ความสขุ ทีส่ มบรู ณ∗
เกดิ ดที ี่สดุ คอื เกิดกุศล
ความสุขเปน ส่งิ ท่นี าปรารถนา เปนสิง่ ที่ทุกคนแสวงหากัน
อยู แตที่จรงิ ความสขุ นน้ั เราสามารถทาํ ใหเ กดิ ข้นึ ไดทนั ที กค็ ือใน
จิตใจน่เี อง เมื่อใดโยมมีศรทั ธา มเี มตตา มีไมตรธี รรมแลว ความ
สุขก็เกดิ ข้ึนในใจเมื่อนนั้ ทนั ที
โดยเฉพาะวนั น้ีเปน วนั เกดิ และเปนวนั ท่ีเน่อื งในวันเกดิ ถา
ทําใหเ กดิ เมตตา และศรัทธา เปน ตน ทีเ่ ปนกศุ ลธรรมข้นึ ได ก็สม
ชื่อวันเกดิ คอื ไดทําใหกศุ ลธรรมเกดิ ขึ้น ซึ่งเปน ความเกดิ ทีด่ ที ส่ี ดุ
สมตามที่พระพุทธเจาไดตรัสไวคอื การเกดิ ข้นึ แหง กุศลธรรม
วันนี้เปนวนั เกดิ ความเกดิ ทด่ี ีท่ีสดุ ที่เมื่อเกิดขึน้ แลวจะทาํ
ใหสมกับความเปน วนั เกดิ ก็คอื การเกิดขน้ึ ของกุศลธรรม พอกศุ ล
∗
ธรรมกถา วันทาํ บญุ อายคุ รบ ๘๔ ป ของคุณโยมนาม พนู วัตถุ ๒๔ กรกฎาคม
๒๕๓๗ และเนือ่ งในการทจ่ี ะมีอายุครบ ๘๐ ป ของคณุ โยมเฉลมิ พนู วตั ถุ ในวันท่ี ๑
ตลุ าคม ๒๕๓๗
๒ ความสขุ ท่สี มบรู ณ
ธรรมเกิดขน้ึ กก็ ลายเปนการฉลองวันเกดิ ท่ีสมคา อยางแทจ รงิ พระ
พุทธเจาตรัสไววา เราควรทาํ กศุ ลธรรมใหเ กดิ ขึน้ เพราะวา กุศล
ธรรมนาํ มาซึง่ ความสุข
อยางท่ีกลา วไวแ ลว วา คนเราเกิดมายอมปรารถนาความ
สุข แตบางทีเราไปนึกถงึ พุทธภาษิตแหง หนึง่ มีขอความเปน
ทํานองหลักการ หรือคําสอนเบ้ืองตนวา “ชาติป ทุกขฺ า” การเกิด
เปนทุกข โยมกค็ งนกึ วา อา ว ในเม่ือการเกิดเปนทกุ ข แลวนี่จะมา
ทําอยางไรใหก ารเกดิ เปนสขุ ก็จะขัดกบั พุทธพจนไ ปสิ
ขอใหเขาใจวา ท่ีพระพุทธเจา ตรสั ไววา การเกิดเปน ทกุ ข
นั้น พระองคต รสั ตามธรรมชาติ เรียกวาตามสภาวะ คือตาม
สภาวะของสงั ขาร หมายความวาการเกดิ นก้ี ็ตกอยใู ตก ฎธรรมชาติ
กฎธรรมชาติ ก็คอื ความเปนอนิจจัง ทกุ ขัง อนัตตา ซ่ึง
สอนใหร ูวา สิ่งท้ังหลายเกิดขึ้น ต้งั อยู แลวกด็ บั ไป มีการเปลยี่ น
แปลง ต้ังอยูในสภาพเดิมไมไ ด เปน ไปตามเหตุปจจยั ทัง้ หมดนี้
เปนเรื่องกฎของธรรมชาติ ซงึ่ เปนสภาพธรรมดาของมันอยางน้ัน
เอง แตทุกขใ นธรรมชาติ ทเ่ี ปน สภาวะน้ัน ยังไมใชทกุ ขในใจของ
เรา มันจะเปน ทุกขแ กเราหรอื ไม ก็อยูทเ่ี ราปฏบิ ัตติ อมนั ถกู หรือผดิ
ทานเพียงแตบ อกใหร ูวาธรรมชาติของมันเปน อยา งนี้ มนั เปน ความ
จรงิ อยอู ยา งนั้น เปน เร่ืองของธรรมชาติ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๓
ปฏบิ ตั ถิ ูก มีแตส ขุ ทุกขไ มม ี
สังขารทง้ั หลายมนั กเ็ ปนไปตามพระไตรลักษณ มคี วาม
เปล่ียนแปลงเปนตน อันนไี้ มมใี ครสามารถจะเถยี งได แตท นี ้ี ถาเรา
ปฏิบัติไมถูก ความทกุ ขในธรรมชาตนิ น้ั ก็กลายมาเปนทกุ ขในตัว
เรา คนคือเรากก็ ลายเปนทกุ ขไป เพราะวา ปฏบิ ตั ไิ มถ กู ตอ ธรรม
ชาติ แตถา เราปฏบิ ัตถิ กู ตอ ง เรากท็ ําใหท กุ ขทอ่ี ยูในธรรมชาตินั้น
เปนของธรรมชาติไปตามเรือ่ งของมนั เราไมพ ลอยเปนทกุ ขไปดว ย
นอกจากไมพลอยเปนทกุ ขแ ลว ยงั สามารถปฏบิ ตั ิใหเกิดความสขุ
ไดดว ย ถา ปฏบิ ัตติ อทุกขถ กู ตอง พระพุทธเจา ตรสั วา เราจะเปน สุข
“ทุกฺขํ ปริฺเญยย”ํ ทุกขนั้นพระพุทธเจาตรสั ไวว าเปน
ปริญไญย คือเปนสิง่ สาํ หรบั รู รูท กุ ข คอื รูเทา ทนั ทกุ ข เรารูเทาทนั
ทุกขแลวเราก็ไมเปน ทกุ ข การรูจักทุกขก ับการเปน ทุกขน คี่ นละ
อยาง พระพทุ ธเจา ไมเคยตรัสใหเ ราเปน ทกุ ข มีแตท รงสอนใหเรา
เปนสุข พระองคตรัสบอกวา ทุกขน ้ันสําหรบั กาํ หนดรู คือใหเรารูเทา
ทันทุกข เพอื่ เราจะไดไ มต องเปนทกุ ขเ ทา นนั้ เอง
ถาเราปฏบิ ตั ติ อ ทกุ ขถกู ตอง เราก็เปนสขุ แลวยิง่ กวานัน้ ก็
คือ สามารถทําใหทกุ ขเปนปจจัยของความสขุ ดวย ผูท ี่ปฏิบตั ถิ กู
ตอง สามารถทําใหทกุ ขเปนปจจยั ของความสขุ พระอรหนั ตท าน
๔ ความสุขท่สี มบรู ณ
ปฏิบัติตอทุกขอยา งถูกตอ ง จนกระทัง่ ทา นหลดุ พนจากทกุ ข กลาย
เปนบคุ คลท่มี สี ขุ โดยสมบูรณท เี ดียว
เพราะฉะน้ัน เรอื่ งทุกขน ้ีจงึ มเี คล็ดลบั อยูในตวั คือวา พระ
พุทธเจา ตรัสใหเ รารูทัน แลว ก็ปฏบิ ตั ติ อ มันใหถกู ตอง เมื่อเรา
ดําเนนิ ชวี ิตถูกตอง คอื ปฏบิ ัตติ อทุกขถูกตอ ง เราก็เปน สขุ และเราก็
มีทุกขนอยลงทุกที จนทุกขห มดไป จะเหลอื อะไร กเ็ หลอื แตส ุข
ปฏบิ ตั ไิ มถ กู ย่งิ หางสขุ ทกุ ขทับถม
พระพุทธเจาตรัสประมวลหลักวิธีปฏิบัติในเรื่องความสุข
และความทุกขไ ว ในทแ่ี หงหน่งึ มีเปน ชุด ๓ ขอ ซึง่ ยืดออกไปตาม
คําอธิบายเปน ๔ ขอ นา สนใจมาก อาตมภาพขอนาํ มาแสดงไว
พระองคส รุปไวงายๆ วิธีปฏิบัตติ อทุกขแ ละสขุ ที่พระองคต รสั ไวม ี
ดงั น้ี
๑. ไมเอาทกุ ขมาทับถมตนท่ีไมมที กุ ข
