The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประวัติหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-05-27 23:17:57

ประวัติหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้

ประวัติหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้

Keywords: ประวัติหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้

เหรยี ญหลวงปู่ทวด พมิ พ์หา้ เหล่ยี ม บลอ๊ กนิยม ปี พ.ศ. 2508

หลวงปู่ทวด พมิ พเ์ ตารีด หน้าจีน หลงั ตัวหนงั สอื ปี พ.ศ. 2508

พระหลวงพ่อทวด ปี พ.ศ. 2506 - 2508

เหรียญหลวงป่ทู วด พมิ พเ์ ม็ดแตง หน้าผาก 4 เส้นปีกกา เนอื้ อัลปากา้ ชุบนกิ เกลิ
สรา้ งกนั มาอย่างตอ่ เนื่อง ตัง้ แต่ปี 2506 ถึง 2508

เหรยี ญหลวงป่ทู วด พิมพเ์ มด็ แตง หน้าผาก 3 เสน้ เน้อื อลั ปากา้ ชุบนกิ เกลิ ปี พ.ศ. 2506

พระหลวงพ่อทวด ปี พ.ศ. 2509
เหรียญพุทธซอ้ น พิมพใ์ หญ่ บุทองคา้ ปี พ.ศ.2509

เหรยี ญพุทธซอ้ น พิมพเ์ ลก็ ปี พ.ศ.2509

เหรยี ญพุทธซอ้ น พิมพเ์ ลก็ ปี พ.ศ.2509

ประวตั หิ ลวงปู่ทวด ตอนทมี่ าของคาว่า หลวงปทู่ วด เหยียบนาทะเลจดื

ประวตั ิหลวงปูท่ วด วัดชา้ งให้ พระภกิ ษุปู่ เรียนวิชาหลายอย่างในสานกั พระครกู าเดมิ 3 พรรษา
อาจารย์กไ็ ม่มอี ะไรจะสอนใหอ้ ีก จงึ ปรกึ ษากบั พระครูกาเดิม ทา่ นก็บอกถา้ จะศกึ ษาอีกคงต้องเขา้ เมือง
หลวงคอื กรงุ ศรีอยุธยา เพราะเป็นทร่ี วมของสรรพวิชาต่างๆ ท่านจึงขอโดยสารเรือสาเภาของนายอนิ ที่
จะนาสนิ คา้ ไปขายในเมอื งหลวง เรือสาเภาของนายอินบรรทกุ สินคา้ หลายอยา่ งเคยไปมาค้าขายแบบน้ี
หลายครง้ั แลว้ ครงั้ นเ้ี รือสาเภาแล่นไปได้ 3 วนั 3คนื เปน็ ปกติอย่ดู ีๆวนั หนงึ่ แต่เกิดพายุพัดจัดลมแรง
มากทอ้ งทะเลปั่นปว่ น จึงจาเป็นต้องลดใบเรือลงรอคลน่ื ลมสงบ เลยทาให้อาหารไมพ่ อ น้าด่ืมไมม่ จี ะ
กินกนั โดยเฉพาะนา้ จดื สาคญั ทีส่ ุด บรรดาลูกเรอื ไม่เคยพบเหตกุ ารณแ์ บบนมี้ ากอ่ นและอารมณเ์ สยี ทุก
คนลงความเห็นวา่ เกิดจากอาเพศทมี่ พี ระภกิ ษุโดยสารมาดว้ ย จึงตกลงใจใหไ้ ปส่งพระภกิ ษุปู่(หลวงปู่
ทวด)ขึ้นฝง่ั โดยลงเรอื เลก็ ซ่ึงมีพระภิกษุปู่และลกู นอ้ งนายอิน 2 คนลงมาดว้ ยเพือ่ พายไปส่งฝ่งั ขณะท่ี
นัง่ อยูใ่ นเรือนั้น พระภกิ ษปุ จู่ ึงบริกรรมคาถาและอธิษฐานจิต แลว้ ยืน่ เท้าออกไปขา้ งกาบเรือลาเล็ก แล้ว
แกว่งน้าใหเ้ ป็นวง ขณะน้ันเอง ทา่ นจงึ บอกให้ลูกเรือทัง้ 2 คนเอามือกวักชิมนา้ ดู ปรากฏว่าน้าทะเล
กลบั กลายเปน็ นา้ จืด ทุกคนตา่ งดีใจรีบตักนา้ ใสโ่ อง่ ใสไ่ ห ลูกเรอื ทกุ คนหายโกรธพระภิกษปุ ู่ โดยเฉพาะ
นายอิน จึงนมิ นต์ให้ท่านรว่ มเดนิ ทางต่อจนถงึ กรุงศรีอยธุ ยา

