The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Rinda Meow, 2023-02-25 04:53:11

สิ่งมีชีวิต 5 อาณาจักร

อาณาจักร5อาณาจักร

อาณาจัก จั ร สิ่ง สิ่ มีชี มี วิ ชี ต วิ 5อาณาจัก จั ร BY CLAUDIA WILSON


จัดทำ โดย นางสาวรินทร์ญดา โมงขุนทด เลขที่31 ชั้นม.5/11


อาณาจักรมอเนอรา หน้า 1 อาณาจักรโปรติสตา หน้า 6 อาณาจักรฟังไจ หน้า 11 อาณาจักรพืช หน้า 14 อาณาจักรสัตว์ หน้า 20 สารบัญ


อาณาจักรมอเนอรา ลักษณะ ประโยชน์ ลักษณะสำ คัญของสิ่งมีชีวิตใน อาณาจักรมอเนอรา เป็นสิ่งมีชีวิต เซลล์เดียวที่มีโครงสร้างเซลล์ แบบโพร คาริโอตไม่มีออร์แก เนลล์ชนิดมีเยื่อหุ้ม ใช้ประโยชน์ในด้านการเพิ่มผลผลิต ทางการเกษตร อุตสาหกรรม การ แพทย์ และการศึกษาพันธุศาสตร์ ซึ่งช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของ ประชากรให้ดียิ่งขึ้น Kingdom monera 1


อาณาจักรมอเนอรา อาณาจักรมอเนอราแบ่งออกเป็น2ไฟลัม (Kingdom monera ) 1. ไฟลัมชิโซไมโคไฟตา (PHYLUM SCHIZOMYCOPHYTA) แบคทีเรียเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว โดยมี รูปร่างเป็น 3 กลุ่ม คือรูปร่างกลม (COCCUS) รูปร่างเป็นท่อน (BACILLUS) และพวกที่มีรูปร่างเป็น เกลียว (SPIRILLUM) 2.ไฟลัมไซยาโนไฟตา (PHYLUM CYANOPHYTA) ลักษณะของสิ่งมีชีวิตในไฟลัมไซยาโนไฟตา คือ ไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส เป็นเซลล์พวกโปรคา รีโอต ไม่มี flagella มี chlorophyll phycocyanin phycorythin กระจายในเซลล์ แต่ไม่ได้รวมเป็น chloroplast ผนังเซลล์เป็น cellulose และ pectin มีขนาดเล็ก สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำ เงิน (BLUE GREEN ALGAE) 2


รองรอยของสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นบนโลกในระยะแรกสามารถพบได้จากหินที่เกิด จากโพรแคริโอต (prokaryote) ยึดจับกับตะกอนเอาไว้ด้วยกัน เรียกว่า สโตรมาโท ไลต์ (stromnatolite) ซึ่งมีอายุประมาณ 3,500 ล้านปี พบทีบริเวณชายฝั่งทะเล ประเทศออสเตรเลีย โพรแคริโอตบางกลุ่มมีวิวัฒนาการจนกระทั่งสามารถสังเคราะห์ด้วยแสงแล้วสร้าง แก๊สออกซิเจนได้ ซึ่งคาดว่าเป็นกลุ่มของแบคทีเรียที่สังเคราะห์ด้วยแสงได้หรือไซยา โนแบคทีเรีย ทำ ให้สัดส่วนของแก๊สออกซิเจนในบรรยากาศเปลี่ยนแปลงจาก 1% เป็น 10% ซึ่งส่งผลกระทบต่อโพรแคริโอตที่ดำ รงชีวิตอยู่ในช่วงนี้อย่างมาก โพรแคริ โอตบางกลุ่มที่ปรับตัวไม่ได้จะสูญพันธุ์ไป ส่วนโพรแคริโอตที่ปรับตัวได้ก็จะมีชีวิตรอด สำ หรับโพรแคริโอตที่อยู่ในแหล่งที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงของปริมาณแก๊ส ออกซิเจนไม่จำ เป็นต้องมีการปรับตัวและยังคงพบได้ในปัจจุบัน โพรแคริโอตส่วนใหญ่เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่มีขนาดเล็ก มีเส้นผ่าน ศูนย์กลางประมาณ 0.5-5 um เซลล์ไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส และไม่มีออร์แกเนลล์ที่มี เยื่อหุ้ม สารพันธุกรรมอยู่ในไซโทพลาซึมเรียกว่า นิวคลีออยด์ เซลล์ของโพรแคริโอ ตมีผนังเซลล์ซึ่งทำ ให้เซลล์คงรูปร่าง ช่วยป้องกันเซลล์ องค์ประกอบของผนังเซลล์ที่ แตกต่างกันสามารถใช้เป็นเกณฑ์จําแนกโพรแคริโอตแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ แบคทีเรีย และอาร์เคีย อาณาจักรมอเนอรา (Kingdom monera ) 3 กลุ่มโพรแคริโอต


อาณาจักรมอเนอรา (Kingdom monera ) 4 แบคทีเรีย แบคทีเรีย (bacteria) มีขนาดเล็กมองไม่ ห็นด้วยตาเปล่า มีขนาดประมาณ 0.5-5 um ผนังเซลล์มีสารเพปทิโดไกลแคนเป็นองค์ประกอบ แบคทีเรียหลาย สปีชีส์สามารถเคลื่อนที่ได้โดยอาศัยโครงสร้าง เช่น แฟลเจลลัม ในกระบวนการ สังเคราะห์โปรตีนใช้ฟอลเมไทโอนีนเป็นกรดแอมิโนตัวแรกเสมอ มีเกย์อาร์เอ็นเอ พอลิเมอเรส 1 ชนิด อาร์เคีย สิ่งมีชีวิตกลุ่มอาร์เคีย (Archaea) เป็นโพรแคริโอตที่ผนังเซลล์ประกอบด้วยสารพอลิแซ็กคา ไรด์และโปรตีนที่หลากหลายแต่ไม่มีสารเพปทีโดไกลแคน อาร์เคียเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะร่วมบางอย่างที่คล้ายกับแบคทีเรีย เช่น มีสาร พันธุกรรมที่ ไม่มีเยื่อหุ้ม มีโครโมโซมรูปวงกลมและมีลักษณะร่วมบางอย่างของอาร์เคียกับสิ่ง มีชีวิตในกลุ่มยูแคริโอต (eukaryote) เช่น มีเอนไซม์อาร์เอ็นเอ พอลิเมอเรสหลายชนิด ในกระบวนการสังเคราะห์โปรตีนใช้เมไทโอนีนเป็นกรดแอมิโนตัวแรกเสมอ อาร์เดีย สามารถดารงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตบางชนิดเท่านั้นที่สามารถอยู่ได้ เช่น ใน แหล่งที่มีอุณหภูมิสูงมาก ในทะเลที่มีน้ำ เค็มจัด ในบริเวณที่มีความเป็นกรดสูง และใน บริเวณทะเลลึก นอกจากนี้ยังพบได้ในสภาพแวดล้อมทั่วไป


