The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

มรณกรรมฐาน หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-07-10 00:25:53

มรณกรรมฐาน หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

มรณกรรมฐาน หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

Keywords: มรณกรรมฐาน หลวงปู่สิม

“มรณกรรมฐานนี้
ไม่ใชห่ ลวงปูเปน ผู้เทศน
พระพทุ ธเจา เปน ผูเ ทศนไวกอนแลว ”

หลวงปสู มิ พทุ ธาจาโร

มรณกรรมฐาน

พระญาณสทิ ธาจารย์ (หลวงปสู่ ิม พุทธาจาโร)
วัดถา้ํ ผาปล่อง อ.เชยี งดาว จ.เชียงใหม่

ISBN : 978-616-593-233-2
พมิ พ์ครง้ั ที่ ๑ : มถิ ุนายน ๒๕๖๕
จํานวน : ๑,๐๐๐ เล่ม
จดั พมิ พ์โดย : คณะศษิ ยานศุ ษิ ย์
พมิ พท์ ี่ : บริษทั ศิลป์สยามบรรจภุ ณั ฑแ์ ละการพมิ พ์ จํากดั

Tel. ๐-๒๔๔๔-๓๓๕๑-๒ Fax. ๐-๒๔๔๔-๐๐๗๘
E-mail: [email protected]

พิมพแจกเปนธรรมทาน
หา มจาํ หนาย

พระญาณสิทธาจารย (หลวงปูส มิ พทุ ธาจาโร).
มรณกรรมฐาน.-- เชยี งใหม : วัดถา้ํ ผาปลอ ง, 2565.
56 หนา.
1. สมาธ.ิ 2. วิปส สนา. I. ชอื่ เร่อื ง.

294.3122
ISBN 978-616-593-233-2

สารบัญ ๕

สงั เขปประวตั ิ พระญาณสทิ ธาจารย์ ๑๑
(หลวงปสู่ ิม พุทธาจาโร) ๑๗
มรณกรรมฐาน ๓๙

• มรณํ เม ภวิสฺสต ิ
• มรณกรรมฐาน
• อานสิ งส์การเดินจงกรม



สังเขปประวตั ิ

พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงป่สู ิม พุทธาจาโร)
ส�ำนักสงฆ์ถ้ำ� ผาปล่อง อ.เชยี งดาว จ.เชียงใหม่

พระญาณสิทธาจารย์ หรอื หลวงปูส่ มิ พทุ ธาจาโร
ทา่ นเกดิ เมอ่ื วนั ที่ ๒๖ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๕๒ ทบ่ี า้ นบวั
ต.สวา่ ง อ.พรรณานคิ ม จ.สกลนคร

โยมบดิ าชอื่ นายสาน วงเขม็ มา โยมมารดาชอ่ื นางสงิ หค์ �ำ
วงศเ์ ขม็ มา ทา่ นมพี น่ี อ้ งรวมทง้ั หมด ๗ คน เปน็ ชาย ๔ คน
หญงิ ๓ คน หลวงปเู่ ปน็ บตุ รคนที่ ๒ แตเ่ ปน็ บตุ รชายคนแรก
ของครอบครัว

เหตทุ ไ่ี ดช้ อ่ื วา่ “สมิ ” ในภาษาอสี านหมายถงึ โบสถน์ นั้
หลวงปทู่ า่ นสนั นษิ ฐานวา่ อาจจะเปน็ เพราะโยมพอ่ เปน็ คน
ไดบ้ วชเรียน

5

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

อปุ สมบท

เม่อื ท่านอายุ ๑๗ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ
วดั ศรรี ตั นาราม บา้ นบวั จ.สกลนคร ซงึ่ เปน็ วดั มหานกิ าย

หลงั จากนนั้ ไมน่ าน ทา่ นไดญ้ ตั ตเิ ปน็ เณรธรรมยตุ กิ -
นกิ ายกบั หลวงปมู่ นั่ ภรู ทิ ตั โต ทบี่ า้ นสามผง อ.ศรสี งคราม
จ.นครพนม หลวงป่ไู ด้ศกึ ษาในส�ำนกั ของหลวงปู่ม่ันและ
ลูกศษิ ย์ช้นั ผู้ใหญ่ของท่าน เช่น หลวงปสู่ งิ ห์ ขนั ตยาคโม
ตลอดเวลา ๓ ปีทีเ่ ปน็ สามเณร จนกระทงั่ ปี พ.ศ.​๒๔๗๒
ทา่ นไดอ้ ปุ สมบทเปน็ พระภกิ ษุ เมอื่ วนั ท่ี ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๒
ณ วดั ศรจี นั ทราวาส จ.ขอนแกน่ โดยมพี ระเทพสทิ ธาจารย์
(จนั ทร์ เขมโิ ย) เปน็ พระอปุ ชั ฌาย์ พระอาจารยส์ งิ ห์ ขนั ตยาคโม
เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลดั ดวงจันทร์ เปน็ พร ะ-
อนุสาวนาจารย์ ไดร้ ับฉายาวา่ “พุทธาจาโร”

สมณศักดิ์

๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ ไดร้ บั พระราชทานสมณศกั ด์ิ
เป็นพระครสู ญั ญาบตั รท่ี พระครูสันติวรญาณ

๑๒ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้รับพระราชทานเล่อื น
สมณศกั ดเิ์ ปน็ พระราชาคณะชนั้ สามญั ที่ พระญาณสทิ ธาจารย์

6

มรณกรรมฐาน

ละสังขาร

ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๐๖-๒๕๐๙ หลวงปมู่ ปี ญั หาอาพาธ
ด้วยโรคไตมาตลอด

พ.ศ. ๒๕๑๐ หลวงปู่จึงได้ตัดสนิ ใจวางภารกิจต่างๆ
โดยลาออกจากต�ำแหน่งเจ้าอาวาสทุกวัดท่ีท่านดูแลอยู่
(วดั อโศการาม และ วดั ปา่ สทุ ธาวาส) จากนนั้ ทา่ นเรม่ิ พฒั นา
ถำ้� ผาปล่อง อ.เชยี งดาว จ.เชียงใหม่ ขนึ้ เป็นส�ำนักสงฆ์
และท่านได้อยูจ่ �ำพรรษาเรอ่ื ยมา

ในคนื วนั ท่ี ๑๓ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ พระเณรพรอ้ ม
ดว้ ยอบุ าสก อบุ าสกิ า ไดพ้ ร้อมใจกนั เจรญิ พระพุทธมนต์
ฉลองสมณศักดถิ์ วายหลวงปู่ ท่สี �ำนกั สงฆถ์ �ำ้ ผาปลอ่ ง

หลงั จากเจริญพระพุทธมนตแ์ ล้ว หลวงปู่ได้กลบั เข้า
พกั กฏุ ดิ า้ นหลงั ภายในส�ำนกั สงฆถ์ ำ้� ผาปลอ่ ง และไดม้ รณภาพ
ในเวลาประมาณตีสาม

สริ ริ วมอายุของหลวงปู่ ๘๒ ปี ๙ เดอื น ๑๙ วัน
๖๓ พรรษา



7

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร



มรณกรรมฐาน

พระธรรมเทศนา
พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สมิ พทุ ธาจาโร)
ส�ำนกั สงฆถ์ ้ำ� ผาปลอ่ ง อ.เชียงดาว จ.เชยี งใหม่

9

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

มรณกรรมนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่เพียงค�ำพูด
คำ� พดู หรอื ตวั หนงั สอื มันละกเิ ลสอะไรไม่ได้

แตถ่ ้าผู้ปฏิบตั นิ ้อมนกึ ร�ำลึกในมรณกรรมฐาน ไมว่ ่า
จะเหน็ คน เหน็ สัตว์ ป่าไม้ ป่าดงพงพี ก็เห็นความแตกดบั
ความตายของคน ของสตั ว์ ของตน้ ไม้ ใบหญ้า ผลท่ีสุด
ท่ีเกิดมาแล้วก็ต้องมีความแตกดับท�ำลายตายไปเป็น
ธรรมดา ใครจะมายึดมาถือว่าตัวเราของเราไม่ได้ท้ังนั้น
ยดึ ไปเถดิ เมือ่ ถึงความตายแลว้ ก็ตอ้ งทงิ้ ไมท่ ง้ิ ก็จ�ำใจท้ิง

เมอ่ื จติ ใจของผภู้ าวนา ภาวนาเขา้ ถงึ ซงึ่ มรณกรรมฐาน
แล้ว ไมห่ ่วงใคร บ้านกไ็ มห่ ่วง ลกู เต้ากไ็ มห่ ว่ ง ลกู หลาน
เหลน โหลน อะไรไมห่ ว่ งทงั้ นน้ั เพราะมนั เลง็ เหน็ แจง้ ชดั วา่
ตายแลว้ เอาอะไรไปไมไ่ ด้

หลวงปู่สมิ พุทธาจาโร

10

มรณกรรมฐาน

มรณํ เม ภวสิ ฺสติ

(คัดลอกจากหนังสือบัวสนี ้ำ� เงนิ )

หลวงปู่เคยปรารภว่า ชีวิตของนักบวชเป็นชีวิตที่
บรสิ ทุ ธิ์ การครองชพี ตามวสิ ยั ชาวโลกนน้ั หลกี เลยี่ งตอ่ การ
ท�ำบาปไดย้ าก ตวั ทา่ นเองเมอื่ ครงั้ เปน็ ฆราวาสกเ็ คยเทย่ี ว
ไปลา่ กระตา่ ยกระแตกบั เขาบา้ งเหมอื นกัน

เมอื่ อายุได้ ๑๗ ปี หลวงปจู่ งึ ตัดสนิ ใจบรรพชาและ
ไดค้ รองตัวอยู่ในเพศบรรพชติ ตั้งแตน่ น้ั โดยไมเ่ คยสึกหา
ลาเพศกลบั ไปเปน็ ฆราวาสอกี เลย หลวงปไู่ ด้เลา่ ถึงความ
บันดาลใจใหอ้ อกบวชในครั้งน้นั วา่

“ต้ังแต่ยังเด็กแล้ว เมื่อได้เห็นหรือได้ข่าวคนตาย
มันให้สะดุ้งใจทุกคร้ัง กลัวว่าเราจะตายเสียก่อนได้
ออกบวช”

เปน็ เพราะหลวงปกู่ �ำหนด “มรณํ เม ภวสิ สฺ ต”ิ ของทา่ น
มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนนั่ เองต้ังแตย่ ังไม่ไดอ้ อกบวช จนถงึ

11

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

ปัจจุบนั หลวงปู่ก็ยังคงใชอ้ บุ ายธรรมข้อเดียวกนั นี้อบรม
ลกู ศิษย์ลูกหาอยู่เป็นประจ�ำ เรียกว่าหลวงปู่เทศน์ครั้งใด
มักจะมี “มรณํ เม ภวิสสฺ ต”ิ เป็นสัญญาณเตือนภยั จาก
พญามัจจรุ าชให้ลกู ศษิ ยล์ กู หาตนื่ ตวั ทุกครงั้

หลวงปยู่ กยอ่ ง “มรณํ เม ภวสิ สฺ ต”ิ วา่ เปน็ ยอดธรรม
ใครภาวนาได้ทุกลมหายใจ เรยี กวา่ เป็นผ้ไู มป่ ระมาท

บ่อยคร้ังที่ท่านยกพุทธด�ำรัสท่ีมีต่อพระอานนท์มา
ปรารภใหฟ้ งั “อานนทน์ กึ ถงึ ความตายวนั ละหลายพนั ครงั้
เรียกว่ายงั ประมาทอยู่ เราตถาคตนกึ ถงึ ความตายทกุ ลม
หายใจเขา้ ออก”

บางครั้งหลวงปู่ให้ก�ำหนดนึกถึงความตายให้ได้ทุก
ลมหายใจเหมอื นเราภาวนา “พทุ โธ” อยา่ งนน้ั ใครทภ่ี าวนา
พทุ โธ หรอื ใชค้ �ำบรกิ รรมอนื่ แลว้ จติ ใจยงั ไมส่ งบ หลวงปมู่ กั
แนะน�ำ “มรณกรรมฐาน” โดยทา่ นให้ค�ำอธิบายว่า

“ความตายนม้ี นั อยใู่ กลท้ ส่ี ดุ เหน็ ไดง้ า่ ยทส่ี ดุ เพราะมนั
อยแู่ คล่ มหายใจนเ่ี อง นกึ ดซู ิ เราหายใจเขา้ ไปแลว้ เกดิ มี
อะไรตดิ ขดั หายใจออกมาไมไ่ ดก้ ต็ ายเทา่ นน้ั หรอื หายใจ
ออกไปแล้วสูดหายใจเข้ามาไม่ได้ ก็ตายอีกเหมือนกัน
เร่ืองอย่างน้ีมันเกิดได้ทุกเวลา น่ังกินข้าวคุยกับเพ่ือนฝูง

12

มรณกรรมฐาน

นอนอยู่แตไ่ มใ่ ช่นอนหลับ
นอนตาย

ตายตง้ั แต่เมอื่ ไหรก่ ไ็ ม่รู้
นนั่ มรณกรรมฐาน

มันเร็วขนาดไหน ไว้ใจบไ่ ด้

อยู่ดๆี เกิดอื้ออา้ ขึน้ มา เอ้า ตายเสยี แล้ว ยง่ิ นอนอยู่ย่งิ
แล้วใหญ่ คือว่ามันนอนรอความตาย เหมือนอย่าง
พระอปุ ชั ฌาย์องค์หนง่ึ ...”

