The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน วิชากลศาสตร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by อารียา พรมชาติ, 2022-12-16 05:52:53

วิจัยการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน วิชากลศาสตร์

วิจัยการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน วิชากลศาสตร์

รายงานการวจิ ัย

การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นในรายวชิ ากลศาสตรว์ ศิ วกรรม เรื่องหลักการพน้ื ฐาน
ของแรงในสามมิติ โดยวธิ ีการจัดการเรียนการสอนแบบเพ่ือนช่วยเพ่ือน
(Peer-Assisted Learning)
สำหรับนกั ศึกษาระดับชัน้ ประกาศนยี บัตรวชิ าชีพช้นั สงู ปีท่ี ๑/๑
สาขาวิชาเทคนคิ อุตสาหกรรม วทิ ยาลัยเทคนคิ อุตสาหกรรมยานยนต์

โดย
นางสาวอารยี า พรมชาติ

รายงานนเี้ ป็นส่วนหน่ึงของการจัดการเรียนรู้
รายวชิ ากลศาสตรว์ ิศวกรรม รหสั วิชา ๓๐๑๐๓-๐๑๐๑
ระดับชน้ั ประกาศนียบัตรวิชาชีพชัน้ สูงปีที่ ๑/๑ สาขาวิชาเทคนคิ อุตสาหกรรม

ภาคเรยี นท่ี ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕

วทิ ยาลัยเทคนิคอุตสาหกรรมยานยนต์
อาชีวศึกษาจังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา
สำนกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา



ผวู้ จิ ัย : นางสาวอารียา พรมชาติ

ช่ือเรื่อง : เร่ือง การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนในรายวชิ ากลศาสตรว์ ิศวกรรม

เร่ืองหลักการพน้ื ฐานของแรงในสามมิติ โดยวธิ ีการจัดการเรยี นการสอนแบบ

เพอื่ นชว่ ยเพือ่ น สำหรบั นกั ศกึ ษาระดับชน้ั ประกาศนียบัตรวิชาชพี ช้ันสูงปีที่ ๑/๑

สาขาวิชาเทคนิคอตุ สาหกรรม วทิ ยาลัยเทคนิคอตุ สาหกรรมยานยนต์

สาขาวชิ า : เทคนคิ อุตสาหกรรม

ท่ีปรกึ ษางานวจิ ัย : ผอู้ ำนวยการวทิ ยาลัยเทคนคิ อตุ สาหกรรมยานยนต์

รองผูอ้ ำนวยการวิทยาลยั เทคนิคอตุ สาหกรรมยานยนต์ ฝ่ายวิชาการ

ปกี ารศึกษา : ๒๕๖๕

บทคัดยอ่

การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนในรายวิชากลศาสตร์วศิ วกรรม
เร่ืองหลักการพื้นฐานของแรงในสามมิติ โดยวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน สำหรับ
นักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ัน สูงปีที่ ๑/๑ สาขาวิชาเทคนิคอุตสาหกรรม

วิทยาลัยเทคนิคอุตสาหกรรมยานยนต์ ประชากรในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตร
วิชาชีพชั้นสูงปีที่ ๑/๑ สาขาวิชาเทคนิคอุตสาหกรรม เครื่องมือที่ใช้ในเป็นแบบฝึกหัด โดยวิธีการสุ่ม

อย่างง่าย (Random sampling) จากนักศึกษาระดับระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงปีที่ ๑/๑
สาขาวิชาเทคนิคอุตสาหกรรม ภาคเรียนท่ี ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ วิทยาลัยเทคนิคอุตสาหกรรมยาน
ยนต์ เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการแก้ปัญหาเป็นแบบฝึกหัดเรื่องหลักการพื้นฐานของแรงในสามมติ ิ ผลการวิจัย

พบว่า นักศึกษาท่ีทำแบบทดสอบหลังเรียนเรื่องหลักการพื้นฐานของแรงในสามมิติ โดยวิธีการจัดการ
เรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน ในรายวิชากลศาสตร์วิศวกรรม รหัสวิชา ๓๐๑๐๐-๐๑๐๑ มี

ผลสัมฤทธิ์หลังเรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพ่ือน สูงกว่าก่อนใช้วิธีการจัดการ
เรยี นการสอนแบบเพ่อื นชว่ ยเพ่ือน รอ้ ยละ ๒๐.๘๐



สารบญั

บทท่ี หนา้

๑ บทนำ..................................................................................................................... ๑
ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา......................................................... ๑
วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั ................................................................................ ๒
ขอบเขตการวจิ ัย ............................................................................................. ๒
นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ............................................................................................ ๓
ประโยชน์ของการวิจยั .................................................................................... ๓

๒ เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ ก่ียวขอ้ ง............................................................................. ๔

แนวคดิ เก่ียวกับการพัฒนากจิ กรรมการเรยี นรู้................................................ ๕
ความรู้เกีย่ วกับการจดั การเรียนรูแ้ บบเพอ่ื นชว่ ยเพ่ือน.................................... ๑๔
ความรู้เกี่ยวกบั เร่อื งหลักการพน้ื ฐานของแรงในสามมิติ .................................. ๑๙
งานวจิ ยั ท่เี ก่ียวข้อง............................................................ ............................. ๒๒

๓ วิธีดำเนนิ การวจิ ัย .................................................................................................. ๒๔
ประชากร........................................................................................................ ๒๔

การสรา้ งเคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวิจยั ................................................................... ๒๔
การสร้างและการหาคุณภาพเคร่ืองมือ............................................................ ๒๕
การเกบ็ รวบรวมข้อมลู .................................................................................... ๒๖

การวิเคราะห์ขอ้ มูล......................................................................................... ๒๖
สถิตทิ ่ีใช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ....................................................................... ๒๖

๔ ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล ........................................................................................... ๒๘
ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล .................................................................................... ๒๘

๕ สรุป อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ....................................................................... ๒๙
อภิปรายผลการวจิ ัย........................................................................................ ๒๙

ภาคผนวก ก แบบทดสอบหลังเรยี น................................................................................ ๓๐

ภาคผนวก ข เฉลยแบบทดสอบหลงั เรียน........................................................................ ๓๔
ภาคผนวก ค ภาพถา่ ยกจิ กรรม........................................................................................ ๔๓

บรรณานกุ รม.......................................................................................................................... ๔๕



บทที่ ๑
บทนำ

๑. ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา

หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง พุทธศักราช 2563 เป็นหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นเพ่ือใช้ ใน
การจัดการศึกษาด้านวชิ าชีพระดับประกาศนียบัตรวิชาชพี ช้ันสูง และเพอ่ื ยกระดับการศึกษาวชิ าชีพของ
บุคคลให้สูงขึ้น สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนการศึกษาแห่งชาติ เป็นไป
ตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ มาตรฐานการศึกษาของชาติและกรอบคุณวุฒิอาชีวศึกษาแห่งชาติตลอดจน
ยึดโยงกับมาตรฐานอาชีพ โดยเน้นการเรียนรู้สู่การปฏิบัติเพ่ือพัฒนาสมรรถนะกำลังคนระดับเทคนิค
รวมท้ังคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพและกิจนิสัยท่ีเหมาะสมในการทำงานให้สอดคล้องกับ
ความต้องการกำลังคน ของตลาดแรงงาน ชุมชน สังคม และสามารถประกอบอาชีพอิสระได้ โดยเปิด
โอกาสให้ผู้เรียนเลอื กระบบ และวิธีการเรียนได้อย่างเหมาะสมตามศักยภาพ ตามความสนใจและโอกาส
ของตน ส่งเสริมให้มีการประสาน ความร่วมมือเพ่ือจัดการศึกษาและพัฒนาหลักสูตรร่วมกันระหว่าง
สถาบัน สถานศึกษา หน่วยงาน สถานประกอบการและองค์กรต่างๆ ท้ังในระดับชุมชน ระดับท้องถ่ิน
และระดับชาติ (สำนักงานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา, 2563)

รายวิชากลศาสตร์วิศวกรรม เป็นรายวิชาท่ีมีความสำคัญกับกลุ่มผู้เรียนในระดับชั้น
ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงช้ันปีที่ 1 เน่ืองจากเป็นรายวิชาที่เป็นพ้ืนฐานสำหรับการเรียนรู้ ศึกษา
เก่ียวกบั วิธกี ารแก้ปญั หาโจทย์ทางวศิ วกรรมโดยใช้หลักสถติ ศาสตร์และเวกเตอรช์ ่วย เกี่ยวกับระบบของ
แรง ชนิดของแรง โมเมนต์และแรงคู่ควบ สมดุล แผนภาพวัตถุอิสระ โครงสร้างและหลักการวิเคราะห์
เบื้องต้น แรงกระจาย สถิตศาสตร์ของไหล จุดศูนย์ถ่วง เซนทรอยด์ โมเมนต์ความเฉื่อย และการ
แกป้ ญั หาโจทยส์ ถิตศาสตร์วิศวกรรมที่เกี่ยวขอ้ งกบั สาขาวชิ าชีพ

ผู้วิจยั ไดส้ งั เกตจากการเรียนการสอนพบว่านักศึกษามีความแตกตา่ งระหวางบุคคลค่อนข้างมาก
จากการที่ครูผสู้ อนได้ถ่ายทอดความรู้ให้กับ นักศกึ ษาในชั้นเรียนแล้วได้ประเมินผลการเรียนการสอนโดย
การมอบหมายให้ทําแบบทดสอบและแบบฝึกหัดพบว่านักศึกษาบางคนไม่สามารถทำแบบทดสอบ
แบบฝึกหัดและทําข้อสอบผา่ นตามเกณฑ์ที่กำหนดซ่งึ ปัญหาดงั กล่าวนั้นเกดิ จากการที่นกั ศึกษาบางคนมี
ทักษะการเรียนรู้ได้ช้า มีพ้ืนฐานเกี่ยวกับการคำนวณไม่เท่ากัน และมีความสามารถในการเรียนรู้ที่ไม่
เทา่ กันจึงไดห้ าวิธีการจูงใจให้นักศึกษา ให้มีความสนใจและกระตุ้นใหน้ กั ศกึ ษา มคี วามกระตือรือร้นมาก
ยิ่งขึ้น กิจกรรมการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพ่ือนนั้นเป็นวิธีการท่ีช่วยส่งเสริมและสนับสนุนไดโ้ ดย
ให้เพ่ือนได้มีบทบาทสําคัญในการเรียนการสอนเพราะเพ่ือนมีอิทธิพลในการสร้างแรงจูงใจและความ
สนใจที่จะเกิดการเรียนรู้ จากปัญหาดังกล่าวผู้วิจัยจึงมีความสนใจวิธีการที่จะนํามาแกไขปัญหาในการ
เรียนการสอนที่จะทําให้นักศึกษาสามารถเรียนประสบความสําเร็จและสัมฤทธิ์ผล คือวิธีการเรียนที่
เรียกว่าการเรียนรู้ร่วมกันแบบเพื่อนช่วยเพื่อน เพื่อให้นักศึกษาเกิดการ เรียนรู้และพัฒนาจึงได้นํา
กจิ กรรมการเรียนแบบเพ่ือนช่วยเพ่ือนเข้ามาช่วยในการจัดการเรียนการสอน เพราะการเรียนการสอน
โดยวธิ ีการดังกล่าวจะช่วยแก้ปัญหาและพัฒนาดา้ นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา และเป็นการ
สร้างความสัมพันธ์ท่ีดีในชั้นเรียนทั้งสร้างความภาคภูมิใจให้กับ นักศึกษาท่ีได้ช่วยเหลือบุคคลอื่นและ
ช่วยให้บรรยากาศในการเรียน การสอน มีความกระตือรือร้น มากยิ่งขึ้น ซ่ึงจะเป็นประโยชน์ต่อการ



พัฒนาความรู้ในทางด้านอ่ืนๆ ดังน้ันผู้วิจัยจึงเลือกใช้วิธีการ เรียนแบบเพ่ือนช่วยเพ่ือน โดยมุ่งหวังให้
นักศึกษามคี วามรคู้ วามเข้าใจในเนอื้ หารายวิชาท่ีดีและมผี ลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นดีขน้ึ

๒. วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจัย
๑. เพื่อพัฒนาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นในรายวชิ ากลศาสตร์วศิ วกรรม เรื่องหลักการพน้ื ฐานของ

แรงในสามมิติ โดยวธิ ีการจัดการเรียนการสอนแบบเพอ่ื นชว่ ยเพื่อน สำหรับนกั ศึกษาระดับชัน้
ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ชนั้ สงู ปีที่ ๑/๑ สาขาวชิ าเทคนคิ อตุ สาหกรรม วิทยาลัยเทคนคิ อตุ สาหกรรมยาน
ยนต์

๒. เพอื่ เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิก่อนการเรยี นและหลังการเรียนแบบเพื่อนช่วยเพ่ือน ในรายวชิ า
กลศาสตร์วิศวกรรม เรื่องหลักการพื้นฐานของแรงในสามมิติ ของนักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตร
วชิ าชีพช้นั สงู ปที ่ี ๑/๑ สาขาวชิ าเทคนคิ อตุ สาหกรรม วิทยาลยั เทคนิคอุตสาหกรรมยานยนต์

๓. สมมติฐานของการศึกษา
นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิการเรียนเร่ืองหลักการพ้ืนฐานของแรงในสามมิติ หลังจากเรียนรู้แบบ

เพื่อนชว่ ยเพอื่ น สูงกว่ากอ่ นการเรียน รอ้ ยละ๒๐ข้ึนไป
นกั เรียนแผนกวิชาชา่ งกลโรงงาน ระดับช้นั ประกาศนียบตั รวิชาชีพชั้นปีท่ี 1 ร้อยละ 75 ขึน้ ไป

มีทักษะการแก้ปัญหา เรอื่ งการลบั มดี กลึงปาดหน้า หลังจากเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพ่ือน อยู่ในระดบั ดี
ข้ึนไป
๔. ขอบเขตของการศกึ ษา

๑. แบบฝึกหัดเรื่องหลักการพื้นฐานของแรงในสามมิติ โดยการเรียนการสอนแบบเพ่ือนช่วย
เพ่อื น

๒. ระยะเวลาท่ีดำเนินการศึกษาดำเนินการทดลองใน ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โดย
ใช้แบบฝึกหดั เร่อื งหลักการพน้ื ฐานของแรงในสามมติ ิ โดยการเรียนการสอนแบบเพือ่ นช่วยเพ่ือน ใช้สอน
จำนวน ๙ ชว่ั โมง

๕. ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
๑. ประชากร ได้แก่ นักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันสูงปีที่ ๑/๑ สาขาวิชาเทคนิค

อุตสาหกรรม วิทยาลยั เทคนิคอุตสาหกรรมยานยนต์ ภาคเรยี นท่ี ๑ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๕ จำนวน ๘ คน
๒. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ นักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันสูงปีท่ี ๒/๒

สาขาวิชาเทคนคิ อุตสาหกรรม วทิ ยาลัยเทคนคิ อุตสาหกรรมยานยนต์ ภาคเรยี นที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕
จำนวน ๘ คน

๖. ตัวแปรทีศ่ กึ ษา
๑. ตัวแปรอิสระ ได้แก่ แบบฝึกหัดเรื่องหลักการพ้ืนฐานของแรงในสามมิติ โดยการเรียนการ

สอนแบบเพอ่ื นชว่ ยเพื่อน
๒. ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นหลังเรียนด้วยการเรียนการสอนแบบเพ่ือนช่วย

เพื่อน



๗. นิยามศัพท์เฉพาะ
๑. แบบฝึกหัด หมายถึง แบบฝึกหัดเร่ืองหลกั การพ้นื ฐานของแรงในสามมติ ิ ดว้ ยวธิ กี ารเรียนรู้

แบบเพ่อื นชว่ ยเพ่ือน ทผ่ี วู้ จิ ัยสร้างขน้ึ
๒. นักเรียน หมายถึง นักเรียนประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีท่ี ๑/๑ สาขาวิชาเทคนิค

อตุ สาหกรรม วิทยาลัยเทคนคิ อตุ สาหกรรมยานยนต์
๓. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น เพ่ือวัด

ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในการเรียนด้วยแบบฝึกหัดเรื่องหลักการพน้ื ฐานของแรงในสามมิติ
ดว้ ยวธิ ีการเรียนร้แู บบเพอ่ื นชว่ ยเพอ่ื น

๘. ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะได้รบั
๑. ได้แบบฝึกหัดเรื่องหลกั การพนื้ ฐานของแรงในสามมติ ิ ดว้ ยวธิ กี ารเรยี นรแู้ บบเพือ่ นช่วย

เพือ่ น นำไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนได้เป็นอย่างดี
๒. นักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกหัดเรื่องหลักการพ้ืนฐานของแรงในสามมิติ ด้วยวิธกี ารเรียนรู้

แบบเพอ่ื นชว่ ยเพือ่ น มผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสงู ขึ้น



บทที่ ๒
เอกสารทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การศกึ ษา

ในการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชากลศาสตร์วิศวกรรม เร่ือง
หลักการพื้นฐานของแรงในสามมิติ โดยวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบเพ่ือนช่วยเพื่อน สำหรับ
นักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้น สูงปีที่ ๑/๑ สาขาวิชาเทคนิคอุตสาหกรรม
วิทยาลยั เทคนิคอุตสาหกรรมยานยนต์ ผู้วจิ ัยได้ศึกษาทฤษฎแี ละงานทเี่ ก่ียวขอ้ งตามลำดบั หัวขอ้ ดงั น้ี
1. แนวคิดเกย่ี วกบั การพัฒนากิจกรรมการเรยี นรู้

