สื่อการเรียนการสอน
เรื่อง กาพย์เห่เรือ บทเห่ครวญ
ผู้แต่ง : เจ้าฟ้าธรรมธิเบศไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ (เจ้าฟ้ากุ้ง)
วิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท๓๓๑๐๑
นางสาวปรียานุช เสนาธนศักดิ์
ตำแหน่งครู วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ
บทเห่ครวญ
ประกอบด้วยโคลงสี่สุภาพ ๒ บทและ
กาพย์ยานี ๑๑ อีก ๘ บท
กล่าวถึงความรัก ความคิดถึงที่มีต่อ
นางอันเป็นที่รัก โดยกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
สันนิ ษฐานว่าเป็นการคร่ำครวญคิดถึงพระสนม
ของพระบิดา อันเป็นเหตุให้โดนพระราชอาญา
จนถึงแก่ชีวิตในเวลาต่อมา
ถอดคำประพันธ์
เสียงสรวลระรี่นี้ เสียงใด คําศัพท์ น่่ ารู้
เสียงนุชพี่ฤๅใคร ใคร่รู้ สรว
ล
ระ
รี่ หัวเราะ ร่าเริง
เสียงสรวลเสียงทรามวัย นุชพี่ มาแม่ นุช
ทราม
วัย หัวเราะร่วน
เสียงบังอรสมรผู้ อื่นนั้ นฤๅมี บังอ
ร
สม
ร น้ อง (โดยมากใ
ช้แก่ผู้หญิง)
หญิงสาววัยรุ่น
เมื่อกวีได้ยินเสียงหัวเราะ จึงสงสัยว่าเสียง
นาง,นางงาม
หัวเราะนี้ เป็นของใคร เสียงนางอันเป็นที่รักหรือ
นางอันเป็ นที่รัก
เสียงของใครนั้นกวีอยากรู้ เพราะเหมือนเสียงนาง
อันเป็นที่รักนั้นตามติดตัวกวีมา เสียงของนางอัน
เป็ นที่รักไม่เหมือนเสี ยงของหญิงอื่นใด
เสียงสรวลระรี่นี้ เสียงแก้วพี่หรือเสียงใคร
เสียงสรวลเสียงทรามวัย สุดสายใจพี่ตามมา
เมื่อกวีคิดว่าเสียงหัวเราะนี้ เป็นเสียงนางอันเป็น
คําศัพท์ น่่ ารู
้
ที่รักหรือเสียงใคร เหมือนมีเสียงของนางอันเป็นที่รัก
ตามติดตัวกวีมา สร
วล
เสียงหัวเราะ ร่
าเริง
ลมชวยรวยกลิ่นน้ อง หอมเรื่อยต้องคลองนาสา ระ
รี่ หัวเราะร่วน
เคลือบเคล้นเห็นคล้ายมา เหลียวหาเจ้าเปล่าวังเวง
ทราม
วัย หญิงสาว ในที่นี้
นางอันเป็ นที่รัก
เมื่อกวีรู้สึกถึงลมที่พัดผ่าน ลมแผ่ว ๆ ช่วยพัด
กลิ่นหอมของนางอันเป็นที่รักผ่านเข้าจมูก พอเหลือบ สุดสา
ยใจ นางอันเป็ นที่รัก
ไปเห็นก็เหมือนจะเห็นนางอันเป็นที่รักมา แต่พอกวี
มองหากลับก็ไม่เห็น นา
สา จมูก
เหลี
ยว มอง
ยามสองฆ้องยามย่ำ ทุกคืนค่ำย่ำอกเอง
เสียงปี่ มี่ครวญเครง เหมือนเรียมคร่ำร่ำครวญนาน
คําศัพท์ น่่ ารู
้
เมื่ อกวีได้ยินเสี ยงฆ้องตีบอกเวลาสามทุ่มถึงเที่ ยงคืนทุก ยาม