หลวงปู่เล่าตัวอย่างการนอนหลับแล้วตายไปเลย
ซง่ึ เป็นตัวอยา่ งทห่ี ลวงปูเ่ ลา่ บอ่ ยๆ

“พระอุปัชฌาย์องค์หน่ึงทางภาคอีสานไปบวชนาค
ธรรมเนยี มคนเมอื งนนั้ พอถงึ ฤดเู ขา้ พรรษา เขานยิ มบวช
ลกู หลาน พระอปุ ชั ฌายอ์ งคน์ น้ั กไ็ ปบวชพระใหม่ บวชทง้ั วนั
กไ็ มเ่ สรจ็ ตอ้ งพกั ไวบ้ วชตอ่ วนั รงุ่ ขน้ึ พระอปุ ชั ฌายก์ ไ็ ปพกั ผอ่ น
ถึงตอนเชา้ ได้เวลาไปบิณฑบาต พระเณรไม่เห็นอุปัชฌาย์
ออกมา กใ็ หค้ นไปตาม ทไ่ี หนได้ นอนอยแู่ ตไ่ มใ่ ชน่ อนหลบั
นอนตาย ตายตงั้ แตเ่ มอ่ื ไหรก่ ไ็ มร่ ู้ นนั่ มรณกรรมฐาน มนั เรว็
ขนาดไหน ไว้ใจบ่ได้”

13

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

อีกตัวอย่างหนึ่งซึ่งหลวงปู่เล่าบ่อยเกี่ยวกับมรณ-
กรรมฐาน คอื เรอ่ื งพระลกู ศษิ ยข์ องทา่ นเอง พระรปู นน้ั ทา่ น
พกั ทก่ี ฏุ ทิ างผาเกงิ้ เกดิ ปว่ ยเปน็ โรคอะไรกไ็ มร่ ู้ เวลาเจบ็ มาก
ร้องไห้โอดโอย หลวงปู่อยู่ทางถ้�ำปล่องก็ได้ยินเสียงร้อง
ท่านไดไ้ ปเยย่ี มเตือนสตวิ ่า

“เออ รอ้ งยงั ไงมนั กไ็ มห่ ายหรอก ใหภ้ าวนา “พทุ โธ”
เข้าไว้เถอะ”

พระรูปนั้นก็คงจะเจ็บปวดเต็มที ตอบหลวงปู่ว่า
“ภาวนาไมไ่ หวแลว้ มนั เลยภาวนา”

หลวงปู่ก็ “เอ การภาวนาน่ีมันจะเลยได้ยังไง
ยังไมต่ ายกต็ ้องภาวนาทัง้ นั้นแหละ ถา้ เลยกค็ อื ว่าตาย
น่ะซี ถ้ายงั ไม่ตายตอ้ งภาวนา”

“น่ีแหละพออยู่ดีสบาย เราก็มัวเพลิดเพลินหัวเราะ
เฮฮาสบายอกสบายใจ เวลาภัยอนั ตรายใกล้เขา้ มา ยังไม่
ถึงตาย แค่เจ็บนิดหน่อยก็ร้องไห้แล้ว น�้ำตาไหลแล้ว
เป็นอย่างนี้เรียกว่าข้ามพ้นทุกข์ไม่ได้ ต้องเอามรณะ
ความตายมาภาวนาจนแจ่มแจ้งในจิตใจของตนเอง
เปน็ ปจั จตั ตงั ไมใ่ ชว่ า่ ผอู้ น่ื สอนกเ็ ชอื่ ตามเขาวา่ อนั นน้ั สกู้ บั
พญามจั จรุ าชไมไ่ ด้ พญามจั จรุ าชน่ี นกั ปราชญส์ มยั โบราณ

14

มรณกรรมฐาน

ท่านต้ังให้เป็นพญาใหญ่ที่สุดในมนุษย์โลก เทวโลก
พรหมโลก ขึ้นช่ือว่าพญามัจจุราชแล้ว ไม่มีใครจะไป
ต่อต้านได้ ไม่ว่าด้วยอาวธุ ยุทโธปกรณ์ใดๆ...”

ตน้ พรรษาปนี ี้ สะหลา่ ทอน (สะหลา่ เปน็ ภาษาพน้ื เมอื ง
ทางเหนอื หมายถงึ ชา่ งฝมี อื ) คนบา้ นถำ้� ถงึ แกค่ วามตาย
สะหล่าทอนน้ีเป็นคนเก่าแก่ เคยท�ำงานก่อสร้างบน
ถำ้� ผาปลอ่ งอยหู่ ลายปี หลวงปเู่ อาขา่ วมรณกรรมฐานรายน้ี
มาเทศนใ์ นทีป่ ระชุมหลังท�ำวตั รเยน็ ว่า

“อนั สะหลา่ ทอนนเี้ ปน็ คนอว้ นใหญ่ นำ้� หนกั ตวั เหน็ จะ
รอ้ ยกวา่ เหน็ ไหม อว้ นใหญข่ นาดนยี้ งั สพู้ ญามจั จรุ าชไมไ่ ด้
ตายเสียแลว้ ...”

“ตวั หลวงปู่สิมนี่กเ็ ถอะ” หลวงป่ปู รารภถึงใครก็ไมร่ ู้

“ใครๆ ก็ว่าเพน่ิ สบาย จะไปไหนมาไหนไม่ตอ้ งเดิน
มคี นหาม เดย๋ี วเถอะ หามไปหามมา หามไปถงึ ถำ�้ งู เกดิ มี
งูโผล่ออกมา หลวงพี่ตกใจทิ้งคานหามไปองค์ละทาง
สองทาง หลวงปู่กค็ งสบายหลายละทีน”้ี



15

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร



มรณกรรมฐาน

เทศนอ์ บรม ณ วัดป่าชยั รงั สี อ.เมอื ง จ.สมุทรสาคร
วันท่ี ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๗

ตอ่ นไ้ี ปกท็ า้ วมหาพรหมอาราธนาแลว้ แลว้ ทนี เ้ี ราทา่ น
ท้ังหลายก็ให้พร้อม ผู้นอนอยู่ก็ให้ต่ืนลุกขึ้น ผู้ง่วงเหงา
หาวนอนก็ห้ามง่วงเหงาหาวนอน ท�ำจิตใจให้ชื่นบาน
แลว้ อยา่ ลมื วา่ ใหพ้ ากนั นง่ั ขดั สมาธเิ พชรกอ่ น ถา้ หากวา่ ไป
ตง้ั นโม พทุ ธัง ไปแล้วกไ็ มเ่ หน็ แล้วกไ็ มไ่ ด้น่ัง

ให้เอาขาซ้ายข้ึนมาทับขาขวาก่อน เอ้า ท�ำเลยๆ
นงั่ ทกุ คน เอาขาซา้ ยขนึ้ มาทบั ขาขวากอ่ น ไมต่ อ้ งดคู นอนื่
ดตู วั เราเอง ไมต่ อ้ งพดู กนั ไมต่ อ้ งหวั เราะ เอาขาซา้ ยขน้ึ มา
ทับก่อน แล้วก็เอาขาขวาข้ึนมา ใหเ้ ราเปลย่ี นจากการน่งั
พบั เพยี บใหน้ งั่ ขดั สมาธเิ พชร ยงั ไมเ่ สรจ็ กใ็ หร้ บี นงั่ นง่ั แลว้
กใ็ หห้ ลบั ตา ไมต่ อ้ งดหู ลวงปู่ หลวงปไู่ มไ่ ปไหน นง่ั อยนู่ แี่ หละ
เม่ือเรานั่งขัดสมาธิเพชรเสร็จเรียบร้อยแล้วก็หลับตา
หลับตาน้เี พือ่ ไม่ให้จติ ใจฟุง้ ซ่านออกทางตา หลบั ตาแลว้ ก็

17

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

งบั ปาก ไม่ต้องพดู กนั ไมต่ ้องหวั เราะ ตัง้ ตวั กายใหต้ รง
ใหเ้ ราต้งั ใจของเราให้ดี

การนงั่ สมาธนิ ้ี เรยี กวา่ แสดงความองอาจกลา้ หาญ
ไมใ่ ห้จติ ใจทอ้ แท้ออ่ นแอ กลัวความเหนด็ ความเหน่อื ย
เมื่อยหิวเจ็บปวดทุกขเวทนาข้ามให้พ้น รวมจิตรวมใจ
ของเราเขา้ ไปภายใน ไมใ่ หจ้ ติ ใจคดิ ไปภายนอก จะมคี วาม
หว่ งอาลยั อยใู่ นบา้ นเรอื นของเรากต็ าม เวลานเ้ี ปน็ เวลาตดั
ใหม้ นั ขาด ใครจะเปน็ ใครจะตายอยบู่ า้ นชา่ งมนั ใหเ้ รานกึ ถงึ
คุณพระพุทธเจ้า พทุ โธ ธมั โม สงั โฆ ทัง้ ๓ องค์น้ีแหละ
รวมเข้ามา พุทโธค�ำเดียว ลมหายใจเขา้ ออก

วนั นจี้ ะไดส้ อนมรณกรรมฐานใหเ้ ราทา่ นทง้ั หลาย
ระลึกถึงมรณภัย คือความตายที่จะมาถึงตนทุกคน
แต่ไม่ใช่ว่าจะแช่งให้เราตายง่าย ความตายนั้นมี
เหตกุ ารณต์ า่ งหาก แมจ้ ะไมเ่ ทศนเ์ รอ่ื งตาย คนมนั กต็ าย
อยู่ทุกวันทุกเวลา แต่เราไม่คิดไม่อ่านก็เลยเข้าใจว่า
ความตายนน้ั มนั อยหู่ า่ งไกลตวั เราออกไป ความจรงิ มนั
ไมไ่ ดไ้ กล มนั เปน็ ไดท้ กุ ลมหายใจเขา้ ออก ไมต่ อ้ งเจบ็ ปวด
ทกุ ขเวทนาใดๆ กต็ ายได้