1.1 ความหมายของกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ (หรือความหมายของนวัตกรรมการจัดการ
เรียนรู)้

1.2 ประเภทของกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ (หรือ ประเภทของนวัตกรรมการจดั การเรียนรู้)
1.3 วธิ กี ารสรา้ งและหาคุณภาพนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้
2. ความรู้เกยี่ วกบั การจดั การเรยี นรแู้ บบเพื่อนช่วยเพ่ือน (Peer-Assisted Learning)
2.1 แนวคดิ ทฤษฎเี กีย่ วกับการจัดการเรียนร้แู บบเพือ่ นช่วยเพื่อน (Peer-Assisted Learning)
2.2 ประโยชน์ของการจดั การเรียนรแู้ บบเพื่อนช่วยเพ่ือน (Peer-Assisted Learning)
2.3 ข้นั ตอนในการจดั การเรียนรู้แบบเพ่ือนชว่ ยเพอื่ น (Peer-Assisted Learning)
3. ความรเู้ กี่ยวกบั เรอื่ งหลักการพืน้ ฐานของแรงในสามมิติ
3.1 ความหมายของแรงในสามมิติ
3.2 การวิเคราะหแ์ รงในสามมิติ
4. งานวิจยั ท่เี กีย่ วขอ้ ง
4.1 งานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับวิธีการจัดการเรียนรู้แบบเพ่ือนช่วยเพื่อน (Peer-Assisted
Learning)



1. แนวคิดเกี่ยวกบั การพัฒนากิจกรรมการเรยี นรู้

ในการนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกบั พัฒนาการจัดการเรยี นรู้ มีหัวข้อย่อยคอื ความหมายของกิจกรรมการ
จัดการเรียนรู้ (หรือความหมายของนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้) ประเภทของกิจกรรมการจัดการ
เรียนรู้ (หรอื ประเภทของนวัตกรรมการจดั การเรยี นรู)้ และวิธกี ารสร้างและหาคุณภาพนวัตกรรมการ
จดั การเรียนรู้ ซง่ึ มรี ายละเอยี ดดงั ต่อไปน้ี

1.1 ความหมายของกจิ กรรมการจัดการเรยี นรู้ (หรอื ความหมายของนวตั กรรมการ
จัดการเรยี นร)ู้

สุมน อมรวิวัฒน์ (2533 อ้างถึงในวิทยา พัฒนเมธาดา, 2560) ได้ให้ความหมายของการจัดการ
เรียนร้คู อื สถานการณอ์ ย่างหน่งึ ทมี่ สี ่ิงต่อไปน้ีเกดิ ขน้ึ ได้แก่
1. มีความสัมพันธ์และมีปฏิสัมพันธ์เกิดขึ้น ระหว่างผู้สอนกับ ผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้เรียน ผู้เรียนกับ
สง่ิ แวดลอ้ ม และผสู้ อนกบั สิง่ แวดลอ้ ม
2. ความสัมพันธแ์ ละการมปี ฏสิ ัมพันธก์ อ่ ให้เกดิ การเรยี นรแู้ ละประสบการณใ์ หม่
3. ผ้เู รียนสามารถนำประสบการณ์ใหมน่ ัน้ ไปใช้ได้
วิชัย ประสิทธ์วุฒิเวชช์ (2542 อ้างถึงใน วิทยา พัฒนเมธาดา, 2560) ได้กล่าวว่า การจัดการ
เรียนรู้เป็นกระบวนการท่ีมีระบบระเบียบคลอบคลุมการคำเนินการ ตั้งแต่การวางแผน การจัดการ
เรยี นรู้ จนถงึ การประเมนิ ผล
Hough & Duncan (1970 อ้างถึงใน วิทยา พัฒนเมธาดา, 2560) อธิบายความหมายของการ
จดั การเรียนรู้ว่าหมายถงึ กจิ กรรมทีบ่ คุ คลไดใ้ ชค้ วามรู้ของตนเองอย่างสรา้ งสรรค์เพอื่ สนบั สนนุ ให้ผ้อู ่ืน
เกดิ การเรียนรู้ และมีความผาสกุ ดงั นน้ั การจัดการเรยี นร้จู งึ เปน็ กจิ กรรมในแง่มุมตา่ ง ๆ 4 ด้านดงั นี้
1. การจดั การหลกั สูตร(Curriculum)
2. การจัดการเรียนการสอน(Instruction)
3. การวัดผล(Measuring)
4. การประเมนิ ผลการเรยี นร้(ู Evaluation)หลงั การเรียนการสอน
จากข้อมูลการจัดการเรียนรู้ที่ได้สืบค้นไว้ข้างต้นสามารถสรุปได้ว่าการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การ
วางแผนให้เกิดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน และผู้สอนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความคิด
สร้างสรรค์ เกดิ ประสบการณใ์ หม่ และผู้เรยี นสามารถนำความรูไ้ ปประยุกตใ์ ช้กับชีวติ จรงิ ได้
สำหรบั งานวิจัยคร้ังนี้ ความหมายของกิจกรรมการจัดการเรยี นรู้ คือ การจัดการเรียนร้เู พอื่ เสริมสร้าง
กิจกรรมทบ่ี คุ คลให้กลา้ แสดงความคิดเชงิ สรา้ งสรรค์ ภายใตส้ ถานการณต์ ่างๆ



1.2 ประเภทของกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ (หรือ ประเภทของนวัตกรรมการจัดการ
เรยี นรู)้

ได้มีผูก้ ลา่ วถึงประเภทของการจดั การเรียนรู้ ดังนี้
ทิศนา แขมมณี (2545) ได้อธบิ ายถึงประเภทของกลุม่ การเรียนรแู้ บบร่วมมือไวว้ ่า กลุ่มการเรียนร้ทู ี่
ใช้กันโดยท่วั ไปมี 3 ประเภท ดงั นี้
1. กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างเป็นทางการ (Formal Cooperative) กลุ่มประเภทน้ีครูจัดขึ้น
โดยการวางแผน จัดระเบียบ กฎเกณฑ์ วิธีการและเทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนได้ร่วมมือกันเรียนรู้
สามารถตา่ ง ๆ อยา่ งต่อเน่อื งอาจเปน็ หลาย ๆ ช่ัวโมงติดต่อกัน หลายสัปดาหจ์ นผู้เรียนเกิดการเรยี นรู้
ตามเป้าหมายท่กี ำหนด
2. กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบไม่เป็นทางการ (Informal Cooperative) กลุ่มประเภทนี้จัดขึ้น
ชวั่ คราว เฉพาะกิจ โดยสอดแทรกการสอนปกติ โดยเฉพาะการสอนแบบบรรยาย ครูสามารถจัดกลุ่ม
การเรียนรู้แบบร่วมมือสอดแทรกเขา้ ไปเพ่อื ช่วยใหผ้ ้เู รียนมุ่งความสนใจ
3. กลุม่ การเรียนรูแ้ บบรว่ มมืออย่างถาวร (Cooperative Base Groups) กล่มุ ประเภทน้ีเป็นกลุ่มการ
เรียนรู้ท่ีสมาชิกกลุ่มมีประสบการณ์การทำงานและการเรียนรู้รวมกันมานานจนกระท่ังเกิดความ
สัมพันธภาพท่แี นน่ แฟน้ สมาชิกกลมุ่ มีความผูกพันหว่ งใย ช่วยเหลอื กันและกันอย่างตอ่ เน่อื ง
การเรยี นรแู้ บบร่วมมอื มเี ทคนิคมากมายหลายรูปแบบซ่ึงแต่ละรูปแบบจะมีวธิ กี ารดำเนินการทต่ี า่ งกัน
ตามวัตถุประสงค์เฉพาะ แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดต่างก็ใช้หลักการเดียวกันคือหลักการเรียนรู้แบบ
ร่วมมือ 5 ประการ และมีวัตถุประสงค์ท่ีเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือเพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ใน
เนื้อหาสาระท่ีศึกษามากที่สุด โดยอาศัยการร่วมมือกัน การช่วยเหลือกัน และการแลกเปล่ียนเรียนรู้
ระหวา่ งผู้เรยี นในกลมุ่ และผ้เู รียนในระหว่างกลุ่มด้วยกนั ความแตกตา่ งของรปู แบบแต่ละรปู แบบจะอยู่
ที่เทคนิคในการศึกษาเนอ้ื หาสาระและวิธีการเสรมิ แรงและจะให้รางวัลเปน็ ประการสำคญั ทิศนา แขม
มณี (2550) ได้อธิบายเทคนคิ การเรียนแบบรว่ มมอื ดงั ตอ่ ไปน้ี
1. เทคนิคการต่อเร่ืองราว (Jigsaw) เป็นเทคนิคท่ีใช้ในการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้มีการร่วมมือ
ระหว่างสมาชกิ ในกลมุ่ และมกี ารถ่ายทอดความรกู้ ันระหวา่ งกลมุ่
2. เทคนคิ การจัดทมี แข่งขัน (TGT : Team Games Tournament) เหมาะสำหรับการเรียนการสอน
ท่ีต้องการให้กลุ่มผู้เรียนได้ศึกษาประเด็น หรือปัญหาที่มีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียวซึ่งเป็น
คำตอบทช่ี ัดเจน เช่น คณิตศาสตร์ การใช้ภาษา สงั คมศึกษา เปน็ ต้น
3. เทคนคิ แบ่งปันความสำเรจ็ (STAD : Student Teams Achievement Division) เป็นการรว่ มมือ
กนั ระหว่างสมาชิกในกลุ่มโดยทุกคนจะต้องพัฒนาความรู้ของตนเองในเร่ืองผู้สอนกำหนดซึ่งจะมกี าร
ชว่ ยเหลือทบทวนความรู้ให้แก่กัน มีการทดสอบเป็นรายบุคคลแทนการแข่งขัน และรวมคะแนนเป็น
กลุ่ม กลุ่มท่ีได้คะแนนมากท่ีสุดจะเป็นฝ่ายชนะ เหมาะสำหรบั ใช้ในการเรียนการสอนในบทเรียนที่มี
เน้ือหาไมย่ ากเกนิ ไป
4. เทคนิคกลุ่มสืบค้น (GI : Group Investigation) เป็นเทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือที่จัดผู้เรียน
ออกเป็นกลุ่มเพือ่ เตรยี มทำงานหรือทำโครงงานทผ่ี ู้มอบหมายมอบหมายให้ เทคนิคน้ีเหมาะสำหรับฝึก
ผู้เรียนรู้จักสืบค้นความรู้หรือวางแผนสืบสวนเพื่อแก้ปัญหาหรือหาคำตอบในประเด็นที่สนใจ ดังนั้น



ก่อนการดำเนินการดำเนินกิจกรรมทุกคร้ังผู้สอนควรฝึกทักษะการส่ือสาร ทักษะการคิด ตลอดจน
ทักษะทางสงั คมใหแ้ ก่ผเู้ รยี นก่อน
5. เทคนิคคู่คิด (Think Pair Share) เป็นเทคนิคที่ผู้สอนใช้คู่กับวิธีสอนแบบอื่นเรียกว่าเทคนิคคู่คิด
เป็นเทคนคิ ทผ่ี สู้ อนตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาให้แก่ผ้เู รียน ซ่งึ อาจจะเปน็ ใบงานหรือแบบฝึกหัดก็ได้
และให้ผู้เรียนแต่ละคนคิดหาคำตอบของตนก่อน แล้วจับคู่กับเพื่อนอภิปรายคำตอบ เม่ือมั่นใจว่า
คำตอบของคนถูกต้องแล้วจึงนำคำตอบไปอธิบายใหเ้ พือ่ นทั้งช้นั ฟงั
6. เทคนิคเพ่ือนคู่คิด 4 สหาย (Think Pair Square) เป็นเทคนิคท่ีผู้สอนตอบคำถามหรือกำหนด
ปัญหาให้แกผ่ เู้ รียน ซ่ึงผู้สอนอาจทำเปน็ ใบงานหรอื แบบฝกึ หัดกไ็ ด้ ให้ผ้เู รยี นแตล่ ะคนตอบคำถามหรือ
ตอบปญั หาดว้ ยตนเองก่อนแลว้ จบั คูก่ บั เพื่อน นำคำตอบไปผลัดกันอธิบายคำตอบดว้ ยความม่ันใจ
7. เทคนิคคู่ตรวจสอบ (Pairs Check) เป็นเทคนิคที่ผู้สอนตอบคำถามหรือกำหนดปัญหา (โจทย์)
ใหก้ ับผู้เรียนโดยจัดทำเป็นใบงานหรอื แบบฝึกหัดท่ีมคี ำตอบหรอื โจทย์หลายข้อจำนวนข้อจะเป็นเลขคู่
ผู้เรียนจะจับคู่กนั เมื่อได้รบั โจทยห์ รือปัญหาจากผสู้ อน คนหนึ่งจะทำหน้าท่ีตอบคำถามหรือแก้ปัญหา
โจทย์ครบ 2 ข้อ แล้วให้สมาชิกทั้งคู่ (ซ่ึงจัดในกลุ่มเดียวกัน) เปรียบเทียบคำตอบซ่ึงกันและกัน
เหมาะสมกับใบงานหรอื แบบฝึกหดั ทไ่ี มย่ ากและไม่ซับซอ้ น
8. เทคนิคการสัมภาษณ์ 3 ขน้ั ตอน (Three-Step Interview) เปน็ เทคนิคท่ีฝกึ ให้ผู้เรียนแต่ละคนได้
มีประสบการณ์ในการสัมภาษณ์บุคคลและเก็บใจความสำคัญ หรืออาจจะเป็นการสรุปความคิดรวบ
ยอดในเร่ืองทเ่ี รียน
9. เทคนิคร่วมกันคิด (Numbered Heads Together) เหมาะสมกับการทบทวนความรู้หรือ
ตรวจสอบความรูค้ วามเข้าใจ ผู้สอนใช้คำถามถามผเู้ รียนและให้ผ้เู รียนแต่ละกลุ่มช่วยกันคิดหาคำตอบ
แล้วผู้สอนสุ่มเรียกสมาชิกคนหน่ึงของกลมุ่ ใดกลมุ่ หน่งึ ออกมาตอบคำถาม
10. เทคนิคเล่าเร่ืองรอบวง (Round Robin) เป็นเทคนิคที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มได้ผลัดกันเล่า
ประสบการณ์ ความรู้ท่ีตนเองได้ศึกษาตลอดจนสิ่งท่ีตนประทบั ใจใหแ้ กเ่ พ่ือนๆในกลมุ่ ฟังทีละคน หรือ
อาจจะเป็นเรื่องสมาชกิ ในกลมุ่ ตอ้ งการจะเสนอแนะแสดงความคดิ เห็น แนะนำตนเอง พดู ถึงส่วนดีของ
เพอื่ น ยกตวั อย่างการกระทำของบุคคลท่ีสอดคลอ้ งกับเรื่องท่เี รยี นไปแล้วหรือที่กำลงั จะเรียน เป็นต้น
โดยสมาชิกทุกคนได้ใช้เวลาในการเล่าเท่าๆกัน หรือใกล้เคยี งกัน ซึ่งจะเป็นการฝึกให้ผู้เรียนเป็นคนมี
ความรแู้ ละเทคนิคการเล่าเรอื่ งเป็นอยา่ งดี
ทศั นวรรณ รามณรงค์ (2556) ไดแ้ บ่งเทคนคิ การจกั ารเรียนรูแ้ บบร่วมมอื เปน็ 9 เทคนิค ดงั น้ี
1. เทคนิคการแข่งขันระหว่างกลุ่มด้วยเกม (Team – Games – Tournament หรือ TGT) คือ
การจัดกลุ่มนักเรยี นเป็นกลุ่มเลก็ ๆ กลุ่มละ 4 คน ระดบั ความสามารถต่างกัน (Heterogeneous
teams) คือ นักเรียนเก่ง 1 คน ปานกลาง 2 คน และอ่อน 1 คน ครูกำหนดบทเรียนและ
การทำงานของกลุ่มเอาไว้ ครูทำการสอนบทเรียนให้นักเรียนทั้งช้ันแล้วให้กลุ่มทำงานตามที่กำหนด
นักเรียนในกลุ่มช่วยเหลือกัน เด็กเก่งช่วยและตรวจงานของเพ่ือนให้ถูกต้องก่อนนำส่งครู แล้วจัด
กลมุ่ ใหมเ่ ปน็ กลุ่มแข่งขันทม่ี ีความสามารถเท่า ๆ กนั (Homogeneous tournament teams) มา
แขง่ ขันตอบปญั หาซึ่งจะมกี ารจดั กลุ่มใหม่ทุกสปั ดาห์ โดยพิจารณาจากความสามารถของแตล่ ะบคุ คล
คะแนนของกลุ่มจะได้จากคะแนนของสมาชิกที่เข้าแข่งขันร่วมกับกลุ่มอ่ืน ๆ ร่วมกัน แล้วมีการมอบ
รางวัลให้แก่กลุ่มทไี่ ดค้ ะแนนสงู ถึงเกณฑ์ท่ีกำหนดไว้



