The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมเครื่องมือการจัดการความรู้ จัดทำโดย นักศึกษาสาขา พัฒนาการเกษตร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ภัคพล ภัค, 2020-09-16 13:05:00

เครื่องมือการจัดการความรู้

รวมเครื่องมือการจัดการความรู้ จัดทำโดย นักศึกษาสาขา พัฒนาการเกษตร คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

Keywords: KM

เครือ่ งมือการจดั การความรู้

จัดทำโดย

นกั ศึกษา พัฒนาการเกษตร ชน้ั ปีท่ี 3 คณะเทคโนโลยีการเกษตร
สถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ เจา้ คณุ ทหารลาดกระบงั

สารบัญ

เรือ่ ง หน้า

การเสวนา 3
การศึกษาดงู าน 4-5
แฟม้ งานเพอ่ื การพฒั นา 6-14
การทบทวนหลังกจิ กรรม 15
การสอนงาน 16
ชุมชนนักปฏบิ ัติ 17-19
บทเรยี นหนง่ึ ประเด็น 20
การเล่าเร่ือง 21
การใช้ทป่ี รกึ ษาหรอื พ่ีเลย้ี ง 22
แบบบันทึกความรู้ 23

การเสวนา

ทม#ี า
การสานเสวนา (dialogue) เป็นรูปแบบหน:ึงของการสนทนา ท:ีมุ่งใหเ้ กิดความเขา้ ใจ ทJงั มุมมองของ

ตนและของผอู้ ื:นไดด้ ียงิ: ขJึน โดยรากศพั ทแ์ ลว้ dia แปลวา่ ผา่ น logos แปลวา่ คาํ หรือความหมาย เมื:อรวมกนั
ไดเ้ ป็นคาํ วา่ dialogue ซ:ึงหมายถึงกระบวนการทาํ ใหเ้ กิดความหมาย ที:ไหลลื:นผา่ นไปในหมู่ ผสู้ นทนา เม:ือ
แปลเป็นไทยวา่ สานเสวนา ซ:ึงหมายถึงการสนทนาอยา่ งไม่เป็นทางการ (เสวนา) ท:ีมุ่งสานความหมายและ
ความเขา้ ใจ โดยยอมรับความแตกต่างของจุดยนื ความคิด และอตั ลกั ษณ์ของผสู้ นทนา

เหมากบั สถานการณ์แบบไหน
เริ:มพดู ถึงสิ:งที:เกิดขJึนจากการสงั เกตเห็นของเรา โดยไม่ตดั สินหรือตีความหมายสิ:งที:เกิดขJึน

นJนั แลว้ จึงแสดงความรู้สึกของเราท:ีมีต่อส:ิงท:ีเกิดขJึนนJนั โดยไม่ต่อวา่ หรือแสดงออกเชิงตาํ หนิหรือ
กล่าวโทษใคร ขJนั ตอนต่อไปคือการบอกความตอ้ งการ (need) หรือเป้าหมายของเรา สุดทา้ ยจึงกล่าวคาํ ขอ
(ไม่ใช่คาํ สง:ั ) ที:ขอใหผ้ อู้ :ืนกระทาํ เพื:อสนองความตอ้ งการของเรานJนั การพดู จะตอ้ งไม่เป็นการโจมตีผอู้ :ืน ไม่
กล่าวโทษวา่ ผอู้ :ืนมีเจตนาร้าย หรือมีจุดหมายซ่อนเร้น หรือมีอุปนิสยั ที:ไม่ดีต่าง ๆ นานา

วธิ ีการใช้
การสานเสวนาอาจนาํ ไปสู่การเปลี:ยนความคิดของผรู้ ่วมการสานเสวนา แต่ตอ้ งเป็นการ

เปล:ียนแปลงในตนเองหลงั จากการไตร่ตรอง ไม่ใช่การเห็นคลอ้ ยอยา่ งฉาบฉวยหรือหลงตามสาํ นวน
คารม ส่วนความสมั พนั ธ์ของคู่ขดั แยง้ ท:ีหวงั วา่ จะดีขJึนหลงั การสานเสวนานJนั แมจ้ ะเป็นจุดมุ่งหมายหลกั
ของการสานเสวนาเพ:ือแปลงเปล:ียนความขดั แยง้ กจ็ ริง กค็ วรเป็นไปโดยธรรมชาติ หลงั จากเกิดความรู้สึกท:ี
ดีขJึน เพราะไดม้ าพดู จากนั อยา่ งเพ:ือนมนุษย์ ไดส้ มั ผสั ความเป็นมนุษยท์ :ีมีร่วมกนั และแต่ละคนรู้สึกวา่ ตน
ไดร้ ับการยอมรับมากขJึนนน:ั เอง

ข้อควรระวงั
1.เพ:ือทาํ ความเขา้ ใจและเรียนรู้ซ:ึงกนั และกนั ไม่เอาแพเ้ อาชนะ
2.พดู ในนามของตวั เอง
3.มีความเท่าเทียมกนั
4.เปิ ดเผย ฟัง อยา่ ด่วนตดั สิน
5.เเสวงหาสมมติฐานต่างๆ
7.แยกกระบวนการตดั สินใจออกไปจากการเสวนา เคารพมุมมองของทุกคน
Cr http://kmops.moph.go.th/index.php/km-test/

การศกึ ษาดงู าน (Study tour)

การศึกษาดงู าน (Study tour) หรือ สุนทรียทัศนา เป็นการขอไปเรยี นทางลดั จากประสบการณ์
ของผู้อนื่ โดยเข้าไปดูสถานท่ีจริง การปฏิบัตจิ รงิ ๆ ของเขา หรอื อาจใช้ในหน่วยงานตนเองโดยการให้เพ่ือนที่ทำ
ดี ๆสาธิตหรอื ทำเป็นตวั อย่างใหเ้ ราดู ใหเ้ ราเรยี นรู้ก็ได้

การศกึ ษาดงู านน้นั เปน็ กจิ กรรมหน่ึงในกระบวนการพฒั นาบคุ ลากร ในอันทีจ่ ะช่วยเพิ่มพูนความรู้
ทกั ษะประสบการณ์ ให้กบั ตวั บคุ ลากร อีกท้งั เปิดมุมมองท่จี ะรับกบั การเรียนรใู้ นส่งิ ใหม่ๆ สร้างความพร้อม
ใหแ้ ก่ท้ังตัวบุคลากรเอง และสรา้ งผลสมั ฤทธใิ์ ห้แก่ทมี งานและหนว่ ยงาน การศึกษาดงู าน (Study tour)

ถอื เปน็ เคร่อื งมือในการแลกเปลี่ยนเรียนรเู้ ช่นกัน

ประเดน็ คำถามเก่ยี วกับการศกึ ษาดูงาน ทีส่ ำคญั 3 ขอ้ คือ

1. การศึกษาดูงานจะมสี ว่ นในการแก้ปัญหาการทำงานใหก้ บั ตนเองอย่างไร?
2. การศกึ ษาดงู านจะก่อให้เกดิ ความคิดใหมๆ่ ทน่ี ำใช้กับการทำงานได้อยา่ งไร ?
3. การศกึ ษาดงู านมปี ระโยชนต์ อ่ ทีมงาน และหน่วยงานอย่างไร ?