๒. ไมล ะทง้ิ สุขทช่ี อบธรรม
๓. แมสุขท่ีชอบธรรมนนั้ ก็ไมลมุ หลงมัวเมา
๔. เพียรปฏิบัตเิ พื่อเขาถึงสขุ ทปี่ ระณีตยิ่งข้นึ ไป
นี่เปนหลักสาํ คัญ ถา เราปฏบิ ัตไิ ดต ามหลกั การน้ี เราก็ชอ่ื
วาปฏบิ ตั ถิ ูกตอ งในเรอื่ งความสุขความทุกข ทีนีล้ องมาดู
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๕
ขอที่ ๑ พระพุทธเจาตรัสวา ไมใ หเอาทุกขม าทบั ถมตนท่ีไม
มีทุกข หมายความวา เราอยูในโลก เราก็มชี ีวิตอยตู ามธรรมดา
สังขาร สังขารมนั ก็ไมเท่ยี ง เปน ทกุ ข เปน อนัตตา ตามธรรมดาของ
มัน เราดาํ เนินชวี ิตใหด ีงามถกู ตอ ง แลว ทกุ ขต ามธรรมชาตกิ ม็ ขี อง
มันไป อันน้นั เราไมไปเถยี งมัน แตเ ราไมเ พิ่ม เราไมเ อาทุกขม าทับ
ถมตัวเรา เราก็สบายไปข้ันหนงึ่ แลว
ในทางตรงขามถา เราปฏบิ ัติไมถ ูกตอง ทุกขทม่ี ันมีอยูใน
ธรรมชาติน้ัน มันกเ็ กดิ เปน ทุกขใ นใจของเรา เรากเ็ อาทุกขม าทับ
ถมตัวเอง ดังจะเหน็ วาบางคนปฏบิ ัตไิ มถ กู ตอ งเท่ยี วหาทกุ ขมาใส
ตนมากมาย
เร่ืองนี้พระพุทธเจาตรัสไวในการท่ีทรงโตตอบกับลัทธิ
นิครนถ คือเรอ่ื งมนั เกิดจากลัทธินคิ รนถ ก็เลยจะขอยกมาเปน ตวั
อยาง แตเปน ตวั อยา งที่หยาบๆ ของการเอาทกุ ขม าทับถมตน คอื
ลัทธินิครนถนเ้ี ขาถอื การบาํ เพ็ญตบะ ตบะก็คือการทาํ
ความเพียรทรมานตนเอง ซง่ึ มวี ธิ ีการตา งๆ มากมาย เรียกงา ยๆ วา
เปนการหาทุกขมาใสต น เชน เวลาจะโกนศรี ษะ เขาไมใ ชม ีดโกน
แตนักบวชนิครนถเขาใชวิธีถอนผมทีละเสนจนกระทั่งหมดศีรษะ
อยางน้เี ปน ตน
ตบะในสมัยโบราณน้นั มมี ากมายหลายแบบ เชน ถงึ หนา
รอ นกไ็ ปนอนอยูกลางแดด แตถงึ หนา หนาวกลับไปแชต ัวอยใู นนา้ํ
๖ ความสุขทสี่ มบรู ณ
เวลานอน แทนทจ่ี ะนอนบนพ้นื สบายๆ ก็นอนบนเตียงหนาม อะไร
อยางน้ีเปนตน หมายความวา ทรมานรางกาย ทาํ ตัวใหทุกข ทาํ ไม
เขาจึงทําอยางนน้ั เขาบอกวา เพราะวา เราตามใจมัน คอื ตามใจ
กิเลสนี่แหละ มนั จึงทําใหเ กดิ ทุกขขึน้ เพราะฉะนัน้ เราจะไมต ามใจ
มันละ เราทรมานมนั มันจะไดห มดกเิ ลส กเิ ลสจะไดแ หงไป นี่เปน
วิธีปฏิบัติของพวกนคิ รนถ พระพทุ ธเจาตรัสวาวธิ ีนี้เปน การเอาทุกข
มาทับถมตนที่ไมมีทุกข น่เี ปน ตัวอยา งอนั หนงึ่
โชคมา กใ็ ชท าํ ความดี
เคราะหมี กเ็ ปนเครื่องมือพัฒนา
คนเราอยูในโลกแตมักปฏิบัติไมถูกตองตอสิ่งทั้งหลายใน
โลก จึงดาํ เนินชวี ติ ไมถูกตอง สง่ิ ทีเ่ ราเก่ยี วของตางๆ น่ี มันกอ็ ยู
ของมนั ไปตามปกติ ตามธรรมชาติ แตเ ราปฏิบัติตอ มนั ไมถกู วาง
ใจไมถ กู แมแตม องก็ไมถกู เราจึงเกดิ ทุกข สงิ่ ทั้งหลายท่มี อี ยูตาม
ธรรมดามนั กเ็ ปน ไป ถา เรารูทัน ก็เห็นมนั เปนไปตามกฎธรรมชาติ
แตถาเราไมรูเทาทนั เรามองไมเปน กเ็ กิดทุกขทันที
แมแตเหตุการณความผันผวนปรวนแปรตางๆ ท่ีเกดิ ข้นึ ใน
ชีวิตของคนเรา ทีเ่ รยี กกันวา โชคบาง เคราะหบ าง ศพั ทพ ระเรียก
วา โลกธรรม ซึ่งเปน ตัวการสําคญั ท่ที ําใหคนดใี จเสยี ใจ เปน สุข
และเปนทุกข เวลามันเกดิ ขึน้ ถา เราปฏบิ ตั ไิ มถกู ตอ ง ทีส่ ุขเราก็
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๗
แปลงใหเปน ทุกข ท่มี ันเปน ทุกขอยูแลวเรากเ็ พิ่มทุกขแกต ัวเราให
มากขึ้น แตถ าเราปฏบิ ัติถูกตอ ง ท่ีทุกขเ ราก็ผันแปลงใหเ ปนสขุ ท่ี
มันเปนสขุ อยูแลว เรากเ็ พิม่ ใหเ ปนสุขมากย่ิงขนึ้
โลกธรรมคอื อะไร โลกธรรมแปลวา ธรรมประจําโลก ไดแ ก
ส่ิงท่ีเกิดแกมนุษยท้งั หลายตามคตธิ รรมดาของความเปน อนจิ จัง ก็
คือ เรือ่ ง ลาภ เส่อื มลาภ ยศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สขุ ทุกข
ส่ิงเหลานี้ พระพทุ ธเจา ตรัสไววา มนั มีอยูเปนธรรมดา เม่อื เราอยู
ในโลก เราไมพ นมนั หรอก เราตอ งเจอมนั ทีนถี้ า เราเจอมันแลว เรา
วางใจไมถ กู และปฏิบัตไิ มถกู เราจะเอาทุกขม าใสต วั ทันที
พอเรามลี าภ เรากด็ ใี จ อนั นเี้ ปนธรรมดา เพราะเปนสงิ่ ทน่ี า
ปรารถนา แตพอเสอื่ มลาภเราก็เศราโศก เพราะเราสูญเสีย ทนี ้ี ถา
เราวางใจไมถ ูก ไประทมตรมใจ แลว ไปทําอะไรประชดประชนั ตวั
เอง หรือประทว งชีวิต เปน ตน เรากซ็ ํ้าเติมตัวเอง ทําใหเกิดทุกข
มากขึ้น
อยางงายๆ กวา นั้น เชน เสยี งนินทา และสรรเสริญ คํา
สรรเสริญนน้ั เปนสิง่ ทเ่ี ราชอบใจ พอไดยินเราก็มีความสขุ ใจก็ฟขู ึน้
มา แตพอไดย ินคาํ นนิ ทาเรากเ็ กดิ ความทกุ ข ทกุ ขน เี้ กิด เพราะ
อะไร เพราะเรารับเอาเขามา คือรบั กระทบมันนัน่ เอง คอื เอาเขามา
บบี ใจของเรา
๘ ความสุขที่สมบรู ณ
ทีน้ี ถาเราวางใจถูกตอ ง อยา งนอ ยเรากร็ ูว า ออ นี่คอื
