารณา อัชฌตั ตกิ า
แผน ดนิ ภายในกลา วคืออัตตภาพรางกายนี้ จงพิจารณาไตรต รองใหแยบคาย กระทาํ ให
แจงแทงใหตลอด เม่ือจบการวิสชั ชนาปญหาน้ี ภิกษทุ ั้ง ๕๐๐ รูปก็บรรลพุ ระอรหันตผล

เหตนุ ัน้ การพจิ ารณากายจงึ เปน ของสําคญั ผูท จ่ี ะพนทุกทงั้ หมดลว นแตตอง
พจิ ารณากายน้ีท้ังสิน้ จะรวบรวมกําลังใหญไดต องรวบรวมดว ยการพจิ ารณากาย แมพระ
พุทธองคเจาจะไดตรสั รูท ีแรกก็ทรงพิจารณาลม ลมจะไมใชกายอยางไร? เพราะฉะนนั้
มหาสตปิ ฏฐาน มีกายานุปสสนาเปนตน จึงช่อื วา “ชยั ภมู ”ิ เม่ือเราไดช ยั ภมู ดิ แี ลว
กลาวคือปฏิบตั ติ ามหลกั มหาสตปิ ฏฐานจนชํานาญแลว กจ็ งพิจารณาความเปน จริงตาม
สภาพแหงธาตทุ ้ังหลายดวยอุบายแหงวปิ สสนา ซง่ึ จะกลา วขางหนา

๙. อบุ ายแหง วปิ ส สนา อันเปนเคร่อื งถา ยถอนกเิ ลส

ธรรมชาติของดที งั้ หลาย ยอมเกดิ มาแตข องไมดี อปุ มาดั่งดอกปทุมชาตอิ ันสวยๆ
งามๆ กเ็ กดิ ข้ึนมาจากโคลนตมอนั เปน ของสกปรก ปฏิกูลนา เกลยี ด แตวาดอกบวั น้นั เมอ่ื
ขึน้ พน โคลนตมแลวยอมเปน สง่ิ ทส่ี ะอาด เปนที่ทดั ทรงของพระราชา อุปราช อาํ มาตย

และเสนาบดี เปน ตน และดอกบัวน้ันกม็ ไิ ดก ลบั คืนไปยงั โคลนตมนัน้ อกี เลย ขอ นเี้ ปรยี บ
เหมือนพระโยคาวจรเจา ผปู ระพฤตพิ ากเพยี รประโยคพยายาม ยอมพิจารณาซึ่ง สิง่
สกปรกนาเกลยี ดน้ันกค็ อื ตวั เรานี้เอง รา งกายนี้เปน ท่ีประชมุ แหง ของโสโครกคือ
อจุ จาระ ปสสาวะ (มูตรคูถ) ท้งั ปวง สิ่งทอี่ อกจากผม ขน เลบ็ ฟน หนงั เปนตน ก็เรยี กวา
ขี้ ทงั้ หมด เชน ข้หี ัว ข้เี ล็บ ขี้ฟน ข้ีไคล เปนตน เมอื่ ส่ิงเหลา นี้รวงหลน ลงสอู าหาร มีแกง
กับ เปนตน กร็ งั เกยี จ ตองเททงิ้ กนิ ไมได และรางกายนต้ี อ งชําระอยูเสมอจึงพอเปน ของ
ดูได ถา หาไมก จ็ ะมกี ล่ินเหมน็ สาป เขาใกลใ ครก็ไมไ ด ของทั้งปวงมผี า แพรเคร่อื งใช
ตางๆ เม่ืออยูนอกกายของเรากเ็ ปน ของสะอาดนา ดู แตเ มอื่ มาถงึ กายนีแ้ ลวกก็ ลายเปนของ
สกปรกไป เมอ่ื ปลอ ยไวนานๆ เขาไมซกั ฟอกก็จะเขาใกลใ ครไมไดเลย เพราะเหมน็ สาบ
ดั่งนจ้ี งึ ไดความวารา งกายของเราน้ีเปนเรอื นมตู ร เรือนคถู เปนอสภุ ะ ของไมงาม ปฏกิ ูล
นาเกลียด เม่ือยังมีชีวติ อยูกเ็ ปน ถึงปานนี้ เมื่อชวี ติ หาไมแ ลว ยง่ิ จะสกปรกหาอะไร
เปรยี บเทยี บมไิ ดเลย เพราะฉะนั้นพระโยคาวจรเจาท้งั หลายจึงพิจารณารางกายอนั น้ใี ห
ชาํ นชิ ํานาญดวย โยนิโสมนสิการ ต้ังแตต นมาทีเดียว คอื ขณะเม่อื ยังเห็นไมทันชัดเจนก็
พจิ ารณาสวนใดสวนหนงึ่ แหง กายอันเปน ท่ีสบายแกจ ริตจนกระทงั่ ปรากฏเปนอคุ คห
นมิ ิต คอื ปรากฏสวนแหงรางกายสวนใดสวนหนง่ึ แลว กก็ ําหนดสวนนัน้ ใหม าก เจริญให
มาก ทําใหม าก การเจริญทาํ ใหมากนั้นพงึ ทราบอยา งนี้ อนั ชาวนาเขาทํานาเขาก็ทําท่ี
แผน ดนิ ไถท่ีแผน ดนิ ดาํ ลงไปในดนิ ปต อไปเขาก็ทาํ ทด่ี นิ อกี เชน เคย เขาไมไดทาํ ใน
อากาศกลางหาว คงทําแตท ี่ดินอยา งเดียว ขา วเขาก็ไดเตม็ ยงุ เต็มฉางเอง เม่ือทาํ ใหมากใน
ท่ีดินน้ันแลว ไมตอ งรอ งเรียกวา ขาวเอยขา ว จงมาเต็มยงุ เนอ ขาวก็จะหล่งั ไหลมาเอง
และจะหา มวา เขาเอย ขาว จงอยามาเต็มยุงเต็มฉางเราเนอ ถาทาํ นาในทด่ี ินนัน้ เองจน
สําเร็จแลว ขาวกม็ าเต็มยุงเตม็ ฉางเอง ฉนั ใดก็ดพี ระโยคาวจรเจากฉ็ นั นน้ั จงพิจารณากาย
ในทเี่ คยพิจารณาอนั ถูกนิสยั หรือท่ีปรากฏมาใหเ ห็นครง้ั แรก อยา ละทิง้ เลยเปน อนั ขาด
การทาํ ใหมากนนั้ มิใชหมายแตการเดินจงกรมเทา น้ัน ใหม สี ติหรอื พจิ ารณาในทท่ี กุ สถาน
ในกาลทุกเมือ่ ยนื เดนิ นงั่ นอน กิน ดม่ื ทาํ คดิ พดู ก็ใหม สี ตริ อบคอบในกายอยูเสมอจึง
จะชอื่ วา ทําใหม าก เมอ่ื พิจารณาในรางกายนนั้ จนชดั เจนแลว ใหพจิ ารณาแบงสวนแยก
สวนออกเปนสวนๆ ตามโยนโิ สมนสกิ ารตลอดจนกระจายออกเปนธาตดุ ิน ธาตุนํ้า ธาตุ
ไฟ ธาตลุ ม และพิจารณาใหเห็นไปตามนั้นจรงิ ๆ อุบายตอนน้ตี ามแตต นจะใครครวญ
ออกอุบายตามที่ถกู จริตนิสัยของตน แตอ ยาละทิ้งหลกั เดมิ ทต่ี นไดร ูครั้งแรกนนั่ เทยี ว

พระโยคาวจรเจาเมื่อพจิ ารณาในท่นี ้ี พึงเจรญิ ใหม าก ทําใหม าก อยาพจิ ารณาคร้งั
เดียวแลวปลอ ยทิง้ ต้ังคร่งึ เดอื น ตัง้ เดอื น ใหพ จิ ารณากาวเขาไป ถอยออกมาเปน อนโุ ลม
ปฏโิ ลม คือเขา ไปสงบในจิต แลวถอยออกมาพิจารณากาย อยางพจิ ารณากายอยา งเดยี ว
หรือสงบทีจ่ ิตแตอยางเดียว พระโยคาวจรเจาพจิ ารณาอยางน้ีชาํ นาญแลว หรอื ชาํ นาญ
อยางยิ่งแลว คราวนแ้ี ลเปนสว นท่จี ะเปน เอง คือ จิต ยอ มจะรวมใหญ เมือ่ รวมพึบ่ ลง ยอม
ปรากฏวา ทุกสิง่ รวมลงเปนอนั เดียวกันคอื หมดทัง้ โลกยอมเปน ธาตทุ ัง้ สิน้ นิมิตจะปรากฏ
ข้ึนพรอ มกันวา โลกนรี้ าบเหมอื นหนากลอง เพราะมีสภาพเปนอนั เดยี วกนั ไมว า ปาไม
ภูเขา มนุษย สตั ว แมทสี่ ุดตัวของเรากต็ องลบราบเปน ที่สดุ อยางเดยี วกันพรอมกบั ญาณ
สมั ปยตุ ต คอื รขู นึ้ มาพรอ มกนั ในทนี่ ต้ี ดั ความสนเทห ใ นใจไดเ ลย จึงชื่อวา
ยถาภตู ญาณทัสสนวิปส สนา คือท้ังเหน็ ท้งั รูต ามความเปน จรงิ

ข้นั น้เี ปน เบื้องตน ในอนั ที่จะดาํ เนินตอไป ไมใ ชท่ีสดุ อันพระโยคาวจรเจาจะพึง
เจริญใหม าก ทาํ ใหมาก จึงจะเปน เพ่ือความรูยิ่งอีกจนรอบ จนชํานาญเหน็ แจงชดั วา
สงั ขารความปรุงแตงอันเปน ความสมมตวิ า โนนเปนของของเรา โนนเปนเรา เปนความ
ไมเทย่ี งอาศัยอปุ าทานความยึดถอื จงึ เปน ทกุ ข ก็แลธาตทุ งั้ หลาย เขาหากมีหากเปน อยู
อยา งนี้ตั้งแตไหนแตไ รมา เกิด แก เจบ็ ตาย เกิดขนึ้ เส่อื มไปอยูอยา งนม้ี ากอน เราเกิด
ตัง้ แตดกึ ดาํ บรรพกเ็ ปน อยอู ยางนี้ อาศัยอาการของจิต ของขนั ธ ๕ ไดแก รปู เวทนา
สัญญา สังขาร วญิ ญาณไปปรงุ แตง สําคญั มั่นหมายทกุ ภพทกุ ชาติ นับเปนอเนกชาติเหลือ
ประมาณมาจนถงึ ปจจุบันชาติ จึงทาํ ใหจ ติ หลงอยูตามสมมติ ไมใ ชสมมตมิ าตดิ เอาเรา
เพราะธรรมชาตทิ ้งั หลายท้ังหมดในโลกนี้ จะเปน ของมีวิญญาณหรือไมก ็ตาม เมอ่ื วา ตาม
ความจรงิ แลว เขาหากมหี ากเปน เกิดข้ึนเสอื่ มไป มอี ยอู ยางนนั้ ทเี ดยี ว โดยไมตอ งสงสัย
เลยจงึ รขู ้ึนวา ปพุ ฺเพสุ อนนสุ สฺ ุเตสุ ธมฺเมสุ ธรรมดาเหลา นี้ หากมีมาแตกอน ถึงวาจะ
ไมไ ดยินไดฟงมาจากใครกม็ อี ยูอยา งน้ันทีเดยี ว ฉะน้ันในความขอน้ี พระพทุ ธเจาจึงทรง
ปฏญิ าณพระองคว า เราไมไ ดฟ ง มาแตใคร มไิ ดเรียนมาแตใ ครเพราะของเหลาน้มี ีอยู มีมา
แตก อนพระองคด ังน้ี ไดความวาธรรมดาธาตทุ ้ังหลายยอ มเปนยอ มมอี ยูอยา งนั้น อาศยั
อาการของจิตเขาไปยึดถือเอาส่ิงทงั้ ปวงเหลา นั้นมาหลายภพหลายชาติ จึงเปนเหตุให
อนุสยั ครอบงําจิตจนหลงเชอื่ ไปตาม จึงเปนเหตใุ หก อ ภพกอชาติดวยอาการของจติ เขาไป
ยึด ฉะนัน้ พระโยคาวจรเจามาพจิ ารณา โดยแยบคายลงไปตามสภาพวา สพฺเพ สงฺ ขารา
อนจิ จฺ า สพเฺ พ สงขฺ ารา ทุกขฺ า สังขารความเขา ไปปรุงแตง คอื อาการของจิตน่ันแลไม

เท่ียง สัตวโ ลกเขาเท่ยี ง คือมอี ยเู ปนอยูอยางน้ัน ใหพจิ ารณาโดย อรยิ สจั จธรรมทั้ง ๔ เปน
เคร่ืองแกอ าการของจิตใหเ หน็ แนแทโดย ปจ จกั ขสิทธิ วา ตวั อาการของจิตน้ีเองมนั ไม
เท่ียง เปน ทุกข จงึ หลงตามสังขาร เม่ือเห็นจรงิ ลงไปแลว ก็เปนเครอ่ื งแกอ าการของจิต จึง
ปรากฏขึน้ วา สงฺขารา สสสฺ ตา นตฺถิ สงั ขารท้งั หลายท่ีเท่ยี งแทไมมี สงั ขารเปนอาการของ
จติ ตา งหาก เปรยี บเหมอื นพยบั แดด สว นสัตวเขาก็อยูประจําโลกแตไหนแตไ รมา เมื่อรู
โดยเง่ือน ๒ ประการ คอื รูวา สตั วก็มอี ยูอ ยา งนั้น สงั ขารก็เปน อาการของจิต เขา ไป
สมมตเิ ขาเทานน้ั ฐีติภูตํ จติ ตัง้ อยเู ดิมไมม ีอาการเปน ผหู ลุดพน ไดความวา ธรรมดาหรือ
ธรรมทัง้ หลายไมใ ชตน จะใชตนอยา งไร ของเขาหากเกดิ มีอยา งนน้ั ทา นจงึ วา สพเฺ พ ธมฺ
มา อนตฺตา ธรรมทงั้ หลายไมใ ชต น ใหพระโยคาวจรเจา พึงพิจารณาใหเหน็ แจง ประจักษ
ตามน้จี นทําใหจิตรวมพึ่บลงไป ใหเหน็ จริงแจงชัดตามนน้ั โดย ปจ จักขสทิ ธิ พรอมกบั
ญาณสมั ปยุตต รวมทวนกระแสแกอ นสุ ัยสมมตเิ ปน วมิ ตุ ติ หรอื รวมลงฐตี จิ ิต อนั เปนอยูม ี
อยูอยางนนั้ จนแจง ประจกั ษใ นทน่ี น้ั ดวยญาณสัมปยุตตวา ขณี า ชาติ ญาณํ โหติ ดังนี้ ใน
ท่ีนี้ไมใชสมมตไิ มใชของแตงเอาเดาเอา ไมใชข องอนั บคุ คลพงึ ปรารถนาเอาได เปน ของ
ท่เี กิดเอง เปนเอง รูเ อง โดยสว นเดียวเทาน้นั เพราะดว ยการปฏิบัตอิ นั เขม แขง็ ไมท อ ถอย
พจิ ารณาโดยแยบคายดวยตนเอง จึงจะเปน ขึ้นมาเอง ทานเปรียบเหมือนตน ไมต า งๆ มตี น
ขาวเปนตน เมอ่ื บาํ รุงรักษาตนมันใหดีแลว ผลคอื รวงขาวไมใชส งิ่ อนั บุคคลพงึ ปรารถนา
เอาเลย เปน ขึ้นมาเอง ถาแลบคุ คลมาปรารถนาเอาแตรวงขาว แตห าไดร ักษาตนขา วไม
เปน ผเู กยี จคราน จะปรารถนาจนวนั ตาย รวงขา วก็จะไมม ขี ้นึ มาใหฉนั ใด วมิ ฺตตธิ รรม ก็
ฉนั นั้นนน่ั แล มิใชสง่ิ อนั บคุ คลจะพึงปรารถนาเอาได คนผปู รารถนาวมิ ุตติธรรมแต
ปฏิบตั ไิ มถกู ตองหรอื ไมปฏบิ ตั มิ วั เกียจครา นจนวันตายจะประสบวมิ ุตตธิ รรมไมไดเ ลย
ดว ยประการฉะนี้