ลักษณะที่เด่นชัดของเซลล์ยูแคริโอต คือ มีสารพันธุกรรมอยู่ในนิวเคลียส นอกจากนี้ในเซลล์ยูแคริโอตยังพบออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้ม เช่น ไมโทคอนเดรีย คลอโรพลาสต์ เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม ปัจจุบันมีหลักฐานสนับสนุนว่าเซลล์ยูแคริโอตเกิดขึ้นจากเซลล์โพรแคริ โอตเข้าไปอาศัยอยู่ในเซลล์โพรแคริโอตอีกเซลล์หนึ่ง โดยเริ่มจากเยื่อหุ้มเซลล์ โพรแคริโอตเจริญเข้าไปในเซลล์ล้อมรอบสารพันธุกรรมแล้วพัฒนาไปเป็นเยื่อ หุ้มนิวเคลียสและบางส่วนเปลี่ยนไปเป็นเอนโดพลาสมิกเรติคูลัม ส่วนการเกิดไมโทคอนเดรียมาจากเซลล์ที่ปรากฏเยื่อหุ้มนิวเคลียสกินโพร แคริโอตที่สามารถใช้ออกซิเจนในการดำ รงชีวิตเข้าไปแต่ไม่ถูกย่อยและเกิดภาวะ อยู่ร่วมภายใน (endosymbiosis) แล้วจึงเปลี่ยนสภาพขึ้นมาเป็นไมโทคอนเด รียในที่สุดได้เป็นเซลล์ยูแคริโอต ส่วนคลอโรพลาสต์เกิดขึ้นมาภายหลังจากการ เกิดภาวะอยู่ร่วมภายในระหว่างเซลล์ยูแคริโอตกับเซลล์โพรแคริโอตที่สังเคราะห์ ด้วยแสงได้ อาณาจักรมอเนอรา (Kingdom monera ) 5 กลุ่มยูแคริโอต


ลักษณะ ร่างกายประกอบด้วยโครงสร้างง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน ส่วนมากประกอบด้วยเซลล์ เดียว (unicellular) บางชนิดมีหลายเซลล์รวมกันเป็นกลุ่ม เรียกว่า โคโลนี (colony) หรือเป็นสายยาว (filament) แต่ยังไม่ทำ หน้าที่ ร่วมกันเป็น เนื้อเยื่อ (tissue)หรืออวัยวะ (organ) แต่ละเซลล์สามารถทำ หน้าที่ของความ เป็นสิ่งมีชีวิตได้ครบถ้วนอย่าง อิสระ ไม่มีระยะตัวอ่อน (Embryo) ซึ่งต่างจากพืชและสัตว์ที่มีระยะตัวอ่อนก่อนที่จะ เจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัย การดำ รงชีพ มีทั้งชนิดที่เป็นผู้ผลิต (Autotroph) เพราะมีคลอโรฟิลล์ เป็นผู้ บริโภค (Consumer) และเป็นผู้ย่อยสลายอินทรียสาร (Decomposer) 1. 2. 3. อาณาจักรโปรติสตา (PROTISTA KINGDOM) ลักษณะ 4. โครงสร้างของเซลล์เป็นแบบยูคาริโอติก (Eucaryotic) ซึ่งมีเยื่อหุ้มนิวเคลียส ได้แก่ โพรโทซัว เห็ด รา ยีสต์ ราเมือก สาหร่ายต่าง ๆ 5.การเคลื่อนที่ บางชนิดเคลื่อนที่ได้โดยใช้ ซีเลีย (cilia) แฟลกเจลลัม (flagellum) หรือซูโดโปเดียม (Pseudopodium) บางชนิดเคลื่อนที่ไม่ได้ 6.การสืบพันธุ์ ทั้งแบบไม่อาศัยเพศ (Asexual reproduction) และแบบอาศัยเพศ (Sexual reproduction) แบบอาศัยเพศมีทั้งชนิดคอนจูเกชัน (Conjugation) ซึ่งเกิดจากเซลล์สืบพันธุ์ที่มีรูป ร่างและขนาดเหมือนกัน มารวมกัน ดังเช่นที่พบในพารามีเซียม ราดำ เป็นต้น และชนิดปฏิสนธิ (fertilization) ซึ่งเกิดจากเซลล์สืบพันธุ์ ที่มีรูปร่างและขนาดต่างกันมารวมกัน ดังเช่นที่พบในสาหร่าย เป็นส่วนใหญ่ เป็นต้น เพิ่มหัวเรื่อ รื่ งย่อย 6


พารามีเซียมเป็นโพรโทซัวที่พบได้ในแหล่งน้ำ จืด ส่วนใหญ่ดำ รงชีวิต เป็นอิสระ มีซิเลียรอบเซลล์ช่วยในการเคลื่อนที่ ลักษณะเด่นอีก ประการหนึ่งคือ มีนิวเคลียส 2 ขนาด นิวเคลียสขนาดใหญ่เรียกแมโคร นิวเคลียสมี 1 นิวเคลียส และนิวเคลียสขนาดเล็กเรียกไมโครนิวเคลียส มีหลายนิวเคลีย มีคอนแทร็กไทล์แวคิวโอล และฟูดแวคิวโอล (PROTISTA KINGDOM) อาณาจักรโปรติสตา อาณาจักรโปรติสตาจำ แนกได้เป็น3กลุ่มใหญ่ คือ 1. กลุ่มโพรโทรซัว โพรโทซัว (protozoa) เป็นโพรทิสต์ที่มีความหลากหลายสูงมาก ลักษณะเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ที่สร้างอาหารเองไม่ได้ต้องกินอาหาร หรือรับสารอินทรีย์จากภายนอกแล้วเกิดการย่อยอาหารภายใ เช่น พารา มีเซียม อะมีบา อะมีบามีรูปร่างไม่แน่นอน พบได้ทั้งในดิน แหล่งน้ำ จืด และแหล่งน้ำ เค็ม ส่วนใหญ่ดำ รงชีวิต เป็นอิสระ เคลื่อนที่โดยใช้เท้าเทียม มี 1 นิวเคลียส 7


ราน้ำ มักพบเจริญบนซากของสัตว์น้ำ หรือแมลงที่พบในแหล่งน้ำ จืด ลักษณะเป็นเส้นใย เส้นใยรา ราน้ำ จะย่อยสลายซากสัตว์แล้วดูดซึม เข้าไป (PROTISTA KINGDOM) อาณาจักรโปรติสตา 2. กลุ่มโพรทิสต์ที่คล้ายรา โพรทิสต์ที่คล้ายรา (fungus-like protist) เป็นโพรทิสต์ที่สร้างอาหาร เองไม่ได้มีลักษณะภายนอก และการดำ รงชีวิตคล้ายรา แบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ ราน้ำ (water mold) และราเมือก (sline mold) สระ มีซิเลียรอบเซส ด้วยสุขนาดใหญ่เรียก ราเมือกมักพบในบริเวณที่ ชื้นแฉะ บนเน่า หรือไม้ผุ บางระยะของการเจริญเติบโตจะ เป็นเซลล์ เดียว แต่ในบางระยะจะมีลักษณะคล้ายเมือกที่มีเส้นใยแตกแขนงสาน กันคล้ายร่างแห 8