ธรรมดาของโลก เราไดเ ห็นแลวไง พระพุทธเจา ตรัสไวแลววา เรา
อยูใ นโลก เราตอ งเจอโลกธรรมนะ เรากเ็ จอจริงๆ แลว เราก็รูวา ออ
น่ีความจรงิ มนั เปน อยางนีเ้ อง เราไดเห็น ไดรูแลว เราจะไดเ รียนรูไ ว
พอบอกวา เรยี นรูเทานน้ั แหละ มันกก็ ลายเปน ประสบ-
การณสําหรบั ศึกษา เรากเ็ รม่ิ วางใจตอมันไดถ ูกตอง ตอ จากนน้ั ก็
นึกสนุกกับมันวา ออ กอ็ ยา งน้แี หละ อยใู นโลกกไ็ ดเห็นความจรงิ
แลววามนั เปนอยา งไร ทนี ี้ก็ลองกบั มันดู แลว เราก็ต้ังหลกั ได สบาย
ใจ อยา งน้กี เ็ รียกวา ไมเอาทุกขม าทับถมใจตัวเอง
อะไรตา งๆ น่ี โดยมากมันจะเกดิ เปน ปญ หาก็เพราะเราไป
รับกระทบ ถาเราไมรับกระทบ มันกเ็ ปนเพียงการเรยี นรู บางทีเรา
ทําใจใหถ กู ตอ งกวานัน้ กค็ ือ คดิ จะฝกตนเอง พอเราทาํ ใจวาจะฝก
ตนเอง เราจะมองทกุ อยางในแงมุมใหม แมแตสิง่ ทไ่ี มด ีไมน า ชอบ
ใจ เรากจ็ ะมองเปน บททดสอบ พอมองเปน บททดสอบทไี ร เราก็ได
ทุกที ไมวาดีหรอื รายเขา มา ก็เปนบททดสอบใจและทดสอบสติ
ปญญาความสามารถทง้ั นั้น ก็ทาํ ใหเ ราเขม แขง็ ย่งิ ขน้ึ เพราะเราได
ฝกฝน เราไดพ ฒั นาตัวเรา เลยกลายเปนดีไปหมด
ถาโชค หรือโลกธรรมทดี่ มี ีมา เราก็สบาย เปนสขุ แลวเราก็
ใชโชคนัน้ เชน ลาภ ยศ เปนเคร่ืองมอื เพมิ่ ความสขุ ใหแ ผขยายออก
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๙
ไป คือใชมนั ทาํ ความดี ชวยเหลือเกอ้ื กลู เพ่อื นมนุษย ทาํ ใหค วาม
สุขขยายจากตวั เรา แผก วางออกไป สูผคู นมากมายในโลก
ถาเคราะห หรือโลกธรรมทร่ี า ยผานเขา มา กถ็ อื วาเปน
โอกาสท่ีตัวเราจะไดฝก ฝนพฒั นา มนั กก็ ลายเปน บททดสอบเปน
บทเรียน และเปนเครอ่ื งมอื ฝก สติ ฝกปญ ญา ฝก การแกป ญ หา
เปนตน ซ่งึ จะทําใหเราพัฒนายิง่ ขนึ้ ไป
เพราะฉะน้นั ลูกศิษยพระพุทธเจา จึงถือคติวา ใหม นสกิ าร
ใหถูกตอง ถา มองสิง่ ทัง้ หลายใหเ ปน แลว กจ็ ะเกดิ เปนประโยชนแ ก
เราหมด ไมว าดีหรือรา ย น้เี ปน ตวั อยางวธิ กี ารเบอ้ื งตน แตรวม
ความงา ยๆ ก็คือ เราไมเ อาทุกขมาทบั ถมตนเอง เปนหลกั ขอ ท่ี ๑
แยงความสขุ กเ็ ลยทุกขดวยกัน
แบงความสขุ ก็จะสขุ ทั่วกนั
ขอที่ ๒ ทา นวาไมล ะทง้ิ สขุ ที่ชอบธรรม สขุ ท่ีชอบธรรม คอื
สุขที่เราควรไดควรมีตามเหตปุ จ จัย มหี ลายขน้ั หลายระดบั เรามี
สิทธ์ิท่ีจะไดรับความสุขเหลา นนั้ แตใ หเ ปน ไปโดยชอบธรรม เชน ถา
เปนความสขุ ทางวัตถุ กไ็ มใ หเปน ความสุขทีเ่ บียดเบยี น กอความ
เดอื ดรอ นแกผูอื่น แตค วรจะเปนความสุขทเ่ี ผอ่ื แผ ซึ่งชวยใหเกดิ
ความสุขขยายกวางขวางออกไป ถาสขุ ของเราเกิดขน้ึ โดยต้ังอยูบน
ความทุกขข องผูอ่ืน กไ็ มด ี ไมชอบธรรม เพราะฉะนนั้ จงึ ตองใหเ ปน
๑๐ ความสุขท่สี มบูรณ
ความสขุ ทช่ี อบธรรม เราสขุ ผูอ่ืนกไ็ มท กุ ข ถาใหดยี ง่ิ กวานัน้ กใ็ ห
เปน สขุ ดว ยกนั
สุขนี้มหี ลายแบบ หรอื หลายระดบั คือ
๑. สุขแบบแยง กัน
๒. สุขแบบไปดวยกัน หรอื สขุ แบบประสานกนั
๓. สุขแบบอสิ ระ
สุขแบบแยงกนั ก็คือ ถา เขาสขุ เรากท็ ุกข ถาเราสขุ เขากท็ กุ ข
โดยมากจะเปน ความสขุ ประเภททีเ่ กี่ยวกบั วัตถุ ความสุขท่ีเก่ยี วกับ
วัตถุนัน้ ตองไดต อ งเอา พอเราไดม าเราสขุ คนอ่นื เสยี หรือไมไ ด
เขาก็เกิดความทกุ ข แตพอเขาไดเ ราเสยี เราไมได เขาสขุ เรากท็ กุ ข
ความสขุ อยา งน้ีไมเอ้อื ตอ กัน ยังกอปญหา
ย่ิงมองกวา งออกไปในสังคม เมอ่ื มนุษยท ้ังหลายตางก็หา
ความสุขจากการไดและการเอา ก็แยง ชงิ เบยี ดเบยี นกนั สังคมก็
เดือนรอ นวุนวาย ในทสี่ ุด กม็ ีแตความทุกขค วามเดอื ดรอ นแผไปท่ัว
ทุกคนแยง กันสขุ เลยตอ งทกุ ขกนั ทัว่ ไปหมด ไมมีใครไดค วามสุข
เพราะฉะน้นั จงึ ตองมคี วามสุขทีพ่ ัฒนาตอ ไป
ความสุขข้นั ทีส่ อง คือความสขุ ทปี่ ระสานกนั ชวยกันสขุ ถา
เราสุขก็ทําใหเขาสุขดว ย นก่ี ็คือความสขุ ท่ีเกดิ จากการพัฒนาจติ ใจ
โดยเฉพาะกค็ อื ความรกั แท
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๑
ความรกั แทค ือ ความปรารถนาจะใหผูอ่นื เปน สุข แตต อง
ระวังแยกใหด ี เพราะความรกั นเ้ี ปนศพั ททค่ี ลุมเครือหนอย ความ
รักนั้นมี ๒ อยาง คอื รกั แท กับรกั เทียม ความรกั ประเภททเ่ี รา
ตองการคอื ความรักแท ไดแ ก ความปรารถนาใหผ ูอื่นเปนสุข อนั นี้
เปนความหมายทีส่ ําคญั ของคาํ วาความรัก และความรักประเภทนี้
มีชื่อพเิ ศษเรยี กวา เมตตา เมตตาหรือความรกั ที่ตองการใหผ อู น่ื
เปน สุข
สวนความรักอีกอยางหนึง่ นน้ั ตรงขาม คอื ความรกั ทอี่ ยาก
เอาคนอ่นื มาบําเรอความสขุ ของเรา ความรกั ทีต่ องการเอาคนอ่ืน
มาทําใหเ ราเปน สุข ความรักทีต่ องการครอบครอง อันน้ีกจ็ ดั เขา ใน