วิธกี ารศึกษาดงู านใหเ้ กิดประสทิ ธิภาพ วิธกี ารศกึ ษาดงู านให้เกิดประสิทธภิ าพ หรอื ให้เกดิ ประโยชน์
จากการศึกษาดงู านน้ัน ควรมีวิธกี ารดังต่อไปนี้

1. เตรียมความพร้อมก่อนศึกษาดงู านทางกาย

1.1 ความพร้อมในเร่ืองสภาพรา่ งกาย ให้สมบรู ณ์แข็งแรงอยู่ในภาวะทพ่ี ร้อมทจี่ ะศึกษาดูงานทางอารมณ์และ
ความคดิ

1.2 สรา้ งทัศนคติเชิงบวก ให้เกิดความรสู้ ึกท่ีดีในการศึกษาดูงาน ด้วยการมองเหน็ ถึงขอ้ ดใี นการศึกษาดูงาน
หน่วยงานที่จะศึกษาดูงาน หรอื กจิ กรรมท่จี ดั ร่วมในการศึกษาดูงาน รวมท้ังผลท่ีจะไดร้ ับกับตนเอง ทีมงาน
และหน่วยงาน

1.3 ตั้งประเด็นปัญหาทเ่ี กิดขึ้นในการทำงานปัจจุบัน รวมทั้งทบทวนถึงวธิ ีการทำงานในปัจจุบัน ถึงแนวคดิ ท่ี
มุ่งหวังเพื่อจะได้นำความร้มู าใชใ้ นพฒั นาการทำงานใหเ้ กิดประสทิ ธภิ าพ และจดเปน็ บันทึกเตอื นความจำก่อน
การศึกษาดูงาน

2. เตรียมความพร้อมขณะศึกษาดงู าน

2.1 รับฟงั การบรรยายหรือการเล่าถงึ ประสบการณ์ในการทำงาน ตลอดจนเทคนิควิธีการทำงานใหมๆ่

2.2 คิดตาม สร้างแนวความคิดใหม่ โดยมองถึงข้อดีของวิธีการทำงานแบบใหม่ท่ีไดเ้ รียนรู้ ที่จะสามารถนำมา
ประยกุ ตใ์ ช้กับวธิ ีการทำงานแบบปจั จุบนั เพ่อื ลดปัญหาและเสริมประสทิ ธิภาพในการทำงาน

2.3 ถามดู การต้ังคำถามเพ่อื แลกเปลีย่ นความรู้ โดยถามจากส่ิงที่ไดเ้ ห็น การตัง้ คำถามเป็นการจดุ ประกาย
ความคดิ กระตุ้นใหเ้ กิดการถ่ายทอดความรู้ในการทำงาน ถงึ เทคนิค วิธีการทำงานให้เกิดประสทิ ธภิ าพ เช่น
การลดขนั้ ตอนการปฏิบตั ิงาน การนำเทคโนโลยีสมยั ใหมม่ าใช้ การนำเอาวิธีการบรหิ ารจัดการสมัยใหม่มาใช้
เป็นต้น ซ่ึงการถามเพือ่ สรา้ งองคค์ วามรู้นี้ เราจะไขข้อข้องใจถึงประเด็นปัญหาที่ได้ต้งั ไว้ก่อนการศึกษาดงู านได้
2.4 รู้เขยี น การนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาดงู านนัน้ นำมาเขยี นหรือจดบันทึกย่อเตือนความจำ การเขียนเปน็
สิ่งสำคัญเพราะตกผลกึ จากความรคู้ วามเข้าใจของตนเองน่นั โดยการเขียนตามที่รหู้ รอื เข้าใจ ซงึ่ โดยปจั จุบนั
อาจใชเ้ ทคโนโลยตี ่าง ๆ เชน่ การบนั ทกึ ความรู้ด้วยกล้องถา่ ยวีดีโอ หรอื เลา่ เรอ่ื งจากรูปภาพโดยการถ่ายภาพ
หรอื บันทึกเสียงด้วยเครอื่ งอดั เทป โทรศพั ท์มือถือ ซึ่งจะช่วยเตือนความจำใหก้ บั ตวั เอง และถ่ายทอดเป็นองค์
ความรไู้ ด้อีกวิธีหน่งึ

3. เตรยี มความพร้อมหลังศึกษาดงู านเสร็จส้ิน

3.1 ทบทวนความรู้ที่ไดจ้ ากการศกึ ษาดงู านของตนเอง

3.2 นำความรู้ท่ไี ดจ้ ากการศึกษาดงู านมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน

3.3 จดบันทึกเตือนความจำถึงวิธีการแก้ปัญหาตามประเดน็ ปัญหาท่ีตง้ั ไวก้ ่อนการศึกษาดูงาน ความรูท้ ่ีสามารถ
นำมาประยุกตใ์ ช้ ตลอดจนความรูใ้ หมๆ่ ทเี่ กิดขน้ึ การจดบันทกึ น้ีเป็นการตรวจสอบความรขู้ องตนเองท่ไี ดร้ ับ
ในอีกทางหน่งึ ดว้ ย

3.4 จัดประชุมแตล่ ะทมี งาน เพื่อแลกเปล่ียนความคดิ เห็นร่วมกนั ตดิ ตามและประเมนิ ผลความรูท้ ไ่ี ดร้ ับจาก
การศกึ ษาดูงาน กอ่ นที่จะรวบรวมความรทู้ ไ่ี ด้ในแต่ละบคุ คล มาสรปุ เพื่อจดั ทำเปน็ องค์ความรู้แตล่ ะทมี งาน
3.5 ถา่ ยทอดและเผยแพร่องค์ความรู้ และนำองค์ความรู้ท่ีได้มาปรับใช้ในการทำงานอย่างต่อเน่ืองและ
สมำ่ เสมอ ดังนั้น รูปแบบวธิ กี ารการศกึ ษาให้เกดิ ประสิทธิภาพที่กล่าวมาข้างต้น สำคญั คือ ผ้เู รียนรู้ หรอื ตวั
บคุ ลากรเอง จำเปน็ ทจ่ี ะความเขา้ ใจถงึ จดุ ประสงค์หรือเป้าหมายสำคญั ในการศึกษาดูงาน มคี วามใส่ใจกระต้นุ
ทกุ คนเกดิ ความรู้สึกรว่ มในการมสี ่วนรว่ มในกจิ กรรมศึกษาดูงาน และเกิดความเชื่อมนั่ มุ่งมั่น มุง่ หวังเดียวกัน
เพอื่ ให้การศึกษาดงู านเกิดประโยชนห์ รือสมั ฤทธิผล สร้างความพงึ พอใจให้แก่ตวั บุคลากรเองสร้างประสทิ ธภิ าพ
และประสทิ ธผิ ลในการปฏบิ ตั งิ านให้เกดิ ผลดีย่ิงขน้ึ ด้วยครับ

ประโยชน์การศึกษาดูงาน
1. เพมิ่ ความรคู้ วามเข้าใจ ความคิด ความสัมพันธใ์ นการทำงาน และการทำงานเปน็ ทีม คอื มีสว่ นรว่ มกัน

คิดและลงมือทำ
2. ชว่ ยกระต้นุ ใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ร่วมกนั ร่วมท้ังแลกเปลยี่ นประสบการณ์ มุมมองความคิดเห็นต่าง ๆ

ร่วมกนั ในสถานการณ์เดยี วกัน หรอื เหตกุ ารณ์เดยี วกัน
3. ทำให้ได้เห็นถงึ เทคนิควิธกี ารในการนำมาปรบั ใช้หรือแก้ไขปัญหา อนั ทีจ่ ะก่อประโยชนใ์ นการทำงาน
4. เปน็ การเปิดมุมมอง เปิดประสบการณ์ใหก้ ับพนักงาน และนำประสบการณืทไี่ ดม้ าใชใ้ นการทำงาน