บาลที ี่จะต้องนึกนี้ ท่านวา่ มรณํ เม ภวสิ ฺสติ

18

มรณกรรมฐาน

มรณํ เม ภวสิ สฺ ติ อนั นเี้ ปน็ ภาษาบาลี ใหเ้ รานกึ เปน็
ค�ำบรกิ รรมแทนพทุ โธ

กัณฑ์นเ้ี อา มรณํ เม ภวิสสฺ ติ เปน็ อุบายภาวนา

ค�ำวา่ มรณะ มรณงั หมายถงึ วา่ ความตาย คนเรา
และสตั วท์ ง้ั หลายทเี่ กดิ มาแลว้ ตอ้ งมคี วามตายเปน็ ผลทสี่ ดุ
หนไี มพ่ น้ เม กห็ มายถงึ เรา ตวั เรานแี่ หละ รปู ขนั ธร์ า่ งกาย
ทเี่ ราเรยี กวา่ หญงิ ชายกอ้ นธาตอุ นั น้ี ผลทสี่ ดุ แกห่ รอื ไมแ่ ก่
เดก็ หนมุ่ แกอ่ ะไร กเ็ มอื่ ถงึ เวลาแลว้ ตายแนๆ่ ใครจะแกไ้ ข
อยา่ งไรไมไ่ ด้ แตท่ เี่ ราเจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ยเลก็ ๆ นอ้ ยๆ หามา อนั น้ี
คอื วา่ ยงั ไมถ่ งึ เวลา ถา้ มนั ถงึ เวลาจรงิ ๆ แลว้ นง่ั อยดู่ ๆี กต็ ายได้
นอนหลับสบายอยู่ก็ตายได้ บางคนเราเคยเห็นหรือไม่
เมอื่ ยงั ไมน่ อนกพ็ ดู จาปราศรยั อะไรไมม่ ผี ดิ ปกติ เวลาหลบั
ไหลไปแลว้ ตน่ื เชา้ ไมร่ วู้ า่ ตายแตเ่ มอ่ื ไร แขง็ โดห่ มด นอี่ ยา่ งน้ี
ก็มี

มรณกรรมฐานนี้ ไมใ่ ชห่ ลวงปเู่ ปน็ ผเู้ ทศน์ พระพทุ ธเจา้
เป็นผเู้ ทศน์ไว้กอ่ นแลว้

คือวันหนึ่ง เวลาพระพุทธองค์อยู่ในวิหาร
มีพระอานนท์พุทธอุปัฏฐากนั่งอยู่ใกล้ๆ พระพุทธองค์
ท่านกต็ รัสแก่พระอานนท์พุทธอุปัฏฐากว่า

19

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

“ดูก่อนอานนท์ วันหนึ่งคืนหนึ่ง อานนท์ได้นึกถึง
ความตายวันละกีค่ รงั้ ”

ทา่ นพระอานนทก์ ท็ ลู ตอบพระพทุ ธองคว์ า่ “ขา้ พระองค์
นกึ ถงึ ความตายวันละหลายพันครัง้ ”

พระองค์ก็ย้อนพระอานนท์ว่า “อันวันหนึ่งคืนหนึ่ง
๒๔ ชั่วโมงนั้น นึกถึงความตายวันละหลายพันคร้ังนั้น
ยงั ประมาทอยู่ ตอ่ ไปใหอ้ านนทพ์ รอ้ มดว้ ยพทุ ธบรษิ ทั ทงั้ ๔
ภกิ ษุ ภกิ ษณุ ี อบุ าสก อบุ าสกิ า ใหพ้ ากนั นกึ ถงึ ความตายท่ี
จะมาถึงตนทุกคน ให้ได้ทุกลมหายใจเข้า ให้ได้ทุกลม
หายใจออก จงึ จดั วา่ ไมป่ ระมาท ถ้ายงั นับไดอ้ ยู่ เรยี กวา่
ยงั ประมาทอย”ู่

ตรงนแ้ี หละทเ่ี รามกั จะคดิ ในใจวา่ ท�ำไมหนอ เราฟงั
เทศน์ฟังธรรมฟังค�ำสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กแต่เล็กจน
แก่ชรา จงึ ไมค่ อ่ ยได้บรรลุมรรคผลนิพพาน กค็ ือความ
ประมาทนแ่ี หละ ไมไ่ ดน้ กึ ถงึ ความตายทกุ ลมหายใจเขา้
ทุกลมหายใจออก

ดว้ ยเหตนุ ี้ ใหเ้ ราทกุ คนผไู้ ดย้ นิ ไดฟ้ งั อยนู่ แี่ หละ ใหน้ กึ
ใหไ้ ดท้ กุ ลมหายใจเขา้ ทกุ ลมหายใจออก ท�ำไมทา่ นจงึ ตรสั
อยา่ งนน้ั กเ็ พราะวา่ คนเราไมว่ า่ จะตายดว้ ยเหตกุ ารณใ์ ดๆ

20

มรณกรรมฐาน

อันความตายน้ี
เหลืออยแู่ ค่ลมหายใจเขา้ ออกเท่าน้ี

ตอ่ ไปนเ้ี ราจะไมป่ ระมาทวา่
เรายงั เดก็ ยงั หนุ่มอยู่ ไม่ได้ทัง้ นั้น

เด็กๆ ก็ตายได้
คนหน่มุ แขง็ แรงก็ตายได้
ยิ่งคนแก่คนชรายิ่งตายเร็ว

กต็ าม มนษุ ยเ์ ขาตอ้ งดทู ลี่ มหายใจเขา้ ออกนแี้ หละ ถา้ คนนน้ั
รา่ งกายจะนงิ่ แนไ่ ปแลว้ กต็ าม ถา้ ยงั มลี มหายใจเขา้ ออกอยู่
กย็ งั ไมเ่ รยี กวา่ ศพ ยงั ไมเ่ รยี กวา่ ตาย แตถ่ า้ ลมหายใจเขา้ ไป
แล้วออกมาไม่ได้ เงียบหายไป ทีนี้ก็ให้ช่ือว่าตายแหละ
ออกมาแลว้ เขา้ ไปไมไ่ ดก้ ต็ าย เขา้ ไปแลว้ ออกมาไมไ่ ดก้ ต็ าย

ให้ทุกคนระลึกได้ว่า อันความตายน้ีเหลืออยู่แค่
ลมหายใจเข้าออกเท่าน้ี ต่อน้ีไปเราจะไม่ประมาทว่าเรา
ยงั เดก็ ยังหนมุ่ อยู่ ไม่ไดท้ ้ังน้ัน เดก็ ๆ ก็ตายได้ คนหนุม่
แข็งแรงกต็ ายได้ ย่ิงคนแกค่ นชรายิ่งตายเร็ว

21

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

ฉะนน้ั เวลานเี้ ราอยา่ ไดป้ ระมาท ตง้ั ใจรวมใจจติ ใจเรา
เข้าไปภายใน เรื่องราวอะไรท่ีเป็นอดีตกาลล่วงมาแล้ว
ดกี ต็ าม ชว่ั กต็ าม ไมใ่ หเ้ กบ็ มาคดิ นกึ ในเวลานี้ เดย๋ี วนเ้ี วลาน้ี
ปจั จบุ นั เดย๋ี วน้ี ใหน้ กึ ถงึ วา่ ความตาย ไมเ่ ฉพาะแตต่ วั เราตาย
เท่าน้นั คนอน่ื สัตวอ์ ื่นกต็ ายได้เหมอื นๆ กนั

ฉะนนั้ ตอ่ นไี้ ปเราจะไมป่ ระมาท จะตงั้ ใจรวบรวมก�ำลงั
จติ ใจใหส้ ามารถอาจหาญ ท�ำใจของตนใหม้ นั่ คงหนกั แนน่
เหมอื นพน้ื พสธุ าหน้าแผ่นดิน

อยา่ งวา่ ระยะนเี้ ปน็ ระยะฤดรู อ้ น ความรอ้ นอบอา้ วเขา้
มาถึงร่างกาย ก็ไม่ให้จิตใจไปข้องแวะยึดว่าตัวเราร้อน
รปู ขนั ธร์ า่ งกายเขารอ้ นตา่ งหาก ชา่ งมนั เถดิ เวลารอ้ นมนั ก็
ยังมลี มมาพัดให้ ดีขนาดไหนเลา่ อย่าไปบ่นว่าร้อนไม่ดี
ร้อนก็เป็นบทสอนใจของเราอยา่ งหนง่ึ คอื ในโลกมนษุ ยน์ ี้
เขามีร้อนอย่างน้ีแหละ เมื่อถึงฤดูร้อน เม่ือถึงฤดูหนาว
ท่เี ราผ่านมากห็ นาวอยา่ งนแี้ หละ เราผา่ นไปไม่ได้ เมอื่ ถึง
ฤดูหนาวกห็ นาว ถึงฤดูรอ้ นก็ร้อน ถึงฤดูฝนก็ฝนเปยี ก

ใหเ้ ตอื นวา่ มรณํ เม ภวสิ สฺ ติ ความตายนไ้ี มเ่ ลอื กวา่
ฤดูรอ้ น ถามใจของเราดูว่า คนเราฤดูรอ้ นตายได้ไหม
ตายไดท้ กุ ลมหายใจ ฤดหู นาวละ่ คนเราตายไดไ้ หม ตายได้

22

มรณกรรมฐาน

เหมอื นกนั ฤดฝู นเลา่ ฤดฝู นกต็ ายไดเ้ หมอื นกนั ดฤู ดฝู นนี้
คนเราจะตายมากเสยี ดว้ ย เพราะอะไร เพราะวา่ ฤดฝู นนน้ั
อาหารการบรโิ ภคของคนเรา ฤดฝู นมนั ชกั จะมากไปหนอ่ ย
ยอดไมเ้ ถาวลั ยป์ ปู ลาอะไรในฤดฝู นมนั กม็ ากไปหนอ่ ย ทนี ี้
เจา้ โลภะในจิตน้กี ินไม่มปี ระมาณเลยตายงา่ ย

มรณํ เม ภวิสสฺ ติ อยา่ ไดล้ ืม จิตเราให้นึกอยู่อย่าได้
ประมาท เราจะนงั่ ภาวนา ภาวนา มรณํ เม ภวิสสฺ ติ
อยตู่ ลอดเวลา นั่งแบบไหนก็ตาม โดยเฉพาะเวลาเรานัง่
ขดั สมาธเิ พชรน้ี ยงิ่ ตง้ั จติ ตงั้ ใจระลกึ อยใู่ น มรณํ เม ภวสิ สฺ ติ
หรอื นกึ เปน็ ภาษาไทยเราวา่ เราตายนะ ตายๆ ทกุ ลมหายใจ
เขา้ ออก มนั อยากไดอ้ ยากดี อยากเปน็ อะไรเกนิ ความจ�ำเปน็
เกนิ ทจ่ี ะไดจ้ ะถงึ กใ็ หน้ กึ ถงึ ในใจของตวั เอง เตอื นใจวา่ เราได้
อยา่ งนนั้ มาแลว้ มนั ไมต่ ายหรอื มนั ตายไดเ้ หมอื นกนั จติ ใจ
ท่มี ันโกรธให้คนโนน้ คนนี้ เมือ่ ความตายมาถึงเขา้ มนั ก็
ตายได้เหมือนกัน

นี่แหละมรณภัยคือความตายน้ี เราอย่าได้ประมาท
ถ้าพุทธบริษัททั้งหลายนึกได้ซ่ึงความตายนี้ว่า น่ังอยู่ก็
ตายได้ นอนอยู่ก็ตายได้ ยืนอยู่ก็ตายได้ ความตายน้ีไม่
ไดเ้ ลือก นับตั้งแตท่ า้ วพระยา มหากษัตริย์ ลงมาจนถงึ
เศรษฐี มหาเศรษฐี ธรรมดาสามญั คนทวั่ ไป จนถงึ คนทกุ ข์

23

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

ไรอ้ นาถา สมณะ ชี พราหมณ์ พระภิกษุสงฆ์ สามเณร
ผา้ ขาว นางชี ฤาษี ตายทัง้ นน้ั เมอื่ ถงึ เวลาต้องตายแนๆ่