จําพวกความสขุ จากการทตี่ อ งไดต อ งเอา เปน ความสขุ แบบแยง
กันเหมอื นกับทพี่ ูดมาแลว
ความรักแทที่ตองการใหคนอ่ืนเปนสุขจะเห็นไดงายๆ
เหมือนความรกั ของพอแม พอแมร ักลกู กค็ อื อยากใหลกู เปน สุข ถา
เราอยากใหล ูกเปน สขุ เรากต็ อ งพยายามทาํ ทกุ อยางเพ่อื ใหล ูกเปน
สุข เพื่อจะไดเ ห็นลกู มีความสขุ พอเหน็ ลกู มีความสขุ พอแมก ็มี
ความสุขดว ย
จะเห็นวา พอ แมอยากเหน็ ลกู เปนสขุ กเ็ ลยตองพยายาม
ทําใหลกู เปน สุข ตอนแรกลกู กต็ อ งการวัตถุสง่ิ ของ เชน อาหาร หรอื
สิ่งที่จะดู จะฟง เปน ตน พอแมก็หาวตั ถุเหลานนั้ มาใหแกลกู เม่ือ
๑๒ ความสุขที่สมบรู ณ
ใหแ กล ูก พอ แมก็ตอ งสละ การสละน้ัน ตามปกตจิ ะทาํ ใหไ มสบาย
เปนทุกข เพราะอะไร เพราะวาเราเสีย แตพ อแมใ หแกล กู ก็ไมท กุ ข
พอแมไ มท กุ ข แตก ลับสขุ ดว ย เพราะอะไร เพราะอยากใหล ูกเปน
สุข และอยากเหน็ ลกู เปน สขุ พอสละใหเงินใหท องใหข องแกลูก
แลว เหน็ ลกู มคี วามสุข พอ แมก็มคี วามสุขดว ย กเ็ ลยกลายเปน วา
การให หรอื การสละนี่ เปนความสุขไดเหมอื นกนั
ตามปกตคิ นเราน้ี จะตอ งไดต องเอา จึงจะเปน สขุ ถา ให
ตองเสยี ก็ทุกข แตพ อมีความรัก คอื เมตตาขึน้ แลว การใหก็กลาย
เปนความสขุ ได ทนี ้ี พอเราให เขาเปนสุข เราเห็นเขาเปนสุขสมใจ
เรา เราก็สุขดวย แสดงวา ความสขุ ของบคุ คลท้งั สองน้ี อาศยั ซ่งึ กัน
และกัน เปนความสุขแบบประสาน คอื รวมกันสุข หรือสขุ ดวยกนั
ไมใชค วามสุขแบบแยงกนั
ทง้ั โลกจะสขุ สนั ต์ิ เมื่อคนมสี ุขแบบประสาน
ถาเราพัฒนาจิตใจอยา งน้ี โดยขยายความรกั ความเมตตา
ออกไป เราก็สามารถมคี วามสขุ เพิ่มขน้ึ โดยทค่ี นอน่ื กม็ ีความสุข
ดวย อยา งนกี้ ็เปน ความสขุ ทป่ี ระกอบดว ยธรรม ถา ความสขุ อยา งนี้
เกิดข้ึนมากกท็ าํ ใหโ ลกน้ีมีสันตสิ ุข เร่ิมตงั้ แตในครอบครัวเปน ตน ไป
พอแมอยากใหลูกเปนสขุ สละใหแกล กู แลวพอ แมก ็เปนสุขดวย ที
นี้ถาลูกรกั พอแมเหมอื นอยางท่พี อ แมร กั ลกู ลูกกจ็ ะทาํ แกพ อแม
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๓
อยางเดียวกับทพี่ อ แมทาํ กับตนเอง คอื ลูกจะพยายามทาํ ใหพ อแม
เปนสุข เม่ือลูกพยายามทําใหพอ แมเ ปนสขุ ลกู ก็ใหแกพอ แม ลูกก็
พยายามรบั ใช ทําอะไรตา งๆ ใหพอ แมมีความสขุ พอลูกเหน็ พอ แม
มคี วามสขุ ลกู กส็ ขุ ดว ย ความสขุ ของลกู กป็ ระสานกบั สขุ ของพอ แม
ถาอยางนก้ี ็มีแตความสขุ สันต์ิรมเย็นยง่ิ ขนึ้ ในครอบครวั กเ็ ปน สุข
ขยายออกไป ในหมูเพอ่ื นฝงู ญาตมิ ติ รกเ็ หมอื นกัน ถา ญาติ
มิตรเพื่อนฝูงใหแ กกนั หรอื ทาํ อะไรใหกนั โดยอยากจะใหญ าตหิ รอื
เพ่ือนเปนสุข พอเห็นญาติหรือเพอื่ นเปน สุขตัวเองก็เปน สุขดว ย
เมื่อความสขุ แบบประสานกันอยางนี้กวางออกไปๆ โลกนี้กร็ ม เยน็
และมีการชวยเหลือกัน การอาศัยกนั ได วตั ถสุ ่งิ ของตา งๆ กจ็ ะ
กลายเปน เครอื่ งประกอบที่จะชวยเหลือเกอื้ กูลซงึ่ กนั และกนั อันนกี้ ็
เปนความสุขอยางหน่งึ ที่ชอบธรรม รวมแลวความสขุ ท่พี ัฒนายง่ิ
ขึ้นไปมีอยูมากมาย
อีกตัวอยา งหนึง่ โยมมีศรทั ธาในพระศาสนา มคี วามเชอ่ื
ม่ันในพระรัตนตรัย เชอื่ ในบุญกศุ ล พอไปทาํ บญุ กุศลกเ็ กิดความ
อ่ิมใจ แมจะใหจะสละกไ็ มท ุกข เพราะใจมศี รัทธาเสยี แลว เมื่อให
ดวยศรัทธา การใหก ็กลายเปนความสุขดว ย
เปนอันวา ในขน้ั ตน มนุษยเรามีความสุขจากการไดก าร
เอา จึงแยง ความสขุ กัน แตเ มอื่ พฒั นาไปพอถึงข้ันที่ ๒ จติ ใจมีคณุ
ธรรม เชน มีเมตตา มีไมตรี มีศรทั ธา การใหกลายเปน ความสุข ก็
๑๔ ความสุขท่ีสมบูรณ
เกิดความสขุ จากการให จงึ เปลย่ี นเปนความสุขทปี่ ระสานสง เสริม
อุดหนุนซึ่งกันและกัน มนุษยเราก็พฒั นาตอไปในเรื่องความสุข
แลวก็ทําใหท ัง้ ชวี ติ และทง้ั โลกนมี้ ีความ สุขมากขนึ้ ดวย แตร วม
ความก็คอื วา เราตอ งพยายามทําตวั ใหมีความสขุ โดยถกู ตอ ง ถา
ทําไดอยา งนก้ี เ็ ปนการมีความสขุ โดยชอบธรรม
แมแ ตสขุ ท่ีชอบธรรม
ถา ปฏิบัตผิ ิด สขุ กก็ ลายเปน เส่ือม
พระพุทธเจาตรัสวา ถาเปนความสุขโดยชอบธรรมแลวเรา
มีสทิ ธเิ์ สวย ไมต อ งไปสละละท้ิง แตท านสอนไมใหหยุดแคน ้ี เพราะ
ถาเราปฏบิ ัติผดิ พอเรามีความสุขแลว เรากอ็ าจจะพลาด จุดท่ีจะ
พลาดอยูตรงน้คี อื เรามีสทิ ธ์ทิ จี่ ะสุข และเราก็สุขแลว แตเ ราเกดิ ไป
หลงเพลิดเพลนิ มวั เมา พอเราหลงเพลินมวั เมา ความสุขนน้ั ก็จะ
กลับกลายเปน ปจ จัยของความทุกขได พอถึงตอนน้ีก็จะเสีย เพราะ
ฉะนั้นความสขุ นัน้ เราจะตองรทู นั ดวย
ความสขุ กเ็ ปนโลกธรรมอยา งหนงึ่ คอื มันเกดิ ขึ้นแลว ก็ตัง้
