The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กฏแห่งกรรม ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๑ หลวงพ่อจรัญ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-02-17 20:44:48

กฏแห่งกรรม ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๑ หลวงพ่อจรัญ

กฏแห่งกรรม ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๑ หลวงพ่อจรัญ

Keywords: กฏแห่งกรรม ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๑,หลวงพ่อจรัญ

สว่ นนางทองใบภรรยาพอฟื นได้สติก็ร้องไห้โฮคล้ายคนบ้า วิงไปทที า่ นํ าลงไปประคองสามี
ทรี ัก เมือรู้ว่าสามีสุดทรี กั หมดลมไปก่อนแล้ว ไม่มีโอกาสได้สงั เสียบุตรภรรยา ก็กอดศพผัวรักรํา
ไห้สะอกึ สะดื นแทบจะขาดใจตายตามสามี ครั นจะอุ้มศพสามีขึ นจากนํ าก็อุ้มไม่ไหว พวกคนงานก็
ยังอยู่ในป่ า เหลือแต่ลูกก็ยังช่วยอะไรไมไ่ ด้ จาํ เป็นต้องหาเชือกมาผูกศพไว้กับสะพานท่านํ า
เพราะเกรงว่าเมือนํ าขึ นศพจะลอยไปไกลหรือจมห่างออกไปจากท่านํ าจะลําบาก รีบไปแจ้งความ
ให้ทางบ้านเมืองรีบมาชันสูตรศพตามระเบยี บ

นางทองใบนั นครั นสามที รี ักได้สิ นบุญไปแล้ว ทั งต้องสูญเสียพชี ายของสามีทั งตัวก็เป็ น
หญิง ทําอะไรไม่ถูก มแี ต่ความหวาดกลวั และเศร้าโศกเสียใจอย่างหนักยงิ คิดก็ยิงใจหายเพราะ
สามีต้องมาตายลงอยา่ งสดๆ ร้อนๆ ตัวก็มีความว้าเหว่ยังไม่เคยประสบกรรมหนักเช่นนี มาก่อนใน
ชีวิต จึงไม่สามารถจะอยู่มนดงป่ าตามลําพังกับลูกหลานตอ่ ไปได้ จึงตัดสินใจนําศพสามพี ร้อม
ด้วยพชี ายจัดการเผาอย่างตามมีตามเกิดให้เสร็จสิ นไป โดยเร็วในเขตทกีลางลานบ้าน มี
เจ้าหน้าทีมารับรู้ในการเผาครั งนี ด้วย เมือเสร็จแล้วก็รีบจัดแจงเก็บกระดกู ห่อผ้าขาวไว้ แล้วมิได้
รออยชู่ ้ารีบเกบ็ ข้าวของเท่าทมี อี ยู่พอจะนาํ ติดตัวไปได้ก็พาลูกๆ ลงแพแล้วกร็ ีบลอ่ งแพไปตามลํานํ า
แคว เพือกลับภูมิลําเนาเดมิ แต่เคราะห์กรรมมิได้สดุ สิ นลงเพียงเทา่ นั น ได้ติดตามสนอง
ครอบครวั ของหมอชลอต่อไป

การล่องแพนั นเป็นการเสียงอันตรายมากหากไม่ชาํ นาญรอ่ งนํ าแล้ว อาจชนหนิ แก่งใต้นํ า
ทาํ ให้แพแตกได้ แพทนี างทองใบภรรยาหมอชลอก็เช่นกันคนถ่อแพคงไม่ชํานาญจึงเกิดไปกระทบ
กับโขดหินใต้นํ าจนแพแตก พวกเด็กๆ ต้องลอยคอกันอยู่ในนํ า แต่เคราะห์ดีทีได้มีชาวบ้านช่วยกัน
ทันไว้ จึงไม่มใี ครเป็ นอันตรายถึงแก่ชีวติ เพราะพาเข้าฝังได้ เคราะหก์ รรมมิได้หยุดยั งได้ตดิ ตาม
ซํ าเติมบุตรภรรยาหมอชลอ กว่าจะแก้ปัญหาการเดินทาง กว่าจะกลบั มาถึงภูมิลําเนาเดิมทีบ้าน
บางสําโรง อาํ เภอพรหมบุรี จังหวัดสิงหบ์ ุรี ก็ได้รับความลําบากยากแค้นแสนสาหัสเลือดตาแทบ
กระเดน็ เป็ นเรืองเศร้าสลดใจเท่าทเี คยได้ยินมา

เมือมาถึงบ้านบางสําโรงแล้ว พวกญาติพีน้องก็พากันมาเยยี มแสดงความเสียใจในการ
ตายของหมอชลอ และความทุกข์ยากลําบากของนางทองใบและลกู ๆ ในการเดนิ ทางต้องผจญ
ชีวิตแม่ๆ ลูกๆ พวกพีน้องได้พร้อมใจกันกาํ หนดวันจัดการทําบุญกระดกู เพืออุทิศสว่ นกุศลให้หมอ
ชลอกับพีชาย เจ้าภาพได้มานิมนต์ให้อาตมาไปร่วมในงานนี แต่บังเอญิ รบั นมิ นต์ทีอืนไว้ก่อน จึง
ไม่ได้ไปในวันงาน เพือให้ญาติโยมทั งหลายได้ทราบถึงกรรมในอดตี ชาตินั นมงีจริ สามารถจะ
กลับมาสนองในชาตินี ได้ ไม่มีปัญหาข้อความใดๆ สงสัยอีก

หลังจากวันทีอาตมาไปเทศน์ก่อนวันงานนั น ได้มีญาติพนี ้องเพือนฝงู คุ้นเคยได้พากันไป
เยียมและซักถามถึงสาเหตุการตายของหมอชลอ ทาํ ให้นางทองใบระลึกถึงสามคี ู่ชีวิตต้องมาตา
ยอย่างน่าอเน็จอนาถใจ กเ็ ริมเสียใจร้องไห้สอกึ สอื นปริมว่าชวี ิตจะจากร่างตามสามไี ป ผู้ทีได้ยิน

ได้ฟังเหตุการณท์ ีเกิดขึ นกับหมอชลอจนทสี ดุ ก็ต้องตายอยา่ งน่าสงสารทีประสบโชคร้ายเช่นนี
ต่างก็พลอยเศร้าโศกเสยี ใจไปด้วย และตา่ งก็เห็นใจนางทองใบทรี ักสามีอย่างสุดซึ ง เล่าไปร้องไห้
ไปท่ามกลางหมู่ญาติพีน้องมติ รสหายผู้คุ้นเคย ซึงบางคนก็ไม่สามารถจะกลั นนํ าตาได้ก็พลอย
ร้องไห้ไปด้วย ความเศร้าเสยี ใจหนักจนทาํ ให้นางทองใบสลบแน่นิงไป หมู่ญาติต้องช่วยกันแก้ไข
ให้รู้ตัวขึ นมาแล้วนางทองใบก็มิได้สร่างความเศร้าโศก ยิงนึกยิงเสียใจร้องไห้รําพันงถคึ วามดีของ
หมอชลอผู้เป็นสามีมไิ ด้หยุด มิได้ระงับความทุกข์ไว้ เพราะขาดสตไิ ด้ปล่อยไปตามอารมณ์ และ
ในทีสุดกเ็ ป็นลมสิ นสติลงไปอีก เพราะเสยี ใจมากเกนิ ไป แน่นิงไปในทีท่ามกลางหมู่ล้อมรอบด้วย
ญาติพนี ้องเพอื นฝงู ต่างพากันตกตลึงช่วยกันแก้ไขอกี ครั งหนงึ แตไ่ ม่ใี ครสามารถทจี ะชว่ ยอะไร
ได้ เพราะนางทองใบได้สิ นใจลงเพราะหัวใจวาย เมอื วันท๘ี ตุลาคม พ.ศ.๒๕๐๔ ต้องทิ งให้
ลูกหลานผจญชีวิตอยูใ่ นโลกต่อไป

หลังจากนั นไม่นานก้ได้ข่าวว่า ทางเจ้าหน้าทตี าํ รวจมิได้นิงนอนใจ ท่านผู้กํากับ พัน
ตาํ รวจเอกยงยุทธ เกษรมาลา ได้นํากําลังตํารวจหลายหน่วยงติดตามจับกุมพวกโจรผู้ร้ายทีทํา
การอุกอาจเทียวปล้นทําลายชีวิตและทรพั ย์สินของประชาชนชาวบ้าน ผลกรรมตามสนองตํารวจ
ได้ล้อมไว้เสือไม่ยอมมอบตัว และได้ยิงต่อสู้เจ้าหน้าที ทีสุด เสอื สวัสดิ อุดม และเสอื ปี ปิ ยะ
พันธ์ ซึงเป็นหัวหน้าโจร และรองหัวหน้าโจรเป็นผู้เข้าปล้นและฆา่ พีชายหมอชลอ และต่อมากย็ ิง
หมอชลออย่างใจเย็นก็ถูกกระสุนปื นของตาํ รวจตายตามกรรมทีได้ก่อไว้ ส่วนสมนุ โจรกย็ อมเข้า
มอบตัวและถูกจับรวม๓๘ คน เมือเจ้าหน้าทีไต่สวนแล้ว ก็ฟ้ องลงโทษทางโรงศาลต่อไป

นอี าตมาก็คดิ ว่าเป็นตัวอย่างทมี ีผู้สร้างบาปอย่างอนันตกรรมไว้ในอดตี ชาตซิ ึงได้มาตาม
สนองในชาตินี หรือจะเรียกว่ากรรมเก่าชาตกิ ่อนมาสนองในชาตินี ขอให้ญาตโิ ยมทั งหลายจง
พิจารณาดวู ่า ทกุ คนเกดิ มาใช้หนี กรรมไมว่ ่าจะเป็นกรรมดํากรรมชัว ย่อมตามสนองเราอยู่เสมอ
ไม่มีใครหนีพ้นกรรมไปได้ ขอให้ญาตโิ ยมทั งหลายใช้สติปัญญาพิจารณาดูเป็นตัวอย่างในเรืองนี

เมอื ท่านพระครูเล่าเรืองนี จบลงแล้ว พวกเรากส็ นทนากับท่านอยู่พักหนึงเห็นเวลาจะเทยี ง
คืนแล้ว เดือนกาํ ลังจะแจม่ ฟ้ า เรามองดูตากนั แล้วพยักหน้า ต่างก็ก้มลงกราบนมัสการท่าน
อาจารยพ์ ระครูภาวนาวิสุทธิ เพอื ท่านจะได้พักผ่อนจําวัด เพราะรู้สึกว่าท่านจะมีแขกมาสนทนา
กับท่านตลอดเวลา

เมือเราขึ นรถออกจากวัดอัมพวัน แล้วมุ่งหน้ากลับจังหวัดลพบุรี ขากลับนี แสงจันทร์สว่าง
กระจายออกไปทัว เพราะเป็ นเวลาเพียงแรมหนึงคํา แต่พวกเราก็นังเงียบมไิ ด้ปริปากพูดอะไร
เพราะทกุ คนกใ็ ช้หัวคิดจะพูดออกมาแต่ละคํากม็ ักจะพูดถึงเรืองกรรมในอดีตชาติ นอกจากเสียง
เครืองยนต์ของรถ ซึงกาํ ลังผ่านทุ่งนาป่ าดงริมเขาลําเนาไพร ซึงมีดวงจันทร์ส่องกระจ่างอยู่กลาง
เวหา เพราเวลากําลังจะย่างเข้าวันใหม่ ทีสุดเราก็กลับถึงทีพักในค่ายทหาร สงิ ทีเราได้รบั ความรู้

ในคนื นั นก็คือ “เรืองอดีตชาติ” ไม่มีข้อสงสัยอะไรเหลือไว้เป็นปัญหาอีกแล้ว หากจะมีกเ็ ฉพาะ
บุคคลทมี ีระดับจิตแตกต่างกันเท่านั น