สาหร่าย (algae) เป็นโพรทิสต์ที่สร้างอาหารเองได้ด้วยกระบวนการ สังเคราะห์ด้วยแสงมีความ หลากหลายสูงเช่นเดียวกับโพรโทซัว พบได้ ทั้งที่เป็นเซลล์เดียว เป็นโคโลนี เป็นสายที่อาจแยกแขนงหรือไม่แยก แขนง หรือมีพัฒนาการเกิดเป็นโครงสร้างส่วนต่างๆ ที่เห็นได้ชัดเจน ส่วนใหญ่พบตามแหล่งน้ำ ทั้งน้ำ จืดและน้ำ เค็ม แต่พบชนิดที่อยู่บนบก ได้เช่นกัน สาหร่ายเซลล์เดียว หรือพวกที่เป็นโคโลนีมักเคลื่อนที่ได้โด ยอาศัยแฟลเจลลัม ส่วนสาหร่ายหลายเซลล์มักไม่เคลื่อนที่ มีโครงสร้าง ที่ยึดติดอยู่กับพื้นท้องน้ำ สาหร่ายสร้างอาหารเองได้โดยอาศัยพลาสติด เช่น คลอโรพลาสต์ ซึ่งลักษณะและโครงสร้างของพลาสทดจะแตกต่าง กันไปในสาหร่ายแต่ละกลุ่มย่อย 3. กลุ่มสาหร่าย อาณาจักรโปรติสตา (PROTISTA KINGDOM) สาหร่ายมีคลอโรฟิลล์ เอ เป็นสารสีที่ใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ ด้วยแสง เช่นเดียวกับพวก ไซยาโนแบคทีเรีย แต่จะมีคลอโรฟิลล์ ในรูปอื่น รวมทั้งสารสีชนิดอื่น ๆ ที่แตกต่างกันไปในสาหร่าย แต่ละ กลุ่มย่อย 9


สาหร่ายสีแดง (red algae) เช่น เซอราเนียม (Ceranium) จีฉ่าย พบ คลอโรฟิลล์ เอ แคโรทีนอยด์ และไฟโคบิลิน (PROTISTA KINGDOM) อาณาจักรโปรติสตา เช่น สาหร่ายสีเขียว (green algae) เช่น คลอเรลลา สาหร่ายไฟ สไป โรไจรา พบคลอโรฟิลล์ เอ คลอโรฟิลล์ บี และแคโรทีนอยด์ ไดอะตอม (diatom) และสาหร่ายสีน้ำ ตาล (brown algae) เช่น เคลป์ (kelp) สาหร่ายทุ่น (Sargassum) พาดินา (Padina) พบ คลอโรฟิลล์ เอ คลอโรฟิลล์ ซี และแคโรทีนอยด์ 10


คือจะพบว่าฟังไจมีทั้งที่เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและสิ่งมี ชีวิตหลายเซลล์ที่ไม่มีเนื้อเยื่อ ผนังเซลล์มีไคทินเป็นองค์ ประกอบ โดยทั่วไปฟังใจมีลักษณะเป็นเส้นใยเรียกว่า ไฮฟา (hypha) เส้นใย อาจมีผนังกั้นหรือไม่มีผนังกั้น กลุ่มของไฮฟา ที่รวมกัน เรียก ไมซีเลียม (mycelium) ทำ หน้าที่ยึดเกาะ อาหารและส่งเอนไซม์ไปสลายอาหาร ภายนอกเซลล์และ ดูดซึมสารอาหารเข้าสู่เซลล์ ฟังใจบางกลุ่มเมื่อสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ไมซีเลียม จะพัฒนาไปเป็นโครงสร้างที่เรียกว่า ฟรุตติงบอดีซึ่งโดย ทั่วไปเรียกว่าเห็ดหรือดอกเห็ด ทำ หน้าที่สร้างสปอร์ที่เกิด จากการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศและฟังใจบางสปีชีส์ที่ดำ รง ชีวิตแบบภาวะปรสิตเส้นใยจะเปลี่ยนแปลงเป็นโครงสร้าง ที่ สามารถดูดซึมสารอาหารจากเซลล์ของโฮสต์ได้ (Kingdom Fungi) อาณาจักรฟังไจ ลักษณะ 11


(Kingdom Fungi) อาณาจักรฟังไจ ฟังใจมีหลายกลุ่ม ตัวอย่างที่พบได้บ่อย มีดังนี้ ฟังไจกลุ่มไคทริด ไคทริด (chytrid) มีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ที่มี แฟลเจลลัมที่ใช้ ในการเคลื่อนที่ ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อว่าไคทริดมีวิวัฒนาการมาจาก โพรทิสต์ที่มีแฟลเจลลัม ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในน้ำ จืดและในดิน บางสปีชีส์เป็นผู้ สลายสารอินทรีย์ บางสปีชีส์เป็นปรสิตในโพรทิสต์ ฟังใจ และสัตว์ ฟังไจกลุ่มที่สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศด้วยการสร้างไซโกสปอร์ ฟังใจกลุ่มนี้ดำ รงชีวิตบนพื้นดิน ไฮฟาไม่มีเยื่อกั้น ปกติจะสร้างสปอร์เพื่อสืบพันธุ์ แบบไม่อาศัยเพศ แต่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมจะสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยการสร้างไซโกสปอร์ ตัวอย่างฟังใจกลุ่มนี้ เช่น ราดำ (Rhizopus) ซึ่งมักพบ ขึ้นในขนมปังที่ไม่ใส่สารกันบูด 12


(Kingdom Fungi) อาณาจักรฟังไจ ฟังไจกลุ่มที่สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศด้วยการสร้างแอสโคสปอร์ ฟังใจกลุ่มนี้เป็นฟังใจที่มีจำ นวนมากที่สุด พบทั้งในทะเล แหล่งน้ำ จืด และบนพื้นดิน มี ทั้งแบบเซลล์เดียว เช่น ยีสต์ และหลายเซลล์ เช่น เห็ดถ้วย ทรัฟเฟิล และราแดง ฟังใจ กลุ่มนี้มีไฮฟาที่มีเยื่อกั้น แต่มีช่องระหว่างเซลล์ที่ติดกันเพื่อลำ เลียงสารอาหารระหว่างเซลล์ ได้มีการสืบพันธุ์ทั้งแบบอาศัยเพศและแบบไม่อาศัยเพศ โดยเมื่อสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ จะสร้างแอสโคสปอร์ (ascospore) ในถุงที่เรียกว่า แอสคัส (ascus) ซึ่งอยู่เป็นกลุ่มใน โครงสร้างที่เกิดจากเส้นใยทำ ให้เกิดฟรุตติงบอดีรูปถ้วย ฟังไจกลุ่มที่สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศด้วยการสร้างเบสิดิโอสปอร์ ฟังใจกลุ่มนี้มีไฮฟาที่มีเยื่อกั้นอย่างสมบูรณ์ มีการสืบพันธุ์ทั้งแบบอาศัยและแบบไม่อาศัย เพศ โดยเมื่อสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศจะสร้างเบสิดิโอสปอร์ (basidiospore) บนปลาย เส้นใยที่มีลักษณะโป่ง พองเหมือนกระบองอยู่ทางด้านล่างของฟรุตติงบอดีขนาดใหญ่ เรียก เบสเดียม (basidium) ดังรูป 23.36 รากลุ่มนี้สามารถย่อยสลายสารพอลิเมอร์แบบ ต่างๆ ได้ เช่น ลิกนิน ตัวอย่างฟังใจกลุ่มนี้ เช่น ราสนิม ราเขม่าดำ เห็ดชนิดต่างๆ เช่น เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็ดหอม เห็ดหูหนู เห็ดนางรม เห็ดโคน เห็ดถอบ 13