เมอื่ ถึงเมอื งหลวงสมัยนัน้ กรงุ ศรีอยธุ ยาเปน็ เมอื งหลวงของไทยเจริญร่งุ เรืองมากมีวดั วาอาราม
ใหญๆ่ โตๆ นายอนิ ไดน้ ิมนต์ พระภกิ ษุป่ใู ห้เข้าจาวดั ในเมืองหลวงแต่ทา่ นถอื สนั โดษ ทา่ นจงึ ไปจา
พรรษาอยู่ท่ีวัดแค เขตทงุ่ ลุมพลที างทิศตะวนั ออกของกรุงศรอี ยุธยา ตามประวตั ิเกา่ แก่ กล่าวไว้วา่
หลวงปทู่ วด ท่านไดศ้ กึ ษาเล่าเรยี นอยใู่ นกรุงศรีอยธุ ยานานถงึ 9ปี คอื ระหวา่ ง พ.ศ.2148 -2157 ตอน
น้ันพระภกิ ษุปู่หรือ หลวงป่ทู วด มอี ายุแค่ 32 ปี

ประวัตหิ ลวงปทู่ วด ตอนเจ้าเมืองลงั กาท้าพนันแปลพระไตรปิฎก

เมอื่ ถงึ เวลาที่ผู้คนจะได้รจู้ ักทา่ น ในรัชสมยั ของพระเอกาทศรถ กล่าวคอื สมยั นัน้ พระเจ้าวฏั ฏะ
คามินี แห่งประเทศลังกาต้องการจะไดก้ รงุ ศรีอยธุ ยาไวใ้ นอานาจ แต่ไม่ตอ้ งการท่จี ะรบราฆา่ ฟนั กนั ด้วย
อาวุธ จงึ คิดกลอุบาลด้วยการทา้ พนันแปลธรรมะ และตอ้ งการจะแผ่พระบรมเดชานุภาพมาทางแหลม
ทอง ใคร่จะได้กรงุ ศรอี ยธุ ยามาเป็นประเทศราช แตพ่ ระองค์ไมป่ รารถนาใหเ้ กดิ ศกึ สงครามเสียชวี ติ แก่
ประชาชนทั้งสองฝา่ ย จงึ ทรงวางแผนการเมอื งดว้ ยสนั ติวธิ ี คิดหาทางรวบรัดเอากรุงศรอี ยุธยาเปน็
เมอื งขึ้นดว้ ยสตปิ ัญญาเปน็ สาคญั เมือ่ คดิ ไดด้ ังนนั้ พระเจา้ กรงุ ลงั กาจึงมพี ระบรมราชโองการสงั่ ใหช้ า่ ง
หลวง นาทองคาจากท้องพระคลงั เบิกจา่ ยทองคาบริสุทธ์ิแล้วให้ชา่ งทองประจาราชสานักไปหล่อ
ทองคาเหล่านน้ั ใหเ้ ป็นตัวอักษรบาลเี ลก็ เทา่ ใบมะขาม ตามพระอภิธรรมทัง้ เจด็ คมั ภีร์ จานวน 84,000
ตัว จากนนั้ ก็ทรงรบั ส่งั ใหพ้ ราหมณผ์ ูเ้ ฒ่าในราชสานัก จานวน 7 ทา่ นคมุ เรือสาเภาเจ็ดลาบรรทกุ เสอ้ื ผ้า
แพรพรรณ และของมีคา่ ออกเดินทางมายังกรงุ ศรอี ยธุ ยาพรอ้ มกับปรศิ นาธรรมของพระองค์ เมอ่ื
พราหมณ์ท้งั เจ็ดเดินทางลุล่วงมาถงึ กรงุ ศรอี ยธุ ยา แล้วกเ็ ข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นของกษตั ริยต์ นแก่
พระเจ้าเอกาทศรถ มีใจความในพระราชสาสน์ ว่า...

