๓. หลกั กรรมสาํ หรบั คนสมยั ใหม ๙๓
ในกรณีท่ีไมไดรักษาธรรมเลย และก็ไมชวยคน อยางนี้ผิด
นวี่ าอยางรวบรัดแบบพดู กนั งายๆ
ถาเราไปเจอคนทุกขยากขัดสนขนแคน เราจะอางวาเปน
(ผล)กรรมของเขาแตชาติปางกอน ใหเขากมหนารับกรรมไป การ
อา งอยา งน้ผี ดิ ถึง ๓ ดา น ๓ ขนั้ ตอน
๑. ถาเปนผลกรรมชาติกอน น่ีก็คือเขาไดรับผลของกรรม
นั้นแลว คือเกิดมาจน สภาพปจจุบันคือสภาพที่ไดรับผลแลว ไมใช
สภาพรอผล เมื่อผลกรรมเกาออกไปแลว หนาที่ของเราท่ีจะทําตอ
สภาพปจจบุ ันท่ีเขาทุกขยาก กค็ ือ ตอ งใชเมตตากรณุ าไปชวยเหลือ
เหมือนกับกรณีเด็กวายน้ําไมเปน เลนซน ไมเช่ือฟงพอแม
แลวไปตกนํ้า การท่ีเขาตกน้ําก็เปนการรับ(ผล)กรรมของเขาแลว
ตอนน้ีเขากําลังทุกข ถึงตอนท่ีเราตองใชความกรุณาไปชวย จะไป
อางวา เปน (ผล)กรรมของเขาแลว ปลอ ยใหเ ด็กตาย ยอมไมถ ูกตอง
๒. คนเราทํากรรมดี-ชั่วตางๆ มักจะปนๆ กันไป บางคนท้ัง
ท่ีทําความดีมาก แตเวลาจะตายจิตแวบไปนึกถึงกรรมไมดี เลย
พลาดมาเกิดไมดี เราพวกมนุษยปุถุชนไมไดหย่ังรูเรื่องอยางน้ี
เพียงพอที่จะตัดสิน แตภาพปจจุบันคือเขาทุกขเดือดรอนเปนที่ต้ัง
ของกรุณา จงึ ตองใชธรรมขอกรุณาเขา ไปชวยเหลอื
๓. ปรากฏการณอยางหนึ่ง หรืออยางเดียวกัน อาจเกิด
จากเหตุปจจัยตางอยาง หรือหลายเหตุปจจัยประกอบกัน อยางท่ี
พูดแลวในเรื่องนิยาม ๕ เหตปุ จจัยในอดตี กม็ ี เหตุปจจัยในปจจุบัน
ก็มี เหตุปจจยั ภายในกม็ ี เหตปุ จ จยั ภายนอกกม็ ี
๙๔ บุญ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกันไดทุกคน
ในเรื่องความยากจนนี้ ถาเปนสภาพทางสังคม ขอใหลอง
ไปดูอยางจักกวัตติสูตร (พระไตรปฎกเลม ๑๑) หรือกูฏทันตสูตร
(พระไตรปฎกเลม ๙) จะเห็นวา พระพุทธเจาทรงเนนเหตุปจจัย
และการแกไ ขปญ หาดา นการบริหารการปกครองบานเมือง อยางน้ี
เปนตวั อยา ง ซง่ึ จะตอ งไมมองขา มไป
อยามองอะไรแบบทึกทักทันทีงายๆ หลักธรรมประเภทนี้
ทรงสอนไว เพ่ือใหรูจักใชปญญาพิจารณาแยกแยะความสัมพันธ
แหงเหตปุ จ จยั ไมใ ชม องแบบตีคลุม
ในกรณีอยางนี้ ถาเราถืออุเบกขาวางเฉย ก็กลายเปน
อัญญาณุเบกขา คือเฉยโง กลายเปนบาปอกุศลไป เพราะวางเฉย
โดยไมร ูเ รื่องรรู าว ไมเหมือนกรณที ่มี ีคนลกั ขโมยของ แลวถูกจับคุม
ขงั เรารวู าอะไรเปนอะไร แลวเราจึงวางอเุ บกขาเพอ่ื รักษาธรรม
ฉะนั้น ถาหากคนเขามีความทุกขยากเดือดรอน เรื่องอะไร
จะไมชว ย การชว ยนั้นกเ็ ปนการทํากรรมดีของตัวเราเองดวย และก็
เปนการเมตตากรุณาชวยเขา ใหเขาทําความดี โดยเมื่อไดรับการ
ชวยเหลือนั้นแลว เขาก็มีโอกาสแกไขปรับปรุงตัว และมีกําลังท่ีจะ
ไปทาํ กรรมดอี ่นื ๆ ตอ ไป
แตก ารชว ยทีด่ ที ีส่ ดุ ก็คอื การชวยใหเ ขาชว ยตัวเองได
ทงั้ น้เี ปน เรือ่ งท่ีจะตองพิจารณาในรายละเอียด แตการท่ีจะ
บอกเหมาลงไปวา คนไดรับทุกขยากเดือดรอน เปนกรรมของเขา
ปลอยใหเขารับกรรมไป อยางน้ีไมถูก ตองมีหลักวาเปนเร่ืองของ
การรักษาธรรมหรอื ไม
เหลานีเ้ ปนแงต างๆ ทจ่ี ะมาชว ยในการพจิ ารณาเรื่องกรรม
๓. หลกั กรรมสาํ หรับคนสมัยใหม ๙๕
บุญ-บาป กศุ ล-อกศุ ล
อีกเร่ืองหน่ึงคือ เรื่องความหมายของกรรม ที่แยกเปนกุศล
อกศุ ล เปนบุญ เปน บาป
ในเวลาแยกประเภทกรรม เรามักแยกเปนกุศลกรรม และ
อกุศลกรรม หรืองายๆ ก็เปนบุญ เปนบาป หรือบุญกรรม และ
บาปกรรม
เราจะอธิบายเร่ืองกรรมไดชัดเจน เม่ือเราอธิบาย
ความหมายของกศุ ล อกศุ ล บญุ บาป ไดดวย
ก. กุศล คืออะไร?
กุศลมีความหมายอยางไร? ชาวบานมักจะมีความสงสัย
หรือเขาใจพราๆ มัวๆ เขามักจะไมรูวาอะไรเปนกุศลหรือเปนอกุศล
พอบอกวา เชิญชวนมาทําบุญทํากุศลกัน ใหบริจาคเงินสรางศาลา
แลวไดกศุ ล ชาวบานก็ไมรูว า กศุ ลคอื อะไร
บางทีชาวบานมองกุศลคลายกับวาเปนตัวอะไร หรือเปน
อาํ นาจอะไรอยา งหน่งึ ที่ลอยอยูที่ไหนไมรู ซึ่งมองไมเห็น แลวจะมา
ชวยคนในเม่ือถึงเวลาที่ควรจะชวย แตทีนี้ ความหมายที่ถูกตอง
ในทางหลักธรรมเปนอยางไร
กุศล นั้นตามหลักทา นบอกวา แยกความหมายได ๔ อยา ง
ความหมายท่ี ๑ วา อาโรคยะ แปลวา ไมมีโรค หมายความ
วา เปน สิง่ ท่เี ก้ือกูลตอสุขภาพ
๙๖ บญุ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกนั ไดทกุ คน
คําวาสุขภาพ ในที่น้ีหมายถึงสุขภาพของจิตใจ ซึ่งเปนฐาน
ของสุขภาพกายดวย คือทําใหจิตใจเขมแข็งสมบูรณ เหมือนกับ
รางกายของเราน้ี เม่ือไมมีโรคก็เปนรางกายที่แข็งแรงสมบูรณ
จิตใจที่ไมถูกโรคคือกิเลสเบียดเบียน ก็เปนจิตใจที่แข็งแรงสมบูรณ
สบายคลองแคลว ใชงานไดดี อยางที่ทานเรียกวา ควรแกงาน หรือ
เหมาะแกก ารใชง าน จิตใจแบบน้ีเรียกวา เปนจติ ใจไมมโี รค
ความหมายที่ ๒ วา อนวัชชะ แปลวา ไมเสียหาย ไมมีโทษ
คือ ไมมีสิ่งมัวหมอง ไมสกปรก ไมบกพรอง สะอาด ผองแผว ผอง
ใส ปลอดโปรง เปนตน เอางายๆ วา สะอาด บริสทุ ธ์ิ
ความหมายที่ ๓ วา โกศลสัมภูต แปลวาเกิดจากปญญา
เกิดจากความฉลาด หมายความวา กุศลเปนเร่ืองที่ประกอบไป
ดวยปญญา คือความรูเขาใจ ทําดวยความรูเหตุผล และทําตาม
ความรูเหตุผลนั้น เชน มองเห็นความดีความช่ัว รูคุณรูโทษ รู
ประโยชน รูไมใชประโยชน ทําดวยจิตใจท่ีสวาง ไมโงเขลามืดมัว
เรียกวา เปนความสวา งของจิตใจ
เม่ือมีกุศลเกิดข้นึ ในจติ ใจแลว ไมปดบังปญญา จิตใจสวาง
ไมมดื ไมบ อด มองเห็นอะไรๆ ถกู ตองตามความเปน จรงิ
ความหมายท่ี ๔ สุดทายคือ สุขวิบาก มีสุขเปนผล ทําให
เกิดความสุข เวลาทําจิตใจก็โปรงสบาย สดชื่น ราเริง เบิกบาน
ผอ งใส สงบเย็น ไมเรา รอ น ไมบีบคน้ั ไมเ ครียด ไมอ ดึ อดั
ที่วามาทั้ง ๔ ขอนี้คือความหมายของกุศล เปนลักษณะที่
จะเอามาวนิ ิจฉยั คือ สิ่งทีเ่ ปน กศุ ลน้นั จะตอ ง
๓. หลักกรรมสาํ หรบั คนสมัยใหม ๙๗
๑. อโรค ไมมีโรค เก้ือกูล จิตใจมีความแข็งแรงสมบูรณ
จิตใจคลองแคลว ใชงานไดดี
๒. อนวัชชะ ไมมีโทษ ไมมีมลทิน ไมมัวหมอง ไมเส่ือมเสีย
มีความสะอาด บริสุทธ์ิ ผองแผว ปลอดโปรง
๓. โกศลสัมภูต มีปญญา รูเหตุผล รูดีชั่ว รูคุณรูโทษ สวาง
ไมมดื มัว และ
๔. สุขวิบาก มีสุขเปนผล ทําดวยความโปรงสบาย ทําแลวก็
แชมชน่ื เยน็ ใจ
ตัวอยางลักษณะและอาการของกุศลท่ีเกิดขึ้นในใจ เชน มี
เมตตา เปนอยางไร พอเมตตาเกิดขึ้นในใจปบ ก็เย็นฉํ่า จิตใจไมมี
โรค จิตใจมีความแข็งแรงในตัวของมัน มีความเอิบอ่ิม สบาย เย็น
ช่ืน ยิ้มได ปลอดโปรงผองใส ทั้งใจทั้งกายราบรื่นผอนคลาย เลือด
ลมเดินคลองดี และมีความรูความเขาใจ สวางอยูภายในวาคนอื่น
เขามีความสุขความทุกขอยางไร เราควรจะมีจิตใจตอเขาอยางไร
และมีความสขุ พรอมอยูในตัวดว ย
แตในทางตรงขาม ถามีโทสะเกิดข้ึน เปนอยางไร พอโทสะ
หรือความโกรธ ความคิดประทุษรายเกิดข้ึนปบ ก็รูสึกเรารอนแผด
เผา จิตเปนโรค จิตบกพรอง ถูกบีบค้ัน ไมสบาย ขุนมัว ไมบริสุทธ์ิ
ไมสะอาด ไมปลอดโปรง ไมผองใส ใจของ ใจเครียด กายก็เครียด
เลือดลมคั่ง และมืดมัว ไมรูดีรูช่ัว ไมคิดคํานึง ไมมองเห็นบุญเห็น
คุณ ไมคํานึงถึงโทษ ไมรูวาใครเปนใครท้ังนั้น และมีความทุกข
พลุงพลาน เดือดรอนใจ น่ลี ักษณะของอกุศล
๙๘ บญุ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกันไดทกุ คน
เพราะฉะนั้น กุศลและอกุศลจึงไมตองไปรอดูผลขางนอก
พอเกิดขึ้นในใจก็บอกตัวเองของมันทันที ปรากฏผลแกชีวิตจิตใจ
เปนความหมายของตัวมันเอง พอมีข้ึนมาปบ ก็สําเร็จความหมาย
ในตัวทันที
ถาใครถามวาดีชั่วมีจริงไหม ก็บอกวาฉันไมตอบละ เกลือ
กับน้ําตาล หวาน-เค็มจริงหรือไมอยางไร ชัดอยูในใจของคุณเอง
มนั กเ็ ปน กศุ ล-อกศุ ลอยา งท่ีมันเปน นน่ั แหละ
ความเปนกุศลและอกุศล เปนสภาวะตามธรรมชาติ มันมี
ภาวะของมันอยูในตัวแลว เราตองอธิบายกรรมใหลึกเขามาถึง
ความหมายของกุศล-อกุศลในจิตใจ ท่ีเปนพื้นแทๆ ของตัวมันเอง
ใหเหน็ วา มันมคี วามหมายอยใู นตัวของมนั เองพรอมแลว ไมตองไป
รอผลไกล
ถาม: อาโรคยะ แปลวา ไมม ีโรคใชไ หมครบั
ตอบ: อาโรคยะ มาจากอโรคะ คือ อ+โรค อโรค ก็คือ ไมมี
โรค แลวบวก ณฺย ปจจัย เขาไป เปน ภาวตัทธิต ตามหลักไวยากรณ
เปน อาโรคฺย แปลวา ความเปนอโรค คือ ความไมมีโรค นี้หมายถึง
ความไมเปนโรคของจิต ไมใชแคโรคของรางกาย จิตท่ีไมมีโรค ก็
สมบูรณแข็งแรง และชวยหนนุ สขุ ภาพรางกายดว ย
แมแตภาษิตที่เราทองกันในภาษาไทย ท่ีเพ้ียนเปน อโรค
ยาปรมา ลาภา นั้น (ความจริงภาษาบาลีเปน อาโรคฺยปรมา ลาภา) ใน
พระไตรปฎก พระพุทธเจาก็ตรัสวา ความหมายท่ีแทจริงไมไดมุง
เพียงไมมีโรคกาย ที่วาความไมมีโรคเปนลาภอยางยิ่ง หรือลาภ
ท้ังหลายมีความไมมีโรคเปนอยางย่ิงนั้น พระองคหมายถึงพระ
นิพพาน
๓. หลกั กรรมสาํ หรับคนสมยั ใหม ๙๙
อาโรคยะ น้ี หมายถึง พระนิพพาน พระนิพพานเปนภาวะ
ไรโ รค คือความมสี ุขภาพจติ สมบูรณ
เรื่องน้ีพระพุทธเจาตรัสกับมาคัณฑิยะ ทานมาคัณฑิยะไป
สนทนาธรรมกับพระพุทธเจา อางสุภาษิตเกาวา อาโรคฺยปรมา
ลาภา ซึ่งในที่น้ีเขามีความเขาใจวาเปนโรคกาย แตพระพุทธเจา
ตรัสวามนั ไมไดม คี วามหมายแคบแคน น้ั แตหมายถึงความไมมีโรค
ทางจิตใจดวย ใชไ ดทุกระดับ
สําหรับชาวบานก็ใชในระดับโรคทางกายธรรมดา แต
ในทางธรรม พระพุทธเจาตรัสไวในพระสูตรในมัชฌิมนิกาย
หมายถึงพระนิพพานเลย เปนภาวะไมมีโรคโดยสมบูรณต้ังแตใน
จิตใจ หมายความวาภาษิตนี้ใชไดทุกระดับ ต้ังแตระดับชาวบาน
ไปจนกระท่งั ถึงบรรลุนพิ พาน แตใหร คู วามหมายแตล ะขั้นๆ
ความหมายของคําวา “กุศล” ก็ใหเขาใจตามลักษณะที่วา
มาน้ี สวนที่เปนอกุศลก็ตรงขาม ดังไดยกตัวอยางไปแลว เชน เม่ือ
เมตตาเกิดข้ึนในใจเปนอยางไร โทสะเกิดขึ้นเปนอยางไร ลักษณะ
ก็จะผิดกันใหเห็นชัดๆ วา ผลมันเกิดทันที อยางที่เรียกวาเปน
สันทฏิ ฐโิ ก เหน็ เอง เหน็ ทันตา
ข. บญุ หมายความแค่ไหน?