เม่ือเรานกึ เจริญอยู่ จติ ใจเรายังประมาทอยู่ กใ็ ห้นึก
ถงึ วา่ ตวั เรานเี้ กดิ มามบี ดิ ามารดาผบู้ งั เกดิ เกลา้ มพี น่ี อ้ งรว่ ม
ทอ้ งกนั กค่ี น แลว้ คนอนื่ เขาตายไปมไี หม ญาตกิ าวงศาของ
เราท่ีเกดิ ในทอ้ งแม่อนั เดยี วมีเยอะแยะนบั ไม่ถ้วน นี่แหละ
คนอนื่ เขาตายไปๆ ทกุ คนญาตพิ นี่ อ้ งทต่ี ายไป เปน็ ธรรมะ
เตอื นจติ ใจของเราให้ตง้ั ใจบ�ำเพ็ญทาน รักษาศีล ภาวนา
ไม่ให้ท้อถอย เพราะว่ามรณะความตายนี้ไม่ได้เป็นพ่ี
นอ้ งใคร ไดเ้ วลาถงึ เวลาแลว้ มนั เขน่ ฆา่ ไปใหต้ ายไดจ้ รงิ ๆ
หรือว่าบิดามารดาปู่ย่าตายายของเราในเวลานี้ยังมี
ครบถว้ นทกุ ผคู้ นอยหู่ รอื กจ็ ะมผี ทู้ ต่ี ายไป บางคนพอ่ แมก่ ็
ยงั อยกู่ ม็ ี ลกู ตายไปกอ่ นกม็ ี บางคนพอ่ แมต่ ายไปหมดแลว้
ปยู่ า่ ตาทวดยงิ่ รา้ ย ตายแตเ่ มอ่ื ไรไมร่ ู้ จนพวกเราทเ่ี ปน็ ลกู
หลานจ�ำหนา้ ตาของปยู่ า่ ตาทวดไมไ่ ดเ้ ลย เพราะเขาตายไป
ก่อนแลว้

นี่แหละมรณภยั คอื ความตายเปน็ ของจรงิ จรงิ หรอื
ไมจ่ รงิ ใหเ้ ราพนิ จิ พจิ ารณาในใจของเราขณะนี้ ใหน้ อ้ มนกึ
ร�ำลกึ ถงึ วา่ มรณภยั คอื ความตายนห้ี นไี มพ่ น้ เมอ่ื หนไี มพ่ น้
แลว้ เราจะหนีไปทไ่ี หน ไมต่ อ้ งหนีไปท่ีไหนแล้ว หนเี ข้ามา

24

มรณกรรมฐาน

อย่าเขา้ ใจว่าเราไกลห่างไกลตอ่ ความตาย
วันหนง่ึ ล่วงไป

กค็ อื วา่ หมดสนิ้ ไป
อายุของเรานะ

คนื หนง่ึ ผา่ นพน้ ไป
อายขุ องเรากห็ มดไปคนื หน่ึง
ใกลต้ อ่ มรณภยั คือความตายอยา่ งน้ี

อยา่ ได้ประมาท

ภาวนาทกุ ลมหายใจเขา้ ออกวา่ มรณะ มรณงั ความตาย
ตายไดท้ กุ เวลา นงั่ อยกู่ ต็ ายได้ นอนอยกู่ ต็ ายได้ ยนื อยกู่ ็
ตายได้ เดนิ ไปมาทไี่ หนยงั ดๆี อยู่ เวลามนั จะตายขน้ึ มา
เกิดเปน็ ลมเปน็ แล้งข้นึ มา หรอื เส้นโลหิตในสมองแตก
เมอื่ ใดเวลาใดก็ตายได้ท้ังนน้ั

จงนึกเตือนจิตเตือนใจผู้รู้อยู่ภายในนี้ให้รู้สึกส�ำนึก
ตัววา่ มรณํ เม ภวิสฺสติ เราต้องตายแน่ๆ จะไปแกว้ า่
เราไมย่ อมตาย แม้พญามจั จรุ าชมา เราจะตอ่ สูด้ ้วยอาวธุ
ยทุ ธภณั ฑ์ ดว้ ยธรรมะธมั โม อะไรมนั สไู้ มไ่ ดท้ ง้ั นนั้ แมเ้ รา
ไปหาครูบาอาจารย์ หลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงตา ก็ถามวา่
มยี าปวดหวั ปวดหลงั ปวดเอวไหมหลวงปู่ หลวงตา กไ็ มต่ อ้ ง

25

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

ไปถาม ถามก็แกไ้ มไ่ ด้ แกไ้ ดท้ ีภ่ าวนา มรณํ เม ภวิสสฺ ติ
เหน็ วา่ ความตายมันใกลเ้ ขา้ มา ใกล้เข้ามาโดยล�ำดบั ๆ

อย่าเข้าใจว่าเราไกลห่างไกลต่อความตาย วันหนึ่ง
ล่วงไปก็คือว่าหมดสิ้นไป อายุของเรานะ คืนหนึ่งผ่าน
พ้นไป อายุของเรากห็ มดไปคนื หนึง่ ใกลต้ ่อมรณภัยคือ
ความตายอยา่ งนี้ อยา่ ไดป้ ระมาท คนอน่ื ผอู้ น่ื เขาประมาท
มวั เมาชา่ งเขา จติ ใจของเราอยา่ ไดป้ ระมาท จงเปน็ ผนู้ กึ
ใหไ้ ดเ้ จรญิ ใหไ้ ดว้ า่ มรณํ เม ภวสิ สฺ ติ เดย๋ี วนขี้ ณะน้ี เราตอ้ ง
ตายแน่ๆ

ดูคนเราในสมัยน้ีนั้นอายุก่ีปีก่ีเดือน บางคนเกิด
วนั นนั้ ตายวนั นนั้ กม็ ี เกดิ เดอื นนนั้ ตายเดอื นนนั้ กม็ ี เกดิ ปนี นั้
ตายปนี นั้ กม็ ี ๑๐ ปกี ต็ ายได้ ๒๐ ปกี ต็ ายได้ ๓๐ ปกี ต็ ายได้
๔๐ ปกี ต็ ายได้ ๕๐ ปียิ่งครงึ่ รอ้ ยแล้ว อะไรๆ กต็ ายไดไ้ ป
โดยล�ำดับๆ

ธรรมดากเิ ลสไมไ่ ดน้ กึ ถงึ ความตาย อายมุ ากเทา่ ไร
ความโกรธกม็ ากเทา่ นน้ั ความโลภความอยากไดก้ ม็ าก
ขน้ึ ไป อนั นเ้ี รยี กวา่ คนไมภ่ าวนาละกเิ ลส ถา้ ผภู้ าวนาละ
กิเลสแล้ว อายุรอ้ ยปกี เ็ รยี กวา่ เตอื นจิตเตือนใจของตนให้
ลกุ ขน้ึ ภาวนาแลว้ ว่า มรณภยั คอื ความตาย เขายกเวน้ มา
ครง่ึ รอ้ ยแลว้ เรายงั จะมาหว่ งลกู หว่ งหลาน หว่ งกนิ หว่ งนอน

26

มรณกรรมฐาน

ห่วงเลน่ สนุกเฮฮาไปถงึ ไหน ๖๐ ปีก็ตายได้ บางคนไม่ถงึ
๖๐ ปกี ็ตายแล้ว ๗๐ ปกี ต็ ายได้ ยังไม่ถึง ๗๐ ปตี ายก็มี
๘๐ ปกี ็ตายได้ ยังไมถ่ ึง ๘๐ ปีก็ตายได้ ๙๐ ปกี ต็ ายได้
๙๗ ๙๘ กต็ ายได้ ๑๐๐ ปยี งิ่ ตายเรว็ ฉะนน้ั อยา่ ไดป้ ระมาท
แมพ้ ระทา่ นใหศ้ ีลใหพ้ รทา่ นก็ใหว้ ่า ให้อายญุ าตโิ ยมได้
๑๐๐ ปนี ะ ยงั ไมถ่ งึ ๑๐๐ ปี อยา่ เพง่ิ แตก อยา่ เพงิ่ ตาย
พญามจั จุราชคอื ความตายมนั กไ็ ม่ฟงั ไดเ้ วลาตายมันก็
ตายท้ังน้นั

นแี่ หละเราทา่ นทง้ั หลายอยา่ ไดพ้ ากนั ประมาทมวั เมา
จงระลึกถึงมรณภัยคือความตายน้ีให้ได้ทุกลมหายใจเข้า
ทกุ ลมหายใจออก พระพทุ ธเจา้ ของเราพระองคท์ รงตรสั ไว้
วา่ “อนั เราตถาคต มรณภยั คอื ความตายนี้ พระองคน์ กึ ได้
เจริญได้เตือนใจของพระองค์ได้ทุกลมหายใจเข้าว่า
เราตถาคตตายได้ทุกลมหายใจเข้าไป ลมหายใจออกมา
เราตถาคตกต็ ายได้ทุกลมหายใจออกมา”

แม้เราท่านทั้งหลายยังไม่ได้พ้นทุกข์ภัยในโลกใน
วัฏสงสาร ย่ิงจะต้องนึกถึงมรณภัยคือความตายนี้ให้
มากกว่าพระพุทธเจ้าเข้าไป แล้วจิตใจเราจะไม่เปน็ คน
ประมาทมวั เมาทกุ ขณะทกุ เวลา จะเปน็ คนตงั้ กายตงั้ ใจ
ประพฤตคิ ณุ งามความดี รกั ษาจติ ใจของตนใหส้ งบระงบั
ตง้ั มนั่ เปน็ สมาธภิ าวนา แมค้ วามเหนด็ เหนอ่ื ยเมอื่ ยหวิ จะ

27

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

บงั เกดิ มขี นึ้ ในรปู นามกายใจของเรา กอ็ ยา่ ไปยดึ ถอื เอา
หรอื บางคนนนั้ ถา้ นง่ั สมาธภิ าวนานดิ ๆ หนอ่ ยๆ กว็ า่ ไอโ้ นน่
กไ็ มส่ บาย ไอน้ กี่ ไ็ มส่ บาย ขดั นน้ั ขดั น้ี เพราะเหตนุ น้ั เหตนุ ้ี
อนั นเ้ี รยี กวา่ จติ ใจของคนเราน้ี ทา่ นแบง่ ภาคไวเ้ ปน็ ๒ อยา่ ง
อยา่ งหนงึ่ กค็ อื วา่ จติ ใจบ�ำเพญ็ ทาน รกั ษาศลี ภาวนา ปฏบิ ตั ิ
บูชามุ่งหวังความพ้นทุกข์ภัยในวัฏสงสาร เรียกว่าจิตใจ
เปน็ บญุ

ทนี จี้ ติ ใจอกี ดวงหนงึ่ เปน็ ใจมารใจสงั ขาร ใจกเิ ลส
ราคะ ใจกเิ ลสโทสะ ใจกเิ ลสตณั หานไี้ มร่ สู้ กึ ตวั มกั จะคดิ ไป
ปรงุ ไปแตง่ ไปวา่ เรายงั อยดู่ สี บายอยเู่ สมอ บางคนแกช่ รา
แล้วจิตใจก็ยังไม่แก่ ยังส�ำคัญผิดคิดว่าเรายังไม่แก่อยู่
ตลอดเวลา ขน้ั เจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ยมาถงึ เขา้ แทนทจี่ ะนกึ ถงึ วา่
เอ้ มรณะความตายมนั ใกล้มาเปน็ เทวทูต ทตู เทวดามา
บอกแล้ว ปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้ ไม่สบาย แต่ไม่สน
คดิ ฟงุ้ ซา่ นไปอยา่ งอนื่ จะหาทางแก้ ขนั้ เจบ็ มานดิ หนอ่ ย
ก็เข้าโรงพยาบาล เข้าใจว่าไปโรงพยาบาลแลว้ หมอจะ
รักษาได้ บางคนมันแทนที่เข้าไปแล้วจะได้ออกมาเลย
ไมไ่ ดอ้ อกมา ไปโรงพยาบาลกเ็ ลยไปป่าชา้ ทเี ดียวกม็ ี