(Kingdom Plantae) อาณาจักรพืช ลักษณะ ลักษณะ มีรงควัตถุภายในเซลล์ เช่น คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ในคลอโรพลาสต์ (Chloroplast) ที่ทำ ให้พืชสามารถสร้างอาหารเองได้จากกระบวนการ สังเคราะห์แสง (Photosynthesis) มีวัฏจักรชีวิตแบบสลับ (Alternation of Generation) หรือระยะของการ เจริญเติบโตและการสืบพันธุ์แบบสลับระหว่างระยะแกมีโทไฟต์ (Gametophyte) ที่เป็นการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศผ่านการผสมของสเปิร์ม และไข่ ซึ่งก่อให้เกิดการสร้างเอมบริโอ (Embryo) หรือต้นอ่อน และระยะส ปอโรไฟต์ (Sporophyte) ที่เป็นการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศผ่านการสร้าง สปอร์ เป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ (Multicellular) ที่รวม กลุ่มกันเป็นเนื้อเยื่อ (Tissue) มีเซลล์แบบยูคาลิโอต (Eucaryote) ที่มีเยื่อหุ้ม นิวเคลียสเช่นเดียวกับเซลล์ของสัตว์ มีผนังเซลล์ที่ประกอบด้วยเซลลูโลส (Cellulose) ซึ่งทำ ให้เซลล์แข็งแรงทนทานและมีรูปร่างแน่นอน 14


(Kingdom Plantae) อาณาจักรพืช พืชแบ่งตามการมีเนื้อเยื่ิอท่อลำ เลียงได้เป็น2กลุ่มได้แก่ พืชไม่มีท่อลำ เลียง พืชไม่มีท่อลำ เลียงหรือไบรโอไฟต์ (bryophyte) เป็นพืชที่ไม่มีเนื้อเยื่อท่อ ลำ เลียง แกมีโทไฟต์ (metophyte) เป็นระยะที่เด่น พบเห็นได้ทั่วไป มิไร ซอยด์ (rhizoid)ทำ หน้าที่ยึดเกาะ ดูดน้ำ และธาตุอาหาร สปอโรไฟต์ (sporophyte) เจริญบนแกมีโทไฟต์ตลอดชีวิต พืชในกลุ่มนี้ได้แก่ มอส ลิเวอร์เวิร์ท และฮอร์นเวิร์ท พืชมีท่อลำ เลียง พืชมีท่อลำ เลียงหรือเทรคีโอไฟต์ (tracheophyte) มีระยะสปอโรไฟต์เด่น และมีเนื้อเยื่อ ท่อลำ เลียง มีราก ลำ ต้น และใบที่แท้จริง แกมีโทไฟต์มีขนาด เล็กและมีช่วงชีวิตสั้นกว่าสปอโรไฟต์ ปัจจุบัน จากหลักฐานทางชีววิทยา โมเลกุลพบว่าพืชมีท่อลำ เลียงมีวิวัฒนาการแยกออกเป็น 2 พวก คือไลโคไฟต์ และยูฟิลโลไฟต์ 15


ไลโคไฟต์ (lycophyte) พบเจริญอยู่บนดินหรือเป็นพืชอิงอาศัย มี ประมาณ 1,200 สปีชีส์ มีใบ แบบไลโคฟิลล์ (lycophyll) ซึ่งเป็นใบที่ มีขนาดเล็ก มีเส้นใบ 1 เส้น ที่ไม่มีการแยกแขนง เส้นใบอาจยาวจรด ปลายใบหรือสั้นมาก พัฒนาการของแผ่นใบมาจากเนื้อเยื่อเจริญที่มี ตำ แหน่งอยู่บริเวณ โคนใบ สร้างสปอร์แบบเดียว เช่น จีนัสไลโคโพเดีย ม (Lycopodium) (ยกเว้นพืชจีนัสซีแลกซิเนลลา (Selaginella) และ จีนัสไอโซอีเทส (Isoetes) ) การปฏิสนธิยังอาศัยน้ำ เป็นตัวกลางให้ สเปิร์มเคลื่อนที่ เข้าผสมกับเซลล่ไข่ พืชกลุ่มไลโคไฟต์ที่พบได้บ่อยในประเทศไทย คือ พืชจีนัสซีแลกซิเนล ลา เช่น ตีนตุ๊กแก และ จีนัสไลโคโพเดียม เช่น สามร้อยยอด (Kingdom Plantae) อาณาจักรพืช ไลโคไฟต์ 16


โมนิโลไฟต์ โมนิโลไฟต์พบได้ทั้งบนดิน หิน เป็นพืชอิงอาศัย บางชนิดพบอาศัยในน้ำ หรือที่ชื้นแฉะ การปฏิสนธิยังต้องอาศัยน้ำ เป็นตัวกลางให้สเปิร์มเคลื่อนที่ไปผสมกับเซลล์ไข่มีทั้งลำ ต้นใต้ ดินและลําต้นเหนือดิน มีขนาดเล็กไปจนถึงเป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่สปอโรไฟต์ สร้างสปอร์แบบเดียว (ยกเว้น พวกเฟิร์นน้ำ ) มีจำ นวนประมาณ 12,000 สปีชีส์ พืชใน กลุ่มนี้ที่มีจำ นวนมากที่สุดและพบได้บ่อยคือเฟิร์น (fern) นอกจากนั้นยังรวมถึงพืชกลุ่ม หญ้าถอดปล้อง (Equisetum) และกลุ่มหวายทะนอย (Psilotum) (Kingdom Plantae) อาณาจักรพืช ยูฟิลโลไฟต์ ยูฟิลโลไฟต์ (euphyllophyte) เป็นพืชที่มีใบแบบยูฟิลล์ (euphyll) ซึ่งเป็นใบมีเส้นใบมากกว่า 1 เส้น และมีการแยกแขนงภายในแผ่นใบ พัฒนาการของแผ่นใบมาจากเนื้อเยื่อเจริญที่มี ตำ แหน่งอยู่บริเวณปลาย ใบและขอบใบ แบ่งย่อยต่อไปได้เป็น 2 กลุ่มย่อยคือโมนิโลไฟต์ (monilophyte) ซึ่งไม่สร้างเมล็ด และสเปอร์มาโทไฟต์ (spermatophyte) ซึ่งสร้างเมล็ด 17