ข้อควรระวงั
1. ดูความพร้อมของตนเองพร้อมหรือไม่ ทางดา้ นร่างกายและจติ ใจ
2. สถานทใี่ นการศึกษาดงู านว่าเหมาะสมกบั จำนวนคนหรือไม่
3. ถา้ สงสัยใหถ้ ามทนั ที เพราะถ้าจบการศึกษาดงู านแลว้ จะถามได้ยาก

CR: http://0892874072.blogspot.com/

https://www.facebook.com/402042489939913/posts/410955472381948/

คูม่ ือการใชเ้ คร่ืองมือการจดั การความรู้

เรื่อง แฟ้มงานเพื่อการพฒั นา (Portfolio)
จดั ทาํ โดย

นางสาว ธญั ญาพร เพช็ รวสิ ัย รหสั นกั ศึกษา 61040494
สาขาพฒั นาการเกษตร คณะเทคโนโลยกี ารเกษตร

คูม่ ือน้ีเป็นส่วนหน่ึงของวชิ าการจดั การความรู้ฯ
ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2563

สถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ เจา้ คุณทหารลาดกระบงั

ความเป็ นมา

มีตน้ กาํ เนิดจากวงการศลิ ปะเหล่าศลิ ปิ นเหล่าน้นั จะสร้างสรรคผ์ ลงานของตนเองอยา่ ง
ต่อเน่ืองในระยะเวลาอนั สมควรเม่ือไดผ้ ลงานจนมากพอกจ็ ะคดั เลือกผลงานดีเด่นจาํ นวนหน่ึงมา
จดั นิทรรศการตามหอศิลป์ เพ่อื ใหผ้ อู้ ่ืนไดช้ ื่นชมความงามของผลงานน้นั และไดร้ ับรู้ถึง
ความสามารถอนั เป็นอจั ฉริยะตามหลกั สูตรไดต้ อ้ งสร้างสรรคผ์ ลงานศิลปะที่มีคุณภาพและ
ปริมาณมากพอและนาํ ผลงานชิ้นน้นั มาจดั แสดงใหค้ นดูเพอ่ื ใหเ้ ป็นท่ียอมรับของครูผสู้ อนเพื่อน
ร่วมช้นั และบุคคลทว่ั ไปเรียกการทาํ ศิลปะนิพนธจ์ ึงจะสาํ เร็จการศึกษาได้

ประเภทกองการประเมนิ ใดแฟ้มสะสมผลงาน

 จาํ แนกตามบุคคล
1) แฟ้มสะสมผลงานส่วนบุคคล (personal portfolio)
2) แฟ้มสะสมผลงานของโครงการต่าง ๆ (project portfolio)
3) แฟ้มสะสมผลงานทางวชิ าการ (academic portfolio) หรือแฟ้มสะสมผลงานของ
นกั เรียน (student portfolio)
4) แฟ้มสะสมผลงานวชิ าชีพ (professional portfolio)

 จาํ แนกตามระดบั กองการจดั ทาํ แฟ้มสะสมผลงาน
1) แฟ้มสะสมผลการดาํ เนินงานระหวา่ งดาํ เนินการ (working portfolio)
2) แฟ้มสะสมผลงานท่ีสมบูรณ์ (Final portfolio หรือ Portfolio evidence)

 จาํ แนกตามระดบั ของการจดั ทาํ แฟ้มสะสมผลงาน
1) แฟ้มสะสมผลงานที่แสดงถึงความกา้ วหนา้ ของนกั เรียน (progress portfolio)

2) แฟ้มสะสมผลงานที่แสดงถึงความรอบรู้ของผเู้ รียน (mastery portfolio)
 จาํ แนกตามจุดประสงคก์ ารนาํ ไปใช้

1) แฟ้มสะสมผลงานถาวร (permanent)
2) แฟ้มสะสมผลงานความกา้ วหนา้ (work in progress)
3) แฟ้มสะสมผลงานปัจจุบนั (current year)

โครงสร้างแฟ้มสะสมผลงาน

1. สารบญั
2. คาํ นาํ
3. ประวตั ิส่วนตวั
4. ชิ้นงาน
5. แบบทดสอบต่าง ๆ
6. การประเมินตนเอง
7. การประเมินโดยเพือ่ น
8.การประเมินโดยครูผสู้ อน
9.การประเมินโดยผปู้ กคครอง
10.การประเมินโดยผสู้ นใจอ่ืน ๆ
11. ความรู้สึกต่อวชิ า
12. ภาคผนวก

หลกั การใช้แฟ้มสะสมผลงาน

• ใหผ้ เู้ รียนเป็นผสู้ ะสมผลงานอยา่ งต่อเนื่องในเวลาท่ีกาํ หนด

• ตอ้ งเป็นการเรียนรู้แบบร่วมมือกนั (cooperative learning) ระหวา่ งนกั เรียนครูผปู้ กครอง
เพ่ือ

1) การ คดั เลือกผลงานที่พอใจดว้ ยตนเอง (self selection)

2) การสะทอ้ นความคิด (self reflection)

3) การปรับปรุงตนเอง (self monitoring)

4) การประเมินผลงานของตนเอง (self evaluation)

• มีการจดั ระบบขอ้ มูลในแฟ้มสะสมผลงานอยา่ งเป็นระบบ (organizing) แบ่งออกเป็น 3
ตอน ไดแ้ ก่

ตอนที่ 1 บทนาํ เป็นรายละเอียดเก่ียวกบั การจดั ทาํ แฟ้มสะสมผลงาน

ตอนท่ี 2 ผลงานท่ีสะสมและหลกั ฐานการประเมิน

ตอนท่ี 3 สรุปผลการประเมินแฟ้มสะสมผลงาน

กระบวนการสร้างเกณฑ์การให้คะแนนแฟ้มสะสมผลงาน

1. ศึกษาวธิ ีการนิยามคุณภาพการทาํ งาน

2. เกบ็ รวบรวมเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนท่ีใชป้ ระเมินทกั ษะการเขียนการพดู งานศิลปะหรืองานอ่ืน ๆ
เพ่ือนาํ มาเป็นแม่แบบท่ีจะนาํ มาดดั แปลงใชต้ ามจุดมุ่งหมายของตนเอง

3. เกบ็ รวบรวมตวั อยา่ งงานของนกั เรียนทาํ กบั ตวั อยา่ งของผเู้ ชี่ยวชาญทาํ ซ่ึงจะมีลกั ษณะท่ี
แตกต่างกนั จากคุณภาพต่าํ จนถึงคุณภาพสูง

4. นาํ คุณลกั ษณะสาํ คญั ของแม่แบบเหล่าน้นั มาอภิปรายวา่ สามารถนาํ มาจาํ แนกคุณภาพงานได้
หรือไม่

5. เลือกคุณลกั ษณะท่ีไดไ้ วแ้ ลว้ เขียนคาํ บรรยายตามลกั ษณะสาํ คญั เหล่าน้นั
6. เลือกตวั อยา่ งของนกั เรียนมาอีกชุดหน่ึงแลว้ ทดลองใชเ้ กณฑก์ ารใหค้ ะแนนกบั งานดงั กล่าว

7. แกไ้ ขปรับปรุง

8. ทดลองอีกจนกระทงั่ มนั่ ใจวา่ คะแนนท่ีไดจ้ ากการตรวจสอบตามเกณฑส์ ามรถใชแ้ ทนคุณภาพ
ของงานเหล่าน้นั ได้