2. เทคนิคการแบ่งกลุ่มแบบกลุ่มสัมฤทธ์ิ (Student Teams Achievement Divisions หรือ
STAD) คือ การจัดกลุ่มเหมือน TGT แต่ไม่มีการแข่งขัน โดยให้นักเรียนทุกคนต่างคนต่างทำ
ขอ้ สอบ แล้วนำคะแนนพัฒนาการ (คะแนนท่ีดีกวา่ เดิมในการสอบครั้งก่อน) ของแต่ละคนมารวมกัน
เป็นคะแนนกลุ่ม และมกี ารให้รางวัล
3. เทคนิคการจัดกลุ่มแบบช่วยรายบุคคล (Team Assisted Individualization หรือ TA)
เทคนิคนี้เหมาะกับวิชาคณิตศาสตร์ ใช้สำหรับระดับประถมปที ี่ 3 – 6 วธิ ีน้ีสมาชิกกลุม่ มี 4 คน มี
ระดับความรู้ต่างกัน ครูเรียกเด็กท่ีมีความรู้ระดับเดียวกันของแต่ละกลุ่มมาสอนตามความยากง่าย
ของเน้ือหา วิธีที่สอนจะแตกต่างกัน เด็กกลับไปยังกลุ่มของตน และต่างคนต่างทำงานที่ได้รับ
มอบหมายแต่ชว่ ยเหลือซงึ่ กันและกัน มีการให้รางวลั กลมุ่ ที่ทำคะแนนไดด้ กี วา่ เดมิ
4. เทคนิคโปรแกรมการร่วมมือในการอ่านและเขียน (Cooperative Integrated Reading and
Composition หรือ CIRC) เทคนิคน้ีใช้สำหรับวิชา อ่าน เขียน และทักษะอื่น ๆ ทางภาษา
สมาชิกในกลุ่มมี 4 คน มีพ้ืนความรเู้ ท่ากัน 2 คน อีก 2 คน ก็เท่ากัน แตต่ า่ งระดับความรูก้ ับ
2 คนแรก ครูจะเรียกคู่ที่มีความรู้ระดับเท่ากันจากกลุ่มทุกกลุ่มมาสอน ให้กับเข้ากลุ่ม แล้วเรยี กคู่
ตอ่ ไปจากทกุ กลุ่มมาสอน คะแนนของกลุม่ พิจารณาจากคะแนนสอบของสมาชกิ กลมุ่ เป็นรายบุคคล
5. เทคนคิ การต่อภาพ (Jigsaw) เทคนิคน้ีใช้สำหรบั นักเรียนชัน้ ประถมปีที่ 3 - 6สมาชกิ ในกลุ่มมี 6
คน ความรู้ตา่ งระดับกนั สมาชิกแต่ละคนไปเรียนร่วมกันกับสมาชิกของกล่มุ อื่น ๆ ในหัวข้อท่ีต่างกัน
ออกไป แล้วทุกคนกลับมากลุม่ ของตน สอนเพ่ือนในสิ่งที่ตนไปเรียนรว่ มกบั สมาชกิ ของกลมุ่ อ่นื ๆ มา
การประเมินผลเป็นรายบุคคลแล้วรวมเปน็ คะแนนของกลุ่ม
6. เทคนิคการต่อภาพ 2 (Jigsaw II) เทคนิคน้ีสมาชิกในกลุ่ม 4 – 5 คน นักเรียนทุกคนสนใจ
เรยี นบทเรียนเดยี วกัน สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มใหค้ วามสนใจในหวั ข้อย่อยของบทเรยี นตา่ งกัน ใครท่ี
สนใจหวั ข้อเดียวกันจะไปประชุมกนั ค้นคว้าและอภิปราย แล้วกลับมาท่ีกลุ่มเดิมของตนสอนเพื่อน
ในเรื่องท่ีตนเองไปประชุมกับสมาชิกของกลุ่มอ่ืนมา ผลการสอบของแต่ละคนเป็นคะแนนของกลุ่ม
กลุ่มท่ีทำคะแนนรวมได้ดีกว่าครง้ั กอ่ น (คิดคะแนนเหมอื น STAD) จะไดร้ ับรางวลั ข้ันตอนการเรียน
มีดงั นี้

1) ครูแบ่งหัวขอ้ ทจี่ ะเรียนเป็นหัวขอ้ ยอ่ ย ๆ ใหเ้ ทา่ กับจำนวนสมาชกิ ของแตล่ ะกลุม่
2) จัดกลุ่มนักเรียนโดยให้มีความสามารถคละกนั ภายในกลุ่มเปน็ กลมุ่ บ้าน (Home group)
สมาชกิ แตล่ ะคนในกลุม่ อา่ นเฉพาะหัวขอ้ ยอ่ ยที่ตนได้รบั มอบหมายเทา่ นนั้ โดยใช้เวลาตามท่คี รูกำหนด
3) จากนั้นนักเรียนท่ีอ่านหัวข้อย่อยเดียวกันมานั่งด้วยกัน เพ่ือทำงาน ซักถามและทำ
กิจกรรม ซึ่งเรียกว่ากลุ่มผเู้ ช่ียวชาญ (Expert group) สมาชิกทุก ๆ คน ร่วมมือกันอภิปรายหรือ
ทำงานอยา่ งเท่าเทยี มกัน โดยใช้เวลาตามทีค่ รูกำหนด
4) นักเรียนแต่ละคนในกลุ่มผู้เช่ียวชาญ กลับมายังกลุ่มบ้าน (Home group) ของตน
จากนั้นผลัดเปลย่ี นกันอธบิ ายให้เพื่อนสมาชิกในกลุม่ ฟงั เริ่มจากหัวข้อย่อยที่ 1, 2, 3 และ 4 เป็น
ต้น
5) ทำการทดสอบหวั ข้อยอ่ ย 1 – 4 กบั นกั เรียนทั้งห้อง คะแนนของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม
รวมเปน็ คะแนนกลุ่ม กลมุ่ ทไ่ี ด้คะแนนสงู สุดจะได้รบั การติดประกาศ



7. เทคนิคการตรวจสอบเป็นกลุ่ม (Group Investigation) เทคนิคนี้สมาชิกในกลุ่มมี 2 – 6 คน
เปน็ รูปแบบท่ีซบั ซ้อน แตล่ ะกลุ่มเลือกหัวข้อเรอื่ งท่ีตอ้ งการจะศึกษาค้นควา้ สมาชิกในกลมุ่ แบ่งงาน
กันท้ังกลุ่มมีการวางแผนการดำเนินงานตามแผน การวิเคราะห์ การสังเคราะห์งานที่ทำ การ
นำเสนอผลงานหรือรายงานต่อหน้าชน้ั การใหร้ างวลั หรือใหค้ ะแนนเป็นกลมุ่
8. เทคนิคการเรียนร่วมกัน (Learning Together) วิธนี ี้สมาชิกในกลุ่มมี 4 – 5 คน ระดับความรู้
ความสามารถต่างกัน ใช้สำหรบั นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 – 6 โดยครทู ำการสอนทัง้ ชั้น เด็กแต่
ละกล่มุ ทำงานตามท่คี รมู อบหมาย คะแนนของกลมุ่ พจิ ารณาจากผลงานของกล่มุ
9. เทคนิคการเรียนแบบรว่ มมือร่วมกลุ่ม (Co – op – Co - op) ซ่ึงเทคนคิ นี้ ประกอบด้วยขั้นตอน
ต่าง ๆ ดังน้ีคือ นักเรียนช่วยกันอภิปรายหัวข้อที่จะศึกษา แบ่งหัวข้อใหญ่เป็นหัวข้อย่อย แล้วจัด
นกั เรยี นเขา้ กลุ่มตามความสามารถที่แตกต่างกนั กลุ่มเลอื กหัวข้อที่จะศึกษาตามความสนใจของกลุ่ม
กลุ่มแบ่งหัวข้อย่อยออกเป็นหัวข้อเล็ก ๆ เพื่อนักเรียนแต่ละคนในกลุ่มเลือกไปศึกษา และมีการ
กำหนดบทบาทและหน้าที่ของแต่ละคนภายในกลุ่ม แล้วนักเรียนเลือกศึกษาเรื่องที่ตนเลือกและ
นำเสนอต่อกลุ่ม กลุ่มรวบรวมหัวข้อตา่ ง ๆ จากนักเรยี นทกุ คนภายในกลุ่ม แล้วรายงานผลงานตอ่ ชั้น
และมีการประเมินผลงานของกลุ่ม
จากข้างต้นสรปุ ได้ว่าประเภทของกิจกรรมการจดั การเรียนรู้ประเภทของกลมุ่ การเรียนรู้แบบร่วมมือท่ี
ใช้กนั โดยท่ัวไปมี 3 ประเภท ดังนี้
1. กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างเป็นทางการ (Formal Cooperative) กลุ่มประเภทน้ีครูจัดข้ึน
โดยการวางแผน จัดระเบียบ กฎเกณฑ์ วิธีการและเทคนิคต่าง ๆ เพ่ือให้ผู้เรียนได้ร่วมมือกันเรียนรู้
สามารถตา่ ง ๆ อย่างตอ่ เนือ่ งอาจเป็นหลาย ๆ ชั่วโมงติดต่อกัน หลายสัปดาห์จนผู้เรยี นเกิดการเรียนรู้
ตามเปา้ หมายทก่ี ำหนด
2. กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบไม่เป็นทางการ (Informal Cooperative) กลุ่มประเภทน้ีจัดข้ึน
ช่วั คราว เฉพาะกิจ โดยสอดแทรกการสอนปกติ โดยเฉพาะการสอนแบบบรรยาย ครูสามารถจัดกลุ่ม
การเรียนรแู้ บบร่วมมอื สอดแทรกเขา้ ไปเพ่อื ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นมุ่งความสนใจ
3. กล่มุ การเรียนรูแ้ บบรว่ มมอื อย่างถาวร (Cooperative Base Groups) กลมุ่ ประเภทน้ีเป็นกลุ่มการ
เรียนรู้ที่สมาชิกกลุ่มมีประสบการณ์การทำงานและการเรียนรู้รวมกันมาน านจนกร ะท่ังเกิดความ
สมั พนั ธภาพท่แี นน่ แฟ้น สมาชกิ กลมุ่ มีความผูกพันห่วงใย ช่วยเหลอื กนั และกันอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง
โดยแบง่ เทคนิคการจดั การเรยี นรูแ้ บบรว่ มมอื เป็น 9 เทคนิค ดงั นี้
1. เทคนิคการแข่งขนั ระหวา่ งกลุ่มดว้ ยเกม (Team – Games – Tournament หรอื TGT)
2. เทคนิคการแบ่งกลุ่มแบบกลุ่มสัมฤทธ์ิ (Student Teams Achievement Divisions หรือ
STAD)
3. เทคนคิ การจดั กลุ่มแบบช่วยรายบคุ คล (Team Assisted Individualization หรือ TA)
4. เทคนิคโปรแกรมการร่วมมือในการอ่านและเขียน (Cooperative Integrated Reading and
Composition หรอื CIRC)
5. เทคนิคการต่อภาพ (Jigsaw)
6. เทคนิคการต่อภาพ 2 (Jigsaw II)
7. เทคนิคการตรวจสอบเปน็ กลมุ่ (Group Investigation)

๑๐

8. เทคนิคการเรียนรว่ มกนั (Learning Together)
9. เทคนิคการเรียนแบบรว่ มมอื รว่ มกล่มุ (Co – op – Co - op)
นอกจากน้ยี งั มีเทคนิคที่คุณ ทิศนา แขมมณี (2550) ไดใ้ หเ้ ทคนคิ เพ่ิมขนึ้ มาอีก 6 เทคนคิ ไดแ้ ก่
1. เทคนิคคูค่ ิด (Think Pair Share)
2. เทคนิคเพอื่ นคู่คดิ 4 สหาย (Think Pair Square)
3. เทคนิคค่ตู รวจสอบ (Pairs Check)
4. เทคนิคการสมั ภาษณ์ 3 ข้ันตอน (Three-Step Interview)
5. เทคนคิ ร่วมกนั คิด (Numbered Heads Together)
6. เทคนิคเล่าเร่ืองรอบวง (Round Robin)
สำหรบั งานวิจัยคร้ังน้ี ประเภทของกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ (หรือ ประเภทของนวัตกรรมการจัดการ
เรยี นร)ู้ ที่เลือกใชค้ ือ การจดั การเรียนรู้แบบเพ่ือนช่วยเพ่ือน (Peer-Assisted Learning) โดยลกั ษณะ
กิจกรรมจะเป็นการดึงเทคนิคคู่คิด(Think Pair Share) และเทคนิคคู่ตรวจสอบ(Pairs Check) เข้า
มาร่วม เนือ่ งจากการเรยี นรแู้ บบเพื่อนชว่ ยเพอื่ น ได้เป็นการเรยี นรใู้ นรูปแบบของการทำงานเปน็ คู่และ
ได้มกี ารชว่ ยกันคิดและชว่ ยกันตรวจสอบชนิ้ งานนนั่ เอง

1.3 วิธีการสรา้ งและหาคุณภาพนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้

มผี ู้กล่าวถึงลกั ษณะของแผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ดี ไว้ดังน้ี
บุญเลิศ แสงดี (2556) ได้กลา่ วไวว้ ่า ในการออกแบบการสร้างและพัฒนานวัตกรรม มขี ้ันตอนดงั น้ี
1. ศึกษาปัญหาการเรียนการสอน การศกึ ษาปัญหาการเรียนการสอนซึ่งเราสามารถพจิ ารณาได้จาก
1.1 ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของผเู้ รียน
1.2 ผลการวัดและประเมินจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
1.3 การทำแบบฝึกหดั ของผเู้ รียน
1.4 ผลการตรวจผลงานของผู้เรียน
1.5 ผลจากการทดสอบความรู้ความเข้าใจและทักษะการเรยี นรู้ของผูเ้ รยี น
1.6 บันทกึ ผลการสอนหลังสอนในแผนการสอน
1.7 ผลการวิจยั ทีผ่ สู้ อนไดจ้ ดั ทำขึน้
2. กำหนดและจดั ทำนวัตกรรมการเรียนการสอน การกำหนดนวัตกรรมทจ่ี ะนำมาใชใ้ นการแก้ปัญหา
หรอื พัฒนาการเรียนการสอนใหส้ อดคล้องกนั สาเหตขุ องปญั หา และการสร้างนวัตกรรมดงั นี้
2.1 วิเคราะหห์ ลักสตู ร
2.2 ศกึ ษาหลักการ แนวคดิ ทฤษฎีและผลงานทเี่ ก่ยี วขอ้ ง
2.3 จัดทำโครงสร้างของนวตั กรรมการเรยี นการสอน
2.4 สร้างนวัตกรรมการเรียนการสอนตามโครงสร้างและขน้ั ตอนท่กี ำหนด
2.5 นำนวัตกรรมการเรียนการสอนท่ีสร้างขึน้ ไปพิสจู นค์ ณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพ
3. การจัดทำเคร่ืองมือประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพนวัตกรรมการเรียนการสอนขั้นตอนในการ
จัดทำเครือ่ งมอื ประเมนิ คุณภาพและประสิทธิภาพของนวตั กรรมมดี งั น้ี
3.1 ศึกษาวตั ถุประสงคข์ องนวตั กรรมการเรยี นการสอนทสี่ ร้างข้นึ

๑๑

3.2 กำหนดเครื่องมือทต่ี อ้ งใชป้ ระกอบการประเมินคุณภาพและประสทิ ธิภาพ
3.3 ศึกษาแนวทางการสรา้ งเครอื่ งมอื
3.4 ออกแบบและสรา้ งเครื่องมอื
3.5 ตรวจสอบและผ่านการกลัน่ กรองของผู้เชย่ี วชาญ
3.6 ศกึ ษาคุณภาพและประสิทธิภาพของเครือ่ งมอื
3.7 จดั ทำเปน็ เคร่ืองมือฉบบั จริง
4. การทดลองศึกษาคุณภาพและประสิทธิภาพนวัตกรรมการเรียนการสอน ขั้นการศึกษาคุณภาพ
ของนวตั กรรมการเรยี นการสอนดำเนนิ การดังนี้
4.1 กลั่นกรองเบื้องต้นโดยให้ผู้เรียนและครูผู้สอนกลุ่มสาระนั้นอ่านเพ่ือตรวจสอบข้อบกพร่อง และ
ปรับปรงุ แก้ไขให้เหมาะสม
4.2 นำนวัตกรรมการเรียนการสอนที่ปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้วให้ผู้เช่ียวชาญ จำนวน 3-5 คน
ประเมนิ เพ่ือตรวจสอบคณุ ภาพ และใหข้ อ้ เสนอแนะเพอื่ ปรับปรงุ นวตั กรรม
4.3วิเคราะห์ผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญเพ่ือดูว่ามีคุณภาพอยู่ในระดับใด และปรับปรุง
ข้อบกพร่องตามข้อเสนอแนะ
4.4 จัดทำเป็นนวัตกรรมการเรยี นการสอนที่พร้อมสำหรบั นำไปทดลองใช้
การศกึ ษาประสิทธภิ าพของนวัตกรรมการเรียนการสอนดำเนนิ การดงั น้ี

4 .4 .1 น ำน วั ต กร ร ม กา ร เรีย น ก าร ส อน ท่ี ผ่าน กา ร ต ร วจ สอ บ แ ล ะ ป ร ะ เมิ น คุ ณ ภ าพ ข อ ง
ผูเ้ ชี่ยวชาญแล้ว ไปทดลองใชก้ ับผู้เรียนท่ีมคี ุณสมบัติเช่นเดียวกบั กลุ่มเป้าหมายของการแก้ปญั หาหรือ
พฒั นา ตามรูปแบบและวธิ ีการทีก่ ำหนด