มุตโตทัย ๑ (ตอ)

พระธรรมเทศนาของ พระอาจารยมัน่ ภรู ิทตตฺ เถระ

๑๐. จิตเดมิ เปนธรรมชาติใสสวา ง แตม ืดมัวไปเพราะอุปกิเลส

ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตฺจ โข อาคนตฺ เุ กหิ อุปกิเลเสหิ อปุ กฺกิลิฏฐํ

ภิกษุทัง้ หลาย จติ นเี้ สือ่ มปภสั สรแจง สวา งมาเดมิ แตอาศัยอปุ กิเลสเคร่อื งเศราหมอง
เปน อาคันตุกะสญั จรมาปกคลุมหุมหอ จึงทําใหจิตมสิ องแสงสวางได ทา นเปรยี บไวใ น

บทกลอนหนงึ่ วา “ไมชะงกหกพนั งา(กิง่ ) กะปอมกา กงิ้ กา ฮอ ย กะปอมนอยข้นึ ม้อื พัน
ครัน้ ตวั มาบทนั ขนึ้ นาํ คูม้ือๆ” โดยอธบิ ายวา คาํ วาไมช ะงก ๖,๐๐๐ งานั้นเม่อื ตัดศนู ย ๓
ศนู ยออกเสียเหลอื แค ๖ คงไดความวา ทวารทง้ั ๖ เปน ทมี่ าแหง กะปอมกา คือของปลอม
ไมใชของจริง กเิ ลสทงั้ หลายไมใชของจริง เปนสง่ิ สัญจรเขา มาในทวารทงั้ ๖ นับรอยนบั
พัน มิใชแตเ ทา นน้ั กเิ ลสท้ังหลายทย่ี งั ไมเกดิ ขึน้ กจ็ ะทวยี ง่ิ ๆ ขึน้ ทุกๆ วัน ในเมอื่ ไม
แสวงหาทางแก ธรรมชาติของจิตเปนของผองใสยิ่งกวาอะไรท้งั หมด แตอ าศัยของปลอม
กลา วคืออปุ กเิ ลสท่สี ัญจรเขา มาปกคลมุ จงึ ทาํ ใหหมดรศั มี ดจุ พระอาทติ ยเมอ่ื เมฆบดบัง
ฉะนั้น อยา พึงเขาใจวาพระอาทิตยเขา ไปหาเมฆ เมฆไหลมาบดบงั พระอาทิตยตางหาก
ฉะน้ัน ผบู ําเพญ็ เพยี รท้งั หลายเม่ือรโู ดยปริยายน้แี ลว พงึ กําจดั ของปลอมดวยการพจิ ารณา
โดยแยบคายตามที่อธบิ ายแลวในอบุ ายแหง วปิ สสนาขอ ๙ นน้ั เถิด เม่ือทาํ ใหถึงข้ันฐีตจิ ิต
แลว ชื่อวา ยอมทําลายของปลอมไดห มดสนิ้ หรือวา ของปลอมยอ มเขา ไปถึงฐตี ิจติ เพราะ
สะพานเช่อื มตอ ถกู ทาํ ลายขาดสะบัน้ ลงแลว แมย ังตองเกี่ยวขอ งกับอารมณของโลกอยูก็
ยอ มเปน ดุจนํ้ากล้งิ บนใบบัวฉะนน้ั

๑๑. การทรมานตนของผบู าํ เพญ็ เพียร ตองใหพ อเหมาะกบั อปุ นิสัย

นายสารถผี ฝู กมามชี อ่ื เสียงคนหน่งึ มาเฝาพระพทุ ธเจา ทลู ถามถงึ วิธีทรมานเวไนย
พระองคท รงยอนถามนายสารถีกอนถงึ การทรมาณมา เขาทูลวามามี ๔ ชนดิ คอื ๑.
ทรมานงา ย ๒. ทรมานอยางกลาง ๓. ทรมานยากแท ๔. ทรมานไมไ ดเ ลย ตอ งฆาเสีย
พระองคจึงตรสั วาเรากเ็ หมือนกัน ๑. ผทู รมาณงา ย คือผปู ฏบิ ตั ิทําจติ รวมงายใหกินอาหาร
เพียงพอ เพื่อบํารุงรางกาย ๒. ผทู รมานอยางกลาง คือผปู ฏิบตั ทิ าํ จิตไมคอยจะลง กใ็ หกนิ
อาหารแตน อยอยาใหมาก ๓. ทรมานยากแท คอื ผปู ฏิบตั ทิ าํ จิตลงยากแท ไมตอ งใหก นิ
อาหารเลย แตตอ งเปน อตฺตฺ ู รกู ําลงั ของตนวาจะทนทานไดสกั เพียงไร แคไหน ๔.
ทรมานไมไ ดเลย ตอ งฆาเสยี คอื ผปู ฏิบัตทิ ําจติ ไมได เปน ปทปรมะ พระองคท รงชัก
สะพานเสีย กลา วคอื ไมทรงรับส่งั สอน อปุ มาเหมือนฆา ทง้ิ เสยี ฉะนนั้

๑๒. มูลตกิ สตู ร

ตกิ แปลวา ๓ มลู แปลวา เคามูลรากเหงา รวมความวา สง่ิ ซ่งึ เปนรากเหงา เคามูลอยาง
ละ ๓ คอื ราคะ โทสะ โมหะ กเ็ รยี ก ๓ อกุศลมลู ตณั หา ก็มี ๓ คือกามตัณหา ภวตัณหา
วภิ วตณั หา โอฆะและอาสวะก็มอี ยางละ ๓ คอื กามะ ภาวะ อวิชชา ถา บุคคลมาเปนไป

กับดวย ๓ เชน น้ี ติปริวตตฺ ํ กต็ อ งเวียนไปเปน ๓ ๓ ก็ตองเปนโลก ๓ คอื กามโลก รูปโลก
อรปู โลก อยอู ยา งนัน้ แล เพราะ ๓ นั้นเปนเคามลู โลก ๓

เครอ่ื งแกก็มี ๓ คือ ศีล สมาธิ ปญญา เมอื่ บุคคลดําเนนิ ตนตามศีล สมาธิ ปญ ญา อนั
เปน เครอื่ งแก น ตปิ ริวตตฺ ํ ก็ไมตองเวียนไปเปน๓ ๓ กไ็ มเ ปนโลก ๓ ชอ่ื วาพนจากโลก ๓
แล

๑๓. วิสุทธเิ ทวาเทา นนั้ เปนสันตบุคคลแท

อกุปปฺ  สพพฺ ธมฺเมสุ เญยฺยธมฺมา ปเวสฺสนฺโต

บุคคลผูม จี ติ ไมกาํ เริบในกิเลสทงั้ ปวง รธู รรมท้งั หลายทง้ั ทเี่ ปน พหิทธาธรรม ทั้งที่
เปน อัชฌตั ตกิ าธรรม สนโฺ ต จงึ เปนผูสงบระงบั สนั ตบุคคลเชน นี้แลท่ีจะบรบิ รู ณด ว ย
หริ โิ อตตัปปะ มธี รรมบรสิ ุทธสิ์ ะอาด มีใจมัน่ คงเปนสตั บุรุษผทู รงเทวธรรมตามความใน
พระคาถาวา หริ ิโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา สกุ กฺ ธมมฺ สมาหติ า สนโฺ ต สปปฺ ุรสิ า โลเก เทวธมมฺ าติ
วจุ จฺ เร อุปตตเิ ทวา ผพู รัง่ พรอ มดวยกามคณุ วุน วายอยูดวยกิเลส เหตุไฉนจึงจะเปนสนั ต
บคุ คลได ความในพระคาถานย้ี อ มตอ งหมายถงึ วิสุทธิเทวา คือพระอรหันตแ นน อน ทา น
ผูเชนนน้ั เปนสนั ตบุคคลแท สมควรจะเปนผูบริบรู ณดวยหิรโิ อตตปั ปะ และ สกุ กฺ ธรรม
คอื ความบริสทุ ธ์แิ ท

๑๔. อกิริยาเปนทีส่ ดุ ในโลก - สดุ สมมตบิ ัญญัติ

สจจฺ านํ จตโุ ร ปทา ขณี าสวา ชุตมิ นโฺ ต เต โลเก ปรินิพพฺ ตุ า

สัจธรรมทงั้ ๔ คือ ทกุ ข สมทุ ัย นิโรธ มรรค ยังเปนกิรยิ า เพราะแตละสจั จะๆ ยอมมี
อาการตอ งทําคือ ทกุ ข-ตองกําหนดรู สมทุ ัย-ตอ งละ นโิ รธ-ตอ งทําใหแจง มรรค-ตอ ง
เจริญใหมาก ดงั นีล้ วนเปน อาการทจี่ ะตอ งทาํ ท้ังหมด ถาเปน อาการทีจ่ ะตองทาํ กต็ องเปน
กริ ิยาเพราะเหตุน้ันจงึ รวมความไดว าสัจจะทั้ง ๔ เปน กิริยา จึงสมกบั บาทคาถาขางตน น้ัน
ความวาสัจจะทงั้ ๔ เปนเทา หรอื เปนเครอ่ื งเหยยี บกา วขนึ้ ไป หรือกาวขน้ึ ไป ๔ พกั จงึ จะ
เสรจ็ กิจ ตอ จากนั้นไปจงึ เรียกวา อกริ ิยา

อุปมา ดงั เขยี นเลข ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ แลว ลบ ๑ ถงึ ๙ ทิ้งเสีย เหลือแต ๐
(ศูนย) ไมเ ขยี นอกี ตอ ไป คงอานวา ศูนย แตไ มมคี าอะไรเลย จะนาํ ไปบวกลบคณู หารกับ
เลขจํานวนใดๆ ไมไ ดทงั้ ส้ินแตจะปฏิเสธวาไมม ีหาไดไม เพราะปรากฏอยูว า ๐ (ศูนย) นี่

แหละ คือปญ ญารอบรู เพราะลายกิรยิ า คือ ความสมมติ หรือวาลบสมมติลงเสยี จนหมด
สิน้ ไมเขาไปยึดถอื สมมตทิ ง้ั หลาย คําวา ลบ คือทําลายกิรยิ า กลาวคือ ความสมมติ มี
ปญหาสอดข้ึนมาวา เมื่อทาํ ลายสมมติหมดแลวจะไปอยูท่ไี หน? แกวา ไปอยูในทไี่ ม
สมมติ คือ อกริ ยิ า นนั่ เอง เน้ือความตอนน้เี ปน การอธบิ ายตามอาการของความจรงิ ซึ่ง
ประจกั ษแ กผ ูปฏบิ ตั โิ ดยเฉพาะ อนั ผูไมป ฏิบัตหิ าอาจรูไ ดไ ม ตอเมอ่ื ไรฟงแลว ทําตามจน
รเู องเห็นเองนนั่ แลจงึ จะเขาใจได

ความแหง ๒ บาทคาถาตอไปวา พระขณี าสวเจาทั้งหลายดบั โลกสามรงุ โรจนอยู
คอื ทาํ การพิจารณาบาํ เพย็ เพยี รเปน ภาวิโต พหลุ ีกโต คอื ทาํ ใหม าก เจริญใหมาก จนจติ มี
กาํ ลงั สามารถพิจารณาสมมติทงั้ หลายทาํ ลายสมมตทิ ัง้ หลายลงไปไดจ นเปนอกิรยิ ากย็ อ ม
ดบั โลกสามได การดับโลกสามนัน้ ทา นขีณาสวเจา ท้งั หลายมไิ ดเ หาะขนึ้ ไปนกามโลก
รปู โลก อรูปโลกเลยทเี ดยี ว คงอยกู ับท่ีนน่ั เอง แมพระบรมศาสดาของเราก็เชน เดียวกัน
พระองคป ระทบั นั่งอยู ณ ควงไมโ พธพิ ฤกษแ หง เดยี วกัน เม่อื จะดับโลกสาม ก็มไิ ดเหาะ
ขน้ึ ไปในโลกสาม คงดับอยทู จ่ี ติ ทิ่จติ น้นั เองเปนโลกสาม ฉะนั้น ทา นผูตองการดับโลก
สาม พงึ ดบั ที่จติ ของตนๆ จงึ ทาํ ลายกิริยา คอื ตัวสมมติหมดสน้ิ จากจิต ยังเหลือแตอ กริ ยิ า
เปน ฐีตจิ ิต ฐีติธรรมอนั ไมร จู ักตาย ฉะนี้แล

๑๕. สัตตาวาส ๙

เทวาพิภพ มนสุ สโลก อบายโลก จัดเปน กามโลก ทอี่ ยอู าศยั ของสตั วเ สพกามรวม
เปน ๑ รูปโลก ที่อยูอ าศยั ของสตั วผ สู ําเรจ็ รปู ฌานมี ๔ อรปู โลก ท่ีอยูอาศยั ของสตั ว
ผูสาํ เร็จอรปู ฌานมี ๔ รวมทงั้ ส้นิ ๙ เปนท่ีอยูอาศัยของสตั ว ผูมารูเทาสตั ตาวาส ๙
กลาวคอื พระขณี าสวเจาทั้งหลาย ยอมจากท่อี ยขู องสัตว ไมตองอยใู นท่ี ๙ แหงนี้ และ
ปรากฏในสามเณรปญหาขอ สุดทา ยวา ทส นาม กึ อะไรชือ่ วา ๑๐ แกวา ทสหงฺ เคหิ สมนฺ
นาคโต พระขีณาสวเจาผูประกอบดว ยองค ๑๐ ยอมพนจากสัตตาวาส ๙ ความขอ น้ีคง
เปรียบไดกับการเขยี นเลข ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ นน่ั เอง ๑ ถงึ ๙ เปนจาํ นวนท่ีนบั ได
อานได บวกลบคณู หารกันได สว น ๑๐ กค็ อื เลข ๑ กบั ๐ (ศนู ย) เราจะเอา ๐ (ศูนย) ไป
บวกลบคณู หารกบั เลขจํานวนใดๆ ก็ไมทาํ ใหเลขจํานวนน้ันมีคาสงู ขึ้น และ ๐ (ศนู ย) นี้
เมอ่ื อยโู ดยลาํ พงั ก็ไมมีคาอะไร แตจ ะวา ไมมีกไ็ มได เพราะเปนส่งิ ปรากฏอยู ความเปรยี บ
น้ฉี ันใด จติ ใจกฉ็ ันนัน้ เปนธรรมชาติ มีลกั ษณะเหมอื น ๐ (ศูนย) เมอื่ นําไปตอเขากบั เลข

ตวั ใด ยอมทําใหเ ลขตวั นั้นเพ่มิ คา ขึ้นอกี มาก เชน เลข ๑ เมอ่ื เอาศูนยต อเขา กก็ ลายเปน
๑๐ (สิบ) จิตใจเรานีก้ เ็ หมือนกัน เมอ่ื ตอเขา กับส่ิงท้ังหลายก็เปน ของวิจิตรพิสดารมากมาย
ขนึ้ ทนั ที แตเมอื่ ไดรบั การฝก ฝนอบรมจนฉลาดรอบรสู รรพเญยยฺ ธรรมแลว ยอ มกลับคนื สู
สภาพ ๐ (ศูนย) คอื วา งโปรงพน จากการนบั การอา นแลว มิไดอยใู นท่ี ๙ แหง อันเปน ที่อยู
ของสัตว แตอ ยใู นทห่ี มดสมมติบญั ญตั ิคือ สภาพ ๐ (ศูนย) หรืออกิริยาดังกลาวในขอ ๑๔
นั่นเอง

