กิเลสประเภทนี้ละเอียดมาก
มกั จะสวมรอยใหผ้ ปู้ ฏบิ ัติหลงกลลืมตัว
แตก่ ท็ นไม่ไดท้ ี่ต้องพดู เมอื่ เข้าถงึ ขนั้ น้ันแล้ว น่นั แหละขั้นทสี่ �ำคัญวา่ ตวั วเิ ศษ
ว่าตัวประเสริฐเลศิ โลก ทง้ั ๆ ท่ีก�ำลงั เปน็ อวชิ ชาเต็มตัว
ไปยกตวั อวชิ ชานน้ั แหละวา่ ประเสริฐ ว่าเลศิ
สังเกตสอดรู้กันอยู่ทุกระยะๆ ตามนิสัยของสติ หลวงตาไดเ้ ลา่ ถงึ เรอ่ื งนใ้ี นชว่ งทา้ ยเทศนข์ อง
ปัญญาขั้นไม่นอนใจ ไม่นานก็ทราบกลมายาของ วนั ที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๒ ไว้วา่
อวชิ ชาจนได้ นแี่ หละตรงน้ี ตรงทจ่ี ะทำ� ลาย” “ธรรมลีนี่ก็ส�ำคญั อยู่นะ ธรรมลีนี่สำ� คัญผดิ
มีตัวอย่างประสบการณ์ของครูบาอาจารย์ หนหน่ึงเหมือนกัน นู้นน่ะเป็นต้ังแต่อยู่กับผมที่
ชั้นผู้ใหญ่หลายรูปด้วยกันท่ีต้องเสียเวลาเพราะ ห้วยทราย เร่ืองการค้นการพจิ ารณาไม่มเี วลาว่าง
หลงกลติดอยู่ในอ�ำนาจของอวชิ ชานี้ จนบางท่าน เปน็ ตง้ั แตน่ นู้ ละ่ ทา่ นกเ็ ปน็ ไดเ้ รว็ กบ็ วชในงานศพ
เขา้ ใจสำ� คญั ไปวา่ ธรรมชนั้ นเ้ี ปน็ วมิ ตุ ตธิ รรมกม็ ี นก้ี ็ พอ่ แมค่ รจู ารย์เราน่ีละ่ ปี ๙๓ เรากม็ าจำ� พรรษา
เพราะความละเอียดของอวิชชานน่ั เอง หลวงปลู่ ี ที่หนองผอื ปี ๙๔ ก็ไปจำ� ท่ีหว้ ยทราย ท่านก็ไป
กเ็ ชน่ เดยี วกนั แตด่ ้วยมพี อ่ แมค่ รจู ารย์คอยก�ำกบั อย่ดู ว้ ยท่ีนน่ั เป็นได้เร็วนะ ไปสำ� คญั ตวั ตอนหนึ่ง
อยเู่ สมอ จึงทำ� ใหห้ ลวงปไู่ มเ่ สยี เวลานานในธรรม เขา้ ใจว่าสิ้นไป พลกิ ไปได้ไงไมร่ ู้ เอา้ แกไ้ ด้”
ช้ันนี้
96 ผทู้ รงไวซ้ ง่ึ ความฉลาด
หลวงป่ลู ี กสุ ลธโร 97
เมอื งเลย
ดนิ แดน
พระกรรมฐาน
ท่านพยายามศึกษา
กายนครและจิตนคร
ท่เี ป็นแหลง่ ใหญแ่ ห่งไตรภพ
โดยอาศัยอยูใ่ นปา่ ในเขา
ในถำ�้ เง้ือมผา เป็นสถานท่ี
เรยี นรตู้ ามค�ำตรสั สอน
ของพระพุทธเจ้า
98 ผทู้ รงไวซ้ ึง่ ความฉลาด
สถานที่สำ� คญั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงชมเชยวา่ เปน็ มหาวทิ ยาลยั ชน้ั
เยยี่ มส�ำหรับนกั ภาวนา คอื ป่า ๑ โคนไม้ ๑ ป่าชา้ ๑
ปา่ รกชัฏ ๑ ทแ่ี จง้ ลอมฟาง ๑ ทพ่ี ิเศษขยายออกไป คือ ถำ้� เง้ือมผา
บนไหลเ่ ขา หบุ เขา ชายปา่ ชายเขา เหลา่ นลี้ ว้ นถอื เปน็ สถานทสี่ ำ� คญั และทรง
ชมเชยเปน็ คเู่ คยี งกนั มาในคำ� สอน พระธดุ งคกรรมฐานสายหลวงปใู่ หญม่ นั่
ท่านพยายามศึกษากายนครและจิตนครที่เป็นแหล่งใหญ่แห่งไตรภพ
โดยอาศยั อยใู่ นปา่ ในเขาในถำ�้ เงอื้ มผา เปน็ สถานทเี่ รยี นรตู้ ามคำ� ตรสั สอน
ของพระพทุ ธเจา้ แมใ้ นสมยั ปจั จบุ นั บรรดาพระกรรมฐานจากรนุ่ สรู่ นุ่ ตา่ งก็
ยังคงต้องเที่ยวประกอบความเพียรตามท�ำเลดังกล่าวเช่นเดียวกับสมัย
หลวงปใู่ หญม่ น่ั พาดำ� เนนิ มา พระทจ่ี ำ� พรรษาอยใู่ นปา่ เขาเหลา่ นนั้ โดยมาก
จะมีครูบาอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ใหญ่มั่นเป็นผู้น�ำส�ำหรับการ
ประพฤติปฏบิ ัติเป็นแหง่ ๆ ไป
จังหวัดเลยก็เป็นอีกจังหวัดหน่ึงที่เต็มไปด้วยป่าเขาเหมาะต่อการ
หลบหลกี ปลกี ตวั เพอ่ื ประกอบความพากเพยี รทางใจ และสมยั กอ่ นหลวงปู่
ใหญ่มั่นทา่ นก็เคยมาพำ� นกั จ�ำพรรษา ณ ถ้ำ� ผาบิง้ อำ� เภอวังสะพงุ ต่อมา
จงึ มพี ระลกู ศษิ ยส์ ายหลวงปใู่ หญม่ น่ั เทย่ี วเสาะแสวงหาสถานทบ่ี ำ� เพญ็ ใน
เขตจังหวดั เลยสืบมาจนถงึ ปัจจบุ นั น้ี
ครบู าอาจารยร์ นุ่ ใหญท่ เ่ี ปน็ เลอื ดเนอ้ื ไขของชาวเมอื งเลย เชน่ หลวงปู่
ชอบ ฐานสโม หลวงป่หู ลยุ จันทสาโร หลวงปูแ่ หวน สุจณิ โณ เปน็ ตน้
หลวงปู่ลี กุสลธโร เดมิ พ้นื เพทา่ นเปน็ ชาวอำ� เภอด่านซ้าย ท่านว่า
ท่านชอบป่าชอบเขาแถวน้ัน จึงได้หลบหลีกปลีกตัวหาท่ีหลีกเร้นเพ่ือ
ประกอบความพากเพยี รทางใจในเขตจงั หวดั เลยตามครบู าอาจารยส์ มยั เกา่
ท่านเล่าถงึ บรรยากาศในสมัยเทย่ี ววิเวกทางจังหวดั เลยไวว้ ่า
“แกไ้ ขเจา้ ของอยจู่ งั ซนั่ สง่ิ ทปี่ ลดกะปลดอยจู่ งั ซน่ั แลว้ ไปหาวเิ วกกไ็ ป
จงั ซ่นั แล้ว อยู่นำ� ภูน�ำเขาพนู่ อยอู่ งคเ์ ดียวนน่ั ซ�ำบาย มนั ม่วนแท้ๆ ไปอยู่
องคเ์ ดยี วจงั ซนั่ ไปหาวเิ วกอยจู่ งั ซนั่ เดนิ จงกรมภาวนาอยจู่ งั ซน่ั มดิ ๆ แมน่ แท้
ไปเทย่ี วทางจังหวดั เลย โอ๊ย เขาบส่ นใจดอก เขาเฮ็ดแตง่ านทอนน้ั มีแต่
หลวงปลู่ ี กสุ ลธโร 99
เขาใส่บาตรใหก้ ินทอนั้นละ่ เฮากะบอกเขาซะว่า ใสห่ มกใส่หอ่ พร้อมโลด บ่ใหต้ ามมาเลยกะมี แม่นแท้
ไปอยู่เทิงภเู ทิงเขาหมู่นั่น มนั ไกลเด๊ะ ไปอยภู่ ูหอน่ัน ทางไปบณิ ฑบาตหมู่นี่ กว่าสไิ ดก้ ลบั มา พ่นู แลว้
พอล้างบาตรเสรจ็ เขาตกี ลองเพลพอดีแหล่ว ไปอยหู่ นั่ นาน
มนั ม่วนน�ำสัตว์ แตก่ ย้ี ามกลางคนื แมน่ กวาง ยามไปบิณฑบาตนเ่ี หน็ ฮอดฟาน ฟานแม่ลูกอ่อนมัน
ออกหากนิ แหลว่ มนั มว่ นนำ� เขา ทแี รกเหน็ เฮานมี่ นั แลน่ หนแี หลว่ จนไดฮ้ อ้ งบอกใสม่ นั วา่ เฮย้ อยา่ แลน่
เพศนบี้ แ่ มน่ เพศสเิ บยี ดเบยี นดอก วาซน่ั เปน็ เพศเพอื่ นเกดิ แกเ่ จบ็ ตายดว้ ยกนั เฮาอยา่ ไปกลวั กนั อยา่ ไป
แลน่ มนั สติ กเหวเดะ๊ แตม่ นั แลน่ อยหู่ นั่ ๓ มอื้ มอ้ื ท่ี ๔ นี่ ฮว่ ย บแ่ ลน่ ดอก แตย่ นื ๓ขา กนิ มะกอกอยหู่ น่ั
ตานก่ี ะเบง่ิ เฮา แลว้ กะเลยเวา่ นำ� มนั เฮย้ อยา่ ไปแลน่ เดอ้ หมเู่ ดยี วกนั กะเฮา เฮาเพอื่ นเกดิ แกเ่ จบ็ ตายดว้ ยกนั
บ่ผดิ หยังกนั ฮว่ ย ต่อไปมีแต่กนิ เฉย มันบ่แล่นหนีอกี เบ่งิ มันก็ฮ้จู กั เดส๊ ตั ว์ เปรยี บเทียบมันกับวาระจิต
อนั เดยี วกนั นแ้ี ลว้ มนั ตา่ งแตร่ ปู กายเทา่ นน้ั ละ่ เขากเ็ สวยวบิ ากของเขา เขาเคยทำ� ดที ำ� ชว่ั มา กรรมดกี รรมชว่ั
ของเขา อนั วาระจติ อนั เดียวกันแหลว่ ”
โพธสิ ัตว์
คำ� ว่า โพธสิ ตั ว์
คือผ้ทู จ่ี ะตรสั ร้ขู ้างหนา้
แปลออกแลว้ เปน็ อย่างน้ัน
เปน็ ผู้ท่มี ีความ
เมตตาสงสารมาก
มาโดยลำ� ดบั ล�ำดา
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมั ปนั โน
102 ผทู้ รงไวซ้ ง่ึ ความฉลาด
ขณะที่พกั ภาวนาทเ่ี ทอื กเขาภหู ลวง อำ� เภอภหู ลวง จังหวดั เลย
หลวงปลู่ ไี ดพ้ บกบั ชา้ งโขลงหนงึ่ ซงึ่ ชา้ งตวั หวั หนา้ ของโขลงนนั้
เป็นช้างโพธิสัตว์ที่เสวยวิบากกรรมเกิดมาเป็นเดรัจฉานด้วยอกุศล-
กรรมทเ่ี คยไดก้ ระทำ� ไวแ้ ล้วในชาติก่อน ทา่ นเลา่ วา่
“แตอ่ ยภู่ หู ลวงนี่ จะมซี า้ งใหญต่ วั หนง่ึ บกั งาลาก งามนั ยาวหลาย
ซา้ งใหญต่ วั นเี้ วลากนิ หญา้ นย่ี นื กนิ อยกู่ ลางหมู่ ลกู นอ้ งกนิ อยอู่ อ้ มๆ อยู่
จังซัน่ บส่ งุ สงิ กับหมู่ อยู่ตวั เดยี วอยจู่ งั ซน่ั นน่ั หัวหน้าหมู่ พรานนสี่ ิ
เขา้ ไปหามนั บไ่ ดด้ อก ตำ� ตวั นน่ั ตำ� ตวั นก่ี อ่ น มนั กนิ อยตู่ รงกลางหมเู่ ดะ๊
หมู่กะกินอย่อู ้อมอย่จู งั ซนั่ รกั ษามันอยู่จงั ซนั่ เปน็ ช้างโพธิสัตว์เดะ๊
ตัวนน้ั ”
ผปู้ รารถนาทจี่ ะตรสั รพู้ ระสมั มาสมั โพธญิ าณดว้ ยตนเอง จะตอ้ ง
บำ� เพญ็ บารมปี ระเภทตา่ งๆ มากถงึ ๓๐ ทศั ทา่ นผนู้ น้ั ไดช้ อื่ วา่ พระ-
โพธสิ ตั ว์ มอี ยู่ ๒ประเภทดว้ ยกนั คอื ประเภททแี่ นน่ อนแลว้ หมายถงึ
พระโพธิสัตว์ที่ได้รับลัทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต
พระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้วว่าจะได้ตรัสรู้ในอนาคตกาลข้างหน้า
พระโพธสิ ตั วป์ ระเภทนเี้ รยี กวา่ นยิ ตโพธสิ ตั ว์ คอื จกั ไดต้ รสั รสู้ ำ� เรจ็ เปน็
พระสมั มาสัมพุทธเจา้ พระองค์หนึง่ แนน่ อน นขี้ อ้ หนงึ่
ประเภททย่ี งั ไมแ่ นน่ อน เรยี กวา่ อนยิ ตโพธสิ ตั ว์ หมายถงึ บคุ คล
ผบู้ ำ� เพญ็ บารมปี รารถนาจะตรสั รเู้ ปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ แตย่ งั ไมไ่ ด้
รบั ลทั ธพยากรณจ์ ากพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทผี่ า่ นมาแมพ้ ระองคห์ นง่ึ
จงึ ยงั ไมแ่ นว่ า่ จะไดเ้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ ในกาลขา้ งหนา้ หรอื ไม่ นขี้ อ้ หนงึ่
ประเภททสี่ องนสี้ ามารถจะกลบั ความปรารถนาของตนได้ ยกตวั อยา่ ง
ในสมยั ปจั จบุ ัน เชน่ หลวงปูใ่ หญ่ม่นั ภูรทิ ัตโต เป็นตน้
หลวงตาพระมหาบวั ไดอ้ ธบิ ายถงึ ความยากลำ� บากในการบำ� เพญ็
บารมปี รารถนาเพอ่ื ความตรสั รเู้ ปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ของพระโพธสิ ตั ว์
เอาไวด้ งั นี้
หลวงปูล่ ี กสุ ลธโร 103
104 ผู้ทรงไว้ซ่งึ ความฉลาด
“คำ� วา่ โพธสิ ตั ว์ คอื ผทู้ จี่ ะตรสั รขู้ า้ งหนา้ แปลออกแลว้ เปน็ อยา่ งนนั้ เปน็ ผทู้ ม่ี คี วาม
เมตตาสงสารมากมาโดยลำ� ดบั ลำ� ดา ไปอยใู่ นฝงู สตั วก์ ใ็ หอ้ ภยั แกส่ ตั ว์ เจา้ ของยอมตายแทน
สตั วไ์ ด้ เปน็ หวั หนา้ สตั ว์ เจา้ ของยอมตายทเี ดยี วๆ อยกู่ บั สตั ว์ เอา้ สตั วอ์ ด ใหพ้ ระองคอ์ ด
เสยี ก่อนใหส้ ัตว์อ่ิม พวกบรษิ ัทบริวารอมิ่ ทอ้ ง พระโพธิสตั ว์ถึงจะอิม่ ทหี ลัง