วตั ถุประสงค์ของการประเมนิ โดยแฟ้มสะสมผลงาน

1. เพอ่ื พฒั นาสมรรถภาพและคุณลกั ษณะที่พงึ ประสงคข์ องนกั เรียนใหบ้ รรลุตามจุดมุ่งหมาย
ของหลกั สูตร

2. เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ท่ีเนน้ นกั เรียนเป็นสาํ คญั ดว้ ยการปฏิบตั ิจริงทาํ ใหน้ กั เรียนเกิดนิสยั
รักการทาํ งานและส่งเสริมการเรียนรู้ตามสภาพจริง

3. เพอ่ื ส่งเสริมใหน้ กั เรียนสร้างองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเองแทนการท่องจาํ ความรู้เพื่อพฒั นาพุทธิ
ปัญญาและความคิดสร้างสรรคใ์ นการแกป้ ัญหา

4. เพ่อื ส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือกนั ระหวา่ งครูนกั เรียนผปู้ กครองในกิจกรรมการเรียน
การสอนและการประเมิน

5. เพื่อใหน้ กั เรียนมีทกั ษะในการเกบ็ สะสมขอ้ มูลสงั เคราะห์ขอ้ มูลคดั เลือกจดั เกบ็ และ
นาํ เสนอขอ้ มูลอยา่ งเป็นระบบจดั ทาํ แฟ้มสะสมผลงานเพอื่ เป็นการเตรียมคนใหพ้ ร้อมและ
สามารถดาํ รงชีวติ อยใู่ นสังคมขอ้ มูลข่าวสาร

6. เพื่อใหน้ กั เรียนเกิดความภาคภูมิใจในความกา้ วหนา้ และความสาํ เร็จของตนเองทาํ ใหเ้ กิด
แรงจูงใจใฝ่ สัมฤทธ์ิในการเรียน

กระบวนการประเมนิ โดยใช้แฟ้มสะสมงาน

Portfolio Assessment จะเป็นกระบวนการประเมินความรู้ความสามารถ และทกั ษะของ
เจา้ ของแฟ้มสะสมงาน โดยพิจารณาจากผลงาน หรือหลกั ฐานในแฟมสะสมงานไดม้ ีผู้
เสนอแนะ กระบวนการประเมินโดยใชแ้ ฟ้มสะสมงานไวห้ ลายรูปแบบ ข้ึนอยกู่ บความ
พร้อมของผจู้ ดั ทาํ แฟ้ม สะสมงาน แต่รูปแบบค่อนขา้ งชดั เจน มีข้นั ตอน ดงั น้ี

1. กาํ หนดจุดประสงคแ์ ละประเภทของแฟ้มสะสมงาน (Project the Purposes and
Types of Portfolios)

2. รวบรวมผลงานและจดั ระบบแฟ้ม (Collect and Organize Artifacts Over Time)
3. คดั เลือกผลงาน (Select Key Artifacts Base on Criteria)
4. สร้างสรรคผ์ ลงาน/แฟ้มใหมเ้ี อกลกั ษณ์ของตนเอง (Interject Personality

Through Signature Pieces)
5. แสดงความคิดเห็นและความรู้สึกต่อผลงาน (Reflect Metacognitively on Each

Item)
6. ตรวจสอบความสามารถของตนเอง (Inspect to Self Access and Align to Goals)
7. ทาํ ใหส้ มบูรณและประเมิน (Perfect and Evaluate)
8. แลกเปลี่ยนประสบการณ์กบั ผอู้ ่ืน (Connect and Conference With Others)
9. ปรับเปล่ียนผลงาน (Inject and Eject Artifacts Continually to Update)
10. ประชาสมั พนั ธผ์ ลงานของนกั เรียน (Respect Accomplishments and Show With

Pride)

สิ่งทตี่ ้องคาํ นึงถงึ ในการประเมนิ ด้วยแฟ้มสะสมผลงาน

1) การกาํ หนดเกณฑ์ (Criteria selection) ในการกาํ หนดเกณฑ์ เกณฑท์ ี่ต้งั ไวจ้ ะตอ้ งมีการ
พฒั นาอยา่ งต่อเน่ืองเพ่อื ใหก้ ระบวนการประเมินพฒั นาการจดั การเรียนการสอนที่พฒั นา
กา้ วหนา้ ไปเร่ือง ๆ

2) การประเมินของครู (teacher assessment) มกั ประสบปัญหาในเรื่องการประเมินผลงาน
ของผเู้ รียนเน่ืองจากการกาํ หนดเกณฑท์ ี่ไม่ชดั เจน จึงไม่สามารถวนิ ิจฉยั ปัญหาและ
หาทางแกป้ ัญหาผเู้ รียนไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งดงั น้นั ครูจาํ เป็นตอ้ งไดร้ ับการอบรมใหเ้ ขา้ ใจถึง
การประเมินดว้ ยแฟ้มสะสมผลงาน

3) การประเมินตนเองของผเู้ รียน (student self assessment) ในระบบการเรียนแบบด้งั เดิม
ทาํ ใหผ้ เู้ รียนไม่คุน้ เคยการใหเ้ ป็นผตู้ ดั สินผลงานท่ีตนเองทาํ

ประโยชน์ของแฟ้มสะสมงาน

1. ส่งเสริมการเรียนรู้ตามศกั ยภาพเป็นรายบุคคลในการทาํ แฟ้มสะสมงานน้นั ควรให้
นกั เรียนจดั ทาํ แฟ้มดว้ ยตนเองดงั น้นั แต่ละคนจึงสามารถเลือกทาํ งานแต่ละชิ้นไดอ้ ยา่ งมี
อิสระตามความสนใจและความสามารถของนกั เรียนและนกั เรียนสามารถนาํ ผลงานมา
ปรับเปล่ียนใหด้ ียงิ่ ข้ึนไดก้ ารทาํ แฟ้มสะสมงานจึงเหมาะสาํ หรับส่งเสริมการเรียนรู้เป็น
รายบุคคล

2. สะทอ้ นความสามารถรวมออกมาเป็นผลงานและการสะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงวธิ ีการทาํ งาน
ของนกั เรียนไดท้ ุกข้นั ตอน

3. คน้ หาจุดเด่นของนกั เรียนแบบทดสอบส่วนมากใชใ้ นการสอบเพ่ือหาขอ้ ผดิ พลาดทาํ ให้
นกั เรียนไม่ชอบการสอบและพยายามหลบเล่ียงการสอบหรือประพฤติทุจริตในการสอบ
แฟ้มสะสมผลงานจะทาํ ใหค้ รูสามารถหาจุดเด่นของนกั เรียนมากกวา่ จุดดอ้ ย และ
นกั เรียนสามารถเลือกตดั สินใจ วา่ จะใชง้ านชิ้นที่ดีท่ีสุดของตนในการประเมิน ดงั น้นั
นกั เรียนจึงมีความสุขในการทาํ แฟ้มสะสมงานของตนมากกวา่ การสอบ

4. ใชใ้ นการแจง้ ผลสาํ เร็จของนกั เรียนใหบ้ ุคคลที่ เกี่ยวขอ้ งทราบ รวมท้งั สามารถนาไปใช้
ในการอภิปรายความกา้ วหนา้ ของนกั เรียนกบั ผปู้ กครองได้ การประเมินแฟ้มสะสมงาน
จะมีลกั ษณะ เปิ ดเผยตรงไปตรงมา ซ่ึงจะเห็นวา่ มีความแตกต่างจากการใชแ้ บบทดสอบท่ี
ครูตอ้ งปกปิ ดเป็นความลบั