(Kingdom Plantae) อาณาจักรพืช สเปอร์มาโทไฟต์ สเปอร์มาโทไฟต์หรือพืชมีเมล็ด เป็นกลุ่มพืชที่สร้างออวุล มีการถ่ายเรณูโดยอาจอาศัย สัตว์ ลมหรือน้ำ ซึ่งไม่พบการถ่ายเรณูในพืชกลุ่มอื่น หลังการถ่ายเรณูจะเกิดการงอก หลอดเรณู ซึ่งเป็นช่องทางสเปิร์มใช้เคลื่อนที่เพื่อเข้าปฏิสนธิกับเซลล์ไข่ ดังนั้นพืช กลุ่มนี้จึงไม่จำ เป็นต้องอาศัยน้ำ เป็นตัวกลางในการปฏิสนธิเหมือนพืชกลุ่มอื่น หลังการ ปฏิสนธิออวุลจะเจริญไปเป็นเมล็ด สปอโรไฟต์ของพืชมีเมล็ดมักมีขนาดใหญ่เห็นได้ ชัดเจน มีการสร้างสปอร์ต่างแบบ ส่วนแกมีโทไฟต์ลดรูปลงจนมีขนาดเล็กโดยอาจพบ ว่าประกอบด้วยเซลล์จำ นวนไม่กี่เซลล์ และอาศัยอยู่บน สปอโรไฟต์ พืชมีเมล็ดแบ่งได้ เป็น 2 กลุ่มคือ พืชเมล็ดเปลือย (gymnosperm) และพืชดอก (angiosperm) พืชเมล็ดเปลือย เนื่องจากออวุลของพืชกลุ่มนี้ไม่มีรังไข่ห่อหุ้ม ดังนั้นเมล็ดจึงไม่มีผล ห่อหุ้ม ซึ่งเป็นลักษณะสำ คัญที่แตกต่างไปจากพืชดอก และเป็นที่มาของชื่อ " พืช เมล็ดเปลือย " โครงสร้างที่สร้างอับสปอร์ของพืชเมล็ดเปลือยมักเกิดรวมกันเป็นกลุ่ม ประกอบกันขึ้นมาเป็นโครงสร้างที่เรียกว่า โคน (cone) หรือสตรอบิลัส โดยโคนจะ แยกเพศตามชนิดของสปอร์ที่สร้าง โคนที่สร้างไมโครสปอร์ เรียก โคนเพศผู้ (male cone) โคนที่สร้างเมกะสปอร์ เรียก โคนเพศเมีย (female cone) โดยโครงสร้าง ของ โคนในพืชเมล็ดเปลือยแต่ละกลุ่มจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป ตัวอย่างพืชเมล็ดเปลือย เช่น ปรุงชนิดต่าง ๆ เหลียง มะเมื่อย แปะก๊วยใน 18


(Kingdom Plantae) อาณาจักรพืช พืชดอก ออวุลอยู่ในโครงสร้างของรังไข่เมื่อพัฒนาไปเป็นเมล็ด เมล็ด ของพืชดอกจึงอยู่ภายใน ผล งพัฒนามาจากรังไข่ เช่น กันภัยมหิดล บร็อกโคลี บัวสาย ดอกเป็นกิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อทำ หน้าที่ในการ สืบพันธุ์ โดยทำ หน้าที่สร้างสปอร์ มีการปฏิสนธิแบบการปฏิสนธิคู่ 19


(Kingdom Animalia) อาณาจักรสัตว์ ลักษณะ เป็นเซลล์ชนิดยูคาริโอต (Eucaryotic Cell) เป็นผู้บริโภคตลอดชีวิตเพราะสังเคราะห์ อาหารเองไม่ได้ มีหลายเซลล์ (Multicellular) บางพวก ยังไม่มีเนื้อเยื่อแต่ส่วนใหญ่หลายเซลล์ รวมกันเป็นเนื้อเยื่อเป็นอวัยวะ และเป็น ระบบอวัยวะ การเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่ตอบสนองสิ่ง เร้าได้อย่างรวดเร็ว บางชนิดอาจมีการ เคลื่อนที่บางช่วงของชีวิต เช่น ฟองน้ำ ในระยะเป็นตัวอ่อนจึงจะมีการเคลื่อนที่ โดยทั่วไปเราสามารถแยกสิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตว์ได้ โดยใช้ลักษณะดังต่อไปนี้ 1. 2. 3. 4. 20


(Kingdom Animalia) อาณาจักรสัตว์ สัตว์อาจแบ่งเป็นกลุ่มย่อยโดยพิจารณาลักษณะต่างๆ ดังนี้ 1) การมีหรือไม่มีเนื้อเยื่อ เนื้อเยื่อเป็นกลุ่มเซลล์ที่มีลักษณะเหมือนกันและทำ หน้าที่รวมกันสามารถจำ แนก สัตว์ตามการมีหรือไม่มีเนื้อเยื่อได้เป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่ไม่มีเนื้อเยื่อ เป็นสัตว์ที่มีเซลล์รวมกลุ่มกันโดยแต่ละเซลล์ไม่ได้ร่วมกันทำ งาน เป็นเนื้อเยื่อ เช่น ฟองน้ำ กลุ่มที่มีเนื้อเยื่อ เป็นสัตว์ที่เซลล์รวมกลุ่มกันเป็นเนื้อเยื่อเพื่อทำ หน้าที่ร่วมกัน ได้แก่ สัตว์ทั้งหมดยกเว้นฟองน้ำ 2) สมมาตรของร่างกาย เมื่อตัดผ่านแกนกลางลำ ตัวของสัตว์ที่ทำ ให้เกิดชิ้นส่วนที่มีสมมาตรกัน เรียกแนวการ ตัดนี้ว่า ระนาบสมมาตร (plane of symmetry) สามารถจำ แนกสัตว์ตามลักษณะของ สมมาตร (symmet ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ไม่มีระนาบสมมาตร เป็นสัตว์ที่ไม่มีสมมาตรหรืออสมมาตร (asymmetry) ได้แก่ ฟองน้ำ กลุ่มที่มีระนาบสมมาตรมากกว่าหนึ่งระนาบ เป็นสัตว์ที่มีสมมาตรแบบรัศมี (radia symmetry) เช่น แมงกะพรุน ดอกไม้ทะเล กลุ่มที่มีระนาบสมมาตรเพียงระนาบเดียว เป็นสัตว์ที่มีสมมาตรแบบครึ่งซีก (bilateral symmetry) เช่น แมลง นก วัว ควาย มนุษย์ 21


(Kingdom Animalia) อาณาจักรสัตว์ 3)การเปลี่ยนแปลงของบลาสโทพอร์ โพรโทสโทเมีย (protostomia) เป็นกลุ่มสัตว์ที่บลาสโทพอร์ในระยะแกส ทรูลาจะพัฒนาเป็นช่องปาก ดิวเทอโรสโทเนีย (deuterostomia) เป็นกลุ่มสัตว์ทีบลาสโทพอร์ในระยะ แก๊สทรูลาจะพัฒนาเป็นทวารหนัก การเปลี่ยนแปลงของบลาสโทพอร์ (blastopore) พบเฉพาะในสัตว์กลุ่มที่มี สมมาตรแบบครึ่งซีกสามารถจำ แนกสัตว์ตามรูปแบบการเจริญของเอ็มบริโอได้เป็น 2 กลุ่ม คือ เมื่อพิจารณาโดยใช้เกณฑ์ดังกล่าวมาข้างต้นร่วมกันจะสามารถจำ แนกสัตว์ออกเป็นกลุ่มย่อยได้ดังรูป 22