พวกเราทงั้ หลายใหเ้ หน็ ใจพระพทุ ธเจา้ ทที่ รงขวนขวายแทบเปน็ แทบตาย สรา้ งพระบารมมี า
เฉพาะพระพทุ ธเจา้ ของเราน่ี ๔ อสงไขยแสนมหากปั คำ� วา่ ๔ อสงไขย แปลวา่ นบั ไมไ่ ด้ ๔ หน
ถา้ หากเราเทยี บกอ็ ยา่ งเรานบั ๑, ๒, ๓, ไปถงึ ๑ ลา้ น พอลา้ นแลว้ กห็ ยดุ ทตี่ รงนน้ั แลว้ มา
นบั ใหม่ จนถงึ ลา้ นเปน็ สองลา้ น สามลา้ น เปน็ สล่ี า้ น นอี่ สงไขย คอื นบั ไมไ่ ด้ ตง้ั แตค่ รงั้ นนั้
เขาจะถอื เลขไหนเปน็ สำ� คญั ไมร่ ู้ แตส่ ำ� หรบั เมอื งไทยเรานถ้ี อื เลขลา้ น พอถงึ ลา้ นแลว้ กห็ ยดุ
มานบั ใหม่ ไปถงึ ลา้ นแลว้ หยดุ เพราะฉะนน้ั จงึ วา่ หนงึ่ ลา้ น สองลา้ น หรอื สบิ ลา้ น ยสี่ บิ ลา้ น
พนั ลา้ น หมน่ื ลา้ น อยใู่ นจดุ ลา้ น เปน็ จดุ ขดี ขน้ั ตายตวั เอาไวย้ อ้ นมานบั ใหม่ อนั นอ้ี สงไขยนน่ั
กค็ งหมายเลขลา้ นนน่ั แหละ เปน็ แตว่ า่ เขาไมเ่ รยี กลา้ น นบั ไปถงึ ไหนไมท่ ราบแลว้ กน็ บั ไมไ่ ด้
หนหนงึ่ อสงไขย แปลวา่ นบั ไมไ่ ดห้ นงึ่ หนสองหน ถา้ หากวา่ เราเทยี บในสมยั ปจั จบุ นั เราก็
เรยี กวา่ ๔ ลา้ น กำ� ไรแสนมหากปั หมายความวา่ พเิ ศษออกไปเรยี กวา่ กำ� ไรๆ นี่ เหมอื นอยา่ ง
เราไปซอ้ื ของมาน่ี เราซอ้ื สบิ เราขายมากกวา่ นน้ั นน้ั เรยี กวา่ เปน็ กำ� ไร อนั นตี้ น้ ๔ อสงไขย
เศษออกไปอีกแสนมหากัป นี่พระพทุ ธเจ้าสร้างพระบารมี
การสรา้ งพระบารมขี องพระพทุ ธเจา้ มมี ากนอ้ ยตา่ งกนั บางองค์ ๑๖ อสงไขย ๘ อสงไขย
๔ อสงไขย อยา่ งน้อย ๔ อสงไขย นับไม่ได้ ๔ หน นบั ไม่ได้ ๑๖ หน นบั ไมไ่ ด้ ๘ หน
เรียกว่าอสงไขยๆ แลว้ กแ็ สนมหากปั ๆ เศษด้วยกันทั้งน้ัน น่ีกว่าจะเตม็ สมบูรณค์ วามเปน็
พระพทุ ธเจา้ ถ้านำ้� กว่าจะเตม็ ตุ่มเต็มถงั นี้ก็ ๑๖ อสงไขย กวา่ จะเต็มตุ่ม ตมุ่ ใหญ่ ตมุ่ แห่ง
ความเปน็ พระพทุ ธเจา้ บรรจอุ รรถธรรมไวอ้ ยนู่ น้ั หมด พทุ ธวสิ ยั ความสามารถของพระพทุ ธเจา้
อยนู่ ั้นหมด ไม่มีใครมีความสามารถเหมือนพระพุทธเจ้า เพราะเวลาสรา้ งก็สรา้ งเอาหนัก
เอาหนา ๔ อสงไขย นบั ไมไ่ ดถ้ งึ ๔ หน ถา้ เราเทยี บอยา่ งทกุ วนั นกี้ เ็ รยี กวา่ ๔ ลา้ นแลว้ อกี
แสนมหากปั คำ� วา่ กปั หนง่ึ น้ี นานแสนนานนะ จงึ เรยี กวา่ หนง่ึ กปั อกี ดว้ ยนะ แสนมหากปั
อีกด้วย นัน่ มากไหม ๔ อสงไขย แลว้ ยงั แสนมหากัปอีก มากขนาดไหน กปั หนงึ่ นนี้ าน
แสนนานกวา่ จะนับเปน็ กัปหนึง่ ได้ กัปหนง่ึ กัลปห์ น่ึง”
หลวงปู่ลี กุสลธโร 105
บพุ เพนิวาสา-
นสุ สตญิ าณ
แมน่ แท้ มันสปิ ระมวล
ภพชาติเคยเกิดเคยตาย
เปน็ สตั วเ์ ดรจั ฉาน
ให้เขาตอี ยดู่ งั ตบุ๊ ๆ ใหเ้ ขา
ทรมานอยู่อยา่ งน้ันกะมี
โอย๊ สลดสงั เวชเจา้ ของ
หลวงปู่ลี กสุ ลธโร
106 ผ้ทู รงไว้ซง่ึ ความฉลาด
สังสารวัฏหมายถึง การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพ
ภูมิต่างๆ ของสัตว์โลกด้วยอ�ำนาจกิเลส
กรรม วบิ าก หมุนวนอยเู่ ชน่ นน้ั ตราบเท่าท่ียังตดั กิเลสไม่ได้
ในขณะทห่ี ลวงปลู่ พี กั ภาวนาอยทู่ จ่ี งั หวดั เลย วนั หนงึ่ ทา่ นระลกึ รู้
ถงึ บพุ เพชาตหิ นหลงั ทผี่ า่ นมาของทา่ นทไี่ ดถ้ อื กำ� เนดิ ในภพตา่ งๆ ดว้ ย
อำ� นาจของกเิ ลส กรรม วบิ าก จงึ ทำ� ใหท้ า่ นทอ่ งเทย่ี วไปในภพภมู ขิ อง
สตั วเ์ ดรจั ฉานบา้ ง ของภมู มิ นษุ ยบ์ า้ ง ของภมู เิ ทวดาอนิ ทรพ์ รหมบา้ ง
ทา่ นวา่ “เคยเกดิ เปน็ ซแู นวแหลว่ แตฮ่ นี้ กะเคยเกดิ เดรจั ฉานหมเู่ นยี่
กะเคย เจ้าจักรพรรดิกะเคยเกิด พวกเทวดาอินทร์พรหมหมู่น้ีกะ
เป็นมาเบดิ้ แลว้ สงิ่ อศั จรรยห์ ยงั ของเปน็ ไปวาระจติ เดะ๊ วาระกรรม
พาเปน็ ”
บพุ เพนวิ าสานสุ สตญิ าณ คอื ญาณหยงั่ รถู้ งึ ภพกำ� เนดิ ตา่ งๆ ทต่ี น
ไดเ้ คยเกดิ ในอดตี ชาตทิ ผี่ า่ นมา หลวงปไู่ ดพ้ ดู ถงึ ความนา่ กลวั ของการ
เที่ยวไปในวัฏสงสารจนท�ำให้ท่านสะเทือนใจ เห็นโทษของอวิชชา
กเิ ลสจอมวฏั จกั ร เปน็ เหตใุ หท้ า่ นรบี เรง่ ความเพยี รกำ� จดั อาสวะกเิ ลส
น้ีให้หมดออกไปจากใจของท่านในเวลาต่อมา ทา่ นว่า
“จ่ังหลวงปู่มั่นเพิ่นปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าพู่น บ�ำเพ็ญมา
ทอใด๋แลว้ มาภาวนาจติ รวมลง เกดิ ระลึกชาตไิ ดว้ ่าเพ่นิ เคยเกิดเป็น
หมามาตงั้ หมน่ื ชาติ วาซน่ั ใจเกดิ สลดสงั เวช เลยปรารถนาจะเอาตวั
ใหร้ อดในชาตนิ เ้ี ลย บอ่ ยากกลบั มาเกดิ มาทกุ ขอ์ กี ขอบรรลธุ รรมใน
ชาติน้ีเลย เรื่องความเป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนาสิเป็นพระพุทธเจ้า
เพน่ิ ละเลยถอนเลย พอประมวลมาแลว้ เพิน่ จงั แตกฉาน
บาดสดุ ทา้ ย เพิน่ ไปท�ำความเพยี รอยพู่ นู่ บอ่ นเพน่ิ ได้บรรลอุ ยู่
เทิงเขาเมืองเชียงใหม่ เพ่ินไปได้อยู่หม่องหั่น มีกกไม้กกเดียวอยู่
ตรงกลาง นอกจากนั้นมีแต่หินดานเบ้ิด เพ่ินพักรุกขมูลหม่องห่ัน
เปน็ พลาญหนิ โอ๊ย กว้างขวาง เพ่นิ ก็น่งั พจิ ารณาอยหู่ ่ัน เพ่นิ ผ่านได้
ตรงหั่นเด๊ะ
หลวงปูล่ ี กุสลธโร 107
ขอใหจ้ ติ รวมลงไดเ้ ถอะนา มนั สิแยกเองดอก ธรรมกับ
กเิ ลส โอย๊ มนั จะบอกมาเองดอกเรอ่ื งภพเรอ่ื งชาติ เทยี วเกดิ
เทยี วตาย บอ่ นนนั่ บอ่ นนี่ มนั สปิ ระมวลมาใหเ้ หน็ ดอก ผมู้ นี สิ ยั
จะแสดงขน้ึ มาเลยละ่ บเ่ หน็ นอ้ ยกะเหน็ มากละ่ เฮาเปน็ สาวก
บ่ละเอยี ดเหมอื นพระองคเ์ จ้าเพิ่น
อยา่ งครบู าอาจารยเ์ พนิ่ วา่ ทำ� ใหส้ ดุ ขดุ ใหถ้ งึ มนั จะประมวล
มาเองดอกธรรมของพระองคเ์ จา้ พระพทุ ธเจา้ เพนิ่ รเู้ หน็ อยา่ งใด
ผู้ปฏบิ ตั ิตอ้ งเห็นตามไปเร่อื ย
แมน่ แท้ มนั สปิ ระมวลภพชาติ เคยเกดิ เคยตาย เปน็ สตั ว-์
เดรัจฉานให้เขาตีอยู่ดังตุ๊บๆ ให้เขาทรมานอยู่อย่างนั้นกะมี
โอย๊ สลดสงั เวชเจา้ ของ นง่ั ภาวนาอยเู่ นย่ี นำ�้ ตากะเฮย่ี ไหลเปยี ก
เตม็ ผา้ อังสะเบด้ิ นำ�้ ตาเต็มมอื เจา้ ของเบดิ้ มนั เหน็ ไปเบิด้ ละ่
เรอื่ งเหลา่ น้ี พระพทุ ธเจา้ เพน่ิ พาเหน็ มากอ่ นเดะ๊ เกดิ แลว้ ตาย
ตายแลว้ เกดิ มเี ทา่ นนั้ เปลย่ี นภพเปลยี่ นชาติ เปลย่ี นพอ่ เปลย่ี น
แม่กนั อยู่จังซัน่ บ่จบเป็น”
108 ผู้ทรงไวซ้ ่งึ ความฉลาด
หลวงปูล่ ี กสุ ลธโร 109
สคุ ตสั สะ สาวโก
พระสาวก
ของพระสคุ ตเจ้า
ธรรมของพระองค์เจา้
บแ่ มน่ ของอยากเดะ๊
เฮด็ เหตใุ ห้พอ
ผลมนั เกิดเอง
ชาวนาเขาบ่ไดป้ รารถนา
ฮวงขา้ วดอก
เขาปฏิบัติรกั ษาลำ� ต้น
ของมันทอนั่น
พวกดอกผลอิหยงั
มนั เปน็ เอง
มนั เกิดเองดอก
หลวงปลู่ ี กุสลธโร
110 ผทู้ รงไวซ้ งึ่ ความฉลาด
หลังจากได้รับการเคี่ยวเข็ญจากหลวงตาด้วยอุบาย
ธรรมประเภทตา่ งๆ และดว้ ยความตงั้ ใจอยา่ ง
จรงิ จงั ตอ่ การประพฤตปิ ฏบิ ตั ภิ าวนามาเปน็ ลำ� ดบั ในทส่ี ดุ จดุ มงุ่ หมาย
ของการปฏบิ ตั ธิ รรมของหลวงปลู่ กี ป็ รากฏผลสำ� เรจ็ ตามความปรารถนา
คอื สามารถกำ� จดั อาสวะกเิ ลสมตี วั อวชิ ชาอนั เปน็ จอมวฏั จกั ร ใหห้ ลดุ
ออกไปจากหัวใจของท่านได้อย่างส้นิ เชงิ
เมื่อมีโอกาสอันเหมาะสม หลวงปู่ลีจะเมตตาเล่าถึงช่วงเวลา
ส�ำคัญท่ีสุดแห่งชีวิตนักบวชสักครั้งหน่ึงให้แก่พระเณรผู้เป็นศิษย์
ใกล้ชิดท่ีติดตามศึกษาอบรมอยู่กับท่านมาเป็นเวลานานฟังสักครั้ง
ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นก�ำลังใจในการประพฤติปฏิบัติของบรรดาพระเณร
นั่นเอง ซง่ึ พอทีจ่ ะนำ� มาประมวลสรุปใจความได้ดงั น้ี คนื น้นั เปน็ คืน
วนั ออกพรรษา ขน้ึ ๑๕ คำ�่ เดอื น ๑๑ ปชี วด ตรงกบั วนั พธุ ท่ี ๕ ตลุ าคม
พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็นพรรษาท่ี ๑๑ ของชวี ิตนกั บวช ท่านเล่าว่า
“กกกอก” ขะเจา้ ไปรกั ษาศลี ยามวนั พระเตม็ เทงิ ผหู้ ญงิ ผชู้ าย
ทำ� วตั ร พากนั ทำ� วตั ร เทศนก์ ะเอาหนงั สอื อา่ นเอา เขาอยากฟงั เทศน์
กะเทศน์ให้เขาฟงั เอาหนงั สืออ่านใหฟ้ ังโลดต้วั ยากหยัง หนังสอื
พอ่ แม่ครจู ารยแ์ ต่งไว้ติดกระเปา๋ ไป เขาอยากฟงั เทศน์ กะเทศนใ์ ห้
ฟังแหลว่ เอาหนังสืออ่านใหฟ้ งั เป็นกณั ฑๆ์ พอ่ แมค่ รูจารย์เฮด็ ไว้
แล้ว”
“หนาวแหลว่ ปี ๕๐๓ นนั่ นะหนาวหลาย หนาวกวา่ ทกุ เทอื ไปเทย่ี ว
ทางพนุ่ ปนี น่ั มอ้ื นน่ั มนั หนาวแทๆ้ ละ่ จนไดล้ ดมงุ้ ลงหม่ แหลว่ หม่ ผา้
สังฆากับจีวรกะปานบ่ห่มแหล่ว กะเอามุ้งลงมากอีก แล้วกะนอน
ไดแ้ หลว่ ”
“ฮว่ ย ภาวนาดเี ด๊ อยหู่ นั่ นะ ๒๕๐๓ กะไปอยกู่ กกอก ความเพยี ร
เก่งแหลว่ เดินจงกรมคอื บ่เหยียบดินเนย่ี ปลวิ ไปเลย ลืมเบ้ดิ แนว
อย่างอืน่ ”
หลวงปลู่ ี กสุ ลธโร 111
“ม้ือคนื นีบ่ น่ อนแล้ว มอ้ื เว็นนอนอยู่ อยู่ห่นั อยมู่ อบ้าน (ใกล้หมบู่ า้ น) พกั แตม่ ้ือเวน็ มอ้ื คนื บ่พกั
น่งั เมอ่ื ยแล้วกะลงเดินจงกรม”
“ทางสสิ งั หารกเิ ลสออกจากใจ มแี ตเ่ ดนิ จงกรมกบั นง่ั ภาวนาทอนนั่ แหลว่ พระพทุ ธเจา้ เพนิ่ เฮด็ มาแลว้
เบงิ่ แม้ มอ้ื เพนิ่ สไิ ดต้ รสั รหู้ นั่ เพนิ่ อธษิ ฐาน อตั ภาพรา่ งกายสแิ ตกดบั เปน็ ดนิ เปน็ หญา้ ไป กะบล่ กุ จากท่ี หรอื