4.4.2 นำผลการทดลองมาคำนวณหาประสิทธิภาพของนวัตกรรมการเรียนการสอนโดยใช้
สูตร E1/E2
5. การนำนวตั กรรมการเรียนการสอนไปใช้ในการแก้ปัญหา/พฒั นาผู้เรยี น หลังจากไดศ้ ึกษาคุณภาพ
และประสิทธิภาพของนวัตกรรมการเรียนการสอน ตามวธิ ีการและข้นั ตอนทเ่ี ชอ่ื ถือได้ และมีคุณภาพ
และประสทิ ธิภาพตามท่ีกำหนดแลว้ นำนวัตกรรมการเรยี นการสอนไปใชแ้ ก้ปัญหาและพัฒนาผเู้ รียนที่
เป็นประชากรกลุ่มตัวอย่าง หรือกลุ่มเปา้ หมายเพอื่ สรา้ งความเชอื่ มนั่ ว่านวัตกรรมการเรียนการสอนท่ี
สร้างขน้ึ มานน้ั มคี ณุ ภาพและมปี ระสทิ ธภิ าพอย่างแท้จริง
6. การเขียนรายงานผลการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนการเขียนรายงานผลการพัฒนา
นวัตกรรมแบง่ การเขียนออกเป็น 5 บท ดังนี้

บทที่ 1 บทนำ นำเสนอรายละเอียดตามหวั ข้อตอ่ ไปน้ี
- ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา
- วัตถปุ ระสงคข์ องการทดลอง
- สมมตุ ฐิ านของการทดลอง
- ขอบเขตของการทดลอง
- ประโยชนท์ ีค่ าดวา่ จะได้รับ
- นยิ ามศัพท์

๑๒

บทที่ 2 การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง นำเสนอแนวคิด หลักการ ทฤษฎี และ
ผลการวจิ ัยท่เี กย่ี วข้องที่นำมาใช้ในการพัฒนานวตั กรรม ดังน้ี

- หลักการ แนวคดิ ทฤษฎี ท่ีเก่ยี วข้องกับการพัฒนานวตั กรรม
- ผลการวจิ ยั ท่ีเกี่ยวข้องกบั การพฒั นานวตั กรรม
- หลักการ แนวคิด ทฤษฎี และผลการวิจัยท่ีนำมาใช้พัฒนานวัตกรรมในกลุ่มสาระ/วิชาท่ี
คิดค้นและสร้างนวตั กรรมการเรียนการสอน
บทที่ 3 วธิ ีดำเนนิ การสร้างและทดลองใช้นวัตกรรมการเรยี นการสอน
- วัตถุประสงค์ของการทดลอง
- สมมุตฐิ านของการทดลอง
- ประชากรท่ีใช้ในการทดลอง
- กลุม่ ตัวอยา่ งท่ีใชใ้ นการทดลอง
- นวัตกรรมและเครอื่ งมือทใ่ี ชใ้ นการทดลอง
- การสร้างนวตั กรรมและเครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการทดลอง
- การดำเนนิ การทดลอง
- การวเิ คราะหผ์ ลการทดลอง
- สถติ ิทีใ่ ชใ้ นการวิเคราะหผ์ ลการทดลอง
บทท่ี 4 การวิเคราะห์ข้อมลู และผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู
เป็นการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล โดยนำเสนอในรูปของตาราง กราฟ หรือบรรยาย
ตามวัตถปุ ระสงค์ของการทดลองท่กี ำหนดในบทที่ 1
บทที่ 5 การสรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ
- สรปุ ผลการวิจัย นำเสนอวตั ถุประสงค์ ขั้นตอนการดำเนินงาน และผลการวิจัยโดยสรุป ให้
เหน็ ภาพของการดำเนินการสร้างและพัฒนานวตั กรรมตลอดแนว
- อภิปรายผลการวิจัย นำผลที่เกิดขึ้นจากการวิจัยมานำเสนอให้เห็นภาพรวมที่เป็นผลน่า
พอใจ สิ่งท่ีเปน็ ข้อสังเกต โดยอา้ งอิงหลกั การ ทฤษฎแี ละผลการวิจยั ท่สี อดคล้องประกอบการอภิปราย
อย่างเหมาะสม
- ข้อเสนอแนะ นำเสนอส่ิงที่ควรดำเนินการต่อเน่ือง หรอื พัฒนาผลการวิจัยอย่างต่อเน่ือง ที่
จะทำให้เกิดคณุ ภาพในการพัฒนาอย่างเด่นชัด
7. การเผยแพร่การพัฒนานวัตกรรม หลังจากพิสูจน์ผลชัดเจนว่านวัตกรรมการเรียนการสอนที่
คดิ ค้นและพัฒนานัน้ สามารถแกป้ ัญหาและพฒั นาการเรียนการสอนไดอ้ ยา่ งแท้จรงิ และไดน้ ำเสนอผล
การทดลองใชอ้ อกมาเป็นรายงานที่ถูกตอ้ งแล้ว ควรเผยแพร่ผลการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน
อย่างกว้างขวางเพ่อื ให้เกดิ ประโยชนต์ อ่ การพฒั นาการจดั การศึกษา
ทิพราภา ปรางมุขและธัญติญา ชอบประกอบกิจ (2560) ได้กล่าวไว้ว่า ข้ันตอนในการจัดทำ
เครอื่ งมอื ประเมินคณุ ภาพและประสทิ ธิภาพของนวตั กรรมมดี ังน้ี
1. ศกึ ษาวตั ถุประสงค์ของนวัตกรรมการเรียนการสอนทส่ี ร้างขนึ้
2. กำหนดเครอ่ื งมอื ทต่ี อ้ งใชป้ ระกอบการประเมินคณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพ
3. ศึกษาแนวทางการสรา้ งเคร่ืองมือ

๑๓

4. ออกแบบและสรา้ งเคร่อื งมือ
5. ตรวจสอบและผ่านการกล่นั กรองของผูเ้ ชี่ยวชาญ
6. ศกึ ษาคุณภาพและประสิทธิภาพของเครอื่ งมอื
7. จดั ทำเปน็ เครอื่ งมอื ฉบบั จรงิ
ทิศนา แขมมณี (2548 ) ไดใ้ หห้ ลักการพฒั นานวัตกรรมทางการศกึ ษาไว้พอสรปุ ไดด้ ังน้ี
1. การระบุปัญหา (Problem) ความคดิ ในการพัฒนานวัตกรรมน้นั ส่วนใหญ่จะเร่ิมจากการมองเห็น
ปญั หา และตอ้ งการแก้ไขปญั หาน้นั ใหป้ ระสบความสำเรจ็ อย่างมคี ุณภาพ
2. การกำหนดจุดมุ่งหมาย (Objective) เมื่อกำหนดปัญหาแล้วก็กำหนดจุดมุ่งหมายเพื่อจัดทำหรือ
พัฒนานวัตกรรมให้มีคณุ สมบัติ หรอื ลักษณะตรงตามจดุ มุ่งหมายที่กำหนดไว้
3. การศึกษาข้อจำกัดต่างๆ (Constraints) ผู้พัฒนานวัตกรรมทางด้านการเรียนการสอนต้องศึกษา
ข้อมูลของปัญหาและขอ้ จำกัดท่จี ะใชน้ วตั กรรมน้นั เพอ่ื ประโยชนใ์ นการนำไปใช้ไดจ้ รงิ
4. การประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรม (Innovation) ผู้จัดทำหรือพัฒนานวัตกรรมจะต้องมีความรู้
ประสบการณ์ ความริเร่ิมสร้างสรรค์ ซ่ึงอาจนำของเก่ามาปรับปรุง ดัดแปลง เพื่อใช้ในการแก้ปัญหา
และทำให้มีประสิทธิภาพมากข้ึน หรืออาจคิดค้นขน้ึ มาใหมท่ ้ังหมด นวัตกรรมทางการศกึ ษามรี ูปแบบ
แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะปัญหาหรือวัตถุประสงค์ของนวัตกรรมนั้น เช่นอาจมีลักษณะเป็น
แนวคิด หลักการ แนวทาง ระบบ รูปแบบ วิธีการ กระบวนการ เทคนิค หรือสิ่งประดิษฐ์ และ
เทคโนโลยี เป็นตน้
5. การทดลองใช้ (Experimentation) เมื่อคิดค้นหรือประดิษฐ์นวัตกรรมทางการศึกษาแล้ว ต้อง
ทดลองนวัตกรรม ซ่ึงเป็นสง่ิ จำเป็นเพ่ือเป็นการประเมินผลและปรับปรุงแก้ไขผลการทดลองจะทำให้
ได้ข้อมูลนำมาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนานวัตกรรมต่อไป ถ้าหากมีการทดลองใช้นวัตกรรมหลาย
คร้งั กย็ อ่ มมคี วามมั่นใจในประสิทธิภาพของนวตั กรรมนัน้
6. การเผยแพร่ (Dissemination) เมื่อม่ันใจนวัตกรรมท่ีสร้างข้ึนมีประสิทธภิ าพแล้วก็สามารถนำไป
เผยแพร่ใหเ้ ปน็ ที่รู้จัก
จากการสบื ค้นขอ้ มูลท้ัง 3 แหล่งอ้างอิง สามารถสรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ีดี ซงึ่ ผู้วิจัยจะนำไป
ออกแบบแผนการจดั การเรียนรู้ครั้งน้ี มดี ังนี้ วิธีการสร้างและหาคุณภาพนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้
ในการออกแบบการสร้างและพัฒนานวัตกรรม มี 9 ขัน้ ตอนดงั นี้
1. ศกึ ษาวตั ถุประสงค์การเรียนรู้/ปญั หาการเรียนการสอน
2. กำหนดและจัดทำนวตั กรรมการเรยี นการสอน
3. กำหนดเครือ่ งมือทต่ี อ้ งใช้ประกอบการประเมนิ คณุ ภาพและประสิทธิภาพ
4. ศึกษาแนวทางการสร้างเคร่ืองมือ
5. ออกแบบและสร้างเครอ่ื งมือ
6. ตรวจสอบและผ่านการกลัน่ กรองของผเู้ ช่ียวชาญ
7. ศึกษาคุณภาพและประสิทธภิ าพของเคร่อื งมือ
8. การนำนวัตกรรมการเรยี นการสอนไปใช้ในการแก้ปัญหา/พัฒนาผเู้ รียน
9. จดั ทำเป็นเคร่อื งมือฉบบั จรงิ
10. การเผยแพรน่ วตั กรรม

๑๔

2. ความรู้เกย่ี วกับการจดั การเรยี นรแู้ บบเพ่อื นชว่ ยเพอ่ื น (Peer-Assisted
Learning)

ในการนำเสนอความรู้เก่ียวกับการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพ่ือน (Peer-Assisted Learning) มี
หัวข้อย่อยคือ แนวคิดทฤษฎีเก่ียวกับการจัดการเรียนรู้แบบเพ่ือนช่วยเพ่ือน (Peer-Assisted
Learning) ประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้แบบเพ่ือนช่วยเพ่ือน (Peer-Assisted Learning) และ
ข้ันตอนในการจัดการเรียนรู้แบบเพ่ือนช่วยเพ่ือน (Peer-Assisted Learning) ซ่ึงมีรายละเอียด
ดงั ตอ่ ไปนี้

2.1 แนวคิดทฤษฎีเก่ียวกับการจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพ่ือน (Peer-Assisted
Learning)

มผี ้กู ล่าวถึงแนวคิดทฤษฎเี ก่ียวกับการจดั การเรียนรแู้ บบเพื่อนช่วยเพอื่ น (Peer-Assisted Learning)
ไว้ดงั น้ี
อรศริ ิ เลศิ กิตติสขุ (2552) กลา่ วถึงรูปแบบการเรียนแบบเพอื่ นช่วยเพื่อนไวว้ ่า การเรียนรู้แบบเพ่ือน
ชว่ ยเพ่ือนเป็นกิจกรรมอย่างหน่ึงที่จัดให้ผู้เรยี นได้ช่วยเหลอื เก้ือกูลกันอยู่เสมอ คือ เพือ่ นชว่ ยเพื่อนใน
ลักษณะเกง่ ช่วยออ่ น ซ่งึ เป็นวิธีการท่ผี ู้เรียนให้ความสนใจมาก คนเกง่ จะจัดกระบวนการเรียนการสอน
เพ่อื ส่งเสริมความสามารถของผเู้ รียน โดยเฉพาะวิชาการด้านคอมพิวเตอร์ เพ่ือให้ผู้เรียนมีส่วนรว่ มใน
การคิด วางแผน ปฏิบัติ และประเมินผล ให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้ ได้พิจารณา และค้นพบความรู้
ความสามารถของตนเองให้ผู้เรียนมองเห็นภาพลักษณ์แห่งตน ตัวตนในอุดมคติ และการเห็นคุณค่า
ตนเองต่อความสำเร็จในการเรียนการสร้างเว็บเพจ ภาษา HTML สิ่งเหล่าน้ีจะช่วยหล่อหลอมให้
ผู้เรียน รักและมีความพร้อมท่ีจะเรียน มีความสุขในการเรียนรู้ และร่วมกิจกรรมการเรียนการสอน
อย่างต่อเนอ่ื ง
วจิ ารณ์ พานชิ (2554 อ้างถึงในบุษบา,2554) ได้กลา่ วถึงรปู แบบการเรียนแบบเพ่ือนช่วยเพอ่ื นไว้
ว่า การสอนด้วยวธิ ีการให้เพือ่ นชว่ ยเพอ่ื นเปน็ วิธกี ารท่มี ุ่งใหน้ ักเรียนเกิดแรงจูงใจตอ่ การเรยี นมากข้ึน
เน่ืองจากนักเรียนทุกคนเป็นผู้ที่มีบทบาทในกิจกรรมการเรียนการสอน การนำวิธีการสอนแบบเพ่ือน
ช่วยเพ่อื นมาชว่ ยแก้ปญั หาการจัดการเรียนการสอน ควรจะต้องสรา้ งแรงจงู ใจแก่เพื่อนนักเรียนที่ช่วย
สอน ให้ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนท้ังรูปธรรมและนามธรรม ซึ่งเป็นบันไดข้ันแรกแห่งความสำเร็จ
ด้วยการหากิจกรรมท่ีกระตุ้นให้นักเรียนพร้อมท่ีจะให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือครูและเพื่อนนักเรียน
อยา่ งเตม็ ใจและพงึ พอใจ
ผู้สอนจะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาทักษะความสามารถของผู้เรียนให้เต็มศักยภาพ ด้วย
การออกแบบกิจกรรมทเี่ ปิดโอกาสให้ผู้เรียนใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มท่ี มคี วามสุข การจดั การ
เรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีความสุข ท้ังกายและใจน้ัน จะเร่ิมจากการสร้างความศรัทธาทั้งต่อตัว
ผูส้ อน และต่อวิชาทีเ่ รียน ใหเ้ กดิ ในตัวผู้เรียน ใหผ้ เู้ รยี นมองเห็นถึงความจรงิ ใจของผู้สอน
วิจารณ์ พานิช (2554) ได้กล่าวถึงแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับวิธีการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพ่ือนไว้ว่า
เม่ือจะเริ่ม "ลงมือทำ" เร่ืองใดเร่ืองหนึ่งที่เราไม่เคยทำ หรือไม่สันทัด หรือยังได้ผลไม่เป็นที่พอใจ
ขั้นตอนแรกของการจัดการความรู้คือหาข้อมูล (ความรู้) ว่าเรื่องนั้นๆ มีบุคคลหรือกลุ่มคน ท่ีไหน
หน่วยงานใด ท่ีทำได้ผลดีมาก (best practice) และถือเป็นกัลยาณมิตร (peers) ท่ีอาจช่วยแนะนำ

๑๕

หรือให้ความรู้เราได้ กัลยาณมติ รนี้อาจเป็นเพ่ือนร่วมงานในหน่วยงานเดียวกัน อาจเป็นหน่วยงานอ่ืน
ในองคก์ รเดยี วกนั หรือเป็นคนที่อยู่ในองค์กรอื่นก็ได้ แลว้ ติดต่อขอเรียนรวู้ ิธที ำงานจากเขา ไปเรียนรู้
จากหน่วยงาน จะโดยวิธีไปดูงาน โทรศัพท์หรือ e-mail ไปถาม เชิญมาบรรยาย หรือวิธีอื่นๆ ก็ได้
หลักคิดในเรื่องนี้ก็คือ มีคนอ่ืนท่ีเขาทำได้ดีอยู่แล้ว ในเรื่องที่เราอยากพัฒนาหรือปรับปรุง ไม่ควร
เสียเวลาคิดขึ้นใหม่ด้วยตนเอง ควร "เรียนลัด" โดยเอาอย่างจากผู้ที่ทำได้ดีอยู่แล้ว เอามาปรับใช้กับ
งานของเรา แลว้ พฒั นาใหด้ ยี ง่ิ ข้นึ ยำ้ วา่ การเรียนรูจ้ ากกัลยาณมิตรน้ีจะตอ้ งไม่ใช่ไปลอกวธิ ีการของเขา
มาทงั้ หมด แต่ไปเรียนรแู้ นวคดิ และแนวปฏิบัติของเขาแลว้ เอามาปรับปรุงใช้งานใหเ้ หมาะสมต่อสภาพ
การทำงานของเรา
จากข้างต้นสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพ่ือน (Peer-Assisted Learning) หมายถึง
การเรยี นแบบรว่ มมือท่กี ำหนดใหน้ กั เรยี นท่มี คี วามสามารถตา่ งกนั ทำงานร่วมกันเปน็ คู่ โดยผู้เรียนไดม้ ี
การแลกเปล่ียนแนวคดิ แนวปฏิบตั ิ และอกี ทัง้ ยงั มกี ารชว่ ยเหลอื เกื้อกลู กันภายในชัน้ เรียน