อยูแ ละดบั ไป เปน อนจิ จัง เปลย่ี นแปลงไปได ถา เรารูทันความจริง
น้ี เมื่อสุข เราก็เสวยสุขน้นั โดยชอบธรรม แตเราไมหลงมัวเมาใน
ความสุขนั้น เมื่อรูเทาทนั ไมหลงมวั เมาแลว มันกไ็ มเ ปนปจ จัยให
เกิดทุกข แตถา หลงมัวเมา สุขกเ็ ปนปจจยั แกท กุ ข อยา งนอ ยก็ทํา
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๕
ใหตดิ แลวกเ็ พลิดเพลนิ หลงมวั เมา ไมท ําอะไร ทาํ ใหเกิดความ
ประมาท
คนท่ีคิดวา เราสขุ แลว เราสําเร็จแลว เราเกง แลว เราดแี ลว
นี่ พระพุทธเจาตรัสเตอื นไววาจะเปนเหตุใหเ กดิ ความประมาท
เพราะเกดิ ความพอใจ ก็ไดแตม วั เสวยความสุขและความสาํ เร็จนน้ั
ไมทําอะไรท่คี วรจะทําตอๆ ไป หรือใหย่งิ ขน้ึ ไป มกี จิ หนา ที่อะไรท่ี
ควรทําก็ไมท าํ อะไรเกิดข้นึ ควรตรวจตราแกไข หรอื จดั ดาํ เนนิ การ
ก็ปลอยก็ละเลย มัวแตหลงในความสุข กลายเปนทางของความ
ประมาท แลวกเ็ ปน ความเส่ือมตอ ไป
พระพทุ ธเจาตรัสไววา แมแตพระอริยะ อยา งพระโสดาบัน
ก็ยังประมาทได ประมาทเพราะอะไร เพราะวาไปเกดิ ความพอใจ
ขึ้นมา อิ่มใจวา น่เี ราไดบ รรลุธรรมสงู ถงึ ขั้นนแ้ี ลว พอพอใจขึน้
ความประมาทกต็ ามมาทนั ที กไ็ มเ พยี รพยายามเพอ่ื กาวหนาใน
คุณความดยี งิ่ ข้นึ ไป กก็ ลายเปน ความเสื่อม
พระพุทธเจา ตรัสสอนวา เรือ่ งความเจรญิ งอกงามในกุศล
ธรรมนัน้ หยดุ ไมไ ด เราตอ งพยายามย่ิงขึน้ ไป มพี ุทธพจน แหง หนึ่ง
ตรสั วา เราไมสรรเสรญิ แมแตความตง้ั อยูไดใ นกศุ ลธรรมทั้งหลาย
ไมตองพูดถงึ ความเส่ือมจากกุศลธรรม เราสรรเสรญิ แตค วามกา ว
หนาย่ิงขึ้นไปในกุศลธรรมเทา น้ัน ก็หมายความวา เราจะตองเพียร
พยายามปฏิบัตเิ จรญิ กศุ ลธรรมใหก า วหนา ไป จนกระทงั่ หมดกิเลส
๑๖ ความสขุ ที่สมบรู ณ
หมดความทุกข มปี ญ ญาสมบรู ณ มสี ติสมบูรณท ีส่ ดุ ถา เราเกิดไป
ติดในความสขุ ในความเพลดิ เพลนิ เรากห็ ยุด เรากไ็ มข วนขวาย
ไมปฏิบัติตอ ไป ก็จะกลายเปน ทางของความเสอื่ ม เพราะฉะนั้น
ความสขุ ถาเราหลงติดมัวเมา ก็เปน การผิดพลาด
เพราะฉะน้ันจึงตองเสวยความสุขดวยความรูเทาทนั แลว
ความรูเทาทันท่ีเปน ตวั ปญ ญานี้ จะปอ งกนั ไมใหสขุ น้ันเกิดพิษเกิด
ภัย มนั จะปองกันเหตุรา ย ภยั พบิ ัติ และความเส่ือมไดท งั้ หมด นกี่ ็
คือการเสวยสขุ โดยไมประมาทนน่ั เอง
ถงึ จะสขุ ถา ยังไมอ ิสระ ก็ไมเ ปนสุขที่สมบูรณ
นอกจากนนั้ การท่ีเราจะตอ งไมป ระมาท ไมห ลงตดิ เพลิน
ในความสุข ก็เพราะวา ยงั มีความสขุ อยางอนื่ ทป่ี ระณีตย่งิ ขนึ้ ไปที่
เราควรจะไดยงิ่ กวานี้ เพราะฉะนัน้ เราจึงกาวตอ ไปสูขอท่ี ๔ คือ
เพียรพยายามทจี่ ะเขาถึงความสุขที่ประณีตยง่ิ ขนึ้ ไป
ความสุขมีหลายระดับ อยางท่ียกมาพดู เมอ่ื กี้ เร่ิมตน เรามี
ความสุขจากการเสพวตั ถุ คอื สิ่งทจ่ี ะมาบํารุงตา หู จมกู ลิ้น กาย
ของเรา ใหไดด ู ฟง ดมกล่นิ ลิ้มรสทช่ี น่ื ชมชอบใจ พวกน้เี ปน ความ
สุขทางประสาทสัมผัสเบ้ืองตน
เม่ือพัฒนาตอไป เรากม็ ีความสขุ เพมิ่ ขึ้นอีก อยางทว่ี า เม่อื
ก้ี คือความสุขจากคณุ ธรรม ตอนแรกเราเคยมคี วามสขุ จากการได
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๗
การเอาอยา งเดียว เปน ความสุขข้ันตน ยังแคบอยู พอเรามคี ณุ
ธรรมเพิ่มข้นึ เราก็มีความสขุ จากการใหดว ย เมอ่ื มศี รัทธา เรากม็ ี
ความสุขจากการทาํ บญุ ทํากุศล เมื่อทาํ บญุ ทํากศุ ลไปแลว ระลึก
ขึ้นมาเมอ่ื ไรกม็ ีความปต ิอมิ่ ใจ มคี วามสุขจากการไดท าํ ประโยชน
แกเพื่อนมนุษย ไดช วยเหลือสังคม และไดท ําความดงี ามตางๆ
ถาเราไมป ระมาท คอื ไมหยดุ เสยี แคค วามสุขขนั้ ตน เราจะ
สามารถพฒั นาในความสขุ ทาํ ความสขุ ใหเ กิดขนึ้ ไดอีกมากมาย
ตอจากนีค้ วามสุขก็ขยายออกไปอกี เลยจากความสุขในการทํา
ความดี กไ็ ปสูความสขุ ที่เกิดจากปญญา
ความสขุ ทีเ่ กดิ จากปญญา กค็ ือความรูเทา ทันสงั ขาร รโู ลก
และชีวิตตามเปนจริง รูเทาทนั อนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา
ความสุขทงั้ หลายน้ี ในทส่ี ดุ จะเปน สุขจากการเสพวัตถกุ ็
ตาม สขุ ในการอยูกับธรรมชาติก็ตาม และแมแ ตสขุ จากการทาํ
ความดตี างๆ นี้ ลวนแตเปนความสขุ ท่ียงั ตอ งองิ อาศยั คอื ตอง
อาศัยวตั ถุ หรอื ปจ จัยภายนอก ขน้ึ ตอสง่ิ หรอื บคุ คลอื่น
เมื่อความสขุ ของเราอาศยั วตั ถุ เรากฝ็ ากความสุขไวกบั
วัตถุ ถาขาดวัตถุนน้ั เราก็ขาดความสุข ตอนแรกเราบอกวาถา เรามี
วัตถุนั้นเราจะมีความสขุ ตอมาเราเพลนิ ไป ความสขุ ของเรากต็ อ ง
อาศัยวัตถุนน้ั พอขาดวัตถนุ ัน้ เราสุขไมได และกลายเปน ทุกขด วย
แยลงกวา เกา อนั นีพ้ ระพุทธเจาตรัสใหระวงั เพราะจะเปน การสญู