5. ใชป้ ระเมินพฒั นาการของนกั เรียน เน่ืองจากการเกบ็ สะสมผลงานน้นั งานทุกชิ้นที่
พิจารณาคดั เลือกไวแ้ ลว้ ตอ้ งเขียนช่ือ วนั เดือน ปี ไวเ้ พ่ือประเมินความเจริญงอกงามหรือ
พฒั นาการของนกั เรียนได้

อา้ งอิง

https://www.slideshare.net/mobile/DrWilaipornRittikoop/5week5
https://core.ac.uk/download/pdf/70941098.pdf

After Action Review (AAR) การทบทวนหลงั กิจกรรม
เป็นการทบทวนหรือเป็นกระบวนการเพอ่ื วเิ คราะห์วา่ เกิดเหตุอะไร สาเหตุของการเกิด และจะสามารถดำเนินการ
ใหด้ ีกวา่ เดิมไดอ้ ยา่ งไร โดยเอาบทเรียนจากความสำเร็จและความลม้ เหลวของการทำงานที่ผา่ นมา เพอ่ื นำมาซ่ึงการพฒั นา
หรือการปรับปรุงการทำงาน
ท่ีมา
การทำ AAR เริ่มใชเ้ ป็นคร้ังแรกโดยกองทพั สหรัฐอเมริกา เพอ่ื สะทอ้ นถึงการทำงานโดยการจำแนกถึงจุดแขง็
จุดอ่อน และส่ิงที่ตอ้ งปรับปรุง
วธิ ีการใช้
การทำ AAR มกั จะใช้ 4 คำถาม คือ
1. สิ่งที่คาดวา่ จะไดจ้ ากการทำงาน คืออะไร
2. ส่ิงที่เกิดข้ึนจริงคืออะไร
3. สิ่งที่แตกต่างและทำไมจึงแตกต่าง
4. ส่ิงที่ตอ้ งแกไ้ ข คืออะไร และจะปรับปรุงไดอ้ ยา่ งไร
เหมาะกบั สถานการณ์แบบไหน
เคร่ืองมือน้ี เหมาะสมกบั ทุกทีมที่ตอ้ งการเรียนรู้จากการทำงาน แต่ละโครงงานควรใส่ใจและเขา้ ร่วมในกิจกรรม AAR
และทุกเสียงในทีมมีความหมายและความสำคญั
ขอ้ ควรระวงั
1. ควรทำ AAR ทนั ทีหรือเร็วที่สุดหลงั จากจบงานน้นั ๆ
2. ไม่มีการกล่าวโทษ ซ้ำเติม ตอกย้ำซ่ึงกนั และกนั
3. ควรมี "คุณอำนวย" คอยอำนวยความสะดวก กระตุน้ ต้งั คำถามใหท้ ุกคนไดแ้ สดงความคิดเห็น ขอ้ เสนอแนะของตน
4. จดบนั ทึก เพอื่ เตือนความจำวา่ วธิ ีการใดบา้ งท่ีคุณไดเ้ คยนำมาแกป้ ัญหาแลว้
CR : https://www.moe.go.th/

การสอนงาน (coaching)

กระบวนการที่กระตุน้ ใหเ้ กิดการปรับเปล่ียนทศั นคติและพฤติกรรมของบุคคลโดยการเสริมสร้าง
องคค์ วามรู้ กระตุน้ ความเขา้ ใจ ฝึกฝนทกั ษะและปรับเปล่ียนทศั นคติ เรียกส้นั ๆวา่ KUSA ซ่ึงมาจาก
K(Knowledge) เสริมสร้างความรู้ U(Understand) กระตุน้ ความเขา้ ใจ S(Skil) ฝึกฝนทกั ษะ A(Attitude) ปรับเปลี่ยนทศั นคติ

กระบวนการทำงานร่วมกนั ระหวา่ งโคช้ ซ่ึงเป็นเพ่ือนชวนคิด หรือปลดลอ๊ คบางอยา่ งในตวั ผรู้ ับการโคช้ (Coachee อ่านวา่ โคช้ ชี่) มี
ศกั ยภาพสูงข้ึน หรือมีความสุขอยา่ งท่ีเขาตอ้ งการ ผา่ นวธิ ีการและเครื่องมือต่างๆ เพื่อใหผ้ รู้ ับการโคช้ ไดเ้ รียนรู้ ตระหนกั ในตวั เองและ
เปล่ียนแปลง และลงมือทำดว้ ยความคิด ความถนดั ความสามารถของโคช้ ชี่เอง

คุณสมบตั ิของผสู้ อนงาน
1. มีความรู้และความสามารถในงานท่ีจะสอน
2. มีความรักในการถ่ายทอดความรู้
3. มีความมุ่งมน่ั จริงจงั ในการสอนใหเ้ กิดผลสำเร็จ
4. มีความต้งั ใจในการสอน
5. มีทกั ษะในการส่ือสารใหเ้ กิดความเขา้ ใจ
6. มีความอดทนต่อพฤติกรรมของผรู้ ับการสอน
7. มีจิตวญิ ญาณของการเป็นครู

กระบวนการสอนงาน
1. การหาความจำเป็นในการสอนงาน
2. การจดั ทำแผนการสอน
3. การเตรียมเน้ือหาวชิ า
4. การจดั ทำแบบซอยงาน คือ การนำงานที่จะสอนมาวเิ คราะห์แยกเป็นส่วนๆ
5. การจดั เตรียมเอกสารและอุปกรณ์
6. การจดั เตรียมสถานท่ี
7. การประเมินผลการสอน
เหมาะกบั สถานการณ์แบบไหน
1.รับพนกั งานใหม่และโอนยา้ ยพนกั งาน
2.มีการนำเคร่ืองมือหรืออุปกรณ์ใหม่มาใช้
3.มีการเปลี่ยนแปลงระบบงาน
4.เมื่อพบวา่ พนกั งานใชเ้ ครื่องมือหรืออุปกรณ์ไม่ตรงกบั งาน
5.เมื่อสงั เกตวา่ พนกั งานทำงานผดิ วธิ ี
6.เมื่อพบวา่ ทำงานเส่ียงอนั ตราย ไม่ปลอดภยั บกพร่อง ไม่ไดม้ าตรฐาน
7.เมื่อตอ้ งการพฒั นาพนกั งานใหม้ ีความสามารถใหส้ ูงข้ึน
ขอ้ ควรระวงั
1.ผสู้ อนอารมณ์เสีย หงุดหงิด ไม่เตม็ ใจสอน ท่าทาง น้ำเสียง กา้ วร้าว ดุดนั
2.ผสู้ อนไม่มีความเป็นมิตร ไม่จริงใจ
3.บรรยากาศเตม็ ไปดว้ ยความเคร่งเครียด น่าเบ่ือ เป็นทางการจนเกินไป
4.เป็นการสื่อสารทางเดียว ผเู้ รียนนง่ั ฟังอยา่ งเดียวไม่สามารถแสดงความเห็นได้
5.บงั คบั ผเู้ รียนเกินไป เช่น หา้ มนนั่ หา้ มน่ี
6.ผสู้ อนไม่มีสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้
7.การสอนมีแต่ตวั หนงั สือ ไม่มีรูปภภาพหรือตวั อยา่ งประกอบ
8.มีแต่หลกั ทฤษฎี ไม่มีการสอนประยกุ ตเ์ ขา้ กบั การทำงานหรือชีวติ จริง
9.ผสู้ อนบรรยายแบบโมโนโทน เปิ ดหนงั สือ เปิ ดสไลด์ แลว้ อ่านใหฟ้ ัง
cr https://www.ocsc.go.th/sites/default/files/document/ocsc-2017-eb12.pdf https://www.novabizz.com