เนื้อหนงั มังสาเลือดสเิ หอื ดแห้งไปกะตาม สิบย่ อมลกุ ขึ้นหากบไ่ ด้ตรสั รู้ เพิ่นอธิษฐานปานน้ัน
แตค่ รงั้ พทุ ธกาลเพนิ่ กะเรง่ ความพากความเพยี ร เขา้ พรรษาไตรมาส สามเดอื น เพน่ิ อธษิ ฐานบน่ อนไป
จงั ซน่ั อธิษฐานธดุ งควตั รอยูห่ ่ัน อธิษฐานบังคับใจเจ้าของใหอ้ ย่ใู นอรรถในธรรมว่าสิใหม้ ันไดต้ รสั รู้ก่อน
ออกพรรษาจังซ่ี
ตั้งใจแหลว่ ตง้ั สัจจะผกู มดั จิตใจเจ้าของแหลว่ ว่าสิใหม้ นั ได้ตรัสรู้ก่อนออกพรรษา มนั จวนแล้วเดะ๊
กะพจิ ารณาแตจ่ ติ ดวงเดยี วแหลว่ บไ่ ดก้ วา้ งขวางอหิ ยงั ของสงิ่ ตา่ งๆ ทเ่ี ปน็ สว่ นหยาบ มนั กะฮเู้ บดิ้ แลว้
รปู เสยี ง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เครื่องสมั ผสั ทั่วโลกธาตุ มนั กะฮ้เู ข้าใจเบิ้ดแลว้ ปล่อยวางเบดิ้ แลว้ มนั บ่
สนใจพจิ ารณาเด๊ะ เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ กะบส่ นใจพิจารณา มนั ฮูเ้ บดิ้ แลว้ แมะ มันเหลอื แต่
จติ ดวงเดยี ว พอมหาสตมิ หาปญั ญาหนั มาพจิ ารณาดวงจติ ทอนน่ั ละ่ อปุ มาเปรยี บทางปญั ญา กะจงั วา่ มบี รุ ษุ
ผหู้ นงึ่ กำ� ลงั ปลกุ ปลำ�้ ตอ่ สอู้ ยกู่ บั หมตี วั หนง่ึ กะตอ้ งทมุ่ เทพละกำ� ลงั สตปิ ญั ญาอหิ ยงั ตา่ งๆ ลงไปเบด้ิ สเิ อา
ชนะกนั เด๊ ตา่ งฝา่ ยตา่ งกะฉดุ กะชากลากดงึ กนั อยหู่ น่ั แหลว่ หวั ทมิ่ หวั ตำ� กนั อยหู่ นั่ ขนั่ สเิ วา่ ยอดแหง่ มรรค
คอื ปญั ญาญาณแหลว่ ตอ่ สกู้ บั ยอดของสมทุ ยั คอื ตวั อวชิ ชาอยู่ พอดกี ะปรากฏวา่ มบี รุ ษุ อกี ผหู้ นง่ึ ยา่ งผา่ นมา
บรุ ษุ คนทต่ี อ่ สกู้ บั หมอี ยหู่ น่ั เหน็ กะเลยฮอ้ งออกมาใหซ้ อยเหลอื ว่า เอย้ มาซอยกนั แนๆ บรุ ษุ คนทสี่ องจงั ได้
เข้ามาซอยจับหมีไว้ ทนี ี้บุรุษคนแรกกะเลยปล่อยมือจากอาการแหง่ การจับน่ัน ปล่อยมือจากภาระอนั นั้น
บรุ ษุ นน้ั กะหนีไปเลย
ฮว่ ย กะมหาสตมิ หาปญั ญาแหลว่ เปน็ ปญั ญาญาณเลย พจิ ารณาเหน็ วา่ การตอ่ สรู้ ะหวา่ งธรรมะกบั กเิ ลส
อวชิ ชานน่ั ยงั เปน็ สมมตุ ชิ นั้ ละเอยี ดเขา้ ไปอกี ชนั้ หนงึ่ อยู่ ยงั เปน็ ชนั้ อวชิ ชาครอบไวอ้ กี ชนั้ หนงึ่ ทนี ้ี พระธรรม
ท่านกะเตือนว่าควรปล่อยวางเสีย วาซนั่
ทนี ้ี จติ กบั สตปิ ญั ญาตา่ งฝา่ ยตา่ งอยเู่ ปน็ อเุ บกขา เปน็ มธั ยสั ถ์ มนั เปน็ กลาง บไ่ ดเ้ ฮด็ หนา้ ทอี่ หิ ยงั จติ กะ
เปน็ จติ กลางๆ บ่ไดจ้ ดจ่ออิหยัง ปัญญากะเป็นปัญญากลางๆ บไ่ ดท้ ำ� งานอนั ใด๋ สตกิ ะฮ้อู ย่ตู ามธรรมดา
บ่ไดจ้ ดจ่อกับอิหยงั
112 ผูท้ รงไว้ซง่ึ ความฉลาด
จติ สติ ปัญญา ท้งั สามเปน็ อุเบกขา มัธยสั ถ์
ตอนน้นั ล่ะ โลกธาตุภายในจติ คอื อวชิ ชา ไดข้ าดออกจากใจ
จติ รวมพรบึ แสงสวา่ งเกิดขนึ้ โลด จติ มว้ นลงโลด
ธรรมอศั จรรย์โผลข่ นึ้ ละหั่นนี่ มันสอิ อกอทุ านเลยแหละ
ไปทางใด๋มันสกิ ราบพระพุทธเจา้ โอ๊ย กราบอยูป่ านน้นั
กราบครูบาอาจารย์ กราบแลว้ กราบอกี
จติ สติ ปญั ญา ทงั้ สามเปน็ อเุ บกขา มธั ยสั ถ์ อันจิตใจนี้ก็เหมือนกันแหล่ว ขอให้บ�ำเพ็ญเถอะ
ตอนนน้ั ละ่ โลกธาตภุ ายในจติ คอื อวชิ ชา ไดข้ าด เต็มภูมิมนั แลว้ รูเ้ องโลด ธรรมของพระองคเ์ จา้
ออกจากใจ จิตรวมพรบึ แสงสวา่ งเกดิ ขึ้นโลด จิต เป็นเองเลย แก้เขา้ ๆ พอแก้ได้มนั กห็ ลดุ เท่านน้ั
มว้ นลงโลด ธรรมอศั จรรยโ์ ผลข่ นึ้ ละหน่ั น่ี มนั สอิ อก แหละ”
อุทานเลยแหละ ไปทางใดม๋ ันสกิ ราบพระพุทธเจา้ ขณะทอ่ี วชิ ชาไดข้ าดลงไปจากบลั ลงั กข์ องใจ
โอย๊ กราบอยปู่ านนนั้ กราบครบู าอาจารย์ กราบแลว้ ทา่ นนน้ั ปรากฏวา่ โลกธาตเุ กดิ การสะเทอื นสะทา้ น
กราบอีก ซำ� บายแล้วทนี ้ี เชอ้ื แห่งการเกดิ ได้ถกู ปรากฏเสยี งสนน่ั หวนั่ ไหวไปทวั่ หมเู่ ทวดาตา่ งไชโย
ทำ� ลายลงแลว้ เด๊ จิตเป็นวสิ ุทธจิ ิต โห่ร้องกันอย่างกึกก้อง เพราะความดีใจและ
ทนี ี้ เปรยี บเทยี บกะพระพทุ ธเจา้ เพน่ิ หนี บส่ ู้ อศั จรรยใ์ จในธรรมะประเภทเหนอื โลกนี้ พรอ้ มกบั
โลก เพน่ิ บอกไวแ้ ลว้ เดะ๊ จาโค ปฏนิ สิ สคั โค มตุ ติ ตีฆ้องอันเป็นทิพย์ ม้งๆๆ ๓ ครั้ง และโปรย
อนาลโย กะเพน่ิ สละคนื โลกเบด้ิ บเ่ อาอหิ ยงั สมมตุ ิ ดอกไม้ทิพย์เพื่อเป็นการถวายบูชาต่อหลวงปู่
ทง้ั เบดิ้ ในโลกนี้ จาโค สละคนื ละ่ สง่ คนื ละ่ ปลอ่ ยแลว้ ต่างฝ่ายต่างปีติยินดีท่ีสงฆ์สาวกของพระสุคตเจ้า
บอ่ าลยั เลยในโลกทัง้ สามอันน่ี ไดอ้ บุ ตั เิ กดิ ขนึ้ บนโลกแลว้ อกี รปู หนง่ึ เหลา่ ทวยเทพ
ธรรมของพระองค์เจ้าบ่แม่นของอยากเด๊ะ มีเทวดาอินทร์พรหมต่างมาประชุมกันเพื่อชื่นชม
เฮด็ เหตใุ หพ้ อ ผลมนั เกดิ เอง ชาวนาเขาบไ่ ดป้ รารถนา กับความอัศจรรย์ในครั้งน้ี ต่างร�ำพึงร�ำพันกันว่า
ฮวงขา้ วดอก เขาปฏบิ ตั ริ ักษาล�ำตน้ ของมนั ทอน่นั “ธรรมะประเภทนใ้ี ชว่ า่ จะปรากฏขนึ้ กนั ไดง้ า่ ยๆ นะ
พวกดอกผลอิหยังมันเป็นเอง มันเกิดเองดอก พวกเรามบี ุญจรงิ ๆ หนอ ถึงได้พบเหน็ เข้า ชา่ งน่า
อศั จรรยจ์ รงิ แทเ้ ทยี ว พระคณุ เจา้ รปู นที้ า่ นสามารถ
หลวงป่ลู ี กุสลธโร 113
โอ๊ย
กราบพระพุทธเจ้า
กราบพอ่ แม่ครูจารย์
เกง่ โพดแหลว่
114 ผู้ทรงไว้ซ่งึ ความฉลาด
คว้าเอาธรรมอันวิเศษเลอเลิศนั้นมาครองไว้ในใจได้ส�ำเร็จ พระสาวกของพระสุคตเจ้าได้อุบัติบังเกิดขึ้น
เพอ่ื ใหค้ วามรม่ เยน็ แกส่ ตั วโลกผมู้ ดื บอดผเู้ ชน่ เราอกี รปู หนง่ึ แลว้ หนอ ชา่ งนา่ อนโุ มทนากบั ทา่ นเสยี จรงิ ๆ”
หลวงปู่เล่าวา่ ขณะท่ีอวชิ ชาได้ขาดออกไปจากดวงใจนัน้ ปรากฏราวกบั ว่าโลกธาตุสะเทอื นไปหมด
เพราะเหตอุ ศั จรรยน์ น้ั ในใจของทา่ นปรากฏภาพภเู ขาทแี่ วดลอ้ มหมบู่ า้ นบรเิ วณนนั้ ไดพ้ งั ทลายลงมาแลว้
ไหลผา่ นใตฝ้ า่ เทา้ ของทา่ น เปน็ ความหมายวา่ การทอ่ งเทยี่ วเวยี นวา่ ยตายเกดิ ถอื เอากำ� เนดิ ในภพตา่ งๆ ใน
วัฏสงสารของทา่ นนไี้ ดเ้ ดนิ ทางมาถงึ ทสี่ ดุ แล้ว
ตลอดทั้งคืนวันนั้นท่านว่า ท่านปลงธรรมสังเวชในความโง่เง่าเต่าตุ่นของตนซ่ึงเปรียบเหมือนหุ่น
ท่ีท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่อันไม่มีประมาณจนน�้ำตาไหลตลอดคืน พร้อมกับกราบพระคุณของ
พระพุทธเจา้ พระธรรม และพระสงฆ์ อยา่ งถึงใจ
หลวงปู่พดู ถงึ ความประทบั ใจคร้งั สำ� คญั ว่า
“โอย๊ กราบพระพทุ ธเจ้า กราบพ่อแมค่ รูจารย์ เกง่ โพดแหล่ว”
พอสวา่ ง ออกจากทภ่ี าวนาแลว้ จวนถงึ เวลาออกบณิ ฑบาต ทา่ นจงึ ลกุ จากทภ่ี าวนา เตรยี มไปบณิ ฑบาต
มาเลย้ี งขันธ์ ทา่ นวา่ ในใจท่านนัน้ เมตตาและสงสารชาวบ้านป่าบา้ นดงท่ีมบี ุญคุณคอยถวายอาหารปจั จัย
เพอื่ เลยี้ งดทู ่านด้วยดตี ลอดมาเป็นพเิ ศษยิง่
ในหมกู่ กกอกแหง่ นี้ มนี กั ภาวนาหญงิ คนหนงึ่ ซง่ึ มคี วามสามารถพเิ ศษดา้ นการภาวนา เชา้ วนั นน้ั เธอได้
ยนื รอใสบ่ าตรในหม่บู า้ น ขณะใส่บาตร เธอไดถ้ ามถึงเสยี งการอนโุ มทนาของเหล่าเทวดาท่มี าจากสวรรค์
ช้นั ตา่ งๆ ที่ไดย้ ินเมือ่ คนื นีว้ ่าเสียงแปลกๆ ทีเ่ กิดข้ึนเปน็ เสยี งอะไร หลวงป่เู ลา่ ว่า
“เช้ามากะไปบิณฑบาตแหล่ว มีอนี ายอันหนึ่ง เมยี ผใู้ หญบ่ ้านว่า
“โอย๊ เมอ่ื คนื นไ้ี ดย้ นิ เสยี งเขาตกี ลองตฆี อ้ งพากนั ไชโยจนวา่ ฮอดแจง้ วาซนั่ จกั วา่ เสยี งอหิ ยงั นอ้ ขะนอ้ ย
เขาดใี จอหิ ยงั น้อขะน้อย”
ฮ่วย เฒา่ นี่กะฮู้จักนำ� ฮู้น�ำอยูเ่ ด๊ ทางนีก้ ะบ่ปากแหลว่ ”
หลวงปู่ลี กสุ ลธโร 115
ธรรมลี
เศรษฐีธรรม
อย่างธรรมลนี ้ี
กพ็ ดู เพียงเบาะๆ
นิดหน่อย ไมพ่ ูดมาก
บอกวา่ ธรรมลนี ี้
คอื เศรษฐีธรรม
เท่านัน้ พอ
หลวงตาพระมหาบวั ญาณสมั ปันโน
116 ผทู้ รงไวซ้ ึ่งความฉลาด
ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๐๓ หลวงปลู่ ไี ดเ้ ดนิ ทางจากบา้ นกกกอก
ต�ำบลหนองงิว้ อำ� ภอวงั สะพงุ จังหวัดเลย เพอื่ เดนิ ทางเข้า
กราบนมัสการพ่อแม่ครจู ารยห์ ลวงตาพระมหาบัว ณ วัดปา่ บ้านตาด
จงั หวัดอุดรธานี
ขณะทห่ี ลวงตานงั่ รบั การกราบจากองคห์ ลวงปลู่ ี หลวงตาไดย้ มิ้
พร้อมกบั ทกั ทายหลวงปู่ลีเป็นเชงิ หยอกเย้าว่า
“มาหยังลี หม่เู ต็มเบดิ้ แล้ว”
“มากราบพอ่ แม่ครจู ารยแ์ หลว่ ”
จากน้ัน หลวงปู่ลีก็ได้ขออนุญาตกราบเรียนธรรมะประเภท
อัศจรรย์ท่ีเป็นผลของการภาวนาของท่านในพรรษาที่ผ่านมาให้
หลวงตาทราบ หลวงปู่เลา่ วา่
“ผมเรียนให้พ่อแมค่ รจู ารย์ฟังเบด้ิ แหล่ว เป็นอยู่บ่อนหั่น”
และหลงั จากนนั้ เปน็ ตน้ มา เมอ่ื หลวงตาจะกลา่ วถงึ หลวงปลู่ ใี น
วาระต่างๆ ท่านจะกล่าวด้วยความชื่นชมอย่างเปิดเผยแก่บรรดา
ลูกศษิ ยล์ ูกหาไดร้ บั ทราบ เพ่ือเปน็ ประจกั ษพ์ ยานในธรรมคำ� สง่ั สอน
ของพระพทุ ธเจา้ และเปน็ กำ� ลงั ใจแกผ่ ตู้ ง้ั หนา้ ตงั้ ตาปฏบิ ตั บิ ำ� เพญ็ ภาวนา
โดยยกเอาหลวงป่ลู มี าเป็นตวั อยา่ งอยู่เสมอวา่
“ธรรมลี เราเรียกแต่ธรรมลี น่ีเศรษฐีธรรมองค์นี้องค์หน่ึง