สอง หลังจาก๓ทุ่ม
- เที่ยงคืน
คืนตัวกวีก็ชกตีอกตัวเองด้วยความเศร้า เสียงปี่ ที่ส่งเสียงมา
ก็เหมือนเสียงของกวีที่ร้องคร่ำครวญด้วยความเศร้า ฆ้องย
ามย่ำ ฆ้องตีบอกเวล
า
ย่ำอ
ก ตีอกด้วยความ
เศร้า
ล่วงสามยามปลายแล้ว จนไก่แก้วแว่วขันขาน มี่
อึกทึก , เซ็ งแ
ซ่
ม่อยหลับกลับบันดาล ฝันเห็นน้ องต้องติดตา
เรีย
ม พี่ (ใช้เมื่อพูด
กับนางที่รัก)
เมื่ อล่วงเข้าเวลาเที่ ยงคืนถึงตีสามจนไก่ขัน สาม
ยาม หลังจากเที่ยง
คืน - ตี ๓
กวีก็เคลิ้มหลับไป แต่ก็ยังฝันเห็นนางอันเป็นที่รักตลอด
ม่อย
หลับ เคลิ้มหลับ
คําศัพท์ น่่ ารู้
เพรางายวายเสพรส แสนกำสรดอดโอชา
เวลาช่วงเช้า
อิ่มทุกข์ อิ่มชลนา อิ่มโศกาหน้ านองชล เพรา
งา
ย
กวีกล่าวว่าตลอดเวลาเช้าถึงเย็นก็ยังเศร้าหมอง กินอะไรก็ มีรสดี อร่อย
ไม่อร่อย เพราะอิ่มไปด้วยความทุกข์ ความเศร้าโศก โอช
า
และน้ำตานองหน้ า ชล ช
ลนา เวลาช่วงเย็น
น้ำตา
กำส
รด โศกเศร้า คร่ำ
ครวญ ร้องไห้
เวรามาทันแล้ว จึงจำแคล้วแก้วโกมล โศ
กา ความโศกเศ
ร้า
ให้แค้นแสนสุดทน ทุกข์ ถึงเจ้าเศร้าเสี ยดาย เวร
า เวรกรรม
แก้
ว นางอันเป็ นที
่รัก
กวีคิดว่าสิ่ งนี้ คือเวรกรรมที่ตามทันทําให้กวีต้องมาจาก เจ้
า นางอันเป็ น
ที่รัก
นางอันเป็นที่รัก กวีคิดแล้วก็ทั้งเจ็บใจทั้งเศร้าที่ต้องจาก
นางอันเป็นที่รักมา รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้อยู่กับนางอัน โก
มล อ่อนงาม ไพเร
าะ หรือดอกบัว
เป็ นที่รัก
คําศัพท
์ น่่ ารู้
งามทรงวงดั่งวาด งามมารยาทนาดกรกราย นาดกรกราย กหัาวรเรเดาินะ อร่ยา่าเรงิง
งามพริ้มยิ้มแย้มพราย งามคำหวานลานใจถวิล มีท่าทาง คือ
การเดินท
อดแขน
เมื่อกวีคิดถึงนางอันเป็นที่รัก นางอันเป็นที่รักมีความงามทั้ง ไปข้างหน้ าเเละ
รูปร่างเปรียบเหมือนภาพวาด งามทั้งมารยาท ท่าทางในการเดิน ข้างหลังอย่างช้าๆ
งามทั้งรอยยิ้ม รวมทั้งคำพูดของนางอันที่เป็นรัก
พริ้ม หน้ าตางาม
แต่เช้าเท่าถึงเย็น กล้ำกลืนเข็ญเป็ นอาจิณ อย่างยิ้มเเย้ม
ชายใดในแผ่นดิน ไม่เหมือนพี่ที่ตรอมใจ
ถว
ิล คิด , คิด
ถึง
กวีกล่าวว่า ตนคิดตลอดเวลาตั้งเเต่เช้าจนถึงเย็น กวีทนทุกข์ เข็ญ
ลำบาก
เป็นประจําในทุกเวลา คงไม่มีชายใดในแผ่นดินที่จะเฝ้ าคิดถึงนาง อาจิน