นแ่ี หละเหลา่ ทา่ นทง้ั หลายอยา่ พากนั ประมาท เดยี๋ วนี้
เราตง้ั อยใู่ นความประมาท ความประมาทนนั้ ถา้ ใครไมน่ กึ

28

มรณกรรมฐาน

มองเห็นมรณภัยความตายทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว
ประมาททุกคนไป ทัง้ ผู้เทศนแ์ ละผ้ฟู ัง ถ้าหลงลืมเม่อื ใด
เวลาใด ก็เรียกว่าเป็นผู้ประมาท พระศาสดาจารยส์ มั มา-
สัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย พระองค์ไม่ประมาทมัวเมา
พระองคน์ กึ ไดเ้ ตอื นใจของพระองคอ์ ยเู่ สมอวา่ มรณภยั คอื
ความตายน้ีหนไี มพ่ น้ แนๆ่ พอถงึ วยั แกว่ ัยชรา อายสุ งั ขาร
ของพระองคไ์ ด้ ๘๐ บรบิ รู ณ์ กอ็ ยไู่ มไ่ หว อยไู่ มไ่ ดแ้ ลว้ ดบั ขนั ธ์
เขา้ สนู่ ฤพาน แมจ้ ะอยตู่ อ่ ไปกโ็ ดยความล�ำบาก ถา้ เลย ๘๐ ปี
ไปแล้วมักจะล้มลุกคลุกคลาน อะไรต่อมิอะไรมีมากมาย
หลายอยา่ งหลายประการพงึ่ ตวั เองไมไ่ ด้ ยนื ขนึ้ กล็ ม้ เปน็ ลม
ลงมากม็ ี นแี่ หละได้ ๘๐ ปกี ต็ ายได้ ๙๐ ปกี ต็ ายได้ ๑๐๐ ปี
ก็ตายได้ ๑๒๐ ปีก็ไม่พ้นจากความตาย

เมื่อไม่พ้นอย่างนี้จะให้พ้นอย่างไร พ้นด้วยการมา
ก�ำหนดพจิ ารณามรณภยั คอื ความตายนใ้ี หแ้ จง้ ในจติ ในใจ
ของเรา ใหแ้ จง้ ในตา ตาไดเ้ หน็ คนตายสตั วต์ ายทไี่ หนกใ็ ห้
เอามาเตือนใจของเราในเวลาเด๋ียวนี้ขณะนี้ หรือในเวลา
ทีเ่ ราเหน็ นั้นวา่ นี้สัตว์อ่ืนคนอ่ืนเขาตายนั้น ไมใ่ ชแ่ ต่ตาย
คนอื่นนะ ตัวเราผลท่ีสดุ ก็ตอ้ งตายเหมือนกบั เขา

เด๋ียวน้ีเราได้ภาวนาท�ำใจให้สงบระงับตั้งมั่นเป็น
สมาธภิ าวนาแลว้ หรอื ยงั ถา้ หากวา่ ยงั ไมท่ �ำจติ ท�ำใจแลว้

29

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

จะน่ิงนอนใจไม่ได้ จะไปรอให้ลูกคนนั้นใหญ่เสียก่อน
เรยี นหนงั สอื จบเสยี กอ่ น ใหม้ เี หยา้ เรอื นเสยี กอ่ นไมไ่ หว
ตอ้ งภาวนาในใจวา่ ความตายมนั ไมไ่ ดว้ า่ อยา่ งเรา เมอื่ ถงึ
เวลาแล้วมนั ตายแน่ เหมอื นก�ำป้ันทบุ ดนิ

ฉะนนั้ เราจะมามวั เมาเขา้ ใจผดิ คดิ หลงวา่ เรายงั ไมต่ าย
ถา้ พบกนั เขา้ ก็ว่า สบายดีหรือ กต็ อบกันว่า สบายดอี ยู่
แตค่ วามจรงิ ภายในรา่ งกายสงั ขารของคนเรานนั้ ไมใ่ ชม่ นั
สบายเลย เจบ็ ปวดทกุ ขเวทนาเลก็ ๆ นอ้ ยๆ มนั มอี ยเู่ สมอๆ
แตว่ า่ เราเขา้ ใจผดิ คดิ วา่ สบายดี สบายดอี ยา่ งไร ไมส่ บายเลย
กด็ นู งั่ นานๆ หนอ่ ยกเ็ จบ็ ปวดทกุ ขเวทนาเกดิ โรคภยั ไขเ้ จบ็
ขึ้นมาแลว้ จ�ำเปน็ ตอ้ งเคล่อื นไหวไปมา ยืนบ้าง เดนิ บา้ ง
นอนบา้ ง นกี่ ็คือวา่ รา่ งกายสังขารมันไมส่ บาย ท�ำไมเรา
บริโภคอาหารวนั หนึง่ หลายเวลา กเ็ พราะว่าโรคภัยไขเ้ จบ็
มนั เกดิ ขน้ึ ในรา่ งกายสงั ขารตวั ตนคนเรานน่ั เอง พยาธโิ รคา
มีอย่ตู ลอดเวลา ถา้ เราจะมาเยียวยาพยาบาลใหค้ วามสุข
ความสบายในรปู ร่างกายแลว้ ไมเ่ พียงพอสักที

พระพทุ ธเจา้ ทา่ นใหเ้ อาความสขุ สงบระงบั ในหวั ใจ
คอื ใหใ้ จภาวนานกึ ถงึ มรณภยั คอื ความตายใหไ้ ด้ เอาจน
ก่อนความตายจะมาถึง ให้เราเร่ิมละกิเลสความโกรธ
ในใจใหห้ มดสนิ้ ไป เลกิ ละกเิ ลส ความโลภ ราคะ ตณั หา

30

มรณกรรมฐาน

มรณะ มรณัง
ความตายนี้ไม่ว่าใคร
ใครจะไปอวดดกี ับพญามจั จรุ าช
คือความตายไม่ไดท้ ้งั นัน้
เพราะว่าพญามจั จรุ าชน้ี
ใครจะรบราฆ่าฟันตอ่ สกู้ บั

พญามัจจรุ าชนั้น
ไม่มีทางทจ่ี ะเอาชนะได้

พ่ายแพต้ ลอดเวลา

ในใจของเราใหห้ มดไปสนิ้ ไป ใหใ้ จของเรามคี วามเพยี ร
ความหมน่ั ความขยนั เพมิ่ เตมิ ขนึ้ ไปทกุ วนั ทกุ คนื ทกุ เดอื น
ทกุ ปี เป็นผมู้ สี ติ มีสติปฏั ฐานอย่ใู นใจ

เม่ือมีสติปัฏฐานอยู่ในใจเป็นมหาสติ นั่งก็มีสติ
นอนกม็ สี ติ ยนื กม็ สี ติ เดนิ กม็ สี ติ ท�ำอะไรทกุ อยา่ งมสี ตอิ ยู่
ทกุ เวลาทกุ ลมหายใจ แลว้ กเ็ ตอื นใจของเราใหร้ สู้ กึ ส�ำนกึ ตวั
ว่า มรณะ มรณงั ความตายน้ไี ม่ว่าใคร ใครจะไปอวดดี
กับพญามัจจุราชคือความตายไม่ได้ท้ังนั้น เพราะว่า
พญามจั จรุ าชน้ี ใครจะรบราฆา่ ฟนั ตอ่ สกู้ บั พญามจั จรุ าชนน้ั
ไมม่ ีทางท่จี ะเอาชนะได้ พ่ายแพต้ ลอดเวลา

31

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

แต่ถ้าผู้ใดมาบ�ำเพ็ญทานการกุศลประกอบคุณงาม
ความดใี หบ้ งั เกดิ ขน้ึ ทก่ี าย วาจา จติ ของเรา มกี ารสดบั รบั ฟงั
พระธรรมค�ำสงั่ สอนในทางพระพทุ ธศาสนา เอาใจใสใ่ นการ
สวดมนต์ไหว้พระท�ำวัตรสวดมนต์ เจริญสมถกรรมฐาน
วปิ สั สนากรรมฐาน ไมใ่ หจ้ ติ ใจของเราฟงุ้ ซา่ นร�ำคาญไปหา
คนอน่ื สตั วอ์ น่ื จงใหจ้ ติ ใจของเรามคี วามเบกิ บาน ยมิ้ แยม้
แจม่ ใส อกผายไหลผ่ งึ่ หนา้ ตาเบกิ บาน มสี ตทิ กุ เวลา มสี มาธิ
จติ ตงั้ มนั่ ทกุ เวลา มปี ญั ญาพจิ ารณารปู นามกายใจของตน
อยทู่ กุ ขณะทกุ เวลาวา่ โลกเรานคี้ อื รปู นามกายใจ คนสตั ว์
วตั ถธุ าตทุ ง้ั หลายในโลกน้ี ไมม่ สี งิ่ ใดจะเทยี่ งแทแ้ นน่ อน
ย่ังยนื เป็นอยู่อยา่ งนต้ี ลอดไป

พระพทุ ธเจา้ จงึ ทรงตรสั วา่ โลกนเ้ี ปน็ โลกอนจิ จงั คอื
ความไมเ่ ทย่ี ง ดูกิจการงาน กจิ กรรมการงานที่เราท�ำมา
ตลอดมาตงั้ แตเ่ กดิ มาจนบดั นี้ ดซู มิ นั เทย่ี งแทแ้ นน่ อนทไ่ี หน
ทีแรกเรานอนอยู่ในท้องแม่ พอคลอดออกมาก็พบความ
ไมเ่ ทยี่ ง ความไมเ่ ทยี่ งนอ้ี ยทู่ ไ่ี หน ความเปน็ ทกุ ขก์ ม็ อี ยทู่ น่ี น้ั
เมื่อความไม่เท่ียงเป็นทุกข์มีอยู่ท่ีรูปนามกายใจตัวตน
คนเราแล้ว ก็ช่ือว่ามีความไม่ใช่ตัวตนของเราอยู่ท่ีนั้น
การทเี่ รามายดึ หนา้ ถอื ตา มายดึ ตวั ถอื ตน มายดึ เรา มายดึ
ของๆ เราว่าเราเป็นนั้นเป็นน้ี สิ่งเหล่านี้ให้เราเพ่งเล็ง
พิจารณาดูให้ดี ตัวกูของกู ตัวข้าของข้า ตวั เราของเรา

32

มรณกรรมฐาน

มนั จรงิ ไหม บอกไดว้ า่ ฟงั ทไี่ หน ถา้ บอกไดว้ า่ ฟงั กไ็ มต่ อ้ ง
เจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ย ไมต่ อ้ งแกช่ รา คนทม่ี ฟี นั อยกู่ ไ็ มใ่ หเ้ จบ็ เพราะ
ว่าเจ็บฟันมันเป็นความล�ำบาก เราบอกว่าอย่าเจ็บเลย
ไดไ้ หม ไมไ่ ด้ บอกวา่ อยา่ แกเ่ ลย เราไมต่ อ้ งการเปน็ คนแก่
มันก็แก่ไปทุกวันทุกเดือน ผลท่ีสุดความตายก็มาถึงเข้า
เมอ่ื ความตายใกลเ้ ขา้ มา จติ ใจเรายงิ่ วนุ่ วายใหญ่ เพราะอะไร
ก็เพราะว่าไมไ่ ดภ้ าวนาพจิ ารณา มรณํ เม ภวิสฺสติ ไว้ให้
พรอ้ มมลู