๑๘ ความสขุ ท่สี มบรู ณ
เสยี อิสรภาพ ทําอยางไรเราจะรักษาฐานเดิมไวไ ด คอื เรามวี ตั ถนุ ั้น
เราก็มีความสขุ แตถ าไมม เี ราก็สุขได ถาอยางนกี้ แ็ สดงวา เรายังตั้ง
หลักอยูได และยังมีอสิ รภาพอยู
เม่ือเราทาํ ความดี เราก็มีสิทธทิ ่ีจะไดร บั ความสขุ จากการ
ทําความดนี ้ัน เชน ดว ยศรัทธา ดว ยเมตตา ดว ยจาคะ เราบําเพญ็
ประโยชนท าํ บญุ ทํากศุ ลแลว เรากม็ สี ิทธ์ิทจ่ี ะไดความสขุ จากบุญ
กุศลเหลา น้นั แตม ันกย็ งั เปน ความสุขที่อิง อาศยั คอื เราจะตอ ง
อาศัยการระลกึ ถึงความดีหรือบุญถึงกุศลน้ันอยู ถา เปน ความสขุ ท่ี
องิ อาศัย มันกย็ ังเปนสง่ิ ท่อี ยูนอกตวั ไมเปน เนือ้ เปนตวั ของเราเอง
ทําอยา งไรเราจะมีความสุขทไ่ี มตอ งข้นึ กับสิง่ อื่น
ถาความสุขนน้ั ยังตอ งข้นึ อยูก ับสง่ิ อนื่ มันกผ็ นั แปรได และ
ตัวเราก็ไมเ ปนอสิ ระ เพราะสิง่ น้นั ตกอยูใตก ฎธรรมชาติ เปนไป
ตามอนิจจงั ทุกขัง อนัตตา มันสามารถกลบั ยอนมาทาํ พษิ แกเรา
ได ส่ิงภายนอกทเ่ี ราอาศยั นน้ั มนั ไมไ ดอยูกับตัวขางในเรา ไมเ ปน
ของเราแทจรงิ เม่อื เราฝากความสขุ ไวกับมัน ถา มันมอี นั เปนอะไร
ไป เราก็ทกุ ข
ความดกี เ็ หมอื นกัน เม่ือเรามคี วามสุขเพราะอาศยั มนั ถา
ความดีน้ันเราไปทําแลวคนอ่ืนไมเ หน็ หรอื ไมช ื่นชม บางทีใจเราก็
หมนหมองไปดวย จงึ เรียกวา เปนความสุขท่ยี ังองิ อาศยั อยู เพราะ
ฉะนัน้ เราจึงตองกา วตอ ไป สูก ารมีปญ ญารูความจริงของสิ่งท้ัง
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๙
หลาย รูวาธรรมดาของสงิ่ ทง้ั หลายกเ็ ปน อยา งนี้ ไมว าอะไรที่เปน
สังขาร จะเปน รปู ธรรม หรือนามธรรม เปนความช่วั หรอื ความดี
เปนวัตถุ หรือเปน เรื่องของจติ ใจ มนั กเ็ ปน อนิจจงั ทุกขงั อนัตตา
ท้ังน้ัน เมื่อรูความจรงิ แลว กจ็ ะเขา ถงึ กระแสของธรรมชาติ เรยี กวา
กระแสเหตุปจจยั ปญ ญาของเรากเ็ ขา ไปรทู นั กระแสเหตปุ จจัยนี้
พอปญญารูเทาทนั มนั แลว เราก็วางใจได รูส กึ เบาสบาย เรากร็ แู ต
เพียงตามเปนจรงิ วา เวลานี้ส่งิ นมี้ ันเปน อยา งนี้ มนั ก็เปน ไปตาม
เหตุปจ จยั ของมนั
เมอื่ รูทันแลว สิ่งนน้ั กไ็ มยอ นมาทาํ พิษแกจ ิตใจของเรา จิต
ใจของเราก็เปน อสิ ระ ตอนน้ีกจ็ ะมาถึงข้ันสดุ ทา ยท่ีวา สิง่ ทั้งหลาย
ท่ีเปนสังขาร มันเปน อนิจจงั ทุกขงั อนัตตา มันกเ็ ปน ทุกขไปตาม
ธรรมชาติของมัน ตามสภาวะ เรารูเห็นความจรงิ ของมนั แตเ ราไม
พลอยเปน ทกุ ขไ ปดวย
สงิ่ ทงั้ หลายก็ทกุ ขต อ ไปตามเร่ืองของธรรมชาติ
แตใ จเราเปน อิสระมีสุขทสี่ มบูรณ
สิ่งทั้งหลายท่เี ปน อนิจจงั ทุกขัง อนตั ตา มีความเปลีย่ น
แปลงเปน ไปตางๆ มนั กต็ อ งเปนอยา งน้นั เปน ธรรมดา เพราะมัน
อยูในกฎธรรมชาตอิ ยา งนัน้ ไมมีใครไปแกไ ขได แตท่ีมันเปนปญหา
ก็เพราะวาในเวลาท่ีมันแปรปรวนเปล่ียนแปลงไปตามกฎธรรมชาติ
๒๐ ความสุขทส่ี มบรู ณ
น้ัน มันพลอยมาเบยี ดเบยี นจิตใจของเราดว ย เพราะอะไร เพราะ
เรายื่นแหยใจของเราเขาไปใตอิทธิพลความผันผวนปรวนแปรของ
ธรรมชาตินัน้ ดว ย ดังนน้ั เมื่อสิง่ เหลา น้นั ปรวนแปรไปอยา งไร ใจ
ของเราก็พลอยปรวนแปรไปอยางนั้นดว ย เมอื่ มันมอี ันเปนไปใจ
ของเราก็ถกู บีบค้นั ไมสบาย
แตพอเรารูเทาทนั ถึงธรรมดาแลว กฎธรรมชาตกิ ็เปนกฎ
ธรรมชาติ สง่ิ ทัง้ หลายท่ีเปน ธรรมชาติ กเ็ ปนไปตามกฎธรรมชาติ
ทําไมเราจะตอ งเอาใจของเราไปใหก ฎธรรมชาตบิ บี ค้นั ดวย เราก็
วางใจของเราได ความทกุ ขท ม่ี ีในธรรมชาติ ก็เปน ของธรรมชาติไป
ใจของเราไมตองเปน ทกุ ขไ ปดวย ตอนน้ีแหละ ท่ีทานเรยี กวามจี ติ
ใจเปนอิสระ จนกระทั่งวา แมแ ตทกุ ขทีม่ ีในกฎของธรรมชาติ ก็ไม
สามารถมาเบียดเบยี นบบี คน้ั ใจเราได เปนอสิ รภาพแทจ ริง ท่ีทาน
เรยี กวา วมิ ุตติ
เม่ือพัฒนามาถงึ ข้นั น้ี เราก็จะแยกไดร ะหวา งการปฏิบัตติ อ
ส่ิงทัง้ หลายภายนอก กบั การเปน อยูของชีวติ จติ ใจภายในของเรา
กลาวคือ สําหรบั สง่ิ ทั้งหลายภายนอก กย็ กใหเ ปน ภาระของ
ปญญา ท่ีจะศึกษาและกระทําไปใหทนั กันถงึ กันกบั กระบวนการ
แหงเหตุปจจยั ของธรรมชาตใิ หไดผ ลดที ี่สุด สวนภายในจติ ใจกค็ ง
อยเู ปนอสิ ระ พรอ มดว ยความสุข
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๒๑
ความสุขจากความเปนอิสระถึงวิมุตติที่มีปญญารูเทาทัน
พรอ มอยูน้ี เปน ความสุขทสี่ าํ คญั พอถงึ สุขขัน้ นแี้ ลว เรากไ็ มตองไป
พ่ึงอาศยั สง่ิ อ่นื อกี ตอไป ไมว าจะเปนรูปธรรมหรือนามธรรม มนั จะ
กลายเปนความสุขทเี่ ต็มอยูใ นใจของเราเลย และเปนสขุ ท่มี ี
ประจําอยตู ลอดทกุ เวลา เปน ปจ จบุ ัน