อันเป็ นที่รักของตนเหมือนตัวกวี เป็นปกติ ,
ติดเป็นนิ สัย
คําศัพท
์ น่่ ารู้
เรีย
ม พีห่ัวเราะ ร
่าเริง
เรียมทนทุกข์ แต่เช้า ถึงเย็น เข็ญ
ยาก , ลำ
บาก
มาสู่ สุขคืนเข็ญ
ชายใดจากสมรเป็ น หม่นไหม้ หม่น
ไหม้ ทุกข์จนตร
มตรอม
ทุกข์เท่า เรียมเลย สม
ร นางอันเป็
นที่รัก
จากคู่วันเดียวได้ ทุกข์ปิ้ มปานปี ปิ้
ม เกือบ,จวน
,แทบ
กวีเฝ้ าแต่ทนทุกข์ตั้งแต่เช้าถึงเย็น ทุกวันคืนเหมือนตกนรก
ทั้งเป็น หากผู้ชายคนไหนถ้าได้จากหญิงอันเป็นที่รัก ก็ต้องทุกข์
เหมือนกวี จากกันแค่วันเดียวแต่ทุกข์เหมือนจากกันนานนับปี
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
๑) การใช้คำโดยคำนึงถึงเสียง
๑.๑ การเล่นเสียงสัมผัส ทำให้เกิดความไพเราะ โดยใช้สัมผัสในทั้งสัมผัสสระและ
สัมผัสพยัญชนะ ทำให้เสียงของกาพย์รื่นหู มีสัมผัสคล้องจองกัน ให้ความรู้สึกถึง
ความราบรื่น ไพเราะ ดังบทประพันธ์
ล่วงสามยามปลายแล้ว จนไก่แก้วแว่วขันขาน
ม่อยหลับกลับบันดาล ฝันเห็นน้ องต้องติดตา
กาพย์บทนี้ มีสัมผัสสระและสัมผัสพยัญชนะครบทุกวรรคในบทเดียวกัน
สัมผัสสระ ได้แก่ สาม-ยาม , แก้ว-แว่ว , หลับ-กลับ และน้ อง-ต้อง
สัมผัสพยัญชนะ ได้แก่ ไก่-แก้ว , ขัน-ขาน และติด-ตา
เวรามาทันแล้ว จึงจำแคล้วแก้วโกมล
ให้แค้นแสนสุดทน ทุกข์ ถึงเจ้าเศร้าเสี ยดาย
สัมผัสสระ ได้แก่ แคล้ว-แก้ว , แค้น-แสน และเจ้า-เศร้า
สัมผัสพยัญชนะ ได้แก่ จึง-จำ , แก้ว-โกมล และแสน-สุด
ยามสองฆ้องยามย่ำ ทุกคืนค่ำย่ำอกเอง
เสียงปี่ มี่ครวญเครง เหมือนเรียมคร่ำร่ำครวญนาน
สัมผัสสระ ได้แก่ สอง-ฆ้อง , ค่ำ-ย่ำ , ปี่ -มี่ และคร่ำ-ร่ำ
สัมผัสพยัญชนะ ได้แก่ ยาม-ย่ำ , คืน-ค่ำ , อก-เอง และครวญ-เครง
งามทรงวงดั่งวาด งามมารยาทนาดกรกราย
งามพริ้มยิ้มแย้มพราย งามคำหวานลานใจถวิล
สัมผัสสระ ได้แก่ ทรง-วง , มารยาท-นาด และพริ้ม-ยิ้ม
สัมผัสพยัญชนะ ได้แก่ ยิ้ม-แย้ม
ลมชวยรวยกลิ่นน้ อง หอมเรื่อยต้องคลองนาสา
เคลือบเคล้นเห็นคล้ายมา เหลียวหาเจ้าเปล่าวังเวง
สัมผัสสระ ได้แก่ ลมชวย-รวย,ต้อง-คลอง,เคล้น-เห็น,เจ้า-เปล่า
และสัมผัสพยัญชนะ ได้แก่ เคลือบ-เคล้น
แต่เช้าเท่าถึงเย็น กล้ำกลืนเข็ญเป็ นอาจิณ
ชายใดในแผ่นดิน ไม่เหมือนพี่ที่ตรอมใจ
สัมผัสสระ ได้แก่ เช้า-เท่า , เข็ญ-เป็น , ใด-ใน และพี่-ที่