พระเจา้ กรุงลังกาขอท้าให้พระเจ้ากรุงสยามทรงแปลและ เรยี บเรยี งเมล็ดทองคาตามลาดบั ใหเ้ สรจ็
ภายในกาหนด 7 วนั นบั แต่วันที่ไดร้ บั พระราชสาสน์ นี้เป็นตน้ ไป ถา้ ทรงกระทาไมส่ าเร็จตามสัญญาก็
จะยดึ กรงุ ศรีอยธุ ยาใหอ้ ยูใ่ ต้พระบรมเดชานภุ าพของพระองค์ และทางกรุงสยามจะต้องส่งดอกไมเ้ งนิ
ดอกไมท้ องอีกทั้งเครอ่ื งราชบรรณาการแก่ กรงุ ลงั กาตลอดไปทกุ ๆ ปเี ยยี่ งประเทศราชทงั้ หลาย เมอ่ื

พระเอกาทศรถทรงทราบความ ดงั นน้ั จึงมีพระบรมราชโองการให้ ขนุ ศรธี นนชัย สังฆการี เขียน
ประกาศนมิ นตพ์ ระราชาคณะและพระเถระท่วั พระมหานคร ใหก้ ระทาหนา้ ท่ีเรยี บเรียงและแปล

ตวั อักษรทองคาในคร้ังนี้ แตก่ ไ็ ม่มีท่านผู้ใดสามารถเรียบเรยี งและแปลอกั ษรทองคาในครงั้ น้ีได้ จนกาล
เวลาลลุ ว่ งผ่านไปไดห้ กวนั ยงั ความปรวิ ติ กแก่พระองค์และไพร่ฟ้าประชาชนตา่ งพากันโจษขานถงึ เรือ่ ง
นใ้ี ห้ อ้อื อึงไปหมด

คร้นั ในคืนท่ี 6 พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั เข้าพระบรรทมทรงสบุ นิ ว่า ไดม้ ีพระยาชา้ งเผือก
ลักษณะบริบรู ณเ์ ฉกเชน่ พระยาคชสารเชอื กหนง่ึ ผายผันมาจากทางทศิ ตะวันตก เยอื้ งย่างเข้ามาในพระ
ราชนเิ วศนแ์ ลว้ ก้าวเข้าไปยืนผงาดตระหง่านบนพระ แท่นพลางเปลง่ เสยี งโกญจนาทกึกกอ้ งไปท่ัวท้ังส่ี
ทิศ เสียงท่โี กญจนาทด้วยอานาจของพระยาคชสารเชอื กน้นั ยงั ให้พระองค์ทรงสะดงุ้ ต่นื จากพระ
บรรทม

รุ่งเช้าเมอ่ื พระองค์เสด็จออกวา่ ราชการ ไดท้ รงรบั สงั่ ถึงพระสบุ นิ นิมติ ประหลาดให้โหรหลวงฟัง
และไดร้ ับการกราบถวาย บังคมทูลว่า เร่อื งนี้หมายถึงชัยชนะทย่ี งิ่ ใหญ่ของพระองคแ์ ละพระบรมเดชานุ
ภาพจะแผ่ไพศาล ไปทั่วสารทิศเปน็ ท่เี กรงขามแกอ่ รริ าชทงั้ ปวง ท้งั จะมีพระภิกษุหนุ่มรูปหนงึ่ จากทาง
ทศิ ตะวนั ตก มาช่วยขันอาสาแปลและเรยี บเรียงตวั อกั ษรทองคาปรศิ นาได้สาเรจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ไดฟ้ งั
ดงั นัน้ จึงค่อยเบาพระทยั และรับส่ังให้ขา้ ราชบรพิ ารทงั้ มวลออกตามหาพระภิกษุรูปน้ันทันที

ต่อมาสงั ฆการไี ด้พยายามเสาะแสวงหาจนไปพบ "พระภิกษุปู"่ (หลวงป่ทู วด) ที่วดั ราชานุวาส
และเมือ่ ได้ไต่ถามได้ความว่าทา่ นมาจากเมืองตะลุง (พัทลุงในปจั จบุ ัน) เพื่อศกึ ษาพระธรรมวนิ ัย สังฆกา
รี จงึ เล่าความตามเป็นจริงให้ พระภิกษุปู่ ฟังท้งั ไดอ้ า้ งตอนท้ายว่า "เหน็ จะมที า่ นองค์เดยี วที่ตรงกับพระ
สุบินของพระเจ้าอยหู่ ัว จงึ ใคร่ขอนมิ นตใ์ ห้ไปช่วยแกไ้ ขในเร่อื งรา้ ยดังกล่าวให้กลายเป็นดี ณ โอกาสน้ี"
คร้ันแลว้ เจ้าสามีรามกต็ ามสงั ฆการไี ปยังทปี่ ระชมุ สงฆ์ ณ ทอ้ งพระโรง พระเจา้ อยู่หัวทรงมรี ับส่ังให้