ถ้าเรานกึ ไดเ้ จริญไดอ้ ยู่ว่า อยดู่ ๆี ก็ตายได้ นัง่ ดีๆ
กต็ ายได้ นอนดๆี กต็ ายได้ เดก็ หนมุ่ แก่ ชรา ตายไดเ้ ทา่ ๆ กนั
เราจะมาหว่นั ไหวท�ำไม พทุ โธ ธัมโม สงั โฆ มอี ยใู่ นจติ
ในใจของเรา ก็รีบภาวนาเข้า หรือเตือนใจของเราว่า
อันความตายเขาไม่ได้ยกเว้นให้บุคคลผู้ใด เราจะมา
ยินดีพอใจอยู่ในรูปในเสียงในกล่ินในรสในโผฏฐัพพะ
ธรรมารมณ์ ในทรพั ยส์ นิ เงนิ ทองวตั ถขุ า้ วของ ในความ
อยากไดอ้ ยากดี อยากเปน็ อยากมี อยา่ งเดยี วหรอื ท�ำไม
เราไมค่ ดิ ไม่อ่านวา่ เมอื่ ความตายมาถึงเข้า ส่ิงเหล่าน้ี
เอาไปไมไ่ ดท้ งั้ นน้ั ตายเมอื่ ใดกท็ งิ้ เมอ่ื นนั้ หรอื บางคนยงั
ไมต่ าย ทรพั ยส์ นิ เงนิ ทองบา้ นเรอื น เคหสถาน กเ็ กดิ อนั ตราย
ก่อนเจ้าของกม็ ี นแ่ี หละท่านว่าอนิจจงั โลกน้มี นั ไมเ่ ท่ยี ง
อยา่ งน้ี ทกุ ขงั เป็นทกุ ข์ เมอ่ื สิง่ น้ันไมเ่ ป็นไปตามใจหวงั

33

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

จติ ใจคนเรากเ็ ปน็ ทกุ ขเ์ ปน็ รอ้ นตามอาการเหลา่ นน้ั เพราะ
วา่ ไมไ่ ดภ้ าวนา ไมไ่ ดท้ �ำความเพยี รละกเิ ลสจนใหก้ เิ ลสหลดุ
ออกไป พน้ ออกไปเสยี ก่อน

เม่อื กิเลสราคะ โทสะ โมหะ เลกิ ละออกหมดใน
จติ ใจแลว้ ความตายมาถงึ ก็เห็นวา่ รปู นามขนั ธธ์ าตุ ๔
ขนั ธ์ ๕ เขาตายตา่ งหาก จติ ใจมนั ไมต่ าย เราจะไปทกุ ขร์ อ้ น
ท�ำไม เรากเ็ รง่ ภาวนาในใจของเราทกุ ลมหายใจเขา้ ออก
ยง่ิ เจบ็ ปวดทกุ ขเวทนาอนั ใดเกดิ ขนึ้ เรากจ็ ะไดเ้ พยี รเพง่ ดู
วนั นแ้ี หละ เปน็ เทวทตู เปน็ เทวดา เปน็ เทวธรรม เปน็ ธรรม
ทมี่ าตักเตือนใหเ้ ราทกุ คนต้ังอยูใ่ นความไม่ประมาท

ผไู้ มป่ ระมาท คอื วา่ มองเหน็ มรณภยั คอื ความตายได้
ทกุ ลมหายใจ เมอื่ ผใู้ ดนกึ ไดท้ กุ ลมหายใจวา่ จ�ำเปน็ เราตอ้ ง
ตายได้ทุกเวลา เม่ือถึงเวลาน้ัน จิตใจที่อยากได้อยากดี
อยากเปน็ อยากมอี ะไรทกุ อยา่ ง มนั กถ็ อนออกมาได้ เพราะ
มองเห็นว่า เมื่อเราเกิดมาไม่มีสมบัติพัสถานอันใดเกิด
มานน้ั มอี ยแู่ ตห่ นงั หมุ้ กระดกู เทา่ นเี้ อง เมอื่ เกดิ มาใหญแ่ ลว้
กเิ ลสตณั หามนั เกดิ ขน้ึ จงึ ไดว้ นุ่ วายดน้ิ รนไปหากเิ ลสเหลา่ น้ี
ให้มนั เพมิ่ เติมขน้ึ มา แลว้ ผลทสี่ ุด จะมีเงินหมนื่ เงินแสน
เงนิ ลา้ น เงนิ รอ้ ยลา้ นพนั ลา้ น ถา้ ความตายมาถงึ เขา้ บคุ คล
ผนู้ นั้ กเ็ อาไปไมไ่ ด้ ตายแลว้ ก็ท้งิ เปลา่ ๆ

34

มรณกรรมฐาน

จิตใจของผู้เจรญิ มรณกรรมฐาน
คอื ความตายนแ่ี หละ
จิตใจกจ็ ะสงบต้ังมน่ั
เมื่อจิตใจสงบต้งั ม่ัน
กจ็ ะเห็นแจ้ง

ในหลกั อนจิ จงั ทกุ ขัง อนัตตา
ก็จะไดล้ ะสกั กายทฏิ ฐิ วจิ ิกิจฉา

สีลพั พตปรามาส
ในจิตใจของตนออกไปได้

ส่วนว่าผู้ใดภาวนาท�ำมรรคผลนิพพานให้แจ้งในจิต
ในใจน้นั ยังมชี วี ติ อยู่ก็จติ ใจเยือกเยน็ สบาย พทุ โธอยใู่ น
ดวงใจ ธมั โมอยใู่ นดวงใจ สงั โฆอยใู่ นดวงใจ มรณะ มรณงั
ความตาย นกึ ไดท้ กุ ลมหายใจ ชอื่ วา่ เราเคารพพระพทุ ธเจา้
เราเคารพพระธรรม เราเคารพพระอรยิ สงฆส์ าวก ผลทสี่ ดุ
จติ ใจของผเู้ จรญิ มรณกรรมฐานคอื ความตายนแ่ี หละ จติ ใจ
ก็จะสงบต้งั ม่นั เม่ือจติ ใจสงบตงั้ มน่ั ก็จะเหน็ แจ้งในหลกั
อนิจจงั ทกุ ขัง อนตั ตา ก็จะไดล้ ะสกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ ิจฉา
สีลัพพตปรามาส ในจิตใจของตนออกไปได้ โมโหโทโส
ฟงุ้ ซา่ นร�ำคาญกจ็ ะลดน้อยถอยลงไปโดยล�ำดับ

35

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

นแี่ หละเราทา่ นทงั้ หลายอยา่ ไดพ้ ากนั ประมาท เดย๋ี วนี้
เราประมาทมัวเมามาในโลกในวัฏสงสารนี้นับไม่ถ้วนแล้ว
ช่ือว่าเราทุกคนเคยเกดิ เคยแก่ เคยเจบ็ เคยไข้ เคยตาย
อยู่ในสังสารจักรอันนี้นับเป็นอเนกชาติ นับเป็นอเนกภพ
ไม่รู้ว่าก่ีกัปกี่กัลป์ท่ีเรามาเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้มาถึง
วันน้ีเดี๋ยวน้ี สมควรแล้วท่ีเราทุกคนจะต้องลุกขนึ้ ยนื หยดั
ตอ่ สกู้ เิ ลสในหวั ใจของตน ใหเ้ อาชยั ชนะในใจของตนใหไ้ ด้
คือเตือนใจของตนให้รู้มรณภัยคือความตายนี้ได้ทุกเวลา
เมอื่ ใจเรานกึ ไดเ้ จรญิ ไดอ้ ยา่ งนี้ จติ ใจกย็ อ่ มสงบระงบั รแู้ จง้
เหน็ จรงิ ในธรรมะปฏบิ ตั ิ การประพฤตปิ ฏบิ ตั กิ ย็ อ่ มไมเ่ ลอื ก
กาลไม่เลือกเวลา วันไหนคืนไหนเวลาใดก็ทุกลมหายใจ
เปน็ ผนู้ กึ ไดเ้ ตอื นใจของตนไดอ้ ยู่ จติ ใจกย็ อ่ มเยน็ สบายทงั้
กลางวันกลางคืน ยนื เดิน นง่ั นอน ทกุ อิรยิ าบถ

ฉะนนั้ อบุ ายตา่ งๆ ทกี่ ลา่ วมาน้ี เปน็ อบุ ายปฏบิ ตั ธิ รรมะ
ในทางพุทธศาสนา เม่ือว่าเราท่านท้ังหลายพากันได้ยิน
ไดฟ้ ังแลว้ กใ็ หก้ �ำหนดจดจ�ำน�ำไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ก็คงได้
รับความสขุ ความเจรญิ

เอวัง ก็มดี ้วยประการฉะน้ีฯ



36

มรณกรรมฐาน





อานิสงส์การเดินจงกรม

เทศน์อบรม เมือ่ วนั ที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๖

ณ โอกาสนเ้ี ปน็ โอกาสฟงั ธรรม เปน็ โอกาสนงั่ สมาธิ
ภาวนาปฏบิ ตั ิบูชาในทางพุทธศาสนา การปฏิบตั ิบูชาน้นั
ไดแ้ กก่ ารนง่ั สมาธแิ ละการเดนิ จงกรม การเดนิ จงกรมนน้ั
ผปู้ ฏบิ ตั ทิ งั้ หลายมกั จะหลงลมื คอื เหน็ วา่ เปน็ เรอื่ งไมส่ �ำคญั
ความจรงิ การเดนิ จงกรมนนั้ กไ็ มแ่ พก้ ารนงั่ สมาธิ แตไ่ ม่
ตอ้ งเดนิ แบบเอาเทา้ ตอ่ เทา้ ไป เดนิ ธรรมดา เอามอื ขวาทบั
มือซ้าย เดนิ ให้อยู่ในท่าส�ำรวมใหพ้ อดไี มเ่ ร็วไม่ช้า

การเดนิ จงกรมนี้ สมยั โบราณทา่ นฝกึ ฝนอบรมกนั
มานนั้ ถอื การเดนิ จงกรมนเ้ี ปน็ การขดั เกลากเิ ลสหยาบๆ
ออกได้ สว่ นมากทสี่ ถานทท่ี �ำความเพยี รนน้ั ทา่ นมกั จะท�ำ
ปลกู รา้ นเลก็ ๆ พอนงั่ ไดไ้ วส้ ดุ ทา้ ยทางจงกรม เวลาเดนิ ไป
เดินมาเหน่ือยมากก็มานั่งท่ีร้านนั้นสลับกันไป คือว่าที่
น่ังสมาธิก็อยู่ท่ีหัวทางจงกรมนั้นแหละ ทีนี้ก็ปัดกวาด
ให้สะอาดในที่น้ันให้ดี เวลากลางคืนพวกตะเข็บตะขาบ

39

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

พวกสัตว์เลอื้ ยคลานทง้ั หลายมันจะได้ไม่มาผ่านในที่เตยี น
ทโ่ี ลง่ นนั้ เดนิ จงกรมกลางคนื กไ็ ด้ เดนิ กลางวนั กไ็ ด้ ใตร้ ม่ ไม้
หาทใี่ ต้ร่มไมข้ า้ งบนไมใ่ หแ้ ดดส่องมาก

เวลาเดนิ จงกรมนนั้ ไดท้ ง้ั การบรหิ ารกายใหส้ ะดวก
สบาย ร่างกายคนเรานั้นถ้าเดิน เลือดลมว่ิงสะดวก
สบายมากดกี วา่ การนงั่ คอื วา่ การนง่ั น้ี เลอื ดลมวงิ่ ไมค่ อ่ ย
สะดวกเท่าใดนัก การเดินท�ำให้มีความเคลื่อนไหวไปมา
ของกระดูกเส้นเอ็นเนื้อหนังมังสัง น้�ำเลือดน้�ำเหลืองมัน
ว่ิงได้คล่องตัว การเดินจงกรมมันได้ทั้งบริหารร่างกาย
ให้สะดวกสบาย แล้วก็แก้ความง่วงเหงาหาวนอนด้วย
นง่ั ภาวนานงั่ สมาธิ ถา้ ไมต่ งั้ จติ ใหด้ ี มนั หลบั ได้ นง่ั นานๆ เขา้
คอพบั กห็ ลบั ไปเลย กเ็ หมอื นนอนนนั่ แหละ ทนี เ้ี ดนิ จงกรม
นนั้ หลบั ไมไ่ ด้ เดนิ กลบั ไปกลบั มา ถา้ เกดิ หลบั ถา้ ตน้ ไมอ้ ยู่
สุดท้ายทางจงกรมหรือมาโดนที่ท�ำร้านไว้ให้น่ังน้ัน ก็จะ
หายงว่ งไป ถ้าหลบั มันกไ็ ปโดนละ ไมอ่ ย่างนัน้ มนั จะออก
นอกทางไป หลบั อยา่ งเรานง่ั ไมไ่ ด้ การเดนิ จงกรมจงึ เปน็
ขอ้ วตั รปฏิบตั ิอนั หนึ่ง