เราไมค่ อ่ ยพดู ละ ธรรมลนี เ่ี ศรษฐธี รรมองคห์ นงึ่ ใครไมท่ ราบใหท้ ราบเสยี
เศรษฐธี รรมครองสมบตั อิ ยเู่ งยี บๆ ไมม่ กี ระโตกกระตาก แตธ่ รรมกงั วาน
เด่นสงา่ งามอยภู่ ายใน เศรษฐธี รรมองค์น้ีผา่ นนานแล้ว อยูก่ บั เราที่
หว้ ยทราย จติ แกหมนุ ตวิ้ ๆ ตง้ั แตน่ นู้ แลว้ จากนน้ั มากเ็ ปน็ เศรษฐธี รรม
หลวงปลู่ ี กสุ ลธโร 117
118 ผู้ทรงไว้ซ่งึ ความฉลาด
ทา่ นงุบๆ งิบๆ ไมค่ อ่ ยพดู อะไรแหละ เหมือนเซอ่ ๆ ซ่าๆ แตภ่ ายใน
เปน็ เศรษฐธี รรม เราบอกเลย นัน่ นิสัยทา่ นเป็นอย่างนัน้ งุบๆ งับๆ ไป
แตภ่ ายในสวา่ งจา้ เรยี กวา่ เศรษฐธี รรม ธรรมนม้ี มี ากมนี อ้ ยจะเลศิ อยใู่ นใจ
ของผู้มีน้นั อบอ่นุ อยู่ในนั้น
ธรรมสมบัติมีภายในใจ เราจะเรียกว่าเศรษฐีธรรมก็ได้ ศีลสมบัติ
มสี มบรู ณ์ สมาธสิ มบตั ิ ปญั ญาสมบตั ิ จากนนั้ กว็ มิ ตุ ตสิ มบตั ิ หลดุ พน้ ไปได้
เรยี กวา่ สมบตั ขิ องทา่ นมเี ทา่ นพ้ี อแลว้ สมบตั ขิ องพระทา่ นไมเ่ อามากอะไรนกั
ศลี สมบตั ิ สมาธสิ มบตั ิ ปญั ญาสมบตั ิ วมิ ตุ ตสิ มบตั ิ หรอื วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ-
สมบตั ิ พอ พอแลว้ นส่ี มบตั ขิ องพระ พอสมบตั นิ แี้ ลว้ พอ ปลอ่ ยหมดโลก
ไมม่ อี ะไรเหลือ เพราะสมบัตอิ ันน้ีล้นค่าแล้ว
พทุ ธศาสนานเ้ี ทา่ นน้ั ทจ่ี ะไดส้ มบตั ทิ ลี่ น้ คา่ นมี้ า ศลี สมบตั ิ สมาธคิ วาม
สงบรม่ เยน็ เป็นสุข แนน่ หนามน่ั คง ไมห่ วัน่ ไหวโยกคลอน ปญั ญาความ
เฉลยี วฉลาดรอบตวั ไมว่ า่ จะภายในภายนอก ปญั ญาใชร้ อบตวั สตเิ ปน็ สำ� คญั
เคยพดู เสมอ สติ จากนั้นพอปัญญาซักฟอกเรยี บร้อยๆ เข้าไปโดยลำ� ดบั
จนกระทง่ั วมิ ตุ ตหิ ลดุ พน้ นปี่ ญั ญา ปญั ญานที้ ำ� ใหห้ ลดุ พน้ หลดุ พน้ แลว้ ยงั
ไมแ่ ลว้ วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ ยงั ความรรู้ อบในความหลดุ พน้ ของตน นแี่ หละ
เหน็ ไหม สนั ทฏิ ฐโิ ก พ้นแล้วยงั รู้วา่ พน้ อกี ”
ดว้ ยเหตนุ เ้ี อง คำ� วา่ “ธรรมลี เศรษฐธี รรม” จงึ เปน็ ทคี่ นุ้ หขู องบรรดา
ลกู ศิษย์ลกู หาในองค์หลวงตามาตั้งแตบ่ ดั น้ันเปน็ ต้นมา
หลวงปู่ลี กสุ ลธโร 119
เปน็ ตามนิสยั
วาสนา
ต้นล�ำใหญ่ข้นึ แลว้ คือ
อรหนั ต์ ก่งิ กา้ นสาขาดอกใบ
จะแปลกตา่ งกนั ไป
ที่ว่าสกุ ขวปิ สั สโกกด็ ี
เตวิชโชกด็ ี ฉฬภญิ โญกด็ ี
จตุปฏสิ ัมภิทัปปตั โตก็ดี
นัน่ เปน็ กิง่ ก้านสาขาดอกใบ
ตา่ งกัน
นิสยั วาสนาที่มาใชใ้ น
แดนสมมตุ ินี้จงึ ต่างกัน
หลวงตาพระมหาบวั ญาณสัมปนั โน
120 ผทู้ รงไวซ้ ึ่งความฉลาด
หลวงปู่สุวจั น์ สุวโจ ผู้คนสว่ นใหญม่ กั จะเขา้ ใจวา่ เมอ่ื ครบู าอาจารยส์ น้ิ กเิ ลสแลว้ ทา่ นจะ
พระอาจารยส์ งิ หท์ อง ธมั มวโร ตอ้ งมคี วามสามารถรวู้ าระจติ คนอน่ื บา้ ง เหน็ เทวบตุ รเทวดาอนิ ทร์
พรหมบา้ ง รอู้ ดตี รอู้ นาคตบา้ ง รภู้ าษาสตั วบ์ า้ ง อยา่ งนเี้ ปน็ ตน้ ความ
หลวงปแู่ บน ธนากโร เข้าใจประเภทนย้ี งั เปน็ ความเข้าใจทผ่ี ิดอยูม่ าก เพราะแท้ท่จี รงิ แลว้
ความสามารถของพระอรหนั ตแ์ ต่ละประเภทนั้น ทา่ นมีไม่เสมอกัน
แตส่ ง่ิ ทเ่ี สมอกนั คอื ความบรสิ ทุ ธข์ิ องใจ สว่ นฤทธาศกั ดานภุ าพ รวมถงึ
บรษิ ัทบรวิ าร ความรูค้ วามสามารถ คณุ ธรรมสว่ นนมี้ ตี า่ งกนั ไป ทัง้ น้ี
กเ็ พราะนสิ ยั พระสาวกนนั้ ไมเ่ หมอื นกนั ตงั้ ความปรารถนามาตา่ งกนั
และบำ� เพญ็ คณุ งามความดมี ามากนอ้ ยตา่ งกนั จงึ ทำ� ใหว้ าสนาบารมใี น
ภพสุดท้ายนไี้ มเ่ หมือนกัน
หลวงตาพระมหาบวั ไดอ้ ธบิ ายถงึ ความแตกตา่ งของพระอรหนั ต์
แตล่ ะประเภทเมอ่ื ทา่ นไดบ้ รรลถุ งึ ทส่ี ดุ แหง่ ธรรมแลว้ จะมวี าสนาทใี่ ช้
ในแดนสมมุตินีต้ ่างกนั ดังน้ี
“หลักภายในใจ นีห่ มายถึงภาคจติ ตภาวนา และขอ้ วัตรปฏิบตั ิ
ภายนอกน้ีก็ออกมาจากหลักใจ ผู้ที่พร้อมด้วยหลักภายในใจและ
หลักข้อปฏบิ ัตินี้สามารถออกสงั คมได้ หากวา่ จะเกย่ี วขอ้ งกบั สงั คม
พระเณรหรือเก่ียวข้องกับประชาชน ก็สามารถให้ธรรมะได้อย่าง
ถูกต้องแมน่ ย�ำ เพราะมหี ลกั ปฏิบตั แิ ละหลกั ความรู้ภายใน
อยา่ งเรามองดู ทา่ นทจ่ี ะพอเปน็ หลกั ไดใ้ นกาลตอ่ ไปกอ็ ยา่ งทว่ี า่
ทา่ นสวุ จั นก์ ด็ ี ทา่ นสงิ หท์ อง ทา่ นแบน เหลา่ นที้ จ่ี ะสามารถเกยี่ วขอ้ ง
กบั สงั คมพระสงั คมโยมไดอ้ ย่างสะดวกสบาย
สว่ นทา่ นผูท้ ีม่ ีความรูภ้ าคปฏิบัติดี แต่เป็นไปจำ� เพาะตน นสิ ยั
ไมเ่ ก่ียวขอ้ งกับผกู้ บั คนอยา่ งน้กี ม็ ี เชน่ อยา่ งธรรมลอี ยา่ งน้ี ของเล่น
เมอ่ื ไหร”่
“พระอรหันต์พอท่านบรรลุธรรมถึงนิพพานบริสุทธ์ิแล้วก็ถึง
พระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลายพรอ้ มกนั เลย ทา่ นอยใู่ นทา่ มกลางพระพทุ ธเจา้
หลวงปลู่ ี กสุ ลธโร 121
คือท่านผู้ท่ีหลุดพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิงแล้วเหมือนกันหมดเลย ท่านไม่ต้องไปถามกัน ท่านบอกไว้ว่า
นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาทา่ นผูบ้ ริสุทธ์แิ ล้วเสมอกนั หมด ไม่มีความย่งิ หยอ่ นตา่ งกัน เรียกว่าอยูใ่ น
ท่ามกลางแห่งวมิ ุตติดว้ ยกัน ทา่ นจะไปถามหากนั อะไร นน่ั ละธรรมแน่นอนขนาดนัน้ ธรรมพระพุทธเจา้
มเี หตุมีผลมีหลักมเี กณฑม์ าตลอด
สุกขวิปสั สโก เตวชิ โช ฉฬภญิ โญ จตปุ ฏิสัมภทิ ัปปัตโต พระอรหันต์มี ๔ ประเภท ความบริสุทธิ์
เหมอื นกนั แตอ่ ำ� นาจวาสนาบญุ ญาภสิ มภารตา่ งกนั นล่ี ะทวี่ า่ อำ� นาจวาสนาของทา่ น วาสนาบญุ ญาภสิ มภาร
ของทา่ น วาสนาของท่านแปลกๆ กนั อยา่ งนี้ แยกไปเป็น สกุ ขวิปสั สโก เตวิชโช ฉฬภญิ โญ มาถึง
จตปุ ฏสิ มั ภทิ ปั ปตั โต นเ้ี ยย่ี ม อรหนั ตป์ ระเภทสดุ ทา้ ย แตกฉาน ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งแตกฉาน มอี ยู่ ๓ ประเภท
ที่เป็นเคร่ืองประดับบารมีของท่าน ก่ิงก้านดอกใบของความเป็นอรหันต์หรือว่าต้นล�ำใหญ่ขึ้นแล้วคือ
อรหันต์ ก่ิงก้านสาขาดอกใบจะแปลกต่างกันไป ที่ว่าสุกขวิปัสสโกก็ดี เตวิชโชก็ดี ฉฬภิญโญก็ดี
จตุปฏสิ ัมภทิ ัปปตั โตกด็ ี น่ันเป็นกิง่ กา้ นสาขาดอกใบตา่ งกัน นสิ ยั วาสนาท่มี าใช้ในแดนสมมุตินีจ้ งึ ตา่ งกัน
ส�ำหรับผู้ท่ีมีนิสัยเกี่ยวข้องกับพวกเทพภพภูมิเทวาชั้นต่างน้ัน อันนี้ก็เป็นความสามารถพิเศษของ
พระอรหนั ตบ์ างองค์ ไม่ใช่ทกุ ๆ องคไ์ ป เช่นว่าอย่างพวกเทวดามากราบเรียนถามปญั หาต่างๆ ท่านผู้ที่
จะแก้ปัญหาได้น้ันก็ต้องมีความรู้ท่ีจะใช้ออกรับกับพวกเทวดาได้ด้วย การแก้ปัญหาก็เรื่องที่ส�ำคัญอีก
เรื่องหน่ึง ยกพระพุทธเจา้ เป็นอันดับหนึ่งในการแก้ปัญหาของเทวดา
พวกทวยเทพทงั้ หลายมานี้ เขาจะมหี วั หนา้ ถามปญั หา กระซบิ ปญั หากบั หวั หนา้ ใหห้ วั หนา้ นำ� มาทลู ถาม
พระพทุ ธเจา้ พระองค์จะทรงตอบให้เขา้ ใจทั่วถงึ กนั ๆ การถามปญั หาของเทวดา เขาไม่ได้ถามสุ่มส่ีสุ่มห้า
พวกเทวดาจะมมี ากขนาดไหนนจี้ ะเงยี บหมด จะมตี งั้ แตห่ วั หนา้ เทวดานเี้ คารพหวั หนา้ มากทเี ดยี ว เคารพ
จรงิ ๆ คอยฟงั หัวหนา้ ตลอด รายใดๆ มขี อ้ ขอ้ งใจก็พูดหรือฝากปัญหา พดู ภาษาของเราวา่ ฝาก คือทางน้ี
แย็บป๊ับ ทางนัน้ รับกันแล้ว ออกแล้ว อันนีม้ ันพดู ไมไ่ ด้
ภาษาของคนกบั ภาษาของเทวบุตรเทวดาซึ่งเปน็ กายทพิ ย์น้จี ึงตา่ งกนั มาก ด้วยเหตุนเ้ี อง เวลาท่าน
แสดงแก่พวกเทพเทวบตุ รเทวดาชั้นใดก็ตาม ท่านจึงไมม่ าเกีย่ วกบั มนุษย์ ทา่ นจะเป็นภาษาใจภาษาธรรม
จะออกรบั กนั พบั ๆ เขา้ ใจๆ ไมม่ คี ำ� ทจ่ี ะมาโตแ้ ยง้ ๆ โตเ้ ถยี งกนั คอยฟงั เปน็ ลำ� ดบั ลำ� ดาไป นเ่ี รยี กวา่ ระหวา่ ง
เทวดากับพระพทุ ธเจา้
122 ผูท้ รงไวซ้ ึ่งความฉลาด
ท่านผู้ท่ีมีความรภู้ าคปฏิบตั ดิ ี
แตเ่ ปน็ ไปจำ� เพาะตน
นิสยั ไม่เก่ียวขอ้ งกบั ผกู้ บั คนอย่างน้กี ็มี
เชน่ อยา่ งธรรมลอี ยา่ งน้ี
ของเลน่ เมอื่ ไหร่
หลวงปลู่ ี กุสลธโร 123
เทวดากับพระพุทธเจ้า หรือครูอาจารย์ “หลวงปแู่ สดงธรรมโปรดภพภมู บิ อ่ ยบก่ ระผม”
ผู้เชี่ยวชาญโต้ตอบปัญหาซ่ึงกันและกัน จากน้ัน พระกราบเรยี นถาม
ท่านก็อบรมแนะน�ำสั่งสอน การเทศน์สอนพวก “กะอยเู่ รอ่ื ยๆ” ท่านตอบ
กายทิพย์ ทา่ นสอนอย่างนั้น ยกตวั อย่างขึ้นมาก็ “เทศน์สอนพวกเทวดายากบ่ผม”
อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ ทรงตอบปัญหาและ พระเรยี นถาม
แนะน�ำสั่งสอนเทศนาว่าการแก่พวกทวยเทพ “งา่ ยกวา่ สอนมนษุ ย์ ภมู ลิ ะเอยี ดเด๊ เปน็ ภาษา
ทง้ั หลาย ทั้งเทศนาวา่ การทัง้ แก้ปัญหาโดยเฉพาะ จติ เลย” ทา่ นตอบ
ท่านก็ท�ำหน้าที่โดยเฉพาะ ทีน้ีเวลาจะเทศน์สอน “หลวงปู่เทศนอ์ หิ ยังใหเ้ ขาฟังผม”
ประชาชนที่เปน็ กายหยาบ ทา่ นกส็ อนเป็นอย่างท่ี พระเรยี นถาม
เราสอนกันเวลานีเ้ ป็นขั้นๆ ตอนๆ “ฮว่ ย เขาฟงั สูตรต้ัวะ เขาอยากฟังสตู รใด๋
ด้วยเหตนุ ้ี เวลาท่านสอนประชาชน ทา่ นจงึ เขากะบอกข้ึนมาแหล่ว” หลวงปตู่ อบ