๑๖. ความสาํ คญั ของปฐมเทศนา มชั ฌิมเทศนา และปจ ฉมิ เทศนา

พระธรรมเทศนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจาใน ๓ กาลมีความสําคญั ยง่ิ อัน
พทุ ธบริษัทควรสนใจพจิ ารณาเปนพเิ ศษ คอื

ก. ปฐมโพธกิ าล ไดท รงแสดงธรรมแกพ ระปญ จวัคคยี  ท่ีปาอิสิปตนมฤคทายวนั
เมืองพาราณสี เปน ครง้ั แรกเปน ปฐมเทศนา เรียกวา ธรรมจักร เบือ้ งตน ทรงยกสวนสุด ๒
อยางอนั บรรพชิตไมค วรเสพขึ้นมาแสดงวา เทว เม ภกิ ขฺ เว อนตฺ า ปพฺพชิเตน น เสวติ พฺ
พา ภกิ ษุทั้งหลาย สวนท่ีสดุ ๒ อยา งอันบรรพชติ ไมพ งึ เสพ คือ กามสุขัลลิกา และอตั ตกิ
ลมถา อธิบายวา กามสุขัลลิกา เปนสว นแหง ความรกั อัตตกิลมถา เปน สว นแหงความชัง
ทั้ง ๒ สวนนเ้ี ปนตัวสมุทัย เมอ่ื ผูบําเพ็ญตบะธรรมทัง้ หลายโดยอยูซง่ึ สว นทั้งสองนี้ ชอื่ วา
ยังไมเขาทางกลาง เพราะเมื่อบําเพญ็ เพียรพยายามทาํ สมาธิ จิตสงบสบายดเี ต็มทีก่ ็ดใี จ
ครนั้ เมื่อจติ นึกคดิ ฟงุ ซานราํ คาญก็เสียใจ ความดใี จน้นั คอื กามสขุ ัลลิกา ความเสียใจน้นั
แล คือ อัตตกลิ มถา ความดใี จกเ็ ปนราคะ ความเสียใจก็เปน โทสะ ความไมรเู ทา ในราคะ
โทสะ ท้ังสองนี้เปน โมหะ ฉะนั้น ผูทพี่ ยายามประกอบความเพียรในเบื้องแรกตอ ง
กระทบสว นสุดทง้ั สองน้ันแลกอน ถา เม่อื กระทบสว น ๒ น้ันอยู ชื่อวาผดิ อยแู ตเ ปน
ธรรมดาแททีเดยี ว ตอ งผิดเสียกอ นจงึ ถกู แมพระบรมศาสดาแตกอ นนน้ั พระองคก ็ผิดมา
เตม็ ทเ่ี หมือนกนั แมพระอัครสาวกท้งั สอง กซ็ ้าํ เปนมิจฉาทิฐิมากอนแลว ท้ังส้นิ แมส าวก
ทง้ั หลายเหลาอน่ื ๆ ก็ลวนแตผดิ มาแลว ทั้งนน้ั ตอ เม่ือพระองคม าดาํ เนินทางกลาง ทําจติ
อยภู ายใตรม โพธพิ ฤกษ ไดญาณ ๒ ในสองยามเบื้องตน ในราตรี ไดญาณท่ี ๓ กลา วคือ
อาสวักขยญาณในยามใกลรงุ จงึ ไดถูกทางกลางอันแทจริงทาํ จิตของพระองคใ หพ น จาก
ความผดิ กลา วคอื ...สว นสุดท้ังสองน้ัน พน จากสมมติโคตร สมมตชิ าติ สมมตวิ าส สมมติ
วงศ และสมมตปิ ระเพณี ถงึ ความเปนอรยิ โคตร อรยิ ชาติ อรยิ วาส อริยวงศ และอรยิ

ประเพณี สว นอรยิ สาวกท้งั หลายน้นั เลากม็ ารตู ามพระองค ทาํ ใหไ ดอ าสวกั ขยญาณพน
จากความผดิ ตามพระองคไป สว นเราผูปฏบิ ัตอิ ยใู นระยะแรกๆ ก็ตอ งผดิ เปน ธรรมดา แต
เมือ่ ผิดกต็ อ งรเู ทา แลวทําใหถ ูก เมอื่ ยงั มดี ใี จเสียใจในการบาํ เพญ็ บญุ กศุ ลอยู กต็ กอยใู น
โลกธรรม เม่อื ตกอยูในโลกธรรม จึงเปนผูหวน่ั ไหวเพราะความดีใจเสยี ใจนน่ั แหละ ชอื่
วา ความหวั่นไหวไปมา อุปปฺ นฺโน โข เม โลกธรรมจะเกิดทีไ่ หน เกดิ ที่เรา โลกธรรมมี ๘
มรรคเคร่อื งแกก็มี ๘ มรรค ๘ เครื่องแกโลกธรรม ๘ ฉะน้นั พระองคจึงทรงแสดง
มชั ฌมิ าปฏิปทาแกสว น ๒ เม่อื แกส วน ๒ ไดแลวก็เขาสอู รยิ มรรค ตัดกระแสโลก ทําใจ
ใหเ ปน จาโค ปฏนิ สิ สฺ คโฺ ค มุตฺติ อนาลโย (สละสลดั ตดั ขาดวางใจหายหว ง) รวมความวา
เมื่อสว น ๒ ยงั มีอยูในใจผใู ดแลว ผนู ั้นกย็ ังไมถ ูกทาง เม่อื ผมู ีใจพน จากสว นทั้ง ๒ แลว ก็
ไมหวนั่ ไหว หมดธลุ ี เกษมจากโยคะ จึงวาเนือ้ ความแหงธรรมจกั รสาํ คญั มาก พระองค
ทรงแสดงธรรมจักรนี้ยงั โลกธาตใุ หห วน่ั ไหว จะไมหวน่ั ไหวอยา งไร เพราะมีใจความ
สาํ คญั อยา งนี้ โลกธาตุกม็ ิใชอ ะไรอ่ืน คอื ตวั เรานเ้ี อง ตัวเราก็คอื ธาตุของโลก หวัน่ ไหว
เพราะเห็นในของท่ีไมเคยเห็น เพราะจิตพน จากสวน ๒ ธาตุของโลกจงึ หวั่นไหว
หว่นั ไหวเพราะจะไมม ากอธาตุของโลกอีกแล

ข. มชั ฌมิ โพธกิ าล ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกขในชุมชนพระอรหันต ๑,๒๕๐ องค
ณ พระราชอทุ ยานเวฬวุ ันกลนั ทกนวิ าปสถาน กรุงราชคฤหใจความสําคัญตอนหนึ่งวา
อธิจติ ฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทธฺ าน สาสนํ พงึ เปนผทู ําจติ ใหย ่ิง การท่จี ะทาํ จิตใหย ง่ิ ไดต อ ง
เปน ผสู งบระงับ อจิ ฉฺ า โลภสมาปนโฺ น สมโณ กึ ภวสิ สฺ ติ เม่ือประกอบดวยความอยากด้ิน
รนโลภหลงอยูแลว จกั เปนผูส งระงับไดอ ยา งไร ตองเปน ผปู ฏิบตั ิคอื ปฏิบัติพระวนิ ยั เปน
เบอ้ื งตน และเจรญิ กรรมฐานต้ังตน แตก ารเดนิ จงกรม นั่งสมาธิ ทําใหมาก เจริญใหม าก
ในการพจิ ารณามหาสตปิ ฏฐาน มกี ายนุปส สนาสติปฏ ฐาน เปนเบอื้ งแรก พงึ พจิ ารณา
สว นแหงรางกาย โดยอาการแหง บรกิ รรมสวนะคือ พิจารณาโดยอาการคาดคะเน วา สวน
น้ันเปน อยางน้นั ดวยการมสี ติสัมปชัญญะไปเสยี กอ น เพราะเม่อื พจิ ารณาเชนน้ีใจไมหาง
จากกาย ทําใหรวมงาย เมื่อทาํ ใหม าก ในบรกิ รรมสวนะแลว จกั เกิดขึน้ ซ่งึ อุคคหนิมิตให
ชาํ นาญในทน่ี ้นั จนเปนปฏิภาค ชํานาญในปฏภิ าคโดยยงิ่ แลว จกั เปน วปิ ส สนา เจริญ
วปิ สสนาจนเปน วปิ ส สนาอยา งอกุ ฤษฏ ทาํ จติ เขาถงึ ฐีติภตู ํ ดงั กลาวแลวในอุบายแหง
วิปส สนาชอื่ วาปฏบิ ัติ เมือ่ ปฏบิ ตั ิแลว โมกขฺ ํ จึงจะขา มพน จึงพนจากโลกชอ่ื วา โลกุตตร

ธรรม เขมํ จงึ เกษมจากโยคะ (เคร่ืองรอย) ฉะนัน้ เน้ือความในมัชฌิมเทศนาจึงสําคญั
เพราะเล็งถงึ วมิ ุตตธิ รรมดวยประการฉะน้ีและฯ

ค. ปจฉมิ โพธกิ าล ทรงแสดงปจ ฉิมเทศนาในท่ีชุมชนพระอรยิ สาวก ณ พระราช
อทุ ยานสาลวันของมลั ลกษตั รยิ กรงุ กสุ ินารา ในเวลาจวนจะปรนิ พิ พานวา หนทฺ านิ
อามนตฺ ยามิ โว ภกิ ขฺ เว ปฏเิ วทยามิ โว ภิกขฺ เว ขยวยธมฺมา สงขฺ ารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ
เราบอกทา นทัง้ หลายวาจงเปนผูไมป ระมาท พจิ ารณาสังขารทีเ่ กดิ ขึ้นแลวเสอื่ มไป เม่อื
ทา นทัง้ หลายพิจารณาเชน น้ันจกั เปน ผแู ทงตลอด พระองคตรสั พระธรรมเทศนาเพยี ง
เทา นก้ี ป็ ดพระโอษฐม ิไดตรัสอะไรตอไปอีกเลย จึงเรยี กวา ปจฉมิ เทศนาอธบิ ายความ
ตอ ไปวา สังขารมันเกดิ ขึ้นท่ีไหน อะไรเปน สงั ขาร สังขารมันก็เกิดขน้ึ ท่ีจิตของเราเอง
เปนอาการของจิตพาใหเ กิดขน้ึ ซงึ่ สมมตทิ งั้ หลาย สังขารนีแ้ ล เปนตวั การสมมตบิ ญั ญัติ
สง่ิ ทั้งหลายในโลกความจรงิ ในโลกทงั้ หลายหรอื ธรรมธาตทุ งั้ หลายเขามเี ขาเปน อยอู ยาง
น้ัน แผน ดนิ ตน ไม ภเู ขา ฟา แดด เขาไมไดวาเขาเปน นน้ั เปนนเ้ี ลย เจาสงั ขารตวั การน้เี ขา
ไปปรงุ แตง วา เขาเปนนั้นเปน น้จี นหลงกนั วา เปน จริง ถอื เอาวา เปน ตวั เรา เปนของๆ เรา
เสยี สน้ิ จงึ มี ราคะ โทสะ โมหะ เกดิ ขนึ้ ทําจติ ดั้งเดิมใหห ลงตามไป เกิด แก เจบ็ ตาย
เวยี นวา ยไปไมม ีที่สน้ิ สดุ เปน อเนกภพ อเนกชาติ เพราะเจาตัวสงั ขารน้นั แลเปน ตัวเหตุ
จงึ ทรงสอนใหพจิ ารณาสังขารวา สพเฺ พ สงขฺ ารา อนจิ จฺ า สพฺเพ สงขฺ ารา ทกุ ฺขา ใหเปน
ปรีชาญาณชดั แจง เกิดจากผลแหง การเจริญปฏภิ าคเปน สวนเบื้องตน จนทําจิตใหเ ขา
ภวงั ค เมือ่ กระแสแหงภวังคห ายไป มีญาณเกดิ ขึ้นวา “นน้ั เปนอยา งนนั้ เปนสภาพไมเท่ียง
เปนทกุ ข” เกดิ ข้ึนในจติ จรงิ ๆ จนชํานาญเหน็ จรงิ แจง ประจักษ กร็ เู ทา สงั ขารได สังขารก็
จะมาปรงุ แตงใหจ ติ กาํ เริบอีกไมได ไดในคาถาวา อกุปปฺ  สพพฺ ธมเฺ มสุ เญยฺยธมฺมา
ปเวสสฺ นฺโต เม่อื สังขารปรุงแตง จิตไมไ ดแ ลว กไ็ มกําเรบิ รเู ทาธรรมทัง้ ปวง สนฺโต ก็เปนผู
สงบระงบั ถงึ ซ่งึ วิมตุ ติธรรม ดว ยประการฉะน้ี

ปจ ฉิมเทศนานเี้ ปนคาํ สําคัญแท ทําใหผ ูพิจารณารูแจง ถึงท่สี ดุ พระองคจงึ ไดปด
พระโอษฐแ ตเพยี งน้ี

พระธรรมเทศนาใน ๓ กาลน้ี ยอ มมีความสาํ คัญเหนือความสําคญั ในทกุ ๆ กาล
ปฐมเทศนาก็เลง็ ถงึ วิมตุ ติธรรม มชั ฌิมเทศนาก็เลง็ ถึงวมิ ุตติธรรม ปจ ฉมิ เทศนาก็เล็งถึง
วมิ ตุ ติธรรม รวมทง้ั ๓ กาล ลวนแตเล็งถงึ วมิ ตุ ติธรรมท้ังส้ิน ดว ยประการฉะน้ี

๑๗. พระอรหนั ตทุกประเภทบรรลุทั้งเจโตวิมตุ ติ ทง้ั ปญญาวิมตุ ติ

อนาสวํ เจโตวมิ ุตฺตึ ปฺญาวมิ ุตตฺ ึ ทฏิ เฐว ธมเฺ ม สยํ อภิฺญา สจฺฉกิ ตวา อปุ ฺปสมปฺ ชฺช
วหิ รติ พระบาลนี ีแ้ สดงวา พระอรหันตทั้งหลายไมว าประเภทใดยอ มบรรลุทงั้ เจโตวมิ ุตติ
ท้งั ปญญาวิมตุ ติ...ท่ีปราศจากอาสวะในปจ จบุ ัน หาไดแ บงแยกไวว า ประเภทนน้ั บรรลุแต
เจโตวมิ ุตติ หรอื ปญญาวิมตุ ไิ ม ที่เกจิอาจารยแตงอธิบายไววา เจโตวิมตุ ติเปนของพระ
อรหันตผูไ ดสมาธกิ อ น สวนปญ ญาวมิ ตุ ตเิ ปนของพระอรหนั ตส กุ ขวิปส สกผเู จรญิ
วปิ สสนาลว นๆ น้นั ยอมขัดแยง ตอมรรค มรรคประกอบดวยองค ๘ มีทั้งสมั มาทิฏฐิ ทัง้
สมั มาสมาธิ ผูจะบรรลุวมิ ตุ ตธิ รรมจาํ ตองบําเพญ็ มรรค ๘ บริบรู ณ มิฉะนน้ั ก็บรรลวุ ิมตุ ติ
ธรรมไมไ ด ไตรสกิ ขาก็มที ง้ั สมาธิ ทงั้ ปญญา อันผูจ ะไดอาสวักขยญาณจาํ ตอ งบําเพ็ญ
ไตรสกิ ขาใหบรบิ รู ณทงั้ ๓ สวน ฉะนั้นจึงวา พระอรหนั ตท ุกประเภทตอ งบรรลุทง้ั เจโต
วิมตุ ติ ทั้งปญญาวิมุตติดว ยประการฉะนี้แลฯ