คําที่เนื่องกันอยูกับ กุศล และ อกุศล ก็คือคําวา “บุญ”
และ ”บาป” บญุ กบั กุศล และบาปกับอกศุ ล ตา งกันอยา งไร?
ในท่ีหลายแหงใชแทนกันได อยางในพุทธพจนท่ีตรัสเร่ือง
ปธาน คือความเพียร ๔ ก็ตรสั คาํ วา อกศุ ล กับคําวา บาป ไวด ว ยกัน
๑๐๐ บุญ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกนั ไดทุกคน
ในหลัก ปธาน ๔ น้ัน คําท้ังสองอยูในประโยคเดียวกัน คือ
เปนคําที่ชวยขยายความซึ่งกันและกัน ดังที่ตรัสวา “ภิกษุยังฉันทะ
ให้เกิดขึ้น ระดมความเพียร เพ่ือปิดกั้นบาปอกุศลธรรมซ่ึงยังไม่เกิดมิให้
เกดิ ข้ึน น้เี รยี กวา่ สังวรปธาน” นี่ บาปกับอกุศลมาดว ยกัน
แต บุญ กับ กุศล มีความกวางแคบกวากันอยูหนอย คือ
กุศล ใชไดท้ังโลกิยะและโลกุตตระ เปนคํากลางๆ และเปนคําท่ีใช
ในทางหลักวิชามากกวา บางทีก็ระบุวาโลกิยกุศล โลกุตตรกุศล
แตถา พดู เปนกลางๆ จะเปนโลกยิ ะก็ได โลกุตตระกไ็ ด
สวนคําวา บุญ นิยมใชในระดับโลกิยะ แตก็มีบางที่ทานใช
ในระดับโลกุตตระ โดยระบุชัดลงไปวา โลกุตตรปุญญะ (ที.อ.๓/๒๐)
แตโดยท่ัวไป บุญอยูแคระดับโลกิยะ อยางที่เรียกวา โอปธิกปุญญะ
(บุญที่เนื่องดวยอุปธิ คือเปนโลกิยะ) เทียบกับ นิรูปธิกุศล (กุศลท่ีไร
อุปธิ คอื เปนโลกุตตระ, ข.ุ อติ .ิ ๒๕/๒๖๒/๒๙๐)
เปนอันวา โดยทั่วไป บุญใชในระดับโลกิยะ สวนกุศลเปน
คํากลางๆ ใชไดท้ังโลกิยะและโลกุตตระ นี่เปนความกวางแคบกวา
กันนิดหนอย ระหวางบุญกับกุศลในแงรูปศัพท ซึ่งก็อาจเอาไปชวย
ประกอบเวลาอธิบายเร่ืองกรรมได แตเปนเร่ืองเกร็ด ไมใชเปนตัว
หลักใหญ
บุญ นัยหนึ่งแปลวา เปนเครื่องชําระสันดาน คือเปนเครื่อง
ชําระลางทําใหจิตใจสะอาด ในเวลาท่ีส่ิงซ่ึงเปนบุญเกิดขึ้นในใจ
เชน มีเมตตาเกิดขึ้น ก็ชําระจิตใจใหสะอาดบริสุทธ์ิ ศรัทธาเกิดขึ้น
จติ ใจก็ผองใส ทาํ ใหหายเศรา หมอง หายสกปรก
๓. หลักกรรมสาํ หรับคนสมัยใหม ๑๐๑
ความหมายตอไป นักวิเคราะหศัพท แปล บุญ วา นํามาซ่ึง
การบูชา หรอื ทาํ ใหเปน ผคู วรบูชา คอื ใครก็ตามสั่งสมบุญไว สั่งสม
ความดี เชน สั่งสมศรัทธา เมตตา กรุณา มุทิตา ผูน้ันก็มีแต
คุณธรรมมากมาย และคุณธรรมหรือคุณสมบัติเหลานั้นก็ยกระดับ
ชีวิตจิตใจของเขาขึ้น ทําใหเปนผูควรบูชา ฉะน้ัน ความหมายหน่ึง
ของบญุ กค็ อื ทําใหเปน คนนา บชู า
อีกความหมายหน่ึงคือ ทําใหเกิดผลที่นาชื่นชม เพราะวา
เม่ือเกดิ บญุ แลว กม็ ีวิบากท่ีดงี าม นาชนื่ ชม จึงวามีผลอันนาช่ืนชม
ความหมายน้ี ใกลกับพุทธพจนท่ีวา สุขสฺเสตํ อธิวจนํ ยทิทํ
ปฺุานิ ซ่ึงแปลวา ภิกษุทั้งหลาย คําวาบุญนี้ เปนช่ือของความสุข
เม่ือบุญเกิดข้ึนในใจแลว จิตใจก็สบาย มีความเอิบอิ่มแชมชื่นผอง
ใส บุญจึงเปน ช่ือของความสขุ
สวนบาปน้ันตรงกันขาม บาป น้ัน โดยตัวอักษร หรือโดย
พยัญชนะ แปลวา สภาวะท่ีทําใหถึงทุคติ หรือทําใหไปในท่ีช่ัว
หมายถึงส่ิงท่ีทําใหจิตตกต่ํา พอบาปเกิดข้ึน ความคิดไมดีเกิดข้ึน
โทสะ โลภะ เกิดข้นึ จติ กต็ กตํ่าลงไป และนาํ ไปสทู ุคติดวย
ทานใหความหมายโดยพยัญชนะอีกอยางหน่ึงวา เปนสิ่งที่
คนดีพากันรักษาตนใหปราศไป หมายความวา คนดีท้ังหลายจะ
รักษาตนเองใหพนไปจากส่ิงเหลาน้ี จึงเรียกส่ิงเหลาน้ีวาเปนบาป
เปนส่งิ ท่คี นดที ิ้ง พยายามหลกี หลบเลีย่ งหนไี มอยากเก่ียวของดวย
นี่เปนความหมายประกอบ ซ่ึงอาจจะเอาไปใชอธิบายเปน
เกร็ดได ไมใชตัวหลักแทๆ เอามาพูดรวมไวดวยในแงตางๆ ที่เรา
จะตอ งทาํ ความเขาใจเกย่ี วกับเรื่องกรรม
๑๐๒ บญุ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกนั ไดทุกคน
เทา ทีไ่ ดบรรยายมา เมื่อวาโดยสรปุ มคี วามสาํ คัญท่ีจะตอง
มองอยู ๔ ประการ คือ
๑. กรรมเปนเร่ืองของความเปนเหตุเปนผล เปนเรื่องของ
กฎเกณฑแหงเหตุปจจัย ถาจะอธิบายลงลึก ก็ตองโยงเขาไปใน
เร่อื งไตรวัฏฏ คือ กิเลส กรรม และวบิ าก เขา สหู ลกั ปฏิจจสมุปบาท
๒. จะตองรูวากรรมนี้เปนนิยามหนึ่ง หรือกฎหนึ่งในบรรดา
นิยาม ๕ เทานั้น อยาเหมาทุกอยางเขาเปนกรรมหมด ตอง
แยกแยะเหตุปจ จัยใหถ กู ตอง
๓. ตองแยกหลักกรรมออกจากลัทธิผิดสามอยางใหไดดวย
คอื ลัทธปิ ุพเพกตวาท ลัทธอิ ศิ วรนริ มติ วาท และลัทธอิ เหตุวาท
๔. ใหน าํ ความเขา ใจความหมายของกุศล อกศุ ล มาชวยใน
การอธิบายแงลึก ใหเห็นผลตางๆ ที่เกิดข้ึนในระดับจิตใจ ใหเขาใจ
ความหมายของกรรมท่ีแทจริง ที่เปนสภาวะอยูในจิตใจ ซ่ึงมีผล
ประจกั ษท ันที
ตอน ๒
กรรม โดยใชก าร
ความสาํ คัญของมโนกรรม/
คา นิยมกําหนดวิถีชวี ติ และสังคม
ขอผานไปยังเรื่องการใหผลของกรรม อยางท่ีบอกแลววา
เราไดยินบอยๆ เก่ียวกับคําอธิบายการใหผลของกรรมแบบโลดโผน
ซึ่งเปนเร่ืองนาตื่นเตน เปนเหตุการณใหญๆ แบบที่วาทําใหสัตวขา
หัก แลวตอมาตัวเองไปถูกรถทับขาหัก อะไรทํานองนี้ ซ่ึงไดยินกัน
บอย จนบางทีทําใหรูสึกวา กรรมเปนอํานาจเรนลับอยางหนึ่งซ่ึง
ลอยอยูท่ีไหนก็ไมรู มันคอยจองจะมาลงโทษเรา ถาอธิบายแบบนี้
กม็ ปี ญ หาท่บี อกแลว วา คนที่เปน นักคิดเหตผุ ลจะไมค อ ยยอมรับ
ลองพจิ ารณาดูวา เราจะสามารถอธบิ ายกรรมในแงสืบสาว
เหตุปจจัยไดอยางไร ความเปนเหตุเปนผลนั้นอยูท่ีการสืบสาวเหตุ
ปจจัย ใหเห็นวาแตละอยางเชื่อมโยงกัน สืบทอดและตอเน่ืองกัน
อยางไร จึงมาออกผลอยางนี้ ถาอธิบายตรงนไี้ ด คนจะตองยอมรบั
การท่ีจะอธิบายอยางนี้ได ก็ตองลงไปถึงจุดเริ่มของมัน คือ
ถึงขางในจิตใจ พระพุทธเจาตรัสวา กรรม มี ๓ คือ กายกรรม
วจีกรรม มโนกรรม
๑๐๔ บุญ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกันไดทุกคน
ในบรรดากรรม ๓ อยางน้ัน กรรมท่ีละเอียดออนท่ีสุดก็
ไดแ ก มโนกรรม คือ กรรมทางใจ
กรรมทางใจ นอกจากเปนเรื่องละเอียดออนแลว ก็เปนจุด
เริ่มดวย หมายความวา การกระทําที่จะออกมาเปนวจีกรรมและ
เปน กายกรรมได ก็เพราะเกิดขนึ้ เปนมโนกรรมกอน
คนเราตองคิดกอน คิดขึ้นมาในใจ คิดชั่วแลว จึงพูดชั่ว ทํา
ชั่ว ถาพูดชั่วข้ึนเฉยๆ อาจเปนเพียงเคยปากหรือใชคําพูดไมถูก
เทานน้ั ไมใชเปน กรรม
คนจะทําอะไร ก็เริ่มจากความนึกคิดในใจ ที่เรียกวา
มโนกรรม ในทางพระพุทธศาสนาถือวามโนกรรมสําคัญท่ีสุด
พระพุทธเจาตรสั โดยทรงเปรียบเทียบกับลทั ธินคิ รนถ
ในลัทธินิครนถเขาเรียกกรรมวา ทัณฑะ ซึ่งแบงเปน ๓ คือ
กายทัณฑะ วจีทัณฑะ มโนทัณฑะ และถือวากายทัณฑะสําคัญ
ท่ีสุด เพราะลําพังคิดอยางเดียว ไมทําใหตายได แตถาเปนกาย
ทัณฑะ เอามีดมา ฟนคอ ก็ตายแนๆ หรือฉวยปนมายิง ก็ตาย แค
คดิ ไมตาย เพราะฉะนนั้ ลัทธนิ ิครนถถอื วา กายทัณฑะสําคญั ทีส่ ดุ
แตพระพุทธศาสนาถือวา มโนกรรมสําคัญที่สุด เพราะ
มโนกรรมเปนจุดเรมิ่ ตน เปน ตัวการใหญ เปนเจา ของแผนการ
บุคคลก็ดี สังคมก็ดี จะเปนไปอยางไร ก็ดําเนินไปตาม
มโนกรรมเปนใหญ มโนกรรมเปนตวั กําหนดวถิ ีหรือช้ีแนวทางใหแก
แนวคิด ความนิยม ความเช่ือถือ เปนตัวกํากับการ เชน คนๆ หน่ึง
มีความชอบในอะไร ใฝในอะไร ชีวิตของเขาก็จะดําเนินไปตาม
วิถีทางทีช่ อบที่ใฝน ั้น
๓. หลกั กรรมสาํ หรับคนสมยั ใหม ๑๐๕
สมมติวา เด็กคนหน่ึงเกิดชอบบวชพระ ชอบหมผาเหลือง
เห็นเณรแลวก็อยากเปนเณรบาง ความฝกใฝพอใจอันนี้ก็มาหลอ
หลอมทําใหเขาคิดที่จะบวช ตอมาเขาก็อาจจะบวชแลวก็อยูใน
พระศาสนาไป แตอีกคนหน่ึงจิตชอบใฝไปในทางท่ีอยากไดของ
ของคนอน่ื โดยไมตองทําอะไร ก็อาจจะไปลักขโมย วิถีชีวิตก็จะหัน
เหไปอีกแบบหนงึ่
นี้ก็คือเรื่องของมโนกรรม ท่ีมีผลบันดาลชีวิตทั้งชีวิตให
เปนไปตางๆ กัน ความนิยม ความชอบ แนวคิด ความเชื่อถือตางๆ
น้ี เปนเครื่องกําหนดชะตาและสรางชีวิตของคน กับท้ังวิถีของ
สังคม พระพุทธศาสนามองในข้ันลึกซ้ึงอยางน้ี จึงถือวามโนกรรม
สําคญั
สังคมมนุษยจะเปนไปอยางไร ก็เร่ิมมาจากมโนกรรม ไม
ตองสืบไปไกลถึงอารยธรรม เอาอยางงายๆ เชน ส่ิงท่ีปจจุบันนี้
ชอบเรียกวา “คานิยม” เมื่อสังคมมีคานิยมอยางไร ก็จะชักนํา
ลักษณะการดําเนนิ ชีวติ ของมนษุ ยใ นสงั คมนั้นใหเ ปนอยางนั้น
ยกตัวอยางเชน คนในสังคมหนึ่งถือวา ถาเรารักษา
ระเบียบวินัยเครงครัดได ก็เปนคนเกง ความเกงกลาสามารถอยูที่
การทําไดตามระเบียบแบบแผน ความนิยมความเกงในแงน้ี ก็
เรียกวาเปนคานิยมในการรกั ษาระเบียบวินยั
คนพวกที่มีคานิยมแบบน้ี ก็จะพยายามรักษาระเบียบวินัย
ใหเครงครดั จนอาจทําใหป ระเทศนน้ั สงั คมน้ัน มรี ะเบยี บวนิ ัยดี
สวนในอีกสังคมหน่ึง คนอาจจะมีคานิยมตรงขาม โดยมี
ความช่ืนชมวา ใครไมตองทําตามระเบียบได ใครฝนระเบียบได
ใครมอี ภิสทิ ธ์ิ ไมต องทาํ ตามกฎเกณฑได เปน คนเกง
๑๐๖ บุญ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกนั ไดทุกคน
ในสังคมแบบหลังนี้ คนก็จะไมมีระเบียบวินัย เพราะถือวา
ใครไมตองทําตามระเบยี บได คนนัน้ เกง
ขอใหลองคิดดูวา สังคมของเรา เปนสังคมแบบไหน มี
คา นิยมอยางไร
น้ีเปนตัวอยางที่แสดงใหเห็นวา ความใฝความชอบ อะไร
ตางๆ ท่ีอยูในจิตใจเปนตัวนํา เปนเคร่ืองกําหนดวิถีชีวิตของบุคคล
และเปนเครือ่ งช้ีนําชะตากรรมของสงั คม
สังคมใดมีคานิยมท่ีดีงาม เอ้ือตอการพัฒนา สังคมน้ันก็มี
ทางที่จะพัฒนาไปไดดี สังคมใดมีคานิยมต่ําทราม ขัดถวงการ
พัฒนา สังคมน้ันก็มีแนวโนมท่ีจะเสื่อมโทรม พัฒนาไดยาก จะ
ประสบปญ หาและอปุ สรรคในการพัฒนาอยา งมากมาย
ถาจะพัฒนาสังคมใหกาวหนา ถาตองการใหสังคมเจริญ