ไม่ได้น�ำเรื่องราวของเทวบุตรเทวดามาพูดมา พระกราบเรยี นถาม “หลวงปูส่ อนพระสูตร
เกยี่ วขอ้ งกนั เวลาทา่ นเกย่ี วขอ้ งกบั พวกเทพเหลา่ นี้ จงั ใด๋ผม”
ท่านก็ไม่เอามนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้อง หน้าที่คนละ หลวงปวู่ า่ “จักมันมาแต่ใด๋ ว่าไปโลดแหลว่
หนา้ ที่ อรรถธรรมคนละสดั ละสว่ นเป็นอย่างนั้น” มันเกิดข้นึ ทีใ่ จเจา้ ของนี่”
สำ� หรบั หลวงปลู่ นี น้ั ทราบมาวา่ ทา่ นกเ็ ปน็ อกี “พระสูตรในต�ำรากับสูตรที่หลวงปู่แสดงให้
รูปหนึ่งที่มีวาสนาเก่ียวข้องกับภพภูมิต่างๆ มีท้ัง เทวดาฟัง มันเหมือนกันบ่ผม” พระกราบเรียน
เทวดาจากสวรรค์ช้ันต่างๆ พญานาค และพวก ถาม
กายทิพย์ประเภทต่างๆ ท่ีเข้ามาเกี่ยวข้องอย่าง “ต่างกันต้ัวะ มันผิดกันอยู่ อันนั่นว่าตาม
กวา้ งขวาง ทา่ นเคยปรารภเกย่ี วกบั เรอ่ื งเทวดาทไี่ ด้ วาสนาดอก มันเป็นในจิต บ่คือกนั จกั๊ องคด์ อก”
มากราบเยยี่ มและขอฟังธรรมจากท่านไว้ดังนี้ หลวงป่ตู อบ
“พวกกายทพิ ย์น่ี กะสเิ วา่ หยัง มันกะคอื คน “บริวารท้าวค�ำสิงห์มาฟังเทศน์หลวงปู่หลาย
ธรรมดาเฮาน่แี หละ จติ วิญญาณเว้ย ขอใหท้ ำ� ใจ บ่ผม” พระกราบเรยี นถาม
ให้แจ้งเถอะนะ มันปรากฏละ่ น่ังแม้ จติ สงบเข้า
ปบ๊ั ละ มนั สเิ ปน็ แหลว่ คอื จง่ั ไฟฉาย ฉายน่ี บางทคี อื
หงิ่ หอ้ ยแมบๆ แหลว่ เอา้ เกดิ ๆ ทกุ คนละ่ เอาแม้
จิตสงบได้มันสิเห็นแจ้งอยู่จังซั่น มันกะสิเห็น
ดอก”
124 ผูท้ รงไวซ้ ่ึงความฉลาด
“กะหลายแหลว่ ลางเทอื กะหลาย ลางเทือกะบห่ ลาย” หลวงปตู่ อบ
“เปน็ ร้อยเปน็ พนั มัย้ ผม” พระกราบเรยี นถาม
“ฮว่ ย หลายกว่านั่น เต็มไปเบดิ้ ละ่ เอาแนบ่ ่ไดด้ อกอนั นี้” หลวงปู่ตอบ
“เขามาฟงั เทศน์ตอนใดผ๋ ม” พระกราบเรียนถาม
“มากะ ๖ ทุ่มกะมี ๕ ท่มุ กะมี บ่าย ๑ (ตี ๑) กะม”ี หลวงปตู่ อบ
“พวกนาคมาฟังเทศนบ์ ผ่ ม” พระกราบเรยี นถาม
“มอี ยู่” หลวงป่ตู อบ
“จังหวดั ที่หลวงป่เู ท่ียวธดุ งคไ์ ปสมัยก่อน มีเทพเทวดามาขอฟงั ธรรมบผ่ ม” พระกราบเรียนถาม
“มอี ยู่ ซูหม่อง เซาๆๆ (หยุดๆๆ) พอ่ แม่ครูจารย์บพ่ าเว่าเรอื่ งอันน”่ี หลวงปตู่ ดั บท
และประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ท่านไดป้ รารภกับพระว่า “เมื่อคืนคบู่ ารมวี นเข้าหา เขาอยใู่ นภพ
ละเอียด”
ในประวตั ขิ องครบู าอาจารยส์ มยั กอ่ น พวกเราเคยไดฟ้ งั กนั มาวา่ มคี รบู าอาจารยผ์ มู้ คี วามรพู้ เิ ศษ เชน่
หทู ิพย์ ตาทิพย์ สามารถสงเคราะห์เหลา่ กายทิพย์ได้ ช่วยแบง่ เบาภาระขององค์หลวงปูใ่ หญม่ น่ั ได้ เชน่
หลวงปชู่ อบ ฐานสโม หลวงปูฝ่ ั้น อาจาโร เป็นตน้
มาในยคุ ลกู ศษิ ยข์ องหลวงตาพระมหาบวั กม็ ี หลวงปลู่ ี กสุ ลธโร นอ้ี งคห์ นง่ึ ทสี่ ามารถชว่ ยแบง่ เบา
ธรุ ะของพ่อแมค่ รจู ารย์ในส่วนนี้ได้ ในการสงเคราะห์เหลา่ กายทิพย์ เร่อื งน้ีนา่ จะเป็นเพราะอ�ำนาจวาสนา
ทีท่ า่ นได้บ�ำเพ็ญมาในชาติปางก่อนก็เป็นไปได้
หลวงปลู่ ี กสุ ลธโร 125
วิหารธรรมของ
ท่านผู้ส้ินกิเลส
ทา่ นอยกู่ ับโลก
ดว้ ยความเมตตา
ความเมตตาธรรม
ตอ่ โลกนเี้ ปน็ วหิ ารธรรม
ของพระพุทธเจา้
พระอรหนั ต์ท่านทง้ั นัน้
ปราศจากไมไ่ ด้
ความบรสิ ทุ ธ์ิน้ี
จิตใจอ่อนน่มิ
ไปทวั่ โลกดินแดน
ครอบโลกธาตุ
หลวงตาพระมหาบวั ญาณสมั ปันโน
126 ผทู้ รงไวซ้ งึ่ ความฉลาด
ท่านวา่ ความเมตตาอนั ไมม่ ปี ระมาณตอ่ มวลสตั วท์ งั้ สามแดนอยา่ ง
ท่วั ถงึ ย่อมเกดิ ในดวงใจที่บรสิ ุทธ์ขิ องบรรดาพระสาวกผ้สู ิน้
จากกเิ ลสทง้ั หลาย แมใ้ นบคุ คลผ้ไู ม่รู้จกั คุณท่ีไดล้ ่วงเกนิ แตท่ ่านกย็ งั แผ่
อำ� นาจแหง่ ความเมตตาออกไปสทู่ กุ ดวงใจสตั วใ์ หไ้ ดร้ บั ความรม่ เยน็ เสมอ
ถว้ นหนา้ กนั หมด นเ้ี ปน็ วหิ ารธรรมของทา่ นผสู้ น้ิ กเิ ลสขอ้ หนงึ่ ไมม่ กี ารแบง่
พรรคแบง่ พวก แบง่ เขาแบง่ เรา ไมม่ กี ารอาฆาตมาดรา้ ยตอ่ ทา่ นผใู้ ดหรอื สตั ว์
ตัวใด
หลวงตาพระมหาบวั ได้อธบิ ายถงึ วหิ ารธรรมของท่านผู้ส้ินกเิ ลสไว้
ดงั น้ี
“วหิ ารธรรม แปลวา่ ธรรมเปน็ เครอื่ งอยขู่ องทา่ นผสู้ นิ้ กเิ ลส การภาวนา
ของท่านผูส้ ิน้ กิเลสแล้วมีสองประเภท คือ ประเภทที่หน่ึง เพื่อบรรเทา
ธาตขุ นั ธอ์ ริ ยิ าบถตา่ งๆ ยนื นานกเ็ ปน็ ทกุ ข์ เดนิ นานกเ็ ปน็ ทกุ ข์ นง่ั นานกเ็ ปน็
ทุกข์ นอนนานก็เป็นทกุ ข์ เพ่อื บรรเทาขนั ธใ์ ห้อยูใ่ นความพอเหมาะพอดี
ในระหว่างขันธ์กบั จิตทีค่ รองกนั อยู่น้ี ประเภทที่สอง เพอ่ื พจิ ารณาจิตกบั
ธรรมทงั้ หลาย อยา่ งพระพทุ ธเจา้ ทา่ นกส็ อ่ งโลกธาตพุ จิ ารณาดสู ตั วโลกดว้ ย
จิตท่ีบริสุทธ์ินั้น พิจารณาอย่างน้ันๆ ส่วนพระอรหันต์ท่านก็ท�ำเต็มภูมิ
ของท่าน พิจารณาเต็มภูมิเต็มก�ำลังของท่านเกี่ยวกับสัตวโลกท้ังหลาย
มคี วามลกึ ตนื้ หนาบางหยาบละเอยี ด ตลอดถงึ สตั วโลกเปน็ ยงั ไงๆ ทา่ นจะรู้
ในเวลาทา่ นพจิ ารณานแี้ จม่ แจง้ ขน้ึ นข้ี อ้ หนง่ึ อกี ขอ้ หนง่ึ อยธู่ รรมดาๆ ทา่ นกร็ ู้
ตามธรรมดา ถา้ ทา่ นพจิ ารณานนั้ กย็ งิ่ ละเอยี ดลออขน้ึ ไปอกี รมู้ ากเขา้ ไปโดย
ลำ� ดบั ลำ� ดา ทงั้ นเี้ พอื่ ความอยเู่ ปน็ สขุ ในทฐิ ธรรม คอื เวลายงั ครองขนั ธอ์ ยู่
ท่านก็เดินจงกรมบ้าง นง่ั สมาธิภาวนาบ้าง เหมอื นอยา่ งเรานน้ั แล แม้แต่
พระขณี าสพทา่ น ทา่ นกต็ อ้ งอาศยั สมาธเิ ปน็ วหิ ารธรรมเครอื่ งอยสู่ บายใน
ทฐิ ธรรม จนกระทง่ั วนั ทา่ นนพิ พาน อนั นเี้ ปน็ วหิ ารธรรมของทา่ น คอื สมาธิ
ปญั ญา พิจารณาเหตผุ ลเร่ืองนนั้ เรื่องนี้ เรอื่ งธรรมในแงต่ ่างๆ หรือเรื่อง
พิจารณาร่างกายเป็นวิหารธรรมเหมือนกนั มนั ก็เปน็ เครอ่ื งร่นื เริงระหวา่ ง
กายกับจิตท่คี รองตัวกันอยู่ แตไ่ ม่ไดพ้ จิ ารณาเพอื่ ถอดถอนกเิ ลส เพราะ
กเิ ลสส้ินซากไปแล้ว
หลวงปู่ลี กสุ ลธโร 127
ท่านวา่ วุสิตํ พรฺ หฺมจรยิ ํ กตํ กรณียํ พรหมจรรย์ไดอ้ ยู่จบแล้ว คือการประพฤตพิ รหมจรรยด์ ว้ ย
การฆ่ากิเลสได้สิ้นสุดลงแล้ว เพราะกิเลสขาดสะบ้ันลงไปหมดแลว้ กิจทค่ี วรทำ� ก็คอื การฆ่ากิเลสได้ท�ำ
เรียบร้อยแล้ว กิจอื่นที่จะท�ำให้ย่ิงกว่านี้ไม่มี หมด ตั้งแต่น้ันมาก็ไม่ปรากฏว่าท่านได้ละกิเลสตัวใดอีก
พระอรหนั ต์ พอกเิ ลสขาดสะบนั้ ลงไปเทา่ นนั้ ไมม่ จี นกระทงั่ วนั นพิ พาน ทา่ นไมม่ กี เิ ลสตวั ใดจะมาแฝงอกี เลย
จึงเรียกว่ากิเลสหมด
ทนี ้ีเวลา อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา ดบั ไปแล้ว ตัวไหนจะมาดนั ให้คดิ ใหป้ รุงไมม่ ี หมด คดิ ก็เป็นขันธล์ ้วนๆ
คดิ ธรรมดาๆ คิดแลว้ เกิดแลว้ ดบั ๆ ไม่มเี ง่อื นตอ่ กเิ ลสเปน็ เงอ่ื นต่อ กเิ ลสเปน็ ธรรมชาตทิ ี่ผลักดนั ให้คิด
ไปเรอื่ ยๆ เมอื่ กเิ ลสสนิ้ ลงไปแลว้ ไมม่ อี ะไรผลกั ดนั ขนั ธข์ องพระอรหนั ต์ เชน่ สงั ขารขนั ธ์ กเ็ ปน็ ขนั ธล์ ว้ นๆ
ใชไ้ ปในเวลามชี วี ติ อยู่เท่านน้ั เอง ทุกอยา่ งท่านใชพ้ อประมาณๆ ระงบั เมอ่ื ไรกไ็ ด้ เช่นอยา่ งเข้าที่ภาวนา
นั่งสมาธภิ าวนา น่นั ละ ทา่ นระงบั ขนั ธ์ จติ นีบ้ ริสทุ ธลิ์ ้วนๆ แลว้ ไม่มีปญั หาอะไรเลย แต่ความรบั ผิดชอบ
ระหวา่ งขันธก์ บั จิตยังมีอยู่ เพราะฉะน้นั เมือ่ เวลาขันธท์ ำ� งานอะไรพอประมาณแลว้ ทา่ นกร็ ะงบั เช่นเขา้
สมาธภิ าวนา นนั่ ละระงบั ขนั ธ์ ไมใ่ หม้ นั คดิ มนั ปรงุ เรอ่ื งอะไร นนั่ เรยี กวา่ ระงบั ขนั ธ์ เปน็ วหิ ารธรรม ความอยู่
ผาสุกสบายในระหว่างทมี่ ีชวี ิตอยูข่ องพระอรหนั ตท์ า่ น ทา่ นเปน็ อยา่ งนัน้
ท่านอยู่กับโลกด้วยความเมตตา ความเมตตาธรรมต่อโลกนี้เป็นวิหารธรรมของพระพุทธเจ้า
พระอรหันต์ท่านท้ังน้ัน ปราศจากไม่ได้ ความบริสุทธ์ิน้ี จิตใจอ่อนน่ิมไปทั่วโลกดินแดนครอบโลกธาตุ
ด้วยอ�ำนาจแห่งความเมตตาธรรมนี้ จึงสงสารไปหมดทุกหย่อมหญ้า อย่าว่าแต่สงสารมนุษย์ เฉพาะ
อย่างยิ่งเมืองไทยน้ีเลย สามแดนโลกธาตุน่ีท่านสงสารไปหมด ท่านอยู่ด้วยวิหารธรรมอย่างนี้แล
อยู่กับโลก ท่านไม่ได้ห่วงใยอะไรกับโลก นอกจากสงสารสัตว์ทั้งหลาย แล้วก็สงเคราะห์สงหาไปตาม
ก�ำลังความสามารถท่ีจะเป็นไปได้ตามอ�ำนาจวาสนาของผู้ใดท่ีจะเป็นไปได้มากน้อยเพียงไรเท่าน้ัน
น่ีเรียกว่าวิหารธรรมของพระอรหนั ต์ ทา่ นอยูด่ ว้ ยการสงเคราะห์โลก”
128 ผู้ทรงไว้ซึง่ ความฉลาด
หลวงปู่ลี กสุ ลธโร พรมน�้ำพระพุทธมนต์ในงานเททองหลอ่ พระประธานวดั ภผู าแดง
ณ โรงหลอ่ แหลมสงิ ห์ จงั หวดั ปทมุ ธานี พ.ศ. ๒๕๓๓
หลวงปู่ลี กสุ ลธโร 129
เขยี งรองธรรม
ของหลวงตา
ใครอยา่ อวดดอี วดเกง่
ด้วยความรู้วิชาฐานะ
สูงต่�ำของตัวเอง
ยง่ิ กว่าธรรม
ธรรมน้ี
เลิศครอบไปหมดแลว้
มีมากมีน้อยจะเลศิ อยู่
ในใจของผู้มีธรรม
อยู่ในนนั้ อบอนุ่ อยใู่ นนนั้
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปนั โน
130 ผ้ทู รงไวซ้ ่ึงความฉลาด
ตัง้ แต่หลวงตาได้สร้างวัดป่าบ้านตาดขึ้นในปลายปี พ.ศ.