2.2 ประโยชน์ของการจัดการเรียนรแู้ บบเพอ่ื นชว่ ยเพ่ือน (Peer-Assisted Learning)

มผี ูก้ ล่าวถึงประโยชน์ของการจัดการเรยี นรแู้ บบเพ่อื นช่วยเพอ่ื น (Peer-Assisted Learning) ไวด้ ังน้ี
วิจารณ์ พานิช (2554 อ้างถึงในบุษบา,2554) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของวิธีการเรียนรู้แบบเพ่ือน
ช่วยเพื่อน ไดแ้ ก่
1. เป็นการเรียนลัดวิธีการเรียน การทำงานต่างๆท่ีเราอาจจะเคยทราบมาก่อน สิ่งเหล่านี้จะมาจาก
ประสบการณ์ เทคนคิ วธิ ีต่างๆของคเู่ พอ่ื นชว่ ยเพือ่ นหรอื ทีมเพอื่ นชว่ ยเพือ่ น
2. เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ มุมมองความคิดต่างๆร่วมกันเพื่อช่วยกันพัฒนาความรู้
เดิมทม่ี ีอยใู่ ห้มีการพัฒนาอย่างตอ่ เน่อื ง
3. สร้างความสัมพันธ์และความสามัคคี เพราะกระบวนการเพ่ือนช่วยเพ่ือนต้องเกิดจากการทำงาน
เปน็ ค่หู รือเป็นทมี ดงั นน้ั การมีปฏสิ มั พันธ์อันดีตอ่ กนั ย่อมทำใหเ้ กดิ ผลการเรียนรทู้ ่ีดตี ามมา

พงศศ์ กั ดิ์ ลีละวัฒนพันธ์ (2559) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของวิธกี ารเรยี นรแู้ บบเพ่ือนชว่ ยเพอ่ื น ไวว้ ่า
1. ทำให้มีครูเพ่ิมขึ้น จากเดิมมี 1 คน ใน 1 หอ้ งเรียน เมื่อมีเพื่อนช่วยสอนจงึ เท่ากบั ว่ามีครูมากกว่า
1 คน ในหอ้ งเรยี น นกั เรียนมีครูดูแลอย่างใกลช้ ิดและทวั่ ถึง
2. นักเรยี นผชู้ ว่ ยสอน จะเกดิ ทักษะในการเรียนรู้และทกั ษะทางสังคมมากขึน้
3. นกั เรียนผู้ถกู สอน จะเรยี นรูไ้ ด้ดขี น้ึ จาการสอนของเพอื่ นวัยเดียวกนั และเป็นการสอนแบบตวั ตอ่ ตัว
อภิชัย ธิณทัพ (2559) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของวิธีการเรียนรู้แบบเพ่ือนช่วยเพ่ือน ไว้ว่า
ประโยชน์สำหรับครู ทำให้มีครูเพ่ิมขึ้นจากเดิมมี 1 คน ใน 1 ห้องเรียน เมื่อมีเพ่ือนนักเรยี นชว่ ยสอน
จึงเท่ากับว่ามีครูมากกว่า 1 คน ในห้องเรียน ครูมีคนช่วยดูแลเด็กอย่างใกล้ชิดและทั่วถึงย่ิงข้ึน
ประโยชน์สำหรับนักเรียน นักเรียนจะได้รับผลประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย คือ นักเรียนผู้ช่วยสอน จะเกิด
ทักษะในการเรียนรู้และทักษะทางสังคมมากขึ้น นักเรียนผู้ถูกสอน จะเรียนรู้ได้ดีข้ึนจาการใช้ภาษา
ของเพอ่ื นในวยั เดียวกัน
จากการสืบค้นข้อมูลทั้ง 3 แหล่งอ้างอิง สามารถสรุป ข้อดีหรือประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้แบบ
เพ่ือนช่วยเพื่อน (Peer-Assisted Learning) ได้ว่า การเรียนในรูปแบบนี้ส่งผลให้เกิดประโยชน์ใน

๑๖

หลายด้าน ไดแ้ ก่ สำหรบั ครจู ะทำให้มคี รเู พิ่มขึ้นจากเดิมมี 1 คน ใน 1 ห้องเรยี น เม่ือมีเพื่อนนักเรียน
ช่วยสอนจึงเท่ากับว่ามีครูมากกว่า 1 คน ในห้องเรียน ครูมีคนช่วยดูแลเด็กอย่างใกล้ชิดและทั่วถึง
ย่งิ ขึ้น และเม่ือเป็นรายวชิ าปฏิบตั ิจะส่งผลใหผ้ ู้เรยี นเกดิ ความเข้าใจในการปฏบิ ัติงานท่มี ากย่ิงขึ้น และ
สำหรับนักเรียนจะทำให้ระหว่างผู้เรียนได้มีการแลกเปล่ียนความรู้ ประสบการณ์ และเกิด
ความสัมพันธ์ ความสามัคคีระหว่างกล่มุ ผเู้ รยี นอกี ด้วย

2.3 ขน้ั ตอนในการจดั การเรยี นร้แู บบเพือ่ นชว่ ยเพ่ือน (Peer-Assisted Learning)

มีผกู้ ลา่ วถงึ ข้นั ตอนในการจัดการเรียนรูแ้ บบเพื่อนช่วยเพอื่ น (Peer-Assisted Learning) ไวด้ ังนี้
วิจารณ์ พานิช (2554 อ้างถึงในบุษบา,2554) ได้กล่าวถึงข้ันตอนวิธีการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วย
เพอื่ น ได้แก่ วธิ กี ารแบบ “เพ่ือนช่วยเพ่ือน” สามารถทำได้ ไวว้ า่
1. กำหนดวตั ถุประสงค์ให้ชดั เจนว่าทำ “เพ่อื นช่วยเพ่ือน” ทำไปเพือ่ อะไร อะไรคือต้นตอของปัญหาท่ี
ต้องการขอความช่วยเหลอื
2. ตรวจสอบว่าใครท่ีเคยแก้ปัญหาที่เราพบมาก่อนบ้างหรือไม่ โดยทำแจ้งแผนการทำ “เพื่อนช่วย
เพอ่ื น” ของทมี ใหห้ น่วยงานอ่นื ๆ ได้รับรู้ เพื่อหาผทู้ ี่รใู้ นปญั หาดงั กลา่ ว
3. กำหนด Facilitator (คุณอำนวย) หรือผู้สนับสนุน และอำนวยความสะดวกในกระบวนการ
แลกเปล่ยี นเรียนรู้ระหวา่ งทมี เพอื่ ใหไ้ ดผ้ ลลพั ธต์ ามต้องการ
4. คำนึงถึงการวางตารางเวลาให้เหมาะสมและทันต่อการนำไปใช้งาน หรือการปฏิบัติจริง โดยอาจ
เผือ่ เวลาสำหรับปญั หาทไี่ มค่ าดคดิ ที่อาจจะเกิดขึ้น
5. ควรเลือกผู้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้มีความหลากหลาย (Diverse) ทั้งด้านทักษะ (Skill)
ความสามารถ/ความเชี่ยวชาญ (Competencies) และประสบการณ์ (Experience) สำหรับจำนวน
ผู้เขา้ รว่ มแลกเปลี่ยนอยทู่ ี่ประมาณ 6-8 คนก็เพยี งพอ
6. ม่งุ หาผลลัพธ์หรือสิ่งท่ีต้องการได้รับจรงิ ๆ กล่าวคือ การทำ “เพื่อนช่วยเพ่ือน” น้ันจะต้องมองให้
ทะลถุ ึงปญั หา สรา้ งทางเลือกหลายๆ ทาง มากกวา่ ทจ่ี ะใช้คำตอบสำเรจ็ รปู ทางใดทางหน่งึ
7. วางแผนเวลาสำหรับการพบปะสังสรรคท์ างสังคม หรอื การพูดคุยแบบไม่เป็นทางการ (นอกรอบ)
8. กำหนดบทบาทของแต่ละฝ่ายให้ชัดเจน ตลอดจนสร้างบรรยากาศ เพื่อให้เอ้ืออำนวยต่อการ
แลกเปลย่ี นเรยี นรูร้ ะหวา่ งกนั
9. แบง่ เวลาที่มีอยูอ่ อกเป็น 4 สว่ น คือ
ส่วนแรกใช้สำหรับทีมเจ้าบ้านแบ่งปันข้อมูล (Information) บริบท (Context) รวมท้ังแผนงานใน
อนาคต
ส่วนท่สี องใช้สนบั สนนุ หรอื กระตนุ้ ใหท้ มี ผชู้ ่วยซึง่ เป็นทีมเยอื นไดซ้ กั ถามในสงิ่ ท่เี ขาจำเปน็ ต้องรู้
ส่วนที่สาม ใช้เพ่ือให้ทมี ผ้ชู ่วยซง่ึ เป็นทีมเยอื นได้นำเสนอมมุ มองความคิด เพ่ือให้ทีมเจา้ บ้านนำส่ิงท่ีได้
ฟังไปวิเคราะห์
สว่ นทส่ี ี่ ใช้สำหรับการพูดคุยโต้ตอบ พิจารณาไตร่ตรองส่ิงทไ่ี ดแ้ ลกเปลี่ยนเรียนรรู้ ่วมกัน
พงศศ์ กั ด์ิ ลีละวัฒนพนั ธ์ (2559) ไดก้ ลา่ วถงึ ข้ันตอนวธิ กี ารเรยี นรู้แบบเพ่ือนชว่ ยเพื่อน ไวว้ า่ ในการ
สอนโดยเพือ่ นชว่ ยสอน ครคู วรคำนึงถงึ เร่ืองต่าง ๆ ดังตอ่ ไปน้ี

๑๗

1. การเลือกรายวิชาและเนอ้ื หาทเ่ี หมาะสมกับรปู แบบการสอนแบบนี้ เพราะกจิ กรรมบางอยา่ งอาจไม่
เหมาะสม
2. ตอ้ งมกี ารประเมนิ ความความรู้ ความสามารถของผเู้ ขา้ รว่ มกิจกรรมก่อนการสอน ทั้งผู้ชว่ ยสอน

และผถู้ ูกสอน
3. ออกแบบกจิ กรรมและสื่อการสอนใหเ้ หมาะกับผู้เรียน
4. การสอนมลี ำดบั ข้ันตอนชัดเจน จากง่ายไปยาก เพื่อใหน้ กั เรียนผชู้ ่วยสอนสามารถปฏิบัตติ ามได้
5. การจบั คู่ผู้ช่วยสอนกบั ผู้เรยี นให้เหมาะสม
6. ชแ้ี จงนกั เรยี นผูช้ ่วยสอนใหม้ ีความเข้าใจในบทบาทและเป้าหมายที่ต้องการให้เกดิ กับตัวผู้เรยี น
Steph Davis (2011 อ้างถึงใน วิจารณ์ พานิช,2554) ได้กล่าวถึงข้ันตอนวิธีการเรียนรู้แบบ
เพ่อื นชว่ ยเพอื่ น ไวว้ า่
1. กำหนดประเด็นหรือเทคนิคท่ีต้องการเรียนรู้ให้ชัดเจน ฝ่ายผู้ขอเรียนรู้เตรียมประชุมร่วมกัน
กำหนดคำถามหรือรายละเอียดของการทำงานหรือวิธีปฏิบัติท่ีต้องการเรียนรู้ให้ชัดเจน และมี
เปา้ หมายแนน่ อนวา่ จะเอาความรู้ทไี่ ด้มาประยกุ ต์ใช้เพือ่ บรรลผุ ลใด ยำ้ ว่ากจิ กรรมเพอ่ื นช่วยเพ่ือนเป็น
การเรียนรู้ความรปู้ ฏบิ ตั ิ ไม่ใช่ความรู้เชงิ ทฤษฎี
2. กำหนดตวั บุคคลที่จะมาร่วม ทงั้ ของฝ่ายผู้แบ่งปนั และฝา่ ยผขู้ อเรยี นรู้ โดยมีหลักว่าจะต้องได้ทีมท่ี
มีทักษะ, ประสบการณ์, และความคิดท่ีแตกต่างหลากหลายและครอบคลุมประเด็น เทคนิค และ
ทักษะที่ต้องการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และในขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้กลุ่มใหญ่เกินไปจนขาดความเป็น
กนั เอง
3. มีการติดต่อส่ือสารระหว่างฝ่ายผู้เรียนรู้กับผู้แบ่งปันให้ท้ังสองฝ่ายเข้าใจตรงกันในเร่ืองเป้าหมาย
หลัก ทำความรู้จักตัวบุคคลท่ีจะมาร่วมการเตรียมตัวล่วงหน้าของท้ังสองฝ่าย เช่นฝ่ายแบ่งปันส่ง
เอกสารให้ฝ่ายขอเรียนรู้ ฝ่ายขอเรียนรู้ส่งตัวอย่างคำถามใหฝ้ ่ายแบ่งปัน ฯลฯ การเตรียมตัวล่วงหน้า
จะช่วยให้สามารถใชเ้ วลาชว่ งพบปะซึ่งมนี ้อยใหเ้ กดิ ประโยขนไ์ ดเ้ ต็มที่
4. ฝา่ ยผู้ขอเรียนรู้กำหนดตัว “คุณลขิ ิต” ของตนไวล้ ่วงหน้า และทั้งสองฝ่ายร่วมกันกำหนดตัว “คุณ
อำนวย” ของกิจกรรมเพ่ือนช่วยเพื่อนไว้ล่วงหน้า “คุณอำนวย” จะช่วยวางแผนของกิจกรรมเพื่อน
ช่วยเพื่อนนี้ด้วย ตัวคุณอำนวยควรมีประสบการณ์ในการทำหน้าท่ี facilitator โดยอาจเป็น
บุคคลภายนอก หรือภายในองค์กรฝ่ายขอเรียนรู้ หรือภายในองค์กรฝ่ายแบ่งปันก็ได้ แต่มีเง่ือนไขว่า
“คุณอำนวย” จะต้องเข้าใจเร่ืองราวตามวัตถุประสงค์ของกิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นอย่างดี และ
เตรียมตัวศึกษาข้อมูลด้านความรู้ท่ีต้องการหรือเป้าหมายการทำงานที่ต้องการเรียนรู้ตัวบุคคลที่
มาร่วมองคก์ รท้งั สองฝ่าย ฯลฯ
5. เร่ิมกิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อนด้วยกิจกรรมละลายพฤติกรรม หรือทำความคุ้นเคยกัน และสร้าง
บรรยากาศสบายๆ ไม่เกร็ง บรรยากาศท่ีเป็นอิสระ เปิดเผย ช่ืนชมยินดี มีอารมณ์แจ่มใส แต่ใน
ขณะเดียวกันก็เป็นบรรยากาศที่เอาจรงิ เอาจงั อ่อนน้อมถอ่ มตน และอยูก่ บั ความเป็นจรงิ และข้อจำกัด
ซ่ึงมีอยู่จริง คือไม่ใช่เวทีสำหรับโอ้อวดหรือโฆษณาหน่วยงานหรือตัวบุคคล แบ่งตัวกิจกรรมหลัก
ออกเป็น 4 ส่วนทใี่ ชเ้ วลาเท่าๆ กนั ได้แก่
ชว่ งให้ข้อมูลของทีมผู้ขอเรียนรู้ บอกความต้องการท่ีชัดเจน บอกวิธีทำงานและผลท่ีได้รับในปัจจุบัน
และความรู้ความเข้าใจหรือความเชื่อและข้อจำกัดที่ ทำให้ปฏิบัติเช่นนั้น บอกข้อมูลด้าน

๑๘

สภาพแวดล้อมหรือบริบทในการทำงาน และบอกว่ามีแผนจะดำเนินการในอนาคตอย่างไร ทีมผู้ขอ
เรยี นรตู้ ้องพยายามนำเสนอใหก้ ระชับเพอ่ื ให้ทมี ผูแ้ บง่ ปันได้มเี วลาแบ่งปนั ให้มาก
ช่วงท่ีสอง ทีมแบ่งปันเป็นผู้พูดปรึกษาหารือกันภายในกลุ่ม (โดยท่ีทีมขอเรียนรู้น่ังฟังอย่างสงบหรือ
ออกไปนอกหอ้ ง เพ่อื ใหท้ ีมแบ่งปนั พูดคยุ หารอื กันไดอ้ ยา่ งอิสระ) ในประเด็นหลักต่อไปน้ี

คำบอกเล่าว่า สิ่งที่ได้มารับฟังส่วนใดที่ทำให้แปลกใจ เพราะอะไร ส่วนใดท่ีตรงตามความ
คาดหมาย ส่วนใดท่ีคาดหวงั ไว้แต่ไมไ่ ดค้ ำบอกเลา่