พัฒนาไปไดดี ก็จะตองแกคานิยมท่ีผิดพลาดใหได และตองสราง
คา นิยมที่ถูกตองใหเ กดิ ข้นึ ดว ย
เร่ืองคานิยมน้ีเปนตัวอยางเดนชัดอยางหน่ึงของมโนกรรม
มโนกรรมเปนสิ่งสําคัญมาก มีผลระยะยาว ลึกซึ้งและกวางไกล
ครอบคลุมไปหมด พระพุทธศาสนาถือวาคานิยมนี้เปนสิ่งสําคัญ
มาก และมองทีจ่ ิตใจเปน จดุ เริม่ ตน
เพราะฉะนน้ั ในการพจิ ารณาเร่ืองกรรม จะตองใหเขาใจถึง
หลักการของพระพุทธศาสนา ที่ถือวา มโนกรรมสําคัญที่สุด และ
ใหเ หน็ วา สําคญั อยางไร นี้คอื จดุ ท่หี น่ึง
๓. หลกั กรรมสาํ หรบั คนสมัยใหม ๑๐๗
จติ สาํ นึก-จติ ไรส ํานึก/ภวังคจติ -วถิ ีจติ
สืบเน่ืองจากเร่ืองมโนกรรมน้ัน ก็ทําใหตองมาศึกษาเรื่อง
จิตใหมากขึ้น จิตใจของคนเรานี้คิดนึกอะไรตางๆ สิ่งที่พูดและทําก็
เปนไปตามจิตใจ แตจิตใจเปนเร่ืองละเอียดซับซอน บางครั้งและ
ในเร่ืองบางอยาง เราบอกไมถูกดวยซ้ําวาตัวเราเองเปนอยางไร
บางทเี ราทําอะไรไปอยางหนงึ่ เราบอกไมถูกวา ทาํ ไมเราจงึ ทําอยาง
นนั้ เพราะวาจติ ใจมคี วามสลับซบั ซอนมาก
ตามหลักพุทธศาสนานั้น มีการแบงจิตเปน ๒ ระดับ คือ
จติ ระดับวิถี กบั จิตระดับภวังค (วิถีจิต กับ ภวังคจิต)
จิตระดับภวังค เปนจิตท่ีเปนองคแหงภพ เปนระดับที่เราไม
รูตัว เรียกไดวาไรสํานึก ภพจะเปนอยางไร ชีวิตแทๆ ที่กรรมออก
ผลจะเปนอยางไรน้ัน อยูท่ีภวังค แมแตจุติปฏิสนธิ ก็เปนภวังคจิต
ฉะน้ัน เราจะมาพิจารณาเฉพาะจิตในระดับที่เรารูสํานึกกันนี้ไมได
การพิจารณาเรื่องกรรมนี้ จะตองลึกลงไปถึงขั้นจิตตํ่ากวาหรือเลย
สาํ นึกไป อยางทีใ่ ชศพั ทว า ภวังค
ในจิตวิทยาสมัยนี้ ซึ่งมีหลายสาขา หลายสํานัก ก็มีกลุม
สําคัญท่ีเขาศึกษาเร่ืองจิตแบบนี้เหมือนกัน เขาแบงจิตเปน
จิตสํานกึ กบั จติ ไรส าํ นกึ
จิตสํานึก ก็คือจิตที่รูตัว ที่พูดสิ่งตางๆ ทําสิ่งตางๆ อยางที่
รูๆ กันอยู แตมีจิตอีกสวนหนึ่งเปนจิตไรสํานึก ไมรูตัว จิตที่ไรสํานึก
นีเ้ ปนจิตสวนใหญข องเรา
๑๐๘ บญุ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกนั ไดทกุ คน
เขาเทียบวา เหมือนภูเขาน้ําแข็งท่ีอยูในน้ํา น้ําแข็งสวนที่
อยูใตน้ํามีมากกวา และมากกวาเยอะแยะดวย สวนท่ีโผลมามีนิด
เดียว คือจิตสํานึกที่เรารูตัวกันอยู พูดจาทําอะไรกันอยูนี้ แตสวนที่
ไมรูสํานึก หรือไรสํานึกนั้น เหมือนกอนน้ําแข็งที่อยูใตพ้ืนนํ้า ซ่ึงมี
มากกวาเยอะแยะ เปนจติ สว นใหญข องเรา
การศึกษาเร่ืองจิตนั้น จะตองศึกษาไปถึงขั้นจิตไรสํานึก ท่ี
เปนจิตสวนใหญ มิฉะน้ันจะรูเร่ืองจิตนิดเดียวเทานั้น การพิจารณา
เรือ่ งกรรมกจ็ ะตองเขาไปใหถ ึงจุดนี้
ในเร่ืองจิตไรสํานึกน้ี มีแงท่ีเราควรรูอะไรบาง แงควรรูท่ี
หน่ึง คือท่ีบอกวา ส่ิงท่ีเราไดรับรูเขามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย
เหลา น้ี จติ จะบันทกึ เกบ็ ไวหมด ไมม ลี มื เลย
ตามที่เขาใจกัน ตามธรรมดานี้ สิ่งทั้งหลายท่ีไดประสบนั้น
เราลืมแทบทั้งหมด จําไดนิดเดียวเทาน้ัน น่ีเปนเรื่องของจิตสํานึก
แตตามความเปนจริง ความจําเหลาน้ันยังคงอยูในจิตไรสํานึก ส่ิง
ท่ีสบทราบคิดนึกทุกอยางต้ังแตเกิดมา มันจําไวหมด แลวถารูจัก
ฝกดๆี กด็ งึ เอามนั ออกมาไดด วย
นักจิตวิทยาบางสมัยสนใจเรื่องการสะกดจิตมาก เพราะ
เหตุผลหลายอยาง เหตุผลอยางหน่ึงก็คือ เมื่อสะกดจิตแลว
สามารถทําใหค นน้ันระลกึ เร่อื งราวเกา ๆ สมยั เดก็ เชนเมื่อ ๑ ขวบ ๒
ขวบ เอาออกมาได ซ่ึงแสดงวาประสบการณเหลาน้ันไมไดหายไป
ไหน ยังอยหู มด น้เี ปน แงท ี่หน่ึง
๓. หลกั กรรมสาํ หรับคนสมยั ใหม ๑๐๙
จิตไรสาํ นกึ : จดุ เรมิ่ แหงการใหผลของกรรม
ท่ีวามานี้มีความหมายอยางไรเกี่ยวกับกรรม ความหมายก็
คือ มันแสดงวา สิ่งที่เราทําไวทั้งหมด สิ่งท่ีเราคิด เรานึก ทุกอยาง
ไมไดหายไปไหนเลย ยังคงอยูในจิตใจของเราท้ังหมด เพียงแตเรา
ไมร ตู วั และระลึกออกมาโดยจติ สํานึกไมไ ดเ ทา นน้ั
เราสามารถเอาวิชาการสมยั ใหมท ีเ่ ขาศึกษา วจิ ัย วิเคราะห
กันทีหลังน้ี มาประกอบการศึกษาเร่ืองกรรมไดดวย ทําใหเห็นวา
วิธีการสมัยใหมในยุคหลังนี้ ก็เปนเครื่องชวยย้ําสนับสนุนใหคน
ปจ จบุ ันเขา ใจหลกั ความจริงของจิตท่ีทานสอนไววาเปน อยางไร
ก. จติ สะสมประสบการณ์ทกุ อยา่ ง และปรงุ แตง่ ชีวิตเรา
ส่ิงท่ีเปนประสบการณของมนุษยนี้ จิตเราไมไดลืมเลย
และก็เปน อันวา จิตส่ังสมไวทุกอยาง เมื่อส่ังสมแลว ก็ไมไดส่ังสมไว
เฉยๆ มันมีผลตอตัวเราทั้งหมดดวย โดยท่ีเราไมรูตัว สภาพจิตสวน
ที่ปรุงแตงชีวติ ของเรานี้ สวนมากเปนจิตท่ีไมรตู ัว
ตัวอยางงายๆ ถาเรามีจิตโกรธบอยๆ เปนคนฉุนเฉียว พบ
อะไรขัดใจนิด ก็เกิดโทสะ และแสดงความเกร้ียวกราดออกมาให
จิตกําเริบอยูเสมอ ตอไป ถาสั่งสมสภาพจิตอยางนี้อยูเร่ือยๆ ก็จะ
กลายเปนนิสัย ทําใหเปนคนมักโกรธ ความโกรธงายจะเปน
ลักษณะจิตใจ เปน นิสยั
ตอมา สภาพจิตก็แสดงออกทางหนาตา หนาน่ิวคิ้วขมวด
อยูเสมอ กลายเปนสิ่งท่ีเราเรียกวาบุคลิกภาพ และออกมามีผลทั้ง
ตอและจากผูอ่ืน คนที่พบเห็น ก็ไมอยากคบ ไมอยากพูดจาดวย
เขาอยากจะหลีกเล่ียง กลัวจะเกิดเรื่อง อะไรทํานองนี้ แลวก็
กลบั มามีผลตอชวี ติ ของตนเอง
๑๑๐ บุญ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกันไดทุกคน
รวมความวา เรือ่ งก็ดําเนนิ ไปในลักษณะท่วี า จากความคิด
จติ ใจ ก็ออกมาเปน ลักษณะนิสัย เปนบุคลิกภาพ แลวก็เปนวิถีชีวิต
ของคนน้ัน และความมีนิสัยอยางน้ี หรือมีความโนมเอียงอยางนี้ ก็
ชักจูงตัวเขาเอง ชวนใหไปพบกับประสบการณตางๆ และ
สถานการณที่ทําใหเ กดิ เรอ่ื งอยางน้นั ๆ ขึน้ มา
สวนในทางตรงขาม คนที่มีจิตเมตตา ย้ิมแยมแจมใส คิด
นึกเรื่องดีๆ เสมอ เวลาพบอะไร จิตใจก็มองไปในแงดี สบายใจ ย้ิม
แยมแจมใส ตอมา หนาก็เปนหนาตาท่ีย้ิมแยม เปนคนมีเสนห
นารัก นาชม ชวนใหคบหา แลวท้ังหมดนั้น ก็ออกมาเปนผลตอวิถี
ชีวิตของเขาตอไปดวย นก่ี เ็ ปนเร่อื งของการสั่งสม
ข. จติ ส่วนใหญ่และขุมพลงั แท้ อยู่ท่ีจิตไร้สํานึก
แงตอไปคือ เมื่อจิตไรสํานึกนี้เปนสวนใหญ ก็เปนสวนที่มี
กําลังมาก จิตของเราน้ี เราเอามาใชงานนิดหนอยเทานั้น ความ
จริง มนั มพี ลงั มากมายทีเ่ ราไมรูตัว และยงั ไมรจู กั ดึงเอามาใช
เราจะเห็นไดวา จิตมีกําลังขนาดไหน ในเม่ือมีเหตุการณท่ี
บังคับตัวไมได เชน เวลาเกิดไฟไหมขึ้น บางคนยกตุมน้ําได หรือวิ่ง
หนีดวยความตกใจ มาถึงรั้วแหงหน่ึงซ่ึงสูง ปรกติแลวกระโดดขาม
ไมไ ด แตด วยความกลัวหนีภัยมาน้ัน สามารถกระโจนขามไปได
เรื่องอยางน้ีเราไดยินกันบอยๆ แสดงใหเห็นวา ที่จริงจิต
ของเรานั้นมีความสามารถอะไรบางอยางอยูขางใน แตตามปกติ
เราไมรจู กั ใชม ัน มนั ก็เลยไมเปนประโยชน
๓. หลกั กรรมสาํ หรบั คนสมัยใหม ๑๑๑
ความสามารถน้ีอยูท่ีไหน ก็อยูที่จิตไรสํานึกนั้น ตอนตกใจ
หนีภัยก็ดี ตอนที่ไฟไหมแบกตุมนํ้าหรือของหนักไปไดก็ดี เวลานั้น
เราคมุ สติไมอยู จิตสํานึกของเราไมทํางาน แตถูกจิตไรสํานึกกํากับ
การออกมาแสดงบทบาท ทําใหท ําอะไรไดแ ปลกๆ พเิ ศษออกไป
อยางในเวลาสะกดจิต ทําใหเอาเข็มแทงไมเจ็บ ตลอดจน
สามารถสะกดจิตแลว ผา ตดั บางอยา งได ไมร ูสกึ เจ็บปวดอะไรเลย
นเี้ ปน เร่ืองของจติ ใจ ซึ่งมีสวนท่ีเราไมรูอีกมาก นักจิตวิทยา
ก็มาศึกษากัน นักจิตวิเคราะหคนสําคัญ ช่ือซิกมุนด ฟรอยด
(Sigmund Freud) ไดศกึ ษาเร่อื งจติ สาํ นึกและจิตไรส าํ นกึ น้มี าก
ที่วาจิตเปนตัวปรุงแตงสรางสรรคนั้น จิตสํานึกคิดปรุงแตง
เบ้ืองตนเทาน้ัน ตัวปรุงแตงสรางสรรคแทจริง ที่สรางผลออกมาแก
ชีวิตสวนใหญ เปนนิสัย เปนบุคลิกภาพ ตลอดจนเปนชะตากรรม
ของชีวิตน้ัน อยูท่ีจิตไรสํานึกท่ีเราไมรูตัว ซึ่งทํางานของมันอยู
ตลอดเวลา
จะขอชักตัวอยางหนึ่งมาแสดงใหเห็นเก่ียวกับเร่ืองกรรม
ซ่ึงอาจจะชวยใหเห็นทางเปนไปไดมากขึ้น วาวิธีการศึกษาแบบ
สมัยใหมจะมาสนบั สนนุ การอธิบายเรือ่ งกรรมอยางไร
ซิกมุนด ฟรอยด เลาถึงกรณีหนึ่งวา เด็กผูหญิงอายุ ๑๗ ป
ชอบออกไปเท่ยี วนอกบา นกบั ผชู ายคนหนึง่ พอไมพอใจมาก
วันหน่ึงก็ทะเลาะกับพอ พอโกรธมาก ก็ทุบหนาเด็กหญิง
คนนี้ เด็กคนน้ีเจ็บ ก็โกรธมาก อารมณวูบข้ึนมา ก็เงื้อแขนขวา
ขึ้นมาจะทุบพอบาง พอเง้ือขึ้นไปแลวจะทุบลงมา ก็ชะงักเง้ือคาง
นึกขึ้นไดวานี่เปนพอของเรา เราไมควรจะทําราย ก็ย้ังไวได แตก็ยัง
ถือวาตวั ทาํ ถูก ไมเ ชอื่ ฟง พอ แม พอกโ็ กรธ ไมย อมพดู ดวย
๑๑๒ บญุ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกันไดทกุ คน
ตอมาเชาวันหนึ่ง อยูดีๆ เด็กคนน้ียกแขนขวาไมข้ึน แขนที่
จะใชตีพอนั้น ขยับเขยื้อนไมไดเลย เรียกวา ใชไมได เหมือนเปน
อัมพาต หมอทางกายตรวจดูแลว ก็ไมเห็นมีอะไรผิดปกติเลย แขน
ก็แข็งแรง เสนเอน็ ประสาทอะไรก็ไมบ กพรองเสยี หาย
(ลองนกึ ถึงคนทไ่ี ปฟงผลสอบ พอรูวาสอบตกก็เขาออน ยืนไมอยู
ทงั้ ที่รา งกายกาํ ยําล่าํ สัน หรือคนที่ไดยินศาลตัดสินประหารชีวติ ฯลฯ)
เรอ่ื งนี้ ถา เราอธิบายแบบหกั ขาไกแลวตอมาตัวเองขาหัก ก็
เรียกวาเปนกรรมสนองแลว แตในกรณีน้ี เขาเอาเรื่องจริงมาศึกษา
วิเคราะหในเชิงวิทยาศาสตร และพยายามอธิบายตามแบบนักจิต
วิเคราะห ศึกษาไปไดความแลว เขาก็อธิบายวา จิตไรสํานึกของ
เด็กคนน้ีแสดงตัวออกมาทํางาน ในเวลาที่จิตไรสํานึกทํางานแลว
จติ สาํ นึกสไู มไ ด ตอ งอยูใตอํานาจของมนั