(๑.๒) การซ้ำคำ เป็นการสร้างสุนทรียภาพให้เกิดขึ้นทั้งในด้านภาพและเสียงโดยการใช้คำๆ
เดียวกัน แทรกไปเป็นระยะๆ ในช่วงที่กวีต้องการสร้างความรู้สึกชนิ ดใดชนิ ดหนึ่ ง หรือต้องการ
ที่จะเน้ นคำ ๆ นั้น
เสียงสรวลระรี่นี้ เสียงใด
เสียงนุชพี่ฤๅใคร
เสียงสรวลเสียงทรามวัย ใคร่รู้
เสียงบังอรสมรผู้ นุชพี่ มาแม่
อื่นนั้ นฤๅมี
เสียงสรวลระรี่นี้
เสียงสรวลเสียงทรามวัย เสียงแก้วพี่หรือเสียงใคร
สุดสายใจพี่ตามมา
งามทรงวงดั่งวาด งามมารยาทนาดกรกราย
งามพริ้มยิ้มแย้มพราย งามคำหวานลานใจถวิล
เรียมทนทุกข์ แต่เช้า ถึงเย็น
มาสู่ สุขคืนเข็ญ หม่นไหม้
ชายใดจากสมรเป็ น ทุกข์เท่า เรียมเลย
ทุกข์ปิ้ มปานปี
จากคู่วันเดียวได้
เพรางายวายเสพรส แสนกำสรดอดโอชา
อิ่มทุกข์ อิ่มชลนา อิ่มโศกาหน้ านองชล
๒) การใช้ภาพพจน์
การใช้ภาพพจน์ อุปมา : เป็นการเปรียบสิ่ งหนึ่ งว่าเหมือนอีกสิ่ งหนึ่ ง โดยใช้คำเชื่อมที่แสดงความหมาย
ว่าเหมือนกัน เช่น เหมือน ดัง เพียง เป็นต้น
งามทรงวงดั่งวาด งามมารยาทนาดกรกราย
งามพริ้มยิ้มแย้มพราย งามคำหวานลานใจถวิล
กวีมีการประพันธ์โดยใช้ภาพพจน์ อุปมา โดยใช้คำว่า “ดั่ง”
ซึ่ งกวีเปรียบความงามของนางอันเป็นที่รักเหมือนภาพวาด
งามทั้งรูปร่าง งามทั้งมารยาท ท่าทางในการเดิน รอยยิ้ม
รวมทั้งคำพูดของนางอันที่เป็ นรัก
๓) ลีลาการประพันธ์
การใช้รสวรรรคดีสัลลาปังคพิสัย : บทแสดงความเศร้าโศก อาลัยอาวรณ์ กวีรำพันความรู้สึก
ความรักอาลัยที่มีต่อนางผู้เป็นที่รัก เช่น
เรียมทนทุกข์ แต่เช้า ถึงเย็น
มาสู่ สุขคืนเข็ญ
ชายใดจากสมรเป็ น หม่นไหม้
ทุกข์เท่า เรียมเลย
จากคู่วันเดียวได้ ทุกข์ปิ้ มปานปี
กวีทรงบรรยายว่าการจากนางเพียงวันเดียว ทำให้มีความทุกข์เหมือน
กับจากนางเป็นปี ซึ่ งเป็นการย้ำว่าความทุกข์ของพระองค์นั้น
มีมากเพียงใด เป็นการแสดงความรู้สึกของผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์
จากการพลัดพรากได้อย่างเหมาะสม
คุณค่าด้านสังคม
สะท้อนวิถีชีวิตความเป็ นอยู่ของคนในสังคม
การเทียบเวลาในสมัยก่อน สมัยโบราณใช้ฆ้องและกลองตีบอกเวลา ซึ่ งฆ้องบอกเวลา
สัญญาณเป็น “โมง” คู่กับกลองที่ตีบอกสัญญาณเป็น “ทุ่ม”
ยามสองฆ้องยามย่ำ ทุกคืนค่ำย่ำอกเอง
เสียงปี่ มี่ครวญเครง เหมือนเรียมคร่ำร่ำครวญนาน