พนักงานปูพรมใหท้ า่ นนั่งในทีอ่ นั ควร หนังสอื ตานานบางเล่นกลา่ วว่า...ตอนนี้พระภกิ ษปุ ู่ แสดงอาการ
ประหลาด คอื เอนกายลงนอนท่าตะแคงสหี ไสยาสน์ แลว้ ลุกข้นึ น่งั ตวั ตรง ตอ่ มาก็กระเถบิ ไปขา้ งหน้า 5
ครง้ั จากนัน้ กน็ ั่งยงั ท่ีเดิม ทาให้พราหมณ์ท้ัง 7 คนหัวเราะพระภิกษุปู่ และดหู มน่ิ หาว่าทา่ แสดงเหมอื น
เดก็ ไร้เดยี งสา จากนน้ั พราหมณ์ จึงรบี นาบาตรใส่อกั ษรทองคาเขา้ ไปประเคนแก่ พระภิกษุปู่ เมอ่ื ท่าน
ได้รับแลว้ ก็คา่ บาตรเทอกั ษรทองคาออกมาแลว้ เริม่ ตน้ เรยี งอักษรตามลาดบั ตามพระคมั ภีรโ์ ดยไม่รอช้า
สกั พักเดียวกเ็ สรจ็ แตอ่ ักษรขาดหายไป 7 ตัวคือคา สงั วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ ท่านจึงทวงถามเอาท่ี
พราหมณ์ทง้ั เจ็ดวา่ เอาอกั ษรมาไม่ครบ หรือว่าแอบซุกแอบไวท้ จ่ี ุกมวยผมแต่ละคนก็จงนามาใหเ้ ถิด
พราหมณ์ผู้เฒา่ ท้ัง 7 คนตา่ งตกใจหนา้ ซดี คดิ ไม่ถึงวา่ กรงุ ศรอี ยธุ ยาจะมีพระภิกษุเก่งกลา้ เช่นน้ี จน
พราหมณ์ผู้เฒา่ ท้ัง 7 สยบยอมแพ้อย่างราบคาบ

พระเจ้าอย่หู ัวแหง่ กรงุ ศรอี ยธุ ยาทรงพระสรวลยินดีเป็นอยา่ งย่งิ จะถวายทรพั ยส์ มบัติแก่ทา่ นแต่
ทา่ นไมย่ อมรับเนื่องจากท่านเป็นสมณะ พระองค์จึงจนพระทัย จงึ ประกาศ พระราชทานสมณศักดเิ์ ป็น
“พระราชมนุ ีสวามีรามคุณปู มาจารย์” ตงั้ แตบ่ ดั น้นั

หลงั จากนั้นกรุงศรอี ยธุ ยา เกิดโรคหา่ ระบาดข้นึ อย่างรา้ ยแรงไปทว่ั เมือง ผ้คู นลม้ ตายราวใบไม้
รว่ งเพราะไมม่ ยี ารกั ษา ประชาชนเดอื ดรอ้ นเปน็ อย่างยิ่ง สมเด็จพระเอกาทศรถทรงราลึกถงึ ราชมุนี
สวามรี ามคณุ ูปมาจารย์ หรือพระภิกษุปู่ ที่จาพรรษาอยู่ทว่ี ัดแค จึงมีรับส่งั ให้สงั ฆการไี ปนิมนตท์ า่ นเข้า
วัง พระภิกษุปู่ไดน้ าเอาลูกแกว้ ค่บู ุญบารมีของทา่ นแช่น้าแลว้ ปลุกเสกนา้ พุทธมนต์ นาไปประพรมทั่ว
กรงุ ศรอี ยุธยาใครเจบ็ ป่วยกม็ าขอน้าไปดม่ื กิน ปรากฏว่าโรคหา่ ทีก่ าลังระบาดไปซบเซาลงและก็เหอื ด
หายไปในเวลาต่อมา บ้านเมืองกลับส่ปู กติสขุ ทาใหพ้ ระเจ้าอยู่หัวทรงพอพระราชหฤทยั เป็นอย่างยงิ่
ทรงมีรับสั่งว่า ถ้าท่านประสงค์สิ่งใดกใ็ หข้ อแจง้ ใหพ้ ระองคท์ ราบจะจัดถวายอปุ ถมั ภ์ทุกอยา่ ง