จิตไรสํานึกทํางานเพราะอะไร ดวยเหตุผลอะไร เหตุผลคือ
ความรูสึกขัดแยงเกิดข้ึน เด็กนั้นรูวาการตีพอนี้ไมดี ถึงแมวาเขาจะ
ไมไดทุบตีจริง แตเขาก็เงื้อแขนข้ึนกําลังจะทําอาการน้ันแลว
อยางไรก็ตาม เขาก็ไมอาจยอมรับผิดได เพราะเขาถือวาเรื่องท่ีเขา
ทะเลาะกับพอน้ันเขาไมผิด จิตสํานึกแกปญหาใหเขาไมได
ความรูส ึกขดั แยง กห็ นกั หนวงทว มทบั ฝง ลึกลงไป
ในทสี่ ดุ ทเี่ ขาเกิดอาการแขนขยับเขย้อื นไมไ ดนัน้ เปน ดวย
๑. จิตไรสํานึกตองการขอความเห็นใจจากพอ ดวยอาการ
ท่ีเขาขยับเขยื้อนแขนไมได เขาเกิดไมสบาย มีอาการผิดปกติไป
แลว มันจะชวยใหพอเห็นใจเขาได เหมือนกับยกโทษใหโดยออม
โดยไมตองพูดขอโทษ (และก็ไมตองบอกวายกโทษ) แตท่ีแสดง
ออกมาอยางนี้ จิตสํานึกไมร ูตวั จิตไรสํานกึ เปนผทู ํางาน และ
๓. หลกั กรรมสาํ หรบั คนสมัยใหม ๑๑๓
๒. เปนการชดเชยความรูสึกที่วาไดทําผิด เหมือนวาไดมี
การลงโทษตัวเองเสร็จไปแลว เพราะความคิดขางนอกถือวาตัวทํา
ถูก ไมยอมขอโทษพอ ยังไปคบผูชาย ยังออกไปนอกบานตามเดิม
แตจิตขางในสวนหนึ่งรูสึกวาที่ไดทะเลาะกับพอ แสดงกับพออยาง
นน้ั เปนความผดิ
ความรสู ึกขัดแยงนี้ ลงลึกไปอยูในจิตไรสํานึก แลวก็ชดเชย
ออกมา โดยแสดงอาการใหเห็นวามันไดถูกลงโทษแลว เปนอันวา
ฉนั ไดชดใชค วามผิดนัน้ แลว จะไดพนความรสู ึกขดั แยงนีไ้ ปได
ดวยเหตุผลที่กลาวมาน้ี เด็กน้ันก็เลยขยับเขยื้อนแขนไมได
ทั้งๆ ท่ีไมมีโรคหรือความผิดปรกติทางรางกายเลยสักนิดเดียว
แพทยค น หาเหตแุ ลวไมพ บ
ปจจุบันก็มีอยางนี้บอยๆ คนท่ีเปนโรคทางกาย มีอาการ
ปวดศีรษะ ฯลฯ หาสาเหตุไมพบ จิตแพทยตองคนหาเหตุทางจิตใจ
นี้ก็เปนตัวอยางหนึ่ง ซึ่งถามองเผินๆ หรือมองชวงยาวขามข้ันตอน
กพ็ ดู ถงึ เหตุ-ผลแควา จะตพี อ ตอ มาแขนท่จี ะตพี อ กเ็ สีย ใชไมได
ค. จิตทาํ งานตลอดเวลา และนาํ พาชีวิตไป
รวมความวา จิตไร้สํานึกของเราทํางานอยู่เสมอ สิ่งที่เกิดขึ้น
ในจิตใจแลวมันไมลืม ถาไดทําความช่ัวอะไรสักอยาง จิตก็ไป
พวั พนั แลวปรุงแตงอยูขางใน เชนชักพาใหจิตโนมเอียงไปหาสภาพ
อยา งนนั้ อยูเร่อื ย หรอื ปรุงแตงความคดิ วนเวียนอยกู บั เรอ่ื งแบบนัน้
สมมติวาไปหักขาไกไว จิตก็สะสมความรูสึกและภาพน้ีไว
ในจิตไรสํานึก แลวมันก็ปรุงแตงของมันวนเวียนอยูน่ันเอง ออกไป
ไมไ ด จิตครุน คิดแตเ รื่องขาหักๆๆ
๑๑๔ บุญ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกนั ไดทุกคน
แ ล ว จิ ต ไ ร สํ า นึ ก น้ั น ก็ ค อ ย โ อ ก า ส ชั ก พ า ตั ว เ อ ง ไ ป ห า
เหตุการณที่จะนําไปสูการท่ีตัวเองจะตองขาหัก หรือตอไประยะยาว
เมื่อไปเกิดใหม มันกเ็ ลยปรุงแตงขาตัวเองใหพิการไปเลย เปนตน
น้ีเปนการอธิบายรวบรัดใหเห็นทางเปนไปไดตางๆ ซึ่งทาง
จิตวิทยาสมัยใหมก็เห็นวามีความสัมพันธกันอยู แตผลที่สุดก็เปน
เรื่องเหตุปจ จยั ในกระบวนการของจติ เปนเรือ่ งของกรรมนีเ้ อง
นี้เปนเพียงตัวอยา งใหเ ห็นอยางผิวเผิน ขณะที่เรื่องจิตนี้เรา
ยังจะตองศึกษาใหละเอียดย่ิงขึ้นไป ไมควรผลีผลามเอาความคิด
เหตุผลอยางงายๆ ของตน ไปตัดสินเหตุผลที่อยูในวิสัยอีกระดับ
หนึ่งท่ีเลยข้นึ ไป หรือสรปุ เร่อื งทส่ี ลบั ซับซอนลงไปอยางงา ยๆ
พรอมกันนั้นก็ใหเห็นอีกอยางหน่ึงวา วิชาการสมัยใหม
บางอยาง อาจมาชวยอธิบายสนับสนุนใหคนสมัยน้ีเขาใจคําสอนของ
พระพุทธเจาไดเปนอยางดี และเด๋ียวนี้นักจิตวิทยาสมัยใหมอยางนัก
จิตวิเคราะหหลายคน ก็มาเลื่อมใสในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา
แลวเอาไปใชใ นการศกึ ษาเรอื่ งจิตใจและแกปญ หาโรคจิต
เทาที่พูดแทรกเขามาในตอนน้ี ก็เปนเรื่องเก่ียวกับจิตของ
คน หลักกรรมหรือกฎแหงกรรมก็ทํางานสัมพันธกับจิตใจนั่นเอง
คือสัมพันธกับจิตตนิยาม จิตตนิยาม กับกรรมนิยาม ตองไป
ดว ยกนั ตอ งอาศยั ซง่ึ กันและกนั
ในที่นี้เปนเพียงตองการชี้ใหเห็นวา สิ่งที่เราคิดวาเปน
อํานาจเรนลับมหัศจรรยนั้น ก็เปนเรื่องธรรมดานี่เอง ซึ่งเปนไป
ตามเหตุปจจัย มีความสัมพันธสืบเน่ืองโยงกันอยูใหเห็นได เปนแต
วาตอนน้ีเรายังไมมีความสามารถท่ีจะเแยกแยะเหตุปจจัยนั้น
ออกมาใหเหน็ ชัดเจนเทานนั้ เอง
๓. หลักกรรมสาํ หรับคนสมัยใหม ๑๑๕
เมื่อพูดถึงความเปนไปไดอยางนี้ พอใหเห็นแนวทางแลว
ถาทานสนใจกอ็ าจจะศกึ ษาตอ ไป เปน เรือ่ งของการคน ควา
เราอาจจะโยงหลักอภิธรรม เรื่องของจิต ท้ังเร่ืองวิถีจิตและ
ภวังคจิต กับเรื่องจิตสํานึก และจิตไรสํานึก ของจิตวิทยาสมัยใหม
เอามาเทียบเคียงกัน อันไหนเสริมกัน ก็จะไดนํามาชวย
ประกอบการอธิบายแกคนยุคนี้ใหด ียง่ิ ข้ึนไป ขอผานเรื่องน้ีไปกอน
การใหผ ลของกรรมระดบั ภายนอก: สมบตั ิ ๔ - วบิ ัติ ๔
แงตอไป เก่ียวกับการไดรับผลกรรมอีกระดับหนึ่ง อยางท่ี
เราพูดอยูเสมอวา ทําดีไดดี ทําช่ัวไดชั่ว และมีผูชอบแยงวา ทําดีไม
เห็นไดดีเลย ฉันทําดี แตไดชั่ว ไอคนนั้นทําชั่ว มันกลับไดดี น้ีก็เปน
อีกระดบั หน่งึ ท่นี า สนใจ ซึง่ ก็ตองมแี งม ีแนวในการท่จี ะอธบิ าย
เบื้องแรก ตองแยกการใหผลของกรรมออกเปน ๒ ระดบั
ก) ระดับทเ่ี ปนผลกรรมแทๆ หรอื เปนวบิ าก กบั
ข) ระดับผลขา งเคียงทีไ่ ดร ับภายนอก
ยกตัวอยางเปนอุปมาจึงจะพอมองเห็นชัด เชน คนหน่ึง
บอกวา ผมขยันทาํ งาน แตไ มเห็นรวยเลย แลวก็บอกวาทําดีไมไดดี
ในทน่ี ี้ ขยัน คอื ทําดี และ รวย คอื ไดด ี
ทําดี คือ ขยัน ก็ตองไดดี คือ รวย ปญหาอยูที่วารวยน้ัน
เปนการไดด ี จริงหรือเปลา
ถา จะใหชัด ก็ตอ งหาตวั อยางทเ่ี ปนรปู ธรรมยิง่ ขึ้น เชน นาย
ก. ขยันปลูกมะมวง ตั้งใจพยายามหาวิธีปลูกอยางดี จนไดผลวา
มะมวงงอกงามจริงๆ นาย ก. มีมะมวงเต็มสวน แตเขาขายมะมวง
ไมไ ด มะมว งเสยี เปลา มากมาย นาย ก. ไมไดเงนิ นาย ก. ไมรวย
๑๑๖ บญุ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกันไดทกุ คน
นาย ก. บน วา ผมขยันปลกู มะมวง=ทาํ ดี แตผมไมไ ดด ี=ไมร วย
ปญหาที่เกิดขึ้น คือ นาย ก. ลําดับเหตุและผลไมถูก แยก
ขั้นตอนของการไดรับผลไมถูกตอง นาย ก. ทําเหตุ คือขยันปลูก
มะมวง ก็จะตองไดรับผล คือไดมะมวง มะมวงก็งอกงาม มีผลดก
บรบิ ูรณ นผ่ี ลตรงกับเหตุ ปลูกมะมว งไดมะมวง ขยันปลูกมะมวง ก็
ไดมะมวงมากมาย แตน าย ก. บอกวา ไมไ ดเงนิ ไมร วยคอื ไมไ ดเ งิน
ปลูกมะมวงแลวไมไดเงิน น่ีไมถูกแลว ปลูกมะมวงแลวจะ
ไดเงินไดอยางไร ปลูกมะมวง ก็ตองไดมะมวง นี่แสดงวา นาย ก.
ลําดับเหตผุ ลผดิ เหตผุ ลทถ่ี กู คือปลูกมะมวงแลวไดมะมวง แตปลูก
มะมวงแลวรวย หรอื ปลกู มะมวงแลว ไดเงนิ นี้ ยงั ตอ งดูขนั้ ตอไป
ถาปลูกมะมวงแลว ไดมะมวงมากมาย มะมวงลนตลาด
คนปลูกทั่วประเทศ เลยขายไมออก ก็เสียเปลา เปนอันวาไมไดเงิน
ฉะน้นั กไ็ มรวย อาจจะขาดทนุ ยบุ ยบั กไ็ ด เราตอ งแยกเหตุผลใหถกู
เปนอันวา อยามาเถียงกฎแหงกรรมเลย ไปศึกษาพัฒนา
ปญญาของคุณเองน่ันแหละ กฎไมผิดหรอก คุณปลูกมะมวงก็ได
มะมวง สวนจะไดเงินหรือไม ตองอยูที่เหตุปจจัยอื่น ซึ่งเปนลําดับ
เหตุและผลอกี ชว งตอนหน่ึง ท่ีจะตอ งแยกแยะวินิจฉัยตอ ไปอีก
เหตุและผลชวงตอไปก็เชนวา คุณขายเปนไหม รูจักตลาด
ไหม ตลาดตอนนี้มีความตองการมะมวงไหม ตองการมากไหม
ราคาดไี หม ถา ตอนนค้ี นตองการมะมวงมาก ราคาดี จัดการขายได
เกง คุณกไ็ ดเงินมากจากการขายมะมวง กร็ วย นี่เปนอีกตอนหนงึ่
คนเราทัว่ ไปมกั จะเปนอยาง นาย ก. นี้ คือมองขามขั้นตอน
ของเหตผุ ล จะเอาปลกู มะมว งแลว รวย จงึ ยุง เพราะตัวเองคิดผดิ
๓. หลกั กรรมสาํ หรบั คนสมยั ใหม ๑๑๗
ในเร่ืองนี้จะตองแบง ลําดับเรือ่ งเปน ๒ ขั้น
ขัน้ ท่ี ๑ ดังวา แลว ปลกู มะมว งไดมะมว ง เม่อื ไดมะมว งแลว
ขน้ั ที่ ๒ ทําอยา งไรกบั มะมว ง จึงจะไดเ งนิ จึงจะรวย
เราตองคิดใหต ลอดท้ัง ๒ ตอน
ตอนที่ ๑ ถูกตองตามเหตุปจจัยแนนอนแลว คือปลูก
มะมวง ไดมะมวง หลักกรรมก็เหมือนกัน หลักกรรมในขั้นที่ ๑ คือ
ปลูกมะมวง ไดมะมวง เหตุดี ผลก็ดี เม่ือทานปลูกเมตตาขึ้นในใจ
ทานก็มีเมตตา มีความแชมชื่น จิตใจสบาย ยิ้มแยมผองใส มี
ความสุขใจ แตจะไดผ ลอะไรตอ ไป เปนอีกข้นั ตอนหน่ึง
สําหรับ ตอนที่ ๒ ทานใหขอพิจารณาไวอีกหลักหนึ่ง ดังที่
ในอภิธรรมบอกไววา การที่กรรมจะใหผลตอไป จะตองพิจารณา
เร่ืองสมบัติ ๔ และวิบัติ ๔ ประกอบดวย คือ ตอนไดมะมวงแลวจะ
รวยหรอื ไม ตอ งเอาหลกั สมบัติ ๔ วบิ ัติ ๔ มาพิจารณา
สมบัติ คือองคประกอบท่ีอํานวยชวยเสริมกรรมดี มี ๔
อยา ง คือ
๑. คติ คือ ถ่นิ ที่ เทศะ ทางไป ทางดําเนนิ ชีวติ
๒. อุปธิ คือ รางกาย
๓. กาล คอื กาลเวลา ยคุ สมยั
๔. ปโยค คอื การประกอบ หรอื การลงมอื ทาํ
น้ีเปนความหมายตามศัพท ฝายตรงขาม คือ วิบัติ ก็มี ๔
เหมือนกัน คือ ถา คติ อุปธิ กาล ปโยค ดี ชวยเสริม ก็เรียกวาเปน
สมบัติ ถาไมดี กลายเปนจุดออน เปนขอดอย หรือบกพรอง ก็
เรียกวา เปนวิบตั ิ
๑๑๘ บญุ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกนั ไดทกุ คน
ลองมาดวู า หลกั ๔ นมี้ ีผลอยางไร
สมมติวา คุณ ก. กับ คุณ ข. มีวิชาดีเทากัน ขยัน นิสัยดีท้ัง
คู แตเขาตองการรับคนทํางานที่เปนพนักงานตอนรับ อยางที่
ปจ จบุ ันเรียก receptionist ทาํ หนา ทีร่ บั แขก หรอื ปฏสิ ันถาร
คุณ ก. ขยัน มีนิสัยดี ทําหนาท่ีรับผิดชอบดี แตหนาตาไม
สวย คุณ ข. ก็ขยัน มีนิสัยดี มีความรับผิดชอบดี และหนาตา
สวยงาม เขากเ็ ลือกเอาคุณ ข.