ความสุขที่เรานึกถึงหรอื ใฝฝ นกนั อยูนี้ มักเปน ความสุขท่ี
อยูในอนาคต คอื เปนความสขุ ทหี่ วงั อยขู างหนา และอิงอาศยั สิง่
อ่ืน แตพอมีปญญารูเทาทันความจริงแลว จะเกดิ ความสุขทอี่ ยใู น
ตัวเปน ประจาํ และมีอยูตลอดทุกเวลา เปนปจจุบนั ทกุ ขณะ กลาย
เปนวาความสขุ เปน เนื้อเปน ตัว เปน ชวี ิตจติ ใจของเราเอง พอถึง
ตอนนก้ี ไ็ มตองหาความสุขอะไรอกี ถา มีอะไรมาเสริมใหค วามสุข
เพ่ิมข้ึน เรากม็ คี วามสุขทเ่ี ปนสวนแถม และเราก็มีสทิ ธเ์ิ ลือกตาม
สบายวาจะเอาความสุขนนั้ หรือไม ไมม ปี ญ หา และเม่ือสขุ แถมน้ัน
ไมมี ก็ไมเ ปนไร เราก็สขุ อยูตลอดเวลา ตอนนท้ี านเรยี กวาไมม ีอะไร
ตอ งทําเพือ่ ตัวเองอกี พลังงานชวี ติ ทเี่ หลอื อยูกย็ กใหเ ปน ประโยชน
แกโลกไป นี่แหละเปน สุขท่สี มบูรณ และกเ็ ปน ชีวิตทสี่ มบรู ณด ว ย
พฒั นากศุ ล คือหนทางพฒั นาความสขุ
อาตมภาพก็เลยนําเอาเน้ือความบางตอนในหนังสือท่ีได
พิมพสาํ หรบั งานในวนั นี้ คอื “ชีวติ ท่ีสมบูรณ” มากลาวใหโ ยมฟง
๒๒ ความสุขทส่ี มบรู ณ
ดวย แตไมใชว า จะเหมือนกนั หมด เพียงแตม าบรรจบกนั ตอนแรก
พูดเร่อื งอ่ืนกอ น แตพอพูดไปพูดมาก็มาจบลงท่เี รื่องเดยี วกนั คอื
ชีวิตท่ีสมบรู ณ หรอื ความสุขที่สมบูรณ ทัง้ น้กี เ็ พราะวา ธรรมะของ
พระพุทธเจา นั้น ไมว าจะจับแงไหนในทีส่ ุดก็เปน เรอ่ื งเดยี วกนั
เพราะธรรมเปนความจริงตามธรรมชาติ เมือ่ เปนความจรงิ ตาม
ธรรมชาตแิ ลว มนั กเ็ ปนเรื่องเดยี วกนั ท้ังหมด จะพดู จดุ ไหน ในที่สุด
มันก็มาบรรจบเปนอันเดียวกัน
วันนี้อาตมภาพไดพูดถึงเร่อื งความสุข เพอ่ื ใหเ หน็ ถึงหลกั
การของพระพทุ ธศาสนา ขอทบทวนอกี ครงั้ หนึ่งวา พระพทุ ธเจา
ตรัสวิธีปฏิบัตติ อ ความสุขไว ประมวลได ๔ อยาง คอื
๑. ไมเอาทกุ ขทับถมตน ทไี่ มม ีทุกข
๒. ไมละทิง้ สขุ ท่ชี อบธรรม
๓. ไมมัวเมาหมกมุนในความสขุ นนั้ แมแตที่ชอบธรรม
๔. ปฏิบัติใหเขาถึงความสุขทีป่ ระณีตย่งิ ข้ึนไป จน
สมบูรณ
ถาโยมทาํ อยางนก้ี ็มแี ตจ ะเจรญิ งอกงาม จนมคี วามสขุ ได
ตลอดเวลา
ความสุขอยางน้ีเกิดขึ้นโดยปกติก็อาศัยกุศลธรรมอยูเร่ือย
กุศลธรรมมีหลายอยา ง เชน ที่กลา วมาแลว มีเมตตา และศรัทธา
เปนตน ท่ีโยมมีอยูในใจ ซง่ึ ทาํ ใหใ จสบาย และทําใหทําความดี
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๒๓
ตางๆ และหลงั จากทาํ แลวระลกึ ขึ้นมาก็เกดิ ความอ่ิมใจ มปี ต ิ ทํา
ใหใจสบายไดตลอดทกุ เวลา จนกระทัง่ ถึงปญญาซง่ึ เปน ตวั สาํ คญั
ที่สุด ปญญานน้ั รกั ษาใจ ไมใหต กอยูใ ตก ระแสกฎธรรมชาติ ทําให
เราถงึ วมิ ุตติ มีจติ ใจเปน อสิ ระ
เมื่อมีกศุ ลธรรม ไมวา จะเปนเมตตา เปน ศรทั ธา หรอื อะไร
ก็ตาม จนกระทง่ั มปี ญญา ก็จะทําใหเ กดิ ความเปนมงคลทแี่ ทจ รงิ
พอเกิดกุศลธรรมขน้ึ มา นน่ั กค็ อื การเกิดทด่ี ี
วันนี้เปนวันเกิดของคณุ โยม อาตมภาพกเ็ ลยถือนมิ ติ วา ให
เปนการเกิดของกศุ ลธรรม พอโยมเกดิ มีกุศลธรรม ความเปนมงคล
ก็เกิดขึ้นทันที อยา งวันนี้ เวลานี้ โยมทุกทานกถ็ ือไดว า เกิดกศุ ล
ธรรมแลว คือตงั้ แตก อ นมาท่นี ีก่ ม็ ีจิตใจที่ประกอบดวยไมตรีธรรม
ตอโยมผเู ปน เจา ภาพ ความมไี มตรีดวยเมตตาธรรมนี้ เปน ความ
หวังดี ปรารถนาความสขุ ตอกัน จิตใจทม่ี ีกุศลธรรมขอน้ี ก็เปนจิต
ใจท่ีมีความสุข เปนมงคล เพราะฉะน้ัน โยมทุกทานกม็ ีกศุ ลธรรม
เกิดข้ึนในใจกอนมาแลว
พอมาถึงทน่ี ่ี กพ็ ฒั นาเพมิ่ พนู กศุ ลธรรมนนั้ ใหม ากขน้ึ ไปอีก
คือ นอกจากวา ไดม าพบปะกันในหมูญาตมิ ติ ร มไี มตรีธรรมตอ กัน
แลว กไ็ ดแ สดงไมตรธี รรมน้ันออกมาดว ยวาจาและดว ยการกระทํา
ตางๆ ที่เปน การขวนขวายชวยเหลอื และรวมกันทาํ บญุ ทาํ กศุ ลใน
พระศาสนา มาชว ยถวายไทยธรรม เปน การใหก ําลังแกพ ระสงฆใ น
๒๔ ความสุขท่สี มบรู ณ
การปฏิบตั ิกจิ พระศาสนา ชว ยใหพระสงฆท ํางานพระศาสนา ให
พระศาสนาเจริญงอกงามตอ ไป จงึ ถือวา โยมไดรว มบาํ รุงพระ
ศาสนา หรือสืบตออายุพระศาสนาดว ย
เม่ือพระศาสนาเจริญงอกงาม กแ็ ผป ระโยชนส ุขไปใหแ ก
ประชาชน เพราะธรรมแผไ ป ทําใหค นประพฤตดิ ีงาม สังคมกม็ ี
ความรม เย็นเปน สุข โยมก็ชือ่ วา ไดร ว มสรางสรรคส ังคมใหม คี วาม
สุขดวย ทั้งหมดนี้ลวนแตเ ปนการเกิดข้นึ ของกศุ ลธรรมขยายกวาง
ออกไปๆ พอระลกึ ไดอ ยางนี้ จติ ใจก็เกิดปติ มคี วามอิม่ ใจ
เพราะฉะนั้น นอกจากการกระทําภายนอกแลว ก็ควรทําใจ
ภายในดว ย ถาทําใจถกู ตอ ง อยา งทท่ี างพระทานเรยี กวา มี โยนิโส
มนสิการ ก็ขยายใหก ุศลธรรมยงิ่ เพ่มิ พูน ยกตัวอยา งในการทาํ บุญ
วันน้ี ก็คือโยมถวายไทยธรรมแกพ ระสงฆ เปนการทาํ บุญทาํ ทาน ก็