(Kingdom Animalia) อาณาจักรสัตว์ กลุ่มพอริเฟอรัม สัตว์ในกลุ่มพอริเฟอรัน (poriferan) มีประมาณ 8,700 สปีชีส์ ส่วน ใหญ่จะพบในทะเล โครงสร้างทั่วไปประกอบด้วยเซลล์เรียงตัวกัน 2 ชั้น ระหว่างชั้นของเซลล์มีบริเวณที่คล้ายเจลซึ่งมี โครงร่างแข็งแทรกอยู่ โดยองค์ประกอบทางเคมีอาจแตกต่างกัน ถ้าโครงร่างแข็งเป็นเส้นใย โปรตีนที่มีความยืดหยุ่นเรียก สปองจิน (spongin) ถ้าโครงร่างแข็งเป็น แคลเซียมคาร์บอเนตหรือซิลิกาที่มีลักษณะแข็ง และแหลมเรียก สปิคูล (spicule) การมีสปองจินหรือสปีคูลทำ ให้สัตว์แต่ละสปีชีส์ในกลุ่มนี้มี ลักษณะและสมบัติต่างกัน สัตว์ในกลุ่มนี้ เช่น ฟองน้ำ ถูตัว ฟองน้ำ หินปูน ฟองน้ำ ท่อ ฟองน้ำ ยืดหยุ่น ฟองน้ำ แก้ว สัตว์ที่ไม่มีเนื้อเยื่อ และไม่มีสมมาตรของร่างกาย เช่น กลุ่มพอริเฟอรัน 23


(Kingdom Animalia) อาณาจักรสัตว์ สัตว์ที่มีเนื้อเยื่อ 2 ชั้น และมีสมมาตรแบบรัศมี เช่น กลุ่มไนดาเรียน กลุ่มไนดาเรียน สัตว์ในกลุ่มไนดาเรียน (Cnidarian) มีประมาณ 10,000 สปีชีส์ ส่วน ใหญ่อาศัยอยู่ในทะเล มีลักษณะที่สำ คัญคือ มีเทนทาเคิล (tentacle) ล้อมรอบปาก และที่เทนทาเคิลมีไนโดไซต์ (Cnidocyte) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ สร้างเข็มพิษ (nematocyst) เพื่อป้องกันตัวและฆ่าเหยื่อได้ สัตว์ในกลุ่มนี้ เช่น ไฮดรา แมงกะพรุน ดอกไม้ทะเล ปะการัง กัลปังหา ปากกาทะเล สัตว์กลุ่มนี้มีรูปร่าง 2 แบบ คือ โพลิพ(polyp) ซึ่งมีรูปร่างเป็นทรง กระบอกที่มีปากอยู่ทางด้านบน ส่วนใหญ่เกาะอยู่กับที่และเมดูซา (medusa) ซึ่งมีรูปร่างคล้ายร่มหรือระฆังคว่ำ ที่มีปากอยู่ทางด้านล่าง สามารถ เคลื่อนที่ในน้ำ ได้อย่างอิสระ 24


กลุ่มแพลทีเฮลมินห์ สัตว์ในกลุ่มแพลที่เฮลมินท์ (platyhelminth) มีประมาณ 25,000 สปีชีส์ พบ ได้ทั้งในทะเล น้ำ จืด หรือบริเวณที่ขึ้นแฉะ มีลักษณะลำ ตัวอ่อนนุ่ม ตัวแบนและ ยาว มีขนาดแตกต่างกัน มีทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ซึ่งยาวได้ถึง 15 เมตร โดยมีการดำ รงชีวิตทั้งแบบอิสระ เช่น พลานาเรีย หนอนตัวแบนใน ทะเล และ การดำ รงชีวิตแบบภาวะปรสิต เช่น พยาธิใบไม้ พยาธิตัวตืด สัตว์ในกลุ่มไม่มีโพรงลำ ตัว(acoelom) ส่วนใหญ่มีทางเดินอาหารแบบไม่ สมบูรณ์ บางชนิดเป็นปรสิตไม่มีทางเดินอาหาร เช่น พยาธิตัวตืด สัตว์ในกลุ่มนี้มี การพัฒนาของระบบประสาทโดยมีปมประสาท และเคลื่อนที่ได้โดยการหดตัวของ กล้ามเนื้อ มีโพรโทเนฟริเดียม เป็นโครงสร้างในการขับถ่าย แต่ไม่มีระบบ หมุนเวียนเลือดและระบบหายใจ การแลกเปลี่ยนแก๊สจะแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ โดยตรง (Kingdom Animalia) อาณาจักรสัตว์ โพรโทสโทเมีย มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น และมีสมมาตรแบบครึ่งซีก เช่น กลุ่มแพลที เฮลมินห์ กลุ่มมอลลัส กลุ่มแอนเนลิด กลุ่มนีมาโทด และกลุ่มอาร์โทรพอด 25


(Kingdom Animalia) อาณาจักรสัตว์ กลุ่มมอลลัส สัตว์ในกลุ่มมอลลัส (mollusk) มีประมาณ 80,000 สปีชีส์ ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใน ทะเล บางสปีชีส์อาศัยอยู่ในน้ำ จืดและบนพื้นดิน เป็นสัตว์ที่มีลำ ตัวนิ่ม โดยทั่วไปจะ สร้างเปลือกแข็งที่มีสารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนตหุ้มลำ ตัว เช่น หอยทาก หอยมือเสือ หอยงวงช้าง ลิ่นทะเล แต่บางชนิด เปลือกแข็งมีการลดรูป หรืออาจไม่มี เปลือกแข็ง เช่น หมึกกล้วย หมึกกระดอง หมึกยักษ์ ทากเปลือย สัตว์ในกลุ่มมอลลัสมีโพรงลำ ตัว (coelom) มีทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ มีปม ประสาท ขนาดใหญ่ร่างกายแบ่งได้เป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ใช้เคลื่อนที่ คือ เท้า (foot) อวัยวะภายในซึ่งรวมเรียกว่า วิสเซอรอลแมส (visceral mass) และส่วนที่ คลุมอวัยวะภายในและทำ หน้าที่สร้างเปลือกแข็ง คือ แมนเทิล (mantle) ส่วนใหญ่ มีช่องแมนเทิล (mantle cavity) ซึ่งเป็นบริเวณ ที่มีการแลกเปลี่ยนแก๊สผ่านทาง เหงือกและกำ จัดของเสีย สำ หรับหอยทากซึ่งอาศัยอยู่บนบกจะไม่มีเหงือก แต่มีปอดที่ ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สแทน โดยทั่วไปสัตว์กลุ่มนี้มีระบบหมุนเวียนเลือดแบบ เปิด ยกเว้น กลุ่มหมึกที่มีระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด 26