แลวคุณ ก. จะบอกวา ฉันขยันอุตสาหทําดี ไมเห็นไดดีเลย
เขาไมเลอื กไปทาํ งาน นก่ี เ็ พราะตวั เองมีอปุ ธวิ บิ ัติ เสยี ดา นรางกาย
อีกกรณีหน่ึง คน ๒ คน ตางก็มีความขยันหม่ันเพียร มี
ความดี แตคนหน่ึงรางกายไมแข็งแรง เปนโรคออดๆ แอดๆ เวลา
เลือก คนขโี้ รคก็ไมไ ดร บั เลือก นี้กเ็ รยี กวา อุปธิวิบตั ิ
ในเร่ือง คติ คือ ท่ีไปเกิด ถ่ินฐาน ทางดําเนินชีวิต ถาจะ
อธิบายแบบชวงยาวขามภพขามชาติ ก็เชนวา คนหน่ึงทํากรรมมา
ดีมากๆ เปน คนที่สง่ั สมบญุ มาตลอด แตพลาดนิดเดียว ไปทํากรรม
ชั่วนิดหนอย แลวเวลาจะตาย จิตไปประหวัดถึงกรรมช่ัวนั้น
กลายเปน อาสันนกรรม ทําใหไปเกดิ ในนรก
พอดีชว งนนั้ พระพทุ ธเจามาอบุ ัติ ทงั้ ท่ีแกสั่งสมบุญมาเยอะ
ถาไดฟงพระองคตรัส แกมีโอกาสมากท่ีจะบรรลุธรรมขั้นสูงได แต
แกไปเกิดอยใู นภพที่ไมม โี อกาสเลย กจ็ งึ พลาด นี่เรยี กวา คติวิบัติ
ทีนี้ดูงายๆ สมมติวาเราเกิดมามีปญญาดี แตไปเกิดในดงคน
ปา แทนที่จะเปนนักวิทยาศาสตรเลิศล้ําอยางไอนสไตน ก็ไมไดเปน
อาจจะมีปญญาดีกวาไอนสไตนอีก แตเพราะไปเกิดในดงคนปา จึงไมมี
โอกาสพฒั นาปญญานั้น นีค่ ือคตเิ สยี กไ็ มไดผ ลน้ี เปน คติวิบตั ิ
๓. หลกั กรรมสาํ หรบั คนสมยั ใหม ๑๑๙
ขอตอไป กาลวิบัติ เชน ทานอาจจะเปนคนเกงในวิชาการ
บางอยาง ศิลปะบางอยาง แตทานมาเจริญเติบโตอยูในสมัยที่เขา
เกิดสงครามกันวุนวาย และในระยะท่ีเกิดสงครามนี้เขาไมตองการ
ใชวิชาการหรือศิลปะดานนั้น เขาตองการคนท่ีรบเกง มีกําลังกาย
แขง็ แรง กลาหาญ เกงกาจ และมีวิชาทตี่ อ งใชในการทําสงคราม
เปน อนั วา วิชาการและศิลปะท่ีทานเกง เขาไมเอามาพูดถึง
เขาพูดถงึ แตคนทร่ี บเกง สามารถทําลายศัตรูไดม าก ทานก็ไมไดรับ
การยกยอ งเชิดชู เปน ตน น่ีเรียกวาเปนกาลวบิ ัติ สําหรบั ตวั ทา น
ขอสุดทายคือ ปโยควิบัติ มีตัวอยางเชน ทานเปนคนว่ิงเร็ว
ถาเอาการว่ิงมาใชในการแขงขันกีฬา ทานก็อาจมีชื่อเสียง เปนผู
ชนะเลศิ ในทมี ชาติ หรอื ระดับโลก แตทา นไมเ อาความเกงในการว่ิง
มาใชในทางดี ทานเอาไปวิ่งราว ลักของเขา ก็เลยไดรับผลราย ถูก
จับขงั คุก หรอื เสยี คนไปเลย นเี้ ปน ปโยควบิ ตั ิ
วาท่ีจริง ถาไมมุงถึงผลภายนอกหรือผลขางเคียงสืบเน่ือง
การเปนคนดี มคี วามสามารถ การเปน คนปาที่มีสติปญญาดี การมี
ศิลปวิทยาท่ชี ํานาญ ตลอดจนการว่ิงไดเรว็ ก็มีผลดีโดยตรงของมัน
อยแู ลว และผลดีอยางน้ัน มีอยใู นตวั ในทนั ทตี ลอดเวลา
แตในการท่ีจะไดรับผลตอเน่ืองอีกข้ันหน่ึงน้ัน เราจะตอง
เอาหลักสมบัติ-วบิ ัติเขา ไปเกีย่ วขอ ง เอาไปใช หรือเอามาพจิ ารณา
เหมือนปลูกมะมวงเม่ือกี้น้ี ผลที่แนนอน คือ ทานปลูก
มะมวง ทานก็ไดมะมวง นี้ตรงกัน เปนระดับผลกรรมแทๆ ขั้นตน
สวนในขั้นตอมา ถาตองการใหปลูกมะมวงแลวรวยดวย ทาน
จะตองรูจักทําใหถูกตองตามหลักสมบัติ-วบิ ัติเหลา นด้ี วย
๑๒๐ บญุ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกนั ไดทุกคน
ขั้นสมบัติ-วิบัติน้ันก็เชน ตองรูจักกาละ เปนตนวา ตอนน้ี
คนตอ งการมะมวงมากไหม ตลาดตอ งการมะมว งไหม มะมวงพันธุ
อะไรท่ีคนกําลังตองการ สภาพตลาดเปนอยางไร มีมะมวงลน
ตลาดเกินความตองการไหม จะประหยัดตนทุนในการปลูกและสง
ใหถึงตลาดไดอยางไร เราควรจะจัดดําเนินการในเรื่องเหลาน้ีให
ถูกตองดว ย ไมใชคิดแตเพียงวา ฉันขยันหม่ันเพียรแลวก็ทําไป เลย
ไดค วามโงมาเปนปจจยั ใหไ ดร บั ผลของอกุศลกรรม
เปนอันวา ตองเอาเรื่อง สมบัติ-วิบัติ ๔ น้ีเขามาพิจารณา
ประกอบ วา ทําเลท่ีแหลงน้ีเปนอยางไร กาลสมัยนี้เปนอยางไร การ
ประกอบการของเรา เชนการจัดการขายสงตางๆ นี้ เราทําได
ถูกตองดีไหม ถาเราปลูกมะมวงไดมะมวงดีแลว แตเราปลูกไมถูก
กาลสมัย เราไมรูจักประกอบการใหถูกตอง อยางนอยก็มีกาลวิบัติ
และ ปโยควิบัติข้ึนมา เราก็ขายไมออก เลยตองขาดทุน ถึงขยัน
ปลูกมะมว ง กไ็ มรวย (อาจจะจนหนักลงไปอกี )
การปฏบิ ัติท่ถี กู ตองในการทํากรรม
เปนอันวา ถาชาวพุทธเราฉลาดรอบคอบในการทํากรรม ก็
จะตองทาํ ใหถกู ท้ัง ๒ ชัน้
ชั้นท่ี ๑ ตัวกรรมน้ัน ตองเปนกรรมดี ไมใชกรรมช่ัว แลว
ผลดีข้ันที่ ๑ ก็เกิดขึ้น จิตใจของเราก็ไดรับผลดีท่ีเปนความสุข เปน
ตน ตลอดจนผลดีท่ีออกมาทางวิถีชีวิตทั่วๆ ไป เชน ความ
เจรญิ กาวหนา ความนิยมนบั ถอื เรยี กวามดี เี ขามาในตัวอยแู ลว
แตในช้ันที่ ๒ เราจะใหการงานกิจการของเราไดผลดีมากดี
นอ ย เราจะตองพจิ ารณาเรอื่ งคติ อปุ ธิ กาล ปโยค เขามาประกอบ
๓. หลกั กรรมสาํ หรับคนสมยั ใหม ๑๒๑
ตอ งพจิ ารณา ๒ ช้นั ไมใ ชค ิดจะทาํ ดี กท็ าํ ดีดมุ ๆ ไป
อยางไรก็ตาม คนบางคนอาจจะเอาเร่ือง คติ อุปธิ กาล ปโยค
เขามาใชโดยวิธีฉวยโอกาส เชน กาลสมบัติ ก็ฉวยโอกาสวา กาลสมัย
นี้ คนกําลังตองการส่ิงน้ี ฉันก็ทําส่ิงที่เขาตองการ โดยจะดีหรือไมก็
ชางมัน ใหไดผลท่ีตองการก็แลวกัน น้ีเรียกวา มุงแตผลช้ันที่ ๒ แต
ผลชัน้ ที่ ๑ ไมคาํ นึง กเ็ ปน สิง่ ทเี่ สยี หายและเปน ขอ ดอ ยในทางกรรม
ฉะนั้น ในฐานะท่ีเปนชาวพุทธ จะตองมองผลชั้นที่ ๑ กอน
คือจะทาํ อะไร ก็หลกี เลยี่ งกรรมชั่ว และทํากรรมดีไวกอ น
เม่ือไดพ้ืนฐานดีน้ีแลว ก็คํานึงถึงชั้นท่ี ๒ เปนผลสืบเนื่อง
ภายนอก ซึ่งขึ้นตอ คติ อุปธิ กาล ปโยคดวย ก็จะทําใหงานของตน
ไดผ ลดีโดยสมบรู ณ
เปนอันวา ในการสอนเรื่องกรรมตอนน้ีมี ๒ ช้ัน คือ ตัว
กรรมท่ดี ที ่ีช่วั เอง และองคประกอบเรื่องคติ อปุ ธิ กาล ปโยค
ถาตองการผลภายนอกเขามาเสริม เราจะตองใหชาวพุทธ
รูจ ักพจิ ารณา และมีความฉลาดในเร่ือง คติ อปุ ธิ กาล ปโยคดว ย
สมมติวาคน ๒ คน ทํางานอยางเดียวกัน โดยมีคุณสมบัติ
เหมือนกัน ดีทั้งคู แตถารางกายคนหนึ่งดี อีกคนหน่ึงไมดี คนที่
รา งกายไมดี กเ็ สยี เปรียบ และตองยอมรับวาตัวเองมีอุปธวิ ิบัติ
เมื่อรูอยางนี้แลว ก็ตองแกไขปรับปรุงตัว ถาแกท่ีรางกาย
ไมได ก็ตองเพิ่มพูนคุณสมบัติท่ีดีใหดีย่ิงข้ึน เม่ือดีย่ิงขึ้นแลว คนที่
รางกายไมดี แตมีคุณสมบัติอื่น เชน ชํานิชํานาญงานกวามากมาย
หรือมีความสามารถพิเศษ จนกระท่ังชดเชยคุณสมบัติในดาน
รางกายดีของอีกคนหนึ่งไปได แมตัวเองจะรางกายไมดี เขาก็ตอง
เอา นก้ี ็เปนองคป ระกอบท่ีมาชว ย
๑๒๒ บุญ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกันไดทกุ คน
ถาเรามรี า งกายไมดี บกพรองในดานอุปธิวิบัติ เราก็จะตอง
สรางกรรมดีในสวนอ่ืนใหเหนือย่ิงข้ึนไป ไมใชมัวแตทอใจวาทําดี
แลวไมไดดี นเี้ ปนการรูจ ักเอาหลกั เรื่อง คติ อุปธิ กาล ปโยค เขามา
ประกอบ และใชใ หเ ปน ประโยชน
นี่คือเร่ืองการใหผลของกรรมในแงตางๆ นํามาถวายเปน
เพียงแงคิด เพื่อใหเห็นวา เรื่องกรรมนี้ตองคิดหลายๆ แง หลายๆ
ดาน แลวเราจะเห็นทางออกในการอธิบายไดดีย่ิงขึ้น และมีความ
รอบคอบสมบูรณย ่งิ ข้นึ
อยางไรก็ตาม จุดสําคัญก็คือ ตองการเชื่อมโยงใหเห็น
ความเปนเหตุเปนปจจัย เพื่อเราจะไมใชพูดแตเพียงวามีเหตุอันนี้
เกิดขึ้นในท่ีแหงหนึ่ง ในเวลาหนึ่งนานมาแลว สัก ๒๐–๓๐ ป
ตอมาเกิดผลดีอันหนึ่ง แลวเราก็จับมาบรรจบกัน โดยเชื่อมโยงเหตุ
ปจจัยไมได ซึ่งแมจะเปนจริง ก็มีนํ้าหนักนอย ไมคอยมีเหตุผลให
เห็น คนกจ็ ะไมค อยเชื่อ
เราจึงควรพยายามศึกษา สืบสาวเหตุปจจัยใหละเอียด
ยิ่งขึ้น ถึงแมวามันจะยังไมชัดละเอียดออกมา ไมปรากฏออกมา
เต็มที่ แตก็พอใหเห็นทางเปนไปได คนสมัยนี้ก็ตองยอมรับในเรื่อง
ความเปนไปได เพราะมนั เขา ในแนวทางของเหตุปจ จัยแลว
ผมคดิ วาเรอื่ งกรรมจะพดู ไวเปน แนวทางเทาน้ีกอน
ทา ทีท่ถี กู ตองตอกรรมเกา
มีปญหาที่ทานถามมาหลายขอดวยกัน ปญหาหน่ึง
เกี่ยวกับเรื่องปพุ เพกตวาท เปนเรือ่ งที่ถามในหลกั น้ี จงึ นาจะตอบ
๓. หลักกรรมสาํ หรบั คนสมัยใหม ๑๒๓
ทานถามวา ทารกท่ีคลอดมา บางครั้งมีโรคท่ีหาสาเหตุ
ไมได หรือถือกําเนิดในครอบครัวท่ีลําบากขาดแคลน ถาไมอธิบาย
ในแนวปพุ เพกตวาทแลว เราควรอธิบายอยางไรใหเ ขาใจงา ย
ในการตอบปญหานี้ ตอ งพูดใหเขาใจกันกอนวา การปฏิเสธ
ปพุ เพกตวาท ไมไ ดห มายความวา เราถือวากรรมเกา ไมมผี ล
ลัทธิปุพเพกตวาท ถือวาเปนอะไรๆ ก็เพราะกรรมเกาท้ังส้ิน
เอากรรมเกาเปนเกณฑตัดสินโดยสิ้นเชิง ฉะน้ัน จะทําอะไรในปจจุบัน
ก็ไมมีความหมาย เพราะแลวแตกรรมเกา ตอไปจะเปนอยางไร ก็ตอง
แลว แตกรรมเกา จะใหเ ปนไป ทาํ ไปก็ไมม ปี ระโยชน น้คี อื ลทั ธกิ รรมเกา
แตในทางพระพุทธศาสนา กรรมเกานั้น ทานก็ถือวาเปน
กรรมอยา งหนง่ึ ทเี่ กิดขึ้นแลว มผี ลมาถึงปจจุบัน แต ชาวพุทธไมติด
ตนั อบั จนอยูแคก รรมเกา
ทีน้ีมาถึงเร่ืองเด็กคลอดออกมามีโรคท่ีหาสาเหตุไมได หรือ
เกดิ ในครอบครวั ทลี่ าํ บากขาดแคลน นี้เราสามารถอธบิ ายดวยเรื่อง
กรรมเกาตามหลกั กรรมนิยามไดด วย และตามหลกั นยิ ามอื่นๆ ดวย
นิยามอื่นก็เชน ในดานพีชนิยามวา ในสวนกรรมพันธุ พอ
แมเปนอยางไร เพราะกรรมพันธุเปนตัวกําหนดไดดวย ถาพอแมมี
ความบกพรองในเร่ืองบางอยาง เชน เปนโรคเบาหวาน ลูกก็มีทาง
เปนไดเ หมอื นกัน นี้พีชนยิ าม
ในหลายกรณี อุตุนิยามเปนตัวกําหนดใหญ เชน คุณแมกิ
นยาสารเคมีบางอยางเขาไป เปน เหตใุ หลูกพกิ ารโดยรไู มท นั
สวนกรรมนยิ าม กอ็ าจจะอธิบายในแงความเหมาะกันสอด
สมกันของคนท่ีจะมาเกิด กับคนท่ีจะเปนพอแม ทําใหมาเกิดเปน
ลูกของคนนี้ และมีความบกพรอ งตรงน้ี เขา กบั พีชนยิ ามทน่ี ่ี
๑๒๔ บญุ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกันไดทกุ คน
สําหรับกรณีท่ีมาเกิดในครอบครัวที่ลําบากขาดแคลน ถา
เราจะยกใหเ ปน เรอ่ื งกรรมเกา กต็ ดั ตอนไป
ในเมื่อเขาเกิดมาแลว ในครอบครัวอยางน้ี เราก็ตามสืบสาว
ไปไมไหววา เขาทํากรรมไมดีอะไรไว จึงมาเกิดในครอบครัวขาด