ผู้เขียนเรียบเรียงเรืองนี ขึ นจากท่านผู้บันทึก ซึงเป็นนายทหารผู้หนงึ ได้กรุณาสง่ มาให้หาก
ท่านผู้อ่านยังสงสัยเรืองอดตี ชาติทีได้บรรยายมานี ยังมีสิงใดไม่แจ่มแจ้ง ก็ได้กรุณาถามไปทาง
ท่านพระครูภาวนาวิสทุ ธิ ทีวัดอัมพวัน อาํ เภอพรหมบุรี จังหวัดสิงหบ์ ุรี ท่านคงจะได้ข้อความ
แจ่มแจ้งกว่านี ท่านอาจให้ความรู้สึกซึ งกว่าทีได้บรรยายมาแล้ว และขอกราบนมัสการ
ขอบพระคุณทา่ นพระครูภาวนาวิสุทธิ ทีได้กรุณาให้ลงชือจริงได้ทุกท่าน และตาํ บลทีอยู่อย่างแจ่ม
แจ้ง เพือคลีคลายทบี างท่านจะนึกสงสัยว่าเรืองจริงหรือเรืองแต่ง คงหมดหน้าทผี ู้เขียนจะต้องคอย
ตอบคาํ ถาม และนับว่าเรืองนี คงจะเกิดประโยชน์ขึ นบ้างไม่มากก็น้อย ขอให้ความดีของอเรงื
ทั งหมดอุทิศให้แกบ่ ุคคลผู้เกยี วข้องในเรืองนี ทีได้ล่วงลับไปแล้วทุกทา่ น และผู้เรียบเรียงจะลมื เสีย
มไิ ด้กค็ ือ ขอขอบคุณ พันเอกวสันต์ พานิช และพันตรีเทียง กนกนุวัตร ผู้ได้ให้ความกรุณา
บันทกึ เรืองจากท่านพระครูภาวนาวิสุทิ ทีเกิดขึ นแล้วส่งมา พเือจะได้เกิดประโยชน์ส่วนรวม
ต่อไป

ภาคธรรมปฏิบตั ิ

ปั ญญาเกิดจากการปฏิบัติ

(ภาวนามยปัญญา)

การกําหนดท้องพองยุบ ก็คอื อานาปานสตทิ พี ระพุทธเจ้าได้ดําเนนิ มาแล้วเช่นเดียวกัน

สมาธิแน่วแน่นตี ่างกัน ทางทีเจริญปญั ญาตามสติปัฏฐาน ๔ สมาธิยังไม่คงทคี งวาคงศอกแนว่ แน่
แต่ประการใด มันจะมีพวกกิเลสต่างๆ อารมณต์ า่ งๆ มาแทรกแซงอยู่เสมอ นเี ราใช้สติกาํ หนดได้
อย่างนี มันจะมีความสงบได้แค่ไหนไม่สําคัญ สําคัญทเี ราจะกาํ หนดได้ในปัจจุบันหรือไม่เท่านั น
แล้วปัญญาจะเกิดเองตามลําดับ แล้วความคุ้นเคยก็จะมาสงบต่อในภายหลัง

ในด้านวิปัสสนาอันนี ก็ค่อยเป็นค่อยไป ทอี าตมาวต่าังสตทิ ีลิ นปี นีเราต้องสะสมไว้ให้
ได้ อาตมาเคยสอนเดก็ มาแล้ว บางทีเขาเรียนวิชาการทีจะสอบ คิดไม่ออกก็ให้ตั งสติทีลิ นปี เป็น
วิธีปฏิบัตไิ ด้ผลมาแล้ว คอื การกําหนดโดยหายใจยาวๆ ตั งสติไว้ทีลิ นปีเป็ นวิธีปฏิบัตไิ ด้ผลมาแล้ว
คือการกําหนดโดยหายใจยาวๆ นีสําหรับนักศกึ ษาเด็กชั นระดับวิทยาลัย อีกสักครูห่ นึงเขาคิดออก
ตอบได้ตามนั นแล้วไม่เคยผิดพลาด อันนี เป็นวิธีปฏิบัตสิ าํ หรบั ลิ นปี บางทีเราไม่รู้ตัวว่ามันมีอะไร
เกิดขึ น เรากไ็ ม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร ถ้าเรามสี ตกิ ็กาํ หนดตรงลิ นปี รู้หนอๆ พอสตดิ ีปัญญาเกิด
เราก็รู้อะไรขึ นมาเหมือนกนั อันนี ไม่ใช่วธิ ฝี ึก แต่เป็ นวิธีปฏิบัติทีเกิดเฉพาะหน้า กป็ ฏิบัติอยน่าังน

แต่ฝึกทีว่าพองหนอ ยุบหนอ การเดินจงกรมนั นเป็นการฝึกตามระเยบบี ทีกําหนดนันเอง
ปัญญานี ไมใ่ ชว่ ิชาการ ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตามหลักทีพระพุทธเจ้าสอนนี ต้องทิ ง
ตํารับตาํ ราวิชาการ โดยปฏิบัตติ ามหลักเหตุผลนี โดยทิ งทิฐิ ทิ งตํารับตําราหมด กาํ หนดไป
เรือยๆ เป็นการสะสมหน่วยกิตให้เกิดปัญญา คอื รอบรู้เหตุผลในอารมณ์ทีเกดิ ขึ นแก้ปัญหาได้
อย่างแน่นอน ยกตัวอย่างเขามาถามปัญหาท่าน ถ้าท่านมีปัญญาในเรืองนี ท่านจะแก้ปัญหาให้
เขาได้ประการหนึง ประการที ๒ ถ้าเรามปี ัญหาเกิดขึ นเหมอื นผงเข้าตาเรา เราสามารถใช้ปัญญา
แก้ไข ก็คือความสามารถให้เกิดความสุขในครอบครวั ได้ นปี ัญญาอยา่ งนี ไม่ใช่มานังแล้วเกิด
ปัญญาไปเห็นโน้นเหน็ นี

ปัญญาทรี อบรุ้เหตุผล คือ ปัญญาช่วยตัวเองได้ สามารถจะขจัดปัดเป่ าความชัวจากตัว
ได้ แล้วกิเลสทีเกิดขึ นแก่ตัวเรา สามารถยับยั งได้ทันเวลา ไม่ใช่ปัญญารู้ว่าต้องค้าขายอย่างนั นได้
กําไร อย่างนี ได้กําไร ไมใ่ช่อย่างนั นแน่ ปัญญาทีเราประสบมาจากการวิปัสสนานี มันบอกกัน
ไม่ได้ และให้กันไม่ได้ด้วย มันเป็นพรสวรรคข์ องใครของมัน บางท่านทีเป็นวทิ ยากรก็มีเทคนิคอีก
อย่างหนงึ บางท่านก็มีอีกอยา่ งหนึงสามารถแก้ปัญหาในสว่ นนั นได้

ปัญญาของวิปัสสนานี เราจะรู้ได้ คนนมีทุกข์เราจะแก้ทุกข์ให้เขาอย่างไร เราจะพูดตาม
วาระจติ เหมือนพระพุทธเจ้าไปทรงโปรดกับสัตวท์ ั งหลาย รู้วาระจติ ของคนอยา่ งนั นแก้ไขได้ตาม
ขั นตอน แต่ปัญญาทีเกิดขึ นไม่ใช่ปัญญาในเรืองทํามาหากินโดยเฉพาะ แต่มันเป็ นผลพลอยได้

อันหนึง เช่น ปัญญารอบรู้ในสังขาร รเูห้ ตุการณ์ทีเกิดขึ นเฉพาะหน้าในตัวเรา แก้ปัญหาได้

เดียวนี

ตามปกตินีเราไม่รู้ว่าปัญญาเกิดขึ นได้อยา่ งไร ปัญญานี ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาด

โดยเฉพาะ แต่มันเกดิ ปัญญาสามารถแก้ปัญหาทีเกิดเฉพาะหน้าได้ทันท่วงที อันนี หายากอย่าง

ทีว่า เห็นหนอ นีทีอาตมาว่านอี าตมาก่อนจะรู้เป็ นเวลานาน โมหะเกิดขึ นในตัวเราสามารถยับนั ง

ได้ทันท่วงที อาตมาว่าขอให้จับให้ได้ว่า คนเดินมานี มีธุระอะไร แต่เราทาํ กันไม่ได้ ไม่เคยกําหนด

นันเอง จึงไมม่ ปี ระสบการณ์กับปัญหาเรืองนี บางทีผู้หญิงมา ผู้ชายมา เราจะได้มปี ัญญารู้ว่า

เขามาธุระอะไร เรืองอะไรกับเรา นีไม่ใช่เป็นวิชาการ แต่มันมีปัญญาเกิดขึ นจากสติตัวเดียว

เท่านั น ดูหน้าตาอรู้ันนี ก็สังเกตเหตุการณ์ อันนี บอกกันยากนะ ปฏิบัติไปเรือยๆ จะเห็นชัด ถ้า

เราเป็นนักวิชาการ เราไปเชือตําราแล้วไม่ปฏิบัติ ผลทีเกดิ จากการปฏิบัติจะไม่มี

การศึกษาภาคปฏิบัตินียากมาก คอื อารมณ์เปลียนแปลงหลายอย่างมาแทรกแซงเรา ก็

ขอเจริญพรว่าให้กําหนดทีละอย่าง ศึกษาไปทีละอย่าง ทนี ี มันฟุ ้ งซา่ น ความวัวยังไม่ทันหาย

ความควายเข้ามาแทรกแซงตลอดเวลา เพราะไมไ่ ด้ปฏิบัติมานาน เราไม่ได้ฝึกทางนี ไม่ต้องวจิ ัย

ประเมินผล ให้เกิดขึ นเอง เกิดขึ นด้วยปัญญาของเรา ปัญญาตัวนี สําคัญ ไม่ใชป่ ัญญาสามารถ

ทางวิชาการ แต่กลับเป็ นปัญญาทางใน เช่นมีเวทนากําหนดทีละอย่าง มันก็ปวดอย่างทีอาตมา

เจริญพรแล้ว ยิงปวดหนักๆ เดยี วมันจะเกิดอนิจจังไม่เทียง มันเป็ นทุกข์จริงๆ นะ ทุกข์นคี ือตัว

ธรรมะ เราจะพบความสขุ ต่อเมือภายหลัง แล้วเวทนาก็เกิดขึ นสับสนอลหม่านกัน แล้วความวัว

ไม่ทันหาย ไอ้โน่นแทรกไอ้นีแซงตลอเวลาทําให้เราขนุ่ มัว ทาํ ให้เราฟุ ้ งซ่านตลอดเวลา

เราก็กําหนดไปเรือยๆ ทีนี ถ้าปัญญาเกิดขึ นเป็นขั นตอน มันกจ็ ะรู้ในอารมณืนั นได้อดย่ีาง

ด้วยการกําหนด มันมีปัญหาอย่วู ่า เกิดอะไรให้กําหนดอย่างนั นอย่าไปทิ ง อริยสัจ๔ แน่นอน

เกิดทุกข์แล้วหาเหตุทีมาของทุกข์ เอาตวั นั นมาเป็ นหลักปฏิบัติ แล้วจะพบอริยสัจ๔ แนน่ อนโดย

วิธีนี อันนี ขอเจริญพรว่าค่อยๆ ปฏบิ ัติ กําหนดไปเรือยๆ พอจิตได้ที ปญัญาสามารถตอบปัญหา

สบิ อย่างได้เลยในเวลาเดียวกัน คนมาเรอื งโน้นเรอื งนี เดียวคอมพิวเตอร์ตีสามารถจะแยก

ประเภทบอกเขาได้ อารมณ์ฟุ ้ งซ่านต้องเป็นแน่ เพราะเราเพิงปฏิบัตไิ ม่นาน

แต่อาตมาทํามานานแล้ว ๓๐ กว่าปีแล้ว แล้วทําอย่างจริงจังถงึ จะได้รู้ว่าตัวเวทนาเป็นตัว

ธรรมะ ตัวทุกข์นีเป็ นตัวธรรมะ แล้วตัวสขุ นี เป็ นเรืองเล็กไปเลย เมือก่อนนี เราก็หาไอ้เรืองสุข

ต้องการมีความสขุ ความเจริญด้วยกันทุกคน แต่เราไม่ผ่านความทกุ ข์เลย เรากส็ ุขเจือปนในความ

ทุกข์ ไม่แน่นอน ความสุขเป็ นอนิจจังอย่างแนน่ อน

อาตมาก็ทาํ หลายๆ อยา่ ง เลยจับจุดนี ได้ เราจึงแบ่งวาระจติ ออกไปทํางานและโอกาสที

มันจะเกิดปัญญาเหตุผลข้อเท็จจริงสามารถจะเอาปัญญาของเรานี ไปชว่ ยคนอืนได้ บอกหนทาง

คนอืนได้ แต่นมี ันกไ็ ม่ใชว่ ิชาการ คือพองหนอยุบหนอให้ชัดๆ ไว้ ถ้ามันชัดไม่ได้ในตอนใหม่ๆ ก็
ค่อยเป็นค่อยไปอย่างทีอาตมาวา่ นอนตั งสติไปเรือยๆ

อาตมาว่าเรายึดทางสายเอก ทางอืนอาจจะถูกของท่าน แต่เราไม่เคยปฏิบัติ เราก็
อาจจะว่าของท่านไม่ถูก ให้มีสตกิ ็ใช้ได้ แต่อาตมาว่าอย่างนี ง่ายๆ กค็ ือ สติปัฏฐาน ๔ กาย
เวทนา จิต ธรรม ปฏิบตั ไิ ด้ทุกเวลา อายตนะธาตุอนิ ทรีย์เป็ นหลักของเรา อินทรีย์เป็ นหน้าที
รับผิดชอบ เกดิ จิตทีอินทรีย์ หน้าทีสัมผัส มันก็ปรุงแต่งขึ นมาโดยเพาะ ตั งสตไิ ว้แล้วกด็ ับวูบลงไป
อันนี เป็นคําสอนทางสายเอกนะ