กาลเวลาล่วงเลยต่อมา พระภิกษปุ ู่ (หลวงปทู่ วด)คิดถงึ บ้านเกิด เลยถวายพระพรทูลลา ต่อ
สมเด็จพระเอกาทศรถ พระองคท์ รงอาลยั มาก แต่มอิ าจทรงขดั ได้ จึงตรัสให้ตระเตรยี มเรอื สาเภาพร้อม
ขา้ ทาสบรวิ ารและสงิ่ ของเครอื่ งใช้จาเปน็ จานวนมาก แตป่ รากฏว่าพระภิกษปุ ่ทู รงปฏิเสธ เม่อื ท่าน
เดนิ ทางถึงบ้านเกดิ ก็จาพรรษาอยทู่ ่วี ดั พัทธสิงหบ์ รรพตพะโคะ หา่ งจากตาบลชุมพลบ้านเกิดท่านไม่
มากนกั เม่อื ชาวบ้านทราบข่าวกต็ ่างชนื่ ชมยินดเี ลยพรอ้ มใจกันตัง้ ฉายานามใหท้ ่านใหมว่ ่า สมเดจ็ เจา้
พะโคะ เพอ่ื ให้สอดคลอ้ งกบั ชือ่ วัด เมอื่ ท่านจาพรรษาอยูท่ ่วี ัดพะโคะกเ็ หน็ ว่าวัดเสอื่ มโทรมมาก จึงคดิ ที่

จะบรู ณะซอ่ มแซม แตเ่ นอ่ื งด้วยชาวบา้ นแถวน้ันส่วนใหญ่ฐานะยากจน เม่ือสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวทรง
ทราบทรงให้ช่างและเงินตราจานวนมากเพอื่ ใหพ้ อทจี่ ะบูรณะวดั และจัดเรือสาเภา 7 ลาบรรทกุ บรรทุก
ส่งิ ของและอุปกรณก์ ่อสร้าง ตามตานานกลา่ ววา่ ใชเ้ วลาหลายปีกวา่ จะบรู ณะเสรจ็

วนั หน่ึงขณะท่สี มเด็จเจา้ พะโคะกาลังเดนิ ริมชายฝัง่ ทะเลหลวง โดยถอื ไม้เท้าศักด์สิ ทิ ธป์ิ ระจาตวั
มลี กั ษณะแปลกคอื คดไปคดมา และมรี ปู ร่างคลา้ ยงู โจรสลดั จีนซ่ึงแลน่ เรือเลียบชายฝ่งั มาทางนัน้ ได้
เห็นท่านเข้า คิดวา่ ท่านเปน็ คนเผา่ ประหลาดเพราะโกนศีรษะและนงุ่ หม่ ไมเ่ หมือนชาวบา้ น โจรสลัดจนี
จึงจบั ตัวทา่ นข้นึ เรือ เมือ่ เรอื ออกจากฝั่งไม่นานกต็ อ้ งหยดุ นิ่งกลางทะเลเฉยๆเหมือนมีอะไรมาตรงึ ไว้
แก้ไขอย่างไรก็ไมไ่ ดผ้ ล เรือจอดนงิ่ อยู่เป็นเวลาหลายวนั เสบยี งน้าดมื่ ก็หมดไมม่ จี ะกิน สมเดจ็ เจา้ พะโคะ
ท่านเห็นดังนัน้ จงึ นึกสงสารทา่ นจงึ เหยยี บกาบเรือใหญใ่ หต้ ะแคงต่าเรีย่ น้าลงไปข้างหนึง่ แลว้ ย่ืนฝ่าเทา้
ข้างหนึ่งเหยยี บลงบนผิวน้าทะเล สักครหู่ นึ่งน้าทะเลท่เี คยใสแจว๋ กลับขุ่นเหมือนน้าคลองขน้ึ มาทันที
ท่านยกเทา้ ข้นึ แล้วบอกให้พวกโจรลองกินน้าดู ปรากฏว่านา้ ทะเลบรเิ วณนั้นจดื สนทิ พวกโจรสลัดจีน
เห็นดังน้นั จงึ รีบก้มกราบเทา้ ขอขมาโทษฟังไมไ่ ด้ศัพทก์ ันเลยทเี ดยี ว แล้วนาทา่ นลอ่ งเรอื เล็กกลับข้นึ มา
สง่ ทีฝ่ ัง่ ในทนั ที