ชุมชนนักปฏิบัติ

ชุมชนนกั ปฏิบตั ิ คือ กลุม่ ของคนซ่ึงมาแลกเปลี่ยนความรู้ ปัญหา หรือความสนใจในหวั ขอ้ ใดหวั ขอ้
หน่ึง และเรียนรู้วิธีการเพอื่ ใหส้ ามารถปฏิบตั ิหรือทาใหด้ ีข้นึ กวา่ เดิม เป็นการแลกเปล่ียน และสร้างทกั ษะ
สร้างความรู้ และความเชี่ยวชาญใหเ้ กิดข้ึนในกลุม่ บ่อยคร้ังที่เนน้ ในการแลกเปล่ียนวิธีปฏิบตั ิที่ดีท่ีสุด

ที่มา : ชุมชนนกั ปฏิบตั ิ เกิดข้ึนโดย ดร. Etienne Wenger และทีมงานเป็นหน่ึงในผบู้ กุ เบิกกลุ่มแรกที่สร้าง
แนวคดิ น้ีข้นึ มาผา่ นการศึกษา การฝึกหดั งาน พวกเขาพบวา่ มีความซบั ซอ้ นในสังคมของการฝึกงานท่ีทาให้
เกิดประสิทธิภาพ และไดต้ ้งั ช่ือวา่ ชุมชนนกั ปฏิบตั ิ ชุมชนนกั ปฏิบตั ิจึงกลายเป็นศูนยก์ ลางของการจดั การ
ความรู้หลงั จากที่หนงั สือเล่มแรกเกี่ยวกบั ชุมชนนกั ปฏิบตั ิ

คุณลกั ษณะของชุมชนนักปฏิบตั ิ

• ประสบปัญหาลกั ษณะเดียวกนั
• มีความสนใจในเร่ืองเดียวกนั
• ตอ้ งการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากกนั และกนั
• มีเป้าหมายร่วมกนั มีความมงุ่ มนั่ ร่วมกนั ที่จะพฒั นาวิธีการทางานไดด้ ีข้ึน
• วธิ ีปฏิบตั ิคลา้ ยกนั ใชเ้ ครื่องมือ และภาษาเดียวกนั
• มีความเช่ือ และยดึ ถือคุณค่าเดียวกนั
• มีบทบาทในการสร้าง และใชค้ วามรู้
• มีการแลกเปล่ียนเรียนรู้จากกนั และกนั อาจจะพบกนั ดว้ ยตวั จริง หรือผา่ นเทคโนโลยี
• มีช่องทางเพือ่ การไหลเวียนของความรู้ ทาให้ความรู้เขา้ ไปถึงผทู้ ี่ตอ้ งการใชไ้ ดง้ ่าย
• มีความร่วมมือช่วยเหลือ เพ่ือพฒั นาและเรียนรู้จากสมาชิกดว้ ยกนั เอง
• มีปฏิสมั พนั ธ์ตอ่ เน่ือง มีวิธีการเพ่ือเพ่ิมความเขม้ แขง็ ใหแ้ ก่สายในทางสังคม

ชุมชนนกั ปฏบิ ัติมอี งค์ประกอบ ดงั นี้

หวั ขอ้ ความรู้ (Domain) เป็นหวั ขอ้ ท่ีกาหนดข้นึ จากคนในกลุ่มที่สนใจในเรื่องเดียวกนั หวั ขอ้ ความรู้
จึงไม่ไดจ้ าเป็นตอ้ งใชค้ วามเชี่ยวชาญจากคนนอกกลมุ่ หรือชุมชน เป็นสิ่งที่มีคุณคา่ มากกวา่ ในการท่ีจะ
รวบรวมศกั ยภาพหรือการเรียนรู้ซ่ึงกนั และกนั ในกล่มุ

ชุมชน (Community) ในการรวมกนั เป็นกลุ่มน้นั ภายใตค้ วามสนใจหวั ขอ้ เดียวกนั สมาชิกในกลุม่
จะตอ้ งมีความสมั พนั ธ์กนั ในการร่วมกิจกรรมและอภิปราย ช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั และแบง่ ปันสารสนเทศ
ซ่ึงเป็นเร่ืองจาเป็นสาหรับชุมชนนกั ปฏิบตั ิ

แนวปฏิบตั ิ (Practice) สมาชิกในกลุ่มชุมชนนกั ปฏิบตั ิ ลว้ นแตเ่ ป็นนกั ปฏิบตั ิ จึงตอ้ งพฒั นาในเร่ือง
การบนั ทึกประเด็นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกนั ไว้ ท้งั จากประสบการณ์ การเลา่ เรื่อง เคร่ืองมือต่างๆ วิธีการ
แกป้ ัญหา สังเคราะห์ จดั เก็บและถ่ายทอดโดยชุมชน

เหมาะกบั สถานการณ์แบบใด

การประชุม สัมมนา หรือแมก้ ระทง่ั คุยกนั เป็นกล่มุ เลก็ ๆ นอกจากน้ียงั มีการพบปะกนั แบบเสมือน
ผา่ นทางเคร่ืองมือหรือเทคโนโลยี ไดแ้ ก่ แบบออนไลน์ผา่ นทางอินเทอร์เน็ต เช่น การแลกเปล่ียนความรู้
และประสบการณ์จากการทางานผา่ น Webboard

วธิ ีการใช้

วธิ ีการที่สาคญั ของชุมชนนกั ปฏิบตั ิ ไดแ้ ก่ การสร้างความไวเ้ น้ือเช่ือใจในกลมุ่ ขนาดเลก็ 2-3 คน
อาจเป็นจุดเริ่มตน้ สาหรับการสร้างชุมชนนกั ปฏิบตั ิได้ มีการดาเนินการอยา่ งสอดคลอ้ งกบั เป้าหมาย
วฒั นธรรม และคา่ นิยมหลกั ขององคก์ ร ไม่พยายามไปหกั ลา้ ง หรือคดั คา้ นวฒั นธรรมท่ีมีอยเู่ ดิม การสร้าง
เวทีเสวนาโดยใหม้ ีสมาชิกอาวุโสหรือผมู้ ีประสบการณ์ ร่วมเสวนา และมีผปู้ ระสานงานช่วยกระตนุ้ ให้
อธิบายหลกั คิดของขอ้ เสนอเพื่อใหส้ มาชิกอภิปราย อาจเชิญผนู้ าทางความคิด ซ่ึงเป็นท่ียอมรับเขา้ มาร่วมแต่
เร่ิมแรก เพื่อสร้างพลงั ใหแ้ ก่ชุมชน จดั ใหม้ ีเวทีพบปะกนั ส่งเสริมการติดต่อส่ือสารระหวา่ งสมาชิกของ
ชุมชนอยา่ งสม่าเสมอ สนบั สนุนกลุ่มแกนหลกั ดว้ ยการให้เป็นท่ีรับรู้ของชุมชน และเป็นผนู้ าในการทา
กิจกรรม ส่งเสริมใหม้ ีการเรียนรู้จากภายในชุมชนเอง และจากชุมชนอ่ืน ๆ

ข้อควรระวงั
1.ความพยายามท่ีจะเปลี่ยนความรู้ที่ฝังลึก มาเขา้ ไวใ้ นลกั ษณะของเอกสาร อาจจะก่อใหเ้ กิดผลเสีย