แคลน ตรงนี้เราลวงรูลงไปไมถึง แตในเมื่อผลจากเกาเสร็จไปแลว
ก็เปนอันตัดตอนจบขั้นไป เรื่องอะไรจะมัวอั้นตื้อจับเจาจอดอยูกับ
ที่ ตอนน้ีถงึ เวลาของการทํากรรมใหมแลว
กรรมเกาผานไปแลว ไมใชเรื่องที่จะไปมัวติดของอยู และ
เราก็ไมใชจะตองอับจน ตอนนี้เปนเรื่องของปจจุบันที่จะสืบตอไป
ขา งหนา เตรียมจดั การกบั ปจ จบุ ันนแ่ี หละใหด ีท่สี ุด
น่ไี มใ ชเ วลาทีจ่ ะมวั หนั ดูขางหลัง แตจะตองรูท่ัวทันสภาพที่
มาถึง โดยมองตอกับทางที่จะไปขางหนา อดีตมาเทาไร ก็คือเปน
ฐานใหเ ร่ิมดวยความไมป ระมาท ไมใหเ ร่มิ อยา งเลอ่ื นลอย
ถาเจอสภาพอยางท่ีวาน้ัน ก็เริ่มต้ังแตเห็นใจกัน แลวก็คิด
หาทางวาจะชวยกันอยางไร แมแตคนที่เกิดมายากจน ก็สามารถ
เห็นใจการุณยตอคนที่เกิดมารํ่ารวยแตพิการ โลกน้ีมีปญหามีทุกข
ภยั มากแลว ก็ควรจะมองในแงท ี่จะเกื้อกูลรวมชวยกนั
เมื่อเกิดมาอยางน้ันแลว ตามหลักกรรมท่ีถูก ก็ตองคิด
ตอไปอีกวา เพราะเหตุท่ีเกิดในครอบครัวขาดแคลน ก็แสดงวาเรา
มีทุนเกาที่ดีมานอย เราก็ยิ่งจะตองพยายามทํากรรมดีใหมากข้ึน
เปนพิเศษ เพ่อื จะปรับแกช ดเชยใหผ ลตอไปขางหนา ดี
อยางท่ีวานั้น ถาคนท่ีมีทุนเกาดีเพียรแคนี้ ทําเทาน้ี เรา
จะตองมทุ ํา ๒-๓ เทา พอต้งั ใจถกู แลว จะมกี าํ ลงั เขม แขง็ ขึ้นมาเลย
๓. หลักกรรมสาํ หรับคนสมยั ใหม ๑๒๕
ไมใชคิดวา ทํากรรมมาไมดี ก็ตองปลอยแลวแตกรรมเกา
จะใหเปนไป ถา คดิ อยา งน้ันกไ็ มถ ูก น่ันคอื เขาปพุ เพกตวาทไปแลว
ในทางที่ถูก จะตองคํานึงใหครบทั้งกรรมเกาและกรรมใหม
เมื่อกรรมเกาท่ีสงมาไมดี ก็ยิ่งตองใหเปนตัวกระตุนเตือนเราใหมี
กําลังใจเพียรพยายามแกไขปรบั ปรงุ ทาํ กรรมใหมทด่ี จี รงิ ๆ
อยางที่วาเมื่อก้ี เชน ถาหากคนที่เขาเกิดมารํ่ารวยแลว เขา
มีความเพียรพยายามเทาน้ี สามารถประสบความสําเร็จกาวหนา
ได เราเกิดมาในตระกูลท่ีขาดแคลน เราก็ยิ่งตองมีความเพียร
พยายามใหมากกวาเขาอีกมากมาย เราจึงจะมีชีวิตที่
เจริญกา วหนาได ตองตง้ั จติ อยา งนี้ จึงจะถกู ทาง
ในสวนท่ีเปนกรรมเกาน้ัน พระพุทธเจาตรัสไวอยางน้ีวา
ภกิ ษุทัง้ หลาย ตา หู จมูก ลนิ้ กาย ใจ นี้ ชอื่ วา กรรมเกา
กรรมเกา ก็คือ สภาพชีวิตท่ีเรามีอยูในปจจุบันขณะนี้
สภาพชวี ติ ของเรากค็ ือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ท่ีเปนอยู มีอยู น้ีคือ
กรรมเกา คือผลจากกรรมเทาท่ีเปนมากอนหนาเวลาน้ีท้ังหมด ไม
วาจะไดทาํ อะไรมา ส่ังสมอะไรมา กร็ วมอยูท น่ี ี่
กรรมเกา่ มีเทา่ ไร กค็ ือ มที นุ เทา่ นัน้
กรรมเกา ก็คือทุนเกา ก็ตัวเรานี่แหละ มีอยางไรเทาไร ก็ดูได
มองเห็นอยู เทาไรก็เทานน้ั จะมวั เมา หรอื มวั เศรา ก็ไมถูกทง้ั นัน้
พอดูรูทุนเกาชัดดีแลว ก็มองเห็นไดงายวา จะตองปรับตอง
แกตองเสริมตองเนนอะไรตรงไหน ยิ่งเห็นชัด ก็ย่ิงวางแผนทํากรรม
ใหมไดม ัน่ ใจ มันก็เปน จดุ ตงั้ ตน ของเรา ทนี ก้ี ็เดนิ หนากรรมใหมไปสิ
๑๒๖ บุญ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกันไดทกุ คน
เปนธรรมดาอยูแลววา จะทํางานอะไรก็ตาม จะตองมองดู
ทนุ ในตวั กอน เมื่อรวมทุนรกู ําลงั ของตัวถูกตองแลว ก็เร่ิมงานตอไป
ได ถาเรารูวาทุนของเรานอยแพเขา เราก็ตองพิจารณาหาวิธีท่ีจะ
ลงทุนใหไดผลดี บางคนทุนนอย แตมีวิธีการทํางานดี รูจักลงทุน
อยา งไดผล กลับประสบความสาํ เร็จดกี วา คนที่มีทนุ มากก็มี
ฉะนั้น แมวากรรมเกาอาจจะไมดี คือรางกายตลอดจน
สภาพชีวิตท้ังหมดของเราไมดี แตเราฉลาดและเขมแข็งไมทอถอย
ก็พยายามปรับปรุงตัว วางแผนใหคลุมหลักสมบัติ-วิบัติ ๔ หา
วิธีการท่ีดีมาใช ถึงแมจะมีทุนไมคอยดี มีทุนนอย ก็ทําใหเกิดผลดี
ได กลบั บรรลผุ ลสาํ เร็จ กาวหนาย่ิงกวาคนที่มที ุนเกา ดดี วยซา้ํ ไป
สวนคนท่ีมีทุนดีน้ัน หากรูจักใชทุนดีของตัว ก็ยิ่งกาวหนา
งอกงามมีความสําเร็จมากข้ึน แตหลายคนมีทุนดี ไมรูจักใช หรือ
หนักกวาน้ัน ก็ไปมัวเมาประมาทเสียจนหมดทุน เลยกลับยิ่งแยลง
ไปอกี กลายเปนกระตายท่ีแพเตา
ดังน้ัน ในการปฏิบัติที่ถูกตอง จึงไมใชมัวทอแทหรือทรนง
อยูกบั ทุนเกา หรอื กรรมเกา
กรรมเกาน้ัน เปนทุนเดิม ซ่ึงจะตองกําหนดรู แลวใชกรรม
ใหมเพยี รแกไ ข ปรับปรงุ สงเสรมิ เพิ่มพูนใหด ใี หก า วหนา ยิง่ ๆ ขึน้ ไป
เวลาหมดแลว ปญหามีอีกหลายขอ ไมอาจจะตอบได
เอาไวไปตอบเปน สวนตัวทีหลงั
๓. หลักกรรมสาํ หรบั คนสมัยใหม ๑๒๗
ปดทา ย:
ไยมวั กลัวกรรมเกา กรรมดียงั ตอ งกา วอีกมากมาย
เม่ือรูเขาใจหลักกรรมถูกตองตามความจริงของธรรมดา ตรง
ตามคําสอนของพระพุทธเจาแลว ก็มองเห็นกรรมเปนเน้ือตัวของชีวิต
เปนเนื้อตัวของคน ท่ีขยับเขย้ือนเคลื่อนไหวไหลเล่ือนตอเนื่องไป
เรื่อยๆ ยืดยาวเปนกระแสหรือเปนกระบวน ตั้งแตกรรมของแตละคน
กรรมท่ีบรรดาคนทําตอกัน รวมกันทํา ทํารวมกัน จนเห็นเปนสังคม
เปนโลกมนุษย คือโลกแหงกรรม โลกแหงเจตจํานงและการกระทํา ทั้ง
พดู คิด เคลอ่ื นไหว ของคน อยา งทปี่ รากฏและเปนไปอยู
ไมวาจะจองจับดูตรงไหน กรรมก็โยงตอเช่ือมกับตอนอื่น
จับท่ีอดีตเปนกรรมเกา ก็สงตอมาถึงขณะน้ี ดูที่ปจจุบันก็สะทอน
ไปถึงอนาคต พูดแยกใหญๆ ก็จึงเปน ๓ ตอน คือ กรรมเกาในอดีต
ท่ีเสร็จไปแลว กรรมใหมในปจจุบันที่กําลังทําดําเนินไปอยู และ
กรรมในอนาคตขางหนา ทย่ี งั ไมม ี แตต ั้งเคา วาจะเกดิ มสี บื ตอไป
เมอ่ื ความจรงิ เปน ของมันอยางน้ัน สําหรับคน ความสําคัญ
ก็อยูที่ตองทํากับมันใหถูก คือปฏิบัติตออดีต ปจจุบัน และอนาคตน้ัน
ใหถูกเรื่องท่ีจะเปนผลดีแกตน แกทุกคน แกโลก วาจะทําอยางไรกับ
กรรมเกา กบั กรรมใหม ทีอ่ ยูต อหนา และจะตอไปขา งหนา
กรรมเกาน้ันผานไปแลว เอากลับมาไมได และทําอะไร
ไมได นอกจากรู กับรูส ึก และท่จี ะไดประโยชนก็คือรู แตนาเสียดาย
วา คนมากทีเดียว ไมเอารู มัวไปอยูกับรูสึก ไดแตขุนของหมองมัว
กลัวกรรมเกา ของอดตี เลยไมไ ดอะไร แลวกม็ ีแตแย และทกุ ข
๑๒๘ บญุ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกนั ไดทุกคน
ตรงน้ี พระพุทธศาสนาก็จึงมาเตือนให รวมความก็คือทาน
สอนวา คนเรามีชีวิตอยนู ้ี จะตองใหดีข้ึน ตองเจริญงอกงามขึ้น พูด
งายๆ วาตองพัฒนาขน้ึ
ถาเปนคนชั่ว ก็ตองกาวมาเปนคนดี ถาเปนคนดี ก็ตองดี
ขึ้นๆ ถาทุกขมาก ก็ทุกขนอยลง เปล่ียนมาเปนสุข และสุขข้ึนๆ จน
ไมมีทุกขเหลือเลย ถาเปนอันธพาลปุถุชน ก็กาวมาเปนปุถุชนที่ไม
เปนอันธพาล มาเปนกัลยาณชน แลวก็เปนสัตบุรุษ เปนบัณฑิต
เปนอริยชน จนกระท่ังเปนอเสขชน เปนพุทธะ ซึ่งเปนไดทุกคน นี่
คอื วถิ ีของการพฒั นา ทางที่จะตองกา วไปขางหนา อกี ยาวไกล
ทีนี้ คนท่ีจะพัฒนากาวหนาไปนั้น ก็ตั้งตนจากฐานท่ีตัวยืน
โดยอาศัยทุนท่ีตัวมี ดวยตัวเองเทาท่ีเปนไดทําได ทานก็เลยใหรูจัก
ตัวตามฐานที่อยู ตามทุนท่ีมี ซึ่งเปนผลรวมสืบมาจากอดีต คือเหตุ
ปจจัยสะสมสงทอดมา ทีเ่ รียกงายๆ คําเดยี ววา “กรรมเกา ”
เรารูกรรมเกา ก็คือรูจักตัวเอง รูฐาน รูทุน รูสภาพ เชนรู
กําลังของตัว รูแลวก็ไดประโยชนมากมาย เชน รูจุด รูแง ที่จะปรับ
จะเพ่ิม จะเติม จะแก ที่จะใชทุนทําใหเหมาะ ถูกทางท่ีจะไปไดรุด
ลิ่ว บทเรียนก็ได แลวก็กระตุนความไมประมาท รวมแลวก็วากรรม
เกานั้น สําหรบั ใหป ญ ญาจัดการใช ไมตองเอาจิตใจไปขุนขอ ง
เร่ืองทุนเดิมกรรมเกา ก็เทานั้น แครูทันและเอาความรูมาใช
แตการท่ีจะพัฒนากาวตอไปขางหนา ก็คือการทํากับปจจุบันท่ีตอ
หนาแลวติดเนือ่ งเนอื งไป
คราวน้ีละคือโดยตรง จะตองทํากันใหญ และตรงน้ีแหละท่ี
ควรใสใจเอาจรงิ จัง ไมใชไ ปมวั หวงกรรมเกา เอาแตถ อย
๓. หลกั กรรมสาํ หรบั คนสมยั ใหม ๑๒๙
ตอนน้ีแหละคือเร่ืองของพุทธศาสนา คือการท่ีวาจะทําอะไร
กับปจจุบันที่จะสืบไปขางหนา ใหพัฒนาไปดี จะไดกาวไปถูกทาง
จนถึงท่ีหมาย นี่ก็คือ มีกรรมดีที่เหมือนกับรอเราอยู ซึ่งจะทํากันได
มากมาย เปนกระบวนการละอกุศล เจริญกุศล หรือละเลิกกรรมชั่ว
ราย พัฒนากรรมดี
กรรมดี หรือกุศลอะไรบาง ที่รอเราใสใจมุงไปทํา ทานบอก
ให สอนไวมากมาย บรรยายไมจบส้ิน เปนเร่ืองของการที่จะพัฒนา
ชีวิตกาวหนา ไปในทางแหง อรยิ ธรรมของอารยชนท้งั น้ัน
กุศล หรือกรรมดี มีในชื่อตางๆ สารพัด ไมวาจะเปนบุญ
กิริยา ไตรสิกขา สังคหวัตถุ ๔ บารมี ๑๐ ตลอดจนโพธิปกขิยธรรม
๓๗ ที่รวมท้ังโพชฌงค ๗ มรรคมีองค ๘ ที่พระพุทธเจาตรัสไววา
เปน กรรมไมด ําไมขาว เปน ไปเพอ่ื ความหมดสน้ิ กรรม
ถึงนี่แลว จึงจะจบหนาท่ีของเราในการทํากรรม อะไรท่ีดีๆ
กาวผานหมด เปนกัลยาณชน เปนบัณฑิต เปนอริยชน รวมทั้งเปน
มนุษย เปนเทพ เปนพรหม รวมอยูในนี้ เราทํากรรมท่ีวามาแลวนั้น
เปนไดทั้งหมด พอเปนอเสขชน เปนอันจบเร่ืองกรรมแลว การ
กระทําเปน กริ ิยา บริสทุ ธิ์สะอาด ปราศกิเลสปลอดทกุ ข
เลิกเสียที ไมตองขุนของหมองมัวอยูกับกรรมเกา ทํากรรม
ใหมใหถ กู เถิด กรรมเกามาเจอกรรมอยางโพชฌงคเขา กห็ มดไปเอง
เปนอันวา เอากรรมดีๆ ที่ทานสอนไวมากมายขางบนนั้นมา
พูดจาหารือเลือกสรร วาเราจะทําอยางไหนอะไรกันบาง อันไหนเรา
ไปไดแคไหนแลว จะไปตออยางไร ถาไดอยางนี้ พระพุทธศาสนาก็
จะมา และพวกเราก็จะกาวในอริยมรรคาเดินหนากันไป
๑๓๐ บญุ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกันไดทกุ คน
ขอถวายเร่ืองกรรมไวเพียงเทานี้ ถือวาเปนเพียงแงคิดบางอยาง
อยางนอยก็ถือเอาขอพิจารณาท่ีนั่นที่น่ีในคัมภีรมาชวยประกอบการอธิบาย
บางแงบ างดาน สวนเรื่องทลี่ ะเอยี ดลกึ ซง้ึ กเ็ ปนสิ่งที่จะตองไปศึกษาพิจารณา
กันตอไป รวมทั้งการแยกแยะสืบสาวเหตุปจจัย และการแกไขปญหาในระดับ
สงั คม
ขออนุโมทนาทุกทานท่ีไดสละเวลา กําลังกาย กําลังใจ มารวม
กันอบรมพระธรรมทูตคร้ังน้ี ดวยจิตมีกุศลเจตนาที่จะไปปฏิบัติศาสนกิจ
เพอ่ื ประโยชนแกพระศาสนา และประโยชนสขุ แกป ระชาชน