(Kingdom Animalia) อาณาจักรสัตว์ กลุ่มแอนเนลิด สัตว์ในกลุ่มแอนเนลิด (annelid) มีประมาณ 17,000 สปีชีส์ ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ ในทะเล มีบางสปีชีส์อาศัยอยู่ในน้ำ จืด หรือในดินบริเวณที่ชื้นแฉะ มีลำ ตัวยาว ลำ ตัวเป็นปล้อง (segmentation) และอาจมีรยางค์ซึ่งไม่มีปล้อง สัตว์ในกลุ่มนี้ เช่น ไส้เดือนดิน แม่เพรียง หนอนฉัตร ทากดูดเลือด ปลิงน้ำ จืด สัตว์ในกลุ่มนี้มีโพรงลำ ตัว มีทางเดินอาหารแบบสมบูรณ์ มีระบบหมุนเวียน เลือดแบบปิด มีการแลกเปลี่ยน แก๊สโดยแพร่ผ่านผิวหนังของลำ ตัว และ ลำ เลียง แก๊สผ่านระบบหมุนเวียนเลือด มีระบบขับถ่าย มีปมประสาทขนาดใหญ่ และมีการ พัฒนาของระบบกล้ามเนื้อ ทำ ให้เคลื่อนที่ได้ดี 27


กลุ่มนีมาโทด สัตว์ในกลุ่มนี้มาโทด (nematode) มีประมาณ 25,000 สปีชีส์ โดยพบอาศัยอยู่ ทั้งในดิน น้ำ จืด และน้ำ ทะเล มีลำ ตัวกลมยาวเรียว หัวท้ายแหลม ไม่มีปล้อง ผิวลำ ตัวมีคิวทิเคิลห่อหุ้มเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ และทำ ให้มีการลอกคราบในระหว่าง การเจริญเติบโตมีการดำ รงชีวิตเป็นอิสระ เช่นไส้เดือนฝอย บางสปีชีส์ (Caenorhabditis elegans) และหลายสปีชีส์ดำ รงชีวิตแบบภาวะปรสิต เช่น ไส้เดือนฝอย รากปม (Meloidogyne spp.) พยาธิไส้เดือน พยาธิแส้ม้า พยาธิปากขอ พยาธิเส้นด้าย สัตว์ในกลุ่มนี้มีโพรงลำ ตัวทียม(pseudocoelom)มีทางเดินอาหารแบบ สมบูรณ์แต่ไม่มีระบบหายใจและระบบหมุนเวียนเลือด โดยสารอาหารจะลำ เลียงไป ยังส่วนต่างๆ ของร่างกายผ่านทาง ของเหลวในโพรงล่าตัวเทียม สัตว์ในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่กินจุลินทรีย์ เช่น แบคทีเรีย ซึ่งมีความสำ คัญในการ ช่วยควบคุมขนาด ของประชากรแบคทีเรีย นอกจากบทบาทที่สำ คัญในวัฏจักร ไนโตรเจนโดยย่อยจากพืชจาก ให้มีขนาดเล็กลง ทําให้ผู้สลายสารอินทรีย์สามารถ ทำ หน้าที่ได้เร็วขึ้น (Kingdom Animalia) อาณาจักรสัตว์ 28


กลุ่มอาร์โทรพอด สัตว์ในกลุ่มอาร์โทรพอด (arthropod) มีจำ นวนสปีชีส์มากที่สุดเมื่อเทียบกับ สัตว์กลุ่มอื่น คือ ประมาณ1,257,000 สปีชีส์ โดยพบได้ทั่วไปเกือบทุกบริเวณ ของโลก สัตว์ในกลุ่มนี้มีโครงร่างแข็ง ภายนอก(exoskeleton) ซึ่งมีไคทินเป็น องค์ประกอบ มีลำ ตัวเป็นปล้อง และรยางค์เป็นข้อ ๆ ต่อกัน (jointed appendage) ซึ่งทำ ให้มีความยืดหยุ่นในการเคลื่อนที่ ส่วนใหญ่ลำ ตัวแบ่งออก เป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัว ส่วนนอก และส่วนท้อง โดยแต่ละส่วนจะประกอบด้วย ปล้องหลายปล้อง เช่น แมลงปอ แมลงหวี่ แมลงวัน ผีเสื้อ ผึ้งมด ปลวก แต่บาง สปีชีส์มีส่วนหัวและส่วนอกรวมกัน เช่น แมงดาทะเล กุ้ง กั้ง ปูแมงมุม แมงป่อง เห็บ ไร และบางชนิดไม่แยกเป็นส่วนหัว ส่วนอก และส่วนท้องที่ชัดเจน เช่น ตะขาบ กิ้งกือ (Kingdom Animalia) อาณาจักรสัตว์ 29


• กลุ่มเอไคโนเดิร์ม สัตว์ในกลุ่มเอไคโนเดิร์ม (echinoderm) มีประมาณ 7,500 สปีชีส์ดำ รงชีวิต อยู่ในทะเลทั้งหมด เป็นสัตว์ที่มีโครงร่างแข็งภายใน (endoskeleton) และมี ผิวชั้นนอกบางปกคลุม มีผิวที่มีหนามหรือปุ่ม ส่วนใหญ่ลำ ตัวเป็น 5 แฉก สัตว์ในกลุ่มนี้ เช่น ดาวทะเล เม่นทะเล เหรียญทะเล พลับพลึงทะเล ปลิงทะเล กลุ่มเอไคโนเดิร์มมีระบบท่อน้ำ (water vascular System) ที่ปรับ เปลี่ยนมาจากช่องตัวแยกไปตามแฉกตามแนว รัศมีและแตกแขนงออกเป็น ทิวบ์ฟีท (tube feet) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ มีการสืบพันธุ์ แบบอาศัยเพศโดยการปฏิสนธิภายนอก บางชนิดมีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัย เพศได้ เช่น การงอกใหม่ของดาวทะเลบางชนิด (Kingdom Animalia) อาณาจักรสัตว์ ดิวเทอโรสโทเมีย มีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น และมีสมมาตรแบบครึ่งซีก เช่น กลุ่มเอไคโนเดิร์ม และกลุ่มคอร์เดต 30