มากกวา่ ผลดี เกิดเป็นขยะของขอ้ มลู ขา่ วสาร ท่ีไมค่ นใช้ สุดทา้ ยคนกย็ งั ตอ้ งการความช่วยเหลือ ในเร่ือง
ประสบการณ์ จากเพื่อนร่วมงาน

2.ใหม้ ีการเรียนรู้ใกลช้ ิดกบั การปฏิบตั ิใหม้ ากที่สุด อยา่ ด่วนหลวมตวั ท่ีจะสกดั ความรู้ความรู้จาก CoP
หรือเปลี่ยนความรู้จาก CoP ไปเป็นหลกั สูตรเพ่อื การฝึกอบรม

เอกสารอ้างองิ

http://kmcops.blogspot.com/2015/11/cop-community-of-practice.html?m=1

https://www.nstda.or.th/th/nstda-knowledge/knowledge-management/3283-community-of-
practice#:~:text=ชุมชนนกั ปฏิบตั ิ%20(Community%20of%20Practice%20-%20CoP)%20คอื %20กลมุ่ ,วธิ ี
ปฏิบตั ิที่ดีที่สุด

http://ks.rmutsv.ac.th/th/content/17-1521192179-62-160318

บทเรียนหน่ึงประเดน็
(One Point Lesson – OPL)

OPL คืออะไร ลกั ษณะของ OPL

- บทเรยี นหน่งึ ประเด็นที่อธบิ ายวิธีการทางาน - เขียน/อธบิ ายบทเรียน หรือส่ิงทไ่ี ดเ้ รยี นรูใ้ นการ
- มุ่งเน้น เจาะประเด็นในการเรยี นรู้ประเด็นเดยี ว ทางาน
- เขยี นเนอื้ หาทีเ่ คยปฏิบัติจริง ผา่ นการพสิ ูจน์มาแล้ว ดว้ ยศพั ทห์ รือวธิ กี ารง่ายๆ 1 ประเด็น/1A4
- ใชภ้ าพวาดหรือภาพถ่ายของจรงิ - ใช้เวลาอา่ นหรืออธบิ าย 5-10 นาที
- เป็นบทเรยี น/ความรู้ท่ตี กผลึกแลว้ และทันสมยั - ใช้ภาพ สี ลูกศร มากกว่าตัวอักษร (80:20)
- เน้น Tacit Knowledge เพือ่ แลกเปล่ียน/ถ่ายทอด - แสดงขอ้ มลู ทา,ไม่ทา,ถกู ,ไม่ถกู
ให้ผอู้ ืน่
คณุ สมบตั ิของผ้ใู ห้ควำมรู้
ทำไมต้อง OPL
- ต้องมีใจแบ่งปัน
- แชรค์ วามรู้ไดง้ ่ายและรวดเรว็ - ไมห่ วงความรู้ คิดว่า ความรเู้ หมือนมีด ยิง่ ลับย่งิ คม
- ไม่ตอ้ งพง่ึ เทคโนโลยี จัดเวที หรือประชุม - เห็นประโยชนข์ องความรู้/ประสบการณ/์
- เก็บไว้เป็นคลังความรู้ สืบคน้ ไดง้ ่าย ความสาเรจ็ /ความผดิ พลาด
- เพิ่มประสทิ ธิภาพในการทางานของทมี - ยินดีท่ีไดแ้ ชร์ความรู้ โดยไมห่ วงั ผลตอบแทน
- ยกระดบั การส่ือสารในองค์กร

ตวั อย่ำง OPL

- เทคนคิ การใช้ PowerPoint ในการนาเสนองาน
- กูร้ หัส Wifi ง่าย ๆ แค่ 3 คลิก !!!
- วิธีลบแอพฯ แปลกๆ ในบัญชี Facebook ท่อี าจลว้ งขอ้ มูลเรา
- วิธตี ้งั คา่ ปดิ อพั เดท Windows 10 (Windows Update)

Cr. https://rtnakm.com/2018/03/06/เคร่อื งมอื การจดั การความรู/้
https://clib.psu.ac.th/km/wp-content/uploads/2019/11/OPL-Kaizen.pdf

การเลา่ เรื่อง stoyt telling

การเล่าเร่ือง เป็นวิธีการหรือเทคนิคที่ใช้กนั มากในการแลกเปลย่ี นสกดั ความรู้ที่ฝังลกึ ในตวั คนเป็นความรู้ท่ีได้จากการ
ปฏิบตั ิ การปลอ่ ยความรู้จากการปฏิบตั ิ การเลา่ เรื่องควรกําหนดเปา้ หมายการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้ชดั
การเล่าเร่ืองนัน้ จะประกอบด้วย 3 ส่วนด้วยกัน
1.ผ้เู ลา่ (วธิ ีการ) นนั้ คือ ส่อื แบบไหนจะเหมาะกบั กลมุ่ Target
2.เนือ้ เรื่อง การสร้างเนือ้ เรื่องที่ตรงกบั กลมุ่ เปา้ หมาย
3.ผ้ฟู ัง (กลมุ่ เปา้ หมาย) ศกึ ษากลมุ่ ผ้ฟู ังเป็นใคร หรือกลมุ่ ผ้รู ับสารเป็นใคร
การดาํ เนินงาน
1.ตงั้ หวั ข้อหรือความรู้ที่ต้องการแลกเปล่ียนประสบการณ์ หรือแบง่ ปันให้กบั ผ้ฟู ัง
2.หาบคุ คลที่เหมาะสมซง่ึ ต้องเป็นผ้ทู ี่มีประสบการณ์และมีความสามารถในการพดู ดีคลอ่ งแคลว่
3.กลมุ่ เปา้ หมายในการเลา่ เรื่องเพ่ือจะได้เชิญชวนผ้ทู ่ีมาร่วมฟัง
4.ผ้เู ลา่ เรื่องต้องจบั กลมุ่ ผ้ฟู ังกลมุ่ เลก็ ๆ
5.การเลา่ เร่ือง อาจมีการนําการเลา่ เรื่องออกเผยแพร่ทางวดิ ีโอหรือเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต
เหมาะกับสถานการณ์แบบไหน
1.เวทีกิจกรรมต่างๆ
2.การแลกเปล่ียนเรียนรู้ประสบการณ์นํามาเลา่ สกู่ นั ฟังขององค์กร
ข้อควรระวังในการเล่าเร่ือง
1. อยา่ พะวงวา่ สง่ิ ที่เลา่ นนั้ เป็นเรื่องผิดหรือถกู
2.ไมเ่ ลา่ เรื่องในสถานการณ์มีความเสย่ี งเชิงลบสงู
3.หากจะใช้เร่ืองเลา่ คนอื่นมาตดั สนิ ใจปฏิบตั ิต้องพิจารณาความสมดลุ ระหวา่ งองค์ความรู้ที่ได้กบั ข้อมลู บริบท

Cr: https://www.nstda.or.th/th/nstda-knowledge/144-km-knowledge/3260-
storytelling.html