พระพุทธเจ้าว่าทางาสยเอกนั นทําได้ทกุ เวลา จะยืนเดินนังนอน เหลยี วซ้ายแลขวามี
สตสิ ัมปัชญั ญะทุกเวลากาล จะหยิบก็มีสติ หยิบแล้วให้รู้ตัวว่าหยิบอะไร อันนี เป็นคําสอนของ
พระพุทธเจ้าทีละเอียดอ่อน โดยอิริยาบถทีเราทําอยู่ทุกวันนี ก็เป็นสตปิ ัฏฐาน๔ มีสตหิ มด แต่ทีเรา
ฝึกปฏิบัตินะ เชียวชาญแล้วไม่ต้องกําหนด มันเกดิ ขึ นเอง เวลาเรายกมือขึ นหรือจะหยิบอะไรนี
สตจิ ะบอกว่าหยิบมาทําอะไรและเกิดประโยชน์อยา่ งไร ปัญญามันจะสอดคล้องต้องกัน

เรายึดหลักสตปิ ัฏฐาน ๔ เป็ นข้อปฏิบัติ เพราะเราทาํ ได้ผลมาแล้ว มันเกดิ ปัญญารอบรู้
เหตุผลชีวิตของเราทีจะต้องเกิดขึ นในวันหน้า อันนี เป็นอกี รูปหนึง บางแห่งกป็ ฏิบัตกิ ันอีกอย่าง
หนึง บางแห่งก็ปฏิบัตกิ ันอีกอย่างหนึง แต่ก้คงถูกจุดมุ่งหมายอย่างเดยี วกันอย่างทีอาตมาเคยพูด
เสมอคืดคลําช้าง มันก็คอื ช้างด้วยกัน เป็ นช้างตัวเดียวกัน จะว่าไปของทา่ นผิดก็ไมไ่ ด้หรอก

แต่การทีแก้จริตในสมถะ ๔๐ ประการนั น ก็ต้องแก้จรติ ไปแล้ว แตช่ อบเพ่งรูปสวยกไ็ ป
สําเรจ็ มรรคผลนิพพานเหมือนกัน เสียงเพราะก็ไปสําเรจ็ มรรคผลนพิ พานเหมือนกัน แต่ต้องเจือ
จางหายไปด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กไ็ ปเป็นทางวิปัสสนาได้ แตบ่ างแห่งก็ไม่ถกู เหมอื นกัน
ไปทางไสยศาสตร์ ไปกาํ หนดทางอืนไปก็เยอะ กแ็ ล้วแต่

การหายใจออกยาวหรือสั นนั นไม่สําคัญๆ อขย้อู่ เดียวคือกําหนดได้ในปัจจบุ ัน คอื พอง
หนอ ยุบหนอ กําหนดได้ หากเรากาํ หนดไม่ได้ เร็วไป ช้าไป กําหนดไม่ทันกก็ ําหนดใหม่ อันนี
ไม่ต้องคํานึงถึงว่าพองยาวหรือยุบยาว หรือยุบยาวไป พองสั นไป อันนี ไม่ต้องกาํ หนด เรา
เพียงแต่รู้ว่ากําหนดได้ในปัจจุบัน หายใจเข้าทอ้ งพอง หายใจออกท้องยุบ ก็กําหนดเรือยๆ ไป
อย่างนี เท่านั นก็ใช้ได้ ทีนี เราก็ไม่จําเป็ นต้องรู้วา่ พองยาวเท่านั นยุบยาวเท่านั นเท่านี แตรั่บงจาะงค
รู้เอง จะรู้ว่าพองมีกีระยะยุบมีกรี ะยะ บางครั งมันจะเกิดมาเองว่าพองยาวยุบสั น บางทีบางครั ง
ยุบยาวยบุ ลงไปลกึ เดียวพองสั นมันเกิดขึ นเองน่ะ อันนี มีข้อหมายอยู่อันหนึงว่า กาํ หนดให้ได้ใน
ปัจจุบัน

อาตมากว่าจะปฏบิ ัติพองยุบได้ก็ต้องฝึกอยู่นาน เพราะปฏิบัติพุทโธมาตั ง ๑๐ ปี
ธรรมกายสัก ๖ เดือน ทีนี เรากม็ าเลือนทําสติปัฏฐาน๔ เดยี วพองหนอ ยบุ หนอ เดียวพุทโธ
อาตมาได้แก่ตัวเอง บางทีกําหนดได้ อ้าวมาอยู่ตรงนี อีกแล้ว ทาํ มานาน๑๐ ปี มันกฝ็ ังอยู่นาน

แล้วก็ค่อยๆ ไป อาตมาว่าอยา่ งนี แหละดี พองหนอยุบหนออย่างนี แหละ แต่ก็อดไปติดทีพุทโธ
ไม่ได้ เพราะเราทาํ พุทโธมาก่อน๑๐ ปี ทีนี หนักเข้าอารมณ์ก็ไปหลายๆ กระแส แต่พุทโใธช้สติปัฏ
ฐาน ๔ ก้เหมือนกัน กําหนดมีกายเวทนา จิต ธรรม กไ็ ด้เหมือนกันนะ แต่ทําอารมณเ์ ดียวทที ้อง
นีทําให้เราเห็นชัด

พองหนอยุบหนอเป็ นประการใด บางทีมันจะวูบไปตอนพองหรือตอนยุบนกี ็จับได้ชัด
ดีกว่ากันเท่านั นเอง มีนิมิตอะไรบ้างไหม บางคนบอกว่านังหลายชัวโงมแล้วไม่เห็นอะไรคงจะ
ไม่ได้ดี บางคนเขาว่าอยา่ งนั น ข้อเทจ็ จริงทําวิปัสสนาไม่ต้องการเหน็ นิมติ ถ้ามนี ิมติ ในสมถะ
เกิดขึ นแล้วกก็ ําหนดเหน็ หนอไม่เอาเสีย บางแห่งบางคนประสาทไหวตงิ มันมีอปุ าทานยึดมัน นิมติ
เยอะ เดียวนิมิตเกดิ อย่างนี อย่างนั นกัน บางทีนังแ๕ค่ นาที เทพธิดาลอยมาแล้ว เห็นโน้นเห็นนี
กันมากมายก็ต้องกาํ หนดได้ มันเป็ นวิธีปฏิบัติ

เวลายนื ทีกระหม่อมตั งสติให้ดี วับลงไปทปี ลายเท้า ยนื หนอทีปลายเท้าพอดี สํารวมที
ปลายเท้าขึ นมาบนศรีษะ ยืนสาํ รวมนึกมโนภาพ จากปลายเท้าถึงกระหม่อมพอดี มันจะมี
พิจารณาตัวเองโดยเฉพาะ เกดิ ภาพกายขึ นมาโดยเฉพา แล้วนกึ มโนภาพจากกระหม่อมถึงปลาย
เท้า ทั งหมด๕ ครั ง แล้วก็ลืมตา มันมคี วามรู้สึกว่ามันชาไป ชาตามตัว แต่มันเกิดคดิ ในใจขึ นมา
เอง ถ้าเรายนื หนอบางทจี ติ เราถากมาทางซ้าย ทางขวาจะไม่รู้สกึ หากถากทางด้านขวา ทาง
ด้านซ้ายจะไม่รู้สึก

วธิ ีปฏิบัตินี ก็ให้กาํ นหดยนื หนอให้เห็นตัวทั งหมด ให้นึกมโนภาพว่าตัวเรายืนแบบนี ให้
กึงกลาง ศูนย์กลางจากทีศรีษะลงไประหว่างหน้าอกแล้วก็ลงไปถึงระหว่างเท้าทั งสอง แล้วมันจะ
ไม่มีความไหวติงในเรืองขวาหรือซ้ายบางทถี ้าเราไปทางขวา ทางซ้ายเราก็ไม่มคี วามรู้สึก แต่ไม่ใช่
อัมพาต มันเกิดเอง ยืนนีกําหนดไปเรือยๆ ช้าๆ ให้จิตมันพุ่งไปได้ตามสมควร จากคําว่ายืนหนอ
ยนื จากซ้ายหนอขึ นบนศรีษะพอดี บางทีจิตนีมันลงไปทางซ้ายบ้างขวาบ้าง ทีนี เราก็แวบลงไปใน
มโนภาพให้รู้สึกว่าเรายนื ท่านี ลงไปเท่านั น

พองยุบก็เหมือนกัน ตอนแรกก็ชัดดี พอเห็นหนักเข้าก็เลือนลางบางทีกแ็ ผว่ เบา จนไม่
มองเห็นพองยบุ ถ้ามันตื อไม่พองไม่ยบุ ให้กําหนดรู้หนอ หายใจยาวๆ รู้หนอๆ ตั งสตไิ ว้ตรงลิ นปี
กาํ หนดพองหนอ ยุบหนอ เดียวชัดเลย ถ้าหากว่าเราพองหนอ ยุบหนอนมี ันไม่ชัดแผ่วเบามาก
เรายังกําหนดได้ก็กําหนดไป เอามือจับคลําดูก็ได้ว่ามันจะชัดไหม เดียวก็ชัดขึ นมา ถ้าไม่เป็น
เช่นนั น ให้กาํ หนดตัวรู้เสยี รู้หนอๆ ตั งสติไว้แล้วกําหนดพองหนอ ยุบหนอเดียวชัด จิตฟุ ้ งซ่าน
มากไหม ถ้ามีบ้างก็ให้กาํ นหดสติปัฏฐาน ๔ นั นมีกาํ นหดอย่างนี อย่างทีทางพุทโธนั นไม่ใช่
อาตมาเคยทํามานานกว่าจะเข้าเบาะเข้าแสใช้เวลานานหน่อย ต้องค่อยๆ กาํ หนดไป

แต่เรืองวิปัสสนานีมอี ย่างหนึงทีนา่ คดิ คือประการแรก ปัญญาทีจะเกดิ ขึ นได้นั นมันมี
กิเลสมากมายหลายอย่างทีเกิดขึ นในตัวเราทั งหมด เราจะรู้กฎแห่งกรรมความเป็ฯจริง จากภาพ

เวทนานันเอง ประการที ๒ รองลงไปมีอะไรก็กไนดสตปิ ัฏฐาน ๔ ให้ยดึ หลักนี ไว้ มีอะไรเกดิ ขึ นก็
ให้กําหนดเหตุนั น ไม่ใช่ดิงลงไปเฉยๆ ปัญญาทีจะเกดิ นั นไม่ใชเ่ กิดเพราะดิงเฉยๆ คือความรู้ตัว
เกิดขึ นโดยสติสัมปชัญญะภาคปฏิบตั ิจากการกํานหดนีเอง เวทนาทีปวดเมอื ยนั น มันวปดตาม
โน้นตามนี เราก็หยดุ เอาทีละอย่าง อยา่ งทอี าตมากล่าวแล้ว กําหนดเวทนาให้ได้ คือ เวทนา
กําหนดได้เมือใดมากมายเพียงใดซาบซึ งเพียงนั น มันเกิดเวทนาอยา่ งอืนขึ นมากเ็ ป็ นเรืองเล็กไป
อันนี ข้อสําคัญอยู่ตรงนี

บางครั งมันอาจจะนึกได้ไปทําเวรทํากรรมอะไรไว้ไม่ตอ้ งไปคํานึงถงึ กรรมนั นเลย ให้มีข้อ
ปฏิบัตเิ พือไม่ให้มีอารมณ์ฟุ ้ งซ่านไปอยู่ในกรรม ก็ด้วยการกําหนดเวทนานั นเอง นวี ิธีปฏิบัติไม่ต้อง
เอาอย่างอืนอีกแล้ว กาํ หนดเวทนาทเี กิดขึ นกับเราเองโดยเฉพาะ เดยี วมันจะแจ้งชัดขึ นมาเอง
เจ็บมากให้กําหนด เราจะแผเ่ มตตาตอนทาํ กัมมัฏฐานไม่ได้ มีหลักปฏิบัติคือพอเรานังกําหนด
เรียบร้อยดี ๑ ชัวโมง หมดสัจจะทเี ราอธิษฐานไว้ เราก็อโหสิกรรม วธิ ีปฏิบัติอโหสิกรรมต่อการ
กระทาํ เวรกรรมทีทําไว้อดตี เราอโหสิให้ได้ อโหสแิ ล้วก็แผ่เมตตาให้แก่เขาโดยวิธีนี