มุตโตทัย ๒

สว นท่ี ๒
บนั ทึกโดย พระอาจารยว ัน อตุ ฺตโม และ พระอาจารยทองคาํ ญาโณภาโส

ณ วัดปา บา นหนองผือ อ. พรรณานคิ ม จ. สกลนคร
พ.ศ. ๒๔๙๑ - ๒๔๙๒

๑. เร่อื ง มลู กรรมฐาน

กุลบตุ รผบู รรพชาอปุ สมบทเขามาในพระพุทธศาสนาน้ีแลว ใครเลาไมเคยเรยี น
กรรมฐานมา บอกไดท เี ดยี ววา ไมเคยมี พระอปุ ช ฌายทกุ องคเมอื่ บวชกลุ บตุ รจะไมส อน
กรรมฐานกอนแลว จงึ ใหผาภายหลงั ไมม ี ถา อปุ ชฌายอ งคใดไมสอนกรรมฐานกอน
อปุ ชฌายองคน ัน้ ดาํ รงความเปนอุปชฌายะตอไปไมไ ด ฉะน้ันกลุ บุตรผบู วชมาแลวจึงได
ชอ่ื วาเรียนกรรมฐานมาแลว ไมต องสงสัยวา ไมไ ดเรยี น

พระอุปชฌายะสอนกรรมฐาน ๕ คอื เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทนั ตา ฟน ตโจ
หนงั ในกรรมฐานท้งั ๕ นี้ มีหนังเปนที่สดุ ทําไมจึงสอนถงึ หนังเทาน้นั ? เพราะเหตวุ า
หนัง มนั เปน อาการใหญ คนเราทุกคนตอ งมีหนงั หุมหอ ถา ไมม หี นัง ผม ขน เล็บ ฟน ก็
อยไู มได ตอ งหลดุ หลนทําลายไป เนอ้ื กระดูก เอน็ และอาการท้งั หมดในรา งกายน้ี ก็จะ

อยไู มไ ด ตองแตกตองทาํ ลายไป คนเราจะหลงรปู ก็มาหลง หนัง หมายความสวยๆ งามๆ
เกดิ ความรักใครแลวกป็ รารถนาเพราะมาหมายอยูท่ีหนงั เมอ่ื เห็นแลวกส็ ําคัญเอา
ผวิ พรรณของมัน คือผิว ดํา-ขาว-แดง-ดําแดง-ขาวแดง ผิวอะไรตออะไร ก็เพราะหมายสี
หนัง ถาไมม ีหนงั แลว ใครเลา จะหมายวาสวยงาม? ใครเลาจะรักจะชอบจะปรารถนา? มี
แตจ ะเกลยี ดหนา ยไมปรารถนา ถาหนงั ไมห มุ หอ อยูแลว เนอ้ื เอ็นและอาการอ่ืนๆ ก็จะอยู
ไมได ท้ังจะประกอบกจิ การอะไรก็ไมได จงึ วา หนังเปน ของสําคญั นกั จะเปน อยไู ดก นิ ก็
เพราะหนัง จะเกิดความหลงสวยหลงงามก็เพราะมีหนงั ฉะนัน้ พระอุปช ฌายะทา นจึง
สอนถงึ แตหนังเปนท่ีสุด ถาเรามาต้ังใจพิจารณาจนใหเ ห็นความเปอ ยเนาเกิดอสุภนมิ ิต
ปรากฏแนแ กใจแลว ยอ มจะเหน็ อนิจจสจั จธรรม ทกุ ขสัจจธรรม อนัตตาสัจจธรรม จึงจะ
แกความหลงสวยหลงงามอนั มั่นหมายอยูทห่ี นังยอมไมส าํ คัญหมาย และไมช อบใจ ไม
ปรารถนาเอาเพราะเหน็ ตามความเปนจริง เม่อื ใดเชอื่ คาํ สอนของพระอปุ ชฌายะไม
ประมาทแลว จึงจะไดเห็นสัจจธรรม ถาไมเชอื่ คําสอนพระอุปชฌายะ ยอมแกค วามหลง
ของตนไมไ ด ยอ มตกอยูในบวงแหงรัชชนอิ ารมณ ตกอยูในวัฏจักร เพราะฉะนั้น คาํ สอน
ทพี่ ระอปุ ชฌายะไดส อนแลว แตก อ นบวชนนั้ เปน คําสอนทจี่ รงิ ทด่ี ีแลว เราไมตองไป
หาทางอ่ืนอีก ถา ยงั สงสยั ยังหาไปทางอนื่ อกี ช่อื วายงั หลงงมงาย ถาไมหลงจะไปหาทําไม
คนไมห ลงก็ไมมีการหา คนที่หลงจึงมกี ารหา หาเทา ไรยิง่ หลงไปไกลเทานั้น ใครเปนผู
ไมห า มาพจิ ารณาอยูในของทมี่ ีอยูน้ี กจ็ ะเหน็ แจง ซึ่งภตู ธรรม ฐตี ธิ รรม อนั เกษมจากโย
คาสวะท้ังหลาย

ความในเรอื่ งนี้ ไมใ ชมติของพระอุปชฌายะท้ังหลายคิดไดแ ลวสอนกุลบุตรตามมติ
ของใครของมัน เนื่องดวยพุทธพจนแหงพระพทุ ธองคเ จา ไดทรงบญั ญัตไิ วใ หอ ปุ ชฌายะ
เปน ผสู อนกุลบุตรผบู วชใหม ใหกรรมฐานประจําตน ถา มิฉะน้ันก็ไมสมกบั การออกบวช
ทีไ่ ดส ละบานเรือนครอบครัวออกมาบําเพญ็ เนกขัมมธรรม หวงั โมกขธรรม การบวชก็จะ
เทา กับการทําเลน พระองคไ ดท รงบัญญัตมิ าแลว พระอุปชฌายะทง้ั หลายจึงดํารง
ประเพณีน้สี ืบมาตราบเทาทกุ วนั น้ี พระอปุ ชฌายะสอนไมผ ิด สอนจรงิ แทๆ เปน แต
กุลบตุ รผูรับเอาคําสอนไมต งั้ ใจ มัวประมาทลุมหลงเอง ฉะน้ันความในเร่ืองน้ี วญิ ชู น
จึงไดรับรองทีเดียววา เปนวสิ ทุ ธมิ รรคเทยี่ งแท

๒. เร่ือง ศลี

สีลํ สลี า วยิ ศลี คอื ความปกติ อุปมาไดเทากบั หนิ ซงึ่ เปนของหนักและเปน แกน ของ
ดนิ แมจะมีวาตธาตมุ าเปาสักเทาใด ก็ไมม ีการสะเทือนหว่ันไหวเลย แตว า เราจะสําคญั ถอื
แตเพียงคําวา ศลี เทานัน้ กจ็ ะทาํ ใหเ รางมงายอีก ตองใหร จู กั เสียวา ศลี นั้นอยทู ไี่ หน? มี
ตัวตนเปนอยา งไร? อะไรเลาเปน ตัวศีล? ใครเปนผูร ักษา? ถารจู ักวาใครเปนผรู ักษาแลว ก็
จะรจู ักวาผูน้ันเปนตวั ศลี ถาไมเ ขาใจเรอื่ งศีล ก็จะงมงายไมถ ือศีลเพยี งนอกๆ เดย๋ี วก็ไป
หาเอาทนี่ นั้ ทนี จี้ ึงจะมศี ีล ไปขอเอาทนี่ ั่นทน่ี ่ีจึงมี เมื่อยงั เทย่ี วหาเท่ยี วขออยไู มใชห ลงศลี
ดอกหรือ? ไมใ ชส ีลพตั ตปรามาสถอื นอกๆ ลบู ๆ คลาํ ๆ อยหู รอื ?

อทิ ํ สจจฺ าภนิ ิเวสทฏิ ฐิ จะเห็นความงมงายของตนวาเปน ของจริงเท่ียงแท ผไู มหลง
ยอมไมไ ปเท่ียวขอเที่ยวหา เพราะเขาใจแลว วา ศลี ก็อยูท่ตี นน้ี จะรกั ษาโทษทัง้ หลายกต็ น
เปน ผูร ักษา ดงั ท่วี า “เจตนาหํ ภกิ ขฺ เว สลี ํ วทามิ” เจตนา เปนตัวศลี เจตนา คอื อะไร?
เจตนานต้ี อ งแปลงอีกจึงจะไดค วาม ตองเอาสระ เอ มาเปน อิ เอา ต สะกดเขาไป เรียกวา
จิตฺต คอื จิตใจ คนเราถาจิตใจไมมี กไ็ มเรียกวาคน มีแตกายจะสําเร็จการทาํ อะไรได?
รา งกายกับจิตตองอาศัยซึ่งกันและกัน เม่ือจติ ใจไมเปนศีล กายกป็ ระพฤตไิ ปตางๆ จงึ
กลา วไดว าศีลมตี ัวเดยี ว นอกนั้นเปน แตเ ร่อื งโทษทคี่ วรละเวน โทษ ๕ โทษ ๘ โทษ ๑๐
โทษ ๒๒๗ รักษาไมใหมโี ทษตางๆ กส็ าํ เรจ็ เปน ศลี ตัวเดยี ว รกั ษาผูเดยี วนั้นไดแลว มนั ก็
ไมมีโทษเทา น้ันเอง ก็จะเปนปกติแนบเนียนไมห ว่นั ไหว ไมม เี รื่องหลงมาหาหลงขอ คน
ท่ีหาขอตองเปน คนทกุ ข ไมมีอะไรจึงเท่ียวหาขอ เดี๋ยวกก็ ลาวยาจามิๆ ขอแลว ขอเลา ขอ
เทา ไรยงิ่ ไมมียิ่งอดอยากยากเข็ญ เราไดม าแลว มีอยแู ลว ซ่งึ กายกบั จติ รปู กายก็เอามาแลว
จากบิดามารดาของเรา จิตก็มอี ยแู ลว ชอื่ วา ของเรามีพรอ มบริบูรณแลว จะทําใหเปนศลี ก็
ทําเสยี ไมต อ งกลา ววาศีลมอี ยทู โ่ี นนท่นี ี้ กาลนนั้ จงึ จะมีกาลนจ้ี ึงจะมี ศีลมีอยูท เ่ี รานีแ้ ลว
อกาลโิ ก รกั ษาไดไมม กี าล ไดผ ลกไ็ มมีกาล

เรอ่ื งน้ตี อ งมีหลักฐานพรอมอีก เมอื่ ครัง้ พทุ ธกาลนน้ั พวกปญ จวัคคียก็ดี พระยส
และบิดามารดาภรรยาเกาของทานก็ดี ภทั ทวัคคียช ฏลิ ทั้งบริวารกด็ ี พระเจา พิมพสิ าร และ
ราชบรพิ าร ๑๒ นหุตก็ดี ฯลฯ กอนจะฟงพระธรรมเทศนาของพระผูมีพระภาคเจา ไม
ปรากฏวา ไดสมาทานศีลเสียกอนจงึ ฟงเทศนา พระองคเทศนาไปทีเดยี ว ทาํ ไมทา น
เหลา นั้นจึงไดสาํ เร็จมรรคผล ศลี สมาธิ ปญ ญา ของทานเหลานัน้ มาแตไหน ไมเ หน็
พระองคตรัสบอกใหทานเหลานน้ั ของเอาศีล สมาธิ ปญ ญา จากพระองค เมื่อไดล้มิ รส
ธรรมเทศนาของพระองคแลว ศลี สมาธิ ปญ ญา ยอ มมีขน้ึ ในทา นเหลา นั้นเอง โดยไมมี

การขอและไมม กี ารเอาให มัคคสามัคคี ไมม ีใครหยิบยกใหเขากนั จิตดวงเดยี วเปนศลี
เปนสมาธิ เปนปญ ญา ฉะน้ันเราไมหลงศลี จึงจะเปนวิญูชนอันแทจ รงิ

๓. เร่ือง ปาฏโิ มกขสงั วรศลี

พระวินัย ๕ คัมภีร สงเคราะหลงมาในปาฏิโมกขุทเทส เม่ือปฏิบัตไิ มถ ูกตอ งตาม
พระวินัยยอ มเขา ไมได ผปู ฏิบัตถิ กู ตามพระวนิ ัยแลว โมกขฺ ํ ชอ่ื วาเปน ทางขามพนวัฏฏะ
ได ปาฏิโมกขน ้ียงั สงเคราะหเขาไปหาวิสุทธมิ รรคอีก เรยี กวา ปาฏโิ มกขสังวรศีล ในสลี
นิเทศ

สีลนเิ ทศน้ัน กลา วถงึ เรอ่ื งศีลทัง้ หลาย คือปาฏิโมกขสงั วรศลี ๑ อนิ ทรียสงั วรศลี ๑
ปจ จยสนั นิสสิตศลี ๑ อาชีวปารสิ ุทธิศีล ๑ สว นอีก ๒ คัมภรี นนั้ คือ สมาธินิเทศ และ
ปญญานเิ ทศ วสิ ุทธิมรรคทงั้ ๓ พระคัมภรี นสี้ งเคราะหเขาในมรรคทง้ั ๘ มรรค ๘
สงเคราะหลงมาในสิกขาท้ัง ๓ คือ ศลี สมาธิ ปญ ญา เม่อื จะกลาวถงึ เร่ืองมรรคแลว ความ
ประโยคพยายามปฏิบัตดิ ดั ตนอยู ช่ือวา เดนิ มรรค สตปิ ฏ ฐานทั้ง ๔ ก็เรยี กวา มรรค
อรยิ สัจจ ๔ กช็ อ่ื วา มรรค เพราะเปนกิรยิ าที่ยงั ทําอยู ยงั มีการดําเนินอยู ดังภาษติ วา “สจฺ
จานํ จตโุ รปทา ขีณาสวา ชตุ ิมนฺโต เต โลเก ปรินพิ พฺ ตุ า” สําหรับเทาตองมกี ารเดนิ คนเรา
ตองไปดวยเทา ทง้ั นน้ั ฉะน้ันสัจจะทั้ง ๔ กย็ งั เปนกริ ยิ าอยู เปน จรณะเครื่องพาไปถึงวิ
สุทธธิ รรม วสิ ทุ ธิธรรมนน้ั จะอยทู ่ีไหน? มรรคสจั จะอยูทไี่ หน? วสิ ุทธธิ รรมก็ตอ งอยทู ี่
นั่น! มรรคสจั จะไมมอี ยูท่อี น่ื มโนเปนมหาฐาน มหาเหตุ วสิ ุทธิธรรมจึงตองอยูท ใ่ี จของ
เรานเี่ อง ผเู จรญิ มรรคตองทําอยทู ีน่ ี้ ไมตองไปหาทอ่ี ่นื การหาท่ีอน่ื อยชู ือ่ วายงั หลง ทาํ ไม
จึงหลงไปหาที่อน่ื เลา ? ผไู มหลงกไ็ มต อ งหาทางอน่ื ไมตอ งหากับบุคคลอืน่ ศีลกม็ ใี นตน
สมาธิกม็ ีในตน ปญ ญากม็ ีอยูกบั ตน ดงั บาลีวา เจตนาหํ ภกิ ขฺ เว สีลํ วทามิ เปนตน กายกับ
จติ เทานป้ี ระพฤตปิ ฏบิ ัติศีลได ถา ไมม กี ายกับจติ จะเอาอะไรมาพูดออกวา ศีลได คาํ ทว่ี า
เจตนานั้นเราตอ งเปลีย่ นเอาสระเอขึน้ บนสระอิ เอาตัว ต สะกดเขาไป ก็พดู ไดวา จิตตฺ ํ
เปนจิต จิตเปนผูคดิ งดเวน เปนผูระวงั รักษา เปน ผูป ระพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ซง่ึ มรรคและผลให
เปน ไปได พระพทุ ธเจาก็ดี พระสาวกขณี าสวเจากด็ ี จะชําระตนใหหมดจดจากสงั กิเลส
ทั้งหลายได ทานก็มีกายกับจิตทั้งนัน้ เมื่อทานจะทาํ มรรคและผลใหเกิดมีไดกท็ าํ อยทู ี่นี่
คอื ทก่ี ายกบั จิต ฉะน้ันจึงกลาวไดวา มรรคมีอยทู ่ีตนของตนนี้เอง เมือ่ เราจะเจริญซง่ึ สมถ
หรอื วปิ ส สนา กไ็ มตองหนจี ากกายกบั จิต ไมตอ งสงนอก ใหพจิ ารณาอยใู นตนของตน