(Kingdom Animalia) อาณาจักรสัตว์ กลุ่มคอร์เตต สีตว์ในกลุ่มคอร์เคต (chordate) มีประมาณ 50,000 สปีชีส์ มีทั้งที่เป็น สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังและสัตว์มีกระดูกสันหลัง แต่เอ็มบริโอของสัตว์กลุ่มนี้จะมี ลักษณะเฉพาะที่สำ คัญเหมือนกัน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1. มีโนโทคอร์ด (notochord) อยู่ระหว่างท่อทางเดินอาหารและท่อประสาท กลวง ลักษณะเป็นแท่งยาวตลอดความยาวของลำ ตัว ช่วยค้ำ จุนร่างกาย อาจมีอยู่ เฉพาะระยะเอ็มบริโอหรือมีตลอดชีวิต 2. มีท่อประสาทกลวงทางด้านหลัง (dorsal hollow nerve cord) อยู่เหนือโน โทคอร์ดซึ่งในสัตว์มีกระดูกสันหลังจะพัฒนาต่อไปเป็นสมองและไขสันหลังใน ตัวเต็มวัย 3. มีถุงคอหอย (pharyngeal pouch) ซึ่งในปลาและซาลามานเดอร์จะพัฒนา เปิดเป็น ช่องเหงือก (gill slit หรือpharyngeal slit) แต่ในสัตว์อื่นได้ปรับ เปลี่ยนไปใน ระหว่างการเจริญเติบโตให้เหมาะสมต่อการดำ รงชีวิต เช่นใน มนุษย์ถุงคอหอย บางส่วนเปลี่ยนเป็นท่อยูสเตเชียน (eustachian tube) เพื่อทำ หน้าที่ปรับความดัน ในหูส่วนกลาง เป็นต้น 4. มีหางเป็นกล้ามเนื้ออยู่ทางด้านท้ายของลำ ตัว ส่วนใหญ่ยังคงพบในตัวเต็มวัย 31


(Kingdom Animalia) อาณาจักรสัตว์ ปลา ปลา (Fish) เป็นสัตว์เลือดเย็น สามารถปรับอุณหภูมิร่างกายตามอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม หายใจด้วยเหงือก บางชนิดมีเกล็ดปกคลุมร่างกาย แต่บางชนิดก็ไม่มีเกล็ด มี ครีบสำ หรับว่ายน้ำ และทรงตัว มีเส้นข้างตัวเป็นส่วนรับความรู้สึกสั่นสะเทือน อาศัยอยู่ในน้ำ จืดและน้ำ เค็ม มีก้างเป็นกระดูกสันหลังต่อกันเป็นข้อ ๆ ภายใน ร่างกายมีถุงลมอยู่ในตัว ช่วยลดและเพิ่มปริมาณอากาศ และช่วยในการลอยตัว 32


(Kingdom Animalia) อาณาจักรสัตว์ สัตว์สะเทินน้ำ สะเทินบก สัตว์สะเทินน้ำ สะเทินบก (amphibian) เริ่มมีวิวัฒนาการขึ้นมา ดำ รงชีวิตบนบก มีรยางค์ 2 คู่ ใช้ในการเคลื่อนที่ ในระยะตัวอ่อน จะอาศัยอยู่ในน้ำ และใช้เหงือกในการแลกเปลี่ยนแก๊ส เมื่อเจริญ เป็น ตัวเต็มวัยจะดำ รงชีวิตบนบก แต่ยังคงอาศัยอยู่ในบริเวณใกล้ แหล่งน้ำ หรือที่มีความชื้นใช้ผิวหนังและปอด ในการแลกเปลี่ยน แก๊ส ต้องวางไข่ในน้ำ หรือที่ขึ้นเนื่องจากไข่ไม่มีเปลือกแข็งหุ้มจึง ทำ ให้สูญเสียความชื้น ได้รวดเร็วหากอยู่ในที่แห้ง ตัวอย่างเช่น กบ เขียด อึ่งอ่าง คางคก ซาลามานเดอร์ เขียดงู โดยเขียดงูมีการ ลดรูป ของรยางค์ 33


สัตว์เลื้อยคลาน (reptilian) เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังกลุ่มแรกที่มีวิวัฒนาการขึ้นมาดำ รงชีวิต บนบกอย่างแท้จริง ไม่ต้องอาศัยน้ำ ในการดำ รงชีวิตมากเท่ากับสัตว์สะเทินน้ำ สะเทินบก เช่น วางไข่บนบก ไข่มีเปลือกแข็งหุ้ม ปฏิสนธิภายใน ผิวหนังปกคลุมด้วยเกล็ดซึ่งมีสารเคราทิน เป็นองค์ประกอบเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ หายใจด้วยปอด ตัวอย่างเช่น กิ้งก่า อิกัวนา จระเข้ เต่า งู จิ้งจก ตุ๊กแก นอกจากไข่ของสัตว์เลื้อยคลานมีเปลือกแข็งหุ้มแล้ว เอ็มบริโอยังเจริญอยู่ภายในไข่ที่ มีถุง น้ำ คร่ำ ซึ่งภายในมีของเหลวบรรจุอยู่ ช่วยป้องกันอันตรายจากแรงกระแทก มีโครงสร้างอื่นที่ช่วย ในการแลกเปลี่ยนแก๊สและลำ เลียงสารอาหารไปยังเอ็มบริโอ ลักษณะของไข่ดังกล่าวนี้เป็น วิวัฒนาการที่สำ คัญซึ่งทําให้สัตว์เลื้อยคลานรวมทั้งสัตว์ปีก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำ นมดำ รงชีวิต บนบกได้อย่างสมบูรณ์ขึ้น (Kingdom Animalia) อาณาจักรสัตว์ สัตว์เลื้อยคลาน 34


สัตว์ปีก (avian) มีบรรพบุรุษร่วมกับสัตว์เลื้อยคลานมีวิวัฒนาการโดยมี การปรับเปลี่ยนรยางค์ คู่หน้าเป็นปีกเพื่อให้เหมาะสมต่อการบิน มีขน แบบขนนก (feather) ดังรูป 23.66 มีการปรับตัวของ โครงสร้างต่าง ๆ ทำ ให้มีน้ำ หนักเบาเพื่อช่วยในการบิน เช่น กระดูกมีรูพรุน ไม่มีขา กรรไกร ไม่มีฟัน ไม่มีกระเพาะปัสสาวะ มีระบบหายใจที่ช่วยให้แลก เปลี่ยนแก๊สได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปฏิสนธิภายใน และออกลูกเป็นไข่ ตัวอย่างเช่น นก ไก่ ห่าน สัตว์ปีกบางชนิดไม่สามารถบินได้แต่วิ่งได้เร็ว เช่น นกกระจอกเทศ หรือว่ายน้ำ ได้ เช่น นกเพนกวิน (Kingdom Animalia) อาณาจักรสัตว์ สัตว์ปีก 35


สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำ นม (mammal) มีต่อมน้ำ นม มีขนแบบขน เส้นเดี่ยว (hair) ปกคลุมลำ ตัวใช้ปอดในการแลกเปลี่ยนแก๊ส แบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อย คือ กลุ่มที่ออกลูกเป็นไข่ ได้แก่ ตัวกินมด มีหนาม ตุ่นปากเป็ด กลุ่มที่ตั้งท้องระยะสั้นโดยตัวอ่อนที่ออกมา จะต้องอาศัยอยู่ในถุงหน้าท้องระยะหนึ่งจึงจะสามารถดำ รงชีวิตอยู่ ได้ด้วยตัวเอง เช่น โคอาลา จิงโจ้ และกลุ่มที่มีรกซึ่งตัวอ่อนเจริญ อยู่ภายในมดลูกของแม่ และได้รับสารอาหารผ่านทางรก ได้แก่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำ นมส่วนใหญ่รวมทั้งมนุษย์ (Kingdom Animalia) อาณาจักรสัตว์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 36


Click to View FlipBook Version