ยกตัวอย่าง นักศึกษามาจากขอนแก่นเรยี นทีวิทยาลัยครอู ยะยา ปวดทนไม่ไหว กําหนด
กไ็ ม่หาย ก็มานึกได้ว่าเมือตอนเป็ นเด็ก พ่อแม่ให้ไปจับเขียดก็ไปหักขามัน มันกําลังเป็นๆ เด็กคน
นี เล่าให้ฟัง อาตมาถามว่า “หนกู าํ หนดหายไหม” “ไม่หายเจ้าค่ะ กําหนดยงิ ปวดใหญ”่
“เมอื ก่อนเคยนึกถึงเขียดไหม” “ไม่เคยนึกเลย” หนักเข้าทําอย่างไร ก็แก้ไขปัญหาด้วยการแผ่
เมตตาอุทศิ สว่ นกุศล หายปวดเลย เดียวนี เป็ นอาจารย์ไปแล้ว สําเร็จ คบ. ก็ใช้วิธีปฏิบัติอยา่ งที
เราปฏิบัติกันมา

วิธีสอบอารมณ์

พระครูภาวนาวิสทุ ธิ

ท่านทั งหลายทีมาบวชเรียน มาปฏบิ ัตธิ รรมกันทั งฝ่ าอยุบาสก ทั งฝ่ ายอุบาสิกา ถ้าจิตใจ

เป็ นมหากุศล ขอให้เริมต้นชีวิตใหม่ทิ งตาํ ราเก่าหมด เรามาศึกษาชีวติ ใหม่ เริมต้นชีวิตใหม่กันใน
วัด ด้วยการศึกษา สวดมนต์ไหว้พระ พิจารณาปัจเวกขณ์ พจิ ารณาปัจจัยสเี พิมขึ นให้ดี เรืองห
ใม่ต้องสร้างมันขึ นมาในจิตใจ หล่อหลอมชีวิตให้สดชนื โดยพระธรรมวินัย

การปฏิบัติกรรมฐานอย่างทสี อนในโบสถต์ จปัญจกกรรมฐาน นันแหละคอื ยืนหนอห้า
ครั ง การปฏิบัติกรรมฐานไม่ต้องไปสอนวิชาการ เพราะไม่ต้องการให้รู้และไม่ต้องดูหนังสือ
ปฏิบัติโดยเคร่งครดั ให้มันผุดขึ นใหม่ ดวงใจใสสะอาดและหมดจด ใหม้ ันผุดขึ นมาและตอบได้
ตามหลักนี เชน่ ขันธ์ห้า รูปนามเป็ นอารมณ์ อายตนะ๑๒ อินทรีย์ ๒๒ ธาตุ ๑๘ หน้าทกี าร
งานต้องรู้จุดนี เป็นสําคญั ไม่ต้องปฏิบัติมาก พองหนอ ยุบหนอให้ชัดได้จังหวะดีเท่านี เป็ นการ
สมควรและปฏิบัติได้ ยกตัวอย่าง ขวายา่ งหนอ ซ้ายย่างหนอ เท่านี ก็พอ ย่างไปอย่างไร จิต
กําหนดอยา่ งไร

ครูอาจารยจ์ ะถามว่า พองหนอ ยบุ หนอเป็นอันเดียวกันหรือคนละอัน ถ้าคนละอันเพราะ
เหตุใด คนผู้ปฏิบัตไิ ด้ตอบแจ๋วเลย ไมต่ ้องเอาหนังสือมาตอบ เอาทีปฏิบัตไิ ด้มาตอบจงึ จะถกู ต้อง
ไม่ต้องไปถามซักว่าเพ่งกสิณไหม อสภุ ไหม ไม่ต้องเลย มันจะเกิดขึ นมาเองโดยวิธีนี จึงให้ กนิ
น้อย พูดน้อย ไมต่ ้องดตู ํารับตํารา ตัดปลิโพธกิ ังวล ไม่ต้องมกี ังวลทางบ้าน ไมต่ ้องมกี ังวลทาง
วัด ตัดปลิโพธิกังวลทํากจิ วัตรอยา่ งนี ซิแน่นอน ได้แน่

อายตนะ อนิ ทรีย์ ธาตุ ขนั ธ์ห้า รูปนามเกิดทีไหน เป็นอย่างไร เสียงกับหูอย่างไร ตา
กับรูปอย่างไร อายตนะ อินทรีย์สมั ผัสเกิดอารมณือยา่ งไร ตอบได้ไหม พองหนอ ยุบหนอเป็น
อันเดียวกันหรือเปล่า ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ เปน็ อันเดียวกันหรือเปลา่ นามรูปปริจเฉท
ญาณ ยังแยกไม่ได้ เลือนขึ นอย่างไร รู้ไหมอย่างไร ตอบไม่ได้เพราะท่านทาํ ไม่ได้ ไม่รู้จริง รู้จริง
แสดงออกบอกได้โดยไม่ต้องตรึกตรอง ไม่ต้องใช้สตคิ ดิ ปัญญาคดิ เลย มันจะไหลออกมาเป็นไข่งู
ไหลพรวดออกมา อ๋อใช่แล้วต้องอยา่ งนี แน่ มันเกิดแสงปัญญาธรรม มันจะเกดิ ตอบออกมาเอง

โดยเฉพาะ เช่น พองหนอ ยุบหนอ ยังปฏิบัตไิมไ่ ด้ เลยก็ไม่รู้ไปยุบกอ่ นพองมที ีไหน
หายใจออกก่อนเข้ามีทีไหน เอาอะไรมาออกมันไม่เข้า มันต้องเข้าก่อนถงึ จะออก ทาํ นองนี เป็น
ต้น เทา่ นี กผ็ ิดแล้ว ทําไม่ถูกแล้วจะไปปลูกสติดําริชอบประการใด อ๊อกซิเจนเป็ นอย่างไร หายใจ
ทางสะดือรู้ไหม ไม่รู้ พองหนอ ยบุ หนอ หลับตอนไหน ไม่รู้ ไม่เข้าใจ เท่านี ท่านทาํ ไม่ได้ ชั น
อนบุ าลไม่ผา่ น แล้วจะขึ นชั นประถมอย่างไร แล้วจะไปได้ญาณสงู ทีไหน ญาณต้นยังไม่ได้

นามรูปปริจเฉทญาณแยกรูป แยกนามได้ ถ้าเสียงดังปัง เสียงหนอ เสียงกับหูเป็น
อยา่ งไร เสยี งนั นบอกว่าอยา่ งไร มีความหมายอย่างไร ต้องตอบได้ นีความหมายของภาคปฏิบัติ
อ๋อ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ทาํ ไมยืนหนอห้าครั ง มือไพลห่ ลัง พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไร
ตั งตัวตรงทรงทหี มาย ปอดขยาย หายใจสะดวก เอามอื ไว้ข้างหน้ามันจะปอดขยายได้อย่างไร
หายใจกไ็ ม่สะดวกอย่างนี

เราเจริญกรรมฐานมา ๓๕ ปี ผา่ นมาแล้ว เจริญ “อานาปา” มา ๒๐ ปี เศษ เจริญมโนยิ
ทธิมา ๑๐ ปี เศษ เพ่งกสิฯได้ ธรรมกายได้ ทํานองนี เป็นต้น มันต้องทําได้ ถ้าทาํ ไม่ได้สอนเขา
อยา่ งไร อย่านี นักปฏิบัติธรรมโปรดทราบ ต้องสอนตัวเองก่อนอืนใด ต้องให้ได้เดินจงกรมได้ไหม
ตั งสติกาํ หนดยืนหนอห้าครั ง มีความหมายอย่างไร อย่างทพี ระทา่ นบวช เกศา โลมา นขา ทัน
ตา ตโจ ตโจ ทันตา นขา โลมา เกศา ให้ได้ห้าครั ง ลงขึ นอย่างไรเบื องตาํ ปลายผมลงไป เบื อง
บนปลายเท้าขึ นมา พระพุทธเจ้าสอนอยา่ งนี เรากําหนดยืนได้ กําหนดจนเชยี วชาญ ชาํ นญาการ
มโนภาพ สมภาพคือศลี แสดงท่าทีกริ ิยารู้ได้อย่างดีว่า สวยหรือไม่สวย ดีหรือไม่ดี ประการใด
มันจะแจ้งแก่ใจ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญ ูหิ รู้ได้เฉพาะตัวเราแน่นอน

นอกเหนือจากนั นเราดูคนอืนว่าเห็นหนอ นักปฏิบัติธรรมเท่าทีสังเกต ทบทวนประเมินผล
แล้วไมเ่ คยกําหนด มัวแตค่ ุยกัน เห็นใครมากไ็ มร่ ู้เรืองว่าเขามาทาํ อะไร เท่านี ใช้ไม่ได้ ไม่
ได้ญาณังคอื ความรู้ในปัญญา รู้ว่าเขาเดินมาทําไมกัน อ๋อคนเดินมานี ปลายผมเป็นอยา่ งไร
ปลายเท้าเป็นอย่างไร หน้าตาเป็นอย่างไร นิสัยเป็นอย่างไร เราจะรู้แจ้งแก่ใจเป็ นปัจจตั ตัง ดโย
คนอนื บอกไม่ได้ ไม่มขี ายในตลาด ไม่ใช่วชิ าการ เป็นเทนิควิธีปฏิบัติการของบุคคล ผู้
ประสบการณ์กับการกาํ หนดจิต ใช้สติกาํ หนดรู้ทุกประการ คนทเี ดินมาเราจะรู้ได้ว่าเขามาทําไม
นสิ ัยอยา่ งนี ต้องแก้ไขอยา่ งไร พอมาถึงเราจะพูดให้เขาเข้าใจด้วยบทอันใด สรุปด้วยอยงา่ ไร
อยา่ งนี เป็นการชอบใจยิงสําหรบั ผู้มา และจะกลับไปด้วยสวัสดี มีชัยปลื มใจไปทุกคน เพราะเกา
มันถูกที แขกจึงนยิ มกันมากมาย โดยทาํ นองนี

ผู้ปฏิบัติธรรมทมี เี วทนาไม่เคยกําหนด ปล่อยมันไปตามเรืองตามราวอย่างนี ใช้ได้หร?ือ
เลยรู้ไม่จริงในเรืองอนิจจัง ทุกขงั อนัตตา ไม่ต้องไปอรรถาธิบายวิชาการให้ฟัง ให้มันผุดขึ นเอง
ตอบได้อยา่ งดีว่าจิตกาํ หนดพองกับจิตกาํ หนดรู้เหมือนกันไหม พองหนอ ยบุ หนอ กับรู้หนอ
เหมือนกันไหม จติ กาํ หนดคดิ กับกําหนดรู้เหมือนกันไหม คดิ กับรู้เหมอื นกันไหม นีเท่านี ต้องตอบ
ได้แล้ว อ๋อคดิ มันไมอ่ อก มันบอกไม่ได้ อันนี จิตอันเดยี วกัน แต่สติมีลกั ษณะเป็ นสามสติตัวต้น
สติตัวกลาง สตติ ัวปลาย พร้อมกันเมือใดกาํ หนดคิดกับกําหนดรู้ต่างกันแยกออกได้ทันที ว่าคิด
มันคดิ ไม่ออก รู้นีหมายความว่าปัจจุบัน ปัจจุบันนะเราไม่รู้ตัว รู้แต่ครั งอดตี กําลังคิดอยู่นี
ต่างกันแล้ว

แต่ทําไมหนอผู้ปฏิบัติตอบไม่ได้ กลับไปดูหนังสอื ตอบ อยา่ งโน้น อย่างนี อ๋ออสุภะ
อย่างโน้นน่ะ ต้องเพ่งกสิณ อย่างนี น่ะมันไม่ใชห่ รอก ต้องตอบให้ได้ว่าคดิ หนอทีลิ นปี นีเป็น
การสตารท์ ทุกคนไม่เคยปฏิบัติเลย เท่าทีพบทวนแล้วไม่ได้กําหนดนี ถ้าเราตั งสตไิ ว้ดี
สัมปชัญญะดี กาํ นหดว่าคดิ เพราะเหตใุ ด ไอ้ทคี ดิ แปลว่าอดีต เพราะเรียนมาแล้วมันผา่ นพ้นไป
แล้วเป็นอดีตแต่จําไม่ได้นีอย่างนี เรียกว่า อดีตจึงกําหนดว่าคิด ปัจจุบนั จงึ กําหนดว่ารู้หนอ
รู้ตัวไหม ไม่รู้ จึงกําหนดว่ารู้หนอ เทา่ นี ยังตอบแยกนกไัป จิตคนละดวง จิตคนละกระแส คนละ
อารมณ์ แล้วทําไมเอาองค์เดียวกันเล่า ผู้ปฏิบัติยังใช้ไม่ได้ เดินจงกรมไม่ได้ปัจจุบัน พองหนอ
ไม่ได้ปัจจุบัน ยุบหนอไม่ได้ปัจจุบัน มันต้องพองก่อน ยุบกอ่ นมีทีไหน หายใจออกก่อนหรือ มีได้
ไหม ใครลองทาํ ซิหายใจออกก่อนได้ไหม หรือใครทําได้เรายอมกลวั เลย มันต้องหายใจเข้าก่อน
ถึงจะออกได้ มันไม่เข้ามันจะมีอะไรมาออก ถ้าโยมไม่รับข้าว ไมร่ ับอาหารมาตั ง๗-๘ วัน จะมี
อุจจาระออกไหม ทํานองนี เป็นต้น นีเหตุผล เหตุผลสําคัญยิง