๒๔๙๘ เปน็ ตน้ มา บรรดาพระเณรตา่ งกห็ ลงั่ ไหลเขา้ มา
อย่ศู กึ ษาอบรมกบั ท่านมากขน้ึ ซึง่ มที ัง้ ชาวไทยและชาวตา่ งประเทศ
ในระยะแรก ทา่ นยงั จำ� กดั จำ� นวนพระเณรไวใ้ นสำ� นกั เพยี ง ๑๗-๑๘ รปู
และยงั คงจำ� นวนนไ้ี วเ้ รอ่ื ยมาจนกระทง่ั ถงึ ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ จงึ ไดร้ บั พระ
เณรมากข้นึ เป็นจ�ำนวน ๒๕ รปู
ตอ่ มาบรรดาครบู าอาจารยอ์ งคส์ ำ� คญั ๆ ตา่ งก็ได้ละขันธ์จากไป
เปน็ จำ� นวนมาก พระเณรผสู้ นใจดา้ นภาวนาจงึ ขาดทพ่ี ง่ึ ลง หลวงตาจงึ
ได้รับพระเณรไว้ในส�ำนักมากข้ึนเป็นล�ำดับ ทั้งนี้ก็ด้วยเพราะความ
เห็นใจต่อบรรดาพระเณรท้ังหลายท่ีมุ่งมาเพราะธรรม หลวงตาได้
เมตตาพดู ถงึ เรอ่ื งนไ้ี วว้ า่ “บรรดาลกู ศษิ ยท์ ง้ั หลายทไ่ี ปอบรมอยวู่ ดั ปา่
บา้ นตาด ทว่ั ประเทศไทยไมใ่ ชน่ อ้ ยๆ ถา้ พดู ตามความสตั ยค์ วามจรงิ
แลว้ หลวงตาบวั นี้มีลกู ศิษย์ฝา่ ยพระมากท่ีสดุ ”
หลวงตาพระมหาบวั ญาณสมั ปนั โน พระเณรท่ีเข้าไปรับการศึกษาอบรมจากองค์ท่านต่างก็เป็น
กับพระอาจารย์ปัญญาวัฑโฒ ผู้ต้ังใจดีท้ังด้านข้อวัตรปฏิบัติภายนอก และข้อวัตรภายในคือการ
ภาวนาซง่ึ เปน็ เรอ่ื งเฉพาะตน สมยั ทธี่ าตขุ นั ธข์ องหลวงตายงั แขง็ แรงนนั้
ท่านพยายามเคี่ยวเข็ญผู้ที่เข้ามาศึกษาอย่างเด็ดเด่ียวเอาจริงเอาจัง
ทั้งนี้ก็หวังเพื่อจะให้ผู้เข้ามาศึกษาได้หลักได้เกณฑ์น�ำไปประพฤติ
ปฏิบัติสืบไปในอนาคต พระเณรผู้อินทรีย์ยังอ่อนจึงมักถูกหลวงตา
เข่นด้วยธรรมประเภทเผ็ดร้อนเสมอ หลายท่านจึงเกิดความกลัว
บางครงั้ ตง้ั สตไิ มท่ นั กม็ จี นลมื เนอ้ื อรรถเนอื้ ธรรมและประโยชนท์ ท่ี า่ น
พยายามชแ้ี นะในขอ้ บกพรอ่ งของเรอ่ื งนน้ั ๆ บางรปู กลวั มากถงึ ขนาด
ไดข้ โมยหนีไปในเวลากลางคนื ก็มี
หลวงปู่ลี กุสลธโร ขณะออกบิณฑบาต ในฤดูนอกพรรษาของทุกๆ ปี หลวงปู่ลีจะกลับเข้าไปวัดป่า
หนา้ ศาลาวัดปา่ บ้านตาด ปี พ.ศ. ๒๕๒๙ บา้ นตาด เพอ่ื กราบเยย่ี มหลวงตาเสมอๆ และเพอ่ื ชว่ ยเหลอื การงาน
พ่อแม่ครูจารย์ด้วยความเคารพย่ิง ในบางปีท่านก็ได้จ�ำพรรษาด้วย
ในระยะท่ีหลวงป่ลู พี ักอย่ใู นวัดปา่ บา้ นตาดน้ี เมื่อพระเณรก่อความ
ผดิ พลาดขน้ึ ดว้ ยความประมาทเลนิ เลอ่ หากความผดิ พลาดบกพรอ่ ง
หลวงปู่ลี กสุ ลธโร 131
จะเปน็ บทเรยี นทด่ี ตี อ่ บรรดาพระเณรรปู อนื่ แลว้ เมอื่ ถงึ เวลาประชมุ หลวงตาจะยกขอ้ บกพรอ่ งนนั้ ขน้ึ มา
กลา่ วสง่ั สอน แตท่ า่ นจะไมต่ ำ� หนวิ า่ กลา่ วพระรปู นน้ั โดยตรง ทา่ นจะยกเอาหลวงปลู่ ขี น้ึ มาเปน็ ทรี่ องรบั ธรรม
ประเภทฟ้าผ่าของท่านแทน เรียกว่าเป็นเขียงรองธรรมประเภทฟ้าผ่าให้ท่านสับเขกพระเณรด้วยธรรม
กไ็ มผ่ ดิ ซงึ่ หลวงปลู่ กี ท็ ราบในเจตนาขอ้ นขี้ องหลวงตาเปน็ อยา่ งดี หลวงปเู่ มตตาเลา่ เรอ่ื งนใ้ี หพ้ ระผใู้ กลช้ ดิ
ฟงั วา่
“ฮว่ ย พระเณรย่านเพนิ่ หลายแหล่ว ยา่ นพอ่ แมค่ รจู ารยน์ ะ่ เพิน่ กะบ่ฮา่ ยบ่วา่ ข่นั ผนู้ นั้ ย่านหลาย
เขารับบไ่ หว เขาสิประมาทเพิ่น สิเกดิ โทษ เพ่ินกะเลยหนั มาใส่ผมแหล่ว ธรรมะเพน่ิ ออกก�ำราบพระหมู่
ขดี้ ื้อซอื ๆ อันนเ้ี จ้าของกะฮ้อู ยู่ บเ่ ป็นหยัง”
“ถกู เทศนเ์ บด้ิ ละ่ อยนู่ ำ� พอ่ แมค่ รจู ารย์ โดนเบดิ้ คอู งคล์ ะ่ เวน้ ทา่ นปญั ญาผเู้ ดยี ว เพน่ิ ฉลาดเด๊ ทา่ นปญั ญา
ทีแรกมากราบพ่อแมค่ รูจารย์นะ วา่ มาขออยู่ เพนิ่ ใหร้ อก่อนถึง ๓ ปีนะ ปีที่ ๔ ถงึ ได้เขา้ มา ปแี รกๆ
พอ่ แมค่ รจู ารยบ์ อกหมพู่ ระวา่ บใ่ หส้ งุ สงิ นำ� เลย เพน่ิ วา่ ใหร้ ะวงั พระตา่ งชาตนิ ะ พากนั สงั เกตสงั กา เบงิ่ เขาสมิ า
แบบใด๋ ขัน่ ท่านปัญญาสิถวายของอหิ ยัง ให้ประเคนตอ่ หน้าเลยนะ
เพ่ินเหน็ ความตั้งใจเด๊ ต้ังใจหลายแทๆ้ เลยยา้ ย (ญตั ต)ิ เขา้ ธรรมยตุ นะ เพนิ่ ต้งั ใจแท้ๆ เด”๊
“คำ� พดู ของพอ่ แมค่ รจู ารย์ เพนิ่ พดู เปน็ หลกั เปน็ ธรรมเบด๊ิ มแี ตฟ่ งั เพนิ่ ทอนน่ั บไ่ ดค้ ดั คา้ นหยงั เฮากะ
พจิ ารณาละ่ เพน่ิ เวา่ มเี หตมุ ผี ลเบดิ๊ ขน่ั เฮาตรองตามกระแสความเวา่ ของเพนิ่ ใครค่ รวญตาม เพนิ่ เวา่ หยงั เปน็
ปญั หาในตวั ใหไ้ ปขบคดิ ใหต้ รองเบง่ิ มนั ถกู บถ่ กู โอ้ เพนิ่ เวา่ เปน็ ธรรมเบด้ิ เดะ๊ เฮด็ เปน็ หลกั เกณฑไ์ ว้ บไ่ ดเ้ ฮด็
ส่มุ สีส่ มุ่ ห้าเด๊ รอบคอบเบดิ้ พิจารณาตามเบิ่ง”
ซง่ึ บางครั้งพระเณรบางรปู กไ็ มเ่ ขา้ ใจในความหมายของหลวงตา
“ท�ำไมพอ่ แมค่ รูจารยถ์ ึงได้ว่าใหก้ บั ทา่ นอาจารยค์ ักแท”้ พระเรียนถามหลวงปลู่ ี
“โอ๊ย ผมบ่แมน่ พระอริยเจา้ เพิ่นกะฮา้ ยกิเลสแนแ่ หล่ว” หลวงปูล่ ีตอบ
และพดู ข้นึ อีกว่า “ค�ำเว่าของพ่อแม่ครจู ารย์น่ะ ให้พจิ ารณาดีๆ”
132 ผ้ทู รงไวซ้ งึ่ ความฉลาด
หลวงปูล่ ี กสุ ลธโร 133
งานพเิ ศษ
ความอจิ ฉาริษยา
ความโกรธ ความโลภ
ความหลง เตม็ หวั ใจ
อยู่หนั่ พวั พันอยหู่ น่ั
ความก�ำหนดั รกั ใคร่
เตม็ อยู่หน่ั แหล่ว
ธรรมะกะเข้าบ่ได้
ขันติความอดทนจงั ซ่ี
กะยงั บเ่ ขา้ ถึงใจได้
สเิ ว่าอิหยงั
หลวงปู่ลี กุสลธโร
134 ผูท้ รงไวซ้ ่งึ ความฉลาด
หนงั สือชวี ประวตั ิของหลวงปู่ใหญ่มน่ั ภูรทิ ตั โต โดยหลวงตา
พระมหาบัว ญาณสัมปันโน นั้น เริ่มแรกส่งให้ส�ำนักพิมพ์
ศรีสัปดาห์พิมพ์ออกเผยแพร่เป็นตอนๆ ไปจนจบเรื่อง และพิมพ์
รวมเลม่ ออกมาครง้ั แรกเมอื่ ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ซงึ่ กอ่ นหนา้ นนั้
หลวงตาพระมหาบัวต้องเดินทางไปกราบเยี่ยมครูบาอาจารย์องค์
สำ� คญั ๆ ทเี่ ปน็ ศษิ ยผ์ ใู้ หญท่ เี่ คยไดศ้ กึ ษาอบรมอยกู่ บั หลวงปใู่ หญม่ นั่
มาก่อน เพื่อสอบถามรายละเอียดเหตุการณ์ต่างๆ โดยจะบันทึก
เทปเสียงไว้กอ่ น แลว้ ค่อยจะมาประมวลเรยี บเรียงใหมใ่ นภายหลงั
สดุ ทา้ ยจงึ ไดก้ ลายเปน็ หนงั สอื ชวี ประวตั ทิ า่ นหลวงปใู่ หญม่ นั่ ภรู ทิ ตั โต
ให้พวกเราได้อา่ นทุกวันนนี้
วันที่ ๒๖ - ๒๗ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๑๔ หลวงตาได้เดนิ ทางไป
กราบเยยี่ มหลวงปูช่ อบ ฐานสโม และหลวงปคู่ �ำดี ปภาโส โดยมี
หลวงปลู่ ี กสุ ลธโร เปน็ พระตดิ ตาม และในครง้ั นน้ั ไมใ่ ชเ่ ปน็ เพยี งแค่
การเดินทางไปเก็บข้อมลู ประวตั ขิ องหลวงปใู่ หญม่ ั่นเทา่ น้นั แต่เปน็
โอกาสอนั พเิ ศษทย่ี ากจะเกดิ ขนึ้ สกั ครง้ั นน่ั เปน็ เพราะหลวงตาไดถ้ วาย
อุบายธรรมชั้นละเอยี ดตอ่ หลวงป่คู �ำดี ปภาโส เป็นการเฉพาะด้วย
ซงึ่ คงไมใ่ ชเ่ รอ่ื งบงั เอญิ แนน่ อน แตน่ า่ จะเปน็ เรอ่ื งทเี่ กดิ ขนึ้ ดว้ ยญาณ
ของท่านทงั้ สองเปน็ แน่ หลวงตาได้เลา่ เหตุการณค์ รงั้ นนั้ ไวว้ ่า
“หลวงปคู่ ำ� ดี นสิ ยั ของทา่ นผาดโผน ทา่ นเลา่ ใหฟ้ งั ตอนทม่ี นั เปน็
ผมไม่ลืมนะ เหมือนกับว่าท่านยังมีสายบุญสายกรรมเป็นเงื่อนต่อ
ไมง่ น้ั ทา่ นฆา่ ตวั ตายไปเลย โนน่ ขนาดนน้ั นะ มนั ถงึ ไดค้ ดิ ยอ้ นไปถงึ
พระโคธกิ ะทที่ า่ นฆา่ ตวั ตาย มนั มสี าเหตเุ ปน็ ไปไดอ้ ยา่ งนนั้ นะ อยา่ งเรา
กเ็ หมอื นกนั ทสี่ มาธเิ สื่อม เสื่อมคราวนต้ี อ้ งตายเทา่ น้นั แน่ะ มันมี
สาเหตุท่ีจะท�ำให้เป็นไปได้อย่างนั้น หลวงปู่ค�ำดีท่านก็เหมือนกัน
ทา่ นกผ็ ่านของทา่ นมาได้”
หลวงปลู่ ี กุสลธโร 135
(แถวบนจากซา้ ย) หลวงปชู่ อบ ฐานสโม หลวงป่คู ำ� ดี ปภาโส
(แถวล่างจากซา้ ย) หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปนั โน หลวงปู่ลี กสุ ลธโร
136 ผู้ทรงไว้ซ่งึ ความฉลาด
ประวัติหลวงปูช่ อบ เพ่นิ ภาวนาเกดิ ปญั ญาจกั ษแุ หลว่
รู้ฮอดวาระจติ ของผอู้ ่นื เพิน่ ไปภาวนาอยบู่ ้าน...