สมยั ครง้ั พทุ ธกาล สมยั ครง้ั ครบู าอาจารยร์ นุ่ ตอ่ ๆ มา
หลวงปมู่ น่ั หลวงปเู่ สาร์ ทา่ นเหลา่ นท้ี า่ นเดนิ จงกรมมาก
ไม่ใช่เล็กๆ นอ้ ยๆ เหมอื นพวกเรา อย่างหลวงปูม่ นั่ ท่าน

40

มรณกรรมฐาน

ถา้ จิตฟงุ้ ซา่ นมากเทา่ ไร
การเดินจงกรมนี้จะแก้ไดด้ ีทสี่ ดุ
เดนิ จนมันเหนด็ เหนอ่ื ยเม่ือยหิว

ไม่ใช่เดนิ เลก็ ๆ น้อย
เอาจนทางจงกรม

ดนิ ธรรมดาน้ีทรุดลงละ่
ทรดุ ทว่ มหลงั ตนี ละ่

เดนิ จงกรม คอื วา่ ทา่ นไมไ่ ดป้ ระชมุ ทกุ เวลาอยา่ งเราทกุ คนื
อย่างน้ี นานๆ ๖ วัน ๗ วัน ท่านจึงประชุมมาเทศน์ให้
ลกู ศิษยล์ กู หาฟงั นอกน้ันก็เดินจงกรม ไหว้พระสวดมนต์
นงั่ ภาวนา

การเดินจงกรมของหลวงปมู่ ัน่ น้ัน นบั ตง้ั แต่สรงน้�ำ
สรงทา่ เสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ ทา่ นกเ็ ขา้ ทเี่ ดนิ จงกรม พดู งา่ ยๆ
กค็ อื วา่ ๖ โมงเดนิ จงกรม เดนิ จงกรมจนถงึ ๒ ทมุ่ ทา่ นก็
ขน้ึ ไหวพ้ ระสวดมนต์ ไหวพ้ ระสวดมนต์ นง่ั ภาวนา กใ็ นราว
๒ ชั่วโมงอกี เหมอื นกนั แลว้ ท่านก็จ�ำวดั จ�ำวดั น่ใี นราว
๔ ชั่วโมง ตืน่ ก็ตี ๒ ตี ๒ วนั ใหม่ ตอนตื่นตอนน้นั
ก็ล้างหน้าเสร็จเรียบร้อยจึงลงเดินจงกรม ก็เดินจงกรม

41

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

๒ ชวั่ โมง ไหวพ้ ระสวดมนต์น่งั ภาวนา ๒ ชัว่ โมง ทา่ นท�ำ
อยอู่ ย่างน้นั ของทา่ น แสดงวา่ ท่านสบาย ไม่ค่อยมีโรคภยั
ไข้เจ็บมารบกวน ด้วยอ�ำนาจการเดินจงกรมมีอานิสงส์
เลอื ดลมมนั สะดวกสบายวงิ่ ได้ จิตใจก็ปลอดโปรง่

ฉะนั้น ก็ให้พากันฝึกหัดตัวเองให้เดินจงกรมเป็น
เดินจงกรมได้ ถ้าจิตฟงุ้ ซา่ นมากเทา่ ไร การเดนิ จงกรมน้ี
จะแก้ได้ดีที่สุด เดินจนมันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยหิว ไม่ใช่
เดนิ เลก็ ๆ นอ้ ยๆ เอาจนทางจงกรมดนิ ธรรมดานท้ี รดุ ลงละ่
ทรดุ ทว่ มหลงั ตนี ละ่ เดนิ ไปเดนิ มากป็ ดั กวาด นานเขา้ ดนิ มนั
กท็ รุดลงไป คือทา่ นเดินจริงๆ ภาวนาจริงๆ

แม้คร้ังพุทธกาลสมัยโน้นก็ยังมีพระองค์หน่ึงท่าน
เดนิ จงกรม ทา่ นเอาจรงิ กวา่ จะลาพอ่ แมม่ าบวชไดก้ ล็ �ำบาก
เมอื่ มาบวชแลว้ ทนี ี้ ถา้ นงั่ มนั กจ็ ะหลบั ทา่ เดยี ว ทา่ นกไ็ มน่ งั่
ถ้ายืนมนั ก็จะหลบั ทา่ เดียว นอนท่านไม่เก่ียวละ่ ไมน่ อน
เอาเดนิ จงกรมเปน็ หลกั คอื วา่ เดนิ จงกรมหลบั ไมไ่ ด้ ภาวนา
พุทโธเร่ือยไป พิจารณากายคตาสติกรรมฐานเรื่อยไป
ทา่ นจะเรง่ ใหก้ เิ ลสมนั หมดไปสนิ้ ไปจรงิ ๆ ภาวนาไมท่ อ้ ถอย
จนกระท่ังว่าเดินเท้าแตก เลือดไหลเดินไม่ได้ เพราะว่า
มนั ไปหนกั ท่เี ทา้ รา่ งกายทกุ ส่วนมันไปหนักท่ีเท้า เทา้ มนั
มี ๒ เทา้

42

มรณกรรมฐาน

ทนี เ้ี มอ่ื เทา้ แตกเลอื ดไหลเดนิ ไมไ่ ด้ ทา่ นกไ็ ดอ้ บุ ายใหม่
วา่ ต้องคลานเอา สตั ว์ท้ังหลายท่ีมนั มี ๔ เท้า มนั ยังเดิน
๔ เท้าได้ เรากค็ ลานเอาเขา่ ลงไป เทา้ มนั เจบ็ เลือดไหล
ก็ไม่ต้องเหยยี บ เอามือคลานภาวนาพทุ โธไป ทีน้ีคลานน้ี
ก็หลับไม่ได้ เคลื่อนไหวอยู่เสมอ ภาวนาพุทโธเร่ือยไป
เข่าแตกอีก เลือดไหล คลานไม่ได้ มือก็แตกเลือดไหล
คลานไม่ไดล้ ่ะทนี ้ี

เมอื่ คลานไมไ่ ดท้ า่ นท�ำอยา่ งไรตอ่ ไป ทา่ นกน็ อนขวาง
ทางจงกรมเหยียดยาว ปัดกวาดใหม้ นั กว้างๆ หาเลอื กที่
ไมม่ ตี น้ ไม้ กลง้ิ ไปพลกิ ไปพทุ โธไปภาวนาไป กลงิ้ ไปๆ จนสดุ
ทางจงกรมแล้วก็กลิ้งกลับมา เอาอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา
ภาวนาของท่านตอนนอนยาวเหยียดนี้ไม่แตกละ เพราะ
มนั หนักเท่าๆ กัน ร่างกายมนั ไม่ไปหนักส่วนใดส่วนหน่ึง
ทา่ นนอนอยา่ งนน้ั ละ่ กลง้ิ กลบั ไปกลบั มา ภาวนาไมร่ วู้ า่ กวี่ นั
ก่เี ดือนละ่ ไม่ท้อถอย ผลทส่ี ุดทา่ นองคน์ ัน้ ก็ไดส้ �ำเรจ็ เป็น
พระอรหันตขีณาสพ น่ันแหละการเดินจงกรมมีผลมี
อานสิ งส์ จึงได้ส�ำเรจ็ มรรคผลเหน็ แจง้ พระนิพพาน

แต่พระเณรผ้าขาวนางชีเด็กวัดสมัยน้ีไม่ค่อยเดิน
จงกรมกัน แต่นอนมาก นอนมากหนึ่ง ฉันมากหน่ึง
กินมากหน่ึง ไม่ดี ให้เดินจงกรมให้มาก นั่งภาวนาให้

43

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

มากหนอ่ ย นง่ั ภาวนาจติ ใจฟงุ้ ซา่ นยงั ไมส่ งบกห็ ยดุ เสยี แลว้
นกี่ ไ็ มไ่ ดห้ นงึ่ ตอ้ งตง้ั ใจ แลว้ ฝกึ ใหม้ เี วลาเดนิ จงกรมใหไ้ ด้
กจ็ ะเห็นผลเหน็ อานสิ งส์

ส�ำคญั การนงั่ สมาธภิ าวนานน้ั ใหร้ ะวงั นวิ รณ์ นวิ รณ์
ทง้ั ๕ กามฉนั ทะ พยาบาท ถนี มทิ ธะ ถนี มทิ ธะนต่ี วั ส�ำคญั
ถา้ นัง่ ไปขาดสติเวลาใดละ่ จิตมันเขา้ ไปหลบั เผลอละ่
เขา้ ไปหลบั ละ่ นงั่ อยกู่ ห็ ลบั ได้ ตอ้ งมสี ตคิ อยระวงั สตนิ นั้
กไ็ มใ่ ชอ่ ่ืนไกลท่ไี หน จิตใจผ้รู ู้อยู่ในตวั เรานั่นแหละเปน็
ผู้ระลึกขน้ึ มา ระลกึ วา่ เวลาน้เี ปน็ เวลาปฏิบตั ิบูชา ไมค่ วร
ปล่อยให้จิตใจคิดไปภายนอก ให้ใจมาอยู่ในปริมณฑล
หนังหุ้มอยู่เป็นท่ีสุดรอบ พุทโธให้มานึกอยู่ภายในน้ี
บรกิ รรมภาวนากม็ านกึ มาเจรญิ อยภู่ ายในน้ี ไมใ่ หไ้ ปเจรญิ
ภายนอก คนอื่นผู้อื่นไม่ต้องไปเก่ียว เอาจิตใจของตัว
ดวงเดยี วใหไ้ ด้

คนๆ หนงึ่ กม็ ใี จดวงเดยี วเทา่ นน้ั ไมม่ หี ลายใจ ทวี่ า่
จิตหลายดวงหลายอาการ มนั เป็นเรื่องกเิ ลสในจิตน้นั
ตา่ งหาก ความดนิ้ รนวนุ่ วายไป มนั กเ็ ปน็ หลายใจไป ดวงใจ
จริงๆ มันมดี วงเดยี ว ไดแ้ กจ่ ิตใจดวงผูร้ ู้อยูใ่ นใจ จติ ใจ
ดวงผู้รู้อยู่ภายใน จิตใจดวงน้ีนั้นมันเกิดมาในโลกนี้
นบั ไมไ่ ดแ้ ลว้ ไมว่ า่ พระพทุ ธเจา้ พระอรยิ เจา้ ทง้ั หลายทที่ า่ น

44

มรณกรรมฐาน

อยากจะอายยุ ืนก็ภาวนาบอ่ ยๆ
ทำ� ใจใหส้ งบได้ทุกคนื ๆ
อายยุ ืน ๑๐๐ ปกี ไ็ ด้

ไม่ต้องไปกนิ หยกู กนิ ยาหรอก
ภาวนาลูกเดียว

ใหใ้ จสงบตงั้ มัน่ เยน็ สบายล่ะ
อายุยนื

พน้ ทกุ ขภ์ ยั ไปแลว้ กน็ บั ไมไ่ ด้ ทา่ นวา่ อเนกชาติ คอื วา่ นบั ภพ
นบั ชาตจิ ะนบั กัปนบั กัลป์อยา่ งใดๆ ก็เปน็ อันวา่ มากมาย