ผู้ปฏิบัติสนใจโปรดฟัง เอาปฏิบัตใิ ห้มันถูกจดุ เช่น ยืนหนอ ยืนกันจริงๆ ซิ มโนภาพ
แสดงออกมารูปร่างหน้าตา เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อ๋อรูปรา่ งเราแก่แล้ว ใช่แล้วเลอื นลอย
ตายจริงแสดงเป็นอนจิ จัง เปลียนแปลงภาวะอยู่เสมอ มันจะบอกเองไม่ต้องไปดูหนังสืออย่างนี
เป็ นต้น ทําได้แล้วหรือยัง ประเมินผลกันเสียทวี ่ายืนหนอ ๕ ครั ง ถ้าทา่ นทําได้นะ ดูคนทีเดินมา
เขาเป็ นชั นไหนทายได้เลย เป็นผู้ใหญห่ รือผู้น้อย เป็ นผู้บังคับบัญชาหรอื อย่างไร แต่งตัวปอนๆ มา
คิดว่า เขาเป็นคนชั นตํา เปล่านะ ชั นสูงก็มนี ะ แหมแต่งตัวสวยโก้ ผูกเนคไทมาแล้ว ถือกระเป๋ า
เจมสบอนด์ ดูซผิ ู้ดมี ีขั นผู้ดตี ้องต้อนรับดี เอานํ ามาเลี ยง เปล่า คนร้ายทีเดียว เตรียมจะมาต้ม
ตุ๋น รู้ไหม ไม่รู้แน่ๆ นีข้อนี ยังทําไม่ได้ ทาํ ได้แล้วหรือยัง นักปฏิบัตธิ รรมทุกทา่ นมาอยู่กัน็นเป
เวลานานแล้ว คิดหนอเป็นอดีตนะ รู้หนอเป็นปัจจุบันนะ เสียงหนอนมี ันเสียงดังปังและผา่นไป
แล้ว โยมกําหนดว่าอย่างไร จะกําหนดว่ายังไง เสียงมันฟังผ่านไปแล้วกําหนดอย่างไร เป็นอดีต
หรือเป็นปัจจุบัน รู้ไหม?

นแี ค่นี จติ ใจยังไมเ่ บิกบานเลย ๑ พรรษาแล้วอะไรเป็ นอดีตอะไรเป็นปัจจุบัน อะไรเป็น
อนาคตเอาตรงนี ได้แล้วหรือยัง นีบางแหง่ อย่าลมื ๗ วัน ๗ คนื นะ ได้อนุบาลใช้ได้ ๗ วัน ๗ คนื
โดยติดต่อน่อเนืองรู้ว่าพองยุบเป็ นอยา่ งไร เสียงนั นหมดไปเป็นอนิจจัง ทุกขงั อนัตตา แล้วเป็น
อดีต หรือเป็ นอนาคต เสียงนกร้อง เสียงปื น ดังปัง แล้วหายไป จะกําหนดอย่างไร จะเรียกว่า
อดีตหรือปัจจุบัน รู้ไหม เคยกําหนดต้องรู้แน่ เสียงทันต่อเหตุการณ์ไหม เขาด่าเราขณะนี เรายัง
ไม่เลิกตั งสตไิ ว้ เสียงหนอ เสียงหนอ อ๋อทีด่าเดียวจะหมดเป็ นอดตี แล้วผ่านํ านไป เหลืออยู่คือ
ปัจจุบัน ตอบได้ไหม เหลืออยู่ปัจจุบัน ปัจจุบันคืออะไร คอื จิตทีสํานึกอัดเทป สัมผัสเกิดจิต
เหลืออยู่คือปจั จบุ ัน นดี ่าหายไปแล้ว หมดสิ นไปเป็ นอดีต บัดนี เป็นปัจจบุ ันก็ต้องกําหนดให้ทัน รู้
หนอคอื ปัจจบุ ัน ว่าได้ไหม

ผู้มีปัญญาโปรดฟัง ปฏิบัติอยู่เท่านี ไม่ต้องไปทํามาก ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ให้ได้
ปัจจุบัน พองหนอ ยุบหนอ ให้ได้ปัจจุบัน เท่านี เหลอื กินเหอลใื ช้เหลือทีจะพรรณา อะไรเป็นอดีต
อะไรเป็นปัจจุบัน คดิ หนอเป็นอะไร รู้หนอเป็ นอะไร เห็นหนอเป็นอะไร เสียงหรือรูป รูปมันยังอยู่
ปัจจุบัน แต่รู้ปนั นยังอยู่ปัจจุบัน เห็นไหม ดูฝาผนัง เห็นหนอ เห็นหนอ คิดว่าเป็ นปัจจุบัน
กาํ หนดเห็นหนอ ๑ ครั ง๒ ครั งกย็ งัเหน็ อยู่ แต่ครั งทีกําหนดเห็นเบื องต้นเป็นอดีตไป เห็นหนอครั ง
ที ๒ ปัจจุบัน ยังเห็นหนอครั งท๓ี เป็นปัจจบุ ัน ครั งที๒ เป็นอดีต แล้วเกิดขึ นตั งอยู่ดับไป นี
แหละคืออนจิ จัง ทุกขัง อนัตตา รูปมันคงที คงวา คงศอก แต่พิจารณาโดยธรรมแล้วของทีอยู่
นั นมไิ ด้คงที มไิ ด้คงวา คงศอก แต่หอประชุมคงวา คงศอกโดยวัตถุ แต่จติ ใจคงทีไม่ได้ เป็น
อนิจจังไม่เทยี ง หนึงครั งกาํ หนดเห็นหนอจิตมันไมเ่ ทียง แตฝ่ าผนังมันเทียง มันคงวา คงศอกให้
เหน็ อยู่ ณ บัดนี กําหนดสามครั ง ครั ง๓ที เป็นปัจจบุ ัน กําหนดครงั ที ๔ ครั งที๔ เป็ นปัจจุบัน
ครั งที๓ เป็ นอดีต เทา่ นี ตอบได้ไหม

ตั งสติให้ดซี ิ กําหนดจะได้รู้ว่าอะไรเป็ นอดีต เหน็ หนอ เหน็ หนอ โยมเดินมา เหน็ ครั งที
หนงึ ต้องเป็ นอดตี ไปแล้ว เห็นครั งทีสองเป็ นปัจจุบัน เห็นครั งท๓ี เป็นปัจจุบัน สองเป็ นอดีต
เดียวจะเหน็ คนเดินมาเป็ นอนจิ จัง เปลยี นแหลงภาวะแล้วเข้าสู่ธรรมะนะ จิตนีเปลยี นแปลงภาวะ
คงทีคงวาคงศอกไม่ได้ แต่รูปคงเป็ ฯรูปตามเดมิ นามธรรมเปลียนแปลง จิตทีผนั แปรโดยคิดแต่รูป
ผันแปรโดยรูปอย่างงี รูปผันแปรโดยรูปคือแก่ลง ผันแปรโดยรูป เราจะเห็นได้ว่าฟิลม์ภาพยนตร์
เราดูแค่ ๕ ภาพ ดูอยู่เฉยๆ แต่เมือภาพหน้าภาพเกิดหมุนขึ นมา มันแสดงออกทา่ ทวี ่าขวาหรือ
ซ้าย มือซ้ายมือขวาประการใด แสดงท่าทไี ด้โดยวิธีนี เป็นต้น นที ุกคนยังไม่รู้ รูปนะมันเป็ นภาพ
เดยี วกัร แต่ไวขึ นมองไม่เห็นด้วยสายต.า................กลายเป็นรูปเดิน กลายเป็ นนัง กลายเป็ น
ปากพูดเหมือนตัวหนัง ข้อเท็จจริงหนังอยู่เฉยๆ แต่เวลามันเดินฟิลม์เหมอื นจิตทีเปลียนแปลงที
ต้องคิดอ่านอารมณ์อย่ตู ลอดเวลากาล เปลียนแปลง ภาวะคืออนิจจังไม่เทียง เป็นทุกข์จริงๆ
ทุกข์นั นไม่คงที บังคับไม่ได้ จิตใจเาขห้ าทมี าของทุกข์ เปลียนแปลงภาวะได้ เข้าสู่ภาวะของธรรม
กลายเป็นอนัตตา นีต้องพดู กันภาคปฏบิ ัติอย่าไปเอาวิชาการมาพูดไม่ได้ นักปฏบิ ัตติ ้องไม่รู้
ล่วงหน้า จะไปรู้ล่วงหน้าทําอย่างงั นอย่างงี รู้เชิดฉิงมันจะเชดิ กลองเอา แล้วประคองนํ าใจไมไ่ ด้
เลยกลายเป็นคนฟุ ้ งาซน่ เสียสติ เลยพูดมากยากนานไปเลย เพราะฉะนั นต้องปฏิบัติได้ดังแนวนี

ครูอาจารย์จะถามว่า โยมหรือพระภิกษรุ ูปใดรูปหนึง ยนื หนอ ๕ ครั ง ตั งสติไว้ทไี หน นี
วิธีสอบอารมณ์จิตปักไปตรงไหน จิตถึงไหน รับอารมณ์ได้ไวหรือช้า นีวิธีสอบอารมณ์ต้องถาม
อย่างนี อ๋อจิตพุ่งไม่ไหว ไปไม่ได้ เพียงนึกเอาเฉยๆ สตไิ ม่ตาม ใช้ไม่ได้ต้องกาํ หนดใหม่ นีสอบ
อารมณ์ว่าอย่างนี นะ ขอพระภกิ ษุนวกะธรรมทายาทโปรดเอาไปใช้ เผือจะไปสอนลูกหลานเมอื สึก
หาลาเพศไป อย่างนี แยกรูป แยกนาม แยกอย่างไร นามรูปปริทเฉทญาณ ไม่ใช่อึกอัก๗ วัน

เลยโสฬสเลย ฟังเทศน์ลําดับ ยาณเลยสําเร็จ เป็นโสดาแล้วอะไร กระผมเองปฏิบัติมา ๓๐ ปี
ยังไม่เป็นโสดาเลย เดยี วนี เขาเป็นโสดากันงา่ ยจังเลย

ขอฝากพระภิกษุธรรมทายาทผู้เป็ นบัณฑิตเอาไปสอนลูกหลาน แยกรูปแยกนาม รูปก็
คงทีคงวา คงศอก ได้แก่อะไร คงทีคงวาจับตงั อยู่เฉยๆ ดูไปดูมาเห็นหนอ เห็นหนอ เห็นหนอ
กลายไป เปลยี นแปลง รูปทาสีแดงกลายเป็นสีดํา เห็นชัดขึ นมาเลย นีแหละอนิจจัง เห็นหนอ นี
พอเหน็ หนออีกทีเป็นอนิจจจัง เหน็ หนออกี ทีเป็นอดีต เอ้าซํ าอีกทีเหน็ หนอกาํ ลงเดินเข้ามาแล้ว
เปลียนแปลง เห็นหนอสติดี สัมปชัญญะดี อ้อคนนี เดินมาเห็นหนอปลายผมถึงปลายเท้า ปลาย
เท้าขึ นไปหาปลายผม ปลายผมลงไปหาปลายเท้า ปลายเท้าขึ นไปหาปลายผม คาํ ว่าเห็นหนอ
ตอบได้เลย คนนี ยิ มแฉ่งมาแล้ว เหน็ หนอ ปัจจุบัรู้ คนนี เป็นพิษเป็นภัยกับเราจงอย่าไว้ใจ จง
พยายามอย่าบอกความลับ อย่าพยายามพูดหละหลวมกับคนนี เลย นีปัญญาเกิด ปัญญาเกิด
อยา่ งนี

ไม่ใชว่ ่า เอ๊ เห็นหนอก็แล้ว พองยุบก็แล้ว เดินขวาย่างซ้ายย่างก็แล้ว ไม่เห็นเกิดปัญญา
นจี ะตอบอย่างนี แทบทุกคนไม่เหน็ เหน็ อะไร จะไปเห็ฯอะไร ก็ไมเ่ ห็นได้อะไร จะไปเห็นอะไร
มันไม่ได้อะไรเลยนี อย่างงี ทําไมข้ามไปเสียเลา่ เหน็ หนอไม่เคย เสียงหนอบ้างไหม เปล่า มแี ต่
คุยกัน พอตั งสติได้แล้ว เสยี ง......หนอ ออ๋ อย่างนี แหละหนอ เสยี งนี เขาพูดคุยกัน เสียงนี เขา
ปรึกษางานกัน เสียงนี เขาจะทํางานกัน เสียงนี เขาจะสําเร็จมรรคผลของเขา เขาจะทําการาคข้ อง
เขา เสียง.....หนอ สตติ ั งสัมปชัญญะมา บวกกันเกิดปัญญาตอบออกไปได้เลย ทีเขาพูดว่าจะทํา
การค้าเจ๊งแน่แล้ว จริงด้วย นปี ัญยาบอก มันจะบอกเป็ฯอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือพระไตร
ลักษณ์