ส่วนสาเหตุทส่ี มเดจ็ เจา้ พะโคะหายไป(หลวงปทู่ วด)โดยมไิ ดบ้ อกกล่าวใคร ไมม่ ีใครรับรู้มากอ่ นวา่
ท่านไปไหนมีความจาเปน็ อะไรทลี่ ะท้งิ วดั ไปไมม่ ใี ครร้ทู ั้งนัน้ นอกจากตวั ทา่ นเอง หนังสอื บางเล่มที่
เขียนกันมาตอนหลังๆ ตามบันทกึ ของทา่ นพระครวู ริ ิยานุรักษ์ วดั ตานสี โมสร ปัตตานี ซงึ่ เขยี นจากคา
บอกเลา่ ของพระอปุ ัชฌายด์ า ดิษโร วดั ศลิ าลอย อาเภอสทิ้งพระ จังหวดั สงขลาวา่ ก่อนท่สี มเด็จทา่ น
พะโคะจะหายตัวไปจากวดั พะโคะได้มีสามเณรรูปหนง่ึ มาหาทา่ นทีก่ ฏุ ิ ไมท่ ราบเรอื่ งอะไรแลว้ ก็ลอ่ งหน
หายตวั ไปท้ัง 2 องค์ คอื มีสามเณรผเู้ ครง่ ครัดในพระธรรมวนิ ัยรูปหนึ่งอุทศิ ถวายชวี ติ ตนไว้ใน
พระพทุ ธศาสนาได้อธิฐานจิตว่าก่อนจากโลกนไ้ี ปขอได้เฝา้ เบื้องพระพักตรข์ องพระศรีอารยิ ์โพธิสัตว์
ดว้ ยกศุ ลท่ีสะสมมาแตช่ าตปิ างก่อนและดว้ ยกศุ ลจติ อันแรงกล้า

กลา่ วคือในคืนวันหนึ่งไดม้ ีชายนงุ่ ขาวหม่ ขาวมาหาพรอ้ มทั้งประเคนดอกไม้ดอกหน่งึ แล้วบอกว่า
น่ี คอื ดอกไมท้ ิพยจ์ ากสรวงสวรรค์ไม่รจู้ กั รว่ งโรย พระโพธิสัตวไ์ ด้มาจุตชิ ่วั คราวบนโลกมนุษย์น้แี ลว้

สามเณรจงถอื ดอกไม้น้อี อกตามหาเอาเองเถิด ถา้ พระภิกษุรูปใดรจู้ กั ดอกไมท้ ิพย์ พระภกิ ษุรูปนัน้ แหละ
คือพระโพธิสัตว์ซึ่งจะเป็นผูโ้ ปรดเวไนยสตั ว์ในโลกหน้า เมือ่ ชายแกใ่ ห้ดอกไม้ทพิ ยแ์ กส่ ามเณรแล้วก็จาก
ไป สามเณรได้ออกตามหาม่งุ หน้าสูว่ ัดต่างๆ แตไ่ ม่มพี ระภกิ ษสุ งฆร์ ูปใดสนใจไต่ถามเลย ดว้ ยความ
ศรัทธาอย่างเปย่ี มลน้ ก็ตระเวนหาไปเรอ่ื ย

วนั หนึง่ สามเณรไดเ้ ดนิ ทางมาถงึ วดั พะโคะ สามเณรไดพ้ บท่านสมเด็จพะโคะทก่ี ฏุ ิของทา่ น เมื่อ
ท่านหลวงปู่ทวดไดเ้ หลอื บไปเห็นดอกไมท้ พิ ย์ในมือสามเณร จงึ ถามว่า “นัน่ ดอกมณฑาทิพย์บนสรวง
สวรรค์ ผ้ใู ดให้เจ้ามา !!” สามเณรขนลุกซไู่ ปทั้งตัวแนใ่ จแล้ววา่ ตนไดพ้ บ พระโพธิสัตว์แลว้ สามเณรจึงนา
ดอกไมไ้ ปประเคนแก่ท่าน เม่ือสมเดจ็ พะโคะรับดอกไมท้ พิ ย์แลว้ ทา่ นน่ังคิดอยคู่ รหู่ น่ึง จงึ กวักมือเรียก
สามเณรเข้าไปในกุฏิชั้นใน ปดิ ประตูหน้าต่างลงกลอน และปาฏหิ ารยิ ์เมื่อหายตวั ไปทั้ง สามเณรและ
สมเดจ็ เจา้ พะโคะต้งั แตเ่ พลานัน้ โดยไมเ่ หลอื ร่องรอยไวใ้ ห้เหน็ อกี เลย...