เปน โอปนยโิ ก แมจ ะเปน ของมอี ยูภายนอก เชน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ เปนตน ก็
ไมต องสงออกเปน นอกไป ตองกําหนดเขามาเทียบเคยี งตนของตน พจิ ารณาอยทู ่ีนี้
ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิฺ ูหิ เมอื่ รกู ็ตองรูเ ฉพาะตน รูอยใู นตน ไมไ ดร ูมาแตนอก เกิด
ขึน้ กับตนมขี ึ้นกับตน ไมไ ดหามาจากทีอ่ ื่นไมมใี ครเอาให ไมไดข อมาจากผูอืน่ จงึ ไดช อ่ื
วา ญาณ ทสสฺ นํ สวุ ิสทุ ธํ อโหสิ ฯลฯ เปน ความรเู ห็นทีบ่ ริสุทธ์ิแท ฯลฯ

๔. เร่อื ง ธรรมคตวิ มิ ตุ ติ

สมเดจ็ พระผูมีพระภาคเจาน้ันมิใชวาพระองคจะมีปญญาพิจารณาเอาวมิ ตุ ติธรรม
ใหไ ดว ันหนง่ึ วนั เดียว พระองคท รงพจิ ารณามาแตย ังเปน ฆราวาสอยูห ลายป นับแตครง้ั ท่ี
พระองคไ ดราชาภเิ ษกเปน กษัตริย พวกพระญาตพิ ระวงศไดแตงตัง้ พระองคไดเ ปน เชนนี้
แลว ยอมเปน ผไู มน อนใจ จาํ เปนที่พระองคจะตอ งคิดใชป ญญาพจิ ารณาทกุ สิ่งทุกอยา ง
ในการปกครองปอ งกนั ราษฎรท้งั ของเขต และการรักษาครอบครัวตลอดถึงพระองค ก็
จะตอ งทรงคิดรอบคอบเสมอถาไมทรงคดิ ไมม ีพระปญ ญา ไฉนจะปกครองบา นเมือง
ไพรฟ า ใหผาสกุ สบายได แมพ ระองคทรงคดิ ในเรื่องของผูอ่นื และเรือ่ งของพระองคเ อง
เสมอแลว ปญญาวิวัฎฏข องพระองคจึงเกิดข้ึนวา เราปกครองบังคับบญั ชาไดก แ็ ตก าร
บา นเมอื งเทา นี้ สว นการ เกดิ แก เจ็บ ตายเลา เราบงั คับบญั ชาไมไดเ สียแลว จะบังคบั
บญั ชาไมใหส ตั วท ้ังหลายเกิดก็ไมไ ด เมอื่ เกดิ แลว จะบงั คบั ไมใหแกช รากไ็ มไ ด จะบังคับ
ไมใหตายกไ็ มได เราจะบังคับ ความเกิด ความแก ความเจบ็ ความตาย ของผูอ่ืนกไ็ มได
แมแตตัวของเราเองเลาก็บังคับไมไ ด ทรงพิจารณาเปน อนโุ ลมและปฏิโลม กลบั ไป
กลบั มา พจิ ารณาเทา ไรก็ยง่ิ เกิดความสลดสังเวช และทอ พระทัยในการจะอยูเปน
ผปู กครองราชสมบัติตอไป การท่ีอยใู นฆราวาสรักษาสมบัตเิ ชนน้เี พือ่ ตอ งการอะไร?
เปน ผมู ีอาํ นาจเทาน้ี มสี มบัติขา วของเชนนี้ จะบงั คับหรือจะซ้อื หรือประกันซึง่ ความเกดิ
แก เจบ็ ตายก็ไมได จงึ ทรงใครค รวญไปอกี วา เราจะทาํ อยางไรจงึ จะหาทางพนจากความ
เกิด แก เจ็บ ตายน้ไี ด จึงไดความอุปมาข้ึนวา ถา มีรอ นแลวก็ยังมเี ยน็ เปน เครื่องแกก นั ได
มีมดื แลว ยังมสี วางแกกัน ถามเี กิด แก เจบ็ ตาย แลว อยางไรก็คงมีทางไมเกิด ไมแ ก ไม
ตาย เปนแน จงึ ไดทรงพยายามใครครวญหาทางจะแกเ กิด แก เจ็บ ตาย ใหจนได แตวา
การจะแกเ กิด แก เจบ็ ตายนี้ เราอยูในฆราวาสเชน นี้ คงจะทําไมได เพราะฆราวาสนี้เปน
ท่คี บั แคบในย่ิงนกั มีแตก ารท่ีออกหนีเสยี จากการครองราชสมบตั ินี้ออกไปผนวชจงึ จะ
สามารถทําได

ครัน้ ทรงคดิ เชน นแี้ ลว ตอมาวนั หน่ึง พอถงึ เวลากลางคืน พวกนางสนมท้งั หลายได
พากนั มาบาํ รุงบาํ เรอพระองคอยูด ว ยการบําเรอท้งั หลาย ในเวลาท่ีนางสนมท้ังหลายยัง
บําเรออยนู ้นั พระองคท รงบรรทมหลับไปกอน คร้ันใกลเ วลาพระองคจะทรงตน่ื จาก
บรรทมนัน้ พวกนางสนมท้ังหลายกพ็ ากนั หลับเสียหมด แตไ ฟยงั สวา งอยู เม่ือนางสนมท่ี
บาํ เรอหลบั หมดแลว เผอิญพระองคทรงตน่ื ข้ึนมา ดว ยอํานาจแหงการพิจารณาท่พี ระองค
ทรงคดิ ไมเ ลกิ ไมแ ลวนน้ั ทําใหพระทัยของพระองคพลิกขณะ เลยเกดิ อคุ คหนมิ ิตขึ้น ลมื
พระเนตรแลว ทอดพระเนตรแลดพู วกนางสนมท้ังหลายทน่ี อนหลบั อยูน ้ันเปน ซากอสภุ ะ
ไปหมด เหมอื นกับเปนซากศพในปา ชา ผีดบิ จงึ ใหเกดิ ความสลดสงั เวชเหลือทีจ่ ะทนอยู
ได จึงตรสั กับพระองคเองวา เราอยทู ี่น้จี ะวาเปน ท่ีสนกุ สนานอยา งไรได คนทั้งหลาย
เหลา นลี้ วนแตเ ปน ซากศพในปาชา ทัง้ หมด เราจะอยูทาํ ไม จาํ เราจะตอ งออกผนวชใน
เดีย๋ วนี้ จึงทรงเครอื่ งฉลองพระองคถ ือพระขรรคแลว ออกไปเรียกนายฉันนะอาํ มาตยนํา
ทางเสด็จหนีออกจากเมืองไปโดยไมตองใหใครรจู กั ครนั้ รงุ แจงกบ็ รรลถุ ึงอโนมานที
ทรงขา มฝงแมนทแี ลวกถ็ า ยเครอ่ื งประดับและเครอื่ งทรงทีฉ่ ลองพระองคอ อกเสีย จงึ สง
เครอื่ งประดับใหน ายฉนั นะ ตรสั สง่ั ใหก ลบั ไปเมืองพรอ มดวยอัศวราชของพระองค
สว นพระองคไดเอาพระขรรคตดั พระเมาฬแี ละพระมสั สเุ สยี ทรงผนวชแตพ ระองคเดียว

เม่อื ผนวชแลวจึงเสาะแสวงหาศกึ ษาไปกอนคอื ไปศึกษาอยูในสาํ นักอาฬารดาบส
และอทุ กดาบส ครัน้ ไมสมประสงคจงึ ทรงหลีกไปแตพ ระองคเดียวไปอาศัยอยูราวปา
ใกลแ มนาํ้ เนรัญชรา แขวงอุรุเวลาเสนานคิ มไดมีปญจวัคคียไปอาศยั ดว ย พระองคไดทรง
ทําประโยคพยายามทาํ ทุกกรกิริยาอยา งเขมแข็ง จนถึงสลบตายก็ไมสําเรจ็ เมือ่ พระองค
ไดสตแิ ลวจงึ พจิ ารณาอีกวา การที่เรากระทําความเพียรนจ้ี ะมาทรมานแตก ายอยา งเดยี ว
เทา นไ้ี มควร เพราะจิตกบั กายเปน ของอาศัยกัน ถา กายไมม ีจะเอาอะไรทําประโยค
พยายาม และถา จติ ไมมี กายน้กี ็ทําอะไรไมได ตอนนั้ พระองคจึงไปพยุงพเยารางกายพอ
ใหม กี าํ ลงั แข็งแรงข้นึ พอควร จึงเผอญิ ปญ จวัคคยี พรอ มกันหนีไป คร้ันปญจวัคคียหนี
แลว พระองคกไ็ ดค วามวิเวกโดดเดี่ยวแตผูเดียว ไมตอ งพึ่งพาอาศัยใคร จึงไดเรงพจิ ารณา
อยางเตม็ ที่

เมอื่ ถงึ วนั ข้นึ ๑๕ ค่ํา เดอื น ๖ ประกา ในตอนเชารบั มธปุ ายาสของนางสชุ าดาเสวย
เสร็จแลว ก็พกั ผอ นอยตู ามราวปา นนั้ ใกลจะพลบค่าํ แลว จงึ เสด็จดาํ เนินมาพบโสตถยิ
พราหมณๆ ไดถ วายหญา คา ๘ กาํ แกพ ระองค พระองครบั แลว ก็มาทาํ เปนท่ีนง่ั ณ ภายใต

ตนอสั สัตถพฤกษ ผนิ พระพักตรไปทางบูรพาทิศ ผินพระปฤษฎางคเขาหาตนไมน ้นั เมอื่
พระองคประทบั น่ังเรียบรอยแลว จึงไดพยุงพระหฤทยั ใหเ ขมแข็ง ไดท รงต้ังสัจจาธษิ
ฐานมน่ั ในพระหฤทัยวา ถา เราไมบ รรลพุ ระสัมมาสัมโพธญิ าณตามความตองการแลว เรา
จะไมล กุ จากบลั ลังกนี้ แมเ ลอื ดและเนื้อจะแตกทําลายไป ยงั เหลืออยแู ตพ ระตจะและพระ
อัฏฐิกต็ ามที ตอนน้ั ไปจึงเจรญิ สมถและวปิ สสนาปญญา ทรงกาํ หนดพระอานาปานสติ
เปน ข้ันตน ในตอนตนน้ีแหละพระองคไ ดทรงชําระนวิ รณธรรมเต็มท่ี เจา เวทนาพรอ ม
ทั้งความฟุงซานไดมาประสพแกพระองคอยา งสาหสั ถา จะพูดวา มาร ก็ไดแกพ วกขัน
ธมาร มจั จุมาร กิเลสมาร เขา รงั ควาญพระองค แตว า สัจจาธษิ ฐานของพระองคยัง
เท่ียงตรงมน่ั คงอยู สติและปญ ญายงั พรอมอยู จึงทําใหจาํ พวกนิวรณเ หลานัน้ ระงับไป ปต ิ
ปส สัทธิ สมาธิ ไดเ กิดแลว แกพ ระองคจงึ ไดกลา ววา พระองคทรงชนะพระยามาราธริ าช
ในตอนนเ้ี ปนปฐมยาม เมอ่ื ออกสมาธติ อนนไ้ี ดเ กิดบุพเพนวิ าสานุสสตญิ าณ เมื่อพจิ ารณา
ไปก็ไมเหน็ ท่สี ้นิ สดุ จงึ กลับจิตทวนกระแสเขามาพจิ ารณาผมู ันไปเกิดใครค รวญไปๆ
มาๆ จติ ก็เขา ภวังคอ ีก เมื่อออกจากภวังคแ ลวจึงเกิดจุตูปปาตญาณขึ้นมาในยามท่ี ๒ คือ
มัชฌมิ ยาม ทรงพิจารณาไปตามความรูชนิดนี้ กย็ ังไมม ีความสิ้นสุด จงึ ทรงทวนกระแส
จิตเขา มาใครครวญอยูในเรอื่ งของผูพ าเปนไป พจิ ารณากลบั ไปกลับมาในปฏจิ จสมุป
บาทปจจยาการ จนจิตของพระองคเกิดความเบ่ือหนายสลดสังเวชเต็มท่แี ลว กล็ งสภู วงั ค
ถงึ ฐีติธรรมภูตธรรม จติ ตอนนถ้ี อยออกมาแลว จึงตดั สินขาดทีเดยี ว จึงบญั ญตั วิ า อาส
วักขยญาณ ทรงทราบวาจิตของพระองคส ิน้ แลวจากอาสวะ พน แลว จากบว งแหง มาร ไม
มเี กดิ แก เจ็บ ตาย พน แลว จากทุกข ถงึ เอกันตบรมสขุ สันติวิหารธรรม วเิ วกธรรม นโิ รธ
ธรรม วิมุตตธิ รรม นิพพานธรรม แล ฯ

๕. เร่อื ง อจั ฉรยิ ะ - อพั ภูตธรรม

สมเดจ็ พระผูมพี ระภาคเจาพระบรมศาสดาของพวกเรา เม่ือพระองคยังเปน ทาวศรี
ธารถ (สิทธตั ถราชกมุ าร) เสวยราชสมบัติอยู ทรงพจิ ารณา จตุนิมิต ๔ ประการ จงึ
บันดาลใหพระองคเสด็จออกสูมหาภิเนษกรมณทรงบรรพชา ทรงอธิษฐานบรรพชา ทร่ี มิ
ฝง แมน้าํ อโนมานที เครือ่ งสมถบริขารมีมาเอง เล่อื นลอยมาสวมพระกายเอง ทรงเพศเปน
บรรพชติ สมณสารปู สําเรจ็ ดวยบุญญาภนิ ิหารของพระองคเอง จงึ เปน การอศั จรรยไ มเ คย
มีไมเ คยเห็นมาในปางกอน จึงเปนเหตุใหพ ระองคอศั จรรยใจ ไมถอยหลังในการ
ประกอบความเพียร เพอื่ ตรสั รูพ ระอนตุ ตรสมั มาสัมโพธิญาณ คร้นั ทรงบําเพ็ญเพียรทาง

จิตตภาวนา ไมท อถอยตลอดเวลา ๖ ป ไดตรัสรูสจั จธรรม ของจรงิ โดยถูกตองแลว ก็ยิ่ง
เปนเหตใุ หพระองคท รงอัศจรรยใ นธรรมท่ไี ดต รัสรแู ลว นั้นอกี เปนอนั มาก