นีตรงนี นะ ท่านทั งหลายแยกรปู แยกนามอยา่ งไร รูปเป็นภาวะทีผันแปรเปลียนแปลง
กลับกลอกหลกอลวงได้ ถ้าเรากําหนด ขณะยืนทีฝาผนัง ยืนหนอ เห็นหนอ เหน็ หนอ เห็นหนอ
เห็นหนอ กําหนดเรือยไป สติดปี ัญญาเกิด ภาพมันจะบอก เราเต้นเหมือนตัวหนังว่าสภาพความ
เป็ นอยู่ของรูปนีผันแปรต่อไปจะเฒา่ ชะแรแก่ชรา แล้วตรงนี จะชํารุดตรงนั นจะทรทุดีนั นจะใช้ไมไ่ ด้
ต้องซ่อมนปี ระโยชน์ในทางโลก ต้องซ่อม ซ่อมตรงไหนก่อน นีสภาวะรูปเปลียนแปลงผนั ได้อย่าง
นี

แต่จิตนามธรรม ถ้าไม่มธี รรมะเปลียนแปลงได้ จิตของท่านทั งหลายเปลียนแปลงได้ชอื ว่า
นามเฉยๆ เปลียนแปลงไม่ได้ พูดจริงต้องทาํ จริงทุกสิงเป็ นเช่นนนั ธรรมะเข้ามาประกอบกิจโดย
ชีวิตของนามธรรม คนนั นจะกลายเป็ นคนชัวไม่ได้ จะเปลียนแปลงให้ชัวไมไ่ ด้ แต่เปลียนชัวให้เป็
ฯดีได้จากนามธรรม เอาธรรมะไปใส่เข้า โดยสติสมั ปชัญญะตัวกําหนดได้ปรากฏออกมาเป็น
นามธรรม พองหนอ ยุบหนอ อันเดยี วกันไหม คนละอันอย่างไร อ๋อจิตกาํ หนดพองหนอ มันมีกี
ระยะ จิตตั งใจอยูถ่ ึงจุดไหนชั นกลาง หรือชั นต้น หรือชั นปลายหนอ ทอี ย่ตู รงนี นะต้องถามตรงนี

ยุบหนอมีกรี ะยะ ระยะต้นตั งสตอิ ย่างไร ระยะกลางทจี ะลงหนอ ปลายสติของท่านกําหนด
ตรงไหน จิตมอี ย่างไร แล้วก็ดับวูบไปอย่างไร ตอบได้ทนั ทีถ้าทําได้ มันจะเหน็ ชัดสําหรับของ
บุคคลของใครของมัน บางคนอาจจะตอบว่า ๓ ระยะ บางคนกต็ อบว่า ๒ ระยะ บางคนกบ็ อก
ระยะเดียว แล้วเราจะดูได้เลยว่าคนนี ได้อย่างไร กาํ หนดได้ดีไหม นวี ิธีสอบอารมณ์

ประการทีสอง ตาเหน็ รูป จติ กําหนด ขวาย่างหนอ จิตกําหนด หูได้ยนิ เสียง จติ กําหนด
ลิ นรับรส จิตกาํ หนด จมูกได้กลิน จติ กําหนด อยากจะถามว่าจิตกาํ หนดเสียงหนอกับจติ กําหนด
ตาเหน็ รปู จติ ดวงเดียวกันไหม มีลักษณะอย่างไร เหมือนกันไหมในอารมณืนั น ตอบยังไง ตอบ
ยังไง นีสอบอารมณตื ้องสอบอย่างนี คนทีทําได้ก็ตอบว่าจติ กาํ หนดเหน็ หนแอล้วเห็นหนอครั งที๒
ครั งที๑ หมดไป ครั งที๒ จิตดวงใหม่ เข้ามาแทนทีดวงเก่าดับ เป็นอนิจจัง ดวงที๓ มาอกี แล้ว
เห็นหนอดับ ดวงที ๔ มาอีกแล้ว เห็นหนอดับ ดวงที๕ เหน็ หนอ ปัญญาเกิด เกดิ ว่าอย่างไร รูป
ทเี ดินมานี รีบต้อนรับ รีบจัดการโดยด่วน เขาจะรีบไปนหี ้าครั งทําได้หรือยัง ไม่รู้เรือง

ของท่านผู้มีปัญญาโปรดเอาของเราไปเป็ นแนวคดิ ปฏิบัติต่อไป อยา่ งงี เสียงหนอ จิต
กาํ หนด เสียงหนออีกอย่างหนึงดับ ดวงต้นทีกาํ หนดไปหายไปเป็นอดตี ดวงทีสองเป็ นปัจจุบัน
ดวงทสี ามเป็ นปัจจุบัน ดวงทีสองเป็ นอดีต แล้วกต็ ่อว่าจิตกําหนดเสียงหนอกับเห็นหนอต่างกัน
อย่างไร ต่างกันไหม ดวงเดยี วกันไหม จิตอย่างเดียวต่างอารมณืใหม่ ตา่ งกันแนน่ อน คนละ
อารมณ์แน่นอน จิตมุง่ มาดปรารถนาอันเดยี วกันก็ตาม ต่างวาระต่างอารมณ์แล้วจิตเป็ นดวง
เดยี วกันอย่างไร เหมอื นกันไหม นักปฏิบัติเคยสงเั กตไหม ไม่เคย พองหนอ ยุบหนอได้จังหวะ
ไหม ถ้าได้จังหวะแปรสภาพอนิจจัง ทุกขงั อนัตตา พองเป็นรูปไหม รู้แต่ว่าพองเป็ นรูป ยุบเป็น
รูป จติ กําหนดรู้เป็ นตัวนามใช้ไม่ได้ พองหนอ อ๋ออะไร หยุดยุติหมดไป ยุบหนอ หมดไป พอง
หนอ ยุบหนอ หมดไป

ถ้าท่านสตสิ ัมปชัญญะดี สมาธิดี พองหนอ ยุบหนอ ในเมือ ๓๐ นาทีหลังแจ๋ว
คล่องแคลว่ ว่องไว กําหนดได้ทันท่วงที ได้ทันเหตุการณ์ปัจจุบัน รูปนามขันธ์ห้าเป็ นอารมณ์ กจ็ ะ
ตอบใหม่ เปลียนแปลงภาวะจะตอบใหม่แล้ว ถ้าตอบว่า ๓ ระยะ เหลือ ๒ ระยะแล้ว ตอนใหม่
อาจจะเหลือ ๓ ระยะ เหลือ ๑ ระยะ อาจารย์ผู้เชียวชาญต้องพิจารณาดูว่าคนนี ทาํ ได้หรือเปลา่
หรือตอบเอาเอง หรอื ว่าคนนี ตอบด้วยความเหน็ ในสภาวะของเขา ต้องฉลาด ต้องเฉลียว ต้อง
ปฏิบัติได้ ตอบได้เลยอย่างนี ขวาย่างหนอ จิตกําหนดขวาย่างไปได้ปัจจุบันไห.ม...ได้ สติอยู่ที
ไหน จิตอยทู่ ไี หนอย่างไร รู้แล้วได้คล่องแคล่ว ซ้ายกค็ ล่องแคลว่ ไม่หลงไม่ลืมแล้วก็ถาม ขวากับ
ซ้ายอันเดียวกันหรือเปล่า เราจะตอบว่ายังไง และจติ กําหนอขวาย่างหนอกับจิตกําหนดซ้ายย่าง
หนอดวงเดียวกันหรือเปลา่ ดวงเดียวกันไหม ตอบสง่ เดชไม่ได้นะต้องของใครของมัน เหน็ เอาเอง
อย่างนชี ัดมาก

พอตอบได้แล้ว อ๋อ ใช่แล้ว จิตกาํ หนด ตา หู จมูก ลิ น อันเดียวกันหรือเปลา่ สัมผัส
เกิดจติ จิตเกดิ อย่างไร อารมณืเกดิ ขึ นโดยวธิ ไี หน อย่านี นะรบั รองท่านได้ผลแน่ ได้ผลแน่นอน
นอนกําหนด พองหนอ ยุบหนอ ได้คล่องแคลว่ ว่องไว มันจะรู้ขึ นมาเลยว่าอ๋อ ขณะนี สตดิ ีแล้ว
สัมปชัญญะดี คล่องแคล่วว่องไวดี เดียวจะเคลิ ม จะเพลิน จะเผลอบ้างบางประการ สติใส่เข้า
ไป เดยี วมันจะวูบเหมือนขับรถลงสู่สะพานสงู ๆ วูบ ลงไป แล้วกจ็ ะดิงพสุธา มองไม่เหน็ ตัว มอง
ไม่เห็นตน ไม่เห็นมตี นมีตัว แล้วสติดีเหมือนอยู่ในทีมอื เกดิ แสงสว่างข้างนอกไม่รับสมั ผัส ข้างใน
สัมผัสอย่างไร ถามดูบ้างซิ สัมผัสยังไง ในเมือนอนหลับรู้ มีสตริ ู้ สัมผัสภายในอย่างไร ถ้าโยม
ทาํ ได้ตอบแจ๋วเลย ตอบแจว๋ เลย โดยวิธีนี

นีวิธีสอบอารมณ์อย่างงี ขวาซ้าย สติไว้ตรงไหน พองหนอ ยุบหนอ กาํ หนดอย่างไร เอา
จติ ดันออกหรือพองออก เอาจติ ออกหน้าหรือ เอาจิตตามหลัง จิตอยกู่ ลางอย่งไร โยมทาํ ได้ตอบ
แจ๋วไปเลยอย่างงี นที ีถกู ต้องทาํ ไปทาํ มาญาณเกิด สตดิ ี พองหนอ ยุบหนอ เปลียนแปลงแล้ว
จะไม่คงทเี หมือนเดมิ อาจจะยืดยาด อาจจะเร็วโดยกําหนดไม่ทัน นเี ปลยี นแปลงไมใ่ ช่คงทีคงวา
อยา่ งไร อย่างนั นนะ เดียวก็เปลียนแปลง เดียวก็วูบหน้าวูบหลัง ทําอย่างไร ทําไมวูบ ทําไมถึง
สะอึก ทําไมถึงกําหนดไมไ่ ด้ ทําไมถึงพองยุบไม่เห็นเพราะเหตุใด นวี ิธีสอบอารมณ์ ไม่เห็น
กาํ หนดยังไง รู้หนอ รู้หนอ เอ้ากาํ หนดไม่ได้ ไม่เห็น กําหนดอย่าไงร กาํ หนดอย่างไร หายใจ
ยาวๆ หายใจยาวๆ อย่าเพิงกําหนด นีวิธแี ก้หายใจยาวๆ ได้แล้วทําอย่างไร มองไม่เหน็ พองยุบ
มองไมเ่ หน็ แก้ไม่ได้ทําอย่างไรตอ่ ไป กาํ หนดกไ็ ม่ได้ ไม่หายและไม่เหน็ ภาวะนี รีบเดินจงกรม
ออกเดินจงกรมทันที วิธีแก้ทําอย่างนี นไี ม่เคยแก้กันเลย ยังไงกันยังงั น กหํานดตะบันไม่รู้เหนือรู้
ใต้แล้วท่านจะได้อะไรเล่า

นวี ิธีสอบอารมณ์นะ จะต้องถามพองหนอ ยุบหนอ เอาจติ ไว้ทีไหน หนออย่างไร แล้ว
ปลายจิตจะสรุปวูบไปตรงไหน เกิดอย่างไรทีได้จังหวะ ถามอย่างนี ซิ อย่างนี ได้ผลแน่ แล้วผู้
ปฏิบัตกิ จ็ ะตอบวา่ พองหนอ พองสั น พองยาว ยุบสั น สั นกาํ หนดได้ไหม กาํ นหดไม่ได้
เปลียนแปลงใหม่ กําหนดได้ ทําไป ในเมือทาํ ไปแล้วมันเหนือย พองหนอ ยุบหนอมันเหนือย
กําหนดไม่ได้ทําอย่างไร ทาํ ไมถงึ เหนือย หายใจไม่เท่ากัน ลมหายใจไม่เท่ากัน มันเหนือยในเมือ
กาํ หนดไม่ได้ อยา่ งนี แล้วเหนือยมาก จึงต้องค่อยๆ นอนลงไป วิธีแก้ เอามือประสานท้อง
หายใจยาวๆ ไว้ก่อนให้ได้จังหวะ พอได้จังหวะดหี ายใจได้ถูกทีดีแล้ว ก็ค่อยๆ กําหนดไป
เรือยๆ รับรองผู้ปฏิบัติได้รับผลแน่นอน