ทีมแบ่งปันปรึกษาหารือกนั ว่าจะดำเนินการอะไรต่อเพ่ือให้เข้าใจบรบิ ทของทีมผู้ขอเรียนรู้ได้
ชัดเจนขึ้น เช่น ขอข้อมูลเพ่ิม ขอสัมภาษณ์คนบางคนในองค์กร ขอโทรศัพท์ไปสอบถามคนภายนอก
เชน่ ลกู ค้า เป็นตน้

ทีมแบ่งปันให้ความเห็นหรอื ทางเลอื กวธิ ีปฏิบัติ แก่ท่ปี ระชุมร่วมระหว่างทมี ขอเรียนรู้กบั ทีม
แบ่งปัน โดยเน้นว่าเป็นความเห็นจากประสบการณ์อันจำกัดของตน ขอย้ำว่าความเห็นน้ีไม่ใช่
ความรู้สำเร็จรูปทจ่ี ะนำไปใชไ้ ด้ทันที
ช่วงท่ีสาม ทีมผู้ขอเรียนรู้ร่วมกันวิเคราะห์และสรุปประเด็นสำคญั ๆ ท่ีได้เรียนรู้ และกำหนดแนวทาง
ดำเนินการต่อไป ในตอนจบช่วงนี้ ให้ผูแ้ ทนของทีมขอเรียนรู้นำเสนอสิ่งที่ไดเ้ รียนรู้ ผเู้ ข้าร่วมฟังควรมี
พนักงานในองค์กรผู้ขอเรียนร้ทู ่ีเก่ียวขอ้ งกับงานน้ันทั้งหมด (นี่คือเหตุผลวา่ ทีมผูข้ อเรยี นรู้ควรเป็นทีม
เหย้า และทีมผู้แบ่งปันเป็นทีมเยือน) นำเสนอทางเลือกต่างๆ และนำเสนอเร่ืองราวที่วิธีการหนึ่งใช้
ไดผ้ ลในบริบทขององค์กรผ้แู บ่งปัน ไม่ควรอยา่ งย่ิงที่จะนำเสนอว่าจะต้องใชว้ ธิ ีการน้นั ๆ เทา่ นั้น
ช่วงที่ส่ี ทีมผู้แบ่งปันนำเสนอ feedback ให้แก่ทีมผู้ขอเรียนรู้ ในประเด็นต่อไปนี้ ส่วนใดท่ีทีมผู้ขอ
เรียนรู้ทำได้ดีมากอยู่แล้ว, ส่วนใดท่ีควรปฏิบัติต่างไปจากเดิม เพราะเหตุใด มีทางเลือกอะไรบ้าง,
กลา่ วถอ้ ยคำท่ีเป็นกำลงั ใจแกท่ ีมผขู้ อเรยี นรู้
จากขา้ งต้นสรุปได้ว่า วธิ กี ารจดั การเรียนการสอนแบบเพ่ือนชว่ ยเพอ่ื น (Peer-Assisted Learning)) มี
ข้นั ตอนการจัดการเรียนรู้ ดังน้ี ประกอบด้วย ขั้นท่ี 1 กำหนดวตั ถุประสงค์ ขั้นท่ี 2 ตรวจสอบผู้เคย
พบปัญหา ข้ันท่ี 3 กำหนดการแลกเปล่ียนเรยี นรรู้ ะหว่างกัน ขั้นท่ี 4 จัดสรรตารางเวลาใหเ้ หมาะกับ
กลุ่มผู้เรียน ขนั้ ท่ี 5 เลือกผูแ้ ลกเปล่ียนเรียนรู้ ข้ันที่ 6 มุ่งหาผลลัพธ์ที่ตอ้ งการ ข้ัน 7 วางแผนสำหรับ
การพูดคยุ นอกเวลา ข้นั ที่ 8 กำหนดบทบาทของแตล่ ะคนใหช้ ัดเจน ข้ันท่ี 9 แลกเปล่ียนเรียนรู้ซง่ึ กัน
และกนั

๑๙

3. ความรู้เกยี่ วกับเรื่องหลกั การพืน้ ฐานของแรงในสามมติ ิ

3.1 ความหมายของแรงในสามมิติ

ถา้ มแี รงใด ๆ มากระทำกบั วัตถโุ ดยทศิ ทางของแรงนั้นอยู่ในสามมิติหรืออาจกล่าววา่ อยู่ในระบบพิกัด
ฉแแรนางกวยแ่อxกยน,ใจนyำแนแนวลวนะแสกาzนมดแzังรแงคสอื คดืองFใแzนรภงแยาล่อพะยขทในี่น4าแด.น1ขวอเแรงกแานจรงะยxพ่อบยควใือน่าแแFนรxงวแแFรกงนยจ่อะxยปใจรนะะแมกนีคอวา่บแเทไกป่านกดบั้วyย
แรงย่อยตาม

คือ Fy และ

Fx ขนาดของ

แรงย่อยในแนวแกน y จะมีค่าเท่ากับ Fy และขนาดของแรงย่อยในแนวแกน z จะมคี ่าเท่ากับ Fz

ดงั แสดงในภาพท่ี 3.1 เราจะเรียกแรงนี้ว่าแรงในสามมิติ

z

Fz
F

θz θy Fy y

θx

Fx ภาพท่ี 3.1 ลักษณะของแรงในสามมติ ิ
x

3.2 การวเิ คราะหแ์ รงในสามมิติ

3.2.1 การแตกแรงในสามมติ ิ 
 Fx
1) เมื่อแตกแรง F เข้าสู่แนวแกน x จะได้แรงยอ่ ย ซึง่ จะหาได้จากความสมั พันธ์ดังต่อไปน้ี

Fx = cosθx
F

ดงั นัน้ จะได้ z

Fx = F cosθx

Fz
F

θz θy Fy y

θx

Fx 
x
ภาพที่ ๓.2 แสดงการแตกแรง F

๒๐

2) เมอ่ื แตกแรง  เขา้ สู่แนวแกน y จะไดแ้ รงยอ่ ย  ซ่ึงจะหาไดจ้ ากความสมั พนั ธด์ งั ตอ่ ไปนี้
F Fy

Fy = cos θ y
F

ดังนน้ั จะได้

Fy = F cosθy

3) เม่ือแตกแรง  เขา้ สู่แนวแกน z จะได้แรงย่อย  ซ่ึงจะหาไดจ้ ากความสัมพันธด์ งั ต่อไปน้ี
F Fz

Fz = cos θ z
F

ดงั นั้นจะได้

Fz = F cosθz  และ  แล้ว เราก็จะสามารถหาขนาดของ
Fx , Fy Fz
3.2.2 การรวมแรง
ในกรณที เี่ ราร้ขู นาดและทศิ ทางของแรงยอ่ ย

แรงลัพธไ์ ด้จากสมการดงั ตอ่ ไปนี้

F = (FX )2 + (Fy )2 + (FZ )2

เม่อื
F = ขนาดของแรงลพั ธ์
Fx = ขนาดของแรงย่อยในแนวแกน x
Fy = ขนาดของแรงย่อยในแนวแกน y

Fz = ขนาดของแรงย่อยในแนวแกน z

และจะสามารถคำนวณหาทิศทางของแรงลัพธ์  ท่กี ระทำกบั ในแต่ละแนวแกน นัน่ คือ θx ,θy
(R)

และ θz โดยหาจากสมการดังต่อไปน้ี

 θx = cos-1  Fx 
F

 θy = cos-1  Fy 
F

 θz = cos-1  Fz 
F

เม่ือ

θx ทิศทางของแรงลพั ธเ์ มอ่ื วัดมุมท่วี ัดจากแนวแกน x
θy ทศิ ทางของแรงลพั ธ์เม่ือวดั มุมท่ีวดั จากแนวแกน y

θz ทิศทางของแรงลัพธเ์ มื่อวัดมมุ ท่ีวัดจากแนวแกน z

๒๑

๓.3.3 แรงลพั ธ์
ถา้ มแี รงในสามิติจำนวนมากกว่าหนึง่ แรงกระทำกับวัตถหุ รอื อนุภาคใด ๆ เราจะตอ้ งทำการ
รวมแรงเหลา่ นัน้ เขา้ สู่ในแตล่ ะแนวแกนโดยใชส้ มการดังต่อไปนี้
1) การรวมแรงในแนวแกน x  Rx = Fx
2) การรวมแรงในแนวแกน y  Ry = Fy

3) การรวมแรงในแนวแกน z  Rz = Fz

และหาขนาดของแรงลพั ธจ์ ากสมการดงั ตอ่ ไปนี้

R = (FX )2 + (Fy )2 + (FZ )2

เมือ่
R = ขนาดของแรงลพั ธ์
Fx = ผลรวมขนาดของแรงยอ่ ยในแนวแกน x
Fy = ผลรวมขนาดของแรงย่อยในแนวแกน y

Fz = ผลรวมขนาดของแรงยอ่ ยในแนวแกน z

และจะสามารถคำนวณหาทศิ ทางของแรงลพั ธ์  ทกี่ ระทำกบั ในแต่ละแนวแกน นัน่ คอื θx ,θy
(R)

และ θz โดยหาจากสมการดงั ต่อไปนี้

 θx = cos-1  R x 
R

 θy = cos-1  Ry 
R

 θz = cos-1  R z 
R

เมือ่

θx ทศิ ทางของแรงลพั ธ์เม่ือวัดมมุ ที่วดั จากแนวแกน x
θy ทศิ ทางของแรงลพั ธเ์ มือ่ วัดมุมที่วดั จากแนวแกน y

θz ทศิ ทางของแรงลพั ธ์เมอ่ื วัดมุมท่ีวดั จากแนวแกน z

๒๒

5. งานวิจยั ทเี่ กีย่ วขอ้ ง

5.1 งานวิจัยที่เกย่ี วข้องกบั วธิ ีการจดั การเรียนรูแ้ บบเพ่ือนชว่ ยเพื่อน (Peer-Assisted
Learning)

วินทฎา วิเศษศิริกุล (2545) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา
ระดับ ปวส.สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจวิทยาลัยเทคนิคนครนายก โดยการจับคู่ดูแลกัน
วทิ ยาลัยเทคนิค นครนายก, ผลการวิจัย ผลการทดลองจบั คดู่ แู ลนักศกึ ษาท่ีผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนต่ำ
โดยเพ่ือนที่ มี ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงทำให้นักเรียนที่มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่ำมีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนสูงข้ึน จากเดิมร้อยละ 100 แต่ผทู้ ี่มีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสูงแล้วมีผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรยี นสงู ขึ้นจาก เดิมรอ้ ย ละ 90.90เนอื่ งจากการจบั คู่ดแู ลกนั ทำให้ส่งเสรมิ ใหเ้ กิดกิจกรรมชว่ ยเหลือ
ให้คำปรึกษา แนะแนว และทบทวนบทเรียนท้ังในระหว่างเรียน และหลงั เลิกเรียนแล้วนน่ั เอง
กนกอร ศรสี มพนั ธุ์ และคณะ (2560) ไดท้ ำการวจิ ัยเร่ืองการเรียนรู้แบบเพ่ือนชว่ ยเพ่อื นในกิจกรรม
การสอบสาธิตยอ้ นกลบั กลไกการคลอด มีวัตถปุ ระสงคเ์ พ่ือแสดงผลของการประยุกต์ใช้วิธีการจัดการ
เรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนในการสอบสาธิตย้อนกลับกลไกการคลอดกับนักศึกษาพยาบาลเป็น
รายบุคคล มีผลการศึกษาดังน้ี วิธีการเรียนรู้แบบเพ่ือนช่วยเพ่ือน เป็นอีกหนึ่งวิธีท่ีช่วยส่งเสริมให้
ผูเ้ รยี นชว่ ยเหลือกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน เปน็ การสรา้ งความสัมพันธ์อนั ดีระหวา่ งเพ่ือน และมสี ่วนชว่ ย
ให้ผ้เู รียนมีผลการเรียนที่ดขี ้นึ ดังเช่นในวชิ าการพยาบาลมารดาทารกและการผดงุ ครรภ์ 1 มีการเรยี น
เนื้อหา เกี่ยวกับการดูแลมารดาทารกในระยะตั้งครรภ์ ระยะคลอดและหลังคลอดปกติ มีการ
ประยุกต์ใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบเพ่ือนช่วยเพื่อนในกิจกรรมการสอบสาธิตย้อนกลับกลไกการ
คลอด เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมคี วามรู้ ความเข้าใจและเกิดทกั ษะในการหมนุ ทารกตามกลไกการคลอดได้
ดีข้ึน มีคะแนนการสอบอยูในระดับที่ดีข้ึน สามารถนำความรู้ไปใช้ในการติดตามความก้าวหน้าของ
การคลอดและการช่วยหมุนศีรษะทารกระหวา่ งฝึกปฏิบัตกิ ารพยาบาลระยะคลอดในสถานการณ์จริง
ได้ และผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยวิธีนี้อยู่ในระดับดีบทความนี้
บรรยายกระบวนการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพ่ือน ร่วมกับการสอนแบบสาธิตย้อนกลับ และ
ยกตัวอย่างการนำไปใช้ในวิชาการพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์ 1 ที่ ได้ผลดี ผู้สอน
สามารถนำแนวทางนไี้ ปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการจดั การเรียนการสอนเนื้อหาอื่นๆ ต่อไป
ธดิ า โมสิกรตั น์ และคณะ (2548) ได้ทำการวิจัยเรือ่ งการพัฒนาวิธีการเรียนรู้ร่วมกนั โดยการเรียน
แบบเพื่อนชว่ ยเพ่อื น สำหรบั นักศึกษามหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช : กรณีศึกษาชุดวิชาไทย ศึกษา
จังหวัดสมุทรสาคร มีวัตถุประสงค์ดังน้ี 1) เพื่อพัฒนาวิธีการเรียนรู้ร่วมกัน โดยการเรียนแบบเพ่ือน
ช่วยเพื่อน2) เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนระหว่างก่อนการเรียนและหลังการเรียนของ
กลุ่มทดลอง 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม และ 4)
เพือ่ ศึกษาความคดิ เหน็ ของนักศึกษาท่ีมตี ่อการเรยี นรู้ร่วมกนั มีวิธีการดำเนินการวิจยั เป็นการวิจัยเชิง
ทดลองและพัฒนาวิธีการเรียนรู้ร่วมกัน 3 แบบ คือ (1) แบบจิ๊กซอว์ (2) ทรีสเต็บอินเทอร์วิว และ
(3) สแตด ประชากรการวิจัยคือ นกั ศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าชทล่ี งทะเบยี นเรยี นชุดวิชา
ไทยศึกษา (ฉบับปรับปรุง) ภาคการศึกษาท่ี 1 ปี การศึกษา 2547 และมีภูมิลำเนาในจังหวัด
สมุทรสาครจำนวน 507 คน กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ซึ่งได้จากการ
สมุ่ ตวั อย่างอย่างงา่ ยด้วยการจับฉลากจำนวนกลุ่มละ 39 คน โดยกลุ่มทดลองเป็นนักศึกษาทเ่ี ข้าร่วม

๒๓

กจิ กรรมโครงการเพ่ือนช่วยเพื่อนของชมรมนักศึกษา มสธ. จังหวัดสมุทรสาคร และ กลุ่มควบคุมเป็น
กลมุ่ ท่ีศึกษาด้วยตนเองโดยไม่เข้าร่วมโครงการ การวเิ คราะหข์ ้อมลู ใช้วิธีโดยการแจกแจงความถห่ี าค่า
ร้อยละค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และค่าสถิติ t-
test ผลการวิจัย พบว่า (1) วิธีการเรียนรู้ร่วมกันโดยการเรียนแบบเพ่ือนช่วยเพ่ือน ใช้ได้ 3 แบบ
แบบท่ี 1 จ๊ิกซอว์ เป็นวิธีเรียนแบบต่อบทเรียน โดยแบ่งเป็นกลุ่มบ้านและทำงานในกลุ่มเชี่ยวชาญ
แบบที่ 2 ทรีสเตบ็ อนิ เทอรว์ วิ เปน็ วิธเี รยี น 3 ข้ันตอน โดยเรยี นเปน็ คู่กลมุ่ ยอ่ ยและกลุ่มใหญ่ แบบที่ 3
สแตด เป็นวิธีเรียนแบบกลุ่มคละผลสัมฤทธิใ์ นลักษณะร่วมคดิ ร่วมทำ (2) ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนของ
กล่มุ ทดลอง มีคะแนนกอ่ นเรียนและหลงั เรียน มคี วามสัมพันธก์ นั ในเชงิ บวก ในระดบั ปานกลางอยา่ งมี
นัยสำคัญทางสถิติท่ี .01 (3) เม่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของกลุ่มทดลอง กับกลุ่ม
ควบคุม ปรากฏว่ากลุ่มทดลองมีผลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่า กลุ่มควบคุมอย่าง มีนัยสำคัญทาง
สถิติที่ .05 (4) นักศึกษามีความเห็นว่า วิธีเรียนท่ีเหมาะกับนักศึกษาในระดับมาก คือ วิธี เรียน
แบบสแตด และเหมาะกบั นักศกึ ษาในระดบั ปานกลาง คอื ทรีสเต็บอินเทอร์วิว และแบบ จก๊ิ ซอว์1
จากวิจยั ข้างต้นจะเห็นไดว้ ่า การพฒั นากิจกรรมการเรียนรู้โดยใชร้ ปู แบบการสอนแบบเพื่อนช่วยเพอ่ื น
(Peer-Assisted Learning) เป็นวิถีทางที่จะช่วยให้เด็กพัฒนาทุกระดับความสามารถทางการเรียน
และสามารถที่จะทำคะแนนไดส้ งู สดุ เตม็ ความสามารถของตนเอง