การใช้ที่ปรึกษาหรือพี่เลยี ้ ง

Mentoring System

การใช้ท่ปี รึกษาหรือพ่ีเล่ียง พ่ีเลยี ้ งท่เี ป็นผ้ทู ่ีมีความรู้ ความสามารถเป็นท่ียอมรับ ที่สามารถให้คําปรึกษาและแนะนําชว่ ยเหลอื ครู ให้พฒั นาศกั ยภาพสงู ขนึ ้ เพ่ือ
สามารถจดั กิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างมีคณุ ภาพ เป็นระบบที่พี่จะต้องดแู ลเอาใจใสน่ ้อง คอยให้ความชว่ ยเหลอื และให้คําปรึกษาแนะนํา
คุณลักษณะของ Mentee
1. เป็นผ้ทู ่ีมีประวตั ิในการทํางานที่ประสบความสําเร็จ
2. เป็นผ้ทู ี่มคี วามเฉลยี วฉลาด และมีความคดิ สร้างสรรค์ในการทํางาน
3. เป็นผ้มู คี วามใฝ่ฝันและความปรารถนาท่ีจะทํางานให้บรรลเุ ปา้ หมาย
4. เป็นผ้ทู ี่ชอบความท้าทายและเตม็ ใจ พร้อมท่ีจะทํางานนอกเหนือจากงานปกติ
5. เป็นผ้ทู เ่ี ต็มใจรับฟังคําชีแ้ นะและข้อมลู ปอ้ นกลบั จากผ้เู กี่ยวข้องเพ่ือการพฒั นาปรับปรุงตนเองอยเู่ สมอ
พ่ีเลีย้ งต้องมีทกั ษะอะไรบ้าง
1. การสอนงาน (Training) พี่เลีย้ งจะเป็นผ้มู คี วามรู้และเช่ยี วชาญด้านใดด้านหน่งึ มาให้ความรู้
2. การให้คําปรึกษา (Consulting) พ่ีเลยี ้ งในองค์กรเป็นผ้มู ปี ระสบการณ์ มีความชํานาญ
3. การโค้ช (Coaching) ทกั ษะการโค้ช จงึ เป็นทกั ษะอีกอยา่ งหนง่ึ ที่พี่เลีย้ งต้องใช้ในการเป็นพี่เลยี ้ งในองค์กร
4. การให้คําปรึกษาด้านชีวติ (Counseling) พ่ีเลยี ้ งท่ีมปี ระสบการณ์สามารถให้คําปรึกษาเพื่อแก้ปัญหาชีวติ
เหมาะสมกับเหตุการณ์แบบไหน
1.ดแู ลพนกั งานใหม/่ พนกั งานท่ีได้รับการสอนงาน ดแู ลเสมอื นเป็นทรัพยากรอนั มคี ่า
2.สอนกลยทุ ธ์ คา่ นิยม วิสยั ทศั น์ และวฒั นธรรมองค์กรเป็นอนั ดบั แรก
3.แลกเปลยี่ นประสบการณ์ ทกั ษะ ความรู้ กลยทุ ธ์ และบทเรียนท่ีเหมาะสม
4.สง่ เสริมให้มีวจิ ารณญาณ มมุ มอง และการตอบสนองท่ีสร้างสรรค์ต่อพนกั งานใหม/่ พนกั งานที่ได้รับการสอนงาน
5.เผชญิ หน้ากบั พฤตกิ รรมและทศั นคติในทางลบ
ข้อควรระวัง
1.พ่ีเลยี ้ งควรมีความกระตือรือร้นพร้อมให้คําปรึกษาเวลา
2.กลยทุ ธ์ในการทาํ ให้ระบบพี่เลยี ้ งเป็นไปด้วยดีจะต้องมกี ารตดิ ต่อสอื่ สารทวั่ ทงั ้ องค์กร การตดิ ตดิ สอ่ื สาร การขาดการแลกเปลีย่ นความรู้ เป็นสาเหตหุ ลกั ท่ีทําให้ระบบพี่
เลยี ้ งล้มเหลว
3.คดั เลอื กพ่ีเลีย้ งท่ีไมเ่ หมาะสม หลายบริษัทเลือกพ่ีเลยี ้ งผดิ โดยคดิ ว่าพนกั งานมปี ระสบการณ์มากจะเป็นพ่ีเลยี ้ งที่ดี

Cr: https://www.nstda.or.th/th/nstda-knowledge/144-km-knowledge/3266-km-mentoring.html



แบบบนั ทึกความรู้(Webblog)

บล็อกโดยปกติจะประกอบด้วย ขอ้ ความ ภาพ ลิงก์ ซ่งึ บางครั้งจะรวมส่ือตา่ งๆ ไม่ว่า เพลง หรอื วิดีโอในหลาย
รูปแบบได้ จุดท่แี ตกต่างของบลอ็ กกับเว็บไซต์โดยปกตคิ อื บล็อกจะเปิดให้ผู้เข้ามาอ่านข้อมูล สามารถแสดงความ
คดิ เห็นตอ่ ท้ายข้อความท่เี จ้าของบลอ็ กเปน็ คนเขียน ซึง่ ทำให้ผู้เขียนสามารถได้ผลตอบกลบั โดยทันที การเขียน
บล็อกกบั การจัดการความรูก้ ็คอื เขียนยังไงกไ็ ดใ้ นแบบท่ีตนเองถนัด เขยี นในเรื่องท่ีรู้ เขยี นให้เหน็ ถึงวธิ ีปฏิบัติ วธิ ี
คิดท่ีนำไปสู่ควาสำเรจ็ ในเรอ่ื งนั้น ๆ และสรปุ เป็นองคค์ วามรู้ นอกจากน้ี เครื่องมอื ท่ใี ชใ้ นการจดั การความรู้ยังมี
อีกหลายประเภท เชน่ การศึกษาดูงาน (Study tour) การเรียนรู้ร่วมกนั หลงั งานสำเร็จ (Retrospect) การ
สอนงาน (Coaching) การเป็นพ่ีเลย้ี ง (Mentoring) การสัมภาษณ์ การเรยี นรจู้ ากบทเรยี นในอดตี (Lesson
Learned) และสนุ ทรยี สนทนา (Dialogue) เป็นต้น ซึ่งเครื่องมอื แตล่ ะประเภทมลี กั ษณะ ขอ้ ดี ข้อควรคำนึง
และผลที่ไดจ้ ากการจดั การความรูแ้ ตกตา่ งกัน ผู้ที่นำไปใชค้ วรเลือกให้เหมาะกับกิจกรรมท่ีปฏิบตั แิ ละจุดม่งุ หมาย
ของกิจกรรมทต่ี ้องการ จึงจะเปน็ การใช้เครื่องมอื จัดการความรู้เพื่อให้เกดิ ประสิทธิผลมากที่สดุ

สถานการณ์ในการใช้

-เมอื่ จบจากการเรียนในห้องเรียนแลว้ มกี ารนำข้อมูลที่ได้มาสรปุ ในแบบทตี่ ัวเองเขา้ ใจ

คำแนะนำ

-เมอ่ื ได้รบั ความรู้ ประชมุ หรือพึ่งไดร้ บั ความร้อู อกมาใหม่ ใหเ้ รียบนำความรนู้ ั้นมาทำการสรุปหรือสรุปบทเรียน
ต่างๆให้มกี ารจดบันทึกไว้หรอื รบี นำข้อมลู ท่ไี ดน้ ้นั มาสรปุ ความรกู้ อ่ นที่ขอ้ มลู จะมกี ารบิดเบือนหรอื ศนู ย์หายไป

ประโยชนข์ องการเขียนบันทึกความรู้

-ชว่ ยเหลอื ความจำหรือทบทวนความรู้

-ให้ความร้แู กผ่ ู้อา่ นหรือผู้ท่พี บเห็น

-นำมาเปน็ ข้อมลู อ้างอิงหรือข้อมลู หลักฐานได้

ทีม่ า

https://sites.google.com/site/krubasika/kar-kheiyn-banthuk-khwam-ru

https://rtnakm.com/2018/03/06/เครอ่ื งมือการจดั การความร้/ู


Click to View FlipBook Version