เรืองอยา่ งนี บางทีถามไม่รู้เรืองกันซักคน ทํามานานแล้วถามไรมู้เ่รือง ทํานองนี เอาง่ายๆ
อย่างนี และต้องทําได้อยา่ งนี รูปนามขันธ์ห้าเป็นอารมณ์ นามรูปปริเฉทญาณ แยกรูปตรงไหน
แยกนามอย่างไร อยา่ ลืมรูปทั งหลายสกลกายทั งหมด สัมผัสเกิดจิต สภาวะรูปเกิดขึ น ตั งอยู่
ดับไป ไม่มอี ะไรคงที และไม่สามารถจะเห็นทันต่อหเ ตุการณ์ ในปัจจุบันนี ของมันและเราทําได้

ปัญญาเกิดเห็นทันปัจจุบันแล้ว เราจะพิจารณาได้เลยว่า ออ๋ เป็นอย่างนี แหละหนอ หายใจเข้า
ยาวๆ หายใจออกยาวๆ คงทไี ด้เมือใด เปลียนแปลงภาวะได้อย่างไรเราจะอารมณ์ดเี กิดเมตตา
แน่นอน และเกิดมีทฐิ ิมาแต่เดมิ เปลยี นแปลงภาวะ จากใจร้อน กลับใจเย็น จากฟุ ้ งซ่านเกดิ ความ
สงบ จากความสงบเกิดปัญญา จากปัญญาเกิดความคิด จากความคิดคนนั นแหลมลึกในเรือง
คําพูด คนนั นคล่องแคล่วในการทํางาน คนนั นสามารถจะรูเหตุการณ์เกิดเฉพาะหน้าปัจจุบันได้
โดยวิธีนี ประการหนึง

นีอยากจะถามพวกโยมนอนหลับรู้แล้วหรือยังจับได้ไหม หลับอย่างไร สติไว้ตรงไหนกัน
แน่ เท่านี ยังไม่มใี ครตอบเลยมาช้านาน นีประเมนิ ผลกันเสียทใี นวันนี แล้วกาํ หนดคดิ หนอคิด
อะไรได้บ้าง เปลา่ เลยไม่เคยกาํ หนดนันแหละเป็ นอดีตทีผ่านพ้นไปแล้ว กําหนดเมือใด สตมิ ี
เมือใด สามารถจะระลึกเหตุการณ์ในชวี ติ ได้โดยชัดแจ้ง จากคาํ กําหนดว่า คิดหนอ มีประโยชน์
มาก โยมคดิ อะไรได้บ้างทีมันลืมเลือน เรืองกฎแหง่ กรรม ถ้าเราสติดีปัญญาเกิด ความคิดของ
กรรมจะปรากฏแก่นิมติ ให้เราทราบได้ว่า เราจะใช้กรรมวันพรุ่งนี แล้วและเรากจ็ ะได้ประโยชน์ในวัน
พรุ่งนี แล้ว นีอดีตนะแสดงผลงานปัจจุบัน ปัจจุบันแสดงผลงานในอนาคต อย่านี ตอบกันไม่ได้เลย
ถามมานานแล่ว ไปทํานอกประเด็นนี หมด ไมเ่ กิดประโยชนแ์ ตป่ ระการใด ทเี รารู้สรรพเสียง เสียง
นก กําหนดเสียงหนอ อ๋อนกเขาร้องด้วยเหตผุ ล ๒ ประการ มันบอกได้อย่างนี เราเดินผ่านต้นไม้
สติดี สัมปชัญญะดี ต้นไม้จะบอกอารมณ์แกเ่ ราได้ว่าขณะนี เป็นอย่างไร นเี ท่านี ยังมองไม่เห็นเลย

นพี ูดทางแนวปฏบิ ัตสิ ั นๆ ง่ายๆ เบื องต้น เพราะฉะนั นขันธ์ห้ารูปนามแยกออกไป รูปเช่น
แยกว่า หูกับเสียงแยกอย่างไร ตามกับรูปแยกอยา่ งไร กลินกับจมูกแยกอย่างไร สัมผัสกเิดจิต
จิตในจมูกดูดกลนิ เหม็นหอมแยกอย่างไร ลิ นกับรสแยกอย่างไร คนไหนแยกได้จะไม่บ่นเรือง
อาหารเลย คนไหนแยกหูกับเสียงได้จะไมบ่ น่ กับบคุ คลทีมาว่ากล่าวเสียดสแี ต่ประการใดเลย คน
ไหนแยกตากับรูปได้เมอื ไร คนนั นจะไม่ตําหนิติเตียนบุคคลทีผ่านไปมา เห็นด้วยปัญญแาล้ว กจ็ ะ
มองเห็นน่าสงสารเวทนา จากคาํ ว่าเห็นหนอตั งสติไว้นีนักปฏิบัติธรรมกต็ ้องสงบอยา่ งงี

นแี หละขันธห์ ้า รูปนามเป็ นอารมณ์ แยกออกไปอยา่ งนี เสียงหนอ เสียงกับหูเป็ นอัน
เดยี วกันหรือเปลา่ เห็นหนอตากับรูปเป็นอันเดียวกันหรือเปลา่ ทําไมถึงคนละอัน ทาํ ไมถงึอัน
เดยี วกันอย่างไร ถ้าโยมมีปัญญาแยกนามได้ กจ็ ะทายได้ตอบได้โดยไม่ต้องดูหนังสือ เอาอย่างนี
ก่อนซิ ทาํ ได้แล้วหรือยังขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ได้ภาวะทันปัจจุบันไหม ช้าทสี ุดเหมอื นคน
จะตายยงิ ดีมาก เราจะได้เหน็ ภาวะปัจจุบันได้คล่องแคล่ว และสามารถจะเกบ็ หน่วยกติ ไว้ได้ คอื
รวบรวมสติสัมปชัญญะไว้ในภายใน ถึงเวลาแสดงออกสตจิ ะบอกได้ทุกประการ อันนี เป็ นผลงาน
ของกาคปฏิบัติธรรมทั งหมด

ขอสรุปว่าโยมอยวู่ ัดกันมานานแล้ว ตอบได้กันบ้างหรือยัง หองหนอ ยุบหนอนี และพอง
มีกีระยะ ยุบมีกีระยะ ระยะต้นว่าอย่างไร ระยะกลางว่าอยา่ งไร ระยะปลายว่าอย่างไร เดียว

เหลือ ๑ ระยะ ระยะหนึงแปลความหมายว่ากระไร สะอึกขึ นมาเหนอื ยขึ นมา อะไรเกิดขึ นแล้ว
กาํ หนดอยา่ งไร เท่านี ทาํ ได้หรือยัง ไม่ใช่นึกถึงก็เดนิ จงกรมแล้ว ก็นังหลับหูหลับตาโดยไม่เกิด
ปัญญาเลย ต้องรู้ตัวทุกเวลา เข้าใจทุกเวลาปัญญาเกิดทุกเวลา ในปัจจุบัน นี ซิอดตี นีปัจจุบัน
นีอนาคต นีเรืองนี สําคัญมากไม่ใช่ทาํ ส่งเดชนะ หรือรู้กันส่งเดชตามหนังสือแล้วก็ใช้ได้ ไม่งั นมก่ ็ไ
ต้องปฏิบัติอา่ นหนังสือใช้ได้รู้ว่าอายตนะ ธาตุ อินทรีย์ อยา่ งนี ใช้ได้ ไม่ต้องปฏิบัติก็ได้เป็น
วปิ ัสสนาปลอม เป็นวิปัสสนึกไป เป็ นวิปัสสนาไมไ่ ด้ แน่และผลงานจะเกดิ ขึ นแก่เราก็ไม่ได้ด้วย
ไม่มีความอดทนแน่และไม่มอี ารมณค์ งทีคงวา ทีเปลียนผันแปรออกมาให้จิตเข้าสู่ภาวะโดย
ปัจจุบันธรรมเลย

โดยวิธีนี พองหนอ ยุบหนอ ได้จังหวะแล้ว สติก็ดเี ป็ นขั นตอนสัมปญชญั ะรู้ตัว บวกกัน
พองยบุ ชัด เดียวก็เลือนลางเป็ นญาณแต่ละอยา่ ง แล้วบางอย่างทําให้เบือหน่ายในการปฏิบัติ
เกิดอะไรขึ นมา ญาณไหนหรือ ไม่ใชพ่ ูดตามญาณคิดค้นเดาเอาเอง โดยเฉพาะอาตมาเองยัง
ไม่ได้ญาณชั นสูงเลย ญาณชั นตําทีเราทาํ ได้ ทาํ ให้เจริญก้าวหน้ามาได้เพระาญาณชั นตําไมส่ งู
เกินไป ทีเขาได้กันเราต้องทําได้ โดยจุดมุ่งหมายอันนี เป็ นประการสําคัญ

วันนี ก็ขอฝากนักปฏิบัติธรรมไว้ว่าอย่าไปนังคุยกัน สาธยายกันเลย๗ วัน ๗ คนื ก้าม
หน้าก้มตาทาํ และมีอะไรกับประสบอารมณืปัญหา กาํ หนดให้ได้ ให้ทันต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน
เราจะรู้เหตุการณ์นั นได้ทันท่วงที เพราะไตรลักษณ์ก็แจ้งคดีมีทมี า เป็ นอนิจจังไม่เทียงเป็ ฯทกุ ข์
แท้ๆ แน่เหลอื เกนิ ปัญญาเกิด รอบรู้ในกองสังขาร โดยวิธีปฏิบัติงา่ ยๆ และกาํ หนดเวทนาได้ด้วย
อ๋อ เมือยนีเรืองเล็ก ตั งสติไว้เสียให้ดี เวทนาแยกแตกออกไป เปลยี นภาวะเวทนาไปส่วนหนึง
สัมผัสไปส่วนหนึง ญาณวิถีทางของรูปนามส่วนหนึง แล้วก็อาศัยรูปเกดิ แล้วดับไป เวทนาก็กลับ
หายไป แยกออกไปเสยี ได้โดยวธิ ีปฏิบัติโดยวธิ ีนี เป็ นต้น

นแี หละโยม ผู้ปฏบิ ัติธรรมโปรดตั งจุดมาตรการนี ไว้ ไม่เพียงแต่พิจารณาโดยหลับตา
พิจารณาโดยปัญญาด้วยการกาํ หนดจติ ใช้สติทุกประการเดินจงกรมให้ชัด ปฏิบัติให้ดี และ
กาํ หนดให้ได้ทันท่วงทีและทันต่อรูปนามขันธ์ห้าเป็นอารมณ์ นีเบื องต้นของภาคปฏบิ ัตวิ ิปัสสนา
กรรมญาณ เราจะรู้เหตุการณ์ได้ งูบหน้า งูบหลัง ถ้าคนไหนมีมากคนนั นขาดสติ ด้วยวธิ ีการ
กาํ หนดเบื องต้น อันนี มคี วามหมายมาก จึงขอชี แจงสรุปผลงาน จากภาคปฏิบัติกรรมฐานทีโยม
ปฏิบัตกิ ันทําให้มันต่อเนอื งเสียหน่อยเถอะ เดินจงกรมแล้วนัง นังแล้วก็เดนิ ปฏิบัตไิ ปเรอื ยๆ๗ วัน
๗ คืน รบั รองได้ผลแน่ ๗ วัน ๗ คืน เทา่ นั นได้ผลยังไง ได้ผลรูปนามได้ผลยังไงได้ผลอารมณข์ อง
รูปนาม ได้ผลยังไง มีสติสัมปชัญญะดีและสามารถจะรู้เหตุการณ์ในชวี ิตได้ดีโดยปัจจุบัน
สามารถจะแก้ไขทันเหตกุ ารณ์ได้ในปัจจุบนั เท่านี เท่านั น อันนี มคี วามหมายมาก

ขอให้ญาตโิ ยมสนใจต่อไปให้ถูกทางและทําไปโดยไม่ต้องไปคิดเอาเองทําไปโดยไมต่ ้องหา
วิชาการมาใส่ตัวให้รู้เองก่อนทาํ ต้องทําก่อนจะรู้ ไม่ใช่ไปรู้ก่อนทํานะ เดียวนี รู้กันเสยี ก่อนแล้ว รู้