คนทางใตเ้ ชือ่ ว่า สมเด็จเจา้ พะโคะ หรือ หลวงปู่ทวด เป็นพระโพธิสัตวอ์ งคห์ นง่ึ ลงมาโปรดบน
โลกมนษุ ยช์ ว่ั คราวแล้วทา่ นกน็ าดอกไมท้ พิ ย์พรอ้ มสามเณรข้นึ สวรรคไ์ ปพรอ้ มกัน สมเด็จทา่ นพะโคะ
ก่อนทีท่ ่านจะจากวัดพะโคะไปโดยไม่มีรอ่ งรอย ทา่ นไดท้ ง้ิ ส่ิงสาคัญไวท้ ี่วดั พะโคะ 2 อยา่ งคือ

1. ลกู แกว้ วิเศษ ท่ีพญางใู หญ่ได้คายใวใ้ ห้ท่านตอนท่านเปน็ ทารก

2. อกี สง่ิ หน่งึ ทที่ ่านทงิ้ ไวเ้ ป็นอนสุ รณท์ ีว่ ัดพะโคะคอื รอยเท้าของท่าน ที่ท่านเหยยี บประทบั ใว้
บนแทน่ หนิ บนหน้าผา ท่ีวดั พะโคะนัน่ เอง เปน็ สถานที่ศักด์สิ ิทธิ์มีผคู้ นกราบไหวเ้ ป็นประจาตราบเท่าทกุ
วนั

ประวัตพิ ระครวู สิ ยั โสภณ (อาจารย์ทิม)

พระครวู ิสยั โสภณ นามเดิมชือ่ ทิม นามสกลุ พรหมประดู่ เกดิ วันท่ี 21 สิงหาคม พ.ศ. 2455 ปี
ชวด ณ บ้านนาประดู่ ตาบลนาประดู่ อาเภอโคกโพธ์ิ จังหวัดปตั ตานี เปน็ บุตรของ นายอนิ ทอง นางน่มุ
พรหมประดู่ มีพ่นี อ้ งร่วมบิดามารดาเดียวกัน 6 คน

การศกึ ษาเมือ่ ปฐมวยั เมื่ออายุได้ 9ปี บดิ ามารดาได้นาไปฝากใหอ้ ยู่กบั พระครภู ัทรกรณโ์ กวิท
(เม่ือยงั เป็น พระภกิ ษุแดง ธมมโชโต) เจา้ อาวาสวดั นาประดู่ ซึ่งเป็นวัดใกล้บ้านเพ่ือให้เรยี นหนงั สือ
และไดเ้ ขา้ เรียนทโี รงเรียนวดั นาประดู่ เรยี นได้เพียง ป.3 แล้วออกจากโรงเรยี น แต่กย็ ังอย่กู บั พระภิกษุ
แดง เรยี นหนังสือสวดมนต์

พระอาจารย์ทิม และ พระภกิ ษุนอง ธมมภูโต

เม่อื อายุได้18ปี ไดอ้ ุปสมบท ณ พทั ธสมี า วัดนาประดู่ ตาบลนาประดู่ อาเภอโคกโพธิ์ จังหวัด
ปตั ตานี เมื่อวนั ท่ี 7 มถิ ุนายน 2476 พระครูพิบลู ยส์ มณวัตร เจ้าคณะใหญ่เมอื งหนองจกิ วดั มจุ ลนิ ทวา
ปีวิหาร เปน็ พระอปุ ัชฌาย์ พระอธิการพุฒ ตสิ สโร เปน็ พระกรรมวาจาจารย์
พระอธิการแก้ว เปน็ อนสุ าวนาจารย์