ดว ยอานุภาพแหงคณุ พระรัตนตรัย พรอ มท้ังกุศลเจตนาน้ัน จงเปน
ปจจัยใหทุกทานมีกําลังกาย กําลังใจ กําลังสติปญญาเขมแข็ง ปฏิบัติ
ศาสนกจิ ไดสําเร็จผลดวยดีจงทกุ ประการ โดยทัว่ กันทกุ ทาน เทอญ
๔
นรก-สวรรค
ในพระไตรปฎ ก∗
ทานอาจารยไดต้ังหัวขอเร่ืองไวใหอาตมากอน กลาวคือขอใหพูด
เร่ือง นรก-สวรรคในพระไตรปฎก นรก-สวรรคนี้เปนเร่ืองใหญ และเปน
เรือ่ งยากอยแู ลว ทานยังจํากดั ขอบเขตดว ยวา ใหพ ูดในพระไตรปฎก
กอนจะเขาสูเนื้อหา มีเร่ืองที่ควรทําความเขาใจในตอนเร่ิมแรกกัน
นิดหนอย คือทําความเขาใจเกี่ยวกับตัวผูพูด และเรื่องท่ีจะพูดในแงของ
พระพุทธศาสนาวามีความสําคัญแคไหนเพียงไร อันเปนเรื่องท่ีควรทํา
ความเขาใจกันเบอื้ งตน
ตองออกตัวเสียกอน คือ สําหรับอาตมาถือวา นรก-สวรรคเปน
เร่ืองสําคัญ และเปนเร่ืองใหญมาก แตกระน้ันอาตมาเองขณะนี้ ยังไมได
ใหความสนใจเทาท่ีควร ยังไมไดเอาจริงเอาจังอะไรนักในเร่ืองน้ี ก็กําลัง
คนควา เร่อื งพระพุทธศาสนาอยู แตตอนนี้ยังไมไดมาเนนเรื่องนี้ คิดวาเปน
เร่อื งท่ตี อ งคอยๆ วา กันทลี ะข้ันละตอน
∗
บรรยายแกคณะอาจารยและนักศึกษาวิทยาลัยครูสวนดุสิต ในรายการของภาควิชาปรัชญาและ
ศาสนา ระหวางภาคท่ี ๒ ปการศึกษา ๒๕๒๒ ณ วัดพระพิเรนทร (ในการพิมพครั้งลาสุด พ.ย.
๒๕๔๕ ไดจดั ปรับรูปแบบ เชน ซอยยอ หนา จัดระบบหวั ขอ ยอย ขัดเกลาภาษา ใหอ า นงายขึ้น)
๑๓๒ บญุ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกนั ไดทุกคน
ความสําคญั ของนรก-สวรรค ในแงพทุ ธศาสนา
เริ่มแรกมาดูวา ในแงพุทธศาสนา นรก-สวรรคมี
ความสําคญั แคไหน
ศาสนาทุกศาสนามีเร่ืองนรก-สวรรค ซ่ึงเปนเรื่องที่คนถาม
กนั มาตลอดวามจี รงิ ไหม เปนอยางไร
ในประเพณีของเรา ก็มีเร่ืองราวเกี่ยวกับนรก-สวรรค ใน
วรรณคดีกต็ าม ศลิ ปกรรมก็ตาม ก็มีเร่ืองนรก-สวรรคไปเก่ียวของดวย
เชน ภาพฝาผนังตามปชู นียสถานตางๆ มีเรอ่ื งเหลา นีม้ ากมาย
แตเราควรมาดูในแงหลักการกอนวา เรื่องนรก-สวรรค กับ
พระพุทธศาสนา มคี วามสมั พันธก ันแคไหนเพยี งใด
ไดบอกแลววา นรก-สวรรคเปนเร่ืองสําคัญ เปนเรื่องใหญ
แตถาเทียบกับศาสนาทั่วๆ ไปแลว มาดูในแงพระพุทธศาสนา
ความสาํ คญั ของนรก-สวรรคลดลงไป
ทําไมจงึ วา อยา งนัน้ คือ ในศาสนาเปนอันมาก นรก-สวรรค
เปนจดุ สุดทายแหงการเดนิ ทางชวี ติ ของมนุษย
บางศาสนาบอกวามีนรกนิรันดร สวรรคนิรันดร เชนวา เรา
อยูในโลกมีชีวิตคร้ังนี้ ทําความดีความช่ัว เมื่อตายไป วิญญาณจะ
ไปรอจนถึงวันส้นิ โลก แลวกม็ ีการตดั สิน ผทู ี่ควรไดรับรางวัลก็จะได
ไปอยูสวรรคนิรันดรตลอดไป สวนผูที่ควรไดรับโทษก็จะถูกตัดสิน
ใหตกนรกนิรันดร
ในแงน้ี นรก-สวรรคเปนเร่ืองสําคัญมาก เพราะเปนจุด
สุดทาย เปน จุดหมาย
๔. นรก-สวรรค ในพระไตรปฎก ๑๓๓
ทีน้ีมามองดูในพระพุทธศาสนา เม่ือเปรียบเทียบกันแลว
ความสาํ คญั ของนรก-สวรรคจ ะดอยลงไป
เอาสวรรคก็แลวกัน เพราะเปนส่ิงที่เราตองการ สวรรค
ไมใชจุดหมายของพระพุทธศาสนา แตพระพุทธศาสนาบอกวา มี
สิ่งที่สูงกวานั้น สิ่งที่สําคัญกวาสวรรค คือนิพพาน เม่ือสวรรคไมใช
จุดหมาย ความสําคญั ของมนั กด็ อยลงไป
เมื่อเราปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ถาจะปฏิบัติให
แทจริง ใหตรงตามหลักการ เราก็บอกวาไมใชเพ่ือจะไปสวรรค แต
เพื่อนิพพาน สวรรคกลายเปนเร่ืองขั้นตอนท่ีอยูในระหวาง หรือเปน
เร่ืองขางๆ ความสําคัญของสิ่งท่ีอยูขางๆ หรืออยูในระหวาง ยอมจะ
ลดนอ ยลงไป นอยกวา ส่ิงทเี่ ปนจุดหมายสุดทาย นีเ้ ปน เร่ืองธรรมดา
ประการตอไป นรก-สวรรคตามท่ีรูกัน หรือพูดถึงกันอยู
เปน เรื่องท่ีไดร บั หรอื ไปประสบหลังจากตายแลว ศาสนาอื่นๆ ท่ัวไป
วา อยา งน้ี เม่ือตายแลว จะไปนรกหรือสวรรค ดังนั้น จุดหมายสูงสุด
ของศาสนาเหลานัน้ จึงเปน เรื่องของชีวิตขางหนา
แต จุดหมายของพระพุทธศาสนา เปนส่ิงที่บรรลุไดใน
ชาตินี้ นพิ พานสามารถบรรลุไดใ นชาตนิ ้ี ตง้ั แตย ังเปน ๆ อยู
น่ีเปนแงท่ีสอง ที่ทําใหความสําคัญของนรก-สวรรคนอยลง
ไป เราอาจบรรลุจุดหมายสูงสุดไดในชาตินี้แลว เราก็ไมตองพูด
เร่ืองหลังจากตายแลว เรอ่ื งนรก-สวรรคก ไ็ มตองมาเก่ียวของ
ตอไปขอท่ีสาม ในพระพุทธศาสนา นรก-สวรรคเปนเพียง
สวนหน่งึ ในสังสารวัฏ คือการเวียนวา ยตายเกิด
๑๓๔ บญุ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกันไดทกุ คน
สังสารวัฏมีการเปลี่ยนแปลงได ชีวิตเราเดินทางไปใน
สงั สารวฏั มหี มุนขึน้ หมนุ ลง
ตกนรกแลว ตอไป ถาเรามีกรรมดี ก็กลับไปข้ึนสวรรค หรือ
มาเกิดเปนมนุษย คนท่ีเกิดเปนพระพรหมดวยกรรมดีบําเพ็ญฌาน
สมาบัติ ตอไปเมื่อสิ้นบุญแลว กลับไปตกนรก เพราะมีกรรมชั่วใน
หนหลงั กไ็ ด หมนุ เวยี นไปมา
เม่ือเปนเชนน้ี นรก-สวรรคจึงเปนเพียงสวนท่ีหมุนเวียนอยู
ในระหวาง แลวก็เปนของช่ัวคราว เพราะฉะนั้น ความสําคัญก็
ลดลง เพราะเรามีโอกาสท่ีจะแกไขตัวไดมาก พูดอีกอยางหนึ่งวา
เปน ขน้ั ตอนของความกาวหนาในวถิ ีของการพัฒนาสงู ข้ึนไป
น้ีเปนเร่ืองท่ีควรทําความเขาใจในเบื้องตน เพื่อจะไดเห็น
ฐานะของนรก-สวรรคใ นพระพุทธศาสนา
ในแงนี้ ถาเราเปรียบเทียบกับศาสนาท่ีถือเรื่องนรก-สวรรค
เปนนิรันดร เปนส่ิงสุดทายที่มนุษยจะประสบ ซ่ึงไมมีทางแกไขได
เลย ก็จะมีความแตกตางกันอยางมาก เม่ือทําความเขาใจเบื้องตน
อยา งนแ้ี ลว ก็พดู ถงึ เนือ้ หาของเรือ่ งนรก-สวรรคไ ดโ ดยตลอด
ขอพิจารณาเกี่ยวกบั เร่ืองนรก-สวรรค
เอาละ ทีน้ีมาพูดถึงเรื่องนรก-สวรรค เขาสูเนื้อหาของเร่ือง
นรก-สวรรค ซึ่งมีแงท ีต่ อ งแยกอกี ๒ อยาง
แงท ีห่ นึ่ง คอื ความมีอยจู ริงหรือไม นรก-สวรรคม ีจรงิ ไหม
แงท่ีสอง คือ ทาทีของชาวพุทธ หรือทาทีของพุทธศาสนา
ตอเรอื่ งนรก-สวรรค
๔. นรก-สวรรค ในพระไตรปฎ ก ๑๓๕
ตองพูดท้ังสองแง จะพูดแงเดียวไมพอ เพราะมันสัมพันธ
ซึ่งกันและกัน สําหรับพุทธศาสนานี้ ขอพูดไวกอนวา เรื่องทาทีตอ
นรก-สวรรคเ ปนส่ิงสาํ คญั มาก เราจะตองวางทาทีใหถูกตอ ง
พูดเกริ่นไวหนอยวา เรื่องนรก-สวรรคจัดอยูในประเภทสิ่งท่ี
พิสูจนไมได สาํ หรับคนสามัญ
ที่วาพิสูจนไมไดนี้ หมายถึงทั้งในแงลบและแงบวก คือจะ
พิสูจนวามี ก็ยังเอามาแสดงใหเห็นไมได จะพิสูจนวาไมมี ก็ยังไม
สามารถแสดงใหเ ห็นวาไมม ีใหม นั เดด็ ขาด พูดไมไดทงั้ สองอยาง
บางคนบอกวา เม่ือพิสูจนไมไดวามี มันก็ไมมี อยางนั้นก็
ไมถูก ในเมอื่ ตัวเองไมม คี วามสามารถท่จี ะพิสจู น
ในการพิสูจนน้ัน ตองพิสูจนดวยอายตนะที่ตรงกัน ส่ิงท่ีจะ
รดู วยการเหน็ กต็ อ งเอามาใหดูดวยตา ส่ิงท่ีจะรูไดดวยการไดยิน ก็
ตองพสิ จู นดวยการเอามาทําใหฟงไดดวยหู ฯลฯ
เปนอันวา ตองพิสูจนใหตรงตามอายตนะ จะพิสูจนวา
เสียงมีหรือไมมี พิสูจนดวยตาไดไหม ก็ไมได พิสูจนวารสมีไหม จะ
พสิ ูจนด ว ยหูกไ็ มได ไมไ ดเรือ่ ง มนั ตอ งตรงอายตนะกนั
ทีน้ี นรก-สวรรคพิสูจนดวยอะไร พิสูจนดวยตา ดวยหู ดวย
จมูก ลน้ิ กายไมได มนั ตองพสิ จู นดว ยชีวิตท่ีใจน่นั เอง
ดูหลักงายๆ ไมตองพูดลึกซ้ึง เราถือวาจิตเปนแกนของชีวิต
เปนตัวทําหนาท่ีเกิด จะพิสูจนเร่ืองนรก-สวรรควาตายแลวไปเกิด
หรอื ไม กต็ อ งพิสจู นดวยจติ คอื ลองตายดู
๑๓๖ บญุ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกันไดทกุ คน
ทีน้ี พอบอกวาจะพิสูจนดวยตาย ก็ไมมีใครยอม เพราะ
ตอ งพิสจู นดวยตนเอง จะใหค นอนื่ พิสูจนไมได
เราบอกวาคนหน่งึ ตายแลว เขาไปเกิดท่ีไหน เราไมรู ตัวเขา
เปนผูพิสูจน เราเปนแตผูไปดู เหมือนเขาลิ้มรส แลวเราดูเขาลิ้มรส
เราจะไปรูไ ดอ ยา งไรวาเขารูรสจริงหรือเปลา และรสนั้นเปนอยางไร
เราไมไดลม้ิ รส ก็ไดแ ตดูเทานั้นเอง
เร่ืองของชีวิตน้ีก็ตองพิสูจนดวยตัวจิต เม่ือจะพิสูจนดวย
การที่ตองตาย เราก็ทําไมได ไมมีใครกลาทํา เกิดเปนปญหาติดอยู
ตรงน้ีที่พิสูจนไมได นี่เปนเรื่องเกร็ดแทรกเขามา เราจะตองพูดกัน
ตอ ไปอกี
รวมความในตอนน้ีวา นรก-สวรรคเปนเร่ืองพิสูจนไมได ท้ัง
ในแงบ วกและแงลบ วามหี รือไมมี
สําหรับสิ่งท่ีพิสูจนออกมาใหเห็นชัดไมไดอยางน้ี ทางพุทธ
ศาสนามีหลกั ใหป ฏบิ ัติ คอื ถอื การวางทาทีเปน สาํ คัญ
เรื่องบางอยาง ถารอใหพิสูจนเสร็จ มนุษยเลยไมตองทํา
อะไร ไดแ ตรอแบบพวกนักปรชั ญา
พวกนักปรัชญาจะเอาใหรูความจริงเสียกอน เชน รูความ
จริงเกี่ยวกับโลกวา โลกนี้เปนอยางไรแน มันเกิดเมื่อไร มันจะไป
อยางไร พวกนักปรัชญาจะเถียงกัน ใชสมองใชสติปญญาในการ
โตเถียง เม่ือแกยังตอบเร่ืองโลกและชีวิตไมได เชน ดวยวิธี
อภิปรัชญาแกก็ตองเถียงกันตอไป นี่ก็เถียงกันมาหาพันปแลว
โดยประมาณ
๔. นรก-สวรรค ในพระไตรปฎก ๑๓๗
ทีนี้ ถาแกจะตองเถียงกันจนกวาจะรูคําตอบ แลวจึงจะ
ปฏิบัติได เพราะแกอาจจะบอกวา เรายังไมรูความจริงวามันเปน
อยางไร เราจะไปปฏิบัติกับมันอยางไร แกจะตองรอใหรูความจริง
อันนั้นแลวจึงจะวางหลักปฏิบัติ แกตายไปแลวกี่ครั้งตอก่ีครั้ง
จนกระท่งั ลูกหลานเหลนของแกเองก็ตายไป โดยที่ยังทําอะไรไมได
และยงั ไมไดท าํ อะไร
พระพุทธศาสนาบอกวา สําหรับเร่ืองอยางน้ี คือสําหรับ
เรื่องทยี่ งั พสิ จู นไ มไ ด มันสําคญั ที่ปฏบิ ตั ิ
พระพทุ ธศาสนาเปน ศาสนาแหง การปฏิบตั ิ
เรามีวิธีปฏิบัติตอสิ่งท่ียังพิสูจนไมได โดยใหถือการ
ปฏบิ ัตทิ ่ีไมผดิ
อยางท่ีบอกเม่ือก้ีวา การวางทาทีเปนสําคัญ นรก-สวรรคก็
อยูในประเภทนี้ การวางทาทีหรือการที่จะปฏิบัติตอมันอยางไร
เปน เรอื่ งสาํ คญั กวา
เปนอันวา มีเร่ืองที่ตองพูดสองแง คือ แงวามีจริงไหม กับ
จะวางทาทีตอมันอยางไร และเนนแงการวางทาที หรือการปฏิบัติ
ทนี ี้ มาพดู ถงึ หัวขอ สองอยางนัน้ เอาแงทห่ี นงึ่ กอน
๑. นรก-สวรรค มีจริงหรือไม?