ก่อนทําแล้วได้อะไร กไ็ ด้ของปลอมไปนะ ต้องทําก่อนรู้ซิ ไปรู้ก่อนทาํ มีทไี หนเลา่ ยังงี อาตมา
สังเกตมานานแล้ว ขอทบทวนให้โยมฟัง แค่เสียงหนอก็ไม่ได้เคยกําหนดเลย กาํ หนดคิดบ้างไหม
กําหนดรู้บ้างไหม อยา่ ลืมคิดน่ะ เป็ นอดีตนะ รวมเก่าทีมันลืมไปแล้วตั งแต่เป็นเดก็ รู้หนออย่าลืม
ปัจจุบันยังไม่รู้จริง ต้องกําหนดรู้หนอ อย่างนี เสียงหนอ มันผ่านพ้นไปแล้วทํายังไงไม่ให้เสยี สติ
ต้องกําหนดปัจจุบันอดีตอยา่ เอา เข้าใจไหมจ๊ะ ต้องเข้าใจ ต้องกําหนดรู้หนอเสียก่อนเพราะมัน
เลยไปเสียแล้ว เอาปัจจุบัน อยา่ เอาอดีต อดีตไม่เอา ถ้าเราลืมไปแล้วจะคิดเรืองเก่าเอามาเล่น
กันใหม่กก็ ําหนดอดตี เรียกว่าคิดหนอ หายใจยาวๆ ไม่มีคนทําเลยหรือ ไม่มคี นทําเลย อย่างนี
อาตมาเสียดายเสียใจด้วยทโี ยมไม่ปฏิบัติตามแนวปฏิบัตินี จงึ คิดไม่ออก บอกไม่ได้ ใช้ไมเ่ ป็น
ไม่เห็นตัวตาย ไม่คลายทิฏฐิ ไม่มีโอกาสดําริชอบ แน่นอนนะ จงตั งใจอย่างนี เป็นประการสําคัญ
ขอสรุปผลงานไว้เพียงเท่านี

ขอให้ผู้ปฏิบัติธรรมตั งใจและขอเรียนถวายท่านทั งหลายทีเป็นบัณฑิตมีความคิดแล้ว จง
ปฏิบัติหน้าที แยกรูป แยกนาม แยกขนั ธ์แต่ละขันธ์ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขนั ธ์ สังขาร
ขันธ์ วิญญาณขันธ์ ออกไปเป้ นสัดส่วนให้ได้จากการปฏบิ ัตินี รูปคงเป็นรปู อาศัยเกิดด้วยรูปคือ
เวทนา เวทนาขันธ์รวมความเหลือ ๓ สุข ทุกข์ อุเบกขา แน่นอนไม่ผันแปร สัญญาความจาํได้
หมายรู้ต้องกําหนดว่า คิดหนอ จําได้ไหม จําไม่ได้ อดตี มาโผล่ ลืมไปเสียแล้ว ผ่านไปเสียหมด
เกิดขึ นตั งอยู่ดับไปต้องเอาปัจจุบันมาแทน จึงต้อง กาํ หนดรู้หนอ-รู้หนอ-รู้หนอ เพราะมัน
เป็ นอดตี ผ่านพ้นไปเสียแล้วกําหนดไม่ทัน เอาปัจจบุ ันแก้ ถ้าหากปัจจบุ ันแกไ้ม่ได้ทําอย่างไรต้อง
สํารวมจิตกันใหม่ ตั งต้นใหม่ เอาตั งต้นใหม่ก็ปัจจุบัน แก้ไม่ได้ปล่อยให้มันเป็นอดีต.ไ..ป.....

จับหลับ

พระครูภาวนาวสิ ทุ ธิ

จับหลับ หมายถึง การหลับทีมสี ติ อันเป็ ฯคาํ พูดของคนสมัยเก่า หลับจะมีสติได้อยา่ งไร

มวี ธิ ีปฏิบัติดงั นี หายใจเข้าหายใจหายใจออกยาวๆ พองหนอ ยุบหนอ อย่าเครง่ ในอปุ าทานยึด
มัน ให้มันเกินไป ทําอย่างสบาย หายใจสบาย เดยี วมันจะหลบั จะเพลินแล้วมันจะเผลอ แล้วมัน
จะวูบลงไปสู่ภวังค์ จติ นั นจะดงิ ลงไปไม่สัมผัสภายนอก พลิกกายกีครั งรู้หมด ตนื ตอนไหนรู้หมด
เลย นีหลับมีสติซึงคนโบราณทา่ นเรยี กว่า “จับหลับ” ในสติปัฏฐาน ๔

อาตมาถามหลายคนใน ๑๐๐ คนจะได้สัก ๑๐ คน แต่ทาํ ฝึกไปเรือยๆ ได้ผล หลับมสี ติ
อยา่ งนี เอง บางทีถ้าไปนอนไม่มีนาฬิกาไป จะต้องตืนต๔ี ถ้าเรานังจนชํานาญแล้วนะ เราก็นอน
พองหนอยุบหนอเรือยไป แล้วหลบั มสี ติดี ถึงตี ๔ จะสะดุ้งตืนเลย แล้วดนู าฬิกาก็จะตรงเวลา
พอดี

พระพุทธเจ้าสอนข้อนี พูดตามศัพท์ภาษาไทยก็ นอน ตนื มีสติ หลับมีสติ ใน
พระไตรปิฎกมบี อกไว้ สตปิ ัฏฐาน ๔ ในตอนทีอาตมาเริมฝึกกัมมัฏฐานใหม่ๆ อาตมาก็ยังไม่ทราบ
หลับจะมีสติได้ยังไง ตืนนมี ีสตแิ น่ หลับผลอยไปนี มันไม่เห็นมีสตอิ ะไร แล้วทาํ ไมพระพุทธเจ้า
สอนว่าหลับต้องมสี ติ ตนื มีสติ หลบั ยังไง อาตมาก็ทาํ ไปเรือยๆ พระอาจารย์หลายรูปท่านก็บอก
ว่าหลับมีสติต่อเนือง เราก็ไม่รู้ ท่านก็ไม่บอกเราหลับแบบไหน มีสติอย่างไร ทนี ี อาตมาทําเรือยๆ
เป็ นเวลานาน กพ็ องหนอ ยบุ หนอ เพ่งมากไม่หลับ ก็ทําอย่างนี หลายวันแต่ก็กําหนดไปเรือยๆ
พองหนอ ยุบหนอ หายใจยาวๆ ไปเรือยๆ เอ...มันจะหลับแล้ว มันจะเพลินทีฟังเสยี งต่างๆ รู้มัง
ไม่รู้มัง เผลอแว้บไม่รู้หลับไปตอนไหน จําไม่ได้ หนักเข้าเดนิ จงกรมมังนังบ้าง ก็รวรบวม
สติปัญญาไว้แล้วมานอนกําหนดไป

วันนั นรู้ อ้อ หลับมีสติเป็ นอย่างนี นีเอง ในตอนแรกได้ยนิ คนคุยกัน เราก็นอนกําหนดของ
เราไปเรือยๆ แล้วก็ภาวนาพองหนอยุบหนอไป ได้ยินอะไรกก็ ําหนดไปเรือยๆ กาํ หนดไปชักเพลิน
หลับๆ ตนื ๆ ได้ยินแวว่ ๆ ถงึ ได้ตั งสติเข้าไว้แต่อยา่ ไปเพงม่ าก ถ้าเพง่ มากไม่หลับ ไม่ต้องเพ่งมาก
หรือเพ่งชัดเจนเกินไป ตั งสติไว้อย่างเดยี วกห็ ายใจไปเรือยว่าพองหนอยุบหนอไปเรอื ยๆ

สักประเดียวมันจะเผลอแว้บ พอยุบก็จับได้เลย เหมือนเราขับ รถลงสะพานวูบลงไป แล้ว
กท็ หวารหูปิ ดไมไ่ ด้ยินเสียง แต่ข้างในรู้หมด หลับมีสติอย่างนี นเี อง แล้วทีนี เราจะสังเกตตัวเรา
หลับนอน ๓ ชัวโมง เหมือนนอนชัวโมงเดียวไวมาก เราจะพลิกตัวกีครั งรู้หมด รู้พลิกแบบใหม่
อย่างไหนรู้หมด จะนอนตะแคงหรือนอนหงายนอนควํา รู้หมดเลย พอถึงเวลาถึงสะดุ้งตืนขึ นมา
ตามเวลาเลย อ้อ นหี ลบั มีสติ อย่างนเี อง

นอนมีสติ เราจะเห็นวินัยพระจะจําวัด ต้องปิ ดบังเสียให้ดี ปิดห้องหับเสียให้ดี ไม่งั นมี
อาบัติโทษ ข้อเท็จจริงก็หมายความว่าเดียวประชาชนเขาจะเห็นนะเอาศีลออกมาให้เขาดู ก็
ลําบาก ถ้าหลับมสี ติศลี ไม่ออก หลับมีสติ ตืนมีสติ ขอให้ท่านฝึ กๆ ไป ได้ผลอย่างนี ในหลัก
บอกหลบั มีสติ ตืนมีสติ หลับมีสติได้อย่างไร หลับพลิกตัวกีครั งรู้หมด รู้ข้างใน ถ้าวิปัสสนาข้าง
ในต้องรู้นะ เผลอไปดงิ พสุธา มีแต่สมาธิ ไม่ใช่วปิ ัสสนาแน่ ต้องรู้ข้างนใ พร้อม ข้างนอกไม่รู้
อย่างทพี ลสมาบัติ นีข้างในรู้หมด ข้างนอกไมร่ ู้ อนั นี มันก็ขึ นอยู่ทีฝึก นอนทโี ล่งๆก็ได้ จะพลิกตัว
กีครั งรู้หมด แล้วใครจะเรียก คาํ เดียวต้องตืนได้เลย มนั จะบอก สตินีสําคัญ

อยา่ งบางท่านทาํ ได้หลับนอนเก้าอี ได้เลย หายใจยาวๆ วางจิตไว้ทีตรงคอ อยากจะหลับ
วางจิตไว้หลบั เลย ถ้าง่วงเหลอื เกินก็วางจติ ไว้ทหี น้าผาก แล้วกําหนดไป ไม่หลับดูหนังสอื ต่อไป
ได้ ลองดูได้ถ้าสมาธิดี จับจดุ ปับถกู ต้องๆ ถ้าเราอยากจะหลับหายใจยาวๆ สงบจิตไว้ วางไว้ที
คอทีเรากลนื นํ าลาย หลับเลย บนเก้าอี ได้ทีเรานังรถโงกไปทางนี ๆ ไม่มีสติ ถ้ามีสติดีในการหลับ
รับรองถ้านังรถหรือนงั เก้าอี ท่านจะหลับเฉยๆ ไม่โงกแน่นอน สติบอกพร้อม ถึง๕ นาทีกต็ นื ทันที
ดีกว่าไปนอนทบี ้านตั งหลายชัวโมง อันนี มีคนทําได้หลายคน

บางทเี ราเขียนหนังสอื อยู่บนเก้าอี จะพักผ่อน อยู่ทีทํางานแล้วนังเขียนหนังสอื เสร็จแวก็
วาง ก็ค่อยๆ นังเก้าอ้ะรรมดาๆ หายใจยาวๆ พองหนอ ยุบหนอ แล้วอธิษฐานจิตว่าข้าพเจ้าขอ
หลับ ๕ นาที สํารวมจิตไว้ทีลกู กระเดือกทีกลืนนํ าลาย ตั งสติหายใจยาว ไม่เกินอึดใจหลับเลย
แล้วมันจะวูบลงไป พอถึง๕ นาที ตนื ตามธรรมดาแล้วสดชืน แต่ต้องวางจดุ ให้มันถูก แตก่ ่อนที
จะหลบั ได้นี ต้องฝึกมานานนะ ต้องฝึกเรือยๆ ให้มันเข้าออกได้ ทีนี ถ้าง่วงเหลือเกินเราอยากจะ
อยูต่ ่อไปโดยไมง่ ่วง ตั งสติไว้หน้าผากแล้วหายใจยาวๆ ตั งสติไว้ทีหน้าผากเดียวตาแข็ง สมาธิไว้
ทีนี ดูหนังสือต่อไปได้เลย อกี ๑ ชัวโมงแล้วค่อยนอน

ถ้าวันไหนฟุ ้ งซ่านมาก ไม่ใช่ไม่ดนี ะดีนะ มันมีผลงานให้กําหนด แล้วก็ขอให้ท่าน
กาํ หนดเสีย ฟุ ้ งซ่านกก็ าํ หนดตั งอารมณ์ไว้ดีๆ กําหนดฟุ ้ งซา่ นหนอ แล้วหายใจยาวๆ ไม่ต้องไป
พองยุบ วิธีแก้หายใจยาวๆ ตามสบาย แล้วภาวนาในใจ ฟุ ้ งซา่ นหนอๆ สักชัวครู่หนงึ ทา่ นจะหาย
แน่นอน บางคนดูหนังสือปวดลกู ตา อยา่ ใหเ้ ขาเพ่งทีจมกู ต้องไปทีท้องหายทุกราย บางทีปวด
กระบอกตาดูหนังสือไม่ได้เลย ตาแดงร่นลงมากําหนดทที ้องมันก็จะว่องไวคลอ่ งแคล่วขึ น แล้วจะ
หายไปเอง


Click to View FlipBook Version