ในหมปู ฐมสาวกนนั่ เลา กป็ รากฏเหตุการณอันนาอัศจรรยเหมอื นกนั เชน ปญ จ
วัคคียก็ดี พระยสและสหายของทานก็ดี พระสาวกอื่นๆ ท่ีเปน เอหิภิกฺขกุ ด็ ี เมอื่ ไดฟง พระ
ธรรมเทศนาของพระบรมศาสดาแลว ไดส ําเรจ็ มรรคผล และทลู ขอบรรพชาอุปสมบทกับ
พระองค พระองคทรงเหยยี ดพระหัตตออกเปลง พระวาจาวา เอหภิ กิ ฺขุ ทา นจงเปนภกิ ษมุ า
เถิด ธรรมวนิ ยั เรากลาวดีแลว เพียงเทานีก้ ส็ าํ เร็จเปน ภิกษุในพระพทุ ธศาสนา อัฏฐบริขาร
เลอื่ นลอยมาสวมสอดกาย ทรงเพศเปนบรรพชติ สมณสารปู มรี ปู อันนาอศั จรรยนา เล่ือม
ในจรงิ สาวกเหลา นั้นกอ็ ัศจรรยต นเองในธรรมอนั ไมเคยรเู คยเหน็ อนั สําเร็จแลว ดวยบุญ
ฤทธแ์ิ ละอํานาจพระวาจาอิทธปิ าฏิหารยิ ข องพระบรมศาสดาจารย ทา นเหลาน้ันจะ
กลบั คืนไปบา นเกาไดอ ยางไร เพราะจิตของทานเหลานน้ั พน แลวจากบา นเกา และ
อัศจรรยใ นธรรมอนั ตนรตู นเห็นแลว ท้งั บริขารท่สี วมสอดกายอยูก็เปนผา บังสกุ ุลอยาง
อุกฤษฎ

ครั้นตอมาทานเหลา นั้นไปประกาศพระพุทธศาสนา มผี ูศรทั ธาเลอื่ มใสใครจ ะบวช
พระผมู ีพระภาคเจา ก็ทรงอนญุ าตใหพระสาวกบวชดวยตสิ รณคมนปู สมั ปทาสําเรจ็ ดว ย
การเขาถงึ สรณะท้ัง ๓ คืออทุ ิศเฉพาะพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ก็เปน ภกิ ษุเต็มท่ี

ครัน้ ตอ มา พระผูม ีพระภาคเจา ทรงมพี ระญาณเล็งเหน็ การณไ กล จงึ ทรงมอบความ
เปนใหญใหแ กส งฆ ทรงประทานญตั ตจิ ตตุ ถกรรมอุปสมั ปทาไวเปน แบบฉบบั อนั หมูเ รา
ผปู ฏบิ ตั ไิ ดดําเนนิ ตามอยูทุกวันน้ไี ดพ ากนั มาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา อุทศิ เฉพาะ
พระบรมศาสดาพรอมท้งั พระธรรมและพระสงฆแลว ทําความพากเพยี รประโยคพยายาม
ไปโดยไมตองถอยแลว กค็ งจะไดรับความอศั จรรยใ จในพระธรรมวนิ ัยบา งเปน แน ไม
นอ ยกม็ าก ตามวาสนาบารมี ของตนโดยไมสงสยั เลย ฯ

๖. เรอื่ ง วาสนา

กุศลวาสนา อกศุ ลวาสนา อพั ยากตวาสนา

อธั ยาศยั ของสัตว เปนมาแลวตา งๆ คอื ดี เลว และกลางๆ วาสนาก็เปนไปตาม
อัธยาศัย คือวาสนาท่ยี ่ิงกวาตวั วาสนาเสมอตวั วาสนาท่ีเลวทราม บางคนเปนผูม ีวาสนา
ยิง่ ในทางดมี าแลว แตค บกบั พาลวาสนากอ็ าจเปน เหมอื นคนพาลได บางคนวาสนายัง

ออ นแตค บกับบัณฑิตวาสนาก็เลื่อนข้ึนไปเปน บัณฑิต บางคนคบมิตรเปน กลางๆ ไมดี
ไมร าย ไมห ายนะ ไมเ สอ่ื มทราม วาสนากพ็ อประมาณสถานกลาง ฉะนั้นบุคคลพงึ
พยายามคบบณั ฑติ เพอ่ื เลอ่ื นภูมิวาสนาของตนใหส ูงข้นึ ไปโดยลําดบั

๗. เรือ่ ง สนทนาธรรมตามกาลเปนมงคลอุดม

กาเลน ธมฺมสฺสากจฉฺ า เอตมฺมงคฺ ลมตุ ฺตมํ

การปฤกษาไตถาม หรือการสดับธรรมตามกาล ตามสมัย พระบรมศาสดาตรัสวา
เปนมงคลความเจรญิ อนั อุดมเลศิ

หมเู ราตางคนก็มุงหนาเพอื่ ศกึ ษามาเองทัง้ น้นั ไมไดไ ปเชอื้ เชญิ นิมนตม า ครั้นมา
ศึกษามาปฏบิ ัติก็ตองทําจรงิ ปฏิบตั จิ รงิ ตามเยีย่ งอยา งพระบรมศาสดาจารยเ จา และสาวก
ขีณาสวะเจาผปู ฏบิ ัตมิ ากอน

เบอ้ื งตน พงึ พจิ ารณา สจั จธรรมคือของจริงท้ัง ๔ ไดแ ก เกิด แก เจ็บ ตาย อันทา นผู
เปนอรยิ บุคคลไดปฏิบตั ิกาํ หนดพิจารณามาแลว เกิด เราก็เกิดมาแลว คือรา งกายอัน
เปนอยูน้ีมใิ ชกอ นเกดิ หรอื ? แก เจบ็ ตาย กก็ อ นอนั น้ีแล เมื่อเราพจิ ารณาอยใู นอริ ิยาบถทง้ั
๔ เดินจงกรมบา ง ยนื กําหนดพิจารณาบาง นอนกําหนดพิจารณาบา ง จติ จะรวมเปน สมาธิ
รวมนอ ยกเ็ ปน ขณิกสมาธิ คือจติ รวมลงภวงั คห นอยหน่งึ แลวก็ถอนออกมา คร้นั พิจารณา
อยูไ มถ อยจนปรากฏเปน อุคคหนมิ ติ จะเปนนอกก็ตาม ในก็ตาม ใหพ ิจารณานิมติ นนั้ จน
จิตวางนิมติ รวมลงสูภ วงั ค ตํารงอยนู านพอประมาณแลว ถอยออกมา สมาธิในชัน้ นี้
เรยี กวา อปุ จารสมาธิ พึงพิจารณานิมิตนนั้ เร่ือยไปจนจติ รวมลงสภู วงั คเขา ถึงฐีติจติ เปน
อปั ปนาสมาธปิ ฐมฌาน ถึงซ่งึ เอกคั คตา ความมีอารมณเดยี ว คร้ันจติ ถอยออกมา กพ็ ึง
พจิ ารณาอกี แลวๆ เลา ๆ จนขยายแยกสว นเปนปฏภิ าคนมิ ิตไดตอไป คือพิจารณาวา ตาย
แลวมันจะเปนอะไรไปอีก มันจะตองเปอยเนา ผพุ งั ยงั เหลอื แตรางกระดูก กาํ หนดทัง้
ภายในคอื กายของตนทั้งภายนอกคือกายของผูอนื่ โดยใหเหน็ สว นตา งๆ ของรา งกายวา
สวนนีเ้ ปน ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั ฯลฯ เสนเอ็นนอยใหญม เี ทาไร กระดกู ทอนนอยทอ น
ใหญม เี ทาไร โดยชดั เจนแจม แจง กาํ หนดใหมนั เกิดขึน้ มาอกี แลว กําหนดใหมัน ยืน เดนิ
นั่ง นอน แลว ตายสลายไปสูสภาพเดิมของมัน คอื ไปเปน ดนิ นํา้ ไฟ ลม ถงึ ฐานะเดมิ ของ
มันนัน้ แล

เมอ่ื กําหนดจิตพจิ ารณาอยูอยา งนี้ ทัง้ ภายนอกทั้งภายใน ทาํ ใหมากใหหลาย ใหม ีทง้ั
ตายเกา ตายใหม มแี รง กาสนุ ขั ยอ้ื แยงกัดกินอยู ก็จะเกิดปรชี าญาณข้นึ ตามแตวาสนา
อปุ นิสัยของตน ดงั นีแ้ ล ฯ

๘. เรือ่ ง การทําจิตใหผ องใส

สจติ ตฺ ปริโยทปนํ เอตํ พทุ ฺธาน สาสนํ

การทําจิตของตนใหผ องใส เปนการทําตามคาํ สั่งสอนของพระพุทธเจาทง้ั หลาย

พระพทุ ธเจาผพู ระบรมศาสดา ไดต รัสสอนกาย วาจา จิต มิไดสอนอยา งอื่น สอน
ใหปฏิบตั ิ ฝก หัดจติ ใจ ใหเ อาจติ พิจารณากายเรียกวา กายานุปส สนาสติปฏฐาน หัดสตใิ ห
มากในการคน ควา ที่เรยี กวาธมั มวจิ ยะ พิจารณาใหพอทีเดียว เม่ือพิจารณาพอจนเปนสติ
สมั โพชฌงค จิตจงึ จะเปนสมาธริ วมลงเอง

สมาธมิ ี ๓ ขั้น คือ ขณิกสมาธิ จติ รวมลงไปสูฐ ตี ขิ ณะแลวพกั อยูหนอ ยหนงึ่ ถอย
ออกมาเสีย อุปจารสมาธิ จติ รวมลงสภู วงั คแ ลว พักอยูนานหนอ ยจงึ ถอยออกมารนู มิ ติ
อยางใดอยา งหนึ่ง และอัปปนาสมาธิ สมาธอิ นั แนวแน ไดแ กจิตรวมลงสูภวังคถงึ ฐตี ิ
ธรรมถึงเอกคั คตา ความมอี ารมณเดียว หยุดน่ิงอยูก ับท่ี มคี วามรตู วั อยูวา จติ ดํารงอยู และ
ประกอบดวยองคฌาน ๕ ประการ คอยสงบประณตี เขา ไปโดยลําดบั

เมอ่ื หัดจติ อยูอ ยางน้ี ช่ือวาทําจิตใหย ง่ิ ไดใ นพระบาลีวา อธจิ ิตฺ เต จ อาโยโค เอตํ
พทุ ธฺ าน สาสนํ การประกอบความพากเพียรทําจติ ใหยงิ่ เปนการปฏิบัติตามคาํ สอนของ
พระบรมศาสดาสมั มาสัมพทุ ธเจา

การพจิ ารณากายน้ีแล ชื่อวาปฏิบัติ อนั นกั ปราชญท ง้ั หลายมีพระสมั มาสมั พทุ ธเจา
เปนตนแสดงไว มหี ลายนัยหลายประการ ทานกลา วไวใ นมหาสตปิ ฏ ฐานสูตร เรียกวา กา
ยานปุ สสนาสตปิ ฏ ฐาน ในมลู กรรมฐานเรยี กวา เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ที่พระ
อปุ ช ฌายะสอนเบอ้ื งตน แหงการบรรพชาเปน สามเณร และในธรรมจักกัปปวตั นสูตรวา
ชาตปิ  ทุกขฺ า ชราป ทุกฺขา มรณมปฺ  ทกุ ขฺ ํ แมค วามเกิดก็เปนทุกข แมค วามแกกเ็ ปน ทุกข
แมความตายก็เปนทกุ ข ดงั นี้ บดั น้เี ราก็เกิดมาแลวมิใชหรือ? คร้นั เมือ่ บุคคลมาปฏบิ ตั ใิ ห
เปน โอปนยโิ ก นอมเขามาพิจารณาในตนน้แี ลว เปนไมผ ดิ เพราะพระธรรมเปน อกาลโิ ก
มอี ยูทกุ เมอ่ื อาโลโก สวางโรอ ยทู ั้งกลางวันและกลางคืน ไมมอี ะไรปดบังเลย ฯ

มตุ โตทัย ๒ (ตอ )
พระธรรมเทศนาของ พระอาจารยมั่น ภรู ทิ ตตฺ เถระ

๙. เรอื่ ง วธิ ีปฏิบัตขิ องผูเ ลา เรยี นมาก

ผูท ่ไี ดศกึ ษาเลา เรยี นคัมภีรว ินยั มาก มอี บุ ายมากเปนปรยิ ายกวา งขวาง คร้นั มาปฏิบตั ิ
ทางจิต จติ ไมค อ ยจะรวมงา ย ฉะนน้ั ตองใหเ ขาใจวาความรทู ไ่ี ดศกึ ษามาแลวตองเก็บใสต ู
ใสห บี ไวเสียกอ น ตอ งมาหดั ผรู คู ือจติ น้ี หัดสตใิ หเปนมหาสติ หดั ปญญาใหเปนมหา
ปญญา กําหนดรเู ทามหาสมมต-ิ มหานยิ ม อันเอาออกไปตง้ั ไววาอนั น้นั เปนอันน้นั เปน
วนั คนื เดอื นป เปน ดินฟาอากาศ กลางหาวดาวนักขัตตฤกษส ารพดั สง่ิ ทั้งปวง อันเจา
สังขารคือการจิตหาออกไปตัง้ ไวบัญญัติไววา เขาเปนน้นั เปนนี้ จนรเู ทาแลว เรยี กวา
กําหนดรทู กุ ข สมุทัย เม่อื ทําใหม าก-เจรญิ ใหมาก รเู ทา เอาทันแลว จติ ก็จะรวมลงได เมอื่
กําหนดอยูก็ชอื่ วา เจรญิ มรรค หากมรรคพอแลว นโิ รธก็ไมต องกลาวถึง หากจะปรากฏ
ชัดแกผ ปู ฏิบตั ิเอง เพราะศลี ก็มอี ยู สมาธิกม็ ีอยู ปญ ญากม็ อี ยูในกาย วาจา จิตนี้ ท่เี รียกวา
อกาลโิ ก ของมอี ยทู ุกเม่อื โอปนยโิ ก เม่ือผูปฏบิ ัตมิ าพิจารณาของท่มี อี ยู ปจจฺ ตฺตํ จงึ จะรู
เฉพาะตัว คือมาพจิ ารณากายอนั นใี้ หเปนของอสุภะ เปอยเนา แตกพงั ลงไป ตามสภาพ
ความจริงของภูตธาตุ ปพุ เฺ พสุ ภูเตสุ ธมเฺ มสุ ในธรรมอนั มีมาแตเกากอ น สวางโรอ ยทู ั้ง
กลางวันและกลางคืน ผูมาปฏบิ ตั ิพจิ ารณาพงึ รูอุปมารปู เปรียบดงั น้ี อันบคุ คลผทู ํานาก็
ตองทําลงไปในแผนดนิ ลยุ ตมลุยโคลนตากแดดกราํ ฝน จึงจะเหน็ ขาวเปลอื ก ขา วสาร
ขา วสุกมาได และไดบรโิ ภคอม่ิ สบาย ก็ลว นทาํ มาจากของมีอยูท้ังสิ้นฉนั ใด ผปู ฏบิ ัติกฉ็ ัน
นั้น เพราะ ศีล สมาธิ ปญ ญา ก็มอี ยใู น กาย วาจา จิต ของทกุ คน ฯ

๑๐. เรื่อง ขอ ปฏบิ ตั เิ ปน ของมอี ยูท กุ เมอ่ื

ขอปฏบิ ตั สิ าํ หรับผูปฏิบัตทิ ้ังหลาย ไมมีปญหาโอปนยิโก นอมจติ เขามาพิจารณา
กาย วาจา จิตอกาลิโกอันเปน ของมอี ยู อาโลโกสวางโรอ ยทู ง้ั กลางวนั และกลางคืน
ปจจฺ ตตฺ ํ เวทิตพฺโพ วิญูหิ อนั นักปราชญท้งั หลาย มพี ระพุทธเจา และพระอรยิ สาวกเจา
ท้งั หลายผูนอมเขามาพิจารณาของมีอยนู ี้ ไดร แู จงจําเพาะตัวมาแลว เปนตวั อยา ง ไมใ ชวา
กาลน้ันจึงจะมี กาลนี้จงึ จะมี ยอมมีอยูทุกกาล ทกุ สมัย ผูปฏิบตั ยิ อ มรไู ดเฉพาะตัว คอื ผิดก็
รจู กั ถูกก็รูจ กั ในตนของตนเอง ดีช่วั อยา งไรตวั ของตัวยอ มรจู ักดีกวา ผูอ ื่น ถาเปนผหู มั่น
พนิ จิ พิจารณาไมม วั ประมาทเพลิดเพลินเสีย