แงท่ีหนึ่งคือ มีจริงไหมในแงของพระพุทธศาสนา และก็จะ
พูดจํากัดตามที่อาจารยไดกําหนดไวว าเฉพาะในพระไตรปฎก
ขอแบง วา พระพุทธศาสนาพดู เร่ืองน้ีไวเปน ๓ ระดบั
๑) นรก-สวรรค หลงั ตาย
ระดับท่ีหนึ่ง คือเร่ืองนรก-สวรรคที่เราพูดกันท่ัวๆ ไปวา
หลงั จากชาตนิ ้ี ตายแลวไปรับผลกรรมในทางท่ีดีและไมดี ถารับผล
กรรมดี ก็ถือวาไปสวรรค ถารับผลกรรมชั่ว ก็ไปเกิดในนรก เร่ือง
นรก-สวรรคแ บบนี้ เรยี กวาระดบั ทห่ี น่งึ พระพทุ ธศาสนาวาอยา งไร
สําหรับระดับนี้ ถาถือตามตัวอักษร พระไตรปฎกกลาวไว
มากมาย เม่ือพูดกันตามตัวอักษรก็ตองบอกวามี มีอยางไร นรก-
สวรรคหลังจากตายน้ี มักจะมีในขั้นเอยถึงเทาน้ัน ไมคอยมีคํา
บรรยาย
ในพระไตรปฎก เร่ืองนี้หาไดทั่วไป ในคําสรุปทายท่ี
แสดงผลของการประพฤตดิ ปี ระพฤตชิ ว่ั คือ
ในแงสวรรคบ อกวา เมื่อแตกกายทําลายขันธลวงลับดับชีพ
ไปแลว จะเขาถึงสคุ ติโลกสวรรค นีฝ่ ายดี
สวนในฝา ยรา ยก็กลาววา เบ้ืองหนา แตตายเพราะกายแตก
กจ็ ะเขาถงึ อบาย ทุคติ วินิบาต นรก
สํานวนในบาลี มีอยา งนี้มากมายเหลือเกนิ
๔. นรก-สวรรค ในพระไตรปฎ ก ๑๓๙
สํานวนความน้ี ไมไดบรรยายวาสวรรคเปนอยางไร นรก
เปนอยางไร ไดแตสรุป และโดยมากมาหอยทายกับคําแสดงผล
ของกรรมดีกรรมช่วั ซึ่งจะเร่ิมดว ยผลที่จะไดรับในชาติน้ีกอนวา ผูมี
ศีลประพฤติดีแลว จะไดผลอยางนั้นๆ หน่ึง สอง สาม ส่ี หา แลว
สดุ ทาย หลังจากแตกกายทําลายขันธแลว จะไปสุคติ
ดังเชนวา เจริญเมตตา มีอานิสงสอยางนี้ คือ หลับเปนสุข
ฝนดี… บอกผลดีในปจจุบันเสร็จแลว จึงหอยทายวา ตายแลวไป
สวรรค ไปพรหมโลก นเี่ ปน เพยี งการเอยถงึ ผลของการทาํ ดี ทาํ ชัว่
นอกจากนัน้ เราตองสังเกตดวยวา เม่ือพระพุทธเจาตรัสถึง
เรื่องนรก-สวรรคนั้น พระองคตรัสในขอความแวดลอมอยางไร มี
เร่ืองราวเปนมาอยางไร เราจะสังเกตไดวา พระพุทธเจาตรัสถึงผล
ในปจจุบันมากมายกอน แลวอันนี้ไปหอยทายไว
เมื่อทราบอยางนี้แลว จะไดจัดฐานะของนรก-สวรรคได
ถกู ตอง น้ีบอกไวใหเปนขอ สงั เกต
เปน อนั วา เราจะพบคาํ บาลที พ่ี ระพุทธเจาตรัสอยูบอยๆ วา
เมื่อตายแลว จะไปนรกหรือสวรรค หลงั จากไดรบั ผลกรรมดีกรรมช่ัว
ในปจจุบนั น้แี ลว ตรสั บอ ยๆ โดยไมม ีคําบรรยาย
ขอความในพระไตรปฎกสวนท่ีมีคําบรรยายวานรก-สวรรค
เปนอยางไร มนี อ ยแหง เหลอื เกนิ
แหงท่ีนับวามีคําบรรยายมากหนอย กลาวถึงการลงโทษใน
นรก เริ่มจากวา ตายไปแลวเจอยมบาล
พญายมถามวา ตอนมีชีวิตอยูเคยเห็นเทวทูตไหม? เทวทูต
ทหี่ นึง่ เปนอยางไร? … เขาตอบไมได
๑๔๐ บุญ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกันไดทกุ คน
ยมบาลตองช้แี จงวา เทวทูตท่ีหน่ึง คือเด็กเกิดใหม ที่สอง คือ
คนแก ที่สาม คือคนเจ็บ ที่สี่ คือคนถูกลงโทษทัณฑอาญา ที่หา คือ
คนตาย
ยมบาลอธิบายใหฟงแลวก็ซักตอวา ทานเคยเห็นไหม เคย
เห็นแลว เคยไดความคิดอะไรบางไหม มีความสลดใจบางไหม ใน
การท่ีจะตองคิดเรงทําความดี ทานเคยรูสึกบางไหม ไมเคยเลย ถา
อยางนั้นก็เปนเร่ืองของตัวเองทํากรรมไมดี ก็ตองไดรับโทษ มีการ
ลงอาญา เรยี กวากรรมกรณ ซงึ่ เปน วิธีลงโทษประการตา งๆ ในนรก
เรื่องนี้มีมาใน พาลบัณฑิตสูตร และเทวทูตสูตร ใน
พระไตรปฎ กเลม ๑๔ ถาตองการคน ก็บอกขอบอกหนาไปดวย คือ
เลม ๑๔ ขอ ๔๖๗ หนา ๓๑๑ และเลม ๑๔ ขอ ๕๐๔ หนา ๓๓๔
(สําหรับพระไตรปฎกแปลภาษาไทย ก็ไปคนดูตามขอ หนาไมตรงกัน
เพราะนีเ่ ปน หนา บาลี) โดยมากพดู ถงึ นรก ไมคอ ยพดู ถึงสวรรค
นอกจากน้ีก็ยังมีบางแหงพูดถึงอายุเทวดาในช้ันตางๆ เชน
ชั้นจาตุมหาราช หรือช้ันโลกบาล ๔ ชั้นดาวดึงส ชั้นยามา ช้ันดุสิต
ช้ันนิมมานรดี และช้ันปรนิมมิตวสวัตดี แตละชั้นมีอายุอยูนาน
เทาไร อยางนี้มีในพระไตรปฎกเลม ๒๐ ขอ ๕๑๐ หนา ๒๗๓ และ
ไปมซี ํา้ ในเลม ๒๓ ขอ ๑๓๑–๑๓๕ หนา ๒๕๓–๒๖๙ และยังมีอายุ
มนุษย ถึงรูปพรหม แสดงไวในฝายอภิธรรม พระไตรปฎกเลม ๓๕
ขอ ๑๑๐๖–๑๑๐๗ หนา ๕๖๘–๕๗๒
บางแหงแสดงเรื่องราววา ในวัน ๘ ค่ํา ทาวมหาราช ๔ คือ
ทาวจตุโลกบาล สงอํามาตยมาตรวจดูโลก วามนุษยประพฤติดี
ปฏบิ ัตชิ อบหรอื เปลา ถา เปน วนั ๑๔ คา่ํ โอรสมาเท่ียวดู
๔. นรก-สวรรค ในพระไตรปฎ ก ๑๔๑
ถึงวัน ๑๕ คํ่า ก็เสด็จมาเที่ยวตรวจดูเอง แลวกลับไปแจง
ตอที่ประชุมเทวดาในสุธรรมสภา สวรรคช้ันดาวดึงส ซึ่งมีพระ
อินทรเปนประธานวา เด๋ียวน้ีมนุษยโดยมากประพฤติดี หรือ
ประพฤตชิ ่ัว
ถามนุษยประพฤติดี เทวดาก็จะดีใจ วาตอไปสวรรคจะมี
คนมาเกิดเยอะ ถาหากมนุษยประพฤติช่ัวมาก เทวดาก็จะเสียใจ
วา ตอไปฝายเทวโลกจะมีแตเ สอื่ มลง อะไรทํานองนี้
เรื่องอยางน้ีก็มีในเลม ๒๐ เหมือนกัน ขอ ๔๗๖ หนา ๑๘๐
เปนการกลา วแทรกอยบู างแหง มไี มสูมาก
นอกจากนี้ก็มีกระเส็นกระสาย เล็กๆ นอยๆ ชื่อนรก ๑๐
ขุม ก็มีในพระไตรปฎกดวย คือในเลม ๒๔ อังคุตตรนิกาย ทสก-
นิบาต ขอ ๘๙ หนา ๑๘๕ และนรก ๘ มีในคาถาชาดก เลม ๒๘
ขอ ๙๒ หนา ๓๙
อันนี้ก็เปนฐานใหอรรถกถานํามาช้ีแจงอธิบายเร่ืองนรก
ตา งๆ แจกแจงใหเ หน็ เร่อื งราวพสิ ดารยิง่ ข้ึน แตในทน่ี ้ีจะไมพูดถึง
คมั ภรี ก ลุมชาดก ในขทุ ทกนิกาย เปนแหลง ทจี่ ะหาเรื่องราว
คําบรรยายเกี่ยวกับสภาพในนรกและสวรรคไดมากกวาที่อื่น เนมิ-
ราชชาดก ในพระไตรปฎกเลม ๒๘ ขอ ๕๒๕–๕๙๙ หนา ๑๙๘–
๒๒๓ เปนเรอื่ งการไปทศั นาจรนรกและสวรรคโ ดยตรงทีเดียว
(ในมฆเทวสูตร ในพระไตรปฎกเลม ๑๓ ขอ ๔๕๘–๔๖๐
หนา ๔๒๑–๔๒๔ ก็มีเรื่องท่ีพระเจานิมิ หรือนิมิราช กษัตริยทรง
ธรรม เปนธรรมราชา แหงมิถิลานคร ไดรับเชิญจากพระอินทรไป
พบกบั เหลาเทวดาท่ีสธุ รรมเทวสภา ในสวรรคชนั้ ดาวดึงส)
๑๔๒ บญุ กรรม นรก-สวรรค เลอื กกันไดทุกคน
คัมภีรเปตวัตถุ ที่วาดวยเรื่องของเปรต แมจะตางภพกับ
นรก แตก อ็ ยใู นประเภทอบายเหมอื นกัน
ถารับเขามาพิจารณาดวย ก็จะไดคัมภีรเปตวัตถุ และ
วิมานวัตถุ เขามารวมในกลุมน้ีดวย และจะพบเร่ืองราวมากมาย
ทเี ดียว ไดแก พระไตรปฎก เลม ๒๖ ขอ ๑–๑๓๖ หนา ๑–๒๕๙
แมในพระไตรปฎกจะไดพูดถึงนรก-สวรรคแบบนี้ เราก็อยา
เอาไปวุนกับการเขียนภาพและคําบรรยายในวรรณคดีใหมากนัก
เพราะวรรณคดีบวกจินตนาการเขาไป ซึ่งเปนเร่ืองธรรมดาของกวี
แมจะบรรยายอารมณมนุษย ก็ตองบรรยายใหเห็นภาพ เมื่อจะ
บรรยายนรก-สวรรค ก็ตองพูดใหเห็นจริงเห็นจัง หรือจะมาเขียน
เปนภาพประกอบ จะใหคนธรรมดาเกิดความสนใจ ก็ตองนําเสนอ
ในรูปแบบที่ทําใหเกิดความเขาใจงาย เทียบเคียงหรือประยุกตเขา
กบั สง่ิ ทีค่ นรเู หน็ กันในยคุ นั้นถิ่นนั้น
เพราะฉะนั้น เราจะเอาวรรณคดีรุนหลังๆ หรือภาพตามฝา
ผนังเปนมาตรฐานไมได เพราะน่ีเปนรูปของการทําใหงายแลว จะ
วา ตามนัน้ ทเี ดยี วไมได
ก็เปนอันวา ในแงท่ีหนึ่ง สําหรับคําถามวา นรก-สวรรค
หลังจากตายในพระไตรปฎกมีไหม? เม่ือถือตามตัวอักษร ก็
เปน อันวา มี ดังท่กี ลาวมาแลว
สวนที่วาอาจมีบางทานแสดงความเห็นวา เร่ืองน้ีสัมพันธ
กบั ความเชื่อท่ีมีดั้งเดิม เชนวาพระพุทธเจาอาจจะตรัสไปตามท่ีคน
เช่ือกันอยู นั่นก็เปนเร่ืองที่เราจะตองศึกษาคนควากันตอไป
นอกจากนี้ใครจะตีความอยางไรตอไป อาตมาไมเก่ียว