โอย๊ เกดิ อศั จรรย์ รู้ไดผ้ ใู้ ด๋มา คือจงั่ พ่อแม่ครูจารย์ (หลวงตา)
กะไปขอใหเ้ พน่ิ เปดิ ปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ผมเปน็ ผอู้ ัดเทป
เพนิ่ สิมาประมวลใสป่ ระวัติปฏปิ ทาสายหลวงปมู่ ัน่
แตท่ มุ่ หน่งึ ถึงตีสอง เพ่ินคยุ กัน เพิ่นเวา่ เร่อื งพม่า เพน่ิ พูดพม่าได้เด๊ะหลวงปชู่ อบน่ะ
“ฝากความถึงบุญถึงคุณถึงท่านมหาบัว บนั ดาลยงั ไงไมท่ ราบ แปลกอยู่ ตี ๔ ทา่ นเดนิ จงกรม
ด้วยนะ ท่านมหาบัวเป็นอาจารย์ของอาตมา” อยู่ข้างๆ กุฏิ กุฏิหลังแรกท่ีเลยจากศาลาเข้าไป
ดร.เชาวน์ไปส่งท่านตอนไปผ่าต่อมลูกหมาก ไมใ่ ชห่ ลงั ถดั ไปนะ กฏุ นิ ม่ี นั ขวางอยู่ เปน็ กฏุ สิ องชนั้
เครอื่ งบนิ ไปลงจงั หวดั เลยเสยี กอ่ น ทางนนั้ กน็ ำ� คำ� ทา่ นเลา่ ใหฟ้ งั ทา่ นเดนิ จงกรมอยทู่ างดา้ นทศิ เหนอื
ทา่ นมาพดู ใหเ้ ราฟงั อยู๊ ทำ� ไมถงึ พดู อยา่ งนี้ ทา่ นก็ ของกุฏิ เดนิ จงกรมอยู่ มันตดิ ปญั หา ท่านว่า โห
ฝากมาอยา่ งนนั้ จะใหผ้ มพดู ยงั ไง โห เราถอื ทา่ นเปน็ ตดิ อยา่ งไปไมไ่ ดเ้ ลย เหมอื นหอกเหมอื นหลาวทมิ่
ครเู ปน็ อาจารย์ กราบไหวท้ า่ นอยเู่ สมอ ทำ� ไมจะมา ในหวั ใจ อยา่ งนนั้ แหละ ตดิ ปญั หา ถา้ สตปิ ญั ญาแก้
วา่ เราเปน็ อาจารยท์ า่ น อยา่ งนนั้ ไมเ่ หมาะ กท็ า่ นพดู ไม่ไดแ้ ล้วกเ็ ปน็ อยา่ งน้ันแหละกิเลส ฟดั กันยงั ไง
อยา่ งนนั้ ทา่ นฝากมาอยา่ งนนั้ ดร.เชาวนว์ า่ แตถ่ า้ มนั กไ็ มไ่ ดเ้ รอื่ ง ทา่ นวา่ คดิ ไปหาใครมนั กไ็ มส่ มั ผสั ใจ
พดู ตามความจริง เรากย็ กใหอ้ บุ ายธรรมต่างๆ ท่ี ทา่ นวา่ อยา่ งนนี้ ะ มนั มองเหน็ แตท่ า่ นมหาองคเ์ ดยี ว
ถวายทา่ น อนั นเ้ี รากไ็ มป่ ฏเิ สธ แตไ่ มอ่ ยากใหท้ า่ น เท่านั้น ท่านว่า ปุ๊บปั๊บ ออกมาจากทางจงกรม
พูดออกมากับผู้อื่นอย่างเปิดเผยอย่างน้ัน อันนี้ กม็ าจดุ ธปู จดุ เทยี นแลว้ กไ็ หวพ้ ระ แลว้ กราบลงไป
อยากให้ท่านเก็บไว้ในใจ ไม่อยากให้ท่านพูด ต้ังสัจจะอธิษฐานภายในจิตขึ้น ขออาราธนาท่าน
เราไม่ต้องการ เพราะเราเคารพทา่ น น่นั ล่ะ จติ มหาบวั มาโปรดโดยดว่ น เวลานตี้ ดิ ปญั หาหนกั ทส่ี ดุ
เวลามันเขา้ ชอ่ งแลว้ เวลามันจะติดก็ติดอยา่ งนน้ั ทา่ นวา่ อยา่ งนนี้ ะ ทา่ นอาจารยท์ ำ� ไมถงึ พดู อยา่ งนลี้ ะ่
ทา่ นติดอยา่ งนัน้ ทีท่ า่ นเลา่ ใหฟ้ งั มนั กม็ าบนั ดล กผ็ มทำ� อยา่ งนน้ั จรงิ ๆ นะ ทา่ นมหา ทา่ นวา่ อยา่ งน้ี
หลวงปลู่ ี กสุ ลธโร 137
มันกบ็ ันดลบันดาล พอตน่ื เชา้ ขน้ึ มา เรากไ็ ปวันน้ันเลยนะ ทั้งๆ ท่ีเราไม่เคยไปด้วยซ�ำ้ วัดถ�้ำผาปู่
เรากย็ ังไมเ่ คยไป ดูเหมอื นจะไปกับธรรมลนี ะ ใชม่ ้ยั ลี ไปกบั ทา่ นใชม่ ้ัย (โดยข้านอ้ ย หลวงป่ลู ตี อบ)
ดูเหมอื นเดอื นมถิ นุ า (ยน) วนั ท่ี ๒๗ ทผี่ มไปหาทา่ น ออกจากนี้วนั ที่ ๒๖ ไปคา้ งวัดครจู ารยช์ อบ
กอ่ นคืนหนึ่ง
พอเทีย่ งวนั นี้ ตัดสนิ ใจปุบ๊ ป๊ับ ไปเดยี๋ วน้ี เอารถลกู สาวกมิ จมิ นีแ่ หละไป เปน็ รถสองแถว แต่กอ่ น
รถมันไม่มีมากเหมือนทุกวันนี้ เท่ียงก็ออกจากนี่ ไปก็ไปแวะค้างอยู่กับหลวงปู่ชอบเสียก่อนคืนหน่ึง
คยุ ธรรมะกบั ทา่ นพอสมควรแลว้ เชา้ มาฉนั จงั หนั เสรจ็ กไ็ ปเลย ไปวดั ถำ้� ผาปู่ ไปกไ็ ปเจอทา่ นเผย ทา่ นเผย
ป๊บุ ปับ๊ กจ็ ะไปเปิดประตูเรยี กท่านลงมา พอเรามองเห็น อยา่ นะเผย วันนี้ผมจะคา้ ง อย่าเพ่งิ รบกวนทา่ น
ผมมโี อกาสทจี่ ะไดค้ ยุ กบั ทา่ นอยู่ แลว้ เรากเ็ ดนิ ออกมา ทา่ นเผยออ้ มไปดา้ นหลงั ไปบอกหลวงปคู่ ำ� ดี ทนี ้ี
ท่านลงมาเปดิ ประตูเองเลย
“โห ท่านมหาๆ มาๆๆ” หลวงปู่คำ� ดี
“ข้าน้อยจะพกั อยคู่ นื นี้อยู่ เด๋ียวค่อยคุยกนั กะได้ ใหค้ รูจารย์พักซะกอ่ น” หลวงตา
“พกั กะมาซะกอ่ นมา โห้ มาเรว็ อยู่เนาะ” เป็นลกั ษณะดีใจ
“เรว็ จังใด๋ล่ะ” หลวงตา
“ฮ่วย เด๋ียวสเิ ว่าใหฟ้ ังแหมะ่ ” หลวงปคู่ �ำดี
“ข้าน้อยมาตามประสาบ้าของขา้ น้อยเดะ๊ ยังบค่ ุยหยงั ดอก ใหค้ รจู ารย์พักเสียก่อน” หลวงตา
“เด๋ียวห้าโมงแลงสิให้พระไปนมิ นตเ์ ด้อ” หลวงปคู่ �ำดีวา่
พอก่อน ๕ โมงเย็น เรากม็ ากอ่ น ไม่ตอ้ งให้พระไปนิมนต์ มาแลว้ ก็เอากันเลยล่ะคราวนี้ คยุ กัน
สองตอ่ สอง ทา่ นปดิ ประตกู ก๊ึ เลย ไมใ่ หใ้ ครเขา้ ไปรบกวน มแี ตท่ า่ นกบั เรา คยุ กนั จนกระทงั่ ๒ ทมุ่ โนน่ นะ่
คยุ ธรรมะก่อน ท่านพดู ตอนทีท่ า่ นตดิ ปัญหา พอทา่ นเล่าจบลงแล้ว เราก็ถวายอุบายเลยแหละ
138 ผทู้ รงไวซ้ ่งึ ความฉลาด
ทา่ นวา่ พจิ ารณาอะไรๆ มนั ก็หมดไปแล้ว จิตมันบ่อยากพจิ ารณา แต่ก่อนพิจารณาเรอ่ื งรา่ งกายนี้
ก็เอาจนแหลกละเอยี ด เดย๋ี วนมี้ ันไมอ่ ยากพจิ ารณาอะไรเลย มนั รวมตวั เข้ามา ไมท่ ราบจะพิจารณาอะไร
ทนี ้ี พจิ ารณาขันธ์ ๕ ไม่มคี วามหมายอะไร มนั กไ็ ม่อยากจะพจิ ารณา ก็ไมร่ ้จู ะปฏบิ ตั ิอยา่ งไรตอ่ ไป
โอ้ ผเู้ ฒ่าก็รเู้ รว็ อยูน่ ะ “เอ้อ เอาละ่ ๆ ทนี ี้ เข้าใจแลว้ ๆ รู้วิธีปฏบิ ตั แิ ลว้ ทีนี”้ ปรากฏวา่ ทา่ นคึกคกั
ขึน้ มาเลย มนั โดนป๋ึงในหวั ใจทา่ น มันเป็นธรรมะเฉพาะ ถ้าผู้ไมร่ ูแ้ กไ้ ม่ได้ ไมใ่ ช่ธรรมะด้นเดา ทา่ นเลา่
จบลงปั๊บ เรากเ็ ขา้ ใจทนั ที พอจบแล้ว เราก็ถวายเลย ไม่ได้มากนะ มนั ถึงใจผู้เฒ่า น่ีละ่ อันหนึง่ ที่ผเู้ ฒ่า
พดู วา่ “อาจารยม์ หาบัวเป็นอาจารย์ของอาตมานะ” นี่ล่ะ
พ.ศ. ๒๕๒๐ ละมงั้ ไดไ้ ปเยยี่ มทา่ นอกี ไปกไ็ ปเขยี นจดหมายนอ้ ยถามปญั หาทา่ น เพราะทา่ นหตู งึ แลว้
ทา่ นอา่ นปัญหาแล้ว ทา่ นก็ยกขนึ้ ใส่หัวเลย แลว้ ทา่ นก็เขยี นตอบมา เรากห็ มดปัญหากบั ทา่ น เพราะทา่ น
ตอบถกู น่ี ปัญหานผี้ ไู้ ม่รู้ตอบไม่ถกู เพราะเป็นปญั หาเฉพาะผปู้ ฏิบัตนิ ่ี ทา่ นกผ็ ่านได”้
หลวงปลู่ ไี ดเ้ ลา่ ถงึ เหตกุ ารณท์ ไี่ ดต้ ดิ ตามหลวงตาไปกราบเยย่ี มหลวงปชู่ อบ ฐานสโม และหลวงปคู่ ำ� ดี
ปภาโส ไวด้ ังนี้
“ประวตั ิหลวงปชู่ อบ เพน่ิ ภาวนาเกิดปญั ญาจักษแุ หล่ว รฮู้ อดวาระจติ ของผอู้ น่ื เพนิ่ ไปภาวนาอยู่
บา้ น... โอย๊ เกดิ อศั จรรย์ รไู้ ดผ้ ใู้ ดม๋ า คอื จงั พอ่ แมค่ รจู ารย์ (หลวงตา) กะไปขอใหเ้ พนิ่ เปดิ ปี พ.ศ. ๒๕๑๔
ผมเปน็ ผอู้ ดั เทป เพน่ิ สมิ าประมวลใสป่ ระวตั ปิ ฏปิ ทาสายหลวงปมู่ น่ั แตท่ มุ่ หนง่ึ ถงึ ตสี อง เพน่ิ คยุ กนั เพน่ิ เวา่
เรื่องพม่า เพ่นิ พูดพม่าได้เด๊ะหลวงป่ชู อบนะ่ พอ่ แม่ครูจารย์ (หลวงตา) เพน่ิ วา่ เอ้า พดู ภาษาเฮานโ่ี ลด
ทอนน้ั แหลว่ หมเู่ ฮามนั บเ่ หน็ หยงั แหลว่ เพราะกเิ ลสมนั เตม็ หวั ใจอยเู่ ดะ๊ คอื กนั กบั เทปนแี่ หละ เทปมนั มี
เขาเปดิ ทกุ สถานแี หละ แตเ่ ทปเฮาบด่ ี เปดิ รบั เขากบ็ ไ่ ด้ อนั นจี้ ติ ใจคอื กนั แหลว่ มนั แนน่ หนาอยหู่ นั่ ความรกั
กะเตม็ ความชงั กะเตม็ ความอจิ ฉารษิ ยา ความโกรธ ความโลภ ความหลง เตม็ หวั ใจอยหู่ นั่ พวั พนั อยหู่ น่ั
ความก�ำหนดั รักใครเ่ ตม็ อยหู่ ่นั แหล่ว ธรรมะกะเข้าบไ่ ด้ ขนั ตคิ วามอดทนจงั ซีก่ ะยงั บเ่ ขา้ ถงึ ใจได้ สิเว่า
อหิ ยัง”
หลวงปลู่ ี กสุ ลธโร 139
วดั ป่าภูริทัตต-
ปฏปิ ทาราม
วัดนี่ ตงั้ แตป่ แี รก
พอ่ แม่ครูจารยบ์ อกให้ไปเฮ็ด
เพิน่ วา่
ผมสไิ ปดึงเอาทา่ นเจ๊ียะ
มาอยู่ดอก วาซ่นั
หลวงปลู่ ี กุสลธโร
140 ผู้ทรงไวซ้ ่ึงความฉลาด
หลวงตาเปน็ ผมู้ คี วามระลกึ ถงึ บญุ ถงึ คณุ ของทา่ นผอู้ นื่ อยเู่ สมอ