๒๔

บทที่ ๓
วธิ ีดำเนนิ การ

ในการศึกษาการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ แบบฝึกทักษะการเช่ือมแม็ก โดยการสอนด้วย
วิธีการสาธิตด้วยวีดีโอ ใช้สอนวิชางานเชื่อมอาร์กโลหะแก๊สคลุม รหัสวิชา ๓๐๑๐๓-๐๐๐๔ ภาค
เรยี นที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ ผูศ้ ึกษาได้ดำเนินการดังรายละเอียดต่อไปน้ี

๑. ประชากรและกลุม่ ตวั อย่าง
๒. เคร่อื งมือที่ใช้ในการศกึ ษา
๓. การสร้างและการพัฒนาเครือ่ งมือ
๔. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
๕. สถิติทีใ่ ช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล

๓.๑ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
๑.๑ ประชากร ไดแ้ ก่ นักศกึ ษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชพี ชัน้ สงู ปีท่ี ๑/๑ สาขาวิชา

เทคนคิ อุตสาหกรรม วทิ ยาลัยเทคนิคอุตสาหกรรมยานยนต์ ภาคเรียนท่ี ๑ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๕
จำนวน ๘ คน

๑.๒ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันสูง ปีที่
๑/๑ สาขาวิชาเทคนิคอุตสาหกรรม วิทยาลัยเทคนิคอุตสาหกรรมยานยนต์ ภาคเรียนที่ ๑ ปี
การศกึ ษา ๒๕๖๕ จำนวน ๘ คน

๒. การสรา้ งเคร่อื งมอื ท่ใี ช้ในการศึกษา
การศึกษาในคร้ังนี้ได้ดำเนินการสร้างเครื่องมือเพ่ือใช้ในการศึกษาเป็นแบบทดสอบเรื่อง

หลักการพ้ืนฐานของแรงในสามมิติ ด้วยวิธีการเรียนรแู้ บบเพือ่ นช่วยเพ่ือน ภาคเรยี นที่ ๑ ปีการศึกษา
๒๕๖๕ ประกอบดว้ ย ๒ ส่วน

๒.๑ แผนการจัดการเรยี นรู้ เรือ่ งหลักการพน้ื ฐานของแรงในสามมิติ ดว้ ยวธิ กี ารเรียนรแู้ บบ
เพื่อนช่วยเพ่อื น ระยะเวลาในการเรยี นและการสอนจำนวน ๙ ชั่วโมง

๒.๒ แบบทดสอบ หลักการพ้ืนฐานของแรงในสามมิติ ด้วยวิธีการเรยี นร้แู บบเพอื่ นชว่ ยเพ่ือน
ใชส้ อนวชิ ากลศาสตร์วศิ วกรรม รหัสวิชา ๓๐๑๐๐-๐๑๐๑

๒๕

๓. เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการรวบรวมขอ้ มลู
๓.๑ ขนั้ ตอนการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ หลกั การพน้ื ฐานของแรงในสามมิติ ดว้ ยวธิ กี าร

เรียนร้แู บบเพอื่ นช่วยเพ่ือน ใชส้ อนวชิ ากลศาสตร์วศิ วกรรม รหัสวิชา ๓๐๑๐๐-๐๑๐๑
๓.๑.๑ ศึกษารายละเอียดคำอธิบายรายวิชา วัตถุประสงค์ตามหลักสูตรท่ีกำหนด ศึกษา

เอกสารทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องจากตำรา ในการสรา้ งเครื่องมือท่ีใช้ในการศึกษาแบบต่าง ๆ โดยการศึกษา
แผนการจัดการเรียนรู้ แบบฝึกทกั ษะและแบบทดสอบแบบต่าง ๆ เพ่อื นำข้อมลู มาวิเคราะหอ์ อกแบบ
ใชก้ บั รายวชิ า

๓.๑.๒ สร้างแบบทดสอบเรื่องหลักการพื้นฐานของแรงในสามมิติ แบบอัตนัย ๖ ข้อ เพื่อ
วัดผลสัมฤทธ์ิด้วยวิธีการเรียนรู้แบบเพ่ือนช่วยเพ่ือน โดยให้ครอบคลุมเน้ือหาและจุดประสงค์ และ
นำไปให้ผเู้ ชีย่ วชาญตรวจสอบข้อบกพร่องเพ่ือทำการแก้ไขปรับปรงุ ตอ่ ไป

๓.๑.๓ นำแบบทดสอบเร่ืองหลักการพ้นื ฐานของแรงในสามมิติ ท่ีสร้างข้ึนเสนอผู้เช่ียวชาญ
๓ ท่าน เพอ่ื ตรวจสอบและให้ขอ้ เสนอแนะ ผู้เชย่ี วชาญประเมินความสอดคล้องระหว่างแบบวัดทักษะ
การแก้ปัญหากับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยวิธีของโรวิเนลล่ี (Rovinelli) และ แฮมเบลตัน (R.K.
Hambletan) ซึง่ มเี กณฑก์ ารให้คะแนน ดงั นี้ (สมนึก ภัททยิ ธนี, ๒๕๓๗)

ใหค้ ะแนน +๑ เมื่อแน่ใจวา่ ขอ้ สอบนน้ั วัดหาจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม
ให้คะแนน ๐ เมื่อแนใ่ จว่าขอ้ สอบนนั้ วัดตามจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม
ให้คะแนน -๑ เม่ือแนใ่ จว่าข้อสอบนนั้ วัดหาจุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม

๓.๑.๔ นำคะแนนทผ่ี ู้เชี่ยวชาญลงความเห็นมาหาค่า IOC ของข้อสอบรายข้อ มาวเิ คราะห์
ผลการประเมินท่ีได้มาวเิ คราะหเ์ พ่ือหาความสอดคล้องของข้อคำถาม โดยการประเมินของผูเ้ ชี่ยวชาญ
ทั้ง ๓ ท่าน แบ่งการประเมินเป็น ๒ ส่วน คือ ก่อนการทำแบบทดสอบด้วยวิธีเพื่อนช่วยเพื่อน เร่ือง
หลักการพ้ืนฐานของแรงในสามมิติ โดยแบบทดสอบแบบอัตนัยจำนวน ๓ ข้อ และหลังการทำ
แบบทดสอบด้วยวิธีเพ่ือนช่วยเพ่ือน เรื่องหลักการพ้ืนฐานของแรงในสามมิติ โดยแบบทดสอบแบบ
อตั นัยจำนวน ๓ ขอ้ โดยการประเมินมีค่า IOC เทา่ กบั ๑ อยู่ในระดบั ทีผ่ า่ นเกณฑ์

๓.๑.๕. ปรับปรุงแก้ไขและจัดพิมพ์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทางการเรียนที่ผ่านการ
ตรวจสอบคุณภาพเป็นฉบบั สมบรู ณ์ เพ่อื ใชจ้ รงิ

๓.๒ แบบทดสอบและแบบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นรายวิชา มีข้ันตอนการสรา้ งดังนี้
๓.๒.๑ ศกึ ษาหลักสตู รประกาศนียบตั รวิชาชพี ช้ันสูง
๓.๒.๓ ศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบที่ดี และความเท่ียงตรงของแบบทดสอบจาก

หนงั สอื การศึกษาเบือ้ งต้น
๓.๒.๔ กำหนดจุดประสงค์ เนื้อหา และพฤติกรรมท่ีต้องการวัด เพื่อสร้างแบบ

แบบทดสอบใหค้ รอบคลุมเนอ้ื หาและจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ เปน็ ชนดิ ใบงาน
๓.๒.๕ นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่สร้างข้ึนเสร็จแล้วเสนอต่อ

ผู้เช่ียวชาญเพ่ือให้คำแนะนำในเร่ืองรูปแบบ สำนวนภาษา และปรับปรุงแก้ไข แล้วนำเสนอต่อ
ผเู้ ชยี่ วชาญอกี คร้ัง

๒๖

๓.๒.๖ ผู้เช่ียวชาญประเมินความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบกับจุดประสงค์เชิง
พฤติกรรม เพื่อตรวจสอบแนะนำแก้ไขวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index Objective

Congruence : IOC) (ประภาพรรณ เส็งวงศ์. ๒๕๕๐ : ๖๙)
การตรวจสอบความเท่ียงตรงของเครือ่ งมอื

+๑. หมายถงึ เมอ่ื แน่ใจว่าแบบทดสอบน้ันวัดตามจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม
๐. หมายถึง เมื่อไมแ่ นใ่ จว่าแบบทดสอบนั้นวดั ตามจดุ ประสงค์
- ๑. หมายถงึ เมอื่ แน่ใจวา่ แบบทดสอบนั้นไม่วดั ตามจุดประสงคป์ ระสงค์เชิง

พฤตกิ รรม
๓.๒.๗ หาค่าดชั นีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามของแบบทดสอบกับจุดประสงค์

เชงิ พฤติกรรม
๓.๒.๘ นำแบบทดสอบที่เข้าเกณฑ์มาวิเคราะห์หาความเช่ือม่ันของแบบทดสอบทั้ง

ฉบับ โดยวิธีของ KR ๒๐ ของ Kuder Richardson(ล้วน สายยศและอังคณา สายยศ. ๒๕๔๓:๒๑๕ )

แบบทดสอบมคี า่ ความเชอื่ มั่น
๓.๒.๙ จดั พิมพแ์ บบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิที่ผ่านการตรวจสอบและปรบั ปรงุ

ใชเ้ ป็นเครอ่ื งมอื ในการศึกษาต่อไป

๔. การดำเนนิ การทดลองและการเกบ็ รวบรวมข้อมลู

๔.๑ แบบแผนและการดำเนินการทดลอง

การศึกษาในครั้งน้ีผูศ้ ึกษาได้ทำการทดลองเป็นแบบ One Group Pre-test Design

ตารางท่ี ๔ แบบแผนดำเนินการทดลอง

กลมุ่ ทดสอบกอ่ นเรยี น ทดลอง ทดสอบหลงั เรยี น

กลุ่มทดลอง T๑ X T๒

๕. สถติ ทิ ีใ่ ชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมลู

๕.๑ การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ผู้ศึกษาดำเนินการวเิ คราะห์ข้อมลู ดงั น้ี
๕.๑.๑ หาค่าสถิติพ้ืนฐาน ได้แก่ ค่าคะแนนเฉล่ียและความเบ่ียงเบนมาตรฐานของ

คะแนนที่ได้รับจากการทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น
๕.๑.๒ หาค่าความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์

ทางการเรียนโดยผู้เชย่ี วชาญ ( IOC)

๕.๑.๓ หาค่าความยากและค่าอำนาจของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น
๕.๑.๔ คา่ ความเชื่อม่นั ของแบบสอบถามและแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น

๕.๑.๕ วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยใช้ t – test (Dependent
Samples )

๒๗

๕.๒ สถติ ิท่ีใช้ในการวเิ คราะหห์ าคุณภาพของเครอื่ งมอื

๕.๒.๑ หาค่าความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหา (Content Validity) แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์

ทางการเรียน โดยใช้สูตรดัชนีค่าความสอดคล้อง IOC (สมบูรณ์ สุริยวงศ์และคณะ. ๒๕๔๔ : ๑๕๖ -

๑๕๙) R
N
IOC =

เมอ่ื IOC แทน ดชั นีความสอดคล้อง

R แทน ผลรวมคะแนนความคดิ เหน็ ของผเู้ ช่ียวชาญท้ังหมด

N แทน จำนวนผู้เช่ยี วชาญทัง้ หมด

๕.๒.๒ การหาคา่ เฉลีย่ ของคะแนน (พิศษิ ฐ์ ตัณฑวณิช.๒๕๔๓ : ๓๗) ค่าเฉล่ีย ( X ) โดย

คำนวณจากสูตร x
N
X=

เมื่อ X แทน ค่าเฉล่ีย
X แทน คะแนนรวมของผูเ้ รียนจากการแบบฝึกย่อยระหวา่ งเรยี น
N แทน จำนวนนักเรียน

๕.๒.๓ การหาค่าสถติ ิเพือ่ ทดสอบสมมติฐานในการศึกษา โดยใช้ t- test (Dependent
Samples) (บุญชม ศรีสะอาด.๒๕๔๕ : ๑๑๓) เมื่อความแปรปรวนไม่เท่ากัน โดยใช้โปรแกรม
คอมพวิ เตอร์ ในการวิเคราะห์ข้อมลู

t = D
n D2 − ( D)2

n −1

เมอ่ื t แทน ค่าสถิตทิ ่ีใชเ้ ปรียบเทยี บค่าวิกฤต
D แทน ผลต่างระหว่างคู่คะแนน
n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง

๒๘

บทท่ี ๔
ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู

ในการวิจัยการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในรายวิชากลศาสตร์วิศวกรรม เรื่องหลักการพ้ืนฐาน
ของแรงในสามมิติ โดยวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบเพ่ือนช่วยเพื่อน สำหรับนักศึกษาระดับชั้น

ประกาศนียบัตรวิชาชพี ช้ันสูงปีท่ี ๑/๑ สาขาวิชาเทคนิคอตุ สาหกรรม วิทยาลัยเทคนิคอุตสาหกรรม
ยานยนต์ ในภาคเรยี นท่ี ๑ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๕ ผศู้ กึ ษาไดด้ ำเนนิ การดงั รายละเอียดต่อไปนี้

ตารางที่ ๑ ตารางวเิ คราะหข์ อ้ มูลเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กอ่ นและหลงั วธิ กี ารจัดการ
เรยี นการสอนแบบเพอ่ื นชว่ ยเพ่ือน เรือ่ งหลักการพ้ืนฐานของแรงในสามมติ ิ วชิ ากลศาสตรว์ ิศวกรรม
รหัสวิชา ๓๐๑๐๐-๐๑๐๑ จำนวน ๘ คน

คนที่ ช่ือ-สกุล คะแนนแบบทดสอบ ผลต่าง
(๑๕ คะแนน) D
๑ นายลามิ วงไพศาล
๒ นายระพพี ฒั น์ จนั ทร์ตอ่ ก่อน หลงั ๑๑
๓ นายธนดล เฟ่ืองอารมย์ ๔ ๑๕ ๖
๔ นายจักรกฤต กระจบั เงิน ๖ ๑๒ ๒
๕ นายคณติ ิน แสงฉาน ๘ ๑๐ ๓
๖ นางสาววาสนา แก้วมณี ๙ ๑๒ ๑
๗ นายวรี ชยั พรหมลาย ๑๑ ๑๒ ๐
๘ นายพงษพ์ ัฒน์ อนิ ทร์แปลง ๑๒ ๑๒ ๒
๘ ๑๐ ๐
รวม ๑๕ ๑๕ ๒๕
เฉลี่ย ๗๓ ๙๘ ๓.๑๓
คดิ เป็นรอ้ ยละ ๙.๑๓ ๑๒.๒๕ ๒๐.๘๐
๖๐.๘๗ ๘๑.๖๗

จากตารางที่ ๑ นักศึกษาที่เรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบเพ่ือนช่วยเพื่อน เรื่อง
หลักการพื้นฐานของแรงในสามมติ ิ วชิ ากลศาสตรว์ ิศวกรรม รหสั วิชา ๓๐๑๐๐-๐๑๐๑ มีผลสมั ฤทธ์ิ

ทางการเรียนหลังการเรียนรู้แบบเพ่ือนช่วยเพอื่ น สูงกว่าก่อนการเรยี นรู้แบบเพ่ือนช่วยเพื่อน ร้อยละ
๒๐.๘๐ ซึ่งเปน็ ไปตามสมมติฐานท่ตี ั้งไว้

๒๙

บทท่ี ๕
สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

ในการวิจัยการการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องหลักการพื้นฐานของแรงใน
สามมติ ิ โดยวิธีการจัดการเรยี นการสอนแบบเพ่ือนช่วยเพ่ือน ในรายวิชากลศาสตร์วิศวกรรม รหสั วชิ า
๓๐๑๐๐-๐๑๐๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๕ สรุปผลการศึกษาดงั ต่อไปน้ี

สรปุ ผลการศกึ ษา
นกั เรียนที่เรยี นด้วยแบบทดสอบเรื่องหลักการพื้นฐานของแรงในสามมิติ โดยวิธีการจัดการ

เรียนการสอนแบบเพ่ือนช่วยเพ่ือน ในรายวิชากลศาสตร์วิศวกรรม รหัสวิชา ๓๐๑๐๐-๐๑๐๑ มี
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลังใช้วธิ ีการเรยี นรู้แบบเพ่ือนช่วยเพื่อนสูงกว่าก่อนการใช้วิธกี ารเรียนรแู้ บบ
เพอ่ื นช่วยเพ่ือน ร้อยละ ๒๐.๘๐ ซงึ่ เป็นไปตามสมมติฐานที่ต้งั ไว้

ขอ้ เสนอแนะ
1. ควรศึกษาวิจัยรูปแบบการสอนแบบเพ่ือนช่วยเพื่อน (Peer-Assisted Learning) และ

ศึกษาแนวทางการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาอ่ืนๆ เพิ่มเติมเพื่อเสริมข้อมูลในการสร้างกิจกรรมการ
เรียนรู้