ตวั อยา งท่มี มี าแลวคอื มาณพ ๑๖ คน ซึ่งเปน ศิษยข องพาวรพี ราหมณ ทา นเหลาน้นั
เจรญิ ญานกสณิ ติดอยูใ นรูปฌานและอรูปฌาน พระบรมศาสดาจารยจึงตรัสสอนให
พิจารณาของมอี ยใู นตน ใหเห็นแจงดวยปญญาใหร วู า กามภพเปนเบอ้ื งต่ํา รปู ภพเปน
เบอ้ื งกลาง อรปู ภพเปนเบื้องบน แลวถอยลงมาใหร วู า อดีตเปนเบอ้ื งตํ่า อนาคตเปน เบื้อง
บน ปจ จุบันเปนทามกลาง แลวชักเขา มาหาตวั อกี ใหรูว า อทุ ฺธํ อโธ ตริ ิยจฺ าป มชเฺ ฌ
เบ้ืองตํ่าแตปลายผมลงไป เบือ้ งบนแตพ้นื เทา ขนึ้ มา เบือ้ งขวางฐานกลาง เมื่อทาน
เหลานน้ั มาพิจารณาอยูอยางนี้ ปจจฺ ตฺตํ จงึ รเู ฉพาะข้ึนท่ตี วั ของตัวโดยแจม แจง ส้ินความ
สงสยั ขอ ปฏบิ ัติ ไมต อ งไปเท่ยี วแสวงหาท่อี ่ืนใหลําบาก ฯ

๑๑. เรือ่ ง ไดฟงธรรมทกุ เมอื่

ผูปฏบิ ตั ิพึงใชอ บุ ายปญ ญาฟง ธรรมเทศนาทุกเมื่อถึงจะอยูคนเดียวก็ตาม คอื อาศัย
การสาํ เหนยี ก กาํ หนดพจิ ารณาธรรมอยทู ัง้ กลางวันและกลางคืน ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ก็
เปน รปู ธรรมท่ีมีอยปู รากฏอยู รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ กม็ อี ยูปรากฏอยู ไดเหน็ อยู
ไดย นิ อยู ไดส ดู ดม ล้ิม เลีย และสมั ผสั อยู จติ ใจเลา? ก็มอี ยู ความคดิ นึกรสู ึกในอารมณ
ตา งๆ ทั้งดีและรา ยกม็ อี ยู ความเส่อื ม ความเจริญ ทัง้ ภายนอกภายใน กม็ ีอยู ธรรมชาติ
อนั มอี ยโู ดยธรรมดา เขาแสดงความจรงิ คือความไมเ ที่ยง เปน ทุกข เปน อนตั ตา ให
ปรากฏอยู ทกุ เมอื่ เชนใบไมม นั เหลอื งหลนรว งลงจากตน กแ็ สดงความไมเ ที่ยงใหเ หน็
ดงั นี้เปนตน เม่ือผูปฏิบัติมาพินิจพิจารณาดวยสติปญญา โดยอุบายนอ้ี ยเู สมอแลว ชื่อวา
ไดฟง ธรรมอยูทกุ เม่อื ทงั้ กลางวันและกลางคนื แล ฯ

๑๒. เรอื่ ง ปรญิ เญยยฺ ธรรม

การกําหนดพจิ ารณาธรรมเรยี กบรกิ รรมจิตท่กี าํ ลังทําการกําหนดพจิ ารณาธรรม
อยา งเอาใจใส เมือ่ ไดความแนใ จในเหตุผลของธรรมท่ีพจิ ารณานั้นแลว จิตจะสงบรวมลง
สภู วงั ค ดํารงอยหู นอยหนงึ่ แลวกถ็ อยออก ความสงบในข้ันน้ีเรยี ก บริกรรมสมาธิ หรอื
ขณกิ สมาธิ

การกาํ หนดพิจารณาธรรมแลวจิตสงบรวมลงสูภวังคเ ขา ถึงฐตี ิธรรมดาํ รงอยนู าน
หนอ ยแลวถอยออกมารูเหน็ อสุภะปรากฏขนึ้ ความสงบในขั้นนเ้ี รยี กวา อุปจารสมาธิ

การกําหนดพิจารณาธรรมคอื อสุภนิมิต ท่ีปรากฏแกจติ ที่เรียกวาอคุ คหนมิ ิตน้นั จน
เพียงพอแลว จติ ปลอ ยวางนิมิตเสยี สงบรวมลงสูภวังคถ งึ ฐตี ธิ รรมดํารงอยนู าน เปน

เอกคั คตามีอารมณเ ดียว สงบนิ่งแนว แน มสี ตริ ูอยวู าจิตดํารงอยกู บั ที่ ไมหวัน่ ไหวไปมา
ความสงบช้ันน้ีเรยี กวาอัปปนาสมาธิ

สว น นิมติ อันปรากฏแกผ ูบําเพ็ญสมาธิภาวนาตามลําดบั ช้นั ดงั กลาวน้ี ก็เรยี กวา
บริกรรมนิมติ อคุ คหนมิ ิต ปฏภิ าคนมิ ติ ตามลําดบั กนั

อนึง่ ภวังค คือภพหรอื ฐานของจิตนั้น ทานก็เรยี กชอ่ื เปน ๓ ตามอาการเคลื่อนไป
ของจติ คอื ภวังคบาท ภวงั คจลนะ ภวังคุปจ เฉทะ ขณะแรกท่จี ิตวางอารมณเขา สูฐานเดมิ
ของตน ทเี่ รียกอยา งสามัญวา ปกตจิ ิตนนั้ แลเรยี กวา ภวังคบาท ขณะท่ีจิตเริ่มไหวตัวเพอ่ื
ขนึ้ สอู ารมณอกี เรียกวา ภวังคจลนะ ขณะทีจ่ ติ เคลื่อนจากฐานขึ้นสอู ารมณ เรยี กวา ภวงั
คุปจเฉทะ

จิตของผบู ําเพญ็ ภาวนาเขาสูค วามสงบถึงฐานเดิมของจติ แลว พกั เสวยความสงบอยู
ในสมาธิน้นั นานมีอาการครบองคข องฌานจึงเรยี กวา ฌาน เม่อื ทาํ การพินิจพจิ ารณา
ธรรมดว ยปญ ญาจนเพยี งพอแลว จิตรวมลงสูภวังค คอื ฐานเดิมของจติ จนถงึ ฐตี ิ ขณะตัด
กระแสภวังคขาดหายไปไมพกั เสวยอยู เกิดญาณความรูตดั สินข้ึนวา ภพเบ้อื งหนา ของเรา
ไมม อี กี ดังนี้เรียกวา ฐตี ญิ าณ

๑๓. เรอื่ ง บัน้ ตน โพธสิ ัตว

ปฐมโพธสิ ตั ว มชั ฌมิ โพธสิ ตั ว ปจฉมิ โพธสิ ัตว ปฐมโพธิกาล มัชฌมิ โพธิกาล
ปจฉมิ โพธิกาล ปฐมเทศนา มชั ฌมิ เทศนา ปจ ฉิมเทศนา

สมเดจ็ พระผูมพี ระภาคเจาของเรา เสด็จออกจากคัพโภทรของพระนางเจาสริ ิมหา
มายา ณ สวนลุมพนิ วี นั ระหวางนครกบิลพสั ดกุ ับนครเทวหะตอกนั ครั้นประสูตแิ ลว ก็
ทรงพระเจริญวัยมาโดยลาํ ดับ ครนั้ สมควรแกการศึกษาศิลปวทิ ยา เพอ่ื ปกครองรักษา
บา นเมืองตามขัตติยประเพณไี ดแ ลวกท็ รงศึกษาศลิ ปวิทยา เมือ่ พระชนมายไุ ด ๑๖ พรรษา
ก็ไดป กครองบา นเมอื งเสวยราชสมบัติแทนพระเจาศิริสทุ โธทนมหาราช ผพู ระราชบิดา
นบั วา ไดเ ปนใหญเปน ราชาแลว พระองคท รงพระนามวา เจาชายสทิ ธตั ถะ กต็ องทรงคดิ
อา นการปกครองรักษาบา นเมืองและไพรฟาประชาราษฎรใหร มเยน็ เปนสุข ทรงบังคบั
บญั ชาอยางไร เขากท็ าํ ตามทกุ อยา ง ครั้นทรงพิจารณาหาทางบังคับบัญชาความเกิดแก
เจบ็ ตายใหเปนไปตามใจหวังก็เปน ไปไมได ถงึ อยางนัน้ ก็มิทาํ ใหท อพระทัยในการคิด
อานหาทางแกเกิดแกเจ็บตาย ยิ่งเราพระทัยใหคิดอานพิจารณาย่ิงขึน้ ความคิดอา นของ

พระองคในตอนนี้เรยี กวา บรกิ รรม ทรงกําหนดพิจารณาในพระทยั อยูเสมอ จนกระท่ัง
พระสนมท้ังหมดปรากฏใหเ ห็นเปน ซากอสภุ ะดุจปา ชาผีดิบ จตุนิมิต ๔ ประการคอื เกิด
แก เจบ็ ตาย จึงบันดาลใหพระองคเกิดเบือ่ หนายในราชสมบัติ แลวเสด็จสู
มหาภเิ นษกรมณบ รรพชา ตอนนี้เรียกวา ปฐมโพธสิ ัตว เปนสตั วพิเศษ ผูจ ะไดต รสั รู
ธรรมวิเศษเปนพระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจาเทยี่ งแทกอนแตก าลน้ไี มนบั นับเอาแตก าล
ปจ จบุ นั ทันตาเหน็ เทานั้น

คร้นั เม่ือพระองคเ สด็จสมู หาภิเนษกรมณบรรพชา ณ ฝง แมน ้าํ อโนมานที ทรงตดั
พระเมาฬดี วยพระขรรคอ ธิษฐานบรรพชา อัฏฐบรขิ ารมีมาเองดวยอํานาจบุญฤทธิ์
อทิ ธิปาฏหิ าริยเ ปน ผา บงั สกุ ุลจีวร เหตอุ ศั จรรยอยา งน้มี เี พียงครง้ั เดียวเทานั้น ตอ น้ันมา
ตองทรงแสวงหา เหลาปฐมสาวกก็เหมือนกัน อัฏฐบรขิ ารเกิดขึ้นดวยบุญฤทธเ์ิ พยี งคร้ัง
แรกเทานนั้ คร้ันทรงบรรพชาแลว ทรงทาํ ทุกรกิรยิ าประโยคพยายามพจิ ารณาอุคคหนมิ ิต
ท่ีทรงรูครั้งแรก แยกออกเปนสวนๆ เปนปฏภิ าคนิมิตจนถึงเสด็จประทับนัง่ ณ ควงแหง
มหาโพธิพฤกษ ทรงชนะมารและเสนามารเมือ่ เวลาพระอาทิตยอ สั ดงคตยัง
บพุ เพนิวาสานุสติญาณ ใหเกิดในปฐมยาม ยงั จุตูปปาตญาณ ใหเ กดิ ในมชั ฌมิ ยาม ทรง
ตามพจิ ารณาจติ ท่ยี ังปจจัยใหส ืบตอทเ่ี รียกวา ปจจยาการ ตอนเวลากอ นพระอาทติ ยข น้ึ
ตอนนีเ้ รียกวา มัชฌมิ โพธสิ ตั ว

ครัน้ เมอ่ื ทรงพิจารณาตามเหตุผลเพยี งพอสมควรแลว จิตของพระองคห ย่ังลงสู
ความสงบถึงฐตี ธิ รรมดํารงอยใู นความสงบพอสมควรแลว ตัดกระแสภวงั คขาดไป เกิด
ญาณความรูตัดสินขึ้นในขณะนั้นวา ภพเบื้องหนาของเราไมมีอกี แลว ดังน้ีเรียกวา อาส
วกั ขยญาณ ประหารเสียซงึ่ กิเลสอาสวะทั้งหลายใหขาดหายไปจากพระขันธสนั ดาร
สรรพปรชี าญานตา งๆ อันสาํ เร็จมา แตบุพพวาสนาบารมี ก็มาชมุ นมุ ในขณะจติ อันเดียว
น้ันจงึ เรียกวาตรสั รพู ระอนุตตรสัมมาสมั โพธิญาณ ระยะกาลตอนนเ้ี รียกวา ปจ ฉิม
โพธิสัตว

ครน้ั ตรสั รูแ ลว ทรงเสวยวมิ ตุ ตสิ ุข อยูในท่ี ๗ สถาน ตลอดกาล ๔๙ วนั แลว แลทรง
เทศนาสัง่ สอนเวไนยนิกร มีพระปญ จวคั คียเ ปน ตน จึงถงึ ทรงต้ังพระอัครสาวกทัง้ ๒
และแสดงมชั ฌมิ เทศนา ณ เวฬวุ นั กลนั ทกนวิ าปสถาน ใกลกรงุ ราชคฤหม หานคร จดั เปน
ปฐมโพธิกาล

ตอ แตน ้ันมา ก็ทรงทรมานส่งั สอนเวไนยนิกรตลอดเวลา ๔๕ พระพรรษา จัดเปน
มชั ฌมิ โพธกิ าล ต้งั แตเ วลาทรงประทบั ไสยาสน ณ พระแทนมรณมัญจาอาสน ณ
ระหวา งนางรังท้งั คู ในสาลวโนทยาน ของมัลลกษตั รยิ  กรุงกุสนิ าราราชธานี และทรง
แสดงพระปจฉิมเทศนาแลวปดพระโอษฐ เสด็จดับขนั ธปรนิ ิพพานระยะกาลตอนน้ี
จัดเปน ปจฉิมโพธิกาล ดว ยประการฉะนี้

(สว น ปฐมเทศนา มัชฌมิ เทศนา และปจฉมิ เทศนา นั้น มีเน้ือความเปน ประการไร
ไดแสดงแลว ในสวนที่ ๑)

๑๔. เร่อื ง โสฬสกจิ

กจิ ในพระธรรมวนิ ยั น้ี ทน่ี บั วา สําคญั ทสี่ ดุ เรียกวา โสฬสกจิ เปน กิจท่โี ยคาวจร
กุลบุตรพึงพากเพยี รพยายามทําใหส ําเรจ็ บริบรู ณด ว ยความไมประมาท

โสฬสกจิ ไดแ กกิจในอริยสจั ๔ ประการ คอื ทกุ ข สมุทยั นิโรธ มรรค ช้นั โสดาบนั
กป็ ระชุม ๔ ชั้น สกิทาคามกี ป็ ระชุม ๔ สองสีก่ ็เปน ๘ ชั้นอนาคามกี ็ประชุม ๔ ช้นั
อรหันตก็ประชมุ ๔ สองสี่ก็เปน ๘ สองแปดเปน ๑๖ กําหนดสจั จะท้ัง ๔ รวมเปน องค
อริยมรรคเปน ขน้ั ๆ ไป