เปนกุศลธรรม พอทาํ ใจถูกตอ ง ก็มองเห็นวา ออ ไทยธรรมที่ถวาย
นี้ จะเปนเครื่องใหก าํ ลังแกพระสงฆ ชวยใหท า นไปทํางานพระ
ศาสนา แลว ก็มองไกลไปถึงงานของพระศาสนา วา พระสงฆจะได
เลาเรยี นปริยัติ คอื คาํ สอนของพระพทุ ธเจา และไดไปปฏบิ ัตธิ รรม
บําเพญ็ ภาวนา ทงั้ สมาธิ ทัง้ วิปส สนา แลว กไ็ ปเผยแผส่งั สอนธรรม
แกประชาชน ประชาชนกจ็ ะมีความรม เย็นเปน สุข โอ บุญท่ที ําวนั นี้
นี่มีความหมายมากเหลอื เกนิ ยิง่ เรามองไดก วา งไกลออกไปเทา ไร
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๕
ก็ยิ่งทําใหจิตใจมคี วามเบกิ บานผองใสมากข้นึ เทาน้นั อยา งนเ้ี รยี ก
วาเปน การทาํ ใจถกู ตอง
ยิ่งกวา นน้ั กศุ ลนค้ี วรใหไ ดผ ลทง้ั อดีต ปจ จุบัน อนาคต
อดีตคือเจตนากอ นมาทีต่ ้ังไวถูกตอ งแลว ซึง่ ประกอบดว ยศรทั ธา
และเมตตา ปจจบุ ันคอื ขณะทาํ ก็ดแี ลว เพราะทําดว ยความต้งั ใจ
เปนบุญเปนกุศล อนาคตคอื ตอ จากนีไ้ ป ระลึกนึกขน้ึ มาเมอ่ื ไรก็ให
เกิดความอิ่มใจ มปี ตหิ ลอเลีย้ งใจทําใหมีความสุข อยา งทที่ า น
เรียกวา มปี ต ิเปนภกั ษา คือมคี วามปต เิ ปนอาหารใจทําใหอ่ิมใจ
อาหารใจน้ีบางทีอ่มิ จนไมต องรับประทานอะไร เมอ่ื ใจอิม่ ก็มีความ
สุข ฉะน้ันถาโยมทําบุญถกู ตอ งแลว บญุ ก็จะเกิดตอเน่ืองตลอดไป
เปนเวลายาวนาน เปนทพี่ ึ่งทอ่ี าศยั ของชวี ิต และทําใหเกดิ ความสุข
รวมความวา วันน้ี อยางนอ ยโยมกเ็ กิดกุศลธรรมข้ึนมา
แลว เปน นิมติ ทดี่ ีงามของวันเกิด เพราะฉะน้ัน อาตมภาพขอ
อนุโมทนาและก็ขอใหกุศลธรรมท่ีเกิดข้ึนแลวนี้พัฒนาย่ิงข้ึนไปจน
ไพบูลย และเปน มงคลอนั นํามาซง่ึ ความสขุ ความเจรญิ งอกงามยิง่
ข้ึนไป จนไดส าํ เรจ็ เปน ชีวิตท่ีสมบรู ณ และความสขุ ทีส่ มบูรณ
ในโอกาสนซ้ี งึ่ ถือวาเปน วันดวี ันงาม พระสงฆก็ไดมาเจริญ
พระพุทธมนต อนุโมทนาอาํ นวยพร คุณโยมกไ็ ดทําบญุ ทํากศุ ล
พรอมท้ังโยมญาติมิตรทุกทานก็มาต้ังใจอวยชัยใหพรดวยไมตรีจิต
มิตรภาพ ทุกอยางนีเ้ ปนกุศล เปน ส่ิงทด่ี งี าม จงึ ขอใหก ศุ ลนอ้ี ันองิ
๒๖ ความสุขทสี่ มบรู ณ
อาศยั คณุ านุภาพของพระรตั นตรยั จงนํามาซงึ่ ผลอันไพบลู ย คอื
จตุรพิธพรชัย แกคุณโยมท้งั สองทา น พรอมทงั้ ลูกหลาน ญาตมิ ิตร
ทง้ั หลาย
พุทธานุภาเวนะ ธัมมานภุ าเวนะ สงั ฆานุภาเวนะ ดวย
อานุภาพคุณพระพทุ ธเจา คณุ พระธรรม คณุ พระสงฆ พรอ มทง้ั
บุญกุศล มีศรทั ธา และเมตตา เปนตน ที่คุณโยม และลกู หลาน
ญาติมิตร ไดบาํ เพญ็ แลว จงเปนปจจยั นาํ มาซงึ่ พรชยั ท้งั ส่ีประการ
พรอมท้ังความเจริญกาวหนา งอกงามรงุ เรือง และสรรพสิรสิ วัสดิ
พิพฒั นมงคลทุกประการ ขอใหท กุ ทา นมีความรม เย็นเปนสขุ ใน
พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจา โดยทวั่ กนั ทกุ ทาน ตลอดกาล
นานเทอญ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๗
สารบัญ
อนโุ มทนา ................................................................................ (๑)
ความสขุ ท่สี มบูรณ ...............................................๑
เกิดดีที่สดุ คือเกิดกศุ ล..................................................................๑
ปฏบิ ัติถกู มีแตสุข ทุกขไมมี ........................................................๓
ปฏบิ ตั ิไมถ กู ยง่ิ หางสุข ทุกขท บั ถม ................................................๔
โชคมา ก็ใชท าํ ความดี
เคราะหม ี ก็เปนเครื่องมือพัฒนา.................................................๖
แยง ความสุข กเ็ ลยทกุ ขดวยกนั
แบง ความสุข กจ็ ะสขุ ทว่ั กนั ........................................................๙
ทงั้ โลกจะสุขสนั ติ์ เมื่อคนมีสุขแบบประสาน................................. ๑๒
แมแตสุขทชี่ อบธรรม
ถา ปฏิบตั ิผิด สุขกก็ ลายเปน เสอ่ื ม ............................................ ๑๔
ถงึ จะสขุ ถา ยังไมอสิ ระ กไ็ มเ ปน สขุ ทีส่ มบูรณ .............................. ๑๖
สง่ิ ทง้ั หลายก็ทกุ ขตอ ไปตามเร่อื งของธรรมชาติ
แตใ จเราเปน อิสระมสี ขุ ที่สมบูรณ............................................. ๑๙
พฒั นากศุ ล คอื หนทางพฒั นาความสุข ....................................... ๒๑
ความสุขทีส่ มบรู ณ
พระพรหมคุณาภรณ
(ป. อ. ปยุตฺโต)
ความสุขท่ีสมบูรณ
© พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)
ISBN
พมิ พครัง้ แรก ตุลาคม ๒๕๓๗
- คุณนาม พูนวัตถุ พมิ พในวนั เกดิ ๘๐ ป ๑ ต.ค. ๓๗
พิมพครั้งท่ี - เมษายน ๒๕๔๘
พิมพที่