เมอ่ื อุปสมบทแลว้ ได้จาพรรษาอยูท่ ่วี ัดนาประดู่ 2 พรรษา แล้วยงั ไปอยู่สานักวัดมจุ ลนิ ทวาปี
วหิ าร เพอื่ ศกึ ษาพระปรยิ ัตธิ รรม ครัน้ ตอ่ มาได้กลับมาเป็นครูสอนพระปรยิ ตั ิธรรมวัดนาประดู่ ใน
ระหวา่ งที่เป็นครสู อนน้นั ได้จดั การสร้างกฏุ ิขึน้ 1 หลัง โดยรว่ มกันสรา้ งกับพระภกิ ษุนอง ธมมภโู ต
(อาจารย์นอง วัดทรายขาว)

วทิ ยฐานะในทางพระ สอบนกั ธรรมชนั้ เอกได้ในสนามหลวงวดั พลานุภาพ จงั หวัดปตั ตานี เมือ่
พ.ศ.2487 ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดชา้ งให้ เม่อื วนั ท่ี 15 กรกฎาคม 2484 ข้นึ 15คา่ เดอื น8 ปีมะเส็ง จ.
ศ.1303 หนา้ ที่ตาแหน่งและสมณะศกั ดดิ์ งั น้ี

พระอาจารย์ทิม
พ.ศ.2481-84 เปน็ ครูสอนพระปรยิ ตั ิธรรมวัดนาประดู่
พ.ศ.2484 ย้ายไปเป็นผู้รักษาการเจา้ อาวาสวดั ราษฎร์บรู ณะ (วัดชา้ งให)้
พ.ศ.2491 ได้รบั การแตง่ ต้ังเป็นเจ้าอาวาสวดั ราษฎรบ์ ูรณะ (วัดช้างให)้
พ.ศ.2493 เปน็ กรรมการสงฆ์อาเภอโคกโพธ์ิ ตาแหนง่ เผยแผ่อาเภอ
พ.ศ.2499 ไดร้ บั พระราชทานสัญญาบัตร เป็นพระครูวิสัยโสภณ
พ.ศ.2508 ได้รับเลื่อนสมณะศักดใิ์ นนามเดมิ เป็นพระครชู น้ั โทพัดยศขาว ฝา่ ยวปิ ัสสนา
พ.ศ.2509 ได้รับตาแหน่งเปน็ พระอุปชั ฌาย์

ทา่ นได้เริ่มอาพาธ พ.ศ.2510 และในวนั ท่ี 5 พฤศจิกายน 2512 เข้ารบั การรกั ษาท่ีโรงพยาบาล
ศิริราช หน่ึงสัปดาห์ แล้วกลบั ไปพกั ทีว่ ดั เอี่ยมวรนชุ บางขนุ พรหม 2-3 วนั ด้วยเหตุยงั ไมต่ กลงใจผา่ ตัด
หรือไม่ “ตกลงไมผ่ า่ ” วนั ที่ 7 พฤศจิกายน 2512 ได้ทาหนงั สือพินัยกรรม ท่ีวดั เอีย่ มวรนุช ให้ผู้ที่มี
รายชอ่ื 5 ทา่ น เปน็ ผรู้ บั มอบพนิ ัยกรรม จัดการทรัพย์สินของวัดและดาเนนิ การในเรื่องตา่ งๆ ในวันท่ี
17 พฤศจกิ ายน 2512 เข้ารับการรกั ษาที่โรงพยาบาลกลาง จนกระทง่ั ถงึ วนั ท่ี 30 พฤศจิกายน 2512
เวลา 00.37 น. มรณภาพ และพระราชทานเพลิงศพในวันท่ี 24 พฤศจิกายน 2518 ท่วี ดั ชา้ งให้
ปตั ตานี

ภาพ ปูชนียวตั ถุและสิง่ ก่อสรา้ งที่น่าสนใจ
ภายในวดั ราษฎร์บูรณะ (วัดชา้ งให้)























ท่มี า : Watchanghai , http://www.watchanghai.com/ , ประวัติวดั ราษฎร์บรู ณะ (วดั ช้างให้)
ประวตั หิ ลวงปู่ทวด.

Dhammathai, http://www.dhammathai.org/watthai/south/ , วดั ช้างให้
จงั หวัดปัตตาน.ี

Google, https://www.google.com/ . ภาพ วัดช้างให้ จงั หวดั ปัตตานี.


Click to View FlipBook Version