เม่อื เรามาเจริญอรยิ มรรคท้งั ๘ อนั มีอยูในกายในจติ คือ ทกุ ข เปน สัจจะของจริงที่มี
อยูกร็ ูวามีอยเู ปนปรญิ เญยฺยะ ควรกําหนดรกู ็ได กาํ หนดรู สมทุ ยั เปน สจั จะของจรงิ ท่มี ีอยู
กร็ วู า มีอยู เปน ปหาตพั พะ ควรละก็ละไดแลว นโิ รธ เปนสัจจะของจรงิ ที่มอี ยกู ็รูวา มีอยู
เปนสัจฉิกาตัพพะ ควรทาํ ใหแ จง ก็ไดท ําใหแจง แลว มรรค เปนสจั จะของจริงทมี่ อี ยูก็รูวา
มอี ยเู ปนภาเวตัพพะ ควรเจรญิ ใหมากกไ็ ดเจริญใหม ากแลว เม่อื มากําหนดพิจารณาอยู
อยา งน้ี ก็แกโ ลกธรรม ๘ ไดส ําเรจ็

มรรค อยทู ่ี กาย กับ จติ คอื ตา ๒ หู ๒ จมูก ๒ รวมเปน ๖ ลนิ้ ๑ เปน ๗ กาย ๑ เปน
๘ มาพจิ ารณารเู ทา สิง่ ทั้ง ๘ น้ี ไมหลงไปตาม ลาภ ยศ สรรเสรญิ สุข เสอ่ื มลาภ เสื่อมยศ
นินทา ทกุ ข อันมาถกู ตอ ง ตนของตนจิตไมหวนั่ ไหว โลกธรรม ๘ เปน คปู รับกบั มรรค ๘
เมอื่ รูเทาสว นทัง้ สองนแ้ี ลว เจรญิ มรรคใหบ ริบูรณเต็มท่ี ก็แกโ ลกธรรม ๘ ได ก็เปน
ผฏุ ฐสฺส โลกธมเฺ มหิ จติ ตฺ ํ ยสฺส น กมฺปติ อโสกํ วริ ชํ เขมํ เอตมฺ มงฺคลมุตฺตมํ โลกธรรม
ถกู ตอ งจติ ผใู ดแลว จติ ของผนู น้ั ไมหว่ันไหวเมื่อไมหว่นั ไหวก็ไมเ ศราโศก เปน จิต
ปราศจากเครือ่ งยอม เปน จติ เกษมจากโยคะ จดั วาเปน มงคลอันอดุ มเลิศ ฉะนแี้ ล ฯ

๑๕. เรือ่ ง สาํ คญั ตนวา ไดบรรลอุ รหตั ตผล

กริ ดังไดสดบั มา ยงั มภี กิ ษุ ๒ รูป ในพระศาสนาของพระบรมศาสดาของเรานี้ องค
หนึ่งมพี รรษาแกกวา อกี องคห นึ่งมีพรรษาออนกวา เปนสหธรรมิกทีม่ ีความรกั ใครใ นกัน
และกนั แตจ ากกันไปเพอื่ ประกอบความเพยี ร องคออ นพรรษากวา ไดสําเร็จพระอรหนั
ตผลเปนพระอรหันตกอน องคแ กพ รรษาไดแตเพียรกาํ ลงั สมาธิสมาบัติ และเปนผู
ชํานาญในวสี จะพจิ ารณาอธษิ ฐานใหเปน อยางไรก็ไดด ังประสงค และเกดิ ทิฏฐสิ าํ คญั วา
รทู ัว่ แลว สว นองคหยอนพรรษาครน้ั พิจารณาดกู ็ทราบไดดวยปญญาญาณ จึงสง่ั ใหองค
แกพรรษากวา ไปหาทานองคน นั้ ไมไ ป สัง่ สอนสามคร้ังก็ไมไป องคหยอ นพรรษาจงึ ไป
หาเสยี เอง แลว ยงั กนั และกนั ใหยินดี พอสมควรแลว จงึ พดู กบั องคแกกวาวา ถา ทา นสําคัญ
วารูจ รงิ ก็จงอธษิ ฐานใหเปน สระในสระใหม ีดอกบัวหลวง ๑ ดอก ในดอกบวั หลวงใหม ี
นางฟอ นสวยงาม ๗ นาง องคแกพ รรษากเ็ นรมิตไดตามน้นั ครนั้ เนรมติ แลว องคออน
พรรษากวาจึงส่ังใหเ พงดู คร้นั เพงดูนางฟอนอยู กามราคะกิเลสอันสงั่ สมมาแลว หลาย
รอยอตั ตภาพก็กาํ เริบ จึงทราบไดว าตนยังไมไ ดส ําเร็จเปน พระอรหันต ครั้นแลว องคอ อน
พรรษาจงึ เตือนใหรตู ัว และใหเ รง ทางปญญาวปิ สสนาญาณ องคแกพ รรษากวา ครัน้
ปฏบิ ตั ติ ามทําความพากเพียรประโยคพยายามอยู มชิ ามินานก็ไดส าํ เรจ็ เปนพระอรหันต
ขีณาสวะบุคคลในพระพทุ ธศาสนาดวยประการฉะนี้

อปรา ยังเรือ่ งอน่ื อกี มเี น้ือความอยางเดียวกันแตน ิมติ ตางกนั คือใหเนรมติ ชางสาร
ซับมนั ตัวรายกาจว่ิงเขามาหา หลงรปู เนรมติ ของตนเอง เกิดความสะดงุ ตกใจกลัวเตรียม
ตัววง่ิ หนี เพ่ือนสหธรรมมกิ ผูไปชว ยเหลือไดฉ ุดเอาไว และกลาวตกั เตอื นส่ังสอนโดยนัย
หนหลัง จงึ หยดุ ย้งั ใจไดและปฏบิ ตั ิตามคําสง่ั สอนของสหธรรมมิกผชู ว ยเหลือน้นั ไม
นานก็ไดส าํ เร็จเปนพระอรหนั ตขีณาสวะบุคคลในพระบวรพุทธศาสนาเชนเดียวกนั แม
เรื่องนก้ี ็พงึ ถือเอาเปน ทฏิ ฐานุคติ เชน เดียวกบั เร่อื งกอนน้ันแล

น้เี ปน นิทานท่เี ปน คตสิ าํ หรับผปู ฏบิ ัตจิ ะพึงอนวุ ตั ิตามคือ ผูเปน สหธรรมกิ
ประพฤติธรรมรวมกนั ทกุ คน จงมาเปนสหายกนั ในกิจทช่ี อบ ท้ังที่เปนกิจภายใน ทง้ั ท่ี
เปน กจิ ภายนอกยงั ประโยชนข องกนั และกนั ใหสาํ เร็จดว ยดีเถดิ

๑๖. เรือ่ ง อุณหสั สวิชัยสตู ร

ผูใดมาถงึ พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ เปนสรณะทีพ่ ่งึ แลว ผนู นั้ ยอ มชนะได
ซ่งึ ความรอน

อุณหสั สคอื ความรอ นอันเกิดแกต น มที ั้งภายในและภายนอก ภายนอกมีเสือสาง
คางแดง ภตู ผปี ศาจ เปนตน ภายในคอื กิเลส วชิ ยั คอื ความชนะ ผูทมี่ านอ มเอาสรณะทั้ง
สามน้ีเปนท่ีพ่งึ แลว ยอมจะชนะความรอ นเหลานน้ั ไปไดหมดทุกอยางทเี่ รียกวา อุณหสั ส
วิชัย

อุณหสฺสวิชดย ธมโฺ ม โลเก อนุตฺตโร พระธรรมเปน ของยงิ่ ในโลกทง้ั สาม สามารถ
ชนะซึ่งความรอ นอกรอ นใจอนั เกิดแตภ ยั ตา งๆ ปริวชเฺ ช ราชทนเฺ ฑ พยคเฺ ฆ นาเค วเี ส ภเู ต
อกาลมรเณน จ สพพฺ สมฺ มรณา มุตฺโต จะเวน หางจากอนั ตรายทั้งหลายคอื อาชญาของ
พระราชา เสอื สาง นาค ยาพิษ ภูตผี ปศาจ หากวายังไมถงึ คราวถึงกาลทจ่ี ักตายแลว ก็จัก
พนไปไดจ ากความตายดวยอํานาจ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ ท่ีตนนอมเอาเปน
สรณะที่พ่ึงที่นบั ถือน้นั

ความขอนม้ี ีพระบาลสี าธกดังจะยกมาอางอิงในสมัยเมอ่ื สมเด็จพระผูมพี ระภาคเจา
พรอ มดว ยพระอรหนั ตห นมุ ๕๐๐ รูป ประทับอยใู นราวปา มหาวนั ใกลกรงุ กบลิ พสั ดุ
เทวดาท้งั หลายพากันมาดู แลวกลา วคาถาข้นึ วา เยเกจิ พทุ ฺธํ สรณํ คตา เส น เต คมสิ ฺ สนตฺ ิ
อปายภูมิ ปหาย มานุสํ เทหํ เทวกายํ ปริปูเรสฺสนตฺ ิ แปลความวา บุคคลบางพวกหรือ
บุคคลไรๆ มาถงึ พระพุทธเจาเปน สรณะท่ีพึง่ แลว บุคคลเหลา นนั้ ยอมไมไ ปสูอบายภมู ิทั้ง
๔ มีนรกเปน ตน เมื่อละรางกายอนั เปน ของมนุษยน้ีแลว จักไปเปน หมแู หงเทพดา
ท้ังหลายดังนี้

สรณะทั้ง ๓ คือ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ มไิ ดเ สื่อมสญู อันตรธานไปไหน ยงั
ปรากฏอยูแ กผ ูปฏิบัติเขาถึงอยเู สมอ ผใู ดมายึดถอื เปนที่พงึ่ ของตนแลว ผนู ั้นจะอยูกลาง
ปา หรอื เรือนวา งกต็ าม สรณะทง้ั สามก็ปรากฏแกเ ราอยทู กุ เมอ่ื จึงวาเปนที่พ่งึ แกบ คุ คล
จรงิ เมื่อปฏบิ ัติตามสรณะท้งั สามจริงๆ แลว จะคลาดแคลว จากภัยท้ังหลาย อนั กอใหเกิด
ความรอ นอกรอนใจไดแ นนอนทเี ดียว

หมายเหตุ คาํ นําบางสว นของหนังสอื ซึง่ พมิ พแ จกในงานฌาปนกิจศพพระอาจารย
มนั่ ภรู ิทตั ตเถระ (วันท่ี ๓๑ มกราคม ๒๔๙๓) มดี งั นี้

การทใี่ หช อื่ ธรรมเทศนา ของทานอาจารยท่รี วบรวมพิมพชุดแรกวา มตุ โตทัย น้นั
อาศัยคาํ ชมของเจา พระคุณ พระอบุ าลคี ุณูปมาจารย (สริ จิ ันทเถระ จันทร) เม่ือคราวทา น
อาจารยแสดงธรรมวาดวย มลู กรรมฐาน ณ วหิ ารหลวงเชียงใหมว า ทา นอาจารยแสดง
ธรรมดวยมตุ โตทัย เปน มตุ โตทัย คํานีท้ านอาจารยนาํ มาเปน ปญหาถามในที่ประชมุ
พระภิกษเุ ปรยี ญหลายรปู ซง่ึ มีขาพเจารวมอยดู ว ย ในคราวทท่ี า นมาพกั กับขาพเจา ท่ีวดั ปา
สุทธาวาส จังหวดั สกลนคร ขาพเจาทราบความหมายของคาํ น้ันแลวแตเห็นวาเปน อสา
ธารณนยั จึงกลา วแกท างใจ ทนั ใดนน้ั ทานก็พดู ขึน้ วา ขาพเจา แกถกู ซ่ึงทาํ ความประหลาด
ใจใหแ กภกิ ษทุ ้ังหลายมิใชนอย ตางก็มารุมถามขา พเจาวา ความหมายวา อยางไร? ขาพเจา
บอกใหทราบแกบ างองคเฉพาะท่นี าไวใจ คําวา มุตโตทยั มคี วามหมายเปน อสาธารณนัย
กจ็ รงิ แตอ าจเปนความหมายมาเปน สาธารณนัยกไ็ ด จึงไดน ํามาใชเปน ช่ือธรรมเทศนา
ของทานอาจารย โดยมุง ใหม ีความหมายวา เปน ธรรมเทศนาช้ีบอกแนวทางปฏบิ ัติให
บังเกิดความหลดุ พน จากกิเลส อาสวะ ซง่ึ ถาจะแปลสัน้ ๆ กว็ า แดนเกดิ แหงความหลุดพน
น่ันเอง

ธรรมเทศนาชดุ แรกน้ี พระภกิ ษวุ ิริยังคกับพระภกิ ษทุ องคํา เปน ผูบันทกึ ในสมยั ทาน
อาจารยอ ยจู าํ พรรษา ณ เสนาสนะปา บานโคกนามน ตําบลตองโขบ อําเภอเมือง จงั หวดั
สกลนคร และตอนแรกไปอยูเ สนาสนะปา บา นหนองผอื ตาํ บลใน อําเภอพรรณานิคม
จงั หวดั สกลนคร ขา พเจารับเอาบนั ทึกน้นั พรอ มกับขออนุญาตทานอาจารยพ ิมพเ ผยแผ
ทา นก็อนุญาตและสงั่ ใหขาพเจาเรียบเรยี งเสียใหมใหเ รียบรอย ตัดสวนทีไ่ มควรเผยแผ
ออกเสียบา ง ขา พเจาก็ไดปฏบิ ตั ติ ามนน้ั ทุกประการ ถงึ อยางนั้นก็ยงั มที ่ีกระเทอื นใจผูอ าน
อยบู า ง จึงขอช้ีแจงไวในที่น้ี

คือขอท่ีวา พระสัทธรรมเมื่อเขาไปประดษิ ฐานในสนั ดานของปุถุชนแลว ยอ ม
กลายเปนของปลอมไปนน้ั หมายความวาไปปนเขากับอัธยาศยั อันไมบริสุทธ์เิ มื่อ
แสดงออกแกผูอ่นื ก็มักมอี ธั ยาศยั อนั ไมบ รสิ ุทธิ์ ปนออกมาดวย เพ่ือรกั ษาพระสัทธรรม
ใหบ รสิ ทุ ธ์ิสะอาดคงความหมายเดมิ อยูได ควรมีการปฏบิ ัตกิ าํ จัดของปลอมคือ อปุ กิเลส
อันแทรกซมึ อยใู นอัธยาศัยน้นั ใหห มดไป ซึ่งเปนความมุงหมายของทานผูแสดงทจ่ี ะชกั
จงู จิตใจของผูฟง ใหนยิ มในสัมมาปฏบิ ตั ยิ ิง่ ๆ ขึ้นไป ถาผฟู ง มใี จสะอาด และเปน ธรรม
แลวยอ มจะใหส าธุการแกทานผแู สดงแนแ ท

ธรรมเทศนาของทานอาจารยท ี่ พระภิกษทุ องคํา ญาโณภาโส กับ พระภกิ ษวุ ัน อตุ ฺ
ตโม จดบันทกึ ไวในปจฉมิ สมัย คือระหวา ง พ.ศ. ๒๔๙๑ - ๒๔๙๒ กอ นหนา มรณสมัย
เพียงเล็กนอ ยน้นั ไดรวบรวมนาํ มาเรียบเรียงเขาหมวดหมู เชนเดียวกบั ครง้ั กอ น

ธรรมเทศนาของทานอาจารยท ้งั ๒ ชดุ นี้ หาจะพิมพเผยแผตอ ไป ก็ควรพมิ พ
รวมกันในนามวา มุตโตทยั และควรบอกเหตผุ ลและผทู ําดงั ทขี่ า พเจาช้ีแจงไวนดี้ วย จะได
ตดั ปญหาในเรือ่ งชือ่ และท่ีมาของธรรมเทศนาดว ย

พระอรยิ คณุ าธาร (เสง็ ปุสโฺ ส)

๓๑ มกราคม ๒๔๙๓

จบบรบิ ูรณ


Click to View FlipBook Version