คนสมยั นี้เขาก็สงสัยวา่ เอ คนมนั มากขน้ึ นะ่ จิตใจ
มันเกิดมาใหม่หรือ ความจริงใจนั้นมันไม่ได้มาใหม่
คนๆ หนง่ึ สัตว์ตวั หน่งึ มนั กม็ ใี จดวงเดียวของแตล่ ะสตั ว์
แตล่ ะบคุ คล แตจ่ ติ ดวงนแ้ี หละทบ่ี างคราวบางสมยั นนั้ ไมม่ ี
ที่เกิด แล้วคนมันก็น้อย ถ้าเกิดมาก็มักจะมีโรคระบาด
ไขท้ รพษิ บา้ ง ไขม้ าลาเรยี บา้ ง อหวิ าตกโรคบา้ ง พวกนแี้ หละ
พาใหม้ นษุ ยส์ มยั โบราณเจรญิ ไมไ่ ด้ มมี ากไมไ่ ด้ เหลอื นอ้ ย
แต่ดวงจิตมันมีเต็มโลกอยู่ ท่านเปรียบว่าดวงจิตดวง

45

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

วญิ ญาณนนั้ โลกนมี้ อี ยเู่ ทา่ ไร ดวงวญิ ญาณกม็ อี ยเู่ ทา่ นนั้
แตไ่ มใ่ ชม่ นั เปลยี่ นไปเปลย่ี นมา ตวั ใครตวั มนั ดวงจติ ของ
ผูใ้ ดกข็ องผนู้ ั้น เวลาผนู้ ้ันท�ำบาปก็ตกต�่ำไป เวลาผนู้ น้ั
ท�ำบุญก็เจรญิ ข้ึน ดวงจิตนั้นมันเป็นดวงเกา่

รปู รา่ งกายนมี้ นั เกดิ มาเอาในชาตหิ นง่ึ ๆ แลว้ ทกุ คนที่
เกิดมากจ็ ะเอาอายุให้เท่าๆ กนั กไ็ มไ่ ด้ ใครท�ำบาปไว้มาก
อายุก็ส้ัน อย่างผู้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ยกเว้นการฆ่าการ
ท�ำลายสัตว์เล็กสัตว์น้อยจนถึงมนุษย์ ท�ำลายได้ฆ่ากันได้
นล่ี ะ่ อายุมนั จึงส้ัน เกดิ มาไมก่ ีส่ บิ ปกี ็ตาย ยงั ไม่ไดบ้ �ำเพ็ญ
บญุ บารมอี นั ใดกต็ ายเสยี กอ่ นแลว้ อนั นค้ี อื คนไมร่ กั ษาศลี
ขอ้ ปาณาตบิ าต มกี ารฆา่ การประหาร อายขุ องตวั เองกส็ นั้
พลันตาย

ทีนท้ี า่ นก็มอี ุบายแก้ คนสมัยโบราณท่านแก้ตอ่ อายุ
ต่ออายกุ ็คอื วา่ สตั วท์ ่ีเขาจะฆา่ จะท�ำลาย เมอ่ื เห็นเข้าก็รบี
ซอื้ เอามาปลอ่ ยใหส้ ตั วน์ นั้ หลดุ พน้ จากความตายไป โบราณ
เพ่ินท�ำกันเม่ือถึงวันครบรอบอายุที่ตนเกิดในปีหนึ่งๆ ก็
ปล่อยปลาบ้าง ปล่อยเต่าปล่อยอะไร มีอะไรก็ปล่อย
นนั่ แหละ เพอ่ื ใหช้ วี ติ มนั ยนื ยาวคราวไกลไป สงิ่ เหลา่ นคี้ น
สมยั ใหมเ่ ขาไมเ่ ชอื่ ละ่ แตว่ า่ คนโบราณเขาเชอ่ื วา่ เปน็ ไปได้
เพราะวา่ ชวี ิตเขาหลุดพน้ จากความตายไป

46

มรณกรรมฐาน

สมัยน้ีในที่กราบไหว้บูชา ในที่พระบาทพระเจดีย์
หรือพระพุทธรปู ท่คี นไปกราบไปไหว้มากๆ กม็ พี วกไปเอา
นกกระจบิ -นกกระจอกมาปลอ่ ยบา้ ง แตท่ ห่ี ลวงพอ่ ชนิ ราช
นนั้ มนั ใกลแ้ มน่ ำ�้ นา่ นไหลมา เขากา้ วหนา้ ไปกวา่ ทอ่ี น่ื เขามี
ปลาไหลมาปลอ่ ยดว้ ย ปลาชอ่ นมาปลอ่ ยดว้ ย ปลาอะไรตอ่
มอิ ะไรเขาเอามาใหค้ นซอ้ื ปลอ่ ยได้ นกกระจบิ -นกกระจอก
ก็มี เคยไปก็ซ้อื เขาปล่อยเหมอื นกนั นกกระจบิ อันนเี้ ป็น
ความคิดอ่านต่ออายขุ องคนโบราณ

การภาวนานก้ี เ็ ปน็ การตอ่ อายุ ใครอยากใหอ้ ายยุ นื
กใ็ หห้ มนั่ ภาวนา มนั ตอ่ ไดอ้ ยา่ งไรการภาวนานะ่ คอื วา่
จติ ใจคนเรานถี้ า้ ไมส่ งบ มนั วนุ่ วายภายนอก อายกุ จ็ ะสน้ั
อายสุ นั้ พลนั ตาย ถา้ จติ สงบระงบั ตง้ั มน่ั เปน็ สมาธภิ าวนา
ถ้าเจริญจนกระทั่งว่าถึงขั้นละกิเลสได้เป็นอย่างๆ ไป
ก็พาให้อายุยืนยาวคราวไกล เพราะว่าใจที่สงบระงับ
เยน็ สบายตงั้ มน่ั เปน็ ภาวนาหรอื วา่ อยใู่ นฌานของจติ นน้ั
มนั มีก�ำลัง จิตมกี �ำลัง

อาจารยบ์ างทา่ นบางองค์ คนบางคน เวลาเยยี วยา
พยาบาล เขาเพง่ ไปทโี่ รคภยั ไขเ้ จบ็ กห็ ายได้ อยา่ งหยาบๆ นะ่
แมงคาทม่ี นั เขา้ หู เขายงั เอาออกได้ เขาเพง่ ในจติ ของเขาวา่
เวลานนั้ ละ่ เขาจะเพง่ มา คนแมงคาเขา้ หกู ใ็ หต้ งั้ ใจนง่ั ภาวนา

47

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

ถา้ มนั รอ้ นกบ็ ต่ อ้ งอะไรละ่ ใหเ้ ฉยๆ ไว้ เวลาเขาเพง่ อยบู่ า้ นนะ่
หมอโบราณมันอยู่บ้านหมอคนเฒ่าคนแก่ พระก็ตาม
คนก็ตาม เวลาแมงคาเข้าหูล่ะก็ไปหาเขา อยู่วัดน่ีแหละ
ถ้าพระกอ็ ยู่วัดอยู่กุฏิ มันจะวูบมาท่ีหูเลย รอ้ นท่ใี บหกู อ่ น
เม่ือร้อนแล้วมันกร็ ้อนเข้าไปตามรูหเู ขา้ ไป ร้อนเขา้ ไปจน
ถงึ ตัวแมงคา เอาไปจต้ี ัวแมงเลยอยู่ไม่ได้ละ่ ในน้นี ่ะ กี่ตวั ๆ
มนั กว็ งิ่ ออกมา บอ่ ยา่ งนน้ั กต็ าย มนั รอ้ นเปน็ ไฟ นนั่ แหละ
คอื ก�ำลงั จิตละ่ เพ่งเข้าๆ พลงั จิตนลี้ ึกลบั

ฉะนนั้ ใหพ้ ากนั ภาวนา อยากจะอายยุ นื กภ็ าวนาบอ่ ยๆ
ท�ำใจให้สงบได้ทุกคนื ๆ อายยุ นื ๑๐๐ ปีกไ็ ด้ ไมต่ อ้ งไป
กินหยูกกินยาหรอก ภาวนาลูกเดียวให้ใจสงบตั้งม่ัน
เยน็ สบายละ่ อายุยืน โรคภยั ไข้เจ็บเลก็ ๆ นอ้ ยๆ กห็ ายไป
โรคภยั ใหญๆ่ กม็ กั จะไมเ่ กดิ ขนึ้ เพราะดว้ ยอ�ำนาจการภาวนา
ในทางพุทธศาสนา พระพุทธองค์ท่านจึงทรงตรัสว่า
พทุ ธโอสถ โอสถคอื พระพทุ ธเจา้ ธรรมโอสถ โอสถแปลวา่
ยา พระธรรมกเ็ ปน็ ยา สงั ฆโอสถ คณุ พระสงฆก์ เ็ ปน็ ยา
ผใู้ ดเจรญิ อยใู่ นพทุ ธคณุ ธรรมคณุ สงั ฆคณุ พทุ โธ ธมั โม
สังโฆ หรือพุทโธๆ จนจิตใจสงบระงับตั้งม่ันก็เป็นยา
ยาทางรูปรา่ งกายก็ได้ ยาใจก็ไล่กิเลสราคะโทสะโมหะ
ใหม้ ันออกจากจิตใจได้

48

มรณกรรมฐาน

พทุ ธโอสถ ธรรมโอสถ สงั ฆโอสถ เปน็ ยาทางจติ ใจดว้ ย
เป็นยาทางรูปร่างกายด้วย แล้วก็ให้แคล้วคลาดจาก
ภยั พิบตั ติ า่ งๆ นานา ซึง่ คนเราคดิ ไมถ่ ึงมองไมไ่ ด้ แตม่ นั
กเ็ ปน็ ไปดว้ ยอ�ำนาจจติ จติ ตานภุ าพ ดว้ ยอ�ำนาจจติ ธรรมา-
นุภาพ ดว้ ยอ�ำนาจพระธรรม สงั ฆานภุ าพ ด้วยอ�ำนาจ
พระสงฆ์ พทุ ธานภุ าพ ดว้ ยอ�ำนาจพระพทุ ธเจา้ คณุ พระพทุ ธเจา้
แล้วก็พลังจิตใจที่ผู้ตั้งใจภาวนาเพียรหม่ันขยันน้ันแหละ
เม่ือนึกเมือ่ เจรญิ สิง่ ใด ก็เปน็ ความสุขกายสขุ ใจ จติ ใจกไ็ ม่
วา้ วนุ่ ไปอยใู่ ตอ้ �ำนาจกเิ ลส เพยี รพยายามเลกิ ละความโกรธ
ความโลภ ความหลงของตน ดว้ ยการปฏบิ ตั บิ ชู าภาวนา
ไม่ให้จิตใจท้อถอย

ถา้ เมอื่ ใดวนั ไหนคนื ไหนเวลาใด จติ ใจเราออ่ นแอทอ้ แท้
ก็ให้ระลึกถึงพระบรมศาสดาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้า
ของเรา นับต้ังแต่พระองค์ตั้งปณิธานหมายม่ันเพื่อจะให้
ไดม้ าตรสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ พระองคบ์ �ำเพญ็ ทาน รกั ษาศลี
ภาวนามานับเป็นอสงไขยๆ ถ้านับจากลัทธพยากรณ์จาก
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ก็ ๔ อสงไขยแสนมหากปั บ�ำเพญ็ มา
ไม่ท้อถอย ด้วยอ�ำนาจที่ท่านบ�ำเพ็ญไม่ท้อถอยน่ันแหละ
จงึ ถงึ ซง่ึ ความตรสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ ส�ำเรจ็ ดงั ความมงุ่ มาด
ปรารถนา เมอื่ เราระลึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่ จิตใจของเรา
ท่ีอ่อนแอท้อแท้ก็กล้าหาญขึ้นมา ท่ีไม่มีความปีติยินดีใน

49

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร


Click to View FlipBook Version