2. ควรทำการวิจัยเพ่อื ทดลองหาปจั จัยท่สี ง่ ผลกระทบต่อการเกดิ ทักษะการแก้ปัญหาให้มคี วาม
หลากหลายรปู แบบและหลากหลายบริบท

3. ควรวดั ทักษะการแก้ปญั หาในด้านอ่นื ๆ ด้วย เช่น การคิดอย่างวเิ คราะห์ การเช่ือมโยง การ
ใหเ้ หตุผลเปน็ ต้น

๓๐

ภาคผนวก ก
แบบทดสอบหลังเรยี น

เรอ่ื งแรงใน3มิติ

๓๑

แบบทดสอบหลงั เรียน
เรื่อง หลกั การพ้ืนฐานของแรงสามมติ ิ

1. ถา้ ขนาดของแรงในแตล่ ะแนวแกนมีค่าดังต่อไปนี้ , และ
จงคำนวณหาขนาดและทศิ ทางของแรงลัพธ์

z

Fz
F

θz θy Fy y

θx
Fx

x

2. ถา้ แรง มีขนาด 1200 N และมีทิศทางดงั แสดงในภาพ จงหาขนาดของแรงย่อย และ
และมมุ และ

1,200 N z

30 o

y

O

35o
x

๓๒

3. แรงสองแรงซงึ่ มีขนาด และ กระทำกบั วตั ถทุ ี่จดุ ดังแสดง

ในภาพ

จงคำนวณหาขนาดและทิศทางของแรงลพั ธ์

z

F1 = 650 N F2 = 950 N y
45o
40 o
O 35o

30 o
x

4. ถ้าขนาดของแรงในแต่ละแนวแกนมีคา่ ดังตอ่ ไปนี้ , และ

จงคำนวณหาขนาดและทศิ ทางของแรงลพั ธ์

z

Fz
F

θz θy Fy y

θx
Fx

x

๓๓

5. ถา้ แรง มขี นาด 700 N และมีทศิ ทางดงั แสดงในภาพ จงหาขนาดของแรงยอ่ ย และ และมมุ
และ

z

700 N

y
O

x

6. แรงสองแรงซึง่ มขี นาด และ กระทำกบั วตั ถุทจ่ี ดุ ดงั แสดงใน

ภาพ = 600 N

จงคำนวณหาขนาดและทศิ ทางของแรงลพั ธ์

z

= 400 N

y

O
x

๓๔

ภาคผนวก ข
เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น

เร่อื งแรงใน3มิติ
และเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน

๓๕

เฉลยและเกณฑ์การใหค้ ะแนนแบบวดั ทกั ษะการคำนวณแกโ้ จทยเ์ รือ่ งหลกั การพน้ื ฐานของแรง3มิติ
วตั ถปุ ระสงค์ : 1. สามารถแตกแรงสามมติ ิได้อยา่ งถูกตอ้ ง

2. สามารถรวมแรงในแนวแกนไดอ้ ย่างถูกต้อง
3. สามารถคำนวณหาขนาดและทิศทางของแรงลพั ธไ์ ด้อย่างถูกต้อง

ข้อ 1 ถา้ ขนาดของแรงในแตล่ ะแนวแกนมีค่าดงั ต่อไปน้ี Fx = 600 N , Fy = 900 N และ Fz = 500 N จง
คานวณหาขนาดและทิศทางของแรงลพั ธ์

z

Fz F y
θ y Fy
θz

θx
Fx

วธิ ีทำ x
1) หาขนาดของแรงลพั ธ์จากสมการดงั ต่อไปน้ี

F = (FX )2 + (Fy )2 + (FZ )2

แทนค่า Fx , Fy และ Fz ลงในสมการ

F = (600) 2 + (900) 2 + (500) 2

= 1,191.63 N

2) หาขนาดของมุม θx , θy และ θz เพอ่ื ระบุทิศทางของแรงลพั ธ์

θx = cos-1  Fx   θx = cos-1  600  = 59.76 o
F 1,191.63 

θy = c os-1  Fy   θy = cos-1  900  = 40.95o
F 1,191.63 

θz = cos-1  Fz   θz = cos-1  500  = 65.19 o ตอบ
F 1,191.63 

เกณฑก์ ารให้คะแนน (รายขอ้ )

คะแนนทีไ่ ด้ เกณฑก์ ารประเมนิ

5 คะแนน แสดงวธิ ีทำและหาคำตอบไดค้ รบถว้ นท้งั หมด

4 คะแนน แสดงวธิ ีทำและหาคำตอบได้ครบถว้ นเพียงอย่างใดอยา่ งหนึง่

3 คะแนน แสดงวิธีทำและหาคำตอบได้ แตไ่ ม่ครบถ้วนท้ังหมด

2 คะแนน แสดงวธิ ที ำหรอื หาคำตอบไดค้ รบถ้วนเพยี งอย่างใดอย่างหนง่ึ

1 คะแนน แสดงวธิ ีทำหรือหาคำตอบได้เพียงอย่างใดอยา่ งหนง่ึ และไมค่ รบถว้ น

( คำตอบตามกรณตี วั อย่างจะได้ 5 คะแนน )

๓๖

ข้อท่ี 2 ถา้ แรง  มีขนาด F = 1,200 N และมีทิศทางดงั แสดงในภาพ จงหาขนาดของแรงย่อย  ,  และ
 F Fx Fy
Fz
และมมุ θx ,θy และ θz

1,200 N z

30 o y
O

35o
x

วธิ ที ำ

1) คานวณหาขนาดของแรงยอ่ ยในแต่ละแนวแกน

 Fx = 1,200 (sin 30o ) (cos 35o ) = 491.49 N
 Fy = 1,200 (sin 30o ) (sin 35o ) = 344.14 N

 Fz = 1,200 (cos 30o ) = 1,039.23 N

2) คานวณหามมุ θx , θy และ θz โดยหาจากสมการดงั ต่อไปน้ี

θx = cos-1  Fx   θx = cos-1  491.49  = 65.82o
F  1,200 

θy = c os-1  Fy   θy = cos-1  344.14  = 73.33o
F  1,200 

θz = cos-1  Fz   θz = cos-1 1,039.23  = 30.00o ตอบ
F  1,200 

เกณฑ์การให้คะแนน (รายข้อ)

คะแนนท่ีได้ เกณฑ์การประเมนิ

5 คะแนน แสดงวธิ ที ำและหาคำตอบไดค้ รบถ้วนทง้ั หมด

4 คะแนน แสดงวิธีทำและหาคำตอบไดค้ รบถ้วนเพียงอย่างใดอย่างหน่ึง

3 คะแนน แสดงวธิ ที ำและหาคำตอบได้ แต่ไม่ครบถว้ นท้งั หมด

2 คะแนน แสดงวธิ ีทำหรอื หาคำตอบไดค้ รบถ้วนเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง

1 คะแนน แสดงวิธที ำหรือหาคำตอบไดเ้ พียงอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ และไมค่ รบถว้ น

( คำตอบตามกรณีตวั อยา่ งจะได้ 5 คะแนน )

๓๗

ข้อท่ี 3 แรงสองแรงซ่ึงมขี นาด F1 = 650 N และ F2 = 950 N กระทากบั วตั ถุที่จดุ O ดงั แสดง
ในภาพ จงคานวณหาขนาดและทิศทางของแรงลพั ธ์

z

F1 = 650 N F2 = 950 N y
45o
40 o
O 35o

30 o
x

วธิ ที ำ

1) คานวณหาขนาดของแรงยอ่ ยในแต่ละแนวแกน

พจิ ารณาแรง F1  F1x = 650 (sin 45o ) (cos 30o )

 F1y = 650 (sin 45o ) (sin 30o )

  F1z = 650 (cos 45o )
F2 F2x = 950 (cos 40o ) (sin 35o )
พจิ ารณาแรง 

 F2y = 950 (cos 40o ) (cos 35o )

 F2z = 950 (sin 40o )

2) นาคา่ ทไ่ี ดจ้ ากการคานวณบนั ทกึ ลงในตาราง ดงั น้ี
   
แรง F แรงยอ่ ย Fx แรงยอ่ ย Fy แรงยอ่ ย Fz

F1 + 398.04 i + 229.80 j + 459.61k
F2  − 417.41 i   + 596.13 j   + 610.64 k 
R x = -19.37 i R y = + 825.93 j R z = +1,070.25 k

3) หาขนาดของแรงลพั ธ์  จากสมการดงั ตอ่ ไปน้ี
R

R = (FX )2 + (Fy )2 + (FZ )2
R = (-19.37) 2 + (825.93) 2 + (1,070.25) 2 = 1,352.02 N

๓๘

4) คานวณหาทศิ ทางของแรงลพั ธ์  ทีก่ ระทากบั ในแตล่ ะแนวแกน นน่ั คือ θx , θy และ θz โดย
(R)

หาจากสมการดงั ตอ่ ไปน้ี

θx = cos-1  R x   θx = cos-1  -19.37  = 90.82 o
R 1,352.02 

θy = cos-1  Ry   θy = cos-1  825.93  = 52.34 o
R 1,352.02 

θz = cos-1  R z   θz = cos-1  1,070.25  = 37.66 o ตอบ
R 1,352.02 

เกณฑก์ ารให้คะแนน (รายขอ้ )

คะแนนท่ีได้ เกณฑก์ ารประเมนิ

5 คะแนน แสดงวิธีทำและหาคำตอบไดค้ รบถ้วนทงั้ หมด

4 คะแนน แสดงวิธีทำและหาคำตอบไดค้ รบถ้วนเพียงอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ

3 คะแนน แสดงวธิ ที ำและหาคำตอบได้ แตไ่ มค่ รบถว้ นทงั้ หมด

2 คะแนน แสดงวิธีทำหรือหาคำตอบได้ครบถ้วนเพียงอยา่ งใดอย่างหน่ึง

1 คะแนน แสดงวิธที ำหรือหาคำตอบได้เพียงอย่างใดอยา่ งหนงึ่ และไม่ครบถ้วน

( คำตอบตามกรณตี ัวอยา่ งจะได้ 5 คะแนน )

๓๙

4. ถา้ ขนาดของแรงในแตล่ ะแนวแกนมีค่าดงั ตอ่ ไปน้ี , และ

จงคำนวณหาขนาดและทศิ ทางของแรงลัพธ์

z

Fz
F

θz θy Fy y

θx
Fx

วธิ ีทำ x
1) หาขนาดของแรงลพั ธจ์ ากสมการดงั ต่อไปน้ี

F = (FX )2 + (Fy )2 + (FZ )2

แทนค่า Fx , Fy และ Fz ลงในสมการ

2) หาขนาดของมุม θx , θy และ θz เพ่อื ระบทุ ศิ ทางของแรงลพั ธ์

θx = cos-1  Fx  
F

θy = cos-1  Fy  
F

θz = cos-1  Fz   ตอบ
F

เกณฑ์การใหค้ ะแนน (รายข้อ)

คะแนนทไ่ี ด้ เกณฑก์ ารประเมิน

5 คะแนน แสดงวิธีทำและหาคำตอบไดค้ รบถ้วนทงั้ หมด

4 คะแนน แสดงวิธีทำและหาคำตอบไดค้ รบถว้ นเพียงอย่างใดอยา่ งหนง่ึ

3 คะแนน แสดงวิธีทำและหาคำตอบได้ แต่ไมค่ รบถว้ นท้งั หมด

2 คะแนน แสดงวิธที ำหรอื หาคำตอบได้ครบถ้วนเพียงอยา่ งใดอย่างหน่งึ

1 คะแนน แสดงวิธที ำหรอื หาคำตอบได้เพียงอย่างใดอยา่ งหน่ึงและไม่ครบถว้ น

( คำตอบตามกรณตี ัวอย่างจะได้ 5 คะแนน )

๔๐

5. ถา้ แรง มขี นาด 700 N และมที ิศทางดงั แสดงในภาพ จงหาขนาดของแรงยอ่ ย และ
และมุม และ

z

700 N

y
O

วิธที ำ x
1) คานวณหาขนาดของแรงยอ่ ยในแตล่ ะแนวแกน







2) คานวณหามุม θx , θy และ θz โดยหาจากสมการดงั ต่อไปน้ี

θx = cos-1  Fx  
F

θy = cos-1  Fy  
F

θz = cos-1  Fz   ตอบ
F

เกณฑ์การใหค้ ะแนน (รายข้อ)

คะแนนทีไ่ ด้ เกณฑ์การประเมิน

5 คะแนน แสดงวธิ ีทำและหาคำตอบไดค้ รบถว้ นทง้ั หมด

4 คะแนน แสดงวิธีทำและหาคำตอบได้ครบถ้วนเพียงอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง

3 คะแนน แสดงวธิ ที ำและหาคำตอบได้ แตไ่ มค่ รบถ้วนทง้ั หมด

2 คะแนน แสดงวิธีทำหรอื หาคำตอบได้ครบถ้วนเพียงอย่างใดอย่างหน่งึ

1 คะแนน แสดงวิธีทำหรือหาคำตอบไดเ้ พียงอยา่ งใดอยา่ งหนึง่ และไมค่ รบถว้ น

( คำตอบตามกรณตี วั อยา่ งจะได้ 5 คะแนน )

๔๑

6. แรงสองแรงซึง่ มีขนาด และ กระทำกับวัตถุที่จดุ ดังแสดงใน

ภาพ = 600 N

จงคำนวณหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์

z

= 400 N

O y

x
แรงยอ่ ย Fz
วธิ ที ำ
1) คำนวณหาขนาดของแรงยอ่ ยในแต่ละแนวแกน
พจิ ารณาแรง F1 






พิจารณาแรง F2 





2) นำค่าทีไ่ ดแ้จรางกFการคำนวณบนั แทรึกงยลอ่งใยนตFาxราง ดังน้ี 

 แรงยอ่ ย Fy

F1 0
F2

3) หาขนาดของแรงลพั ธ์  จากสมการดงั ตอ่ ไปน้ี
R

R = (FX )2 + (Fy )2 + (FZ )2

๔๒

4)  θx , θy และ θz โดย

คำนวณหาทิศทางของแรงลพั ธ์ (R) ทกี่ ระทำกบั ในแต่ละแนวแกน นน่ั คือ

หาจากสมการดังตอ่ ไปน้ี





 ตอบ

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน (รายขอ้ )

คะแนนที่ได้ เกณฑ์การประเมนิ

5 คะแนน แสดงวธิ ที ำและหาคำตอบไดค้ รบถว้ นทั้งหมด

4 คะแนน แสดงวธิ ที ำและหาคำตอบได้ครบถว้ นเพยี งอย่างใดอย่างหนง่ึ

3 คะแนน แสดงวธิ ที ำและหาคำตอบได้ แตไ่ ม่ครบถ้วนท้งั หมด

2 คะแนน แสดงวิธที ำหรือหาคำตอบไดค้ รบถว้ นเพยี งอยา่ งใดอยา่ งหนึง่

1 คะแนน แสดงวธิ ที ำหรือหาคำตอบไดเ้ พยี งอยา่ งใดอย่างหนง่ึ และไม่ครบถ้วน

( คำตอบตามกรณีตัวอย่างจะได้ 5 คะแนน )

๔๓

ภาคผนวก ค
ภาพถา่ ยการเรียนการสอน
ด้วยวธิ กี ารเรียนร้แู บบเพือ่ นช่วยเพอ่ื น

๔๔

๔๕

บรรณานุกรม

กระทรวงศกึ ษาธิการ. หลกั สูตรประกาศนียบตั รวชิ าชีพชั้นสูง พุทธศกั ราช ๒๕๕๗ ประเภทวชิ า
ช่างอุตสาหกรรม. กรุงเทพมหานคร: สอศ. ๒๕๔๗.

กิดานันท์ มลิทอง. เทคโนโลยีการศึกษาร่วมสมยั . กรุงเทพมหานคร : คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๐.

ชชั วาลย์ เรอื งประพนั ธ.์ สถิตพิ ืน้ ฐานพร้อมตัวอยา่ งการวิเคราะห์ดว้ ยโปรแกรม MINITAB SPSS
และ SAS. ภาควิชาสถิติ คณะวิทยาศาสตร์ : มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ๒๕๔๓.

บญุ ชม ศรีสะอาด. การวิจยั เบื้องต้น.พิมพ์ครง้ั ที่ ๔.กรงุ เทพมหานคร : สุวรี ิยาสาสน์ , ๒๕๔๕.
ประภาพรรณ เส็งวงศ์ . การพฒั นานวัตกรรมการเรยี นการเรยี นรู้ ด้วยการวิจยั ในชั้นเรียน.

กรงุ เทพฯ : บริษทั กมลสมัย จำกดั , ๒ ๕๕๐.
พศิ ิษฐ ตัณฑวณิช. สถิติเพอ่ื งานวจิ ยั ทางการศกึ ษา.กรงุ เทพมหานคร : เธริ ์ดเวฟ

เอ็ดดูเคช่นั , ๒๕๔๓.
ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ. เทคนิคการวดั ผลการเรียนรู้. พมิ พค์ รงั้ ที่ ๕. กรงุ เทพฯ :

สุวีริยาสาส์น, ๒๕๔๓.
สมบูรณ์ สรุ ิยวงศ์,สมจิตรา เรืองศรแี ละเพ็ญศรี เศรษฐวงศ์. ระเบียบวิธีวิจัยทางการศกึ ษา .

กรุงเทพฯ : ศูนย์สง่ เสริมวชิ าการ, ๒๕๔๔.


Click to View FlipBook Version