น่เี ปน็ คุณธรรมทเี่ ดน่ อกี ขอ้ หน่งึ ของทา่ น ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕
น.อ. สกล รสานนท์ พ.ญ. อไุ รวณั ณ์ สนุ ทรลกั ษณ์ ไดน้ อ้ มถวายทด่ี นิ
ทถี่ นนพทุ ธมณฑลสาย ๓ กรงุ เทพฯ เพอ่ื จดั สรา้ งเปน็ สถานทปี่ ฏบิ ตั ิ
ธรรมแดห่ ลวงตา และหลวงตาไดน้ มิ นตห์ ลวงปเู่ จย๊ี ะ จนุ โท ใหเ้ ขา้ มา
พำ� นกั เพอื่ จดั สรา้ งเปน็ วดั แตด่ ว้ ยเหตบุ างประการ ทำ� ใหห้ ลวงปเู่ จยี๊ ะ
ไม่สะดวกท่ีจะพ�ำนกั อยู่
ระยะน้นั พระอาจารย์นพดล นันทโน ไดช้ กั ชวนใหพ้ ่ีชายถวาย
ทด่ี นิ แด่หลวงตาเพอื่ สร้างวดั ถวายหลวงป่เู จ๊ยี ะ หลวงตาได้เล่าไวว้ า่
“เรมิ่ แรกทเี ดยี ว พช่ี ายของทา่ นนพดลไดถ้ วายทใี่ หเ้ ราสรา้ งวดั
มองหาใครท่ีจะมารับภาระให้เป็นที่แน่ใจตายใจ ก็มองเห็นแต่ท่าน
อาจารยเ์ จยี๊ ะเทา่ นนั้ จงึ ไปนมิ นตท์ า่ น พดู เหตผุ ลใหฟ้ งั วา่ เพราะวดั น้ี
ต่อไปจะเป็นวัดท่ีแน่นหนาม่ันคง จึงควรมีครูบาอาจารย์ท่ีเป็นหลัก
เปน็ เกณฑม์ าอยู่ กม็ องเหน็ แตท่ า่ นอาจารยเ์ ทา่ นน้ั ละ่ จะพอสงเคราะห์
กนั ไดไ้ หม ญาตโิ ยมแถวนย้ี า่ นนเี้ ปน็ ยา่ นทพี่ อเหมาะพอดี เมอ่ื เรานมิ นต์
ทา่ นกร็ บั ดว้ ยดนี ะ ทา่ นอาจารยเ์ จย๊ี ะ ทางดา้ นจติ ใจทา่ นดี ดมี าตง้ั แตบ่ วช
ทแี รก พดู ถงึ ธรรมภายในทา่ น ทา่ นดไี มใ่ ชธ่ รรมดา แตก่ ริ ยิ าภายนอก
ทา่ นกอ็ ยา่ งนนั้ แหละ เราจงึ บอกเฉพาะในวงลกู ศษิ ยท์ ใี่ กลช้ ดิ ทไี่ วใ้ จได้
เพราะภายนอกกบั ภายในไมเ่ หมอื นกนั จรติ นสิ ยั ของคนเราไมเ่ หมอื น
กัน”
ทนั ตธาตุ หลวงป่ใู หญ่มั่น ภรู ิทตั โต จากนั้นหลวงตาไดม้ อบหมายให้หลวงปลู่ ีพาคนงานมาจดั สรา้ ง
เสนาสนะบางส่วนข้ึนกอ่ น และไดม้ อบหมายใหพ้ ระอาจารยน์ พดล
มาด�ำเนินการเอกสารด้านกฎหมายให้ถูกต้อง ระยะท่ีเร่ิมจัดสร้าง
เสนาสนะนน้ั มีญาตโิ ยมทเ่ี ดินทางเขา้ มาชว่ ยก่อสรา้ งไดฝ้ นั แปลกๆ
อยา่ งทไ่ี มเ่ คยฝนั มากอ่ น แลว้ ไปเลา่ ถวายครบู าอาจารยฟ์ งั วา่ “เมอ่ื คนื
ผมฝันแปลกมาก ฝันว่ามีพระอาทติ ยข์ นึ้ พรอ้ มกนั สองดวงและรัศมี
สวา่ งจา้ งดงามมากครับ แปลกจริงๆ”
หลวงปลู่ ี กุสลธโร 141
ครูบาอาจารย์ก็เลยตอบไปว่า “น่โี ยม ฝันเป็นมงคลมาก ไดบ้ ุญมากนะที่มาชว่ ยก่อสรา้ งเสนาสนะ
ถวายครบู าอาจารยอ์ งคส์ ำ� คญั เพราะพระอาทติ ยด์ วงท่ี ๑ ทโ่ี ยมฝนั เหน็ นนั้ กค็ อื หลวงปเู่ จยี๊ ะนน่ั เอง และ
ดวงท่ี ๒ กค็ อื หลวงปลู่ ีนเี่ อง จำ� เอาไวน้ ะ”
หลวงปลู่ ไี ด้เลา่ ถึงความเป็นมาของวดั ป่าภรู ิทัตตปฏิปทาราม ว่า
“วดั นี่ (วดั ปา่ ภรู ทิ ตั ตปฏปิ ทาราม) ตง้ั แตป่ แี รก พอ่ แมค่ รจู ารยบ์ อกใหไ้ ปเฮด็ เพนิ่ วา่ ผมสไิ ปดงึ เอา
ทา่ นเจยี๊ ะมาอยดู่ อก วาซนั่ ปนี น่ั เพนิ่ มอบเงนิ ใหแ้ สนกบั หกหมน่ื บาทใหไ้ ปเฮด็ วดั คมุ พอ่ ออกเฮด็ งานอยู่
พนุ้ แลว้ ตอนออกพรรษา พอ่ แมค่ รจู ารยเ์ พน่ิ กะไปเบง่ิ เด๊ เอาพอ่ ออกไปนำ� ยสี่ บิ คน เพน่ิ วา่ เอา้ ขนั่ กฏุ บิ แ่ ลว้
สองหลงั บใ่ ห้กลับเมอื บา้ นเด๊ะ เบิ่งเขาเฮ็ดฮอดกลางคืนบาดนี่ ยา่ นบไ่ ดเ้ มอื เด๊
หลวงปเู่ จยี๊ ะเพนิ่ อยากไดก้ ลา้ ไมย้ างงามๆ วาซนั่ หมพู่ ากนั ไปหาเบง่ิ อยหู่ นองบวั บานใหแ้ หน้ เทอื ได้
มาเพิ่มกัน ไดห้ าใหเ้ พน่ิ แล้ว เพิน่ ว่า มนั บ่ตายไม้ยาง คดิ ไปคดิ มา เรากะได้ไปเฮด็ ไปทำ� น�ำเพ่นิ วัดน้ี
เพนิ่ ครจู ารยเ์ จย๊ี ะนน่ั แตค่ ราวอยกู่ บั หลวงปใู่ หญม่ น่ั นน่ั แขว่ (ฟนั ) หลวงปใู่ หญม่ น่ั เพนิ่ หลอ่ น (ฟนั หลดุ )
แลว้ เพน่ิ ถมิ่ ลงโถน แลว้ เพนิ่ ครจู ารยเ์ จยี๊ ะไปลา้ งโถนใหเ้ พน่ิ แลว้ ไปเหน็ กะจบั ใสถ่ ง (ถงุ ) เลย หา้ สบิ กวา่ ปี
จังคอ่ ยเขย (เปดิ เผย) ใหห้ มูเ่ บ่ิง กลายเปน็ แก้วเบิด้ อยู๊ ขาวงามหลายฮ้าย บ่แม่นกระดูกแล้ว เด๋ียวน้ี
(พ.ศ. ๒๕๓๙) สเิ ฮ็ดธาตุเจดยี ์ สเิ อาพระธาตุนน้ั แหละไปใสเ่ จดีย์แลว้ อย่วู ดั เพิ่นแหลว่ ไปเบง่ิ ติ๊
กะเลยเวา่ พะโล (พดู หยอก) ใสเ่ พน่ิ ฮว่ ย ครจู ารย์ อนั อหิ ยงั สเิ กบ็ ไวด้ กี ะดอ้ กะเดยี้ แท้ ไดม้ ากะเอามา
ใหห้ มู่เบง่ิ น�ำแหน้
โอย้ ยา่ นหมสู่ มิ าแยง่ เอา ยาดเอา นนั่ ตว้ั ของดเี ด๊ ผมเซยี่ ง (ซอ่ น) ไวพ้ นุ้ แลว้ ผใู้ ดกะบไ่ ดเ้ หน็ จกั เทอื
เพิน่ ว่า
พู้นแลว้ สิเฮ็ดเจดยี ์จังค่อยประกาศ เอาออกมาใหห้ มู่เบิ่ง โอ้ย คอื งามแท้ เปน็ แกว้ เบด้ิ แลว้ ใส
แกว้ เป็นสนี ำ�้ ผง้ึ เดข๊ องหลวงปู่ใหญ่มน่ั อัฐเิ พ่นิ กลายเปน็ พระธาตุ เปน็ น่าอศั จรรย์”
142 ผทู้ รงไวซ้ ง่ึ ความฉลาด
หลวงปเู่ จ๊ียะ จุนโท และ หลวงปลู่ ี กุสลธโร
ขณะน่งั บนแครใ่ ตต้ ้นสนท่ใี ช้เปน็ หอฉนั ช่วั คราว เมอ่ื เร่มิ สร้างวัดปา่ ภูริทัตตปฏปิ ทาราม พ.ศ. ๒๕๒๖
หลวงปู่ลี กสุ ลธโร 143
หัวใจของผม
พระสารบี ตุ รเถระไมไ่ ด้
ถือว่าพระอัสสชเิ ถรเจา้
เป็นเพยี ง “พระรนุ่ พี”่
ที่บวชในพระธรรมวนิ ัย
ก่อนตน โดยมีพระศาสดา
เปน็ พระบรมครูเหมอื นกัน
เท่านั้นไม่
แต่ท่านใหค้ วามเคารพต่อ
พระอสั สชิเถระในฐานะ
บรู พาจารย์ผู้ชีท้ าง
ออกจากกองทุกข์
ทา่ นจงึ ได้เคารพสุดหัวใจ
144 ผทู้ รงไวซ้ ึ่งความฉลาด
ความเคารพของบุคคลหนึ่งที่มีต่ออีกท่านผู้หน่ึงน้ัน โดยปกติ
แลว้ จะมีใหต้ ามความสำ� คัญท่ีมีในตวั บุคคลท่คี วรเคารพ เชน่
ความเคารพในบิดามารดาของตนย่อมมีมากกว่าความเคารพท่ีมีต่อ
เพอ่ื นฝูงญาติมติ ร เปน็ ตน้ ข้อน้เี ป็นธรรมะในใจของชาวพุทธทมี่ อี ยู่
ตามปกติ แตท่ พี่ เิ ศษยงิ่ ขนึ้ ไปกวา่ นนั้ คอื ความเคารพของผสู้ น้ิ กเิ ลส
ทม่ี ตี อ่ ทา่ นผบู้ รสิ ทุ ธ์ิ เพราะเปน็ ความเคารพดว้ ยใจทบี่ รสิ ทุ ธถ์ิ อดออก
ไปบชู าพระคณุ ทา่ นผชู้ แ้ี นะทางออกจากกองทกุ ขท์ งั้ ปวงให้ เปน็ เรอื่ ง
ของใจทมี่ อบถวายบชู าตอ่ ใจอกี ดวงหนงึ่ โดยไมเ่ หลอื ซงึ่ เปน็ เรอื่ งยาก
ที่พวกเราปุถชุ นคนหนาจะสามารถเข้าใจได้
ในสมัยครั้งพุทธกาล มีตัวอย่างอันงามท่ีพระสารีบุตรเถระ
ยอดแหง่ พระสาวกของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทา่ นไดแ้ สดงเปน็ คตใิ ห้
พวกเราได้เหน็ คือเมื่อทา่ นทราบวา่ พระอัสสชเิ ถระพกั อย่ทู างทิศใด
แดนใดกต็ าม เมื่อถึงเวลาพัก พระสารบี ตุ รเถระก็จะกราบไหว้ไปใน
ทิศน้ันแดนน้นั เพื่อถวายความเคารพบูชาแบบไมจ่ ดื จางตอ่ อาจารย์
ผู้ช้ีทางออกจากกองทุกข์ให้ทุกคร้ังไป ตราบวันเข้าสู่แดนนิพพาน
พระสารบี ตุ รเถระไมไ่ ดถ้ อื วา่ พระอสั สชเิ ถระเจา้ เปน็ เพยี ง “พระรนุ่ พ”ี่
ท่ีบวชในพระธรรมวินัยก่อนตน โดยมีพระศาสดาเป็นพระบรมครู
เหมือนกันเท่าน้ันไม่ แต่ท่านให้ความเคารพต่อพระอัสสชิเถระ
ในฐานะบูรพาจารย์ผูช้ ้ที างออกจากกองทุกข์ ทา่ นจงึ ได้เคารพอย่าง
สุดหวั ใจ
อกี ตวั อยา่ งหนง่ึ กค็ อื พระโปฐลิ เถระ ผทู้ รงพระไตรปฎิ กไวใ้ นตน
วันหน่ึงท่านเกิดความละอายใจว่าตนยังเป็นผู้เปล่าในพระศาสนา
เกดิ สงั เวชในตนขนึ้ มา จงึ ไดแ้ อบหนไี ปจากหมพู่ ระเณรในเวลากลางคนื
แล้วไปขอศึกษาอยู่ในส�ำนักพระอรหันต์ โดยถือเอาสามเณรองค์
อรหันต์รูปสุดท้ายเป็นอาจารย์ อาศัยสติปัญญาที่เฉียบแหลมและ
ความเคารพในสามเณรผเู้ ปน็ อาจารย์ ในทสี่ ดุ พระโปฐลิ เถระกบ็ รรลุ
พระอรหันต์อยา่ งใจหวัง จากนั้นมาเม่ือมีผู้ถามว่าใครเปน็ ผใู้ หอ้ ุบาย
ธรรมแก่ท่าน องค์พระโปฐิลเถระก็มักจะประกาศในท่ามกลางท่ี
หลวงป่ลู ี กสุ ลธโร 145